Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรีคาถา-อฎฺฐกถา • Therīgāthā-aṭṭhakathā

    ๒. จาลาเถรีคาถาวณฺณนา

    2. Cālātherīgāthāvaṇṇanā

    สติํ อุปฎฺฐเปตฺวานาติอาทิกา จาลาย เถริยา คาถาฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิการา ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยํ กุสลํ อุปจินิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท มคเธสุ นาลกคาเม รูปสาริพฺราหฺมณิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ ตสฺสา นามคฺคหณทิวเส จาลาติ นามํ อกํสุ, ตสฺสา กนิฎฺฐาย อุปจาลาติ, อถ ตสฺสา กนิฎฺฐาย สีสูปจาลาติ ฯ อิมา ติโสฺสปิ ธมฺมเสนาปติสฺส กนิฎฺฐภคินิโย, อิมาสํ ปุตฺตานมฺปิ ติณฺณํ อิทเมว นามํฯ เย สนฺธาย เถรคาถาย ‘‘จาเล อุปจาเล สีสูปจาเล’’ติ (เถรคา. ๔๒) อาคตํฯ

    Satiṃupaṭṭhapetvānātiādikā cālāya theriyā gāthā. Ayampi purimabuddhesu katādhikārā tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayaṃ kusalaṃ upacinitvā imasmiṃ buddhuppāde magadhesu nālakagāme rūpasāribrāhmaṇiyā kucchimhi nibbatti. Tassā nāmaggahaṇadivase cālāti nāmaṃ akaṃsu, tassā kaniṭṭhāya upacālāti, atha tassā kaniṭṭhāya sīsūpacālāti . Imā tissopi dhammasenāpatissa kaniṭṭhabhaginiyo, imāsaṃ puttānampi tiṇṇaṃ idameva nāmaṃ. Ye sandhāya theragāthāya ‘‘cāle upacāle sīsūpacāle’’ti (theragā. 42) āgataṃ.

    อิมา ปน ติโสฺสปิ ภคินิโย ‘‘ธมฺมเสนาปติ ปพฺพชี’’ติ สุตฺวา ‘‘น หิ นูน โส โอรโก ธมฺมวินโย, น สา โอริกา ปพฺพชฺชา, ยตฺถ อมฺหากํ อโยฺย ปพฺพชิโต’’ติ อุสฺสาหชาตา ติพฺพจฺฉนฺทา อสฺสุมุขํ รุทมานํ ญาติปริชนํ ปหาย ปพฺพชิํสุฯ ปพฺพชิตฺวา จ ฆเฎนฺติโย วายมนฺติโย นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ อรหตฺตํ ปน ปตฺวา นิพฺพานสุเขน ผลสุเขน วิหรนฺติฯ

    Imā pana tissopi bhaginiyo ‘‘dhammasenāpati pabbajī’’ti sutvā ‘‘na hi nūna so orako dhammavinayo, na sā orikā pabbajjā, yattha amhākaṃ ayyo pabbajito’’ti ussāhajātā tibbacchandā assumukhaṃ rudamānaṃ ñātiparijanaṃ pahāya pabbajiṃsu. Pabbajitvā ca ghaṭentiyo vāyamantiyo nacirasseva arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Arahattaṃ pana patvā nibbānasukhena phalasukhena viharanti.

    ตาสุ จาลา ภิกฺขุนี เอกทิวสํ ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกนฺตา อนฺธวนํ ปวิสิตฺวา ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ อถ นํ มาโร อุปสงฺกมิตฺวา กาเมหิ อุปเนสิฯ ยํ สนฺธาย สุเตฺต วุตฺตํ –

    Tāsu cālā bhikkhunī ekadivasaṃ pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkantā andhavanaṃ pavisitvā divāvihāraṃ nisīdi. Atha naṃ māro upasaṅkamitvā kāmehi upanesi. Yaṃ sandhāya sutte vuttaṃ –

    ‘‘อถ โข จาลา ภิกฺขุนี ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรํ อาทาย สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกนฺตา เยน อนฺธวนํ, เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหารายฯ อนฺธวนํ อโชฺฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ อถ โข มาโร ปาปิมา เยน จาลา ภิกฺขุนี, เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา จาลํ ภิกฺขุนิํ เอตทโวจา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๖๗)ฯ

    ‘‘Atha kho cālā bhikkhunī pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaraṃ ādāya sāvatthiṃ piṇḍāya pāvisi. Sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkantā yena andhavanaṃ, tenupasaṅkami divāvihārāya. Andhavanaṃ ajjhogāhetvā aññatarasmiṃ rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdi. Atha kho māro pāpimā yena cālā bhikkhunī, tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā cālaṃ bhikkhuniṃ etadavocā’’ti (saṃ. ni. 1.167).

    อนฺธวนมฺหิ ทิวาวิหารํ นิสินฺนํ มาโร อุปสงฺกมิตฺวา พฺรหฺมจริยวาสโต วิจฺฉินฺทิตุกาโม ‘‘กํ นุ อุทฺทิสฺส มุณฺฑาสี’’ติอาทิํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส สตฺถุ คุเณ ธมฺมสฺส จ นิยฺยานิกภาวํ ปกาเสตฺวา อตฺตโน กตกิจฺจภาววิภาวเนน ตสฺส วิสยาติกฺกมํ ปเวเทสิฯ ตํ สุตฺวา มาโร ทุกฺขี ทุมฺมโน ตเตฺถวนฺตรธายิฯ อถ สา อตฺตนา มาเรน จ ภาสิตา คาถา อุทานวเสน กเถนฺตี –

    Andhavanamhi divāvihāraṃ nisinnaṃ māro upasaṅkamitvā brahmacariyavāsato vicchinditukāmo ‘‘kaṃ nu uddissa muṇḍāsī’’tiādiṃ pucchi. Athassa satthu guṇe dhammassa ca niyyānikabhāvaṃ pakāsetvā attano katakiccabhāvavibhāvanena tassa visayātikkamaṃ pavedesi. Taṃ sutvā māro dukkhī dummano tatthevantaradhāyi. Atha sā attanā mārena ca bhāsitā gāthā udānavasena kathentī –

    ๑๘๒.

    182.

    ‘‘สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาน, ภิกฺขุนี ภาวิตินฺทฺริยา;

    ‘‘Satiṃ upaṭṭhapetvāna, bhikkhunī bhāvitindriyā;

    ปฎิวิชฺฌิ ปทํ สนฺตํ, สงฺขารูปสมํ สุขํฯ

    Paṭivijjhi padaṃ santaṃ, saṅkhārūpasamaṃ sukhaṃ.

    ๑๘๓.

    183.

    ‘‘กํ นุ อุทฺทิสฺส มุณฺฑาสิ, สมณี วิย ทิสฺสติ;

    ‘‘Kaṃ nu uddissa muṇḍāsi, samaṇī viya dissati;

    น จ โรเจสิ ปาสเณฺฑ, กิมิทํ จรสิ โมมุหาฯ

    Na ca rocesi pāsaṇḍe, kimidaṃ carasi momuhā.

    ๑๘๔.

    184.

    ‘‘อิโต พหิทฺธา ปาสณฺฑา, ทิฎฺฐิโย อุปนิสฺสิตา;

    ‘‘Ito bahiddhā pāsaṇḍā, diṭṭhiyo upanissitā;

    น เต ธมฺมํ วิชานนฺติ, น เต ธมฺมสฺส โกวิทาฯ

    Na te dhammaṃ vijānanti, na te dhammassa kovidā.

    ๑๘๕.

    185.

    ‘‘อตฺถิ สกฺยกุเล ชาโต, พุโทฺธ อปฺปฎิปุคฺคโล;

    ‘‘Atthi sakyakule jāto, buddho appaṭipuggalo;

    โส เม ธมฺมมเทเสสิ, ทิฎฺฐีนํ สมติกฺกมํฯ

    So me dhammamadesesi, diṭṭhīnaṃ samatikkamaṃ.

    ๑๘๖.

    186.

    ‘‘ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ, ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ;

    ‘‘Dukkhaṃ dukkhasamuppādaṃ, dukkhassa ca atikkamaṃ;

    อริยํ จฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ, ทุกฺขูปสมคามินํฯ

    Ariyaṃ caṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ, dukkhūpasamagāminaṃ.

    ๑๘๗.

    187.

    ‘‘ตสฺสาหํ วจนํ สุตฺวา, วิหริํ สาสเน รตา;

    ‘‘Tassāhaṃ vacanaṃ sutvā, vihariṃ sāsane ratā;

    ติโสฺส วิชฺชา อนุปฺปตฺตา, กตํ พุทฺธสฺส สาสนํฯ

    Tisso vijjā anuppattā, kataṃ buddhassa sāsanaṃ.

    ๑๘๘.

    188.

    ‘‘สพฺพตฺถ วิหตา นนฺที, ตโมกฺขโนฺธ ปทาลิโต;

    ‘‘Sabbattha vihatā nandī, tamokkhandho padālito;

    เอวํ ชานาหิ ปาปิม, นิหโต ตฺวมสิ อนฺตกา’’ติฯ –

    Evaṃ jānāhi pāpima, nihato tvamasi antakā’’ti. –

    อิมา คาถา อภาสิฯ

    Imā gāthā abhāsi.

    ตตฺถ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวานาติ สติปฎฺฐานภาวนาวเสน กายาทีสุ อสุภทุกฺขานิจฺจานตฺตวเสน สติํ สุฎฺฐุ อุปฎฺฐิตํ กตฺวาฯ ภิกฺขุนีติ อตฺตานํ สนฺธาย วทติฯ ภาวิตินฺทฺริยาติ อริยมคฺคภาวนาย ภาวิตสทฺธาทิปญฺจินฺทฺริยาฯ ปฎิวิชฺฌิ ปทํ สนฺตนฺติ สนฺตํ ปทํ นิพฺพานํ สจฺฉิกิริยาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌิ สจฺฉากาสิฯ สงฺขารูปสมนฺติ สพฺพสงฺขารานํ อุปสมเหตุภูตํฯ สุขนฺติ อจฺจนฺตสุขํฯ

    Tattha satiṃ upaṭṭhapetvānāti satipaṭṭhānabhāvanāvasena kāyādīsu asubhadukkhāniccānattavasena satiṃ suṭṭhu upaṭṭhitaṃ katvā. Bhikkhunīti attānaṃ sandhāya vadati. Bhāvitindriyāti ariyamaggabhāvanāya bhāvitasaddhādipañcindriyā. Paṭivijjhi padaṃ santanti santaṃ padaṃ nibbānaṃ sacchikiriyāpaṭivedhena paṭivijjhi sacchākāsi. Saṅkhārūpasamanti sabbasaṅkhārānaṃ upasamahetubhūtaṃ. Sukhanti accantasukhaṃ.

    ‘‘กํ นุ อุทฺทิสฺสา’’ติ คาถา มาเรน วุตฺตาฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – อิมสฺมิํ โลเก พหู สมยา เตสญฺจ เทเสตาโร พหู เอว ติตฺถกรา, เตสุ กํ นุ โข ตฺวํ อุทฺทิสฺส มุณฺฑาสิ มุณฺฑิตเกสา อสิฯ น เกวลํ มุณฺฑาว, อถ โข กาสาวธารเณน จ สมณี วิย ทิสฺสติฯ น จ โรเจสิ ปาสเณฺฑติ ตาปสปริพฺพาชกาทีนํ อาทาสภูเต ปาสเณฺฑ เต เต สมยนฺตเร เนว โรเจสิฯ กิมิทํ จรสิ โมมุหาติ กิํ นามิทํ, ยํ ปาสณฺฑวิหิตํ อุชุํ นิพฺพานมคฺคํ ปหาย อชฺช กาลิกํ กุมคฺคํ ปฎิปชฺชนฺตี อติวิย มูฬฺหา จรสิ ปริพฺภมสีติฯ

    ‘‘Kaṃ nu uddissā’’ti gāthā mārena vuttā. Tatrāyaṃ saṅkhepattho – imasmiṃ loke bahū samayā tesañca desetāro bahū eva titthakarā, tesu kaṃ nu kho tvaṃ uddissa muṇḍāsi muṇḍitakesā asi. Na kevalaṃ muṇḍāva, atha kho kāsāvadhāraṇena ca samaṇī viya dissati. Na ca rocesi pāsaṇḍeti tāpasaparibbājakādīnaṃ ādāsabhūte pāsaṇḍe te te samayantare neva rocesi. Kimidaṃ carasi momuhāti kiṃ nāmidaṃ, yaṃ pāsaṇḍavihitaṃ ujuṃ nibbānamaggaṃ pahāya ajja kālikaṃ kumaggaṃ paṭipajjantī ativiya mūḷhā carasi paribbhamasīti.

    ตํ สุตฺวา เถรี ปฎิวจนทานมุเขน ตํ ตเชฺชนฺตี ‘‘อิโต พหิทฺธา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิโต พหิทฺธา ปาสณฺฑา นาม อิโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาสนโต พหิทฺธา กุฎีสกพหุการาทิกาฯ เต หิ สตฺตานํ ตณฺหาปาสํ ทิฎฺฐิปาสญฺจ เฑนฺติ โอเฑฺฑนฺตีติ ปาสณฺฑาติ วุจฺจติฯ เตนาห – ‘‘ทิฎฺฐิโย อุปนิสฺสิตา’’ติ สสฺสตทิฎฺฐิคตานิ อุเปจฺจ นิสฺสิตา, ทิฎฺฐิคตานิ อาทิยิํสูติ อโตฺถฯ ยทเคฺคน จ ทิฎฺฐิสนฺนิสฺสิตา, ตทเคฺคน ปาสณฺฑสนฺนิสฺสิตาฯ น เต ธมฺมํ วิชานนฺตีติ เย ปาสณฺฑิโน สสฺสตทิฎฺฐิคตสนฺนิสฺสิตา ‘‘อยํ ปวตฺติ เอวํ ปวตฺตตี’’ติ ปวตฺติธมฺมมฺปิ ยถาภูตํ น วิชานนฺติฯ น เต ธมฺมสฺส โกวิทาติ ‘‘อยํ นิวตฺติ เอวํ นิวตฺตตี’’ติ นิวตฺติธมฺมสฺสาปิ อกุสลา, ปวตฺติธมฺมมเคฺคปิ หิ เต สํมูฬฺหา, กิมงฺคํ ปน นิวตฺติธเมฺมติฯ

    Taṃ sutvā therī paṭivacanadānamukhena taṃ tajjentī ‘‘ito bahiddhā’’tiādimāha. Tattha ito bahiddhā pāsaṇḍā nāma ito sammāsambuddhassa sāsanato bahiddhā kuṭīsakabahukārādikā. Te hi sattānaṃ taṇhāpāsaṃ diṭṭhipāsañca ḍenti oḍḍentīti pāsaṇḍāti vuccati. Tenāha – ‘‘diṭṭhiyo upanissitā’’ti sassatadiṭṭhigatāni upecca nissitā, diṭṭhigatāni ādiyiṃsūti attho. Yadaggena ca diṭṭhisannissitā, tadaggena pāsaṇḍasannissitā. Na te dhammaṃ vijānantīti ye pāsaṇḍino sassatadiṭṭhigatasannissitā ‘‘ayaṃ pavatti evaṃ pavattatī’’ti pavattidhammampi yathābhūtaṃ na vijānanti. Na te dhammassa kovidāti ‘‘ayaṃ nivatti evaṃ nivattatī’’ti nivattidhammassāpi akusalā, pavattidhammamaggepi hi te saṃmūḷhā, kimaṅgaṃ pana nivattidhammeti.

    เอวํ ปาสณฺฑวาทานํ อนิยฺยานิกตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ กํ นุ อุทฺทิสฺส มุณฺฑาสีติ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตุํ ‘‘อตฺถิ สกฺยกุเล ชาโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ทิฎฺฐีนํ สมติกฺกมนฺติ สพฺพาสํ ทิฎฺฐีนํ สมติกฺกมนุปายํ ทิฎฺฐิชาลวินิเวฐนํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Evaṃ pāsaṇḍavādānaṃ aniyyānikataṃ dassetvā idāni kaṃ nu uddissa muṇḍāsīti pañhaṃ vissajjetuṃ ‘‘atthi sakyakule jāto’’tiādi vuttaṃ. Tattha diṭṭhīnaṃ samatikkamanti sabbāsaṃ diṭṭhīnaṃ samatikkamanupāyaṃ diṭṭhijālaviniveṭhanaṃ. Sesaṃ vuttanayameva.

    จาลาเถรีคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cālātherīgāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรีคาถาปาฬิ • Therīgāthāpāḷi / ๒. จาลาเถรีคาถา • 2. Cālātherīgāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact