Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๗. จนฺทกุมารจริยาวณฺณนา
7. Candakumāracariyāvaṇṇanā
๔๕. สตฺตเม เอกราชสฺส อตฺรโชติ เอกราชสฺส นาม กาสิรโญฺญ โอรสปุโตฺตฯ นคเร ปุปฺผวติยาติ ปุปฺผวตินามเก นคเรฯ จนฺทสวฺหโยติ จนฺทสเทฺทน อวฺหาตโพฺพ, จนฺทนาโมติ อโตฺถฯ
45. Sattame ekarājassa atrajoti ekarājassa nāma kāsirañño orasaputto. Nagare pupphavatiyāti pupphavatināmake nagare. Candasavhayoti candasaddena avhātabbo, candanāmoti attho.
อตีเต กิร อยํ พาราณสี ปุปฺผวตี นาม อโหสิฯ ตตฺถ วสวตฺติรโญฺญ ปุโตฺต เอกราชา นาม รชฺชํ กาเรสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺส โคตมิยา นาม อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ ‘‘จนฺทกุมาโร’’ติสฺส นามมกํสุฯ ตสฺส ปทสา คมนกาเล อปโรปิ ปุโตฺต อุปฺปโนฺน, ตสฺส ‘‘สูริยกุมาโร’’ติ นามมกํสุฯ ตสฺส ปทสา คมนกาเล เอกา ธีตา อุปฺปนฺนา, ‘‘เสลา’’ติสฺสา นามมกํสุฯ เวมาติกา จ เนสํ ภทฺทเสโน สูโร จาติ เทฺว ภาตโร อเหสุํฯ โพธิสโตฺต อนุปุเพฺพน วุทฺธิปฺปโตฺต สิเปฺปสุ จ วิชฺชาฎฺฐาเนสุ จ ปารํ อคมาสิฯ ตสฺส ราชา อนุจฺฉวิกํ จนฺทํ นาม ราชธีตรํ อาเนตฺวา อุปรชฺชํ อทาสิฯ โพธิสตฺตสฺส เอโก ปุโตฺต อุปฺปโนฺน, ตสฺส ‘‘วาสุโล’’ติ นามมกํสุฯ ตสฺส ปน รโญฺญ ขณฺฑหาโล นาม ปุโรหิโต, ตํ ราชา วินิจฺฉเย ฐเปสิฯ โส ลญฺชวิตฺตโก หุตฺวา ลญฺชํ คเหตฺวา อสฺสามิเก สามิเก กโรติ, สามิเก จ อสฺสามิเก กโรติฯ อเถกทิวสํ อฎฺฎปราชิโต เอโก ปุริโส วินิจฺฉยฎฺฐาเน อุปโกฺกเสโนฺต นิกฺขมิตฺวา ราชูปฎฺฐานํ คจฺฉนฺตํ โพธิสตฺตํ ทิสฺวา ตสฺส ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘สามิ ขณฺฑหาโล วินิจฺฉเย วิโลปํ ขาทติ, อหํ เตน ลญฺชํ คเหตฺวา ปราชยํ ปาปิโต’’ติ อฎฺฎสฺสรมกาสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘มา ภายี’’ติ ตํ อสฺสาเสตฺวา วินิจฺฉยํ เนตฺวา สามิกเมว สามิกํ อกาสิฯ มหาชโน มหาสเทฺทน สาธุการมทาสิฯ
Atīte kira ayaṃ bārāṇasī pupphavatī nāma ahosi. Tattha vasavattirañño putto ekarājā nāma rajjaṃ kāresi. Bodhisatto tassa gotamiyā nāma aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ aggahesi. ‘‘Candakumāro’’tissa nāmamakaṃsu. Tassa padasā gamanakāle aparopi putto uppanno, tassa ‘‘sūriyakumāro’’ti nāmamakaṃsu. Tassa padasā gamanakāle ekā dhītā uppannā, ‘‘selā’’tissā nāmamakaṃsu. Vemātikā ca nesaṃ bhaddaseno sūro cāti dve bhātaro ahesuṃ. Bodhisatto anupubbena vuddhippatto sippesu ca vijjāṭṭhānesu ca pāraṃ agamāsi. Tassa rājā anucchavikaṃ candaṃ nāma rājadhītaraṃ ānetvā uparajjaṃ adāsi. Bodhisattassa eko putto uppanno, tassa ‘‘vāsulo’’ti nāmamakaṃsu. Tassa pana rañño khaṇḍahālo nāma purohito, taṃ rājā vinicchaye ṭhapesi. So lañjavittako hutvā lañjaṃ gahetvā assāmike sāmike karoti, sāmike ca assāmike karoti. Athekadivasaṃ aṭṭaparājito eko puriso vinicchayaṭṭhāne upakkosento nikkhamitvā rājūpaṭṭhānaṃ gacchantaṃ bodhisattaṃ disvā tassa pādesu nipatitvā ‘‘sāmi khaṇḍahālo vinicchaye vilopaṃ khādati, ahaṃ tena lañjaṃ gahetvā parājayaṃ pāpito’’ti aṭṭassaramakāsi. Bodhisatto ‘‘mā bhāyī’’ti taṃ assāsetvā vinicchayaṃ netvā sāmikameva sāmikaṃ akāsi. Mahājano mahāsaddena sādhukāramadāsi.
ราชา ‘‘โพธิสเตฺตน กิร อโฎฺฎ สุวินิจฺฉิโต’’ติ สุตฺวา ตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต, อิโต ปฎฺฐาย ตฺวเมว อฎฺฎกรเณ วินิจฺฉยํ วินิจฺฉินาหี’’ติ วินิจฺฉยํ โพธิสตฺตสฺส อทาสิฯ ขณฺฑหาลสฺส อาโย ปจฺฉิชฺชิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย โพธิสเตฺต อาฆาตํ พนฺธิตฺวา โอตาราเปโกฺข วิจริฯ โส ปน ราชา มุธปฺปสโนฺนฯ โส เอกทิวสํ สุปินเนฺตน เทวโลกํ ปสฺสิตฺวา ตตฺถ คนฺตุกาโม หุตฺวา ‘‘ปุโรหิตํ พฺรหฺมโลกคามิมคฺคํ อาจิกฺขา’’ติ อาหฯ โส ‘‘อติทานํ ททโนฺต สพฺพจตุเกฺกน ยญฺญํ ยชสฺสู’’ติ วตฺวา รญฺญา ‘‘กิํ อติทาน’’นฺติ ปุโฎฺฐ ‘‘อตฺตโน ปิยปุตฺตา ปิยภริยา ปิยธีตโร มหาวิภวเสฎฺฐิโน มงฺคลหตฺถิอสฺสาทโยติ เอเต จตฺตาโร จตฺตาโร กตฺวา ทฺวิปทจตุปฺปเท ยญฺญตฺถาย ปริจฺจชิตฺวา เตสํ คลโลหิเตน ยชนํ อติทานํ นามา’’ติ สญฺญาเปสิฯ อิติ โส ‘‘สคฺคมคฺคํ อาจิกฺขิสฺสามี’’ติ นิรยมคฺคํ อาจิกฺขิฯ
Rājā ‘‘bodhisattena kira aṭṭo suvinicchito’’ti sutvā taṃ āmantetvā ‘‘tāta, ito paṭṭhāya tvameva aṭṭakaraṇe vinicchayaṃ vinicchināhī’’ti vinicchayaṃ bodhisattassa adāsi. Khaṇḍahālassa āyo pacchijji. So tato paṭṭhāya bodhisatte āghātaṃ bandhitvā otārāpekkho vicari. So pana rājā mudhappasanno. So ekadivasaṃ supinantena devalokaṃ passitvā tattha gantukāmo hutvā ‘‘purohitaṃ brahmalokagāmimaggaṃ ācikkhā’’ti āha. So ‘‘atidānaṃ dadanto sabbacatukkena yaññaṃ yajassū’’ti vatvā raññā ‘‘kiṃ atidāna’’nti puṭṭho ‘‘attano piyaputtā piyabhariyā piyadhītaro mahāvibhavaseṭṭhino maṅgalahatthiassādayoti ete cattāro cattāro katvā dvipadacatuppade yaññatthāya pariccajitvā tesaṃ galalohitena yajanaṃ atidānaṃ nāmā’’ti saññāpesi. Iti so ‘‘saggamaggaṃ ācikkhissāmī’’ti nirayamaggaṃ ācikkhi.
ราชาปิ ตสฺมิํ ปณฺฑิตสญฺญี หุตฺวา ‘‘เตน วุตฺตวิธิ สคฺคมโคฺค’’ติ สญฺญาย ตํ ปฎิปชฺชิตุกาโม มหนฺตํ ยญฺญาวาฎํ การาเปตฺวา ตตฺถ โพธิสตฺตาทิเก จตฺตาโร ราชกุมาเร อาทิํ กตฺวา ขณฺฑหาเลน วุตฺตํ สพฺพํ ทฺวิปทจตุปฺปทํ ยญฺญปสุตฎฺฐาเน เนถาติ อาณาเปสิฯ สพฺพญฺจ ยญฺญสมฺภารํ อุปกฺขฎํ อโหสิฯ ตํ สุตฺวา มหาชโน มหนฺตํ โกลาหลํ อกาสิฯ ราชา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ขณฺฑหาเลน อุปตฺถมฺภิโต ปุนปิ ตถา ตํ อาณาเปสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘ขณฺฑหาเลน วินิจฺฉยฎฺฐานํ อลภเนฺตน มยิ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา มเมว มรณํ อิจฺฉเนฺตน มหาชนสฺส อนยพฺยสนํ อุปฺปาทิต’’นฺติ ชานิตฺวา นานาวิเธหิ อุปาเยหิ ราชานํ ตโต ทุคฺคหิตคฺคาหโต วิเวเจตุํ วายมิตฺวาปิ นาสกฺขิฯ มหาชโน ปริเทวิ, มหนฺตํ การุญฺญมกาสิฯ มหาชนสฺส ปริเทวนฺตเสฺสว ยญฺญาวาเฎ สพฺพกมฺมานิ นิฎฺฐาเปสิฯ ราชปุตฺตํ เนตฺวา คีวาย นาเมตฺวา นิสีทาเปสุํฯ ขณฺฑหาโล สุวณฺณปาติํ อุปนาเมตฺวา ขคฺคํ อาทาย ‘‘ตสฺส คีวํ ฉินฺทิสฺสามี’’ติ อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิสฺวา จนฺทา นาม ราชปุตฺตสฺส เทวี ‘‘อญฺญํ เม ปฎิสรณํ นตฺถิ, อตฺตโน สจฺจพเลน สามิกสฺส โสตฺถิํ กริสฺสามี’’ติ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ปริสาย อนฺตเร วิจรนฺตี ‘‘อิทํ เอกเนฺตเนว ปาปกมฺมํ, ยํ ขณฺฑหาโล สคฺคมโคฺคติ กโรติฯ อิมินา มยฺหํ สจฺจวจเนน มม สามิกสฺส โสตฺถิ โหตุฯ
Rājāpi tasmiṃ paṇḍitasaññī hutvā ‘‘tena vuttavidhi saggamaggo’’ti saññāya taṃ paṭipajjitukāmo mahantaṃ yaññāvāṭaṃ kārāpetvā tattha bodhisattādike cattāro rājakumāre ādiṃ katvā khaṇḍahālena vuttaṃ sabbaṃ dvipadacatuppadaṃ yaññapasutaṭṭhāne nethāti āṇāpesi. Sabbañca yaññasambhāraṃ upakkhaṭaṃ ahosi. Taṃ sutvā mahājano mahantaṃ kolāhalaṃ akāsi. Rājā vippaṭisārī hutvā khaṇḍahālena upatthambhito punapi tathā taṃ āṇāpesi. Bodhisatto ‘‘khaṇḍahālena vinicchayaṭṭhānaṃ alabhantena mayi āghātaṃ bandhitvā mameva maraṇaṃ icchantena mahājanassa anayabyasanaṃ uppādita’’nti jānitvā nānāvidhehi upāyehi rājānaṃ tato duggahitaggāhato vivecetuṃ vāyamitvāpi nāsakkhi. Mahājano paridevi, mahantaṃ kāruññamakāsi. Mahājanassa paridevantasseva yaññāvāṭe sabbakammāni niṭṭhāpesi. Rājaputtaṃ netvā gīvāya nāmetvā nisīdāpesuṃ. Khaṇḍahālo suvaṇṇapātiṃ upanāmetvā khaggaṃ ādāya ‘‘tassa gīvaṃ chindissāmī’’ti aṭṭhāsi. Taṃ disvā candā nāma rājaputtassa devī ‘‘aññaṃ me paṭisaraṇaṃ natthi, attano saccabalena sāmikassa sotthiṃ karissāmī’’ti añjaliṃ paggayha parisāya antare vicarantī ‘‘idaṃ ekanteneva pāpakammaṃ, yaṃ khaṇḍahālo saggamaggoti karoti. Iminā mayhaṃ saccavacanena mama sāmikassa sotthi hotu.
‘‘ยา เทวตา อิธ โลเก, สพฺพา ตา สรณํ คตา;
‘‘Yā devatā idha loke, sabbā tā saraṇaṃ gatā;
อนาถํ ตายถ มมํ, ยถาหํ ปติมา สิย’’นฺติฯ –
Anāthaṃ tāyatha mamaṃ, yathāhaṃ patimā siya’’nti. –
สจฺจกิริยมกาสิฯ สโกฺก เทวราชา ตสฺสา ปริเทวนสทฺทํ สุตฺวา ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ชลิตํ อโยกูฎํ อาทาย อาคนฺตฺวา ราชานํ ตาเสตฺวา สเพฺพ วิสฺสชฺชาเปสิฯ สโกฺกปิ ตทา อตฺตโน ทิพฺพรูปํ ทเสฺสตฺวา สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํ วชิรํ ปริพฺภมโนฺต ‘‘อเร, ปาปราช กาฬกณฺณิ, กทา ตยา ปาณาติปาเตน สุคติคมนํ ทิฎฺฐปุพฺพํ, จนฺทกุมารํ สพฺพญฺจ อิมํ ชนํ พนฺธนโต โมเจหิ, โน เจ โมเจสฺสสิ, เอเตฺถว เต อิมสฺส จ ทุฎฺฐพฺราหฺมณสฺส สีสํ ผาเลสฺสามี’’ติ อากาเส อฎฺฐาสิฯ ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา ราชา พฺราหฺมโณ จ สีฆํ สเพฺพ พนฺธนา โมเจสุํฯ
Saccakiriyamakāsi. Sakko devarājā tassā paridevanasaddaṃ sutvā taṃ pavattiṃ ñatvā jalitaṃ ayokūṭaṃ ādāya āgantvā rājānaṃ tāsetvā sabbe vissajjāpesi. Sakkopi tadā attano dibbarūpaṃ dassetvā sampajjalitaṃ sajotibhūtaṃ vajiraṃ paribbhamanto ‘‘are, pāparāja kāḷakaṇṇi, kadā tayā pāṇātipātena sugatigamanaṃ diṭṭhapubbaṃ, candakumāraṃ sabbañca imaṃ janaṃ bandhanato mocehi, no ce mocessasi, ettheva te imassa ca duṭṭhabrāhmaṇassa sīsaṃ phālessāmī’’ti ākāse aṭṭhāsi. Taṃ acchariyaṃ disvā rājā brāhmaṇo ca sīghaṃ sabbe bandhanā mocesuṃ.
อถ มหาชโน เอกโกลาหลํ กตฺวา สหสา ยญฺญาวาฎํ อโชฺฌตฺถริตฺวา ขณฺฑหาลสฺส เอเกกํ เลฑฺฑุปฺปหารํ เทโนฺต ตเตฺถว นํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ราชานมฺปิ มาเรตุํ อารภิฯ โพธิสโตฺต ปุเรตรเมว ปิตรํ ปลิสฺสชิตฺวา ฐิโต มาเรตุํ น อทาสิฯ มหาชโน ‘‘ชีวิตํ ตาวสฺส ปาปรโญฺญ เทม, ฉตฺตํ ปนสฺส น ทสฺสาม, นคเร วาสํ วา น ทสฺสาม, ตํ จณฺฑาลํ กตฺวา พหินคเร วาสาเปสฺสามา’’ติ ราชเวสํ หาเรตฺวา กาสาวํ นิวาสาเปตฺวา หลิทฺทิปิโลติกาย สีสํ เวเฐตฺวา จณฺฑาลํ กตฺวา จณฺฑาลคามํ ปหิณิํสุฯ เย ปน ตํ ปสุฆาตยญฺญํ ยชิํสุ เจว ยชาเปสุญฺจ อนุโมทิํสุ จ, สเพฺพ เต นิรยปรายนา อเหสุํฯ เตนาห ภควา –
Atha mahājano ekakolāhalaṃ katvā sahasā yaññāvāṭaṃ ajjhottharitvā khaṇḍahālassa ekekaṃ leḍḍuppahāraṃ dento tattheva naṃ jīvitakkhayaṃ pāpetvā rājānampi māretuṃ ārabhi. Bodhisatto puretarameva pitaraṃ palissajitvā ṭhito māretuṃ na adāsi. Mahājano ‘‘jīvitaṃ tāvassa pāparañño dema, chattaṃ panassa na dassāma, nagare vāsaṃ vā na dassāma, taṃ caṇḍālaṃ katvā bahinagare vāsāpessāmā’’ti rājavesaṃ hāretvā kāsāvaṃ nivāsāpetvā haliddipilotikāya sīsaṃ veṭhetvā caṇḍālaṃ katvā caṇḍālagāmaṃ pahiṇiṃsu. Ye pana taṃ pasughātayaññaṃ yajiṃsu ceva yajāpesuñca anumodiṃsu ca, sabbe te nirayaparāyanā ahesuṃ. Tenāha bhagavā –
‘‘สเพฺพ ปติฎฺฐา นิรยํ, ยถา ตํ ปาปกํ กริตฺวาน;
‘‘Sabbe patiṭṭhā nirayaṃ, yathā taṃ pāpakaṃ karitvāna;
น หิ ปาปกมฺมํ กตฺวา, ลพฺภา สุคติํ อิโต คนฺตุ’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๑๑๔๓);
Na hi pāpakammaṃ katvā, labbhā sugatiṃ ito gantu’’nti. (jā. 2.22.1143);
อถ สพฺพาปิ ราชปริสา นาครา เจว ชานปทา จ สมาคนฺตฺวา โพธิสตฺตํ รเชฺช อภิสิญฺจิํสุฯ โส ธเมฺมน รชฺชํ อนุสาสโนฺต ตํ อตฺตโน มหาชนสฺส จ อการเณเนว อุปฺปนฺนํ อนยพฺยสนํ อนุสฺสริตฺวา สํเวคชาโต ปุญฺญกิริยาสุ ภิโยฺยโสมตฺตาย อุสฺสาหชาโต มหาทานํ ปวเตฺตสิ, สีลานิ รกฺขิ, อุโปสถกมฺมํ สมาทิยิฯ เตน วุตฺตํ –
Atha sabbāpi rājaparisā nāgarā ceva jānapadā ca samāgantvā bodhisattaṃ rajje abhisiñciṃsu. So dhammena rajjaṃ anusāsanto taṃ attano mahājanassa ca akāraṇeneva uppannaṃ anayabyasanaṃ anussaritvā saṃvegajāto puññakiriyāsu bhiyyosomattāya ussāhajāto mahādānaṃ pavattesi, sīlāni rakkhi, uposathakammaṃ samādiyi. Tena vuttaṃ –
๔๖.
46.
‘‘ตทาหํ ยชนา มุโตฺต, นิกฺขโนฺต ยญฺญวาฎโต;
‘‘Tadāhaṃ yajanā mutto, nikkhanto yaññavāṭato;
สํเวคํ ชนยิตฺวาน, มหาทานํ ปวตฺตยิ’’นฺติฯ – อาทิ;
Saṃvegaṃ janayitvāna, mahādānaṃ pavattayi’’nti. – ādi;
ตตฺถ ยชนา มุโตฺตติ ขณฺฑหาเลน วิหิตยญฺญวิธิโต วุตฺตนเยน ฆาเตตพฺพโต มุโตฺตฯ นิกฺขโนฺต ยญฺญวาฎโตติ อภิเสกกรณตฺถาย อุสฺสาหชาเตน มหาชเนน สทฺธิํ ตโต ยญฺญภูมิโต นิคฺคโตฯ สํเวคํ ชนยิตฺวานาติ เอวํ ‘‘พหุอนฺตราโย โลกสนฺนิวาโส’’ติ อติวิย สํเวคํ อุปฺปาเทตฺวาฯ มหาทานํ ปวตฺตยินฺติ ฉ ทานสาลาโย การาเปตฺวา มหตา ธนปริจฺจาเคน เวสฺสนฺตรทานสทิสํ มหาทานมทาสิํฯ เอเตน อภิเสกกรณโต ปฎฺฐาย ตสฺส มหาทานสฺส ปวตฺติตภาวํ ทเสฺสติฯ
Tattha yajanā muttoti khaṇḍahālena vihitayaññavidhito vuttanayena ghātetabbato mutto. Nikkhanto yaññavāṭatoti abhisekakaraṇatthāya ussāhajātena mahājanena saddhiṃ tato yaññabhūmito niggato. Saṃvegaṃ janayitvānāti evaṃ ‘‘bahuantarāyo lokasannivāso’’ti ativiya saṃvegaṃ uppādetvā. Mahādānaṃ pavattayinti cha dānasālāyo kārāpetvā mahatā dhanapariccāgena vessantaradānasadisaṃ mahādānamadāsiṃ. Etena abhisekakaraṇato paṭṭhāya tassa mahādānassa pavattitabhāvaṃ dasseti.
๔๗. ทกฺขิเณเยฺย อทตฺวานาติ ทกฺขิณารเห ปุคฺคเล เทยฺยธมฺมํ อปริจฺจชิตฺวาฯ อปิ ฉปฺปญฺจ รตฺติโยติ อเปฺปกทา ฉปิ ปญฺจปิ รตฺติโย อตฺตโน ปิวนขาทนภุญฺชนานิ น กโรมีติ ทเสฺสติฯ
47.Dakkhiṇeyye adatvānāti dakkhiṇārahe puggale deyyadhammaṃ apariccajitvā. Api chappañca rattiyoti appekadā chapi pañcapi rattiyo attano pivanakhādanabhuñjanāni na karomīti dasseti.
ตทา กิร โพธิสโตฺต สกลชมฺพุทีปํ อุนฺนงฺคลํ กตฺวา มหาเมโฆ วิย อภิวสฺสโนฺต มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ทานสาลาสุ อนฺนปานาทิอุฬารุฬารปณีตปณีตเมว ยาจกานํ ยถารุจิตํ ทิวเส ทิวเส ทียติ, ตถาปิ อตฺตโน สชฺชิตํ อาหารํ ราชารหโภชนมฺปิ ยาจกานํ อทตฺวา น ภุญฺชติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘นาหํ ปิวามี’’ติอาทิฯ
Tadā kira bodhisatto sakalajambudīpaṃ unnaṅgalaṃ katvā mahāmegho viya abhivassanto mahādānaṃ pavattesi. Tattha kiñcāpi dānasālāsu annapānādiuḷāruḷārapaṇītapaṇītameva yācakānaṃ yathārucitaṃ divase divase dīyati, tathāpi attano sajjitaṃ āhāraṃ rājārahabhojanampi yācakānaṃ adatvā na bhuñjati, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘nāhaṃ pivāmī’’tiādi.
๔๘. อิทานิ ตถา ยาจกานํ ทาเน การณํ ทเสฺสโนฺต อุปมํ ตาว อาหรติ ‘‘ยถาปิ วาณิโช นามา’’ติอาทินาฯ ตสฺสโตฺถ – ยถา นาม วาณิโช ภณฺฑฎฺฐานํ คนฺตฺวา อเปฺปน ปาภเตน พหุํ ภณฺฑํ วิกฺกิณิตฺวา วิปุลํ ภณฺฑสนฺนิจยํ กตฺวา เทสกาลํ ชานโนฺต ยตฺถสฺส ลาโภ อุทโย มหา โหติ, ตตฺถ เทเส กาเล วา ตํ ภณฺฑํ หรติ อุปเนติ วิกฺกิณาติฯ
48. Idāni tathā yācakānaṃ dāne kāraṇaṃ dassento upamaṃ tāva āharati ‘‘yathāpi vāṇijo nāmā’’tiādinā. Tassattho – yathā nāma vāṇijo bhaṇḍaṭṭhānaṃ gantvā appena pābhatena bahuṃ bhaṇḍaṃ vikkiṇitvā vipulaṃ bhaṇḍasannicayaṃ katvā desakālaṃ jānanto yatthassa lābho udayo mahā hoti, tattha dese kāle vā taṃ bhaṇḍaṃ harati upaneti vikkiṇāti.
๔๙. สกภุตฺตาปีติ สกภุตฺตโตปิ อตฺตนา ปริภุตฺตโตปิฯ ‘‘สกปริภุตฺตาปี’’ติปิ ปาโฐฯ ปเรติ ปรสฺมิํ ปฎิคฺคาหกปุคฺคเลฯ สตภาโคติ อเนกสตภาโค อายติํ ภวิสฺสติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา วาณิเชน กีตภณฺฑํ ตเตฺถว อวิกฺกิณิตฺวา ตถารูเป เทเส กาเล จ วิกฺกิณิยมานํ พหุํ อุทยํ วิปุลํ ผลํ โหติ, ตเถว อตฺตโน สนฺตกํ อตฺตนา อนุปภุญฺชิตฺวา ปรสฺมิํ ปฎิคฺคาหกปุคฺคเล ทินฺนํ มหปฺผลํ อเนกสตภาโค ภวิสฺสติ, ตสฺมา อตฺตนา อภุญฺชิตฺวาปิ ปรสฺส ทาตพฺพเมวาติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘ติรจฺฉานคเต ทานํ ทตฺวา สตคุณา ทกฺขิณา ปาฎิกงฺขิตพฺพาฯ ปุถุชฺชนทุสฺสีเล ทานํ ทตฺวา สหสฺสคุณา’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๗๙) วิตฺถาโรฯ อปรมฺปิ วุตฺตํ ‘‘เอวํ เจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ชาเนยฺยุํ ทานสํวิภาคสฺส วิปากํ, ยถาหํ ชานามิ, น อทตฺวา ภุเญฺชยฺยุํ, น จ เนสํ มเจฺฉรมลํ จิตฺตํ ปริยาทาย ติเฎฺฐยฺยฯ โยปิ เนสํ อสฺส จริโม อาโลโป จริมํ กพฬํ, ตโตปิ น อสํวิภชิตฺวา ภุเญฺชยฺยุ’’นฺติอาทิ (อิติวุ. ๒๖)ฯ
49.Sakabhuttāpīti sakabhuttatopi attanā paribhuttatopi. ‘‘Sakaparibhuttāpī’’tipi pāṭho. Pareti parasmiṃ paṭiggāhakapuggale. Satabhāgoti anekasatabhāgo āyatiṃ bhavissati. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā vāṇijena kītabhaṇḍaṃ tattheva avikkiṇitvā tathārūpe dese kāle ca vikkiṇiyamānaṃ bahuṃ udayaṃ vipulaṃ phalaṃ hoti, tatheva attano santakaṃ attanā anupabhuñjitvā parasmiṃ paṭiggāhakapuggale dinnaṃ mahapphalaṃ anekasatabhāgo bhavissati, tasmā attanā abhuñjitvāpi parassa dātabbamevāti. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘tiracchānagate dānaṃ datvā sataguṇā dakkhiṇā pāṭikaṅkhitabbā. Puthujjanadussīle dānaṃ datvā sahassaguṇā’’ti (ma. ni. 3.379) vitthāro. Aparampi vuttaṃ ‘‘evaṃ ce, bhikkhave, sattā jāneyyuṃ dānasaṃvibhāgassa vipākaṃ, yathāhaṃ jānāmi, na adatvā bhuñjeyyuṃ, na ca nesaṃ maccheramalaṃ cittaṃ pariyādāya tiṭṭheyya. Yopi nesaṃ assa carimo ālopo carimaṃ kabaḷaṃ, tatopi na asaṃvibhajitvā bhuñjeyyu’’ntiādi (itivu. 26).
๕๐. เอตมตฺถวสํ ญตฺวาติ เอตํ ทานสฺส มหปฺผลภาวสงฺขาตเญฺจว สมฺมาสโมฺพธิยา ปจฺจยภาวสงฺขาตญฺจ อตฺถวสํ การณํ ชานิตฺวาฯ น ปฎิกฺกมามิ ทานโตติ ทานปารมิโต อีสกมฺปิ น นิวตฺตามิ อภิกฺกมามิ เอวฯ กิมตฺถํ? สโมฺพธิมนุปตฺติยาติ สโมฺพธิํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อนุปฺปตฺติยา อนุปฺปตฺติยตฺถํ, อธิคนฺตุนฺติ อโตฺถฯ
50.Etamatthavasaṃ ñatvāti etaṃ dānassa mahapphalabhāvasaṅkhātañceva sammāsambodhiyā paccayabhāvasaṅkhātañca atthavasaṃ kāraṇaṃ jānitvā. Na paṭikkamāmi dānatoti dānapāramito īsakampi na nivattāmi abhikkamāmi eva. Kimatthaṃ? Sambodhimanupattiyāti sambodhiṃ sabbaññutaññāṇaṃ anuppattiyā anuppattiyatthaṃ, adhigantunti attho.
ตทา โพธิสโตฺต มหาชเนน ปิตริ จณฺฑาลคามํ ปเวสิเต ทาตพฺพยุตฺตกํ ปริพฺพยํ ทาเปสิ นิวาสนานิ ปารุปนานิ จฯ โสปิ นครํ ปวิสิตุํ อลภโนฺต โพธิสเตฺต อุยฺยานกีฬาทิอตฺถํ พหิคเต อุปสงฺกมติ, ปุตฺตสญฺญาย ปน น วนฺทติ, น อญฺชลิกมฺมํ กโรติ, ‘‘จิรํ ชีว, สามี’’ติ วทติฯ โพธิสโตฺตปิ ทิฎฺฐทิวเส อติเรกสมฺมานํ กโรติฯ โส เอวํ ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา อายุปริโยสาเน สปริโส เทวโลกํ ปูเรสิฯ
Tadā bodhisatto mahājanena pitari caṇḍālagāmaṃ pavesite dātabbayuttakaṃ paribbayaṃ dāpesi nivāsanāni pārupanāni ca. Sopi nagaraṃ pavisituṃ alabhanto bodhisatte uyyānakīḷādiatthaṃ bahigate upasaṅkamati, puttasaññāya pana na vandati, na añjalikammaṃ karoti, ‘‘ciraṃ jīva, sāmī’’ti vadati. Bodhisattopi diṭṭhadivase atirekasammānaṃ karoti. So evaṃ dhammena rajjaṃ kāretvā āyupariyosāne sapariso devalokaṃ pūresi.
ตทา ขณฺฑหาโล เทวทโตฺต อโหสิ, โคตมี เทวี มหามายา, จนฺทา ราชธีตา ราหุลมาตา, วาสุโล ราหุโล, เสลา อุปฺปลวณฺณา, สูโร มหากสฺสโป, ภทฺทเสโน มหาโมคฺคลฺลาโน, สูริยกุมาโร สาริปุโตฺต, จนฺทราชา โลกนาโถฯ
Tadā khaṇḍahālo devadatto ahosi, gotamī devī mahāmāyā, candā rājadhītā rāhulamātā, vāsulo rāhulo, selā uppalavaṇṇā, sūro mahākassapo, bhaddaseno mahāmoggallāno, sūriyakumāro sāriputto, candarājā lokanātho.
ตสฺส อิธาปิ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ยถารหํ เสสปารมิโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตทา ขณฺฑหาลสฺส กกฺขฬผรุสภาวํ ชานโนฺตปิ อชฺฌุเปกฺขิตฺวา ธเมฺมน สเมน อฎฺฎสฺส วินิจฺฉโย, อตฺตานํ มาเรตุกามเสฺสว ขณฺฑหาลสฺส ตถา ยญฺญวิธานํ ชานิตฺวาปิ ตสฺส อุปริ จิตฺตปฺปโกปาภาโว, อตฺตโน ปริสํ คเหตฺวา ปิตุ สตฺตุ ภวิตุํ สมโตฺถปิ ‘‘มาทิสสฺส นาม ครูหิ วิโรโธ น ยุโตฺต’’ติ อตฺตานํ ปุริสปสุํ กตฺวา ฆาตาเปตุกามสฺส ปิตุ อาณายํ อวฎฺฐานํ, โกสิยา อสิํ คเหตฺวา สีสํ ฉินฺทิตุํ อุปกฺกมเนฺต ปุโรหิเต อตฺตโน ปิตริ ปุเตฺต สพฺพสเตฺตสุ จ เมตฺตาผรเณน สมจิตฺตตา, มหาชเน ปิตรํ มาเรตุํ อุปกฺกมเนฺต สยํ ปลิสฺสชิตฺวา ตสฺส ชีวิตทานญฺจ, ทิวเส ทิวเส เวสฺสนฺตรทานสทิสํ มหาทานํ ททโตปิ ทาเนน อติตฺตภาโว, มหาชเนน จณฺฑาเลสุ วาสาปิตสฺส ปิตุ ทาตพฺพยุตฺตกํ ทตฺวา โปสนํ, มหาชนํ ปุญฺญกิริยาสุ ปติฎฺฐาปนนฺติ เอวมาทโย คุณานุภาวา นิทฺธาเรตพฺพาติฯ
Tassa idhāpi pubbe vuttanayeneva yathārahaṃ sesapāramiyo niddhāretabbā. Tadā khaṇḍahālassa kakkhaḷapharusabhāvaṃ jānantopi ajjhupekkhitvā dhammena samena aṭṭassa vinicchayo, attānaṃ māretukāmasseva khaṇḍahālassa tathā yaññavidhānaṃ jānitvāpi tassa upari cittappakopābhāvo, attano parisaṃ gahetvā pitu sattu bhavituṃ samatthopi ‘‘mādisassa nāma garūhi virodho na yutto’’ti attānaṃ purisapasuṃ katvā ghātāpetukāmassa pitu āṇāyaṃ avaṭṭhānaṃ, kosiyā asiṃ gahetvā sīsaṃ chindituṃ upakkamante purohite attano pitari putte sabbasattesu ca mettāpharaṇena samacittatā, mahājane pitaraṃ māretuṃ upakkamante sayaṃ palissajitvā tassa jīvitadānañca, divase divase vessantaradānasadisaṃ mahādānaṃ dadatopi dānena atittabhāvo, mahājanena caṇḍālesu vāsāpitassa pitu dātabbayuttakaṃ datvā posanaṃ, mahājanaṃ puññakiriyāsu patiṭṭhāpananti evamādayo guṇānubhāvā niddhāretabbāti.
จนฺทกุมารจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Candakumāracariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๗. จนฺทกุมารจริยา • 7. Candakumāracariyā