Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๘๕] ๒. จนฺทกินฺนรีชาตกวณฺณนา

    [485] 2. Candakinnarījātakavaṇṇanā

    อุปนียติทํ มเญฺญติ อิทํ สตฺถา กปิลวตฺถุปุรํ อุปนิสฺสาย นิโคฺรธาราเม วิหรโนฺต ราชนิเวสเน ราหุลมาตรํ อารพฺภ กเถสิฯ อิทํ ปน ชาตกํ ทูเรนิทานโต ปฎฺฐาย กเถตพฺพํฯ สา ปเนสา นิทานกถา ยาว ลฎฺฐิวเน อุรุเวลกสฺสปสีหนาทา อปณฺณกชาตเก กถิตา, ตโต ปรํ ยาว กปิลวตฺถุคมนา เวสฺสนฺตรชาตเก อาวิ ภวิสฺสติฯ สตฺถา ปน ปิตุ นิเวสเน นิสีทิตฺวา อนฺตรภตฺตสมเย มหาธมฺมปาลชาตกํ (ชา. ๑.๑๐.๙๒ อาทโย) กเถตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ‘‘ราหุลมาตุ นิเวสเน นิสีทิตฺวา ตสฺสา คุณํ วเณฺณโนฺต จนฺทกินฺนรีชาตกํ (ชา. ๑.๑๔.๑๘ อาทโย) กเถสฺสามี’’ติ ราชานํ ปตฺตํ คาหาเปตฺวา ทฺวีหิ อคฺคสาวเกหิ สทฺธิํ ราหุลมาตุ นิเวสนฎฺฐานํ ปายาสิฯ ตทา ตสฺสา สมฺมุขา จตฺตาลีสสหสฺสนาฎกิตฺถิโย วสนฺติ ตาสุ ขตฺติยกญฺญานํเยว นวุติอธิกสหสฺสํฯ สา ตถาคตสฺส อาคมนํ ญตฺวา ‘‘สพฺพา กาสาวาเนว นิวาเสนฺตู’’ติ ตาสํ อาโรจาเปสิฯ ตา ตถา กริํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ อถ ตา สพฺพาปิ เอกปฺปหาเรเนว วิรวิํสุ, มหาปริเทวสโทฺท อโหสิฯ ราหุลมาตาปิ ปริเทวิตฺวา โสกํ วิโนเทตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ราชคเตน พหุมาเนน สคารเวน นิสีทิฯ ราชา ตสฺสา คุณกถํ อารภิ, ‘‘ภเนฺต, มม สุณฺหา ‘ตุเมฺหหิ กาสาวานิ นิวตฺถานี’ติ สุตฺวา กาสาวาเนว นิวาเสสิ, ‘มาลาทีนิ ปริจฺจตฺตานี’ติ สุตฺวา มาลาทีนิ ปริจฺจชิ, ‘ภูมิยํ สยตี’ติ สุตฺวา ภูมิสยนาว ชาตา, ตุมฺหากํ ปพฺพชิตกาเล วิธวา หุตฺวา อเญฺญหิ ราชูหิ เปสิตํ ปณฺณาการํ น คณฺหิ, เอวํ ตุเมฺหสุ อสํหีรจิตฺตา เอสา’’ติ นานปฺปกาเรหิ ตสฺสา คุณกถํ กเถสิฯ สตฺถา ‘‘อนจฺฉริยํ, มหาราช, ยํ เอสา อิทานิ มม ปจฺฉิเม อตฺตภาเว มยิ สสิเนหา อสํหีรจิตฺตา อนญฺญเนยฺยา ภเวยฺยฯ เอสา ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺตาปิ มยิ อสํหีรจิตฺตา อนญฺญเนยฺยา อโหสี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Upanīyatidaṃmaññeti idaṃ satthā kapilavatthupuraṃ upanissāya nigrodhārāme viharanto rājanivesane rāhulamātaraṃ ārabbha kathesi. Idaṃ pana jātakaṃ dūrenidānato paṭṭhāya kathetabbaṃ. Sā panesā nidānakathā yāva laṭṭhivane uruvelakassapasīhanādā apaṇṇakajātake kathitā, tato paraṃ yāva kapilavatthugamanā vessantarajātake āvi bhavissati. Satthā pana pitu nivesane nisīditvā antarabhattasamaye mahādhammapālajātakaṃ (jā. 1.10.92 ādayo) kathetvā katabhattakicco ‘‘rāhulamātu nivesane nisīditvā tassā guṇaṃ vaṇṇento candakinnarījātakaṃ (jā. 1.14.18 ādayo) kathessāmī’’ti rājānaṃ pattaṃ gāhāpetvā dvīhi aggasāvakehi saddhiṃ rāhulamātu nivesanaṭṭhānaṃ pāyāsi. Tadā tassā sammukhā cattālīsasahassanāṭakitthiyo vasanti tāsu khattiyakaññānaṃyeva navutiadhikasahassaṃ. Sā tathāgatassa āgamanaṃ ñatvā ‘‘sabbā kāsāvāneva nivāsentū’’ti tāsaṃ ārocāpesi. Tā tathā kariṃsu. Satthā āgantvā paññattāsane nisīdi. Atha tā sabbāpi ekappahāreneva viraviṃsu, mahāparidevasaddo ahosi. Rāhulamātāpi paridevitvā sokaṃ vinodetvā satthāraṃ vanditvā rājagatena bahumānena sagāravena nisīdi. Rājā tassā guṇakathaṃ ārabhi, ‘‘bhante, mama suṇhā ‘tumhehi kāsāvāni nivatthānī’ti sutvā kāsāvāneva nivāsesi, ‘mālādīni pariccattānī’ti sutvā mālādīni pariccaji, ‘bhūmiyaṃ sayatī’ti sutvā bhūmisayanāva jātā, tumhākaṃ pabbajitakāle vidhavā hutvā aññehi rājūhi pesitaṃ paṇṇākāraṃ na gaṇhi, evaṃ tumhesu asaṃhīracittā esā’’ti nānappakārehi tassā guṇakathaṃ kathesi. Satthā ‘‘anacchariyaṃ, mahārāja, yaṃ esā idāni mama pacchime attabhāve mayi sasinehā asaṃhīracittā anaññaneyyā bhaveyya. Esā tiracchānayoniyaṃ nibbattāpi mayi asaṃhīracittā anaññaneyyā ahosī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต มหาสโตฺต หิมวนฺตปเทเส กินฺนรโยนิยํ นิพฺพตฺติ, จนฺทา นามสฺส ภริยาฯ เต อุโภปิ จนฺทนามเก รชตปพฺพเต วสิํสุฯ ตทา พาราณสิราชา อมจฺจานํ รชฺชํ นิยฺยาเทตฺวา เทฺว กาสายานิ นิวาเสตฺวา สนฺนทฺธปญฺจาวุโธ เอกโกว หิมวนฺตํ ปาวิสิฯ โส มิคมํสํ ขาทโนฺต เอกํ ขุทฺทกนทิํ อนุสญฺจรโนฺต อุทฺธํ อภิรุหิฯ จนฺทปพฺพตวาสิโน กินฺนรา วสฺสารตฺตสมเย อโนตริตฺวา ปพฺพเตเยว วสนฺติ, นิทาฆสมเย โอตรนฺติฯ ตทา จ โส จนฺทกินฺนโร อตฺตโน ภริยาย สทฺธิํ โอตริตฺวา เตสุ เตสุ ฐาเนสุ คเนฺธ วิลิมฺปโนฺต ปุปฺผเรณุํ ขาทโนฺต ปุปฺผปเฎ นิวาเสโนฺต ปารุปโนฺต ลตาโทลาหิ กีฬโนฺต มธุรสฺสเรน คายโนฺต ตํ ขุทฺทกนทิํ ปตฺวา เอกสฺมิํ นิวตฺตนฎฺฐาเน โอตริตฺวา อุทเก ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา อุทกกีฬํ กีฬิตฺวา ปุปฺผปเฎ นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา รชตปฎฺฎวณฺณาย วาลุกาย ปุปฺผาสนํ ปญฺญเปตฺวา เอกํ เวฬุ ทณฺฑกํ คเหตฺวา สยเน นิสีทิ ฯ ตโต จนฺทกินฺนโร เวฬุํ วาเทโนฺต มธุรสเทฺทน คายิฯ จนฺทกินฺนรี มุทุหเตฺถ นาเมตฺวา ตสฺส อวิทูเร ฐิตา นจฺจิ เจว คายิ จฯ โส ราชา เตสํ สทฺทํ สุตฺวา ปทสทฺทํ อสาเวโนฺต สณิกํ คนฺตฺวา ปฎิจฺฉเนฺน ฐตฺวา เต กินฺนเร ทิสฺวา กินฺนริยา ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ‘‘ตํ กินฺนรํ วิชฺฌิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา อิมาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสฺสามี’’ติ ฐตฺวา จนฺทกินฺนรํ วิชฺฌิฯ โส เวทนาปฺปโตฺต ปริเทวมาโน จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente mahāsatto himavantapadese kinnarayoniyaṃ nibbatti, candā nāmassa bhariyā. Te ubhopi candanāmake rajatapabbate vasiṃsu. Tadā bārāṇasirājā amaccānaṃ rajjaṃ niyyādetvā dve kāsāyāni nivāsetvā sannaddhapañcāvudho ekakova himavantaṃ pāvisi. So migamaṃsaṃ khādanto ekaṃ khuddakanadiṃ anusañcaranto uddhaṃ abhiruhi. Candapabbatavāsino kinnarā vassārattasamaye anotaritvā pabbateyeva vasanti, nidāghasamaye otaranti. Tadā ca so candakinnaro attano bhariyāya saddhiṃ otaritvā tesu tesu ṭhānesu gandhe vilimpanto pupphareṇuṃ khādanto pupphapaṭe nivāsento pārupanto latādolāhi kīḷanto madhurassarena gāyanto taṃ khuddakanadiṃ patvā ekasmiṃ nivattanaṭṭhāne otaritvā udake pupphāni vikiritvā udakakīḷaṃ kīḷitvā pupphapaṭe nivāsetvā pārupitvā rajatapaṭṭavaṇṇāya vālukāya pupphāsanaṃ paññapetvā ekaṃ veḷu daṇḍakaṃ gahetvā sayane nisīdi . Tato candakinnaro veḷuṃ vādento madhurasaddena gāyi. Candakinnarī muduhatthe nāmetvā tassa avidūre ṭhitā nacci ceva gāyi ca. So rājā tesaṃ saddaṃ sutvā padasaddaṃ asāvento saṇikaṃ gantvā paṭicchanne ṭhatvā te kinnare disvā kinnariyā paṭibaddhacitto hutvā ‘‘taṃ kinnaraṃ vijjhitvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā imāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappessāmī’’ti ṭhatvā candakinnaraṃ vijjhi. So vedanāppatto paridevamāno catasso gāthā abhāsi –

    ๑๘.

    18.

    ‘‘อุปนียติทํ มเญฺญ, จเนฺท โลหิตมทฺทเน;

    ‘‘Upanīyatidaṃ maññe, cande lohitamaddane;

    อชฺช ชหามิ ชีวิตํ, ปาณา เม จเนฺท นิรุชฺฌนฺติฯ

    Ajja jahāmi jīvitaṃ, pāṇā me cande nirujjhanti.

    ๑๙.

    19.

    ‘‘โอสีทิ เม ทุกฺขํ หทยํ, เม ฑยฺหเต นิตมฺมามิ;

    ‘‘Osīdi me dukkhaṃ hadayaṃ, me ḍayhate nitammāmi;

    ตว จนฺทิยา โสจนฺติยา, น นํ อเญฺญหิ โสเกหิฯ

    Tava candiyā socantiyā, na naṃ aññehi sokehi.

    ๒๐.

    20.

    ‘‘ติณมิว วนมิว มิลายามิ, นที อปริปุณฺณาว สุสฺสามิ;

    ‘‘Tiṇamiva vanamiva milāyāmi, nadī aparipuṇṇāva sussāmi;

    ตว จนฺทิยา โสจนฺติยา, น นํ อเญฺญหิ โสเกหิฯ

    Tava candiyā socantiyā, na naṃ aññehi sokehi.

    ๒๑.

    21.

    ‘‘วสฺสมิว สเร ปาเท, อิมานิ อสฺสูนิ วตฺตเร มยฺหํ;

    ‘‘Vassamiva sare pāde, imāni assūni vattare mayhaṃ;

    ตว จนฺทิยา โสจนฺติยา, น นํ อเญฺญหิ โสเกหี’’ติฯ

    Tava candiyā socantiyā, na naṃ aññehi sokehī’’ti.

    ตตฺถ อุปนียตีติ สนฺตติวิเจฺฉทํ อุปนียติฯ อิทนฺติ ชีวิตํฯ ปาณา เมติ ภเทฺท, จเนฺท มม ชีวิตปาณา นิรุชฺฌนฺติฯ โอสีทิ เมติ ชีวิตํ เม โอสีทติฯ นิตมฺมามีติ อติกิลมามิฯ ตว จนฺทิยาติ อิทํ มม ทุกฺขํ, น นํ อเญฺญหิ โสเกหิ, อถ โข ตว จนฺทิยา โสจนฺติยา โสกเหตุ ยสฺมา ตฺวํ มม วิโยเคน โสจิสฺสสิ, ตสฺมาติ อโตฺถฯ ติณมิว วนมิว มิลายามีติ ตตฺตปาสาเณ ขิตฺตติณมิว มูลฉินฺนวนมิว มิลายามีติ วทติฯ สเร ปาเทติ ยถา นาม ปพฺพตปาเท ปติตวสฺสํ สริตฺวา อจฺฉินฺนธารํ วตฺตติฯ

    Tattha upanīyatīti santativicchedaṃ upanīyati. Idanti jīvitaṃ. Pāṇā meti bhadde, cande mama jīvitapāṇā nirujjhanti. Osīdi meti jīvitaṃ me osīdati. Nitammāmīti atikilamāmi. Tava candiyāti idaṃ mama dukkhaṃ, na naṃ aññehi sokehi, atha kho tava candiyā socantiyā sokahetu yasmā tvaṃ mama viyogena socissasi, tasmāti attho. Tiṇamiva vanamiva milāyāmīti tattapāsāṇe khittatiṇamiva mūlachinnavanamiva milāyāmīti vadati. Sare pādeti yathā nāma pabbatapāde patitavassaṃ saritvā acchinnadhāraṃ vattati.

    มหาสโตฺต อิมาหิ จตูหิ คาถาหิ ปริเทวิตฺวา ปุปฺผสยเน นิปโนฺนว สติํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปริวตฺติฯ ราชา ปติฎฺฐิโตวฯ อิตรา มหาสเตฺต ปริเทวเนฺต อตฺตโน รติยา มตฺตา หุตฺวา ตสฺส วิทฺธภาวํ น ชานาติ, วิสญฺญํ ปน นํ ปริวตฺติตฺวา นิปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เม ปิยสามิกสฺส ทุกฺข’’นฺติ อุปธาเรนฺตี ปหารมุขโต ปคฺฆรนฺตํ โลหิตํ ทิสฺวา ปิยสามิเก อุปฺปนฺนํ พลวโสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี มหาสเทฺทน ปริเทวิฯ ราชา ‘‘กินฺนโร มโต ภวิสฺสตี’’ติ นิกฺขมิตฺวา อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ จนฺทา ตํ ทิสฺวา ‘‘อิมินา เม โจเรน ปิยสามิโก วิโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ กมฺปมานา ปลายิตฺวา ปพฺพตมตฺถเก ฐตฺวา ราชานํ ปริภาสนฺตี ปญฺจ คาถา อภาสิ –

    Mahāsatto imāhi catūhi gāthāhi paridevitvā pupphasayane nipannova satiṃ vissajjetvā parivatti. Rājā patiṭṭhitova. Itarā mahāsatte paridevante attano ratiyā mattā hutvā tassa viddhabhāvaṃ na jānāti, visaññaṃ pana naṃ parivattitvā nipannaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho me piyasāmikassa dukkha’’nti upadhārentī pahāramukhato paggharantaṃ lohitaṃ disvā piyasāmike uppannaṃ balavasokaṃ sandhāretuṃ asakkontī mahāsaddena paridevi. Rājā ‘‘kinnaro mato bhavissatī’’ti nikkhamitvā attānaṃ dassesi. Candā taṃ disvā ‘‘iminā me corena piyasāmiko viddho bhavissatī’’ti kampamānā palāyitvā pabbatamatthake ṭhatvā rājānaṃ paribhāsantī pañca gāthā abhāsi –

    ๒๒.

    22.

    ‘‘ปาโป โขสิ ราชปุตฺต, โย เม อิจฺฉิตํ ปติํ วรากิยา;

    ‘‘Pāpo khosi rājaputta, yo me icchitaṃ patiṃ varākiyā;

    วิชฺฌสิ วนมูลสฺมิํ, โสยํ วิโทฺธ ฉมา เสติฯ

    Vijjhasi vanamūlasmiṃ, soyaṃ viddho chamā seti.

    ๒๓.

    23.

    ‘‘อิมํ มยฺหํ หทยโสกํ, ปฎิมุญฺจตุ ราชปุตฺต ตว มาตา;

    ‘‘Imaṃ mayhaṃ hadayasokaṃ, paṭimuñcatu rājaputta tava mātā;

    โย มยฺหํ หทยโสโก, กิมฺปุริสํ อเวกฺขมานายฯ

    Yo mayhaṃ hadayasoko, kimpurisaṃ avekkhamānāya.

    ๒๔.

    24.

    ‘‘อิมํ มยฺหํ หทยโสกํ, ปฎิมุญฺจตุ ราชปุตฺต ตว ชายา;

    ‘‘Imaṃ mayhaṃ hadayasokaṃ, paṭimuñcatu rājaputta tava jāyā;

    โย มยฺหํ หทยโสโก, กิมฺปุริสํ อเวกฺขมานายฯ

    Yo mayhaṃ hadayasoko, kimpurisaṃ avekkhamānāya.

    ๒๕.

    25.

    ‘‘มา จ ปุตฺตํ มา จ ปติํ, อทฺทกฺขิ ราชปุตฺต ตว มาตา;

    ‘‘Mā ca puttaṃ mā ca patiṃ, addakkhi rājaputta tava mātā;

    โย กิมฺปุริสํ อวธิ, อทูสกํ มยฺห กามา หิฯ

    Yo kimpurisaṃ avadhi, adūsakaṃ mayha kāmā hi.

    ๒๖.

    26.

    ‘‘มา จ ปุตฺตํ มา จ ปติํ, อทฺทกฺขิ ราชปุตฺต ตว ชายา;

    ‘‘Mā ca puttaṃ mā ca patiṃ, addakkhi rājaputta tava jāyā;

    โย กิมฺปุริสํ อวธิ, อทูสกํ มยฺห กามา หี’’ติฯ

    Yo kimpurisaṃ avadhi, adūsakaṃ mayha kāmā hī’’ti.

    ตตฺถ วรากิยาติ กปณายฯ ปฎิมุญฺจตูติ ปฎิลภตุ ผุสตุ ปาปุณาตุฯ มยฺห กามา หีติ มยฺหํ กาเมนฯ

    Tattha varākiyāti kapaṇāya. Paṭimuñcatūti paṭilabhatu phusatu pāpuṇātu. Mayha kāmā hīti mayhaṃ kāmena.

    ราชา นํ ปญฺจหิ คาถาหิ ปริภาสิตฺวา ปพฺพตมตฺถเก ฐิตํเยว อสฺสาเสโนฺต คาถมาห –

    Rājā naṃ pañcahi gāthāhi paribhāsitvā pabbatamatthake ṭhitaṃyeva assāsento gāthamāha –

    ๒๗.

    27.

    ‘‘มา ตฺวํ จเนฺท โรทิ มา โสปิ, วนติมิรมตฺตกฺขิ;

    ‘‘Mā tvaṃ cande rodi mā sopi, vanatimiramattakkhi;

    มม ตฺวํ เหหิสิ ภริยา, ราชกุเล ปูชิตา นารีภี’’ติฯ

    Mama tvaṃ hehisi bhariyā, rājakule pūjitā nārībhī’’ti.

    ตตฺถ จเนฺทติ มหาสตฺตสฺส ปริเทวนกาเล นามสฺส สุตตฺตา เอวมาหฯ วนติมิรมตฺตกฺขีติ วนติมิรปุปฺผสมานอกฺขิฯ ปูชิตา นารีภีติ โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ เชฎฺฐิกา อคฺคมเหสี เหสฺสสิฯ

    Tattha candeti mahāsattassa paridevanakāle nāmassa sutattā evamāha. Vanatimiramattakkhīti vanatimirapupphasamānaakkhi. Pūjitā nārībhīti soḷasannaṃ itthisahassānaṃ jeṭṭhikā aggamahesī hessasi.

    จนฺทา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘ตฺวํ กิํ มํ วเทสี’’ติ สีหนาทํ นทนฺตี อนนฺตรคาถมาห –

    Candā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘tvaṃ kiṃ maṃ vadesī’’ti sīhanādaṃ nadantī anantaragāthamāha –

    ๒๘.

    28.

    ‘‘อปิ นูนหํ มริสฺสํ, นาหํ ราชปุตฺต ตว เหสฺสํ;

    ‘‘Api nūnahaṃ marissaṃ, nāhaṃ rājaputta tava hessaṃ;

    โย กิมฺปุริสํ อวธิ, อทูสกํ มยฺห กามา หี’’ติฯ

    Yo kimpurisaṃ avadhi, adūsakaṃ mayha kāmā hī’’ti.

    ตตฺถ อปิ นูนหนฺติ อปิ เอกํเสเนว อหํ มริสฺสํฯ

    Tattha api nūnahanti api ekaṃseneva ahaṃ marissaṃ.

    โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา นิจฺฉนฺทราโค หุตฺวา อิตรํ คาถมาห –

    So tassā vacanaṃ sutvā nicchandarāgo hutvā itaraṃ gāthamāha –

    ๒๙.

    29.

    ‘‘อปิ ภีรุเก อปิ ชีวิตุกามิเก, กิมฺปุริสิ คจฺฉ หิมวนฺตํ;

    ‘‘Api bhīruke api jīvitukāmike, kimpurisi gaccha himavantaṃ;

    ตาลีสตครโภชนา, อเญฺญ ตํ มิคา รมิสฺสนฺตี’’ติฯ

    Tālīsatagarabhojanā, aññe taṃ migā ramissantī’’ti.

    ตตฺถ อปิ ภีรุเกติ ภีรุชาติเกฯ ตาลีสตครโภชนาติ ตฺวํ ตาลีสปตฺตตครปตฺตโภชนา มิคี, ตสฺมา อเญฺญ ตํ มิคา รมิสฺสนฺติ, น ตฺวํ ราชกุลารหา, คจฺฉาติ นํ อวจ, วตฺวา จ ปน นิรเปโกฺข หุตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tattha api bhīruketi bhīrujātike. Tālīsatagarabhojanāti tvaṃ tālīsapattatagarapattabhojanā migī, tasmā aññe taṃ migā ramissanti, na tvaṃ rājakulārahā, gacchāti naṃ avaca, vatvā ca pana nirapekkho hutvā pakkāmi.

    สา ตสฺส คตภาวํ ญตฺวา โอรุยฺห มหาสตฺตํ อาลิงฺคิตฺวา ปพฺพตมตฺถกํ อาโรเปตฺวา ปพฺพตตเล นิปชฺชาเปตฺวา สีสมสฺส อตฺตโน อูรูสุ กตฺวา พลวปริเทวํ ปริเทวมานา ทฺวาทส คาถา อภาสิ –

    Sā tassa gatabhāvaṃ ñatvā oruyha mahāsattaṃ āliṅgitvā pabbatamatthakaṃ āropetvā pabbatatale nipajjāpetvā sīsamassa attano ūrūsu katvā balavaparidevaṃ paridevamānā dvādasa gāthā abhāsi –

    ๓๐.

    30.

    ‘‘เต ปพฺพตา ตา จ กนฺทรา, ตา จ คิริคุหาโย ตเถว ติฎฺฐนฺติ;

    ‘‘Te pabbatā tā ca kandarā, tā ca giriguhāyo tatheva tiṭṭhanti;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๑.

    31.

    ‘‘เต ปณฺณสนฺถตา รมณียา, วาฬมิเคหิ อนุจิณฺณา;

    ‘‘Te paṇṇasanthatā ramaṇīyā, vāḷamigehi anuciṇṇā;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๒.

    32.

    ‘‘เต ปุปฺผสนฺถตา รมณียา, วาฬมิเคหิ อนุจิณฺณา;

    ‘‘Te pupphasanthatā ramaṇīyā, vāḷamigehi anuciṇṇā;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๓.

    33.

    ‘‘อจฺฉา สวนฺติ คิริวนนทิโย, กุสุมาภิกิณฺณโสตาโย;

    ‘‘Acchā savanti girivananadiyo, kusumābhikiṇṇasotāyo;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๔.

    34.

    ‘‘นีลานิ หิมวโต ปพฺพตสฺส, กูฎานิ ทสฺสนียานิ;

    ‘‘Nīlāni himavato pabbatassa, kūṭāni dassanīyāni;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๕.

    35.

    ‘‘ปีตานิ หิมวโต ปพฺพตสฺส, กูฎานิ ทสฺสนียานิ;

    ‘‘Pītāni himavato pabbatassa, kūṭāni dassanīyāni;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๖.

    36.

    ‘‘ตมฺพานิ หิมวโต ปพฺพตสฺส, กูฎานิ ทสฺสนียานิ;

    ‘‘Tambāni himavato pabbatassa, kūṭāni dassanīyāni;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๗.

    37.

    ‘‘ตุงฺคานิ หิมวโต ปพฺพตสฺส, กูฎานิ ทสฺสนียานิ;

    ‘‘Tuṅgāni himavato pabbatassa, kūṭāni dassanīyāni;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๘.

    38.

    ‘‘เสตานิ หิมวโต ปพฺพตสฺส, กูฎานิ ทสฺสนียานิ;

    ‘‘Setāni himavato pabbatassa, kūṭāni dassanīyāni;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๓๙.

    39.

    ‘‘จิตฺรานิ หิมวโต ปพฺพตสฺส, กูฎานิ ทสฺสนียานิ;

    ‘‘Citrāni himavato pabbatassa, kūṭāni dassanīyāni;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๔๐.

    40.

    ‘‘ยกฺขคณเสวิเต คนฺธมาทเน, โอสเธภิ สญฺฉเนฺน;

    ‘‘Yakkhagaṇasevite gandhamādane, osadhebhi sañchanne;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺสํฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassaṃ.

    ๔๑.

    41.

    ‘‘กิมฺปุริสเสวิเต คนฺธมาทเน, โอสเธภิ สญฺฉเนฺน;

    ‘‘Kimpurisasevite gandhamādane, osadhebhi sañchanne;

    ตเตฺถว ตํ อปสฺสนฺตี, กิมฺปุริส กถํ อหํ กสฺส’’นฺติฯ

    Tattheva taṃ apassantī, kimpurisa kathaṃ ahaṃ kassa’’nti.

    ตตฺถ เต ปพฺพตาติ เยสุ มยํ เอกโตว อภิรมิมฺห, อิเม เต ปพฺพตา ตา จ กนฺทรา ตา จ คิริคุหาโย ตเถว ฐิตาฯ เตสุ อหํ อิทานิ ตํ อปสฺสนฺตี กถํ กสฺสํ, กิํ กริสฺสามิ, เตสุ ปุปฺผผลปลฺลวาทิโสภํ ตํ อปสฺสนฺตี กถํ อธิวาเสตุํ สกฺขิสฺสามีติ ปริเทวติฯ ปณฺณสนฺถตาติ ตาลีสปตฺตาทิคนฺธปณฺณสนฺถราฯ อจฺฉาติ วิปฺปสโนฺนทกาฯ นีลานีติ นีลมณิมยานิฯ ปีตานีติ โสวณฺณมยานิฯ ตมฺพานีติ มโนสิลมยานิฯ ตุงฺคานีติ อุจฺจานิ ติขิณคฺคานิฯ เสตานีติ รชตมยานิฯ จิตฺรานีติ สตฺตรตนมิสฺสกานิฯ ยกฺขคณเสวิเตติ ภุมฺมเทวตาหิ เสวิเตฯ

    Tattha te pabbatāti yesu mayaṃ ekatova abhiramimha, ime te pabbatā tā ca kandarā tā ca giriguhāyo tatheva ṭhitā. Tesu ahaṃ idāni taṃ apassantī kathaṃ kassaṃ, kiṃ karissāmi, tesu pupphaphalapallavādisobhaṃ taṃ apassantī kathaṃ adhivāsetuṃ sakkhissāmīti paridevati. Paṇṇasanthatāti tālīsapattādigandhapaṇṇasantharā. Acchāti vippasannodakā. Nīlānīti nīlamaṇimayāni. Pītānīti sovaṇṇamayāni. Tambānīti manosilamayāni. Tuṅgānīti uccāni tikhiṇaggāni. Setānīti rajatamayāni. Citrānīti sattaratanamissakāni. Yakkhagaṇaseviteti bhummadevatāhi sevite.

    อิติ สา ทฺวาทสหิ คาถาหิ ปริเทวิตฺวา มหาสตฺตสฺส อุเร หตฺถํ ฐเปตฺวา สนฺตาปภาวํ ญตฺวา ‘‘จโนฺท ชีวติเยว, เทวุชฺฌานกมฺมํ กตฺวา ชีวิตมสฺส ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘กิํ นุ โข โลกปาลา นาม นตฺถิ, อุทาหุ วิปฺปวุตฺถา, อทุ มตา , เต เม ปิยสามิกํ น รกฺขนฺตี’’ติ เทวุชฺฌานกมฺมํ อกาสิฯ ตสฺสา โสกเวเคน สกฺกสฺส อาสนํ อุณฺหํ อโหสิฯ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา พฺราหฺมณวเณฺณน เวเคเนว อาคนฺตฺวา กุณฺฑิกโต อุทกํ คเหตฺวา มหาสตฺตํ อาสิญฺจิฯ ตาวเทว วิสํ อนฺตรธายิ, วโณ รุหิ, อิมสฺมิํ ฐาเน วิโทฺธติปิ น ปญฺญายิฯ มหาสโตฺต สุขิโต อุฎฺฐาสิฯ จนฺทา ปิยสามิกํ อโรคํ ทิสฺวา โสมนสฺสปฺปตฺตา สกฺกสฺส ปาเท วนฺทนฺตี อนนฺตรคาถมาห –

    Iti sā dvādasahi gāthāhi paridevitvā mahāsattassa ure hatthaṃ ṭhapetvā santāpabhāvaṃ ñatvā ‘‘cando jīvatiyeva, devujjhānakammaṃ katvā jīvitamassa dassāmī’’ti cintetvā ‘‘kiṃ nu kho lokapālā nāma natthi, udāhu vippavutthā, adu matā , te me piyasāmikaṃ na rakkhantī’’ti devujjhānakammaṃ akāsi. Tassā sokavegena sakkassa āsanaṃ uṇhaṃ ahosi. Sakko āvajjento taṃ kāraṇaṃ ñatvā brāhmaṇavaṇṇena vegeneva āgantvā kuṇḍikato udakaṃ gahetvā mahāsattaṃ āsiñci. Tāvadeva visaṃ antaradhāyi, vaṇo ruhi, imasmiṃ ṭhāne viddhotipi na paññāyi. Mahāsatto sukhito uṭṭhāsi. Candā piyasāmikaṃ arogaṃ disvā somanassappattā sakkassa pāde vandantī anantaragāthamāha –

    ๔๒.

    42.

    ‘‘วเนฺท เต อยิรพฺรเหฺม, โย เม อิจฺฉิตํ ปติํ วรากิยา;

    ‘‘Vande te ayirabrahme, yo me icchitaṃ patiṃ varākiyā;

    อมเตน อภิสิญฺจิ, สมาคตาสฺมิ ปิยตเมนา’’ติฯ

    Amatena abhisiñci, samāgatāsmi piyatamenā’’ti.

    ตตฺถ อมเตนาติ อุทกํ ‘‘อมต’’นฺติ มญฺญมานา เอวมาหฯ ปิยตเมนาติ ปิยตเรน, อยเมว วา ปาโฐฯ

    Tattha amatenāti udakaṃ ‘‘amata’’nti maññamānā evamāha. Piyatamenāti piyatarena, ayameva vā pāṭho.

    สโกฺก เตสํ โอวาทมทาสิ ‘‘อิโต ปฎฺฐาย จนฺทปพฺพตโต โอรุยฺห มนุสฺสปถํ มา คมิตฺถ, อิเธว วสถา’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา เต โอวทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ จนฺทาปิ ‘‘กิํ โน สามิ อิมินา ปริปนฺถฎฺฐาเนน, เอหิ จนฺทปพฺพตเมว คจฺฉามา’’ติ วตฺวา โอสานคาถมาห –

    Sakko tesaṃ ovādamadāsi ‘‘ito paṭṭhāya candapabbatato oruyha manussapathaṃ mā gamittha, idheva vasathā’’ti. Evañca pana vatvā te ovaditvā sakaṭṭhānameva gato. Candāpi ‘‘kiṃ no sāmi iminā paripanthaṭṭhānena, ehi candapabbatameva gacchāmā’’ti vatvā osānagāthamāha –

    ๔๓.

    43.

    ‘‘วิจราม ทานิ คิริวนนทิโย, กุสุมาภิกิณฺณโสตาโย;

    ‘‘Vicarāma dāni girivananadiyo, kusumābhikiṇṇasotāyo;

    นานาทุมวสนาโย, ปิยํวทา อญฺญมญฺญสฺสา’’ติฯ

    Nānādumavasanāyo, piyaṃvadā aññamaññassā’’ti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น อิทาเนว, ปุเพฺพเปสา มยิ อสํหีรจิตฺตา อนญฺญเนยฺยา เอวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา เทวทโตฺต อโหสิ, สโกฺก อนุรุโทฺธ, จนฺทา ราหุลมาตา, จนฺทกินฺนโร ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na idāneva, pubbepesā mayi asaṃhīracittā anaññaneyyā evā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā devadatto ahosi, sakko anuruddho, candā rāhulamātā, candakinnaro pana ahameva ahosi’’nti.

    จนฺทกินฺนรีชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Candakinnarījātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๘๕. จนฺทกินฺนรีชาตกํ • 485. Candakinnarījātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact