Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā

    รูปาวจรกุสลวณฺณนา

    Rūpāvacarakusalavaṇṇanā

    จตุกฺกนโย ปฐมชฺฌานํ

    Catukkanayo paṭhamajjhānaṃ

    ๑๖๐. อิทานิ รูปาวจรกุสลํ ทเสฺสตุํ กตเม ธมฺมา กุสลาติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวตีติ รูปํ วุจฺจติ รูปภโวฯ อุปปตฺตีติ นิพฺพตฺติ ชาติ สญฺชาติฯ มโคฺคติ อุปาโยฯ วจนโตฺถ ปเนตฺถ – ตํ อุปปตฺติํ มคฺคติ คเวสติ ชเนติ นิปฺผาเทตีติ มโคฺคฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เยน มเคฺคน รูปภเว อุปปตฺติ โหติ นิพฺพตฺติ ชาติ สญฺชาติ, ตํ มคฺคํ ภาเวตีติฯ กิํ ปเนเตน นิยมโต รูปภเว อุปปตฺติ โหตีติ? น โหติฯ ‘‘สมาธิํ, ภิกฺขเว, ภาเวถ, สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๕; ๔.๙๙; ๕.๑๐๗๑; เนตฺติ. ๔๐; มิ. ป. ๒.๑.๑๕) เอวํ วุเตฺตน หิ นิเพฺพธภาคิเยน รูปภวาติกฺกโมปิ โหติฯ รูปูปปตฺติยา ปน อิโต อโญฺญ มโคฺค นาม นตฺถิ, เตน วุตฺตํ ‘รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวตี’ติฯ อตฺถโต จายํ มโคฺค นาม เจตนาปิ โหติ, เจตนาย สมฺปยุตฺตธมฺมาปิ, ตทุภยมฺปิฯ ‘‘นิรยญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ นิรยคามิญฺจ มคฺค’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๑๕๓) หิ เอตฺถ เจตนา มโคฺค นามฯ

    160. Idāni rūpāvacarakusalaṃ dassetuṃ katame dhammā kusalātiādi āraddhaṃ. Tattha rūpūpapattiyā maggaṃ bhāvetīti rūpaṃ vuccati rūpabhavo. Upapattīti nibbatti jāti sañjāti. Maggoti upāyo. Vacanattho panettha – taṃ upapattiṃ maggati gavesati janeti nipphādetīti maggo. Idaṃ vuttaṃ hoti – yena maggena rūpabhave upapatti hoti nibbatti jāti sañjāti, taṃ maggaṃ bhāvetīti. Kiṃ panetena niyamato rūpabhave upapatti hotīti? Na hoti. ‘‘Samādhiṃ, bhikkhave, bhāvetha, samāhito yathābhūtaṃ pajānāti passatī’’ti (saṃ. ni. 3.5; 4.99; 5.1071; netti. 40; mi. pa. 2.1.15) evaṃ vuttena hi nibbedhabhāgiyena rūpabhavātikkamopi hoti. Rūpūpapattiyā pana ito añño maggo nāma natthi, tena vuttaṃ ‘rūpūpapattiyā maggaṃ bhāvetī’ti. Atthato cāyaṃ maggo nāma cetanāpi hoti, cetanāya sampayuttadhammāpi, tadubhayampi. ‘‘Nirayañcāhaṃ, sāriputta, pajānāmi nirayagāmiñca magga’’nti (ma. ni. 1.153) hi ettha cetanā maggo nāma.

    ‘‘สทฺธา หิริยํ กุสลญฺจ ทานํ, ธมฺมา เอเต สปฺปุริสานุยาตา;

    ‘‘Saddhā hiriyaṃ kusalañca dānaṃ, dhammā ete sappurisānuyātā;

    เอตญฺหิ มคฺคํ ทิวิยํ วทนฺติ, เอเตน หิ คจฺฉติ เทวโลก’’นฺติฯ (อ. นิ. ๘.๓๒);

    Etañhi maggaṃ diviyaṃ vadanti, etena hi gacchati devaloka’’nti. (a. ni. 8.32);

    เอตฺถ เจตนาสมฺปยุตฺตธมฺมา มโคฺค นามฯ ‘‘อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺค, อยํ ปฎิปทา’’ติ สงฺขารุปปตฺติสุตฺตาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๖๑ อาทโย) เจตนาปิ เจตนาสมฺปยุตฺตธมฺมาปิ มโคฺค นามฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน ‘ฌาน’นฺติ วจนโต เจตนาสมฺปยุตฺตา อธิเปฺปตาฯ ยสฺมา ปน ฌานเจตนา ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒติ, ตสฺมา เจตนาปิ เจตนาสมฺปยุตฺตธมฺมาปิ วฎฺฎนฺติเยวฯ

    Ettha cetanāsampayuttadhammā maggo nāma. ‘‘Ayaṃ, bhikkhave, maggo, ayaṃ paṭipadā’’ti saṅkhārupapattisuttādīsu (ma. ni. 3.161 ādayo) cetanāpi cetanāsampayuttadhammāpi maggo nāma. Imasmiṃ pana ṭhāne ‘jhāna’nti vacanato cetanāsampayuttā adhippetā. Yasmā pana jhānacetanā paṭisandhiṃ ākaḍḍhati, tasmā cetanāpi cetanāsampayuttadhammāpi vaṭṭantiyeva.

    ภาเวตีติ ชเนติ อุปฺปาเทติ วเฑฺฒติฯ อยํ ตาว อิธ ภาวนาย อโตฺถฯ อญฺญตฺถ ปน อุปสคฺควเสน สมฺภาวนา ปริภาวนา วิภาวนาติ เอวํ อญฺญถาปิ อโตฺถ โหติฯ ตตฺถ ‘‘อิธุทายิ มม สาวกา อธิสีเล สมฺภาเวนฺติ – สีลวา สมโณ โคตโม, ปรเมน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๔๓) อยํ สมฺภาวนา นาม; โอกปฺปนาติ อโตฺถฯ ‘‘สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส, สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา, ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๘๖) อยํ ปริภาวนา นาม; วาสนาติ อโตฺถฯ ‘‘อิงฺฆ รูปํ วิภาเวหิ, เวทนํ… สญฺญํ… สงฺขาเร… วิญฺญาณํ วิภาเวหี’’ติ อยํ วิภาวนา นาม; อนฺตรธาปนาติ อโตฺถฯ ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน ภาเวนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๔๗), อยํ ปน อุปฺปาทนวฑฺฒนเฎฺฐน ภาวนา นามฯ อิมสฺมิมฺปิ ฐาเน อยเมว อธิเปฺปตาฯ เตน วุตฺตํ – ‘ภาเวตีติ ชเนติ อุปฺปาเทติ วเฑฺฒตี’ติฯ

    Bhāvetīti janeti uppādeti vaḍḍheti. Ayaṃ tāva idha bhāvanāya attho. Aññattha pana upasaggavasena sambhāvanā paribhāvanā vibhāvanāti evaṃ aññathāpi attho hoti. Tattha ‘‘idhudāyi mama sāvakā adhisīle sambhāventi – sīlavā samaṇo gotamo, paramena sīlakkhandhena samannāgato’’ti (ma. ni. 2.243) ayaṃ sambhāvanā nāma; okappanāti attho. ‘‘Sīlaparibhāvito samādhi mahapphalo hoti mahānisaṃso, samādhiparibhāvitā paññā mahapphalā hoti mahānisaṃsā, paññāparibhāvitaṃ cittaṃ sammadeva āsavehi vimuccatī’’ti (dī. ni. 2.186) ayaṃ paribhāvanā nāma; vāsanāti attho. ‘‘Iṅgha rūpaṃ vibhāvehi, vedanaṃ… saññaṃ… saṅkhāre… viññāṇaṃ vibhāvehī’’ti ayaṃ vibhāvanā nāma; antaradhāpanāti attho. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā cattāro satipaṭṭhāne bhāventī’’ti (ma. ni. 2.247), ayaṃ pana uppādanavaḍḍhanaṭṭhena bhāvanā nāma. Imasmimpi ṭhāne ayameva adhippetā. Tena vuttaṃ – ‘bhāvetīti janeti uppādeti vaḍḍhetī’ti.

    กสฺมา ปเนตฺถ, ยถา กามาวจรกุสลนิเทฺทเส ธมฺมปุพฺพงฺคมา เทสนา กตา ตถา อกตฺวา, ปุคฺคลปุพฺพงฺคมา กตาติ? ปฎิปทาย สาเธตพฺพโตฯ อิทญฺหิ จตูสุ ปฎิปทาสุ อญฺญตราย สาเธตพฺพํ; น กามาวจรํ วิย วินา ปฎิปทาย อุปฺปชฺชติฯ ปฎิปทา จ นาเมสา ปฎิปนฺนเก สติ โหตีติ เอตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ปุคฺคลปุพฺพงฺคมํ เทสนํ กโรโนฺต ‘รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวตี’ติ อาหฯ

    Kasmā panettha, yathā kāmāvacarakusalaniddese dhammapubbaṅgamā desanā katā tathā akatvā, puggalapubbaṅgamā katāti? Paṭipadāya sādhetabbato. Idañhi catūsu paṭipadāsu aññatarāya sādhetabbaṃ; na kāmāvacaraṃ viya vinā paṭipadāya uppajjati. Paṭipadā ca nāmesā paṭipannake sati hotīti etamatthaṃ dassetuṃ puggalapubbaṅgamaṃ desanaṃ karonto ‘rūpūpapattiyā maggaṃ bhāvetī’ti āha.

    วิวิเจฺจว กาเมหีติ กาเมหิ วิวิจฺจิตฺวา, วินา หุตฺวา, อปกฺกมิตฺวาฯ โย ปนายเมตฺถ ‘เอว’-กาโร โส นิยมโตฺถติ เวทิตโพฺพฯ ยสฺมา จ นิยมโตฺถ, ตสฺมา ตสฺมิํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรณสมเย อวิชฺชมานานมฺปิ กามานํ ตสฺส ปฐมชฺฌานสฺส ปฎิปกฺขภาวํ, กามปริจฺจาเคเนว จสฺส อธิคมํ ทีเปติฯ กถํ? ‘วิวิเจฺจว กาเมหี’ติ เอวญฺหิ นิยเม กริยมาเน อิทํ ปญฺญายติ – นูนิมสฺส กามา ปฎิปกฺขภูตา เยสุ สติ อิทํ น ปวตฺตติ, อนฺธกาเร สติ ปทีโปภาโส วิย? เตสํ ปริจฺจาเคเนว จสฺส อธิคโม โหติ โอริมตีรปริจฺจาเคน ปาริมตีรเสฺสวฯ ตสฺมา นิยมํ กโรตีติฯ

    Vivicceva kāmehīti kāmehi viviccitvā, vinā hutvā, apakkamitvā. Yo panāyamettha ‘eva’-kāro so niyamatthoti veditabbo. Yasmā ca niyamattho, tasmā tasmiṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharaṇasamaye avijjamānānampi kāmānaṃ tassa paṭhamajjhānassa paṭipakkhabhāvaṃ, kāmapariccāgeneva cassa adhigamaṃ dīpeti. Kathaṃ? ‘Vivicceva kāmehī’ti evañhi niyame kariyamāne idaṃ paññāyati – nūnimassa kāmā paṭipakkhabhūtā yesu sati idaṃ na pavattati, andhakāre sati padīpobhāso viya? Tesaṃ pariccāgeneva cassa adhigamo hoti orimatīrapariccāgena pārimatīrasseva. Tasmā niyamaṃ karotīti.

    ตตฺถ สิยา – ‘กสฺมา ปเนส ปุพฺพปเทเยว วุโตฺต, น อุตฺตรปเท? กิํ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ อวิวิจฺจาปิ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’ติ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตํนิสฺสรณโต หิ ปุพฺพปเท เอส วุโตฺตฯ กามธาตุสมติกฺกมนโต หิ กามราคปฎิปกฺขโต จ อิทํ ฌานํ กามานเมว นิสฺสรณํฯ ยถาห – ‘‘กามานเมตํ นิสฺสรณํ ยทิทํ เนกฺขมฺม’’นฺติ (อิติวุ. ๗๒; ที. นิ. ๓.๓๕๓)ฯ อุตฺตรปเทปิ ปน, ยถา ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ, อิธ ทุติโย สมโณ’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๙; อ. นิ. ๔.๒๔๑) เอตฺถ ‘เอว’-กาโร อาเนตฺวา วุจฺจติ, เอวํ วตฺตโพฺพฯ น หิ สกฺกา อิโต อเญฺญหิปิ นีวรณสงฺขาเตหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ อวิวิจฺจ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตุํ, ตสฺมา ‘วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิเจฺจว อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติ เอวํ ปททฺวเยปิ เอส ทฎฺฐโพฺพฯ ปททฺวเยปิ จ กิญฺจาปิ วิวิจฺจาติ อิมินา สาธารณวจเนน ตทงฺควิเวกาทโย กายวิเวกาทโย จ สเพฺพปิ วิเวกา สงฺคหํ คจฺฉนฺติ, ตถาปิ กายวิเวโก จิตฺตวิเวโก วิกฺขมฺภนวิเวโกติ ตโย เอว อิธ ทฎฺฐพฺพาฯ

    Tattha siyā – ‘kasmā panesa pubbapadeyeva vutto, na uttarapade? Kiṃ akusalehi dhammehi aviviccāpi jhānaṃ upasampajja vihareyyā’ti? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ. Taṃnissaraṇato hi pubbapade esa vutto. Kāmadhātusamatikkamanato hi kāmarāgapaṭipakkhato ca idaṃ jhānaṃ kāmānameva nissaraṇaṃ. Yathāha – ‘‘kāmānametaṃ nissaraṇaṃ yadidaṃ nekkhamma’’nti (itivu. 72; dī. ni. 3.353). Uttarapadepi pana, yathā ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo, idha dutiyo samaṇo’’ti (ma. ni. 1.139; a. ni. 4.241) ettha ‘eva’-kāro ānetvā vuccati, evaṃ vattabbo. Na hi sakkā ito aññehipi nīvaraṇasaṅkhātehi akusalehi dhammehi avivicca jhānaṃ upasampajja viharituṃ, tasmā ‘vivicceva kāmehi vivicceva akusalehi dhammehī’ti evaṃ padadvayepi esa daṭṭhabbo. Padadvayepi ca kiñcāpi viviccāti iminā sādhāraṇavacanena tadaṅgavivekādayo kāyavivekādayo ca sabbepi vivekā saṅgahaṃ gacchanti, tathāpi kāyaviveko cittaviveko vikkhambhanavivekoti tayo eva idha daṭṭhabbā.

    กาเมหีติ อิมินา ปน ปเทน เย จ นิเทฺทเส ‘‘กตเม วตฺถุกามา? มนาปิยา รูปา’’ติอาทินา (มหานิ. ๑) นเยน วตฺถุกามา วุตฺตา, เย จ ตเตฺถว วิภเงฺค จ ‘‘ฉโนฺท กาโม, ราโค กาโม, ฉนฺทราโค กาโม; สงฺกโปฺป กาโม, ราโค กาโม, สงฺกปฺปราโค กาโม; อิเม วุจฺจนฺติ กามา’’ติ (มหานิ. ๑; วิภ. ๕๖๔) เอวํ กิเลสกามา วุตฺตา, เต สเพฺพปิ สงฺคหิตาอิเจฺจว ทฎฺฐพฺพาฯ เอวญฺหิ สติ วิวิเจฺจว กาเมหีติ วตฺถุกาเมหิปิ วิวิเจฺจวาติ อโตฺถ ยุชฺชติฯ เตน กายวิเวโก วุโตฺต โหติฯ

    Kāmehīti iminā pana padena ye ca niddese ‘‘katame vatthukāmā? Manāpiyā rūpā’’tiādinā (mahāni. 1) nayena vatthukāmā vuttā, ye ca tattheva vibhaṅge ca ‘‘chando kāmo, rāgo kāmo, chandarāgo kāmo; saṅkappo kāmo, rāgo kāmo, saṅkapparāgo kāmo; ime vuccanti kāmā’’ti (mahāni. 1; vibha. 564) evaṃ kilesakāmā vuttā, te sabbepi saṅgahitāicceva daṭṭhabbā. Evañhi sati vivicceva kāmehīti vatthukāmehipi viviccevāti attho yujjati. Tena kāyaviveko vutto hoti.

    วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหีติ กิเลสกาเมหิ สพฺพากุสเลหิ วา วิวิจฺจาติ อโตฺถ ยุชฺชติฯ เตน จิตฺตวิเวโก วุโตฺต โหติฯ ปุริเมน เจตฺถ วตฺถุกาเมหิ วิเวกวจนโต เอว กามสุขปริจฺจาโค, ทุติเยน กิเลสกาเมหิ วิเวกวจนโต เนกฺขมฺมสุขปริคฺคโห วิภาวิโต โหติฯ เอวํ วตฺถุกามกิเลสกามวิเวกวจนโตเยว จ เอเตสํ ปฐเมน สํกิเลสวตฺถุปฺปหานํ, ทุติเยน สํกิเลสปฺปหานํ; ปฐเมน โลลภาวสฺส เหตุปริจฺจาโค, ทุติเยน พาลภาวสฺส; ปฐเมน จ ปโยคสุทฺธิ, ทุติเยน อาสยโปสนํ วิภาวิตํ โหตีติ ญาตพฺพํฯ เอส ตาว นโย ‘กาเมหี’ติ เอตฺถ วุตฺตกาเมสุ วตฺถุกามปเกฺขฯ

    Vivicca akusalehi dhammehīti kilesakāmehi sabbākusalehi vā viviccāti attho yujjati. Tena cittaviveko vutto hoti. Purimena cettha vatthukāmehi vivekavacanato eva kāmasukhapariccāgo, dutiyena kilesakāmehi vivekavacanato nekkhammasukhapariggaho vibhāvito hoti. Evaṃ vatthukāmakilesakāmavivekavacanatoyeva ca etesaṃ paṭhamena saṃkilesavatthuppahānaṃ, dutiyena saṃkilesappahānaṃ; paṭhamena lolabhāvassa hetupariccāgo, dutiyena bālabhāvassa; paṭhamena ca payogasuddhi, dutiyena āsayaposanaṃ vibhāvitaṃ hotīti ñātabbaṃ. Esa tāva nayo ‘kāmehī’ti ettha vuttakāmesu vatthukāmapakkhe.

    กิเลสกามปเกฺข ปน ‘ฉโนฺทติ จ ราโค’ติ จ เอวมาทีหิ อเนกเภโท กามจฺฉโนฺทเยว กาโมติ อธิเปฺปโตฯ โส จ อกุสลปริยาปโนฺนปิ สมาโน ‘‘ตตฺถ กตโม กามจฺฉโนฺท กาโม’’ติอาทินา นเยน วิภเงฺค (วิภ. ๕๖๔) ฌานปฎิปกฺขโต วิสุํ วุโตฺตฯ กิเลสกามตฺตา วา ปุริมปเท วุโตฺต, อกุสลปริยาปนฺนตฺตา ทุติยปเทฯ อเนกเภทโต จสฺส ‘กามโต’ติ อวตฺวา ‘กาเมหี’ติ วุตฺตํฯ อเญฺญสมฺปิ จ ธมฺมานํ อกุสลภาเว วิชฺชมาเน ‘‘ตตฺถ กตเม อกุสลา ธมฺมา? กามจฺฉโนฺท’’ติอาทินา นเยน วิภเงฺค อุปริฌานงฺคปจฺจนีกปฎิปกฺขภาวทสฺสนโต นีวรณาเนว วุตฺตานิฯ นีวรณานิ หิ ฌานงฺคปจฺจนีกานิฯ เตสํ ฌานงฺคาเนว ปฎิปกฺขานิ, วิทฺธํสกานิ, วิฆาตกานีติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา หิ ‘‘สมาธิ กามจฺฉนฺทสฺส ปฎิปโกฺข, ปีติ พฺยาปาทสฺส, วิตโกฺก ถินมิทฺธสฺส, สุขํ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส, วิจาโร วิจิกิจฺฉายา’’ติ เปฎเก วุตฺตํฯ

    Kilesakāmapakkhe pana ‘chandoti ca rāgo’ti ca evamādīhi anekabhedo kāmacchandoyeva kāmoti adhippeto. So ca akusalapariyāpannopi samāno ‘‘tattha katamo kāmacchando kāmo’’tiādinā nayena vibhaṅge (vibha. 564) jhānapaṭipakkhato visuṃ vutto. Kilesakāmattā vā purimapade vutto, akusalapariyāpannattā dutiyapade. Anekabhedato cassa ‘kāmato’ti avatvā ‘kāmehī’ti vuttaṃ. Aññesampi ca dhammānaṃ akusalabhāve vijjamāne ‘‘tattha katame akusalā dhammā? Kāmacchando’’tiādinā nayena vibhaṅge uparijhānaṅgapaccanīkapaṭipakkhabhāvadassanato nīvaraṇāneva vuttāni. Nīvaraṇāni hi jhānaṅgapaccanīkāni. Tesaṃ jhānaṅgāneva paṭipakkhāni, viddhaṃsakāni, vighātakānīti vuttaṃ hoti. Tathā hi ‘‘samādhi kāmacchandassa paṭipakkho, pīti byāpādassa, vitakko thinamiddhassa, sukhaṃ uddhaccakukkuccassa, vicāro vicikicchāyā’’ti peṭake vuttaṃ.

    เอวเมตฺถ ‘วิวิเจฺจว กาเมหี’ติ อิมินา กามจฺฉนฺทสฺส วิกฺขมฺภนวิเวโก วุโตฺต โหติฯ ‘วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติ อิมินา ปญฺจนฺนมฺปิ นีวรณานํฯ อคฺคหิตคฺคหเณน ปน ปฐเมน กามจฺฉนฺทสฺส, ทุติเยน เสสนีวรณานํ; ตถา ปฐเมน ตีสุ อกุสลมูเลสุ ปญฺจกามคุณเภทวิสยสฺส โลภสฺส, ทุติเยน อาฆาตวตฺถุเภทาทิวิสยานํ โทสโมหานํฯ โอฆาทีสุ วา ธเมฺมสุ ปฐเมน กาโมฆกามโยคกามาสวกามุปาทานอภิชฺฌากายคนฺถกามราคสํโยชนานํ, ทุติเยน อวเสสโอฆโยคาสวอุปาทานคนฺถสํโยชนานํฯ ปฐเมน จ ตณฺหาย ตํสมฺปยุตฺตกานญฺจ, ทุติเยน อวิชฺชาย ตํสมฺปยุตฺตกานญฺจฯ อปิจ ปฐเมน โลภสมฺปยุตฺตอฎฺฐจิตฺตุปฺปาทานํ, ทุติเยน เสสานํ จตุนฺนํ อกุสลจิตฺตุปฺปาทานํ วิกฺขมฺภนวิเวโก วุโตฺต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ อยํ ตาว ‘วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติ เอตฺถ อตฺถปฺปกาสนาฯ

    Evamettha ‘vivicceva kāmehī’ti iminā kāmacchandassa vikkhambhanaviveko vutto hoti. ‘Vivicca akusalehi dhammehī’ti iminā pañcannampi nīvaraṇānaṃ. Aggahitaggahaṇena pana paṭhamena kāmacchandassa, dutiyena sesanīvaraṇānaṃ; tathā paṭhamena tīsu akusalamūlesu pañcakāmaguṇabhedavisayassa lobhassa, dutiyena āghātavatthubhedādivisayānaṃ dosamohānaṃ. Oghādīsu vā dhammesu paṭhamena kāmoghakāmayogakāmāsavakāmupādānaabhijjhākāyaganthakāmarāgasaṃyojanānaṃ, dutiyena avasesaoghayogāsavaupādānaganthasaṃyojanānaṃ. Paṭhamena ca taṇhāya taṃsampayuttakānañca, dutiyena avijjāya taṃsampayuttakānañca. Apica paṭhamena lobhasampayuttaaṭṭhacittuppādānaṃ, dutiyena sesānaṃ catunnaṃ akusalacittuppādānaṃ vikkhambhanaviveko vutto hotīti veditabbo. Ayaṃ tāva ‘vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehī’ti ettha atthappakāsanā.

    เอตฺตาวตา จ ปฐมสฺส ฌานสฺส ปหานงฺคํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สมฺปโยคงฺคํ ทเสฺสตุํ สวิตกฺกํ สวิจารนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตลกฺขณาทิวิภาเคน อปฺปนาสมฺปโยคโต รูปาวจรภาวปฺปเตฺตน วิตเกฺกน เจว วิจาเรน จ สห วตฺตติฯ รุโกฺข วิย ปุเปฺผน จ ผเลน จาติ อิทํ ฌานํ สวิตกฺกํ สวิจารนฺติ วุจฺจติฯ วิภเงฺค ปน ‘‘อิมินา จ วิตเกฺกน อิมินา จ วิจาเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต’’ติอาทินา (วิภ. ๕๖๕) นเยน ปุคฺคลาธิฎฺฐานา เทสนา กตาฯ อโตฺถ ปน ตตฺรปิ เอวเมว ทฎฺฐโพฺพฯ

    Ettāvatā ca paṭhamassa jhānassa pahānaṅgaṃ dassetvā idāni sampayogaṅgaṃ dassetuṃ savitakkaṃ savicārantiādi vuttaṃ. Tattha heṭṭhā vuttalakkhaṇādivibhāgena appanāsampayogato rūpāvacarabhāvappattena vitakkena ceva vicārena ca saha vattati. Rukkho viya pupphena ca phalena cāti idaṃ jhānaṃ savitakkaṃ savicāranti vuccati. Vibhaṅge pana ‘‘iminā ca vitakkena iminā ca vicārena upeto hoti samupeto’’tiādinā (vibha. 565) nayena puggalādhiṭṭhānā desanā katā. Attho pana tatrapi evameva daṭṭhabbo.

    วิเวกชนฺติ – เอตฺถ วิวิตฺติ วิเวโกฯ นีวรณวิคโมติ อโตฺถฯ วิวิโตฺตติ วา วิเวโก, นีวรณวิวิโตฺต ฌานสมฺปยุตฺตธมฺมราสีติ อโตฺถฯ ตสฺมา วิเวกา, ตสฺมิํ วา วิเวเก, ชาตนฺติ วิเวกชํฯ ปีติสุขนฺติ – เอตฺถ ปีติสุขานิ เหฎฺฐา ปกาสิตาเนวฯ เตสุ ปน วุตฺตปฺปการาย ปญฺจวิธาย ปีติยา ยา อปฺปนาสมาธิสฺส มูลํ หุตฺวา วฑฺฒมานา สมาธิสมฺปโยคํ คตา ผรณาปีติ – อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปตา ปีตีติฯ อยญฺจ ปีติ อิทญฺจ สุขํ อสฺส ฌานสฺส, อสฺมิํ วา ฌาเน อตฺถีติ อิทํ ฌานํ ปีติสุขนฺติ วุจฺจติฯ อถ วา ปีติ จ สุขญฺจ ปีติสุขํ, ธมฺมวินยาทโย วิยฯ วิเวกชํ ปีติสุขมสฺส ฌานสฺส, อสฺมิํ วา ฌาเน, อตฺถีติ เอวมฺปิ วิเวกชํ ปีติสุขํฯ ยเถว หิ ฌานํ เอวํ ปีติสุขเมฺปตฺถ วิเวกชเมว โหติฯ ตญฺจสฺส อตฺถิฯ ตสฺมา เอกปเทเนว ‘วิเวกชํ ปีติสุข’นฺติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ วิภเงฺค ปน ‘‘อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคต’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตํฯ อโตฺถ ปน ตตฺถาปิ เอวเมว ทฎฺฐโพฺพฯ

    Vivekajanti – ettha vivitti viveko. Nīvaraṇavigamoti attho. Vivittoti vā viveko, nīvaraṇavivitto jhānasampayuttadhammarāsīti attho. Tasmā vivekā, tasmiṃ vā viveke, jātanti vivekajaṃ. Pītisukhanti – ettha pītisukhāni heṭṭhā pakāsitāneva. Tesu pana vuttappakārāya pañcavidhāya pītiyā yā appanāsamādhissa mūlaṃ hutvā vaḍḍhamānā samādhisampayogaṃ gatā pharaṇāpīti – ayaṃ imasmiṃ atthe adhippetā pītīti. Ayañca pīti idañca sukhaṃ assa jhānassa, asmiṃ vā jhāne atthīti idaṃ jhānaṃ pītisukhanti vuccati. Atha vā pīti ca sukhañca pītisukhaṃ, dhammavinayādayo viya. Vivekajaṃ pītisukhamassa jhānassa, asmiṃ vā jhāne, atthīti evampi vivekajaṃ pītisukhaṃ. Yatheva hi jhānaṃ evaṃ pītisukhampettha vivekajameva hoti. Tañcassa atthi. Tasmā ekapadeneva ‘vivekajaṃ pītisukha’nti vattuṃ yujjati. Vibhaṅge pana ‘‘idaṃ sukhaṃ imāya pītiyā sahagata’’ntiādinā nayena vuttaṃ. Attho pana tatthāpi evameva daṭṭhabbo.

    ปฐมํ ฌานนฺติ – เอตฺถ คณนานุปุพฺพตา ปฐมํฯ ปฐมํ อุปฺปนฺนนฺติ ปฐมํฯ ปฐมํ สมาปชฺชิตพฺพนฺติปิ ปฐมํฯ อิทํ ปน น เอกนฺตลกฺขณํฯ จิณฺณวสีภาโว หิ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี อาทิโต ปฎฺฐาย มตฺถกํ ปาเปโนฺตปิ สมาปชฺชิตุํ สโกฺกติฯ มตฺถกโต ปฎฺฐาย อาทิํ ปาเปโนฺตปิ สมาปชฺชิตุํ สโกฺกติฯ อนฺตรนฺตรา โอกฺกมโนฺตปิ สโกฺกติฯ เอวํ ปุพฺพุปฺปตฺติยเฎฺฐน ปน ปฐมํ นาม โหติฯ

    Paṭhamaṃjhānanti – ettha gaṇanānupubbatā paṭhamaṃ. Paṭhamaṃ uppannanti paṭhamaṃ. Paṭhamaṃ samāpajjitabbantipi paṭhamaṃ. Idaṃ pana na ekantalakkhaṇaṃ. Ciṇṇavasībhāvo hi aṭṭhasamāpattilābhī ādito paṭṭhāya matthakaṃ pāpentopi samāpajjituṃ sakkoti. Matthakato paṭṭhāya ādiṃ pāpentopi samāpajjituṃ sakkoti. Antarantarā okkamantopi sakkoti. Evaṃ pubbuppattiyaṭṭhena pana paṭhamaṃ nāma hoti.

    ฌานนฺติ ทุวิธํ ฌานํ – อารมฺมณูปนิชฺฌานํ ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติฯ ตตฺถ อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปถวิกสิณาทิอารมฺมณํ อุปนิชฺฌายนฺตีติ อารมฺมณูปนิชฺฌานนฺติ สงฺขฺยํ คตาฯ วิปสฺสนามคฺคผลานิ ปน ลกฺขณูปนิชฺฌานํ นามฯ ตตฺถ วิปสฺสนา อนิจฺจาทิลกฺขณสฺส อุปนิชฺฌานโต ลกฺขณูปนิชฺฌานํฯ วิปสฺสนาย กตกิจฺจสฺส มเคฺคน อิชฺฌนโต มโคฺค ลกฺขณูปนิชฺฌานํฯ ผลํ ปน นิโรธสจฺจํ ตถลกฺขณํ อุปนิชฺฌายตีติ ลกฺขณูปนิชฺฌานํ นามฯ เตสุ อิมสฺมิํ อเตฺถ อารมฺมณูปนิชฺฌานํ อธิเปฺปตํฯ ตสฺมา อารมฺมณูปนิชฺฌานโต ปจฺจนีกชฺฌาปนโต วา ฌานนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Jhānanti duvidhaṃ jhānaṃ – ārammaṇūpanijjhānaṃ lakkhaṇūpanijjhānanti. Tattha aṭṭha samāpattiyo pathavikasiṇādiārammaṇaṃ upanijjhāyantīti ārammaṇūpanijjhānanti saṅkhyaṃ gatā. Vipassanāmaggaphalāni pana lakkhaṇūpanijjhānaṃ nāma. Tattha vipassanā aniccādilakkhaṇassa upanijjhānato lakkhaṇūpanijjhānaṃ. Vipassanāya katakiccassa maggena ijjhanato maggo lakkhaṇūpanijjhānaṃ. Phalaṃ pana nirodhasaccaṃ tathalakkhaṇaṃ upanijjhāyatīti lakkhaṇūpanijjhānaṃ nāma. Tesu imasmiṃ atthe ārammaṇūpanijjhānaṃ adhippetaṃ. Tasmā ārammaṇūpanijjhānato paccanīkajjhāpanato vā jhānanti veditabbaṃ.

    อุปสมฺปชฺชาติ อุปคนฺตฺวา, ปาปุณิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ อุปสมฺปาทยิตฺวา วา นิปฺผาเทตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ วิภเงฺค ปน ‘‘อุปสมฺปชฺชาติ ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาโภ ปฎิลาโภ ปตฺติ สมฺปตฺติ ผุสนา สจฺฉิกิริยา อุปสมฺปทา’’ติ (วิภ. ๕๗๐) วุตฺตํฯ ตสฺสาปิ เอวเมวโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ วิหรตีติ ตทนุรูเปน อิริยาปถวิหาเรน อิติวุตฺตปฺปการชฺฌานสมงฺคี หุตฺวา อตฺตภาวสฺส อิริยนํ วุตฺติํ ปาลนํ ยปนํ ยาปนํ จารํ วิหารํ อภินิปฺผาเทติฯ วุตฺตเญฺหตํ วิภเงฺค – ‘‘วิหรตีติ อิริยติ วตฺตติ ปาเลติ ยเปติ ยาเปติ จรติ วิหรติ, เตน วุจฺจติ วิหรตี’’ติ (วิภ. ๕๑๒, ๕๗๑)ฯ

    Upasampajjāti upagantvā, pāpuṇitvāti vuttaṃ hoti. Upasampādayitvā vā nipphādetvāti vuttaṃ hoti. Vibhaṅge pana ‘‘upasampajjāti paṭhamassa jhānassa lābho paṭilābho patti sampatti phusanā sacchikiriyā upasampadā’’ti (vibha. 570) vuttaṃ. Tassāpi evamevattho daṭṭhabbo. Viharatīti tadanurūpena iriyāpathavihārena itivuttappakārajjhānasamaṅgī hutvā attabhāvassa iriyanaṃ vuttiṃ pālanaṃ yapanaṃ yāpanaṃ cāraṃ vihāraṃ abhinipphādeti. Vuttañhetaṃ vibhaṅge – ‘‘viharatīti iriyati vattati pāleti yapeti yāpeti carati viharati, tena vuccati viharatī’’ti (vibha. 512, 571).

    ปถวิกสิณนฺติ เอตฺถ ปถวิมณฺฑลมฺปิ สกลเฎฺฐน ปถวิกสิณนฺติ วุจฺจติฯ ตํ นิสฺสาย ปฎิลทฺธํ นิมิตฺตมฺปิฯ ปถวิกสิณนิมิเตฺต ปฎิลทฺธชฺฌานมฺปิฯ ตตฺถ อิมสฺมิํ อเตฺถ ฌานํ ปถวีกสิณนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปถวิกสิณสงฺขาตํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถฯ อิมสฺมิํ ปน ปถวิกสิเณ ปริกมฺมํ กตฺวา จตุกฺกปญฺจกชฺฌานานิ นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานปทฎฺฐานํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺตุกาเมน กุลปุเตฺตน กิํ กตฺตพฺพนฺติ? อาทิโต ตาว ปาติโมกฺขสํวรอินฺทฺริยสํวรอาชีวปาริสุทฺธิปจฺจยสนฺนิสฺสิตสงฺขาตานิ จตฺตาริ สีลานิ วิโสเธตฺวา สุปริสุเทฺธ สีเล ปติฎฺฐิเตน, ยฺวาสฺส อาวาสาทีสุ ทสสุ ปลิโพเธสุ ปลิโพโธ อตฺถิ, ตํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา กมฺมฎฺฐานทายกํ กลฺยาณมิตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปาฬิยา อาคเตสุ อฎฺฐติํสาย กมฺมฎฺฐาเนสุ อตฺตโน จริยานุกูลํ กมฺมฎฺฐานํ อุปปริกฺขเนฺตน สจสฺส อิทํ ปถวิกสิณํ อนุกูลํ โหติ, อิทเมว กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ฌานภาวนาย อนนุรูปํ วิหารํ ปหาย อนุรูเป วิหาเร วิหรเนฺตน ขุทฺทกปลิโพธุปเจฺฉทํ กตฺวา กสิณปริกมฺมนิมิตฺตานุรกฺขณสตฺตอสปฺปายปริวชฺชนสตฺตสปฺปายเสวนทสวิธอปฺปนาโกสลฺลปฺปเภทํ สพฺพํ ภาวนาวิธานํ อปริหาเปเนฺตน ฌานาธิคมตฺถาย ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๕๑ อาทโย) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ ยถา เจตฺถ เอวํ อิโต ปเรสุปิฯ สพฺพกมฺมฎฺฐานานญฺหิ ภาวนาวิธานํ สพฺพํ อฎฺฐกถานเยน คเหตฺวา วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตํฯ กิํ เตน ตตฺถ ตตฺถ ปุน วุเตฺตนาติ น นํ ปุน วิตฺถารยามฯ ปาฬิยา ปน เหฎฺฐา อนาคตํ อตฺถํ อปริหาเปนฺตา นิรนฺตรํ อนุปทวณฺณนเมว กริสฺสามฯ

    Pathavikasiṇanti ettha pathavimaṇḍalampi sakalaṭṭhena pathavikasiṇanti vuccati. Taṃ nissāya paṭiladdhaṃ nimittampi. Pathavikasiṇanimitte paṭiladdhajjhānampi. Tattha imasmiṃ atthe jhānaṃ pathavīkasiṇanti veditabbaṃ. Pathavikasiṇasaṅkhātaṃ jhānaṃ upasampajja viharatīti ayañhettha saṅkhepattho. Imasmiṃ pana pathavikasiṇe parikammaṃ katvā catukkapañcakajjhānāni nibbattetvā jhānapadaṭṭhānaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pattukāmena kulaputtena kiṃ kattabbanti? Ādito tāva pātimokkhasaṃvaraindriyasaṃvaraājīvapārisuddhipaccayasannissitasaṅkhātāni cattāri sīlāni visodhetvā suparisuddhe sīle patiṭṭhitena, yvāssa āvāsādīsu dasasu palibodhesu palibodho atthi, taṃ upacchinditvā kammaṭṭhānadāyakaṃ kalyāṇamittaṃ upasaṅkamitvā pāḷiyā āgatesu aṭṭhatiṃsāya kammaṭṭhānesu attano cariyānukūlaṃ kammaṭṭhānaṃ upaparikkhantena sacassa idaṃ pathavikasiṇaṃ anukūlaṃ hoti, idameva kammaṭṭhānaṃ gahetvā jhānabhāvanāya ananurūpaṃ vihāraṃ pahāya anurūpe vihāre viharantena khuddakapalibodhupacchedaṃ katvā kasiṇaparikammanimittānurakkhaṇasattaasappāyaparivajjanasattasappāyasevanadasavidhaappanākosallappabhedaṃ sabbaṃ bhāvanāvidhānaṃ aparihāpentena jhānādhigamatthāya paṭipajjitabbaṃ. Ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana visuddhimagge (visuddhi. 1.51 ādayo) vuttanayeneva veditabbo. Yathā cettha evaṃ ito paresupi. Sabbakammaṭṭhānānañhi bhāvanāvidhānaṃ sabbaṃ aṭṭhakathānayena gahetvā visuddhimagge vitthāritaṃ. Kiṃ tena tattha tattha puna vuttenāti na naṃ puna vitthārayāma. Pāḷiyā pana heṭṭhā anāgataṃ atthaṃ aparihāpentā nirantaraṃ anupadavaṇṇanameva karissāma.

    ตสฺมิํ สมเยติ ตสฺมิํ ปฐมชฺฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรณสมเยฯ ผโสฺส โหติ…เป.… อวิเกฺขโป โหตีติ อิเม กามาวจรปฐมกุสลจิเตฺต วุตฺตปฺปการาย ปทปฎิปาฎิยา ฉปณฺณาส ธมฺมา โหนฺติฯ เกวลญฺหิ เต กามาวจรา, อิเม ภูมนฺตรวเสน มหคฺคตา รูปาวจราติ อยเมตฺถ วิเสโสฯ เสสํ ตาทิสเมวฯ เยวาปนกา ปเนตฺถ ฉนฺทาทโย จตฺตาโรว ลพฺภนฺติฯ โกฎฺฐาสวารสุญฺญตวารา ปากติกา เอวาติฯ

    Tasmiṃ samayeti tasmiṃ paṭhamajjhānaṃ upasampajja viharaṇasamaye. Phasso hoti…pe… avikkhepo hotīti ime kāmāvacarapaṭhamakusalacitte vuttappakārāya padapaṭipāṭiyā chapaṇṇāsa dhammā honti. Kevalañhi te kāmāvacarā, ime bhūmantaravasena mahaggatā rūpāvacarāti ayamettha viseso. Sesaṃ tādisameva. Yevāpanakā panettha chandādayo cattārova labbhanti. Koṭṭhāsavārasuññatavārā pākatikā evāti.

    ปฐมํฯ

    Paṭhamaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / รูปาวจรกุสลํ • Rūpāvacarakusalaṃ

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / ปฐมชฺฌานกถาวณฺณนา • Paṭhamajjhānakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / ปฐมชฺฌานกถาวณฺณนา • Paṭhamajjhānakathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact