Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๔. จกฺกวตฺติสุตฺตวณฺณนา

    4. Cakkavattisuttavaṇṇanā

    ๑๔. จตุเตฺถ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหีติ ทานปิยวจนอตฺถจริยาสมานตฺตตาสงฺขาเตหิ จตูหิ สงฺคหการเณหิฯ จกฺกํ วเตฺตตีติ อาณาจกฺกํ ปวเตฺตติฯ จกฺกนฺติ วา อิธ รตนจกฺกํ เวทิตพฺพํฯ อยญฺหิ จกฺกสโทฺท สมฺปตฺติยํ, ลกฺขเณ, รถเงฺค, อิริยาปเถ, ทาเน, รตนธมฺมขุรจกฺกาทีสุ จ ทิสฺสติฯ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ, เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสาน’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๓๑) หิ สมฺปตฺติยํ ทิสฺสติฯ ‘‘ปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๕; ๓.๒๐๔) เอตฺถ ลกฺขเณฯ ‘‘จกฺกํว วหโต ปท’’นฺติ (ธ. ป. ๑) เอตฺถ รถเงฺคฯ ‘‘จตุจกฺกํ นวทฺวาร’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๙) เอตฺถ อิริยาปเถฯ ‘‘ททํ ภุญฺช มา จ ปมาโท, จกฺกํ วตฺตย สพฺพปาณิน’’นฺติ (ชา. ๑.๗.๑๔๙) เอตฺถ ทาเนฯ ‘‘ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุรโหสี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๔๓) เอตฺถ รตนจเกฺกฯ ‘‘มยา ปวตฺติตํ จกฺก’’นฺติ (สุ. นิ. ๕๖๒) เอตฺถ ธมฺมจเกฺกฯ ‘‘อิจฺฉาหตสฺส โปสสฺส, จกฺกํ ภมติ มตฺถเก’’ติ (ชา. ๑.๕.๑๐๓) เอตฺถ ขุรจเกฺกฯ ‘‘ขุรปริยเนฺตน จเกฺกนา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๖) เอตฺถ ปหรณจเกฺกฯ ‘‘อสนิวิจกฺก’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๖๑) เอตฺถ อสนิมณฺฑเลฯ อิธ ปนายํ รตนจเกฺก ทฎฺฐโพฺพฯ

    14. Catutthe catūhi saṅgahavatthūhīti dānapiyavacanaatthacariyāsamānattatāsaṅkhātehi catūhi saṅgahakāraṇehi. Cakkaṃ vattetīti āṇācakkaṃ pavatteti. Cakkanti vā idha ratanacakkaṃ veditabbaṃ. Ayañhi cakkasaddo sampattiyaṃ, lakkhaṇe, rathaṅge, iriyāpathe, dāne, ratanadhammakhuracakkādīsu ca dissati. ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, cakkāni, yehi samannāgatānaṃ devamanussāna’’ntiādīsu (a. ni. 4.31) hi sampattiyaṃ dissati. ‘‘Pādatalesu cakkāni jātānī’’ti (dī. ni. 2.35; 3.204) ettha lakkhaṇe. ‘‘Cakkaṃva vahato pada’’nti (dha. pa. 1) ettha rathaṅge. ‘‘Catucakkaṃ navadvāra’’nti (saṃ. ni. 1.29) ettha iriyāpathe. ‘‘Dadaṃ bhuñja mā ca pamādo, cakkaṃ vattaya sabbapāṇina’’nti (jā. 1.7.149) ettha dāne. ‘‘Dibbaṃ cakkaratanaṃ pāturahosī’’ti (dī. ni. 2.243) ettha ratanacakke. ‘‘Mayā pavattitaṃ cakka’’nti (su. ni. 562) ettha dhammacakke. ‘‘Icchāhatassa posassa, cakkaṃ bhamati matthake’’ti (jā. 1.5.103) ettha khuracakke. ‘‘Khurapariyantena cakkenā’’ti (dī. ni. 1.166) ettha paharaṇacakke. ‘‘Asanivicakka’’nti (dī. ni. 3.61) ettha asanimaṇḍale. Idha panāyaṃ ratanacakke daṭṭhabbo.

    กิตฺตาวตา ปนายํ จกฺกวตฺตี นาม โหติ? เอกงฺคุลทฺวงฺคุลมตฺตมฺปิ จกฺกรตนํ อากาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปวตฺตติฯ สพฺพจกฺกวตฺตีนญฺหิ นิสินฺนาสนโต อุฎฺฐหิตฺวา จกฺกรตนสมีปํ คนฺตฺวา หตฺถิโสณฺฑสทิสปนาฬิํ สุวณฺณภิงฺคารํ อุกฺขิปิตฺวา อุทเกน อพฺภุกฺกิริตฺวา ‘‘อภิวิชินาตุ ภวํ จกฺกรตน’’นฺติ วจนสมนนฺตรเมว เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา จกฺกรตนํ ปวตฺตตีติฯ ยสฺส ปวตฺติสมกาลเมว, โส ราชา จกฺกวตฺตี นาม โหติฯ

    Kittāvatā panāyaṃ cakkavattī nāma hoti? Ekaṅguladvaṅgulamattampi cakkaratanaṃ ākāsaṃ abbhuggantvā pavattati. Sabbacakkavattīnañhi nisinnāsanato uṭṭhahitvā cakkaratanasamīpaṃ gantvā hatthisoṇḍasadisapanāḷiṃ suvaṇṇabhiṅgāraṃ ukkhipitvā udakena abbhukkiritvā ‘‘abhivijinātu bhavaṃ cakkaratana’’nti vacanasamanantarameva vehāsaṃ abbhuggantvā cakkaratanaṃ pavattatīti. Yassa pavattisamakālameva, so rājā cakkavattī nāma hoti.

    ธโมฺมติ ทสกุสลกมฺมปถธโมฺม, ทสวิธํ วา จกฺกวตฺติวตฺตํฯ ทสวิเธ วา กุสลธเมฺม อครหิเต วา ราชธเมฺม นิยุโตฺตติ ธมฺมิโกฯ เตน จ ธเมฺมน สกลโลกํ รเญฺชตีติ ธมฺมราชาฯ ธเมฺมน วา ลทฺธรชฺชตฺตา ธมฺมราชาฯ จกฺกวตฺตีหิ ธเมฺมน ญาเยน รชฺชํ อธิคจฺฉติ, น อธเมฺมนฯ ทสวิเธน จกฺกวตฺติวเตฺตนาติ ทสปฺปเภเทน จกฺกวตฺตีนํ วเตฺตนฯ

    Dhammoti dasakusalakammapathadhammo, dasavidhaṃ vā cakkavattivattaṃ. Dasavidhe vā kusaladhamme agarahite vā rājadhamme niyuttoti dhammiko. Tena ca dhammena sakalalokaṃ rañjetīti dhammarājā. Dhammena vā laddharajjattā dhammarājā. Cakkavattīhi dhammena ñāyena rajjaṃ adhigacchati, na adhammena. Dasavidhena cakkavattivattenāti dasappabhedena cakkavattīnaṃ vattena.

    กิํ ปน ตํ ทสวิธํ จกฺกวตฺติวตฺตนฺติ? วุจฺจเต –

    Kiṃ pana taṃ dasavidhaṃ cakkavattivattanti? Vuccate –

    ‘‘กตมํ ปน ตํ, เทว, อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตนฺติ? เตน หิ ตฺวํ, ตาต, ธมฺมํเยว นิสฺสาย ธมฺมํ สกฺกโรโนฺต ธมฺมํ ครุํ กโรโนฺต ธมฺมํ มาเนโนฺต ธมฺมํ ปูเชโนฺต ธมฺมํ อปจายมาโน ธมฺมทฺธโช ธมฺมเกตุ ธมฺมาธิปเตโยฺย ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺติํ สํวิทหสฺสุ อโนฺตชนสฺมิํ พลกายสฺมิํ ขตฺติเยสุ อนุยเนฺตสุ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคมชานปเทสุ สมณพฺราหฺมเณสุ มิคปกฺขีสุฯ มา จ เต, ตาต, วิชิเต อธมฺมกาโร ปวตฺติตฺถฯ เย จ เต, ตาต, วิชิเต อธนา อสฺสุ, เตสญฺจ ธนมนุปฺปเทยฺยาสิฯ เย จ เต, ตาต, วิชิเต สมณพฺราหฺมณา มทปฺปมาทา ปฎิวิรตา ขนฺติโสรเจฺจ นิวิฎฺฐา เอกมตฺตานํ ทเมนฺติ, เอกมตฺตานํ สเมนฺติ, เอกมตฺตานํ ปรินิพฺพาเปนฺติฯ เต กาเลน กาลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปริปุเจฺฉยฺยาสิ ปริคฺคเณฺหยฺยาสิ – ‘กิํ, ภเนฺต, กุสลํ กิํ อกุสลํ, กิํ สาวชฺชํ กิํ อนวชฺชํ, กิํ เสวิตพฺพํ กิํ น เสวิตพฺพํ, กิํ เม กริยมานํ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย อสฺส, กิํ วา ปน เม กริยมานํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย อสฺสา’ติฯ เตสํ สุตฺวา ยํ อกุสลํ, ตํ อภินิวเชฺชยฺยาสิ, ยํ กุสลํ, ตํ สมาทาย วเตฺตยฺยาสิฯ อิทํ โข, ตาต, ตํ อริยํ จกฺกวตฺติวตฺต’’นฺติ –

    ‘‘Katamaṃ pana taṃ, deva, ariyaṃ cakkavattivattanti? Tena hi tvaṃ, tāta, dhammaṃyeva nissāya dhammaṃ sakkaronto dhammaṃ garuṃ karonto dhammaṃ mānento dhammaṃ pūjento dhammaṃ apacāyamāno dhammaddhajo dhammaketu dhammādhipateyyo dhammikaṃ rakkhāvaraṇaguttiṃ saṃvidahassu antojanasmiṃ balakāyasmiṃ khattiyesu anuyantesu brāhmaṇagahapatikesu negamajānapadesu samaṇabrāhmaṇesu migapakkhīsu. Mā ca te, tāta, vijite adhammakāro pavattittha. Ye ca te, tāta, vijite adhanā assu, tesañca dhanamanuppadeyyāsi. Ye ca te, tāta, vijite samaṇabrāhmaṇā madappamādā paṭiviratā khantisoracce niviṭṭhā ekamattānaṃ damenti, ekamattānaṃ samenti, ekamattānaṃ parinibbāpenti. Te kālena kālaṃ upasaṅkamitvā paripuccheyyāsi pariggaṇheyyāsi – ‘kiṃ, bhante, kusalaṃ kiṃ akusalaṃ, kiṃ sāvajjaṃ kiṃ anavajjaṃ, kiṃ sevitabbaṃ kiṃ na sevitabbaṃ, kiṃ me kariyamānaṃ dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya assa, kiṃ vā pana me kariyamānaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya assā’ti. Tesaṃ sutvā yaṃ akusalaṃ, taṃ abhinivajjeyyāsi, yaṃ kusalaṃ, taṃ samādāya vatteyyāsi. Idaṃ kho, tāta, taṃ ariyaṃ cakkavattivatta’’nti –

    เอวํ จกฺกวตฺติสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๘๔) อาคตนเยน อโนฺตชนสฺมิํ พลกาเย เอกํ, ขตฺติเยสุ เอกํ, อนุยเนฺตสุ เอกํ, พฺราหฺมณคหปติเกสุ เอกํ, เนคมชานปเทสุ เอกํ, สมณพฺราหฺมเณสุ เอกํ, มิคปกฺขีสุ เอกํ, อธมฺมการปฺปฎิเกฺขโป เอกํ, อธนานํ ธนานุปฺปทานํ เอกํ, สมณพฺราหฺมเณ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหปุจฺฉนํ เอกนฺติ เอวเมวํ ตํ จกฺกวตฺติวตฺตํ ทสวิธํ โหติฯ คหปติเก ปน ปกฺขิชาเต จ วิสุํ กตฺวา คณฺหนฺตสฺส ทฺวาทสวิธํ โหติฯ

    Evaṃ cakkavattisutte (dī. ni. 3.84) āgatanayena antojanasmiṃ balakāye ekaṃ, khattiyesu ekaṃ, anuyantesu ekaṃ, brāhmaṇagahapatikesu ekaṃ, negamajānapadesu ekaṃ, samaṇabrāhmaṇesu ekaṃ, migapakkhīsu ekaṃ, adhammakārappaṭikkhepo ekaṃ, adhanānaṃ dhanānuppadānaṃ ekaṃ, samaṇabrāhmaṇe upasaṅkamitvā pañhapucchanaṃ ekanti evamevaṃ taṃ cakkavattivattaṃ dasavidhaṃ hoti. Gahapatike pana pakkhijāte ca visuṃ katvā gaṇhantassa dvādasavidhaṃ hoti.

    อญฺญถา วตฺติตุํ อเทโนฺต โส ธโมฺม อธิฎฺฐานํ เอตสฺสาติ ตทธิฎฺฐานํฯ เตน ตทธิฎฺฐาเนน เจตสาฯ สกฺกโรโนฺตติ อาทรกิริยาวเสน กโรโนฺตฯ เตนาห ‘‘ยถา’’ติอาทิฯ ครุํ กโรโนฺตติ ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุกรณวเสน ครุํ กโรโนฺตฯ เตเนวาห ‘‘ตสฺมิํ คารวุปฺปตฺติยา’’ติฯ ธมฺมาธิปติภูตาคตภาเวนาติ อิมินา ยถาวุตฺตธมฺมสฺส เชฎฺฐกภาเวน ปุริมตรํ อตฺตภาเวสุ สกฺกจฺจํ สมุปจิตภาวํ ทเสฺสติฯ ธมฺมวเสเนว จ สพฺพกิริยานํ กรเณนาติ เอเตน ฐานนิสชฺชาทีสุ ยถาวุตฺตธมฺมนินฺนโปณปพฺภารภาวํ ทเสฺสติฯ อสฺสาติ รกฺขาวรณคุตฺติยาฯ ปรํ รกฺขโนฺตติ อญฺญํ ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอนตฺถโต รกฺขโนฺตฯ เตเนว ปรรกฺขสาธเนน ขนฺติอาทิคุเณน อตฺตานํ ตโต เอว รกฺขติฯ เมตฺตจิตฺตตาติ เมตฺตจิตฺตตายฯ นิวาสนปารุปนเคหาทีนิ สีตุณฺหาทิปฺปฎิพาหเนน อาวรณํ

    Aññathā vattituṃ adento so dhammo adhiṭṭhānaṃ etassāti tadadhiṭṭhānaṃ. Tena tadadhiṭṭhānena cetasā. Sakkarontoti ādarakiriyāvasena karonto. Tenāha ‘‘yathā’’tiādi. Garuṃ karontoti pāsāṇacchattaṃ viya garukaraṇavasena garuṃ karonto. Tenevāha ‘‘tasmiṃ gāravuppattiyā’’ti. Dhammādhipatibhūtāgatabhāvenāti iminā yathāvuttadhammassa jeṭṭhakabhāvena purimataraṃ attabhāvesu sakkaccaṃ samupacitabhāvaṃ dasseti. Dhammavaseneva ca sabbakiriyānaṃ karaṇenāti etena ṭhānanisajjādīsu yathāvuttadhammaninnapoṇapabbhārabhāvaṃ dasseti. Assāti rakkhāvaraṇaguttiyā. Paraṃ rakkhantoti aññaṃ diṭṭhadhammikādianatthato rakkhanto. Teneva pararakkhasādhanena khantiādiguṇena attānaṃ tato eva rakkhati. Mettacittatāti mettacittatāya. Nivāsanapārupanagehādīni sītuṇhādippaṭibāhanena āvaraṇaṃ.

    อโนฺตชนสฺมินฺติ อพฺภนฺตรภูเต ปุตฺตทาราทิชเนฯ สีลสํวเร ปติฎฺฐาเปโนฺตติ อิมินา รกฺขํ ทเสฺสติฯ วตฺถคนฺธมาลาทีนิ จสฺส ททมาโนติ อิมินา อาวรณํ, อิตเรน คุตฺติํฯ สมฺปทาเนนปีติ ปิ-สเทฺทน สีลสํวเรสุ ปติฎฺฐาปนาทีนํ สมฺปิเณฺฑติฯ เอส นโย ปเรสุปิ ปิ-สทฺทคฺคหเณฯ นิคโม นิวาโส เอเตสนฺติ เนคมาฯ เอวํ ชานปทาติ อาห ‘‘ตถา นิคมวาสิโน’’ติอาทินาฯ

    Antojanasminti abbhantarabhūte puttadārādijane. Sīlasaṃvare patiṭṭhāpentoti iminā rakkhaṃ dasseti. Vatthagandhamālādīni cassa dadamānoti iminā āvaraṇaṃ, itarena guttiṃ. Sampadānenapīti pi-saddena sīlasaṃvaresu patiṭṭhāpanādīnaṃ sampiṇḍeti. Esa nayo paresupi pi-saddaggahaṇe. Nigamo nivāso etesanti negamā. Evaṃ jānapadāti āha ‘‘tathā nigamavāsino’’tiādinā.

    รกฺขาวรณคุตฺติยา กายกมฺมาทีสุ สํวิทหนํ ฐปนํ นาม ตทุปเทโสเยวาติ วุตฺตํ ‘‘กเถตฺวา’’ติฯ เอเตสูติ ปาฬิยํ วุเตฺตสุ สมณาทีสุฯ ปฎิวเตฺตตุํ น สกฺกา ขีณานํ กิเลสานํ ปุน อนุปฺปชฺชนโตฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Rakkhāvaraṇaguttiyā kāyakammādīsu saṃvidahanaṃ ṭhapanaṃ nāma tadupadesoyevāti vuttaṃ ‘‘kathetvā’’ti. Etesūti pāḷiyaṃ vuttesu samaṇādīsu. Paṭivattetuṃ na sakkā khīṇānaṃ kilesānaṃ puna anuppajjanato. Sesamettha suviññeyyameva.

    จกฺกวตฺติสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cakkavattisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๔. จกฺกวตฺติสุตฺตํ • 4. Cakkavattisuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๔. จกฺกวตฺติสุตฺตวณฺณนา • 4. Cakkavattisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact