Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๓. จนฺทูปมสุตฺตวณฺณนา
3. Candūpamasuttavaṇṇanā
๑๔๖. ตติเย จนฺทูปมาติ จนฺทสทิสา หุตฺวาฯ กิํ ปริมณฺฑลตาย? โน, อปิจ โข ยถา จโนฺท คคนตลํ ปกฺขนฺทมาโน น เกนจิ สทฺธิํ สนฺถวํ วา สิเนหํ วา อาลยํ วา นิกนฺติํ วา ปตฺถนํ วา ปริยุฎฺฐานํ วา กโรติ, น จ น โหติ มหาชนสฺส ปิโย มนาโป, ตุเมฺหปิ เอวํ เกนจิ สทฺธิํ สนฺถวาทีนํ อกรเณน พหุชนสฺส ปิยา มนาปา จนฺทูปมา หุตฺวา ขตฺติยกุลาทีนิ จตฺตาริ กุลานิ อุปสงฺกมถาติ อโตฺถฯ อปิจ ยถา จโนฺท อนฺธการํ วิธมติ, อาโลกํ ผรติ, เอวํ กิเลสนฺธการวิธมเนน ญาณาโลกผรเณน จาปิ จนฺทูปมา หุตฺวาติ เอวมาทีหิปิ นเยหิ เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
146. Tatiye candūpamāti candasadisā hutvā. Kiṃ parimaṇḍalatāya? No, apica kho yathā cando gaganatalaṃ pakkhandamāno na kenaci saddhiṃ santhavaṃ vā sinehaṃ vā ālayaṃ vā nikantiṃ vā patthanaṃ vā pariyuṭṭhānaṃ vā karoti, na ca na hoti mahājanassa piyo manāpo, tumhepi evaṃ kenaci saddhiṃ santhavādīnaṃ akaraṇena bahujanassa piyā manāpā candūpamā hutvā khattiyakulādīni cattāri kulāni upasaṅkamathāti attho. Apica yathā cando andhakāraṃ vidhamati, ālokaṃ pharati, evaṃ kilesandhakāravidhamanena ñāṇālokapharaṇena cāpi candūpamā hutvāti evamādīhipi nayehi ettha attho daṭṭhabbo.
อปกเสฺสว กายํ อปกสฺส จิตฺตนฺติ เตเนว สนฺถวาทีนํ อกรเณน กายญฺจ จิตฺตญฺจ อปกสฺสิตฺวา, อปเนตฺวาติ อโตฺถฯ โย หิ ภิกฺขุ อรเญฺญปิ น วสติ, กามวิตกฺกาทโยปิ วิตเกฺกติ, อยํ เนว กายํ อปกสฺสติ, น จิตฺตํฯ โย หิ อรเญฺญปิ โข วิหรติ, กามวิตกฺกาทโย ปน วิตเกฺกติ, อยํ กายเมว อปกสฺสติ, น จิตฺตํฯ โย คามเนฺต วสติ , กามวิตกฺกาทโยปิ โข น จ วิตเกฺกติ, อยํ จิตฺตเมว อปกสฺสติ, น กายํฯ โย ปน อรเญฺญ เจว วสติ, กามวิตกฺกาทโย จ น วิตเกฺกติ, อยํ อุภยมฺปิ อปกสฺสติฯ เอวรูปา หุตฺวา กุลานิ อุปสงฺกมถาติ ทีเปโนฺต ‘‘อปกเสฺสว กายํ อปกสฺส จิตฺต’’นฺติ อาหฯ
Apakasseva kāyaṃ apakassa cittanti teneva santhavādīnaṃ akaraṇena kāyañca cittañca apakassitvā, apanetvāti attho. Yo hi bhikkhu araññepi na vasati, kāmavitakkādayopi vitakketi, ayaṃ neva kāyaṃ apakassati, na cittaṃ. Yo hi araññepi kho viharati, kāmavitakkādayo pana vitakketi, ayaṃ kāyameva apakassati, na cittaṃ. Yo gāmante vasati , kāmavitakkādayopi kho na ca vitakketi, ayaṃ cittameva apakassati, na kāyaṃ. Yo pana araññe ceva vasati, kāmavitakkādayo ca na vitakketi, ayaṃ ubhayampi apakassati. Evarūpā hutvā kulāni upasaṅkamathāti dīpento ‘‘apakasseva kāyaṃ apakassa citta’’nti āha.
นิจฺจนวกาติ นิจฺจํ นวกาว, อาคนฺตุกสทิสา เอว หุตฺวาติ อโตฺถฯ อาคนฺตุโก หิ ปฎิปาฎิยา สมฺปตฺตเคหํ ปวิสิตฺวา สเจ นํ ฆรสามิกา ทิสฺวา, ‘‘อมฺหากํ ปุตฺตภาตโร วิปฺปวาสํ คตา เอวํ วิจริํสู’’ติ อนุกมฺปมานา นิสีทาเปตฺวา โภเชนฺติ, ภุตฺตมโตฺตเยว ‘‘ตุมฺหากํ ภาชนํ คณฺหถา’’ติ อุฎฺฐาย ปกฺกมติ, น เตหิ สทฺธิํ สนฺถวํ วา กโรติ, น กิจฺจกรณียานิ วา สํวิทหติ, เอวํ ตุเมฺหปิ ปฎิปาฎิยา สมฺปตฺตฆรํ ปวิสิตฺวา ยํ อิริยาปเถสุ ปสนฺนา มนุสฺสา เทนฺติ, ตํ คเหตฺวา ฉินฺนสนฺถวา, เตสํ กิจฺจกรณีเย อพฺยาวฎา หุตฺวา นิกฺขมถาติ ทีเปติฯ
Niccanavakāti niccaṃ navakāva, āgantukasadisā eva hutvāti attho. Āgantuko hi paṭipāṭiyā sampattagehaṃ pavisitvā sace naṃ gharasāmikā disvā, ‘‘amhākaṃ puttabhātaro vippavāsaṃ gatā evaṃ vicariṃsū’’ti anukampamānā nisīdāpetvā bhojenti, bhuttamattoyeva ‘‘tumhākaṃ bhājanaṃ gaṇhathā’’ti uṭṭhāya pakkamati, na tehi saddhiṃ santhavaṃ vā karoti, na kiccakaraṇīyāni vā saṃvidahati, evaṃ tumhepi paṭipāṭiyā sampattagharaṃ pavisitvā yaṃ iriyāpathesu pasannā manussā denti, taṃ gahetvā chinnasanthavā, tesaṃ kiccakaraṇīye abyāvaṭā hutvā nikkhamathāti dīpeti.
อิมสฺส ปน นิจฺจนวกภาวสฺส อาวิภาวตฺถํ เทฺวภาติกวตฺถุ กเถตพฺพํ – วสาฬนครคามโต กิร เทฺว ภาติกา นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตา, เต จูฬนาคเตฺถโร จ มหานาคเตฺถโร จาติ ปญฺญายิํสุฯ เต จิตฺตลปพฺพเต ติํส วสฺสานิ วสิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺตา ‘‘มาตรํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ อาคนฺตฺวา วสาฬนครวิหาเร วสิตฺวา ปุนทิวเส มาตุคามํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ มาตาปิ เตสํ อุฬุเงฺกน ยาคุํ นีหริตฺวา เอกสฺส ปเตฺต อากิริฯ ตสฺสา ตํ โอโลกยมานาย ปุตฺตสิเนโห อุปฺปชฺชิฯ อถ นํ อาห – ‘‘ตฺวํ, ตาต, มยฺหํ ปุโตฺต มหานาโค’’ติฯ เถโร ‘‘ปจฺฉิมํ เถรํ ปุจฺฉ อุปาสิเก’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ ปจฺฉิมเถรสฺสปิ ยาคุํ ทตฺวา, ‘‘ตาต, ตฺวํ มยฺหํ ปุโตฺต จูฬนาโค’’ติ ปุจฺฉิ? เถโร ‘‘กิํ, อุปาสิเก, ปุริมํ เถรํ น ปุจฺฉสี’’ติ? วตฺวา ปกฺกามิฯ เอวํ มาตราปิ สทฺธิํ ฉินฺนสนฺถโว ภิกฺขุ นิจฺจนวโก นาม โหติฯ
Imassa pana niccanavakabhāvassa āvibhāvatthaṃ dvebhātikavatthu kathetabbaṃ – vasāḷanagaragāmato kira dve bhātikā nikkhamitvā pabbajitā, te cūḷanāgatthero ca mahānāgatthero cāti paññāyiṃsu. Te cittalapabbate tiṃsa vassāni vasitvā arahattaṃ pattā ‘‘mātaraṃ passissāmā’’ti āgantvā vasāḷanagaravihāre vasitvā punadivase mātugāmaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Mātāpi tesaṃ uḷuṅkena yāguṃ nīharitvā ekassa patte ākiri. Tassā taṃ olokayamānāya puttasineho uppajji. Atha naṃ āha – ‘‘tvaṃ, tāta, mayhaṃ putto mahānāgo’’ti. Thero ‘‘pacchimaṃ theraṃ puccha upāsike’’ti vatvā pakkāmi. Pacchimatherassapi yāguṃ datvā, ‘‘tāta, tvaṃ mayhaṃ putto cūḷanāgo’’ti pucchi? Thero ‘‘kiṃ, upāsike, purimaṃ theraṃ na pucchasī’’ti? Vatvā pakkāmi. Evaṃ mātarāpi saddhiṃ chinnasanthavo bhikkhu niccanavako nāma hoti.
อปฺปคพฺภาติ น ปคพฺภา, อฎฺฐฎฺฐาเนน กายปาคพฺภิเยน, จตุฎฺฐาเนน วจีปาคพฺภิเยน, อเนกฎฺฐาเนน มโนปาคพฺภิเยน จ วิรหิตาติ อโตฺถฯ อฎฺฐฎฺฐานํ กายปาคพฺภิยํ นาม สงฺฆคณปุคฺคล-โภชนสาลา-ชนฺตาฆรนหานติตฺถ-ภิกฺขาจารมคฺค-อนฺตรฆรปฺปเวสเนสุ กาเยน อปฺปติรูปกรณํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ สงฺฆมเชฺฌ ปลฺลตฺถิกาย วา นิสีทติ ปาเท ปาทํ อาธายิตฺวา วาติ เอวมาทิ (มหานิ. ๑๖๕)ฯ ตถา คณมเชฺฌฯ คณมเชฺฌติ จตุปริสสนฺนิปาเต วา สุตฺตนฺติกคณาทิสนฺนิปาเต วาฯ ตถา วุฑฺฒตเร ปุคฺคเลฯ โภชนสาลาย ปน วุฑฺฒานํ อาสนํ น เทติ, นวานํ อาสนํ ปฎิพาหติฯ ตถา ชนฺตาฆเรฯ วุเฑฺฒ เจตฺถ อนาปุจฺฉา อคฺคิชลนาทีนิ กโรติฯ นฺหานติเตฺถ จ ยทิทํ ‘‘ทหโร วุโฑฺฒติ ปมาณํ อกตฺวา อาคตปฎิปาฎิยา นฺหายิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, ตมฺปิ อนาทิยโนฺต ปจฺฉา อาคนฺตฺวา อุทกํ โอตริตฺวา วุเฑฺฒ จ นเว จ พาธติฯ ภิกฺขาจารมเคฺค ปน อคฺคาสนอโคฺคทกอคฺคปิณฺฑานํ อตฺถาย ปุรโต คจฺฉติ พาหาย พาหํ ปหรโนฺตฯ อนฺตรฆรปฺปเวสเน วุเฑฺฒหิ ปฐมตรํ ปวิสติ, ทหเรหิ สทฺธิํ กายกีฬนกํ กโรตีติ เอวมาทิฯ
Appagabbhāti na pagabbhā, aṭṭhaṭṭhānena kāyapāgabbhiyena, catuṭṭhānena vacīpāgabbhiyena, anekaṭṭhānena manopāgabbhiyena ca virahitāti attho. Aṭṭhaṭṭhānaṃ kāyapāgabbhiyaṃ nāma saṅghagaṇapuggala-bhojanasālā-jantāgharanahānatittha-bhikkhācāramagga-antaragharappavesanesu kāyena appatirūpakaraṇaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco saṅghamajjhe pallatthikāya vā nisīdati pāde pādaṃ ādhāyitvā vāti evamādi (mahāni. 165). Tathā gaṇamajjhe. Gaṇamajjheti catuparisasannipāte vā suttantikagaṇādisannipāte vā. Tathā vuḍḍhatare puggale. Bhojanasālāya pana vuḍḍhānaṃ āsanaṃ na deti, navānaṃ āsanaṃ paṭibāhati. Tathā jantāghare. Vuḍḍhe cettha anāpucchā aggijalanādīni karoti. Nhānatitthe ca yadidaṃ ‘‘daharo vuḍḍhoti pamāṇaṃ akatvā āgatapaṭipāṭiyā nhāyitabba’’nti vuttaṃ, tampi anādiyanto pacchā āgantvā udakaṃ otaritvā vuḍḍhe ca nave ca bādhati. Bhikkhācāramagge pana aggāsanaaggodakaaggapiṇḍānaṃ atthāya purato gacchati bāhāya bāhaṃ paharanto. Antaragharappavesane vuḍḍhehi paṭhamataraṃ pavisati, daharehi saddhiṃ kāyakīḷanakaṃ karotīti evamādi.
จตุฎฺฐานํ วจีปาคพฺภิยํ นาม สงฺฆคณปุคฺคลอนฺตรฆเรสุ อปฺปติรูปวาจานิจฺฉารณํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ สงฺฆมเชฺฌ อนาปุจฺฉา ธมฺมํ ภาสติฯ ตถา ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการสฺส คณสฺส มเชฺฌ ปุคฺคลสฺส จ สนฺติเก, ตเตฺถว มนุเสฺสหิ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ วุฑฺฒตรํ อนาปุจฺฉา วิสฺสเชฺชติฯ อนฺตรฆเร ปน ‘‘อิตฺถนฺนาเม กิํ อตฺถิ? กิํ ยาคุ, อุทาหุ ขาทนียํ โภชนียํ? กิํ เม ทสฺสสิ? กิํ อชฺช ขาทิสฺสาม? กิํ ภุญฺชิสฺสาม? กิํ ปิวิสฺสามา’’ติอาทีนิ ภาสติฯ
Catuṭṭhānaṃ vacīpāgabbhiyaṃ nāma saṅghagaṇapuggalaantaragharesu appatirūpavācānicchāraṇaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco saṅghamajjhe anāpucchā dhammaṃ bhāsati. Tathā pubbe vuttappakārassa gaṇassa majjhe puggalassa ca santike, tattheva manussehi pañhaṃ puṭṭho vuḍḍhataraṃ anāpucchā vissajjeti. Antaraghare pana ‘‘itthannāme kiṃ atthi? Kiṃ yāgu, udāhu khādanīyaṃ bhojanīyaṃ? Kiṃ me dassasi? Kiṃ ajja khādissāma? Kiṃ bhuñjissāma? Kiṃ pivissāmā’’tiādīni bhāsati.
อเนกฎฺฐานํ มโนปาคพฺภิยํ นาม เตสุ เตสุ ฐาเนสุ กายวาจาหิ อชฺฌาจารํ อนาปชฺชิตฺวาปิ มนสาว กามวิตกฺกาทีนํ วิตกฺกนํฯ อปิจ ทุสฺสีลเสฺสว สโต ‘‘สีลวาติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ เอวํ ปวตฺตา ปาปิจฺฉตาปิ มโนปาคพฺภิยํฯ อิติ สเพฺพสมฺปิ อิเมสํ ปาคพฺภิยานํ อภาเวน อปฺปคพฺภา หุตฺวา อุปสงฺกมถาติ วทติฯ
Anekaṭṭhānaṃ manopāgabbhiyaṃ nāma tesu tesu ṭhānesu kāyavācāhi ajjhācāraṃ anāpajjitvāpi manasāva kāmavitakkādīnaṃ vitakkanaṃ. Apica dussīlasseva sato ‘‘sīlavāti maṃ jano jānātū’’ti evaṃ pavattā pāpicchatāpi manopāgabbhiyaṃ. Iti sabbesampi imesaṃ pāgabbhiyānaṃ abhāvena appagabbhā hutvā upasaṅkamathāti vadati.
ชรุทปานนฺติ ชิณฺณกูปํฯ ปพฺพตวิสมนฺติ ปพฺพเต วิสมํ ปปาตฎฺฐานํฯ นทีวิทุคฺคนฺติ นทิยา วิทุคฺคํ ฉินฺนตฎฎฺฐานํฯ อปกเสฺสว กายนฺติ ตาทิสานิ ฐานานิ โย ขิฑฺฑาทิปสุโต กายํ อนปกสฺส เอกโตภาริยํ อกตฺวาว วายุปตฺถมฺภกํ อคฺคาหาเปตฺวา จิตฺตมฺปิ อนปกสฺส ‘‘เอตฺถ ปติโต หตฺถปาทภญฺชนาทีนิ ปาปุณาตี’’ติ อนาทีนวทสฺสาวิตาย อนุเพฺพเชตฺวา สมฺปิยายมาโน โอโลเกติ, โส ปติตฺวา หตฺถปาทภญฺชนาทิอนตฺถํ ปาปุณาติฯ โย ปน อุทกตฺถิโก วา อเญฺญน วา เกนจิ กิเจฺจน โอโลเกตุกาโม กายํ อปกสฺส เอกโต ภาริยํ กตฺวา วายุปตฺถมฺภกํ คาหาเปตฺวา, จิตฺตมฺปิ อปกสฺส อาทีนวทสฺสเนน สํเวเชตฺวา โอโลเกติ, โส น ปตติ, ยถารุจิํ โอโลเกตฺวา สุขี เยนกามํ ปกฺกมติฯ
Jarudapānanti jiṇṇakūpaṃ. Pabbatavisamanti pabbate visamaṃ papātaṭṭhānaṃ. Nadīvidugganti nadiyā viduggaṃ chinnataṭaṭṭhānaṃ. Apakasseva kāyanti tādisāni ṭhānāni yo khiḍḍādipasuto kāyaṃ anapakassa ekatobhāriyaṃ akatvāva vāyupatthambhakaṃ aggāhāpetvā cittampi anapakassa ‘‘ettha patito hatthapādabhañjanādīni pāpuṇātī’’ti anādīnavadassāvitāya anubbejetvā sampiyāyamāno oloketi, so patitvā hatthapādabhañjanādianatthaṃ pāpuṇāti. Yo pana udakatthiko vā aññena vā kenaci kiccena oloketukāmo kāyaṃ apakassa ekato bhāriyaṃ katvā vāyupatthambhakaṃ gāhāpetvā, cittampi apakassa ādīnavadassanena saṃvejetvā oloketi, so na patati, yathāruciṃ oloketvā sukhī yenakāmaṃ pakkamati.
เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – ชรุทปานาทโย วิย หิ จตฺตาริ กุลานิ, โอโลกนปุริโส วิย ภิกฺขุฯ ยถา อนปกฎฺฐกายจิโตฺต ตานิ โอโลเกโนฺต ปุริโส ตตฺถ ปตติ, เอวํ อรกฺขิเตหิ กายาทีหิ กุลานิ อุปสงฺกมโนฺต ภิกฺขุ กุเลสุ พชฺฌติ, ตโต นานปฺปการํ สีลปาทภญฺชนาทิอนตฺถํ ปาปุณาติฯ ยถา ปน อปกฎฺฐกายจิโตฺต ปุริโส ตตฺถ น ปตติ, เอวํ รกฺขิเตเนว กาเยน รกฺขิเตหิ จิเตฺตหิ รกฺขิตาย วาจาย สุปฺปฎฺฐิตาย สติยา อปกฎฺฐกายจิโตฺต หุตฺวา กุลานิ อุปสงฺกมโนฺต ภิกฺขุ กุเลสุ น พชฺฌติฯ อถสฺส ยถา ตตฺถ อปติตสฺส ปุริสสฺส, น ปาทา ภญฺชนฺติ, เอวํ สีลปาโท น ภิชฺชติฯ ยถา หตฺถา น ภญฺชนฺติ, เอวํ สทฺธาหโตฺถ น ภิชฺชติฯ ยถา กุจฺฉิ น ภิชฺชติ, เอวํ สมาธิกุจฺฉิ น ภิชฺชติฯ ยถา สีสํ น ภิชฺชติ, เอวํ ญาณสีสํ น ภิชฺชติ, ยถา จ ตํ ขาณุกณฺฎกาทโย น วิชฺฌนฺติ, เอวมิมํ ราคกณฺฎกาทโย น วิชฺฌนฺติฯ ยถา โส นิรุปทฺทโว ยถารุจิ โอโลเกตฺวา สุขี เยนกามํ ปกฺกมติ, เอวํ ภิกฺขุ กุลานิ นิสฺสาย จีวราทโย ปจฺจเย ปฎิเสวโนฺต กมฺมฎฺฐานํ วเฑฺฒตฺวา สงฺขาเร สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปตฺวา โลกุตฺตรสุเขน สุขิโต เยนกามํ อคตปุพฺพํ นิพฺพานทิสํ คจฺฉติฯ
Evamevakhoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ – jarudapānādayo viya hi cattāri kulāni, olokanapuriso viya bhikkhu. Yathā anapakaṭṭhakāyacitto tāni olokento puriso tattha patati, evaṃ arakkhitehi kāyādīhi kulāni upasaṅkamanto bhikkhu kulesu bajjhati, tato nānappakāraṃ sīlapādabhañjanādianatthaṃ pāpuṇāti. Yathā pana apakaṭṭhakāyacitto puriso tattha na patati, evaṃ rakkhiteneva kāyena rakkhitehi cittehi rakkhitāya vācāya suppaṭṭhitāya satiyā apakaṭṭhakāyacitto hutvā kulāni upasaṅkamanto bhikkhu kulesu na bajjhati. Athassa yathā tattha apatitassa purisassa, na pādā bhañjanti, evaṃ sīlapādo na bhijjati. Yathā hatthā na bhañjanti, evaṃ saddhāhattho na bhijjati. Yathā kucchi na bhijjati, evaṃ samādhikucchi na bhijjati. Yathā sīsaṃ na bhijjati, evaṃ ñāṇasīsaṃ na bhijjati, yathā ca taṃ khāṇukaṇṭakādayo na vijjhanti, evamimaṃ rāgakaṇṭakādayo na vijjhanti. Yathā so nirupaddavo yathāruci oloketvā sukhī yenakāmaṃ pakkamati, evaṃ bhikkhu kulāni nissāya cīvarādayo paccaye paṭisevanto kammaṭṭhānaṃ vaḍḍhetvā saṅkhāre sammasanto arahattaṃ patvā lokuttarasukhena sukhito yenakāmaṃ agatapubbaṃ nibbānadisaṃ gacchati.
อิทานิ โย หีนาธิมุตฺติโก มิจฺฉาปฎิปโนฺน เอวํ วเทยฺย ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ‘ติวิธํ ปาคพฺภิยํ ปหาย นิจฺจนวกเตฺตน จนฺทูปมา กุลานิ อุปสงฺกมถา’ติ วทโนฺต อฎฺฐาเน ฐเปติ, อสยฺหํ ภารํ อาโรเปติ, ยํ น สกฺกา กาตุํ ตํ กาเรตี’’ติ, ตสฺส วาทปถํ ปจฺฉินฺทิตฺวา, ‘‘สกฺกา เอวํ กาตุํ, อตฺถิ เอวรูโป ภิกฺขู’’ติ ทเสฺสโนฺต กสฺสโป, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ
Idāni yo hīnādhimuttiko micchāpaṭipanno evaṃ vadeyya ‘‘sammāsambuddho ‘tividhaṃ pāgabbhiyaṃ pahāya niccanavakattena candūpamā kulāni upasaṅkamathā’ti vadanto aṭṭhāne ṭhapeti, asayhaṃ bhāraṃ āropeti, yaṃ na sakkā kātuṃ taṃ kāretī’’ti, tassa vādapathaṃ pacchinditvā, ‘‘sakkā evaṃ kātuṃ, atthi evarūpo bhikkhū’’ti dassento kassapo, bhikkhavetiādimāha.
อากาเส ปาณิํ จาเลสีติ นีเล คคนนฺตเร ยมกวิชฺชุตํ จารยมาโน วิย เหฎฺฐาภาคํ อุปริภาคํ อุภโตปเสฺสสุ ปาณิํ สญฺจาเรสิฯ อิทญฺจ ปน เตปิฎเก พุทฺธวจเน อสมฺภินฺนปทํ นามฯ อตฺตมโนติ ตุฎฺฐจิโตฺต สกมโน, น โทมนเสฺสน ปจฺฉินฺทิตฺวา คหิตมโนฯ กสฺสปสฺส, ภิกฺขเวติ อิทมฺปิ ปุริมนเยเนว ปรวาทํ ปจฺฉินฺทิตฺวา อตฺถิ เอวรูโป ภิกฺขูติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ
Ākāse pāṇiṃ cālesīti nīle gaganantare yamakavijjutaṃ cārayamāno viya heṭṭhābhāgaṃ uparibhāgaṃ ubhatopassesu pāṇiṃ sañcāresi. Idañca pana tepiṭake buddhavacane asambhinnapadaṃ nāma. Attamanoti tuṭṭhacitto sakamano, na domanassena pacchinditvā gahitamano. Kassapassa, bhikkhaveti idampi purimanayeneva paravādaṃ pacchinditvā atthi evarūpo bhikkhūti dassanatthaṃ vuttaṃ.
ปสนฺนาการํ กเรยฺยุนฺติ จีวราทโย ปจฺจเย ทเทยฺยุํฯ ตถตฺตาย ปฎิปเชฺชยฺยุนฺติ สีลสฺส อาคตฎฺฐาเน สีลํ ปูรยมานา, สมาธิวิปสฺสนา มคฺคผลานํ อาคตฎฺฐาเน ตานิ ตานิ สมฺปาทยมานา ตถาภาวาย ปฎิปเชฺชยฺยุํฯ อนุทยนฺติ รกฺขณภาวํฯ อนุกมฺปนฺติ มุทุจิตฺตตํฯ อุภยเญฺจตํ การุญฺญเสฺสว เววจนํฯ กสฺสโป, ภิกฺขเวติ อิทมฺปิ ปุริมนเยเนว ปรวาทํ ปจฺฉินฺทิตฺวา อตฺถิ เอวรูโป ภิกฺขูติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ กสฺสเปน วาติ เอตฺถ จโนฺทปมาทิวเสน โยชนํ กตฺวา ปุริมนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตติยํฯ
Pasannākāraṃkareyyunti cīvarādayo paccaye dadeyyuṃ. Tathattāya paṭipajjeyyunti sīlassa āgataṭṭhāne sīlaṃ pūrayamānā, samādhivipassanā maggaphalānaṃ āgataṭṭhāne tāni tāni sampādayamānā tathābhāvāya paṭipajjeyyuṃ. Anudayanti rakkhaṇabhāvaṃ. Anukampanti muducittataṃ. Ubhayañcetaṃ kāruññasseva vevacanaṃ. Kassapo, bhikkhaveti idampi purimanayeneva paravādaṃ pacchinditvā atthi evarūpo bhikkhūti dassanatthaṃ vuttaṃ. Kassapena vāti ettha candopamādivasena yojanaṃ katvā purimanayeneva attho veditabbo. Tatiyaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๓. จนฺทูปมสุตฺตํ • 3. Candūpamasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๓. จนฺทูปมสุตฺตวณฺณนา • 3. Candūpamasuttavaṇṇanā