Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๕๐๖] ๑๐. จเมฺปยฺยชาตกวณฺณนา
[506] 10. Campeyyajātakavaṇṇanā
กา นุ วิชฺชุริวาภาสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุโปสถกมฺมํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา หิ สตฺถา ‘‘สาธุ โว กตํ อุปาสกา อุโปสถวาสํ วสเนฺตหิ, โปราณกปณฺฑิตา นาคสมฺปตฺติํ ปหาย อุโปสถวาสํ วสิํสุเยวา’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Kānu vijjurivābhāsīti idaṃ satthā jetavane viharanto uposathakammaṃ ārabbha kathesi. Tadā hi satthā ‘‘sādhu vo kataṃ upāsakā uposathavāsaṃ vasantehi, porāṇakapaṇḍitā nāgasampattiṃ pahāya uposathavāsaṃ vasiṃsuyevā’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต องฺครเฎฺฐ อเงฺค จ มคธรเฎฺฐ มคเธ จ รชฺชํ กาเรเนฺต องฺคมคธรฎฺฐานํ อนฺตเร จมฺปา นาม นที, ตตฺถ นาคภวนํ อโหสิฯ จเมฺปโยฺย นาม นาคราชา รชฺชํ กาเรสิฯ กทาจิ มคธราชา องฺครฎฺฐํ คณฺหาติ, กทาจิ องฺคราชา มคธรฎฺฐํฯ อเถกทิวสํ มคธราชา อเงฺคน สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา ยุทฺธปราชิโต อสฺสํ อารุยฺห ปลายโนฺต องฺครโญฺญ โยเธหิ อนุพโทฺธ ปุณฺณํ จมฺปานทิํ ปตฺวา ‘‘ปรหเตฺถ มรณโต นทิํ ปวิสิตฺวา มตํ เสโยฺย’’ติ อเสฺสเนว สทฺธิํ นทิํ โอตริฯ ตทา จเมฺปโยฺย นาคราชา อโนฺตทเก รตนมณฺฑปํ นิมฺมินิตฺวา มหาปริวาโร มหาปานํ ปิวติฯ อโสฺส รญฺญา สทฺธิํ อุทเก นิมุชฺชิตฺวา นาครโญฺญ ปุรโต โอตริฯ นาคราชา อลงฺกตปฎิยตฺตํ ราชานํ ทิสฺวา สิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา อาสนา อุฎฺฐาย ‘‘มา ภายิ, มหาราชา’’ติ ราชานํ อตฺตโน ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา อุทเก นิมุคฺคการณํ ปุจฺฉิฯ ราชา ยถาภูตํ กเถสิฯ อถ นํ ‘‘มา ภายิ, มหาราช, อหํ ตํ ทฺวินฺนํ รฎฺฐานํ สามิกํ กริสฺสามี’’ติ อสฺสาเสตฺวา สตฺตาหํ มหนฺตํ ยสํ อนุภวิตฺวา สตฺตเม ทิวเส มคธราเชน สทฺธิํ นาคภวนา นิกฺขมิฯ มคธราชา นาคราชสฺสานุภาเวน องฺคราชานํ คเหตฺวา ชีวิตา โวโรเปตฺวา ทฺวีสุ รเฎฺฐสุ รชฺชํ กาเรสิฯ ตโต ปฎฺฐาย รโญฺญ จ นาคราชสฺส จ วิสฺสาโส ถิโร อโหสิฯ ราชา อนุสํวจฺฉรํ จมฺปานทีตีเร รตนมณฺฑปํ กาเรตฺวา มหเนฺตน ปริจฺจาเคน นาครโญฺญ พลิกมฺมํ กโรติฯ โสปิ มหเนฺตน ปริวาเรน นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา พลิกมฺมํ สมฺปฎิจฺฉติฯ มหาชโน นาครโญฺญ สมฺปตฺติํ โอโลเกติฯ
Atīte aṅgaraṭṭhe aṅge ca magadharaṭṭhe magadhe ca rajjaṃ kārente aṅgamagadharaṭṭhānaṃ antare campā nāma nadī, tattha nāgabhavanaṃ ahosi. Campeyyo nāma nāgarājā rajjaṃ kāresi. Kadāci magadharājā aṅgaraṭṭhaṃ gaṇhāti, kadāci aṅgarājā magadharaṭṭhaṃ. Athekadivasaṃ magadharājā aṅgena saddhiṃ yujjhitvā yuddhaparājito assaṃ āruyha palāyanto aṅgarañño yodhehi anubaddho puṇṇaṃ campānadiṃ patvā ‘‘parahatthe maraṇato nadiṃ pavisitvā mataṃ seyyo’’ti asseneva saddhiṃ nadiṃ otari. Tadā campeyyo nāgarājā antodake ratanamaṇḍapaṃ nimminitvā mahāparivāro mahāpānaṃ pivati. Asso raññā saddhiṃ udake nimujjitvā nāgarañño purato otari. Nāgarājā alaṅkatapaṭiyattaṃ rājānaṃ disvā sinehaṃ uppādetvā āsanā uṭṭhāya ‘‘mā bhāyi, mahārājā’’ti rājānaṃ attano pallaṅke nisīdāpetvā udake nimuggakāraṇaṃ pucchi. Rājā yathābhūtaṃ kathesi. Atha naṃ ‘‘mā bhāyi, mahārāja, ahaṃ taṃ dvinnaṃ raṭṭhānaṃ sāmikaṃ karissāmī’’ti assāsetvā sattāhaṃ mahantaṃ yasaṃ anubhavitvā sattame divase magadharājena saddhiṃ nāgabhavanā nikkhami. Magadharājā nāgarājassānubhāvena aṅgarājānaṃ gahetvā jīvitā voropetvā dvīsu raṭṭhesu rajjaṃ kāresi. Tato paṭṭhāya rañño ca nāgarājassa ca vissāso thiro ahosi. Rājā anusaṃvaccharaṃ campānadītīre ratanamaṇḍapaṃ kāretvā mahantena pariccāgena nāgarañño balikammaṃ karoti. Sopi mahantena parivārena nāgabhavanā nikkhamitvā balikammaṃ sampaṭicchati. Mahājano nāgarañño sampattiṃ oloketi.
ตทา โพธิสโตฺต ทลิทฺทกุเล นิพฺพโตฺต ราชปริสาย สทฺธิํ นทีตีรํ คนฺตฺวา ตํ นาคราชสฺส สมฺปตฺติํ ทิสฺวา โลภํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ ปตฺถยมาโน ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา จเมฺปยฺยนาคราชสฺส กาลกิริยโต สตฺตเม ทิวเส จวิตฺวา ตสฺส วสนปาสาเท สิริคเพฺภ สิริสยนปิเฎฺฐ นิพฺพตฺติ ฯ สรีรํ สุมนทามวณฺณํ มหนฺตํ อโหสิฯ โส ตํ ทิสฺวา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ‘‘มยา กตกุสลนิสฺสเนฺทน ฉสุ กามสเคฺคสุ อิสฺสริยํ โกเฎฺฐ ปฎิสามิตํ ธญฺญํ วิย อโหสิฯ สฺวาหํ อิมิสฺสา ติรจฺฉานโยนิยา ปฎิสนฺธิํ คณฺหิํ, กิํ เม ชีวิเตนา’’ติ มรณาย จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ อถ นํ สุมนา นาม นาคมาณวิกา ทิสฺวา ‘‘มหานุภาโว สโตฺต นิพฺพโตฺต ภวิสฺสตี’’ติ เสสนาคมาณวิกานํ สญฺญํ อทาสิ, สพฺพา นานาตูริยหตฺถา อาคนฺตฺวา ตสฺส อุปหารํ กริํสุฯ ตสฺส ตํ นาคภวนํ สกฺกภวนํ วิย อโหสิ, มรณจิตฺตํ ปฎิปฺปสฺสมฺภิ, สปฺปสรีรํ วิชหิตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต สยนปิเฎฺฐ นิสีทิฯ อถสฺส ตโต ปฎฺฐาย ยโส มหา อโหสิฯ
Tadā bodhisatto daliddakule nibbatto rājaparisāya saddhiṃ nadītīraṃ gantvā taṃ nāgarājassa sampattiṃ disvā lobhaṃ uppādetvā taṃ patthayamāno dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā campeyyanāgarājassa kālakiriyato sattame divase cavitvā tassa vasanapāsāde sirigabbhe sirisayanapiṭṭhe nibbatti . Sarīraṃ sumanadāmavaṇṇaṃ mahantaṃ ahosi. So taṃ disvā vippaṭisārī hutvā ‘‘mayā katakusalanissandena chasu kāmasaggesu issariyaṃ koṭṭhe paṭisāmitaṃ dhaññaṃ viya ahosi. Svāhaṃ imissā tiracchānayoniyā paṭisandhiṃ gaṇhiṃ, kiṃ me jīvitenā’’ti maraṇāya cittaṃ uppādesi. Atha naṃ sumanā nāma nāgamāṇavikā disvā ‘‘mahānubhāvo satto nibbatto bhavissatī’’ti sesanāgamāṇavikānaṃ saññaṃ adāsi, sabbā nānātūriyahatthā āgantvā tassa upahāraṃ kariṃsu. Tassa taṃ nāgabhavanaṃ sakkabhavanaṃ viya ahosi, maraṇacittaṃ paṭippassambhi, sappasarīraṃ vijahitvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito sayanapiṭṭhe nisīdi. Athassa tato paṭṭhāya yaso mahā ahosi.
โส ตตฺถ นาครชฺชํ กาเรโนฺต อปรภาเค วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ‘‘กิํ เม อิมาย ติรจฺฉานโยนิยา , อุโปสถวาสํ วสิตฺวา อิโต มุจฺจิตฺวา มนุสฺสปถํ คนฺตฺวา สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌิตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ตสฺมิํเยว ปาสาเท อุโปสถกมฺมํ กโรติฯ อลงฺกตนาคมาณวิกา ตสฺส สนฺติกํ คจฺฉนฺติ, เยภุเยฺยนสฺส สีลํ ภิชฺชติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ปาสาทา นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานํ คจฺฉติฯ ตา ตตฺราปิ คจฺฉนฺติ, อุโปสโถ ภิชฺชเตวฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘มยา อิโต นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา อุโปสถวาสํ วสิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย อุโปสถทิวเสสุ นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา เอกสฺส ปจฺจนฺตคามสฺส อวิทูเร มหามคฺคสมีเป วมฺมิกมตฺถเก ‘‘มม จมฺมาทีหิ อตฺถิกา คณฺหนฺตุ, มํ กีฬาสปฺปํ วา กาตุกามา กโรนฺตู’’ติ สรีรํ ทานมุเข วิสฺสเชฺชตฺวา โภเค อาภุชิตฺวา นิปโนฺน อุโปสถวาสํ วสติฯ มหามเคฺคน คจฺฉนฺตา จ อาคจฺฉนฺตา จ ตํ ทิสฺวา คนฺธาทีหิ ปูเชตฺวา ปกฺกมนฺติฯ ปจฺจนฺตคามวาสิโน คนฺตฺวา ‘‘มหานุภาโว นาคราชา’’ติ ตสฺส อุปริ มณฺฑปํ กริตฺวา สมนฺตา วาลุกํ โอกิริตฺวา คนฺธาทีหิ ปูชยิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย มนุสฺสา มหาสเตฺต ปสีทิตฺวา ปูชํ กตฺวา ปุตฺตํ ปเตฺถนฺติ, ธีตรํ ปเตฺถนฺติฯ
So tattha nāgarajjaṃ kārento aparabhāge vippaṭisārī hutvā ‘‘kiṃ me imāya tiracchānayoniyā , uposathavāsaṃ vasitvā ito muccitvā manussapathaṃ gantvā saccāni paṭivijjhitvā dukkhassantaṃ karissāmī’’ti cintetvā tato paṭṭhāya tasmiṃyeva pāsāde uposathakammaṃ karoti. Alaṅkatanāgamāṇavikā tassa santikaṃ gacchanti, yebhuyyenassa sīlaṃ bhijjati. So tato paṭṭhāya pāsādā nikkhamitvā uyyānaṃ gacchati. Tā tatrāpi gacchanti, uposatho bhijjateva. So cintesi ‘‘mayā ito nāgabhavanā nikkhamitvā manussalokaṃ gantvā uposathavāsaṃ vasituṃ vaṭṭatī’’ti. So tato paṭṭhāya uposathadivasesu nāgabhavanā nikkhamitvā ekassa paccantagāmassa avidūre mahāmaggasamīpe vammikamatthake ‘‘mama cammādīhi atthikā gaṇhantu, maṃ kīḷāsappaṃ vā kātukāmā karontū’’ti sarīraṃ dānamukhe vissajjetvā bhoge ābhujitvā nipanno uposathavāsaṃ vasati. Mahāmaggena gacchantā ca āgacchantā ca taṃ disvā gandhādīhi pūjetvā pakkamanti. Paccantagāmavāsino gantvā ‘‘mahānubhāvo nāgarājā’’ti tassa upari maṇḍapaṃ karitvā samantā vālukaṃ okiritvā gandhādīhi pūjayiṃsu. Tato paṭṭhāya manussā mahāsatte pasīditvā pūjaṃ katvā puttaṃ patthenti, dhītaraṃ patthenti.
มหาสโตฺตปิ อุโปสถกมฺมํ กโรโนฺต จาตุทฺทสีปนฺนรสีสุ วมฺมิกมตฺถเก นิปชฺชิตฺวา ปาฎิปเท นาคภวนํ คจฺฉติฯ ตเสฺสวํ อุโปสถํ กโรนฺตสฺส อทฺธา วีติวโตฺตฯ เอกทิวสํ สุมนา อคฺคมเหสี อาห ‘‘เทว , ตฺวํ มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา อุโปสถํ อุปวสสิ, มนุสฺสโลโก จ สาสโงฺก สปฺปฎิภโย, สเจ เต ภยํ อุปฺปเชฺชยฺย, อถ มยํ เยน นิมิเตฺตน ชาเนยฺยาม, ตํ โน อาจิกฺขาหี’’ติฯ อถ นํ มหาสโตฺต มงฺคลโปกฺขรณิยา ตีรํ เนตฺวา ‘‘สเจ มํ ภเทฺท, โกจิ ปหริตฺวา กิลเมสฺสติ, อิมิสฺสา โปกฺขรณิยา อุทกํ อาวิลํ ภวิสฺสติ, สเจ สุปโณฺณ คเหสฺสติ, อุทกํ ปกฺกุถิสฺสติ, สเจ อหิตุณฺฑิโก คณฺหิสฺสติ, อุทกํ โลหิตวณฺณํ ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ เอวํ ตสฺสา ตีณิ นิมิตฺตานิ อาจิกฺขิตฺวา จาตุทฺทสีอุโปสถํ อธิฎฺฐาย นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา วมฺมิกมตฺถเก นิปชฺชิ สรีรโสภาย วมฺมิกํ โสภยมาโนฯ สรีรญฺหิสฺส รชตทามํ วิย เสตํ อโหสิ มตฺถโก รตฺตกมฺพลเคณฺฑุโก วิยฯ อิมสฺมิํ ปน ชาตเก โพธิสตฺตสฺส สรีรํ นงฺคลสีสปมาณํ อโหสิ, ภูริทตฺตชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๗๘๔ อาทโย) อูรุปฺปมาณํ, สงฺขปาลชาตเก (ชา. ๒.๑๗.๑๔๓ อาทโย) เอกโทณิกนาวปมาณํฯ
Mahāsattopi uposathakammaṃ karonto cātuddasīpannarasīsu vammikamatthake nipajjitvā pāṭipade nāgabhavanaṃ gacchati. Tassevaṃ uposathaṃ karontassa addhā vītivatto. Ekadivasaṃ sumanā aggamahesī āha ‘‘deva , tvaṃ manussalokaṃ gantvā uposathaṃ upavasasi, manussaloko ca sāsaṅko sappaṭibhayo, sace te bhayaṃ uppajjeyya, atha mayaṃ yena nimittena jāneyyāma, taṃ no ācikkhāhī’’ti. Atha naṃ mahāsatto maṅgalapokkharaṇiyā tīraṃ netvā ‘‘sace maṃ bhadde, koci paharitvā kilamessati, imissā pokkharaṇiyā udakaṃ āvilaṃ bhavissati, sace supaṇṇo gahessati, udakaṃ pakkuthissati, sace ahituṇḍiko gaṇhissati, udakaṃ lohitavaṇṇaṃ bhavissatī’’ti āha. Evaṃ tassā tīṇi nimittāni ācikkhitvā cātuddasīuposathaṃ adhiṭṭhāya nāgabhavanā nikkhamitvā tattha gantvā vammikamatthake nipajji sarīrasobhāya vammikaṃ sobhayamāno. Sarīrañhissa rajatadāmaṃ viya setaṃ ahosi matthako rattakambalageṇḍuko viya. Imasmiṃ pana jātake bodhisattassa sarīraṃ naṅgalasīsapamāṇaṃ ahosi, bhūridattajātake (jā. 2.22.784 ādayo) ūruppamāṇaṃ, saṅkhapālajātake (jā. 2.17.143 ādayo) ekadoṇikanāvapamāṇaṃ.
ตทา เอโก พาราณสิวาสี มาณโว ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก อลมฺปายนมนฺตํ อุคฺคณฺหิตฺวา เตน มเคฺคน อตฺตโน เคหํ คจฺฉโนฺต มหาสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘อิมํ สปฺปํ คเหตฺวา คามนิคมราชธานีสุ กีฬาเปโนฺต ธนํ อุปฺปาเทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทิโพฺพสธานิ คเหตฺวา ทิพฺพมนฺตํ ปริวเตฺตตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ ทิพฺพมนฺตสุตกาลโต ปฎฺฐาย มหาสตฺตสฺส กเณฺณสุ อยสลากปเวสนกาโล วิย ชาโต, มตฺถโก สิขเรน อภิมตฺถิยมาโน วิย ชาโตฯ โส ‘‘โก นุ โข เอโส’’ติ โภคนฺตรโต สีสํ อุกฺขิปิตฺวา โอโลเกโนฺต อหิตุณฺฑิกํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มม วิสํ มหนฺตํ, สจาหํ กุชฺฌิตฺวา นาสวาตํ วิสฺสเชฺชสฺสามิ, เอตสฺส สรีรํ ภสฺมมุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิริสฺสติ, อถ เม สีลํ ขณฺฑํ ภวิสฺสติ, น ทานิ ตํ โอโลเกสฺสามี’’ติฯ โส อกฺขีนิ นิมฺมีเลตฺวา สีสํ โภคนฺตเร ฐเปสิฯ
Tadā eko bārāṇasivāsī māṇavo takkasilaṃ gantvā disāpāmokkhassa ācariyassa santike alampāyanamantaṃ uggaṇhitvā tena maggena attano gehaṃ gacchanto mahāsattaṃ disvā ‘‘imaṃ sappaṃ gahetvā gāmanigamarājadhānīsu kīḷāpento dhanaṃ uppādessāmī’’ti cintetvā dibbosadhāni gahetvā dibbamantaṃ parivattetvā tassa santikaṃ agamāsi. Dibbamantasutakālato paṭṭhāya mahāsattassa kaṇṇesu ayasalākapavesanakālo viya jāto, matthako sikharena abhimatthiyamāno viya jāto. So ‘‘ko nu kho eso’’ti bhogantarato sīsaṃ ukkhipitvā olokento ahituṇḍikaṃ disvā cintesi ‘‘mama visaṃ mahantaṃ, sacāhaṃ kujjhitvā nāsavātaṃ vissajjessāmi, etassa sarīraṃ bhasmamuṭṭhi viya vippakirissati, atha me sīlaṃ khaṇḍaṃ bhavissati, na dāni taṃ olokessāmī’’ti. So akkhīni nimmīletvā sīsaṃ bhogantare ṭhapesi.
อหิตุณฺฑิโก พฺราหฺมโณ โอสธํ ขาทิตฺวา มนฺตํ ปริวเตฺตตฺวา เขฬํ มหาสตฺตสฺส สรีเร โอปิ, โอสธานญฺจ มนฺตสฺส จานุภาเวน เขเฬน ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเน โผฎานํ อุฎฺฐานกาโล วิย ชาโตฯ อถ นํ โส นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา กฑฺฒิตฺวา ทีฆโส นิปชฺชาเปตฺวา อชปเทน ทเณฺฑน อุปฺปีเฬโนฺต ทุพฺพลํ กตฺวา สีสํ ทฬฺหํ คเหตฺวา นิปฺปีฬิ, มหาสตฺตสฺส มุขํ วิวริฯ อถสฺส มุเข เขฬํ โอปิตฺวา โอสธมนฺตํ กตฺวา ทเนฺต ภินฺทิ, มุขํ โลหิตสฺส ปูริฯ มหาสโตฺต อตฺตโน สีลเภทภเยน เอวรูปํ ทุกฺขํ อธิวาเสโนฺต อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา โอโลกนมตฺตมฺปิ นากริฯ โสปิ ‘‘นาคราชานํ ทุพฺพลํ กริสฺสามี’’ติ นงฺคุฎฺฐโต ปฎฺฐายสฺส อฎฺฐีนิ จุณฺณยมาโน วิย สกลสรีรํ มทฺทิตฺวา ปฎฺฎกเวฐนํ นาม เวเฐสิ, ตนฺตมชฺชิตํ นาม มชฺชิ, นงฺคุฎฺฐํ คเหตฺวา ทุสฺสโปถิมํ นาม โปเถสิฯ มหาสตฺตสฺส สกลสรีรํ โลหิตมกฺขิตํ อโหสิฯ โส มหาเวทนํ อธิวาเสสิฯ
Ahituṇḍiko brāhmaṇo osadhaṃ khāditvā mantaṃ parivattetvā kheḷaṃ mahāsattassa sarīre opi, osadhānañca mantassa cānubhāvena kheḷena phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāne phoṭānaṃ uṭṭhānakālo viya jāto. Atha naṃ so naṅguṭṭhe gahetvā kaḍḍhitvā dīghaso nipajjāpetvā ajapadena daṇḍena uppīḷento dubbalaṃ katvā sīsaṃ daḷhaṃ gahetvā nippīḷi, mahāsattassa mukhaṃ vivari. Athassa mukhe kheḷaṃ opitvā osadhamantaṃ katvā dante bhindi, mukhaṃ lohitassa pūri. Mahāsatto attano sīlabhedabhayena evarūpaṃ dukkhaṃ adhivāsento akkhīni ummīletvā olokanamattampi nākari. Sopi ‘‘nāgarājānaṃ dubbalaṃ karissāmī’’ti naṅguṭṭhato paṭṭhāyassa aṭṭhīni cuṇṇayamāno viya sakalasarīraṃ madditvā paṭṭakaveṭhanaṃ nāma veṭhesi, tantamajjitaṃ nāma majji, naṅguṭṭhaṃ gahetvā dussapothimaṃ nāma pothesi. Mahāsattassa sakalasarīraṃ lohitamakkhitaṃ ahosi. So mahāvedanaṃ adhivāsesi.
อถสฺส ทุพฺพลภาวํ ญตฺวา วลฺลีหิ เปฬํ กริตฺวา ตตฺถ นํ ปกฺขิปิตฺวา ปจฺจนฺตคามํ เนตฺวา มหาชนมเชฺฌ กีฬาเปสิฯ นีลาทีสุ วเณฺณสุ วฎฺฎจตุรสฺสาทีสุ สณฺฐาเนสุ อณุํถูลาทีสุ ปมาเณสุ ยํ ยํ พฺราหฺมโณ อิจฺฉติ, มหาสโตฺต ตํตเทว กตฺวา นจฺจติ, ผณสตํ ผณสหสฺสมฺปิ กโรติเยวฯ มหาชโน ปสีทิตฺวา พหุํ ธนํ อทาสิฯ เอกทิวสเมว กหาปณสหสฺสเญฺจว สหสฺสคฺฆนเก จ ปริกฺขาเร ลภิฯ พฺราหฺมโณ อาทิโตว สหสฺสํ ลภิตฺวา ‘‘วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิ, ตํ ปน ธนํ ลภิตฺวา ‘‘ปจฺจนฺตคาเมเยว ตาว เม เอตฺตกํ ธนํ ลทฺธํ, ราชราชมหามจฺจานํ สนฺติเก พหุํ ธนํ ลภิสฺสามี’’ติ สกฎญฺจ สุขยานกญฺจ คเหตฺวา สกเฎ ปริกฺขาเร ฐเปตฺวา สุขยานเก นิสิโนฺน มหเนฺตน ปริวาเรน มหาสตฺตํ คามนิคมาทีสุ กีฬาเปโนฺต ‘‘พาราณสิยํ อุคฺคเสนรโญฺญ สนฺติเก กีฬาเปตฺวา วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ อคมาสิฯ โส มณฺฑูเก มาเรตฺวา นาครโญฺญ เทติฯ นาคราชา ‘‘ปุนปฺปุนํ เอส มํ นิสฺสาย มาเรสฺสตี’’ติ น ขาทติฯ อถสฺส มธุลาเช อทาสิฯ มหาสโตฺต ‘‘สจาหํ โภชนํ คณฺหิสฺสามิ, อโนฺตเปฬาย เอว มรณํ ภวิสฺสตี’’ติ เตปิ น ขาทติฯ พฺราหฺมโณ มาสมเตฺตน พาราณสิํ ปตฺวา ทฺวารคาเมสุ กีฬาเปโนฺต พหุํ ธนํ ลภิฯ
Athassa dubbalabhāvaṃ ñatvā vallīhi peḷaṃ karitvā tattha naṃ pakkhipitvā paccantagāmaṃ netvā mahājanamajjhe kīḷāpesi. Nīlādīsu vaṇṇesu vaṭṭacaturassādīsu saṇṭhānesu aṇuṃthūlādīsu pamāṇesu yaṃ yaṃ brāhmaṇo icchati, mahāsatto taṃtadeva katvā naccati, phaṇasataṃ phaṇasahassampi karotiyeva. Mahājano pasīditvā bahuṃ dhanaṃ adāsi. Ekadivasameva kahāpaṇasahassañceva sahassagghanake ca parikkhāre labhi. Brāhmaṇo āditova sahassaṃ labhitvā ‘‘vissajjessāmī’’ti cintesi, taṃ pana dhanaṃ labhitvā ‘‘paccantagāmeyeva tāva me ettakaṃ dhanaṃ laddhaṃ, rājarājamahāmaccānaṃ santike bahuṃ dhanaṃ labhissāmī’’ti sakaṭañca sukhayānakañca gahetvā sakaṭe parikkhāre ṭhapetvā sukhayānake nisinno mahantena parivārena mahāsattaṃ gāmanigamādīsu kīḷāpento ‘‘bārāṇasiyaṃ uggasenarañño santike kīḷāpetvā vissajjessāmī’’ti agamāsi. So maṇḍūke māretvā nāgarañño deti. Nāgarājā ‘‘punappunaṃ esa maṃ nissāya māressatī’’ti na khādati. Athassa madhulāje adāsi. Mahāsatto ‘‘sacāhaṃ bhojanaṃ gaṇhissāmi, antopeḷāya eva maraṇaṃ bhavissatī’’ti tepi na khādati. Brāhmaṇo māsamattena bārāṇasiṃ patvā dvāragāmesu kīḷāpento bahuṃ dhanaṃ labhi.
ราชาปิ นํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อมฺหากํ กีฬาเปหี’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ, เทว, เสฺว ปนฺนรเส ตุมฺหากํ กีฬาเปสฺสามี’’ติฯ ราชา ‘‘เสฺว นาคราชา ราชงฺคเณ นจฺจิสฺสติ, มหาชโน สนฺนิปติตฺวา ปสฺสตู’’ติ เภริํ จราเปตฺวา ปุนทิวเส ราชงฺคณํ อลงฺการาเปตฺวา พฺราหฺมณํ ปโกฺกสาเปสิฯ โส รตนเปฬาย มหาสตฺตํ เนตฺวา วิจิตฺตตฺถเร เปฬํ ฐเปตฺวา นิสีทิฯ ราชาปิ ปาสาทา โอรุยฺห มหาชนปริวุโต ราชาสเน นิสีทิฯ พฺราหฺมโณ มหาสตฺตํ นีหริตฺวา นจฺจาเปสิฯ มหาชโน สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต เจลุเกฺขปสหสฺสํ ปวเตฺตติฯ โพธิสตฺตสฺส อุปริ สตฺตรตนวสฺสํ วสฺสติฯ ตสฺส คหิตสฺส มาโส สมฺปูริฯ เอตฺตกํ กาลํ นิราหาโรว อโหสิฯ สุมนา ‘‘อติจิรายติ เม ปิยสามิโก, อิทานิสฺส อิธ อนาคจฺฉนฺตสฺส มาโส สมฺปุโณฺณ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ คนฺตฺวา โปกฺขรณิํ โอโลเกนฺตี โลหิตวณฺณํ อุทกํ ทิสฺวา ‘‘อหิตุณฺฑิเกน คหิโต ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา วมฺมิกสนฺติกํ คนฺตฺวา มหาสตฺตสฺส คหิตฎฺฐานญฺจ กิลมิตฎฺฐานญฺจ ทิสฺวา โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา ปจฺจนฺตคามํ คนฺตฺวา ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ราชงฺคเณ ปริสมเชฺฌ อากาเส โรทมานา อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺต นจฺจโนฺตว อากาสํ โอโลเกตฺวา ตํ ทิสฺวา ลชฺชิโต เปฬํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชิฯ ราชา ตสฺส เปฬํ ปวิฎฺฐกาเล ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต ตํ อากาเส ฐิตํ ทิสฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Rājāpi naṃ pakkosāpetvā ‘‘amhākaṃ kīḷāpehī’’ti āha. ‘‘Sādhu, deva, sve pannarase tumhākaṃ kīḷāpessāmī’’ti. Rājā ‘‘sve nāgarājā rājaṅgaṇe naccissati, mahājano sannipatitvā passatū’’ti bheriṃ carāpetvā punadivase rājaṅgaṇaṃ alaṅkārāpetvā brāhmaṇaṃ pakkosāpesi. So ratanapeḷāya mahāsattaṃ netvā vicittatthare peḷaṃ ṭhapetvā nisīdi. Rājāpi pāsādā oruyha mahājanaparivuto rājāsane nisīdi. Brāhmaṇo mahāsattaṃ nīharitvā naccāpesi. Mahājano sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkonto celukkhepasahassaṃ pavatteti. Bodhisattassa upari sattaratanavassaṃ vassati. Tassa gahitassa māso sampūri. Ettakaṃ kālaṃ nirāhārova ahosi. Sumanā ‘‘aticirāyati me piyasāmiko, idānissa idha anāgacchantassa māso sampuṇṇo, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti gantvā pokkharaṇiṃ olokentī lohitavaṇṇaṃ udakaṃ disvā ‘‘ahituṇḍikena gahito bhavissatī’’ti ñatvā nāgabhavanā nikkhamitvā vammikasantikaṃ gantvā mahāsattassa gahitaṭṭhānañca kilamitaṭṭhānañca disvā roditvā kanditvā paccantagāmaṃ gantvā pucchitvā taṃ pavattiṃ sutvā bārāṇasiṃ gantvā rājaṅgaṇe parisamajjhe ākāse rodamānā aṭṭhāsi. Mahāsatto naccantova ākāsaṃ oloketvā taṃ disvā lajjito peḷaṃ pavisitvā nipajji. Rājā tassa peḷaṃ paviṭṭhakāle ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti ito cito ca olokento taṃ ākāse ṭhitaṃ disvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๒๔๐.
240.
‘‘กา นุ วิชฺชุริวาภาสิ, โอสธี วิย ตารกา;
‘‘Kā nu vijjurivābhāsi, osadhī viya tārakā;
เทวตา นุสิ คนฺธพฺพี, น ตํ มญฺญามี มานุสิ’’นฺติฯ
Devatā nusi gandhabbī, na taṃ maññāmī mānusi’’nti.
ตตฺถ น ตํ มญฺญามิ มานุสินฺติ อหํ ตํ มานุสีติ น มญฺญามิ, ตยา เอกาย เทวตาย คนฺธพฺพิยา วา ภวิตุํ วฎฺฎตีติ วทติฯ
Tattha na taṃ maññāmi mānusinti ahaṃ taṃ mānusīti na maññāmi, tayā ekāya devatāya gandhabbiyā vā bhavituṃ vaṭṭatīti vadati.
อิทานิ เตสํ วจนปฎิวจนคาถา โหนฺติ –
Idāni tesaṃ vacanapaṭivacanagāthā honti –
๒๔๑.
241.
‘‘นมฺหิ เทวี น คนฺธพฺพี, น มหาราช มานุสี;
‘‘Namhi devī na gandhabbī, na mahārāja mānusī;
นาคกญฺญาสฺมิ ภทฺทเนฺต, อเตฺถนมฺหิ อิธาคตาฯ
Nāgakaññāsmi bhaddante, atthenamhi idhāgatā.
๒๔๒.
242.
‘‘วิพฺภนฺตจิตฺตา กุปิตินฺทฺริยาสิ, เนเตฺตหิ เต วาริคณา สวนฺติ;
‘‘Vibbhantacittā kupitindriyāsi, nettehi te vārigaṇā savanti;
กิํ เต นฎฺฐํ กิํ ปน ปตฺถยานา, อิธาคตา นาริ ตทิงฺฆ พฺรูหิฯ
Kiṃ te naṭṭhaṃ kiṃ pana patthayānā, idhāgatā nāri tadiṅgha brūhi.
๒๔๓.
243.
‘‘ยมุคฺคเตโช อุรโคติ จาหุ, นาโคติ นํ อาหุ ชนา ชนินฺท;
‘‘Yamuggatejo uragoti cāhu, nāgoti naṃ āhu janā janinda;
ตมคฺคหี ปุริโส ชีวิกโตฺถ, ตํ พนฺธนา มุญฺจ ปตี มเมโสฯ
Tamaggahī puriso jīvikattho, taṃ bandhanā muñca patī mameso.
๒๔๔.
244.
‘‘กถํ นฺวยํ พลวิริยูปปโนฺน, หตฺถตฺตมาคจฺฉิ วนิพฺพกสฺส;
‘‘Kathaṃ nvayaṃ balaviriyūpapanno, hatthattamāgacchi vanibbakassa;
อกฺขาหิ เม นาคกเญฺญ ตมตฺถํ, กถํ วิชาเนมุ คหีตนาคํฯ
Akkhāhi me nāgakaññe tamatthaṃ, kathaṃ vijānemu gahītanāgaṃ.
๒๔๕.
245.
‘‘นครมฺปิ นาโค ภสฺมํ กเรยฺย, ตถา หิ โส พลวิริยูปปโนฺน;
‘‘Nagarampi nāgo bhasmaṃ kareyya, tathā hi so balaviriyūpapanno;
ธมฺมญฺจ นาโค อปจายมาโน, ตสฺมา ปรกฺกมฺม ตโป กโรตี’’ติฯ
Dhammañca nāgo apacāyamāno, tasmā parakkamma tapo karotī’’ti.
ตตฺถ อเตฺถนมฺหีติ อหํ เอกํ การณํ ปฎิจฺจ อิธาคตาฯ กุปิตินฺทฺริยาติ กิลนฺตินฺทฺริยาฯ วาริคณาติ อสฺสุพินฺทุฆฎาฯ อุรโคติ จาหูติ อุรโคติ จายํ มหาชโน กเถสิฯ ตมคฺคหี ปุริโสติ อยํ ปุริโส ตํ นาคราชานํ ชีวิกตฺถาย อคฺคเหสิฯ วนิพฺพกสฺสาติ อิมสฺส วนิพฺพกสฺส กถํ นุ เอส มหานุภาโว สมาโน หตฺถตฺตํ อาคโตติ ปุจฺฉติฯ ธมฺมญฺจาติ ปญฺจสีลธมฺมํ อุโปสถวาสธมฺมญฺจ ครุํ กโรโนฺต วิหรติ, ตสฺมา อิมินา ปุริเสน คหิโตปิ ‘‘สจาหํ อิมสฺส อุปริ นาสวาตํ วิสฺสเชฺชสฺสามิ, ภสฺมมุฎฺฐิ วิย วิกิริสฺสติ, เอวํ เม สีลํ ภิชฺชิสฺสตี’’ติ สีลเภทภยา ปรกฺกมฺม ตํ ทุกฺขํ อธิวาเสตฺวา ตโป กโรติ, วีริยเมว กโรตีติ อาหฯ
Tattha atthenamhīti ahaṃ ekaṃ kāraṇaṃ paṭicca idhāgatā. Kupitindriyāti kilantindriyā. Vārigaṇāti assubindughaṭā. Uragoti cāhūti uragoti cāyaṃ mahājano kathesi. Tamaggahī purisoti ayaṃ puriso taṃ nāgarājānaṃ jīvikatthāya aggahesi. Vanibbakassāti imassa vanibbakassa kathaṃ nu esa mahānubhāvo samāno hatthattaṃ āgatoti pucchati. Dhammañcāti pañcasīladhammaṃ uposathavāsadhammañca garuṃ karonto viharati, tasmā iminā purisena gahitopi ‘‘sacāhaṃ imassa upari nāsavātaṃ vissajjessāmi, bhasmamuṭṭhi viya vikirissati, evaṃ me sīlaṃ bhijjissatī’’ti sīlabhedabhayā parakkamma taṃ dukkhaṃ adhivāsetvā tapo karoti, vīriyameva karotīti āha.
ราชา ‘‘กหํ ปเนโส อิมินา คหิโต’’ติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส สา อาจิกฺขนฺตี คาถมาห –
Rājā ‘‘kahaṃ paneso iminā gahito’’ti pucchi. Athassa sā ācikkhantī gāthamāha –
๒๔๖.
246.
‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิญฺจ ราช, จตุปฺปเถ สมฺมติ นาคราชา;
‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiñca rāja, catuppathe sammati nāgarājā;
ตมคฺคหี ปุริโส ชีวิกโตฺถ, ตํ พนฺธนา มุญฺจ ปตี มเมโส’’ติฯ
Tamaggahī puriso jīvikattho, taṃ bandhanā muñca patī mameso’’ti.
ตตฺถ จตุปฺปเถติ จตุกฺกมคฺคสฺส อาสนฺนฎฺฐาเน เอกสฺมิํ วมฺมิเก จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐหิตฺวา อุโปสถวาสํ วสโนฺต นิปชฺชตีติ อโตฺถฯ ตํ พนฺธนาติ ตํ เอวํ ธมฺมิกํ คุณวนฺตํ นาคราชานํ เอตสฺส ธนํ ทตฺวา เปฬพนฺธนา ปมุญฺจฯ
Tattha catuppatheti catukkamaggassa āsannaṭṭhāne ekasmiṃ vammike caturaṅgasamannāgataṃ adhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhahitvā uposathavāsaṃ vasanto nipajjatīti attho. Taṃ bandhanāti taṃ evaṃ dhammikaṃ guṇavantaṃ nāgarājānaṃ etassa dhanaṃ datvā peḷabandhanā pamuñca.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุนปิ ตํ ยาจนฺตี เทฺว คาถา อภาสิ –
Evañca pana vatvā punapi taṃ yācantī dve gāthā abhāsi –
๒๔๗.
247.
‘‘โสฬสิตฺถิสหสฺสานิ, อามุตฺตมณิกุณฺฑลา;
‘‘Soḷasitthisahassāni, āmuttamaṇikuṇḍalā;
วาริเคหสยา นารี, ตาปิ ตํ สรณํ คตาฯ
Vārigehasayā nārī, tāpi taṃ saraṇaṃ gatā.
๒๔๘.
248.
‘‘ธเมฺมน โมเจหิ อสาหเสน, คาเมน นิเกฺขน ควํ สเตน;
‘‘Dhammena mocehi asāhasena, gāmena nikkhena gavaṃ satena;
โอสฺสฎฺฐกาโย อุรโค จราตุ, ปุญฺญตฺถิโก มุญฺจตุ พนฺธนสฺมา’’ติฯ
Ossaṭṭhakāyo urago carātu, puññatthiko muñcatu bandhanasmā’’ti.
ตตฺถ โสฬสิตฺถิสหสฺสานีติ มา ตฺวํ เอส โย วา โส วา ทลิทฺทนาโคติ มญฺญิตฺถฯ เอตสฺส หิ เอตฺตกา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา อิตฺถิโยว, เสสา สมฺปตฺติ อปริมาณาติ ทเสฺสติฯ วาริเคหสยาติ อุทกจฺฉทนํ อุทกคพฺภํ กตฺวา ตตฺถ สยนสีลาฯ โอสฺสฎฺฐกาโยติ นิสฺสฎฺฐกาโย หุตฺวาฯ จราตูติ จรตุฯ
Tattha soḷasitthisahassānīti mā tvaṃ esa yo vā so vā daliddanāgoti maññittha. Etassa hi ettakā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā itthiyova, sesā sampatti aparimāṇāti dasseti. Vārigehasayāti udakacchadanaṃ udakagabbhaṃ katvā tattha sayanasīlā. Ossaṭṭhakāyoti nissaṭṭhakāyo hutvā. Carātūti caratu.
อถ นํ ราชา ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Atha naṃ rājā tisso gāthā abhāsi –
๒๔๙.
249.
‘‘ธเมฺมน โมเจมิ อสาหเสน, คาเมน นิเกฺขน ควํ สเตน;
‘‘Dhammena mocemi asāhasena, gāmena nikkhena gavaṃ satena;
โอสฺสฎฺฐกาโย อุรโค จราตุ, ปุญฺญตฺถิโก มุญฺจตุ พนฺธนสฺมาฯ
Ossaṭṭhakāyo urago carātu, puññatthiko muñcatu bandhanasmā.
๒๕๐.
250.
‘‘ทมฺมิ นิกฺขสตํ ลุทฺท, ถูลญฺจ มณิกุณฺฑลํ;
‘‘Dammi nikkhasataṃ ludda, thūlañca maṇikuṇḍalaṃ;
จตุสฺสทญฺจ ปลฺลงฺกํ, อุมาปุปฺผสรินฺนิภํฯ
Catussadañca pallaṅkaṃ, umāpupphasarinnibhaṃ.
๒๕๑.
251.
‘‘เทฺว จ สาทิสิโย ภริยา, อุสภญฺจ ควํ สตํ;
‘‘Dve ca sādisiyo bhariyā, usabhañca gavaṃ sataṃ;
โอสฺสฎฺฐกาโย อุรโค จราตุ, ปุญฺญตฺถิโก มุญฺจตุ พนฺธนสฺมา’’ติฯ
Ossaṭṭhakāyo urago carātu, puññatthiko muñcatu bandhanasmā’’ti.
ตตฺถ ลุทฺทาติ ราชา อุรคํ โมเจตุํ อหิตุณฺฑิกํ อามเนฺตตฺวา ตสฺส ทาตพฺพํ เทยฺยธมฺมํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ คาถา ปน เหฎฺฐา วุตฺตตฺถาเยวฯ
Tattha luddāti rājā uragaṃ mocetuṃ ahituṇḍikaṃ āmantetvā tassa dātabbaṃ deyyadhammaṃ dassento evamāha. Gāthā pana heṭṭhā vuttatthāyeva.
อถ นํ ลุโทฺท อาห –
Atha naṃ luddo āha –
๒๕๒.
252.
‘‘วินาปิ ทานา ตว วจนํ ชนินฺท, มุเญฺจมุ นํ อุรคํ พนฺธนสฺมา;
‘‘Vināpi dānā tava vacanaṃ janinda, muñcemu naṃ uragaṃ bandhanasmā;
โอสฺสฎฺฐกาโย อุรโค จราตุ, ปุญฺญตฺถิโก มุญฺจตุ พนฺธนสฺมา’’ติฯ
Ossaṭṭhakāyo urago carātu, puññatthiko muñcatu bandhanasmā’’ti.
ตตฺถ ตว วจนนฺติ มหาราช, วินาปิ ทาเนน ตว วจนเมว อมฺหากํ ครุฯ มุเญฺจมุ นนฺติ มุญฺจิสฺสามิ เอตนฺติ วทติฯ
Tattha tava vacananti mahārāja, vināpi dānena tava vacanameva amhākaṃ garu. Muñcemu nanti muñcissāmi etanti vadati.
เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาสตฺตํ เปฬโต นีหริฯ นาคราชา นิกฺขมิตฺวา ปุปฺผนฺตรํ ปวิสิตฺวา ตํ อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา มาณวกวเณฺณน อลงฺกตสรีโร หุตฺวา ปถวิํ ภินฺทโนฺต วิย นิกฺขโนฺต อฎฺฐาสิฯ สุมนา อากาสโต โอตริตฺวา ตสฺส สนฺติเก ฐิตาฯ นาคราชา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ราชานํ นมสฺสมาโน อฎฺฐาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา เทฺว คาถา อภาสิ –
Evañca pana vatvā mahāsattaṃ peḷato nīhari. Nāgarājā nikkhamitvā pupphantaraṃ pavisitvā taṃ attabhāvaṃ vijahitvā māṇavakavaṇṇena alaṅkatasarīro hutvā pathaviṃ bhindanto viya nikkhanto aṭṭhāsi. Sumanā ākāsato otaritvā tassa santike ṭhitā. Nāgarājā añjaliṃ paggayha rājānaṃ namassamāno aṭṭhāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā dve gāthā abhāsi –
๒๕๓.
253.
‘‘มุโตฺต จเมฺปยฺยโก นาโค, ราชานํ เอตทพฺรวิ;
‘‘Mutto campeyyako nāgo, rājānaṃ etadabravi;
นโม เต กาสิราชตฺถุ, นโม เต กาสิวฑฺฒน;
Namo te kāsirājatthu, namo te kāsivaḍḍhana;
อญฺชลิํ เต ปคฺคณฺหามิ, ปเสฺสยฺยํ เม นิเวสนํฯ
Añjaliṃ te paggaṇhāmi, passeyyaṃ me nivesanaṃ.
๒๕๔.
254.
‘‘อทฺธา หิ ทุพฺพิสฺสสเมตมาหุ, ยํ มานุโส วิสฺสเส อมานุสมฺหิ;
‘‘Addhā hi dubbissasametamāhu, yaṃ mānuso vissase amānusamhi;
สเจ จ มํ ยาจสิ เอตมตฺถํ, ทเกฺขมุ เต นาค นิเวสนานี’’ติฯ
Sace ca maṃ yācasi etamatthaṃ, dakkhemu te nāga nivesanānī’’ti.
ตตฺถ ปเสฺสยฺยํ เม นิเวสนนฺติ มม นิเวสนํ จเมฺปยฺยนาคภวนํ รมณียํ ปสฺสิตพฺพยุตฺตกํฯ ตํ เต อหํ ทเสฺสตุกาโม, ตํ สพลวาหโน ตฺวํ อาคนฺตฺวา ปสฺส, นรินฺทาติ วทติฯ ทุพฺพิสฺสสนฺติ ทุวิสฺสาสนียํฯ สเจ จาติ สเจ มํ ยาจสิ, ปเสฺสยฺยาม เต นิเวสนานิ, อปิ จ โข ปน ตํ น สทฺทหามีติ วทติฯ
Tattha passeyyaṃ me nivesananti mama nivesanaṃ campeyyanāgabhavanaṃ ramaṇīyaṃ passitabbayuttakaṃ. Taṃ te ahaṃ dassetukāmo, taṃ sabalavāhano tvaṃ āgantvā passa, narindāti vadati. Dubbissasanti duvissāsanīyaṃ. Sace cāti sace maṃ yācasi, passeyyāma te nivesanāni, api ca kho pana taṃ na saddahāmīti vadati.
อถ นํ สทฺทหาเปตุํ สปถํ กโรโนฺต มหาสโตฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Atha naṃ saddahāpetuṃ sapathaṃ karonto mahāsatto dve gāthā abhāsi –
๒๕๕.
255.
‘‘สเจปิ วาโต คิริมาวเหยฺย, จโนฺท จ สุริโย จ ฉมา ปเตยฺยุํ;
‘‘Sacepi vāto girimāvaheyya, cando ca suriyo ca chamā pateyyuṃ;
สพฺพา จ นโชฺช ปฎิโสตํ วเชยฺยุํ, น เตฺววหํ ราช มุสา ภเณยฺยํฯ
Sabbā ca najjo paṭisotaṃ vajeyyuṃ, na tvevahaṃ rāja musā bhaṇeyyaṃ.
๒๕๖.
256.
‘‘นภํ ผเลยฺย อุทธีปิ สุเสฺส, สํวฎฺฎเย ภูตธรา วสุนฺธรา;
‘‘Nabhaṃ phaleyya udadhīpi susse, saṃvaṭṭaye bhūtadharā vasundharā;
สิลุจฺจโย เมรุ สมูลมุปฺปเต, น เตฺววหํ ราช มุสา ภเณยฺย’’นฺติฯ
Siluccayo meru samūlamuppate, na tvevahaṃ rāja musā bhaṇeyya’’nti.
ตตฺถ สํวฎฺฎเย ภูตธรา วสุนฺธราติ อยํ ภูตธราติ จ วสุนฺธราติ จ สงฺขํ คตา มหาปถวี กิลญฺชํ วิย สํวเฎฺฎยฺยฯ สมูลมุปฺปเตติ เอวํ มหาสิเนรุปพฺพโต สมูโล อุฎฺฐาย ปุราณปณฺณํ วิย อากาเส ปกฺขเนฺทยฺยฯ
Tattha saṃvaṭṭaye bhūtadharā vasundharāti ayaṃ bhūtadharāti ca vasundharāti ca saṅkhaṃ gatā mahāpathavī kilañjaṃ viya saṃvaṭṭeyya. Samūlamuppateti evaṃ mahāsinerupabbato samūlo uṭṭhāya purāṇapaṇṇaṃ viya ākāse pakkhandeyya.
โส มหาสเตฺตน เอวํ วุเตฺตปิ อสทฺทหโนฺต –
So mahāsattena evaṃ vuttepi asaddahanto –
๒๕๗.
257.
‘‘อทฺธา หิ ทุพฺพิสฺสสเมตมาหุ, ยํ มานุโส วิสฺสเส อมานุสมฺหิ;
‘‘Addhā hi dubbissasametamāhu, yaṃ mānuso vissase amānusamhi;
สเจ จ มํ ยาจสิ เอตมตฺถํ, ทเกฺขมุ เต นาค นิเวสนานี’’ติฯ –
Sace ca maṃ yācasi etamatthaṃ, dakkhemu te nāga nivesanānī’’ti. –
ปุนปิ ตเมว คาถํ วตฺวา ‘‘ตฺวํ มยา กตคุณํ ชานิตุํ อรหสิ, สทฺทหิตุํ ปน ยุตฺตภาวํ วา อยุตฺตภาวํ วา อหํ ชานิสฺสามี’’ติ ปกาเสโนฺต อิตรํ คาถมาห –
Punapi tameva gāthaṃ vatvā ‘‘tvaṃ mayā kataguṇaṃ jānituṃ arahasi, saddahituṃ pana yuttabhāvaṃ vā ayuttabhāvaṃ vā ahaṃ jānissāmī’’ti pakāsento itaraṃ gāthamāha –
๒๕๘.
258.
‘‘ตุเมฺห โขตฺถ โฆรวิสา อุฬารา, มหาเตชา ขิปฺปโกปี จ โหถ;
‘‘Tumhe khottha ghoravisā uḷārā, mahātejā khippakopī ca hotha;
มํการณา พนฺธนสฺมา ปมุโตฺต, อรหสิ โน ชานิตุเย กตานี’’ติฯ
Maṃkāraṇā bandhanasmā pamutto, arahasi no jānituye katānī’’ti.
ตตฺถ อุฬาราติ อุฬารวิสาฯ ชานิตุเยติ ชานิตุํฯ
Tattha uḷārāti uḷāravisā. Jānituyeti jānituṃ.
อถ นํ สทฺทหาเปตุํ ปุน สปถํ กโรโนฺต มหาสโตฺต คาถมาห –
Atha naṃ saddahāpetuṃ puna sapathaṃ karonto mahāsatto gāthamāha –
๒๕๙.
259.
‘‘โส ปจฺจตํ นิรเย โฆรรูเป, มา กายิกํ สาตมลตฺถ กิญฺจิ;
‘‘So paccataṃ niraye ghorarūpe, mā kāyikaṃ sātamalattha kiñci;
เปฬาย พโทฺธ มรณํ อุเปตุ, โย ตาทิสํ กมฺมกตํ น ชาเน’’ติฯ
Peḷāya baddho maraṇaṃ upetu, yo tādisaṃ kammakataṃ na jāne’’ti.
ตตฺถ ปจฺจตนฺติ ปจฺจตุฯ กมฺมกตนฺติ กตกมฺมํ เอวํ คุณการกํ ตุมฺหาทิสํ โย น ชานาติ, โส เอวรูโป โหตูติ วทติฯ
Tattha paccatanti paccatu. Kammakatanti katakammaṃ evaṃ guṇakārakaṃ tumhādisaṃ yo na jānāti, so evarūpo hotūti vadati.
อถสฺส ราชา สทฺทหิตฺวา ถุติํ กโรโนฺต คาถมาห –
Athassa rājā saddahitvā thutiṃ karonto gāthamāha –
๒๖๐.
260.
‘‘สจฺจปฺปฎิญฺญา ตว เมส โหตุ, อโกฺกธโน โหหิ อนุปนาหี;
‘‘Saccappaṭiññā tava mesa hotu, akkodhano hohi anupanāhī;
สพฺพญฺจ เต นาคกุลํ สุปณฺณา, อคฺคิํว คิเมฺหสุ วิวชฺชยนฺตู’’ติฯ
Sabbañca te nāgakulaṃ supaṇṇā, aggiṃva gimhesu vivajjayantū’’ti.
ตตฺถ ตว เมส โหตูติ ตว เอสา ปฎิญฺญา สจฺจา โหตุฯ อคฺคิํว คิเมฺหสุ วิวชฺชยนฺตูติ ยถา มนุสฺสา คิมฺหกาเล สนฺตาปํ อนิจฺฉนฺตา ชลมานํ อคฺคิํ วิวเชฺชนฺติ, เอวํ วิวเชฺชนฺตุ ทูรโตว ปริหรนฺตุฯ
Tattha tava mesa hotūti tava esā paṭiññā saccā hotu. Aggiṃva gimhesu vivajjayantūti yathā manussā gimhakāle santāpaṃ anicchantā jalamānaṃ aggiṃ vivajjenti, evaṃ vivajjentu dūratova pariharantu.
มหาสโตฺตปิ รโญฺญ ถุติํ กโรโนฺต อิตรํ คาถมาห –
Mahāsattopi rañño thutiṃ karonto itaraṃ gāthamāha –
๒๖๑.
261.
‘‘อนุกมฺปสี นาคกุลํ ชนินฺท, มาตา ยถา สุปฺปิยํ เอกปุตฺตํ;
‘‘Anukampasī nāgakulaṃ janinda, mātā yathā suppiyaṃ ekaputtaṃ;
อหญฺจ เต นาคกุเลน สทฺธิํ, กาหามิ เวยฺยาวฎิกํ อุฬาร’’นฺติฯ
Ahañca te nāgakulena saddhiṃ, kāhāmi veyyāvaṭikaṃ uḷāra’’nti.
ตํ สุตฺวา ราชา นาคภวนํ คนฺตุกาโม เสนํ คมนสชฺชํ กาตุํ อาณาเปโนฺต คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā nāgabhavanaṃ gantukāmo senaṃ gamanasajjaṃ kātuṃ āṇāpento gāthamāha –
๒๖๒.
262.
‘‘โยเชนฺตุ เว ราชรเถ สุจิเตฺต, กโมฺพชเก อสฺสตเร สุทเนฺต;
‘‘Yojentu ve rājarathe sucitte, kambojake assatare sudante;
นาเค จ โยเชนฺตุ สุวณฺณกปฺปเน, ทเกฺขมุ นาคสฺส นิเวสนานี’’ติฯ
Nāge ca yojentu suvaṇṇakappane, dakkhemu nāgassa nivesanānī’’ti.
ตตฺถ กโมฺพชเก อสฺสตเร สุทเนฺตติ สุสิกฺขิเต กโมฺพชรฎฺฐสมฺภเว อสฺสตเร โยเชนฺตุฯ
Tattha kambojake assatare sudanteti susikkhite kambojaraṭṭhasambhave assatare yojentu.
อิตรา อภิสมฺพุทฺธคาถา –
Itarā abhisambuddhagāthā –
๒๖๓.
263.
‘‘เภรี มุทิงฺคา ปณวา จ สงฺขา, อวชฺชยิํสุ อุคฺคเสนสฺส รโญฺญ;
‘‘Bherī mudiṅgā paṇavā ca saṅkhā, avajjayiṃsu uggasenassa rañño;
ปายาสิ ราชา พหุ โสภมาโน, ปุรกฺขโต นาริคณสฺส มเชฺฌ’’ติฯ
Pāyāsi rājā bahu sobhamāno, purakkhato nārigaṇassa majjhe’’ti.
ตตฺถ พหุ โสภมาโนติ ภิกฺขเว, พาราณสิราชา โสฬสหิ นารีสหเสฺสหิ ปุรกฺขโต ปริวาริโต ตสฺส นารีคณสฺส มเชฺฌ พาราณสิโต นาคภวนํ คจฺฉโนฺต อติวิย โสภมาโน ปายาสิฯ
Tattha bahu sobhamānoti bhikkhave, bārāṇasirājā soḷasahi nārīsahassehi purakkhato parivārito tassa nārīgaṇassa majjhe bārāṇasito nāgabhavanaṃ gacchanto ativiya sobhamāno pāyāsi.
ตสฺส นครา นิกฺขนฺตกาเลเยว มหาสโตฺต อตฺตโน อานุภาเวน นาคภวนํ สพฺพรตนมยํ ปาการญฺจ ทฺวารฎฺฎาลเก จ ทิสฺสมานรูเป กตฺวา นาคภวนคามิํ มคฺคํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ มาเปสิ ฯ ราชา สปริโส เตน มเคฺคน นาคภวนํ ปวิสิตฺวา รมณียํ ภูมิภาคญฺจ ปาสาเท จ อทฺทสฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Tassa nagarā nikkhantakāleyeva mahāsatto attano ānubhāvena nāgabhavanaṃ sabbaratanamayaṃ pākārañca dvāraṭṭālake ca dissamānarūpe katvā nāgabhavanagāmiṃ maggaṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ māpesi . Rājā sapariso tena maggena nāgabhavanaṃ pavisitvā ramaṇīyaṃ bhūmibhāgañca pāsāde ca addasa. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๒๖๔.
264.
‘‘สุวณฺณจิตกํ ภูมิํ, อทฺทกฺขิ กาสิวฑฺฒโน;
‘‘Suvaṇṇacitakaṃ bhūmiṃ, addakkhi kāsivaḍḍhano;
โสวณฺณมยปาสาเท, เวฬุริยผลกตฺถเตฯ
Sovaṇṇamayapāsāde, veḷuriyaphalakatthate.
๒๖๕.
265.
‘‘ส ราชา ปาวิสิ พฺยมฺหํ, จเมฺปยฺยสฺส นิเวสนํ;
‘‘Sa rājā pāvisi byamhaṃ, campeyyassa nivesanaṃ;
อาทิจฺจวณฺณสนฺนิภํ, กํสวิชฺชุปภสฺสรํฯ
Ādiccavaṇṇasannibhaṃ, kaṃsavijjupabhassaraṃ.
๒๖๖.
266.
‘‘นานารุเกฺขหิ สญฺฉนฺนํ, นานาคนฺธสมีริตํ;
‘‘Nānārukkhehi sañchannaṃ, nānāgandhasamīritaṃ;
โส ปาเวกฺขิ กาสิราชา, จเมฺปยฺยสฺส นิเวสนํฯ
So pāvekkhi kāsirājā, campeyyassa nivesanaṃ.
๒๖๗.
267.
‘‘ปวิฎฺฐสฺมิํ กาสิรเญฺญ, จเมฺปยฺยสฺส นิเวสนํ;
‘‘Paviṭṭhasmiṃ kāsiraññe, campeyyassa nivesanaṃ;
ทิพฺพา ตูริยา ปวชฺชิํสุ, นาคกญฺญา จ นจฺจิสุํฯ
Dibbā tūriyā pavajjiṃsu, nāgakaññā ca naccisuṃ.
๒๖๘.
268.
‘‘ตํ นาคกญฺญา จริตํ คเณน, อนฺวารุหี กาสิราชา ปสโนฺน;
‘‘Taṃ nāgakaññā caritaṃ gaṇena, anvāruhī kāsirājā pasanno;
นิสีทิ โสวณฺณมยมฺหิ ปีเฐ, สาปสฺสเย จนฺทนสารลิเตฺต’’ติฯ
Nisīdi sovaṇṇamayamhi pīṭhe, sāpassaye candanasāralitte’’ti.
ตตฺถ สุวณฺณจิตกนฺติ สุวณฺณวาลุกาย สนฺถตํฯ พฺยมฺหนฺติ อลงฺกตนาคภวนํฯ จเมฺปยฺยสฺสาติ นาคภวนํ ปวิสิตฺวา จเมฺปยฺยนาคราชสฺส นิเวสนํ ปาวิสิฯ กํสวิชฺชุปภสฺสรนฺติ เมฆมุเข สญฺจรณสุวณฺณวิชฺชุ วิย โอภาสมานํฯ นานาคนฺธสมีริตนฺติ นานาวิเธหิ ทิพฺพคเนฺธหิ อนุสญฺจริตํฯ จริตํ คเณนาติ ตํ นิเวสนํ นาคกญฺญาคเณน จริตํ อนุสญฺจริตํฯ จนฺทนสารลิเตฺตติ ทิพฺพสารจนฺทเนน อนุลิเตฺตฯ
Tattha suvaṇṇacitakanti suvaṇṇavālukāya santhataṃ. Byamhanti alaṅkatanāgabhavanaṃ. Campeyyassāti nāgabhavanaṃ pavisitvā campeyyanāgarājassa nivesanaṃ pāvisi. Kaṃsavijjupabhassaranti meghamukhe sañcaraṇasuvaṇṇavijju viya obhāsamānaṃ. Nānāgandhasamīritanti nānāvidhehi dibbagandhehi anusañcaritaṃ. Caritaṃ gaṇenāti taṃ nivesanaṃ nāgakaññāgaṇena caritaṃ anusañcaritaṃ. Candanasāralitteti dibbasāracandanena anulitte.
ตตฺถ นิสินฺนมตฺตเสฺสวสฺส นานคฺครสํ ทิพฺพโภชนํ อุปนาเมสุํ, ตถา โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ เสสราชปริสาย จฯ โส สตฺตาหมตฺตํ สปริโส ทิพฺพนฺนปานาทีนิ ปริภุญฺชิตฺวา ทิเพฺพหิ กามคุเณหิ อภิรมิตฺวา สุขสยเน นิสิโนฺน มหาสตฺตสฺส ยสํ วเณฺณตฺวา ‘‘นาคราช, ตฺวํ เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ปหาย มนุสฺสโลเก วมฺมิกมตฺถเก นิปชฺชิตฺวา กสฺมา อุโปสถวาสํ วสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โสปิสฺส กเถสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Tattha nisinnamattassevassa nānaggarasaṃ dibbabhojanaṃ upanāmesuṃ, tathā soḷasannaṃ itthisahassānaṃ sesarājaparisāya ca. So sattāhamattaṃ sapariso dibbannapānādīni paribhuñjitvā dibbehi kāmaguṇehi abhiramitvā sukhasayane nisinno mahāsattassa yasaṃ vaṇṇetvā ‘‘nāgarāja, tvaṃ evarūpaṃ sampattiṃ pahāya manussaloke vammikamatthake nipajjitvā kasmā uposathavāsaṃ vasī’’ti pucchi. Sopissa kathesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๒๖๙.
269.
‘‘โส ตตฺถ ภุตฺวา จ อโถ รมิตฺวา, จเมฺปยฺยกํ กาสิราชา อโวจ;
‘‘So tattha bhutvā ca atho ramitvā, campeyyakaṃ kāsirājā avoca;
วิมานเสฎฺฐานิ อิมานิ ตุยฺหํ, อาทิจฺจวณฺณานิ ปภสฺสรานิ;
Vimānaseṭṭhāni imāni tuyhaṃ, ādiccavaṇṇāni pabhassarāni;
เนตาทิสํ อตฺถิ มนุสฺสโลเก, กิํ ปตฺถยํ นาค ตโป กโรสิฯ
Netādisaṃ atthi manussaloke, kiṃ patthayaṃ nāga tapo karosi.
๒๗๐.
270.
‘‘ตา กมฺพุกายูรธรา สุวตฺถา, วฎฺฎงฺคุลี ตมฺพตลูปปนฺนา;
‘‘Tā kambukāyūradharā suvatthā, vaṭṭaṅgulī tambatalūpapannā;
ปคฺคยฺห ปาเยนฺติ อโนมวณฺณา, เนตาทิสํ อตฺถิ มนุสฺสโลเก;
Paggayha pāyenti anomavaṇṇā, netādisaṃ atthi manussaloke;
กิํ ปตฺถยํ นาค ตโป กโรสิฯ
Kiṃ patthayaṃ nāga tapo karosi.
๒๗๑.
271.
‘‘นโชฺช จ เตมา ปุถุโลมมจฺฉา, อาฎาสกุนฺตาภิรุทา สุติตฺถา;
‘‘Najjo ca temā puthulomamacchā, āṭāsakuntābhirudā sutitthā;
เนตาทิสํ อตฺถิ มนุสฺสโลเก, กิํ ปตฺถยํ นาค ตโป กโรสิฯ
Netādisaṃ atthi manussaloke, kiṃ patthayaṃ nāga tapo karosi.
๒๗๒.
272.
‘‘โกญฺจา มยูรา ทิวิยา จ หํสา, วคฺคุสฺสรา โกกิลา สมฺปตนฺติ;
‘‘Koñcā mayūrā diviyā ca haṃsā, vaggussarā kokilā sampatanti;
เนตาทิสํ อตฺถิ มนุสฺสโลเก, กิํ ปตฺถยํ นาค ตโป กโรสิฯ
Netādisaṃ atthi manussaloke, kiṃ patthayaṃ nāga tapo karosi.
๒๗๓.
273.
‘‘อมฺพา จ สาลา ติลกา จ ชมฺพุโย, อุทฺทาลกา ปาฎลิโย จ ผุลฺลา;
‘‘Ambā ca sālā tilakā ca jambuyo, uddālakā pāṭaliyo ca phullā;
เนตาทิสํ อตฺถิ มนุสฺสโลเก, กิํ ปตฺถยํ นาค ตโป กโรสิฯ
Netādisaṃ atthi manussaloke, kiṃ patthayaṃ nāga tapo karosi.
๒๗๔.
274.
‘‘อิมา จ เต โปกฺขรโญฺญ สมนฺตโต, ทิพฺพา จ คนฺธา สตตํ ปวายนฺติ;
‘‘Imā ca te pokkharañño samantato, dibbā ca gandhā satataṃ pavāyanti;
เนตาทิสํ อตฺถิ มนุสฺสโลเก, กิํ ปตฺถยํ นาค ตโป กโรสิฯ
Netādisaṃ atthi manussaloke, kiṃ patthayaṃ nāga tapo karosi.
๒๗๕.
275.
‘‘น ปุตฺตเหตุ น ธนสฺส เหตุ, น อายุโน จาปิ ชนินฺท เหตุ;
‘‘Na puttahetu na dhanassa hetu, na āyuno cāpi janinda hetu;
มนุสฺสโยนิํ อภิปตฺถยาโน, ตสฺมา ปรกฺกมฺม ตโป กโรมี’’ติฯ
Manussayoniṃ abhipatthayāno, tasmā parakkamma tapo karomī’’ti.
ตตฺถ ตาติ โสฬสสหสฺสนาคกญฺญาโย สนฺธายาหฯ กมฺพุกายูรธราติ สุวณฺณาภรณธราฯ วฎฺฎงฺคุลีติ ปวาฬงฺกุรสทิสวฎฺฎงฺคุลีฯ ตมฺพตลูปปนฺนาติ อภิรเตฺตหิ หตฺถปาทตเลหิ สมนฺนาคตาฯ ปาเยนฺตีติ ทิพฺพปานํ อุกฺขิปิตฺวา ตํ ปาเยนฺติฯ ปุถุโลมมจฺฉาติ ปุถุลปเตฺตหิ นานามเจฺฉหิ สมนฺนาคตาฯ อาฎาสกุนฺตาภิรุทาติ อาฎาสงฺขาเตหิ สกุเณหิ อภิรุทาฯ สุติตฺถาติ สุนฺทรติตฺถาฯ ทิวิยา จ หํสาติ ทิพฺพหํสา จฯ สมฺปตนฺตีติ มนุญฺญรวํ รวนฺตา รุกฺขโต รุกฺขํ สมฺปตนฺติฯ ทิพฺพา จ คนฺธาติ ตาสุ โปกฺขรณีสุ สตตํ ทิพฺพคนฺธา วายนฺติฯ อภิปตฺถยาโนติ ปตฺถยโนฺต วิจรามิฯ ตสฺมาติ เตน การเณน ปรกฺกมฺม วีริยํ ปคฺคเหตฺวา ตโป กโรมิ, อุโปสถํ อุปวสามีติฯ
Tattha tāti soḷasasahassanāgakaññāyo sandhāyāha. Kambukāyūradharāti suvaṇṇābharaṇadharā. Vaṭṭaṅgulīti pavāḷaṅkurasadisavaṭṭaṅgulī. Tambatalūpapannāti abhirattehi hatthapādatalehi samannāgatā. Pāyentīti dibbapānaṃ ukkhipitvā taṃ pāyenti. Puthulomamacchāti puthulapattehi nānāmacchehi samannāgatā. Āṭāsakuntābhirudāti āṭāsaṅkhātehi sakuṇehi abhirudā. Sutitthāti sundaratitthā. Diviyā ca haṃsāti dibbahaṃsā ca. Sampatantīti manuññaravaṃ ravantā rukkhato rukkhaṃ sampatanti. Dibbā ca gandhāti tāsu pokkharaṇīsu satataṃ dibbagandhā vāyanti. Abhipatthayānoti patthayanto vicarāmi. Tasmāti tena kāraṇena parakkamma vīriyaṃ paggahetvā tapo karomi, uposathaṃ upavasāmīti.
เอวํ วุเตฺต ราชา อาห –
Evaṃ vutte rājā āha –
๒๗๖.
276.
‘‘ตฺวํ โลหิตโกฺข วิหตนฺตรํโส, อลงฺกโต กปฺปิตเกสมสฺสุ;
‘‘Tvaṃ lohitakkho vihatantaraṃso, alaṅkato kappitakesamassu;
สุโรสิโต โลหิตจนฺทเนน, คนฺธพฺพราชาว ทิสา ปภาสสิฯ
Surosito lohitacandanena, gandhabbarājāva disā pabhāsasi.
๒๗๗.
277.
‘‘เทวิทฺธิปโตฺตสิ มหานุภาโว, สเพฺพหิ กาเมหิ สมงฺคิภูโต;
‘‘Deviddhipattosi mahānubhāvo, sabbehi kāmehi samaṅgibhūto;
ปุจฺฉามิ ตํ นาคราเชตมตฺถํ, เสโยฺย อิโต เกน มนุสฺสโลโก’’ติฯ
Pucchāmi taṃ nāgarājetamatthaṃ, seyyo ito kena manussaloko’’ti.
ตตฺถ สุโรสิโตติ สุวิลิโตฺตฯ
Tattha surositoti suvilitto.
อถสฺส อาจิกฺขโนฺต นาคราชา อาห –
Athassa ācikkhanto nāgarājā āha –
๒๗๘.
278.
‘‘ชนินฺท นาญฺญตฺร มนุสฺสโลกา, สุทฺธีว สํวิชฺชติ สํยโม วา;
‘‘Janinda nāññatra manussalokā, suddhīva saṃvijjati saṃyamo vā;
อหญฺจ ลทฺธาน มนุสฺสโยนิํ, กาหามิ ชาติมรณสฺส อนฺต’’นฺติฯ
Ahañca laddhāna manussayoniṃ, kāhāmi jātimaraṇassa anta’’nti.
ตตฺถ สุทฺธี วาติ มหาราช, อญฺญตฺร มนุสฺสโลกา อมตมหานิพฺพานสงฺขาตา สุทฺธิ วา สีลสํยโม วา นตฺถิฯ อนฺตนฺติ มนุสฺสโยนิํ ลทฺธา ชาติมรณสฺส อนฺตํ กริสฺสามีติ ตโป กโรมีติฯ
Tattha suddhī vāti mahārāja, aññatra manussalokā amatamahānibbānasaṅkhātā suddhi vā sīlasaṃyamo vā natthi. Antanti manussayoniṃ laddhā jātimaraṇassa antaṃ karissāmīti tapo karomīti.
ตํ สุตฺวา ราชา อาห –
Taṃ sutvā rājā āha –
๒๗๙.
279.
‘‘อทฺธา หเว เสวิตพฺพา สปญฺญา, พหุสฺสุตา เย พหุฐานจินฺติโน;
‘‘Addhā have sevitabbā sapaññā, bahussutā ye bahuṭhānacintino;
นาริโย จ ทิสฺวาน ตุวญฺจ นาค, กาหามิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ
Nāriyo ca disvāna tuvañca nāga, kāhāmi puññāni anappakānī’’ti.
ตตฺถ นาริโย จาติ อิมา ตว นาคกญฺญาโย จ ตุวญฺจ ทิสฺวา พหูนิ ปุญฺญานิ กริสฺสามีติ วทติฯ
Tattha nāriyo cāti imā tava nāgakaññāyo ca tuvañca disvā bahūni puññāni karissāmīti vadati.
อถ นํ นาคราชา อาห –
Atha naṃ nāgarājā āha –
๒๘๐.
280.
‘‘อทฺธา หเว เสวิตพฺพา สปญฺญา, พหุสฺสุตา เย พหุฐานจินฺติโน;
‘‘Addhā have sevitabbā sapaññā, bahussutā ye bahuṭhānacintino;
นาริโย จ ทิสฺวาน มมญฺจ ราช, กโรหิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ
Nāriyo ca disvāna mamañca rāja, karohi puññāni anappakānī’’ti.
ตตฺถ กโรหีติ กเรยฺยาสิ, มหาราชาติฯ
Tattha karohīti kareyyāsi, mahārājāti.
เอวํ วุเตฺต อุคฺคเสโน คนฺตุกาโม หุตฺวา ‘‘นาคราช, จิรํ วสิมฺห, คมิสฺสามา’’ติ อาปุจฺฉิฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘เตน หิ มหาราช, ยาวทิจฺฉกํ ธนํ คณฺหาหี’’ติ ธนํ ทเสฺสโนฺต อาห –
Evaṃ vutte uggaseno gantukāmo hutvā ‘‘nāgarāja, ciraṃ vasimha, gamissāmā’’ti āpucchi. Atha naṃ mahāsatto ‘‘tena hi mahārāja, yāvadicchakaṃ dhanaṃ gaṇhāhī’’ti dhanaṃ dassento āha –
๒๘๑.
281.
‘‘อิทญฺจ เม ชาตรูปํ ปหูตํ, ราสี สุวณฺณสฺส จ ตาลมตฺตา;
‘‘Idañca me jātarūpaṃ pahūtaṃ, rāsī suvaṇṇassa ca tālamattā;
อิโต หริตฺวาน สุวณฺณฆรานิ, กรสฺสุ รูปิยปาการํ กโรนฺตุฯ
Ito haritvāna suvaṇṇagharāni, karassu rūpiyapākāraṃ karontu.
๒๘๒.
282.
‘‘มุตฺตา จ วาหสหสฺสานิ ปญฺจ, เวฬุริยมิสฺสานิ อิโต หริตฺวา;
‘‘Muttā ca vāhasahassāni pañca, veḷuriyamissāni ito haritvā;
อเนฺตปุเร ภูมิยํ สนฺถรนฺตุ, นิกฺกทฺทมา เหหิติ นีรชา จฯ
Antepure bhūmiyaṃ santharantu, nikkaddamā hehiti nīrajā ca.
๒๘๓.
283.
‘‘เอตาทิสํ อาวส ราชเสฎฺฐ, วิมานเสฎฺฐํ พหุ โสภมานํ;
‘‘Etādisaṃ āvasa rājaseṭṭha, vimānaseṭṭhaṃ bahu sobhamānaṃ;
พาราณสิํ นครํ อิทฺธํ ผีตํ, รชฺชญฺจ กาเรหิ อโนมปญฺญา’’ติฯ
Bārāṇasiṃ nagaraṃ iddhaṃ phītaṃ, rajjañca kārehi anomapaññā’’ti.
ตตฺถ ราสีติ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ ตาลปมาณา ราสิโยฯ สุวณฺณฆรานีติ สุวณฺณเคหานิฯ นิกฺกทฺทมาติ เอวํ เต อเนฺตปุเร ภูมิ นิกฺกทฺทมา จ นิรชา จ ภวิสฺสติฯ เอตาทิสนฺติ เอวรูปํ สุวณฺณมยํ รชตปาการํ มุตฺตาเวฬุริยสนฺถตภูมิภาคํฯ ผีตนฺติ ผีตํ พาราณสินครญฺจ อาวสฯ อโนมปญฺญาติ อลามกปญฺญาฯ
Tattha rāsīti tesu tesu ṭhānesu tālapamāṇā rāsiyo. Suvaṇṇagharānīti suvaṇṇagehāni. Nikkaddamāti evaṃ te antepure bhūmi nikkaddamā ca nirajā ca bhavissati. Etādisanti evarūpaṃ suvaṇṇamayaṃ rajatapākāraṃ muttāveḷuriyasanthatabhūmibhāgaṃ. Phītanti phītaṃ bārāṇasinagarañca āvasa. Anomapaññāti alāmakapaññā.
ราชา ตสฺส กถํ สุตฺวา อธิวาเสสิฯ อถ มหาสโตฺต นาคภวเน เภริํ จราเปสิ ‘‘สพฺพา ราชปริสา ยาวทิจฺฉกํ หิรญฺญสุวณฺณาทิกํ ธนํ คณฺหนฺตู’’ติฯ รโญฺญ จ อเนเกหิ สกฎสเตหิ ธนํ เปเสสิฯ ราชา มหเนฺตน ยเสน นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา พาราณสิเมว คโตฯ ตโต ปฎฺฐาย กิร ชมฺพุทีปตลํ สหิรญฺญํ ชาตํฯ
Rājā tassa kathaṃ sutvā adhivāsesi. Atha mahāsatto nāgabhavane bheriṃ carāpesi ‘‘sabbā rājaparisā yāvadicchakaṃ hiraññasuvaṇṇādikaṃ dhanaṃ gaṇhantū’’ti. Rañño ca anekehi sakaṭasatehi dhanaṃ pesesi. Rājā mahantena yasena nāgabhavanā nikkhamitvā bārāṇasimeva gato. Tato paṭṭhāya kira jambudīpatalaṃ sahiraññaṃ jātaṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ โปราณกปณฺฑิตา นาคสมฺปตฺติํ ปหาย อุโปสถวาสํ วสิํสู’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อหิตุณฺฑิโก เทวทโตฺต อโหสิ, สุมนา ราหุลมาตา, อุคฺคเสโน สาริปุโตฺต, จเมฺปยฺยนาคราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ porāṇakapaṇḍitā nāgasampattiṃ pahāya uposathavāsaṃ vasiṃsū’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā ahituṇḍiko devadatto ahosi, sumanā rāhulamātā, uggaseno sāriputto, campeyyanāgarājā pana ahameva ahosi’’nti.
จเมฺปยฺยชาตกวณฺณนา ทสมาฯ
Campeyyajātakavaṇṇanā dasamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๐๖. จเมฺปยฺยชาตกํ • 506. Campeyyajātakaṃ