Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๓. จเมฺปยฺยนาคจริยาวณฺณนา

    3. Campeyyanāgacariyāvaṇṇanā

    ๒๐. ตติเย จเมฺปยฺยโกติ องฺคมคธรฎฺฐานํ อนฺตเร จมฺปา นาม นที, ตสฺสา เหฎฺฐา นาคภวนมฺปิ อวิทูรภวตฺตา จมฺปา นาม, ตตฺถ ชาโต นาคราชา จเมฺปยฺยโกฯ ตทาปิ ธมฺมิโก อาสินฺติ ตสฺมิํ จเมฺปยฺยนาคราชกาเลปิ อหํ ธมฺมจารี อโหสิํฯ

    20. Tatiye campeyyakoti aṅgamagadharaṭṭhānaṃ antare campā nāma nadī, tassā heṭṭhā nāgabhavanampi avidūrabhavattā campā nāma, tattha jāto nāgarājā campeyyako. Tadāpi dhammiko āsinti tasmiṃ campeyyanāgarājakālepi ahaṃ dhammacārī ahosiṃ.

    โพธิสโตฺต หิ ตทา จมฺปานาคภวเน นิพฺพตฺติตฺวา จเมฺปโยฺย นาม นาคราชา อโหสิ, มหิทฺธิโก มหานุภาโวฯ โส ตตฺถ นาครชฺชํ กาเรโนฺต เทวราชโภคสมฺปตฺติสทิสอิสฺสริยสมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต ปารมิปูรณสฺส อโนกาสภาวโต ‘‘กิํ เม อิมาย ติรจฺฉานโยนิยา, อุโปสถวาสํ วสิตฺวา อิโต มุจฺจิตฺวา สมฺมเทว ปารมิโย ปูเรสฺสามี’’ติ ตโต ปฎฺฐาย อตฺตโน ปาสาเทเยว อุโปสถกมฺมํ กโรติฯ อลงฺกตนาคมาณวิกา ตสฺส สนฺติกํ อาคจฺฉนฺติฯ โส ‘‘อิธ เม สีลสฺส อนฺตราโย ภวิสฺสตี’’ติ ปาสาทโต นิกฺขมิตฺวา อุยฺยาเน นิสีทติฯ ตตฺราปิ ตา อาคจฺฉนฺติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิธ เม สีลสฺส สํกิเลโส ภวิสฺสติ, อิโต นาคภวนโต นิกฺขมิตฺวา มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา อุโปสถวาสํ วสิสฺสามี’’ติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย อุโปสถทิวเสสุ นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา เอกสฺส ปจฺจนฺตคามสฺส อวิทูเร มคฺคสมีเป วมฺมิกมตฺถเก ‘‘มม จมฺมาทีหิ อตฺถิกา จมฺมาทีนิ คณฺหนฺตุ, กีฬาสปฺปํ วา กาตุกามา กีฬาสปฺปํ กโรนฺตู’’ติ สรีรํ ทานมุเข วิสฺสเชฺชตฺวา โภเค อาภุชิตฺวา นิปโนฺน อุโปสถวาสํ วสติ จาตุทฺทสิยํ ปญฺจทสิยญฺจ, ปาฎิปเท นาคภวนํ คจฺฉติฯ ตเสฺสวํ อุโปสถํ กโรนฺตสฺส ทีโฆ อทฺธา วีติวโตฺตฯ

    Bodhisatto hi tadā campānāgabhavane nibbattitvā campeyyo nāma nāgarājā ahosi, mahiddhiko mahānubhāvo. So tattha nāgarajjaṃ kārento devarājabhogasampattisadisaissariyasampattiṃ anubhavanto pāramipūraṇassa anokāsabhāvato ‘‘kiṃ me imāya tiracchānayoniyā, uposathavāsaṃ vasitvā ito muccitvā sammadeva pāramiyo pūressāmī’’ti tato paṭṭhāya attano pāsādeyeva uposathakammaṃ karoti. Alaṅkatanāgamāṇavikā tassa santikaṃ āgacchanti. So ‘‘idha me sīlassa antarāyo bhavissatī’’ti pāsādato nikkhamitvā uyyāne nisīdati. Tatrāpi tā āgacchanti. So cintesi – ‘‘idha me sīlassa saṃkileso bhavissati, ito nāgabhavanato nikkhamitvā manussalokaṃ gantvā uposathavāsaṃ vasissāmī’’ti. So tato paṭṭhāya uposathadivasesu nāgabhavanā nikkhamitvā ekassa paccantagāmassa avidūre maggasamīpe vammikamatthake ‘‘mama cammādīhi atthikā cammādīni gaṇhantu, kīḷāsappaṃ vā kātukāmā kīḷāsappaṃ karontū’’ti sarīraṃ dānamukhe vissajjetvā bhoge ābhujitvā nipanno uposathavāsaṃ vasati cātuddasiyaṃ pañcadasiyañca, pāṭipade nāgabhavanaṃ gacchati. Tassevaṃ uposathaṃ karontassa dīgho addhā vītivatto.

    อถ โพธิสโตฺต สุมนาย นาม อตฺตโน อคฺคมเหสิยา ‘‘เทว, ตฺวํ มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา อุโปสถํ อุปวสสิ, โส จ สาสโงฺก สปฺปฎิภโย’’ติ วุโตฺต มงฺคลโปกฺขรณิตีเร ฐตฺวา ‘‘สเจ มํ, ภเทฺท, โกจิ ปหริตฺวา กิลเมสฺสติ, อิมิสฺสา โปกฺขรณิยา อุทกํ อาวิลํ ภวิสฺสติฯ สเจ สุปโณฺณ คณฺหิสฺสติ, อุทกํ ปกฺกุถิสฺสติฯ สเจ อหิตุณฺฑิโก คณฺหิสฺสติ, อุทกํ โลหิตวณฺณํ ภวิสฺสตี’’ติ ตีณิ นิมิตฺตานิ ตสฺสา อาจิกฺขิตฺวา จาตุทฺทสีอุโปสถํ อธิฎฺฐาย นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา วมฺมิกมตฺถเก นิปชฺชิ สรีรโสภาย วมฺมิกํ โสภยมาโนฯ สรีรญฺหิสฺส รชตทามํ วิย เสตํ อโหสิ, มตฺถโก รตฺตกมฺพลเคณฺฑุโก วิย, สรีรํ นงฺคลสีสปฺปมาณํ ภูริทตฺตกาเล (ชา. ๒.๒๒.๗๘๔ อาทโย) ปน อูรุปฺปมาณํ, สงฺขปาลกาเล (ชา. ๒.๑๗.๑๔๓ อาทโย) เอกโทณิกนาวปฺปมาณํฯ

    Atha bodhisatto sumanāya nāma attano aggamahesiyā ‘‘deva, tvaṃ manussalokaṃ gantvā uposathaṃ upavasasi, so ca sāsaṅko sappaṭibhayo’’ti vutto maṅgalapokkharaṇitīre ṭhatvā ‘‘sace maṃ, bhadde, koci paharitvā kilamessati, imissā pokkharaṇiyā udakaṃ āvilaṃ bhavissati. Sace supaṇṇo gaṇhissati, udakaṃ pakkuthissati. Sace ahituṇḍiko gaṇhissati, udakaṃ lohitavaṇṇaṃ bhavissatī’’ti tīṇi nimittāni tassā ācikkhitvā cātuddasīuposathaṃ adhiṭṭhāya nāgabhavanā nikkhamitvā tattha gantvā vammikamatthake nipajji sarīrasobhāya vammikaṃ sobhayamāno. Sarīrañhissa rajatadāmaṃ viya setaṃ ahosi, matthako rattakambalageṇḍuko viya, sarīraṃ naṅgalasīsappamāṇaṃ bhūridattakāle (jā. 2.22.784 ādayo) pana ūruppamāṇaṃ, saṅkhapālakāle (jā. 2.17.143 ādayo) ekadoṇikanāvappamāṇaṃ.

    ตทา เอโก พาราณสิมาณโว ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา อลมฺปายนมนฺตํ อุคฺคณฺหิตฺวา เตน มเคฺคน อตฺตโน คามํ คจฺฉโนฺต มหาสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ เม ตุจฺฉหเตฺถน คามํ คนฺตุํ, อิมํ นาคํ คเหตฺวา คามนิคมราชธานีสุ กีฬาเปโนฺต ธนํ อุปฺปาเทตฺวาว คมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทิโพฺพสธานิ คเหตฺวา ทิพฺพมนฺตํ ปริวเตฺตตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ ทิพฺพมนฺตํ สุตกาลโต ปฎฺฐาย มหาสตฺตสฺส กเณฺณสุ ตตฺตสลากาปเวสนกาโล วิย อโหสิ, มตฺถเก สิขเรน อภิมนฺถิยมาโน วิยฯ โส ‘‘โก นุ โข เอโส’’ติ โภคนฺตรโต สีสํ อุกฺขิปิตฺวา โอโลเกโนฺต อหิตุณฺฑิกํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มม วิสํ อุคฺคเตชํ, สจาหํ กุชฺฌิตฺวา นาสาวาตํ วิสฺสเชฺชสฺสามิ, เอตสฺส สรีรํ ภุสมุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิริสฺสติ, อถ เม สีลํ ขณฺฑํ ภวิสฺสติ, น นํ โอโลเกสฺสามี’’ติฯ โส อกฺขีนิ นิมฺมีเลตฺวา สีสํ โภคนฺตเร ฐเปสิฯ อหิตุณฺฑิกพฺราหฺมโณ โอสธํ ขาทิตฺวา มนฺตํ ปริวเตฺตตฺวา เขฬํ มหาสตฺตสฺส สรีเร โอสิญฺจิฯ โอสธานญฺจ มนฺตสฺส จ อานุภาเวน เขเฬน ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเน โผฎานํ อุฎฺฐานกาโล วิย อโหสิฯ

    Tadā eko bārāṇasimāṇavo takkasilaṃ gantvā alampāyanamantaṃ uggaṇhitvā tena maggena attano gāmaṃ gacchanto mahāsattaṃ disvā ‘‘kiṃ me tucchahatthena gāmaṃ gantuṃ, imaṃ nāgaṃ gahetvā gāmanigamarājadhānīsu kīḷāpento dhanaṃ uppādetvāva gamissāmī’’ti cintetvā dibbosadhāni gahetvā dibbamantaṃ parivattetvā tassa santikaṃ agamāsi. Dibbamantaṃ sutakālato paṭṭhāya mahāsattassa kaṇṇesu tattasalākāpavesanakālo viya ahosi, matthake sikharena abhimanthiyamāno viya. So ‘‘ko nu kho eso’’ti bhogantarato sīsaṃ ukkhipitvā olokento ahituṇḍikaṃ disvā cintesi – ‘‘mama visaṃ uggatejaṃ, sacāhaṃ kujjhitvā nāsāvātaṃ vissajjessāmi, etassa sarīraṃ bhusamuṭṭhi viya vippakirissati, atha me sīlaṃ khaṇḍaṃ bhavissati, na naṃ olokessāmī’’ti. So akkhīni nimmīletvā sīsaṃ bhogantare ṭhapesi. Ahituṇḍikabrāhmaṇo osadhaṃ khāditvā mantaṃ parivattetvā kheḷaṃ mahāsattassa sarīre osiñci. Osadhānañca mantassa ca ānubhāvena kheḷena phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāne phoṭānaṃ uṭṭhānakālo viya ahosi.

    อถ โส นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา อากฑฺฒิตฺวา ทีฆโส นิปชฺชาเปตฺวา อชปเทน ทเณฺฑน อุปฺปีเฬตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา สีสํ ทฬฺหํ คเหตฺวา นิปฺปีเฬสิฯ มหาสโตฺต มุขํ วิวริฯ อถสฺส มุเข เขฬํ โอสิญฺจิตฺวา โอสธมนฺตพเลน ทเนฺต ภินฺทิฯ มุขํ โลหิตสฺส ปูริฯ มหาสโตฺต อตฺตโน สีลเภทภเยน เอวรูปํ ทุกฺขํ อธิวาเสโนฺต อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา โอโลกนมตฺตมฺปิ นากาสิฯ โสปิ ‘‘นาคราชานํ ทุพฺพลํ กริสฺสามี’’ติ นงฺคุฎฺฐโต ปฎฺฐาย อฎฺฐีนิ สํจุณฺณยมาโน วิย สกลสรีรํ มทฺทิตฺวา ปฎฺฎกเวฐนํ นาม เวเฐสิ, ตนฺตมชฺชิตํ นาม มชฺชิ, นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา ทุสฺสโปถนํ นาม โปเถสิฯ มหาสตฺตสฺส สกลสรีรํ โลหิตมกฺขิตํ อโหสิ, โส มหาเวทนํ อธิวาเสสิฯ

    Atha so naṅguṭṭhe gahetvā ākaḍḍhitvā dīghaso nipajjāpetvā ajapadena daṇḍena uppīḷetvā dubbalaṃ katvā sīsaṃ daḷhaṃ gahetvā nippīḷesi. Mahāsatto mukhaṃ vivari. Athassa mukhe kheḷaṃ osiñcitvā osadhamantabalena dante bhindi. Mukhaṃ lohitassa pūri. Mahāsatto attano sīlabhedabhayena evarūpaṃ dukkhaṃ adhivāsento akkhīni ummīletvā olokanamattampi nākāsi. Sopi ‘‘nāgarājānaṃ dubbalaṃ karissāmī’’ti naṅguṭṭhato paṭṭhāya aṭṭhīni saṃcuṇṇayamāno viya sakalasarīraṃ madditvā paṭṭakaveṭhanaṃ nāma veṭhesi, tantamajjitaṃ nāma majji, naṅguṭṭhe gahetvā dussapothanaṃ nāma pothesi. Mahāsattassa sakalasarīraṃ lohitamakkhitaṃ ahosi, so mahāvedanaṃ adhivāsesi.

    อถสฺส ทุพฺพลภาวํ ญตฺวา วลฺลีหิ เปฬํ กริตฺวา ตตฺถ นํ ปกฺขิปิตฺวา ปจฺจนฺตคามํ เนตฺวา มหาชนสฺส มเชฺฌ กีฬาเปสิฯ นีลาทีสุ วเณฺณสุ วฎฺฎจตุรสฺสาทีสุ สณฺฐาเนสุ อณุํถูลาทีสุ ปมาเณสุ ยํ ยํ พฺราหฺมโณ อิจฺฉติ, มหาสโตฺต ตํ ตเทว กตฺวา นจฺจติ, ผณสตมฺปิ ผณสหสฺสมฺปิ กโรติเยวฯ มหาชโน ปสีทิตฺวา พหุธนมทาสิฯ เอกทิวสเมว กหาปณสหสฺสเญฺจว สหสฺสคฺฆนิเก จ ปริกฺขาเร ลภิฯ พฺราหฺมโณ อาทิโตว ‘‘สหสฺสํ ลภิตฺวา วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตํ ปน ธนํ ลภิตฺวา ‘‘ปจฺจนฺตคาเมเยว ตาว เม เอตฺตกํ ธนํ ลทฺธํ, ราชราชมหามตฺตานํ ทสฺสิเต กีว พหุํ ธนํ ลภิสฺสามี’’ติ สกฎญฺจ สุขยานกญฺจ คเหตฺวา สกเฎ ปริกฺขาเร ฐเปตฺวา สุขยานเก นิสิโนฺน ‘‘มหเนฺตน ปริวาเรน มหาสตฺตํ คามนิคมราชธานีสุ กีฬาเปโนฺต พาราณสิยํ อุคฺคเสนรโญฺญ สนฺติเก กีฬาเปตฺวา วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ อคมาสิฯ โส มณฺฑูเก มาเรตฺวา นาครโญฺญ เทติฯ นาคราชา ‘‘ปุนปฺปุนํ มํ นิสฺสาย มาเรสฺสตี’’ติ น ขาทติฯ อถสฺส มธุลาเช อทาสิฯ เตปิ ‘‘สจาหํ โคจรํ คณฺหิสฺสามิ, อโนฺตเปฬายเมว มรณํ ภวิสฺสตี’’ติ น ขาทติฯ

    Athassa dubbalabhāvaṃ ñatvā vallīhi peḷaṃ karitvā tattha naṃ pakkhipitvā paccantagāmaṃ netvā mahājanassa majjhe kīḷāpesi. Nīlādīsu vaṇṇesu vaṭṭacaturassādīsu saṇṭhānesu aṇuṃthūlādīsu pamāṇesu yaṃ yaṃ brāhmaṇo icchati, mahāsatto taṃ tadeva katvā naccati, phaṇasatampi phaṇasahassampi karotiyeva. Mahājano pasīditvā bahudhanamadāsi. Ekadivasameva kahāpaṇasahassañceva sahassagghanike ca parikkhāre labhi. Brāhmaṇo āditova ‘‘sahassaṃ labhitvā vissajjessāmī’’ti cintesi. Taṃ pana dhanaṃ labhitvā ‘‘paccantagāmeyeva tāva me ettakaṃ dhanaṃ laddhaṃ, rājarājamahāmattānaṃ dassite kīva bahuṃ dhanaṃ labhissāmī’’ti sakaṭañca sukhayānakañca gahetvā sakaṭe parikkhāre ṭhapetvā sukhayānake nisinno ‘‘mahantena parivārena mahāsattaṃ gāmanigamarājadhānīsu kīḷāpento bārāṇasiyaṃ uggasenarañño santike kīḷāpetvā vissajjessāmī’’ti agamāsi. So maṇḍūke māretvā nāgarañño deti. Nāgarājā ‘‘punappunaṃ maṃ nissāya māressatī’’ti na khādati. Athassa madhulāje adāsi. Tepi ‘‘sacāhaṃ gocaraṃ gaṇhissāmi, antopeḷāyameva maraṇaṃ bhavissatī’’ti na khādati.

    ๒๑. พฺราหฺมโณ มาสมเตฺตน พาราณสิํ ปตฺวา ทฺวารคามเก ตํ กีฬาเปโนฺต พหุธนํ ลภิฯ ราชาปิ นํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อมฺหากมฺปิ กีฬาเปหี’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ, เทว, เสฺว ปนฺนรเส ตุมฺหากํ กีฬาเปสฺสามี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘เสฺว นาคราชา ราชงฺคเณ นจฺจิสฺสติ, มหาชโน สนฺนิปติตฺวา ปสฺสตู’’ติ เภริํ จราเปตฺวา ปุนทิวเส ราชงฺคณํ อลงฺการาเปตฺวา พฺราหฺมณํ ปโกฺกสาเปสิฯ โส รตนเปฬาย มหาสตฺตํ เนตฺวา วิจิตฺตตฺถเร เปฬํ ฐเปตฺวา นิสีทิฯ ราชาปิ ปาสาทา โอรุยฺห มหาชนปริวุโต ราชาสเน นิสีทิฯ พฺราหฺมโณ มหาสตฺตํ นีหริตฺวา นจฺจาเปสิฯ มหาสโตฺต เตน จินฺติตจินฺติตาการํ ทเสฺสสิฯ มหาชโน สกภาเวน สนฺธาเรตุํ น สโกฺกติฯ เจลุเกฺขปสหสฺสานิ ปวตฺตนฺติฯ โพธิสตฺตสฺส อุปริ รตนวสฺสํ วสฺสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตทาปิ มํ ธมฺมจาริ’’นฺติอาทิฯ

    21. Brāhmaṇo māsamattena bārāṇasiṃ patvā dvāragāmake taṃ kīḷāpento bahudhanaṃ labhi. Rājāpi naṃ pakkosāpetvā ‘‘amhākampi kīḷāpehī’’ti āha. ‘‘Sādhu, deva, sve pannarase tumhākaṃ kīḷāpessāmī’’ti āha. Rājā ‘‘sve nāgarājā rājaṅgaṇe naccissati, mahājano sannipatitvā passatū’’ti bheriṃ carāpetvā punadivase rājaṅgaṇaṃ alaṅkārāpetvā brāhmaṇaṃ pakkosāpesi. So ratanapeḷāya mahāsattaṃ netvā vicittatthare peḷaṃ ṭhapetvā nisīdi. Rājāpi pāsādā oruyha mahājanaparivuto rājāsane nisīdi. Brāhmaṇo mahāsattaṃ nīharitvā naccāpesi. Mahāsatto tena cintitacintitākāraṃ dassesi. Mahājano sakabhāvena sandhāretuṃ na sakkoti. Celukkhepasahassāni pavattanti. Bodhisattassa upari ratanavassaṃ vassi. Tena vuttaṃ ‘‘tadāpi maṃ dhammacāri’’ntiādi.

    ตตฺถ ตทาปีติ ยทาหํ จเมฺปยฺยโก นาคราชา โหมิ, ตทาปิฯ ธมฺมจารินฺติ ทสกุสลกมฺมปถธมฺมํ เอว จรติ, น อณุมตฺตมฺปิ อธมฺมนฺติ ธมฺมจารีฯ อุปวุฎฺฐอุโปสถนฺติ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตสฺส อริยุโปสถสีลสฺส รกฺขณวเสน อุปวสิตอุโปสถํฯ ราชทฺวารมฺหิ กีฬตีติ พาราณสิยํ อุคฺคเสนรโญฺญ เคหทฺวาเร กีฬาเปติฯ

    Tattha tadāpīti yadāhaṃ campeyyako nāgarājā homi, tadāpi. Dhammacārinti dasakusalakammapathadhammaṃ eva carati, na aṇumattampi adhammanti dhammacārī. Upavuṭṭhauposathanti aṭṭhaṅgasamannāgatassa ariyuposathasīlassa rakkhaṇavasena upavasitauposathaṃ. Rājadvāramhi kīḷatīti bārāṇasiyaṃ uggasenarañño gehadvāre kīḷāpeti.

    ๒๒. ยํ ยํ โส วณฺณํ จินฺตยีติ โส อหิตุณฺฑิกพฺราหฺมโณ ‘‘ยํ ยํ นีลาทิวณฺณํ โหตู’’ติ จิเนฺตสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นีลํ ว ปีตโลหิต’’นฺติฯ ตตฺถ นีลํ วาติ วา-สโทฺท อนิยมโตฺถ, คาถาสุขตฺถํ รสฺสํ กตฺวา วุโตฺต, เตน วาสเทฺทน วุตฺตาวสิฎฺฐํ โอทาตาทิวณฺณวิเสสเญฺจว วฎฺฎาทิสณฺฐานวิเสสญฺจ อณุํถูลาทิปมาณวิเสสญฺจ สงฺคณฺหาติฯ ตสฺส จิตฺตานุวตฺตโนฺตติ ตสฺส อหิตุณฺฑิกสฺส จิตฺตํ อนุวตฺตโนฺตฯ จินฺติตสนฺนิโภติ เตน จินฺติตจินฺติตากาเรน เปกฺขชนสฺส อุปฎฺฐหามีติ ทเสฺสติฯ

    22.Yaṃ yaṃ so vaṇṇaṃ cintayīti so ahituṇḍikabrāhmaṇo ‘‘yaṃ yaṃ nīlādivaṇṇaṃ hotū’’ti cintesi. Tena vuttaṃ ‘‘nīlaṃ va pītalohita’’nti. Tattha nīlaṃ vāti -saddo aniyamattho, gāthāsukhatthaṃ rassaṃ katvā vutto, tena vāsaddena vuttāvasiṭṭhaṃ odātādivaṇṇavisesañceva vaṭṭādisaṇṭhānavisesañca aṇuṃthūlādipamāṇavisesañca saṅgaṇhāti. Tassa cittānuvattantoti tassa ahituṇḍikassa cittaṃ anuvattanto. Cintitasannibhoti tena cintitacintitākārena pekkhajanassa upaṭṭhahāmīti dasseti.

    ๒๓. น เกวลญฺจ เตน จินฺติตาการทสฺสนํ เอว มยฺหํ อานุภาโวฯ อปิ จ ถลํ กเรยฺยมุทกํ, อุทกมฺปิ ถลํ กเรติ ถลํ มหาปถวิํ คเหตฺวา อุทกํ, อุทกมฺปิ คเหตฺวา ปถวิํ กาตุํ สกฺกุเณยฺยํ เอวํ มหานุภาโว จฯ ยทิหํ ตสฺส กุเปฺปยฺยนฺติ ตสฺส อหิตุณฺฑิกสฺส อหํ ยทิ กุเชฺฌยฺยํฯ ขเณน ฉาริกํ กเรติ โกธุปฺปาทกฺขเณ เอว ภสฺมํ กเรยฺยํฯ

    23. Na kevalañca tena cintitākāradassanaṃ eva mayhaṃ ānubhāvo. Api ca thalaṃ kareyyamudakaṃ, udakampi thalaṃ kareti thalaṃ mahāpathaviṃ gahetvā udakaṃ, udakampi gahetvā pathaviṃ kātuṃ sakkuṇeyyaṃ evaṃ mahānubhāvo ca. Yadihaṃ tassa kuppeyyanti tassa ahituṇḍikassa ahaṃ yadi kujjheyyaṃ. Khaṇena chārikaṃ kareti kodhuppādakkhaṇe eva bhasmaṃ kareyyaṃ.

    ๒๔. เอวํ ภควา ตทา อตฺตโน อุปฺปชฺชนกานตฺถปฎิพาหเน สมตฺถตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เยน อธิปฺปาเยน ตํ ปฎิพาหนํ น กตํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยทิ จิตฺตวสี เหสฺส’’นฺติอาทิมาหฯ

    24. Evaṃ bhagavā tadā attano uppajjanakānatthapaṭibāhane samatthataṃ dassetvā idāni yena adhippāyena taṃ paṭibāhanaṃ na kataṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘yadi cittavasī hessa’’ntiādimāha.

    ตสฺสโตฺถ – ‘‘อยํ อหิตุณฺฑิโก มํ อติวิย พาธติ, น เม อานุภาวํ ชานาติ, หนฺทสฺส เม อานุภาวํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ กุชฺฌิตฺวา โอโลกนมเตฺตนาปิ ยทิ จิตฺตวสี อภวิสฺสํ, อถ โส ภุสมุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิริสฺสติฯ อหํ ยถาสมาทินฺนโต ปริหายิสฺสามิ สีลโตฯ ตถา จ สติ สีเลน ปริหีนสฺส ขณฺฑิตสีลสฺส ยฺวายํ มยา ทีปงฺกรทสพลสฺส ปาทมูลโต ปฎฺฐาย อภิปตฺถิโต , อุตฺตมโตฺถ พุทฺธภาโว โส น สิชฺฌติ

    Tassattho – ‘‘ayaṃ ahituṇḍiko maṃ ativiya bādhati, na me ānubhāvaṃ jānāti, handassa me ānubhāvaṃ dassessāmī’’ti kujjhitvā olokanamattenāpi yadi cittavasī abhavissaṃ, atha so bhusamuṭṭhi viya vippakirissati. Ahaṃ yathāsamādinnato parihāyissāmi sīlato. Tathā ca sati sīlena parihīnassa khaṇḍitasīlassa yvāyaṃ mayā dīpaṅkaradasabalassa pādamūlato paṭṭhāya abhipatthito , uttamattho buddhabhāvo so na sijjhati.

    ๒๕. กามํ ภิชฺชตุยํ กาโยติ อยํ จาตุมหาภูติโก โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธโมฺม กาโย กิญฺจาปิ ภิชฺชตุ วินสฺสตุ, อิเธว อิมสฺมิํ เอว ฐาเน มหาวาเต ขิตฺตภุสมุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิรียตุ, เนว สีลํ ปภิเนฺทยฺยํ, วิกิรเนฺต ภุสํ วิยาติ สีลํ ปน อุตฺตมตฺถสิทฺธิยา เหตุภูตํ อิมสฺมิํ กเฬวเร ภุสมุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิรเนฺตปิ เนว ภิเนฺทยฺยํ, กายชีวิเตสุ นิรเปโกฺข หุตฺวา สีลปารมิํเยว ปูเรมีติ จิเนฺตตฺวา ตํ ตาทิสํ ทุกฺขํ ตทา อธิวาเสสินฺติ ทเสฺสติฯ

    25.Kāmaṃ bhijjatuyaṃ kāyoti ayaṃ cātumahābhūtiko odanakummāsūpacayo aniccucchādanaparimaddanabhedanaviddhaṃsanadhammo kāyo kiñcāpi bhijjatu vinassatu, idheva imasmiṃ eva ṭhāne mahāvāte khittabhusamuṭṭhi viya vippakirīyatu, neva sīlaṃ pabhindeyyaṃ, vikirante bhusaṃ viyāti sīlaṃ pana uttamatthasiddhiyā hetubhūtaṃ imasmiṃ kaḷevare bhusamuṭṭhi viya vippakirantepi neva bhindeyyaṃ, kāyajīvitesu nirapekkho hutvā sīlapāramiṃyeva pūremīti cintetvā taṃ tādisaṃ dukkhaṃ tadā adhivāsesinti dasseti.

    อถ มหาสตฺตสฺส ปน อหิตุณฺฑิกหตฺถคตสฺส มาโส ปริปูริ, เอตฺตกํ กาลํ นิราหาโรว อโหสิฯ สุมนา ‘‘อติจิรายติ เม สามิโก, โก นุ โข ปวตฺตี’’ติ โปกฺขรณิํ โอโลเกนฺตี โลหิตวณฺณํ อุทกํ ทิสฺวา ‘‘อหิตุณฺฑิเกน คหิโต ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา วมฺมิกสนฺติกํ คนฺตฺวา มหาสตฺตสฺส คหิตฎฺฐานํ กิลมิตฎฺฐานญฺจ ทิสฺวา โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา ปจฺจนฺตคามํ คนฺตฺวา ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ราชทฺวาเร อากาเส โรทมานา อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺต นจฺจโนฺตว อากาสํ อุโลฺลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา ลชฺชิโต เปฬํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชิฯ

    Atha mahāsattassa pana ahituṇḍikahatthagatassa māso paripūri, ettakaṃ kālaṃ nirāhārova ahosi. Sumanā ‘‘aticirāyati me sāmiko, ko nu kho pavattī’’ti pokkharaṇiṃ olokentī lohitavaṇṇaṃ udakaṃ disvā ‘‘ahituṇḍikena gahito bhavissatī’’ti ñatvā nāgabhavanā nikkhamitvā vammikasantikaṃ gantvā mahāsattassa gahitaṭṭhānaṃ kilamitaṭṭhānañca disvā roditvā kanditvā paccantagāmaṃ gantvā pucchitvā taṃ pavattiṃ sutvā bārāṇasiṃ gantvā rājadvāre ākāse rodamānā aṭṭhāsi. Mahāsatto naccantova ākāsaṃ ullokento taṃ disvā lajjito peḷaṃ pavisitvā nipajji.

    ราชา ตสฺส เปฬํ ปวิฎฺฐกาเล ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต ตํ อากาเส ฐิตํ ทิสฺวา ‘‘กา นุ ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ตสฺสา นาคกญฺญาภาวํ สุตฺวา ‘‘นิสฺสํสยํ โข นาคราชา อิมํ ทิสฺวา ลชฺชิโต เปฬํ ปวิโฎฺฐ, อยญฺจ ยถาทสฺสิโต อิทฺธานุภาโว นาคราชเสฺสว , น อหิตุณฺฑิกสฺสา’’ติ นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ‘‘เอวํ มหานุภาโว อยํ นาคราชา, กถํ นาม อิมสฺส หตฺถํ คโต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อยํ ธมฺมจารี สีลวา นาคราชา, จาตุทฺทสีปนฺนรสีสุ อุโปสถํ อุปวสโนฺต อตฺตโน สรีรํ ทานมุเข นิยฺยาเตตฺวา มหามคฺคสมีเป วมฺมิกมตฺถเก นิปชฺชติ, ตตฺถายเมเตน คหิโต, อิมสฺส เทวจฺฉราปฎิภาคา อเนกสหสฺสา อิตฺถิโย, เทวโลกสมฺปตฺติสทิสา นาคภวนสมฺปตฺติ, อยํ มหิทฺธิโก มหานุภาโว สกลปถวิํ ปริวเตฺตตุํ สมโตฺถ, เกวลํ ‘สีลํ เม ภิชฺชิสฺสตี’ติ เอวรูปํ วิปฺปการํ ทุกฺขญฺจ อนุโภตี’’ติ จ สุตฺวา สํเวคปฺปโตฺต ตาวเทว ตสฺส อหิตุณฺฑิกสฺส พฺราหฺมณสฺส พหุํ ธนํ มหนฺตญฺจ ยสํ อิสฺสริยญฺจ ทตฺวา – ‘‘หนฺท, โภ, อิมํ นาคราชานํ วิสฺสเชฺชหี’’ติ วิสฺสชฺชาเปสิฯ

    Rājā tassa peḷaṃ paviṭṭhakāle ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti ito cito ca olokento taṃ ākāse ṭhitaṃ disvā ‘‘kā nu tva’’nti pucchitvā tassā nāgakaññābhāvaṃ sutvā ‘‘nissaṃsayaṃ kho nāgarājā imaṃ disvā lajjito peḷaṃ paviṭṭho, ayañca yathādassito iddhānubhāvo nāgarājasseva , na ahituṇḍikassā’’ti niṭṭhaṃ gantvā ‘‘evaṃ mahānubhāvo ayaṃ nāgarājā, kathaṃ nāma imassa hatthaṃ gato’’ti pucchitvā ‘‘ayaṃ dhammacārī sīlavā nāgarājā, cātuddasīpannarasīsu uposathaṃ upavasanto attano sarīraṃ dānamukhe niyyātetvā mahāmaggasamīpe vammikamatthake nipajjati, tatthāyametena gahito, imassa devaccharāpaṭibhāgā anekasahassā itthiyo, devalokasampattisadisā nāgabhavanasampatti, ayaṃ mahiddhiko mahānubhāvo sakalapathaviṃ parivattetuṃ samattho, kevalaṃ ‘sīlaṃ me bhijjissatī’ti evarūpaṃ vippakāraṃ dukkhañca anubhotī’’ti ca sutvā saṃvegappatto tāvadeva tassa ahituṇḍikassa brāhmaṇassa bahuṃ dhanaṃ mahantañca yasaṃ issariyañca datvā – ‘‘handa, bho, imaṃ nāgarājānaṃ vissajjehī’’ti vissajjāpesi.

    มหาสโตฺต นาควณฺณํ อนฺตรธาเปตฺวา มาณวกวเณฺณน เทวกุมาโร วิย อฎฺฐาสิฯ สุมนาปิ อากาสโต โอตริตฺวา ตสฺส สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ นาคราชา รโญฺญ อญฺชลิํ กตฺวา ‘‘เอหิ, มหาราช, มยฺหํ นิเวสนํ ปสฺสิตุํ อาคจฺฉาหี’’ติ ยาจิฯ เตนาห ภควา –

    Mahāsatto nāgavaṇṇaṃ antaradhāpetvā māṇavakavaṇṇena devakumāro viya aṭṭhāsi. Sumanāpi ākāsato otaritvā tassa santike aṭṭhāsi. Nāgarājā rañño añjaliṃ katvā ‘‘ehi, mahārāja, mayhaṃ nivesanaṃ passituṃ āgacchāhī’’ti yāci. Tenāha bhagavā –

    ‘‘มุโตฺต จเมฺปยฺยโก นาโค, ราชานํ เอตทพฺรวิ;

    ‘‘Mutto campeyyako nāgo, rājānaṃ etadabravi;

    ‘นโม เต กาสิราชตฺถุ, นโม เต กาสิวฑฺฒน;

    ‘Namo te kāsirājatthu, namo te kāsivaḍḍhana;

    อญฺชลิํ เต ปคฺคณฺหามิ, ปเสฺสยฺยํ เม นิเวสน’’นฺติฯ

    Añjaliṃ te paggaṇhāmi, passeyyaṃ me nivesana’’nti.

    อถ ราชา ตสฺส นาคภวนคมนํ อนุชานิฯ มหาสโตฺต ตํ สปริสํ คเหตฺวา นาคภวนํ เนตฺวา อตฺตโน อิสฺสริยสมฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา กติปาหํ ตตฺถ วสาเปตฺวา เภริํ จราเปสิ – ‘‘สพฺพา ราชปริสา ยาวทิจฺฉกํ หิรญฺญสุวณฺณาทิกํ ธนํ คณฺหตู’’ติฯ รโญฺญ จ อเนเกหิ สกฎสเตหิ ธนํ เปเสสิฯ ‘‘มหาราช, รญฺญา นาม ทานํ ทาตพฺพํ, สีลํ รกฺขิตพฺพํ, ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺติ สพฺพตฺถ สํวิทหิตพฺพา’’ติ ทสหิ ราชธมฺมกถาหิ โอวทิตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ ราชา มหเนฺตน ยเสน นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา พาราณสิเมว คโตฯ ตโต ปฎฺฐาย กิร ชมฺพุทีปตเล หิรญฺญสุวณฺณํ ชาตํฯ มหาสโตฺต สีลานิ รกฺขิตฺวา อนฺวทฺธมาสํ อุโปสถกมฺมํ กตฺวา สปริโส สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ

    Atha rājā tassa nāgabhavanagamanaṃ anujāni. Mahāsatto taṃ saparisaṃ gahetvā nāgabhavanaṃ netvā attano issariyasampattiṃ dassetvā katipāhaṃ tattha vasāpetvā bheriṃ carāpesi – ‘‘sabbā rājaparisā yāvadicchakaṃ hiraññasuvaṇṇādikaṃ dhanaṃ gaṇhatū’’ti. Rañño ca anekehi sakaṭasatehi dhanaṃ pesesi. ‘‘Mahārāja, raññā nāma dānaṃ dātabbaṃ, sīlaṃ rakkhitabbaṃ, dhammikā rakkhāvaraṇagutti sabbattha saṃvidahitabbā’’ti dasahi rājadhammakathāhi ovaditvā vissajjesi. Rājā mahantena yasena nāgabhavanā nikkhamitvā bārāṇasimeva gato. Tato paṭṭhāya kira jambudīpatale hiraññasuvaṇṇaṃ jātaṃ. Mahāsatto sīlāni rakkhitvā anvaddhamāsaṃ uposathakammaṃ katvā sapariso saggapuraṃ pūresi.

    ตทา อหิตุณฺฑิโก เทวทโตฺต อโหสิ, สุมนา ราหุลมาตา, อุคฺคเสโน สาริปุตฺตเตฺถโร, จเมฺปยฺยโก นาคราชา โลกนาโถฯ

    Tadā ahituṇḍiko devadatto ahosi, sumanā rāhulamātā, uggaseno sāriputtatthero, campeyyako nāgarājā lokanātho.

    ตสฺส อิธาปิ ยถารหํ เสสปารมิโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ อิธ โพธิสตฺตสฺส อจฺฉริยานุภาวา เหฎฺฐา วุตฺตนยา เอวาติฯ

    Tassa idhāpi yathārahaṃ sesapāramiyo niddhāretabbā. Idha bodhisattassa acchariyānubhāvā heṭṭhā vuttanayā evāti.

    จเมฺปยฺยนาคจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Campeyyanāgacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๓. จเมฺปยฺยนาคจริยา • 3. Campeyyanāgacariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact