Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā

    ๒๘. จตุปจฺจยภาชนียวินิจฺฉยกถา

    28. Catupaccayabhājanīyavinicchayakathā

    ๑๙๔. จตุปจฺจยภาชนนฺติ จีวราทีนํ จตุนฺนํ ปจฺจยานํ ภาชนํฯ ตตฺถ จีวรภาชเน ตาว จีวรปฎิคฺคาหโก เวทิตโพฺพ, จีวรนิทหโก เวทิตโพฺพ, ภณฺฑาคาริโก เวทิตโพฺพ, ภณฺฑาคารํ เวทิตพฺพํ, จีวรภาชโก เวทิตโพฺพ, จีวรภาชนํ เวทิตพฺพํฯ

    194.Catupaccayabhājananti cīvarādīnaṃ catunnaṃ paccayānaṃ bhājanaṃ. Tattha cīvarabhājane tāva cīvarapaṭiggāhako veditabbo, cīvaranidahako veditabbo, bhaṇḍāgāriko veditabbo, bhaṇḍāgāraṃ veditabbaṃ, cīvarabhājako veditabbo, cīvarabhājanaṃ veditabbaṃ.

    ตตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๐-๓๔๒) ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ ภิกฺขุํ จีวรปฎิคฺคาหกํ สมฺมนฺนิตุํ, โย น ฉนฺทาคติํ คเจฺฉยฺย, น โทสาคติํ คเจฺฉยฺย, น โมหาคติํ คเจฺฉยฺย, น ภยาคติํ คเจฺฉยฺย, คหิตาคหิตญฺจ ชาเนยฺยา’’ติ (มหาว. ๓๔๒) วจนโต อิเมหิ ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคโต จีวรปฎิคฺคาหโก สมฺมนฺนิตโพฺพฯ ตตฺถ ปจฺฉา อาคตานมฺปิ อตฺตโน ญาตกาทีนํ ปฐมตรํ ปฎิคฺคณฺหโนฺต วา เอกจฺจสฺมิํ เปมํ ทเสฺสตฺวา คณฺหโนฺต วา โลภปกติตาย อตฺตโน ปริณาเมโนฺต วา ฉนฺทาคติํ คจฺฉติ นามฯ ปฐมตรํ อาคตสฺสปิ โกธวเสน ปจฺฉา คณฺหโนฺต วา ทุคฺคตมนุเสฺสสุ อวมญฺญํ กตฺวา คณฺหโนฺต วา ‘‘กิํ โว ฆเร ฐปโนกาโส นตฺถิ, ตุมฺหากํ สนฺตกํ คเหตฺวา คจฺฉถา’’ติ เอวํ สงฺฆสฺส ลาภนฺตรายํ กโรโนฺต วา โทสาคติํ คจฺฉติ นามฯ โย ปน มุฎฺฐสฺสติ อสมฺปชาโน, อยํ โมหาคติํ คจฺฉติ นามฯ ปจฺฉา อาคตานมฺปิ อิสฺสรานํ ภเยน ปฐมตรํ ปฎิคฺคณฺหโนฺต วา ‘‘จีวรปฎิคฺคาหกฎฺฐานํ นาเมตํ ภาริย’’นฺติ สนฺตสโนฺต วา ภยาคติํ คจฺฉติ นามฯ ‘‘มยา อิทญฺจิทญฺจ คหิตํ, อิทญฺจิทญฺจ น คหิต’’นฺติ เอวํ ชานโนฺต คหิตาคหิตํ ชานาติ นามฯ ตสฺมา โย ฉนฺทาคติอาทิวเสน น คจฺฉติ, ญาตกอญฺญาตกอฑฺฒทุคฺคเตสุ วิเสสํ อกตฺวา อาคตปฎิปาฎิยา คณฺหาติ, สีลาจารปฎิปตฺติยุโตฺต โหติ สติมา เมธาวี พหุสฺสุโต, สโกฺกติ ทายกานํ วิสฺสฎฺฐาย วาจาย ปริมณฺฑเลหิ ปทพฺยญฺชเนหิ อนุโมทนํ กโรโนฺต ปสาทํ ชเนตุํ, เอวรูโป สมฺมนฺนิตโพฺพฯ

    Tattha (mahāva. aṭṭha. 340-342) ‘‘anujānāmi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgataṃ bhikkhuṃ cīvarapaṭiggāhakaṃ sammannituṃ, yo na chandāgatiṃ gaccheyya, na dosāgatiṃ gaccheyya, na mohāgatiṃ gaccheyya, na bhayāgatiṃ gaccheyya, gahitāgahitañca jāneyyā’’ti (mahāva. 342) vacanato imehi pañcahaṅgehi samannāgato cīvarapaṭiggāhako sammannitabbo. Tattha pacchā āgatānampi attano ñātakādīnaṃ paṭhamataraṃ paṭiggaṇhanto vā ekaccasmiṃ pemaṃ dassetvā gaṇhanto vā lobhapakatitāya attano pariṇāmento vā chandāgatiṃ gacchati nāma. Paṭhamataraṃ āgatassapi kodhavasena pacchā gaṇhanto vā duggatamanussesu avamaññaṃ katvā gaṇhanto vā ‘‘kiṃ vo ghare ṭhapanokāso natthi, tumhākaṃ santakaṃ gahetvā gacchathā’’ti evaṃ saṅghassa lābhantarāyaṃ karonto vā dosāgatiṃ gacchati nāma. Yo pana muṭṭhassati asampajāno, ayaṃ mohāgatiṃ gacchati nāma. Pacchā āgatānampi issarānaṃ bhayena paṭhamataraṃ paṭiggaṇhanto vā ‘‘cīvarapaṭiggāhakaṭṭhānaṃ nāmetaṃ bhāriya’’nti santasanto vā bhayāgatiṃ gacchati nāma. ‘‘Mayā idañcidañca gahitaṃ, idañcidañca na gahita’’nti evaṃ jānanto gahitāgahitaṃ jānāti nāma. Tasmā yo chandāgatiādivasena na gacchati, ñātakaaññātakaaḍḍhaduggatesu visesaṃ akatvā āgatapaṭipāṭiyā gaṇhāti, sīlācārapaṭipattiyutto hoti satimā medhāvī bahussuto, sakkoti dāyakānaṃ vissaṭṭhāya vācāya parimaṇḍalehi padabyañjanehi anumodanaṃ karonto pasādaṃ janetuṃ, evarūpo sammannitabbo.

    เอวญฺจ ปน สมฺมนฺนิตโพฺพฯ ปฐมํ ภิกฺขุ ยาจิตโพฺพ, ยาจิตฺวา พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    Evañca pana sammannitabbo. Paṭhamaṃ bhikkhu yācitabbo, yācitvā byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ จีวรปฎิคฺคาหกํ สมฺมเนฺนยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ cīvarapaṭiggāhakaṃ sammanneyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ จีวรปฎิคฺคาหกํ สมฺมนฺนติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน จีวรปฎิคฺคาหกสฺส สมฺมุติ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ cīvarapaṭiggāhakaṃ sammannati, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno cīvarapaṭiggāhakassa sammuti, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘สมฺมโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ จีวรปฎิคฺคาหโก, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (มหาว. ๓๔๒) –

    ‘‘Sammato saṅghena itthannāmo bhikkhu cīvarapaṭiggāhako, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (mahāva. 342) –

    อิติ อิมาย กมฺมวาจาย วา อปโลกเนน วา อโนฺตวิหาเร สพฺพสงฺฆมเชฺฌปิ ขณฺฑสีมายมฺปิ สมฺมนฺนิตุํ วฎฺฎติเยวฯ เอวํ สมฺมเตน จ วิหารปจฺจเนฺต วา ปธานฆเร วา น อจฺฉิตพฺพํฯ ยตฺถ ปน อาคตาคตา มนุสฺสา สุขํ ปสฺสนฺติ, ตาทิเส ธุรวิหารฎฺฐาเน พีชนิํ ปเสฺส ฐเปตฺวา สุนิวเตฺถน สุปารุเตน นิสีทิตพฺพํฯ

    Iti imāya kammavācāya vā apalokanena vā antovihāre sabbasaṅghamajjhepi khaṇḍasīmāyampi sammannituṃ vaṭṭatiyeva. Evaṃ sammatena ca vihārapaccante vā padhānaghare vā na acchitabbaṃ. Yattha pana āgatāgatā manussā sukhaṃ passanti, tādise dhuravihāraṭṭhāne bījaniṃ passe ṭhapetvā sunivatthena supārutena nisīditabbaṃ.

    ๑๙๕. จีวรนิทหโกปิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ ภิกฺขุํ จีวรนิทหกํ สมฺมนฺนิตุํ, โย น ฉนฺทาคติํ คเจฺฉยฺย, น โทสาคติํ คเจฺฉยฺย, น โมหาคติํ คเจฺฉยฺย, น ภยาคติํ คเจฺฉยฺย, นิหิตานิหิตญฺจ ชาเนยฺยา’’ติ วจนโต ปญฺจงฺคสมนฺนาคโต ภิกฺขุ –

    195.Cīvaranidahakopi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgataṃ bhikkhuṃ cīvaranidahakaṃ sammannituṃ, yo na chandāgatiṃ gaccheyya, na dosāgatiṃ gaccheyya, na mohāgatiṃ gaccheyya, na bhayāgatiṃ gaccheyya, nihitānihitañca jāneyyā’’ti vacanato pañcaṅgasamannāgato bhikkhu –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ จีวรนิทหกํ สมฺมเนฺนยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ cīvaranidahakaṃ sammanneyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ จีวรนิทหกํ สมฺมนฺนติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน จีวรนิทหกสฺส สมฺมุติ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ cīvaranidahakaṃ sammannati, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno cīvaranidahakassa sammuti, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘สมฺมโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ จีวรนิทหโก, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (มหาว. ๓๔๒) –

    ‘‘Sammato saṅghena itthannāmo bhikkhu cīvaranidahako, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (mahāva. 342) –

    อิติ อิมาย กมฺมวาจาย วา อปโลกเนน วา วุตฺตนเยเนว สมฺมนฺนิตโพฺพฯ

    Iti imāya kammavācāya vā apalokanena vā vuttanayeneva sammannitabbo.

    ๑๙๖. ภณฺฑาคาริโกปิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ ภิกฺขุํ ภณฺฑาคาริกํ สมฺมนฺนิตุํ, โย น ฉนฺทาคติํ คเจฺฉยฺย, น โทสาคติํ คเจฺฉยฺย, น โมหาคติํ คเจฺฉยฺย, น ภยาคติํ คเจฺฉยฺย, คุตฺตาคุตฺตญฺจ ชาเนยฺยา’’ติ (มหาว. ๓๔๓) วจนโต ปญฺจงฺคสมนฺนาคโต ภิกฺขุ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ ภณฺฑาคาริกํ สมฺมเนฺนยฺยา’’ติอาทินา (มหาว. ๓๔๓) นเยน กมฺมวาจาย วา อปโลกเนน วา สมฺมนฺนิตโพฺพฯ

    196.Bhaṇḍāgārikopi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgataṃ bhikkhuṃ bhaṇḍāgārikaṃ sammannituṃ, yo na chandāgatiṃ gaccheyya, na dosāgatiṃ gaccheyya, na mohāgatiṃ gaccheyya, na bhayāgatiṃ gaccheyya, guttāguttañca jāneyyā’’ti (mahāva. 343) vacanato pañcaṅgasamannāgato bhikkhu ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ bhaṇḍāgārikaṃ sammanneyyā’’tiādinā (mahāva. 343) nayena kammavācāya vā apalokanena vā sammannitabbo.

    เอตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๓) จ ยตฺถ ฉทนาทีสุ โกจิ โทโส นตฺถิ, ตํ คุตฺตํฯ ยตฺถ ปน ฉทนติณํ วา ฉทนิฎฺฐกา วา ยตฺถ กตฺถจิ ปติตา, เยน โอวสฺสติ วา, มูสิกาทีนํ วา ปเวโส โหติ, ภิตฺติอาทีสุ วา กตฺถจิ ฉิทฺทํ โหติ, อุปจิกา วา อุฎฺฐหนฺติ, ตํ สพฺพํ อคุตฺตํ นามฯ ตํ สลฺลเกฺขตฺวา ภณฺฑาคาริเกน ปฎิสงฺขริตพฺพํฯ สีตสมเย ทฺวารญฺจ วาตปานญฺจ สุปิหิตํ กาตพฺพํฯ สีเตน หิ จีวรานิ กณฺณกิตานิ โหนฺติฯ อุณฺหสมเย อนฺตรนฺตรา วาตปฺปเวสนตฺถํ วิวริตพฺพํฯ เอวํ กโรโนฺต หิ คุตฺตาคุตฺตํ ชานาติ นามฯ

    Ettha (mahāva. aṭṭha. 343) ca yattha chadanādīsu koci doso natthi, taṃ guttaṃ. Yattha pana chadanatiṇaṃ vā chadaniṭṭhakā vā yattha katthaci patitā, yena ovassati vā, mūsikādīnaṃ vā paveso hoti, bhittiādīsu vā katthaci chiddaṃ hoti, upacikā vā uṭṭhahanti, taṃ sabbaṃ aguttaṃ nāma. Taṃ sallakkhetvā bhaṇḍāgārikena paṭisaṅkharitabbaṃ. Sītasamaye dvārañca vātapānañca supihitaṃ kātabbaṃ. Sītena hi cīvarāni kaṇṇakitāni honti. Uṇhasamaye antarantarā vātappavesanatthaṃ vivaritabbaṃ. Evaṃ karonto hi guttāguttaṃ jānāti nāma.

    ๑๙๗. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ภณฺฑาคารํ สมฺมนฺนิตุํ, ยํ สโงฺฆ อากงฺขติ วิหารํ วา อฑฺฒโยคํ วา ปาสาทํ วา หมฺมิยํ วา คุหํ วา’’ติ (มหาว. ๓๔๓) วจนโต ภณฺฑาคารํ สมฺมนฺนิตฺวา ฐเปตพฺพํฯ เอตฺถ จ โย อารามมเชฺฌ อารามิกสามเณราทีหิ อวิวิโตฺต สเพฺพสํ สโมสรณฎฺฐาเน วิหาโร วา อฑฺฒโยโค วา โหติ, โส สมฺมนฺนิตโพฺพฯ ปจฺจนฺตเสนาสนํ ปน น สมฺมนฺนิตพฺพํฯ อิมํ ปน ภณฺฑาคารํ ขณฺฑสีมํ คนฺตฺวา ขณฺฑสีมาย นิสิเนฺนหิ สมฺมนฺนิตุํ น วฎฺฎติฯ วิหารมเชฺฌเยว ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ วิหารํ ภณฺฑาคารํ สมฺมเนฺนยฺยา’’ติอาทินา (มหาว. ๓๔๓) นเยน กมฺมวาจาย วา อปโลกเนน วา สมฺมนฺนิตพฺพํฯ

    197. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, bhaṇḍāgāraṃ sammannituṃ, yaṃ saṅgho ākaṅkhati vihāraṃ vā aḍḍhayogaṃ vā pāsādaṃ vā hammiyaṃ vā guhaṃ vā’’ti (mahāva. 343) vacanato bhaṇḍāgāraṃ sammannitvā ṭhapetabbaṃ. Ettha ca yo ārāmamajjhe ārāmikasāmaṇerādīhi avivitto sabbesaṃ samosaraṇaṭṭhāne vihāro vā aḍḍhayogo vā hoti, so sammannitabbo. Paccantasenāsanaṃ pana na sammannitabbaṃ. Imaṃ pana bhaṇḍāgāraṃ khaṇḍasīmaṃ gantvā khaṇḍasīmāya nisinnehi sammannituṃ na vaṭṭati. Vihāramajjheyeva ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ vihāraṃ bhaṇḍāgāraṃ sammanneyyā’’tiādinā (mahāva. 343) nayena kammavācāya vā apalokanena vā sammannitabbaṃ.

    จีวรปฎิคฺคาหกาทีหิ ปน ตีหิปิ อตฺตโน วตฺตํ ชานิตพฺพํฯ ตตฺถ จีวรปฎิคฺคาหเกน ตาว ยํ ยํ มนุสฺสา ‘‘กาลจีวร’’นฺติ วา ‘‘อกาลจีวร’’นฺติ วา ‘‘อเจฺจกจีวร’’นฺติ วา ‘‘วสฺสิกสาฎิก’’นฺติ วา ‘‘นิสีทน’’นฺติ วา ‘‘ปจฺจตฺถรณ’’นฺติ วา ‘‘มุขปุญฺฉนโจฬ’’นฺติ วา เทนฺติ, ตํ สพฺพํ เอกราสิํ กตฺวา มิเสฺสตฺวา น คณฺหิตพฺพํ, วิสุํ วิสุํ กตฺวาว คณฺหิตฺวา จีวรนิทหกสฺส ตเถว อาจิกฺขิตฺวา ทาตพฺพํฯ จีวรนิทหเกนปิ ภณฺฑาคาริกสฺส ททมาเนน ‘‘อิทํ กาลจีวรํ…เป.… อิทํ มุขปุญฺฉนโจฬ’’นฺติ อาจิกฺขิตฺวาว ทาตพฺพํฯ ภณฺฑาคาริเกนปิ ตเถว วิสุํ วิสุํ สญฺญาณํ กตฺวา ฐเปตพฺพํฯ ตโต สเงฺฆน ‘‘กาลจีวรํ อาหรา’’ติ วุเตฺต กาลจีวรเมว ทาตพฺพํ…เป.… ‘‘มุขปุญฺฉนโจฬํ อาหรา’’ติ วุเตฺต ตเทว ทาตพฺพํฯ อิติ ภควตา จีวรปฎิคฺคาหโก อนุญฺญาโต, จีวรนิทหโก อนุญฺญาโต, ภณฺฑาคาริโก อนุญฺญาโต, ภณฺฑาคารํ อนุญฺญาตํ, น พาหุลิกตาย, น อสนฺตุฎฺฐิตาย, อปิจ โข สงฺฆานุคฺคหายฯ สเจ หิ อาหฎาหฎํ คเหตฺวา ภิกฺขู ภาเชยฺยุํ, เนว อาหฎํ, น อนาหฎํ, น ทินฺนํ, น อทินฺนํ, น ลทฺธํ, น อลทฺธํ ชาเนยฺยุํ, อาหฎาหฎํ เถราสเน วา ทเทยฺยุํ, ขณฺฑาขณฺฑํ วา ฉินฺทิตฺวา คเณฺหยฺยุํ, เอวํ สติ อยุตฺตปริโภโค จ โหติ, น จ สเพฺพสํ สงฺคโห กโต โหติฯ ภณฺฑาคาเร ปน จีวรํ ฐเปตฺวา อุสฺสนฺนกาเล เอเกกสฺส ภิกฺขุโน ติจีวรํ วา เทฺว เทฺว วา เอเกกํ วา จีวรํ ทสฺสนฺติ, ลทฺธาลทฺธํ ชานิสฺสนฺติ, อลทฺธภาวํ ญตฺวา สงฺคหํ กาตุํ มญฺญิสฺสนฺตีติฯ

    Cīvarapaṭiggāhakādīhi pana tīhipi attano vattaṃ jānitabbaṃ. Tattha cīvarapaṭiggāhakena tāva yaṃ yaṃ manussā ‘‘kālacīvara’’nti vā ‘‘akālacīvara’’nti vā ‘‘accekacīvara’’nti vā ‘‘vassikasāṭika’’nti vā ‘‘nisīdana’’nti vā ‘‘paccattharaṇa’’nti vā ‘‘mukhapuñchanacoḷa’’nti vā denti, taṃ sabbaṃ ekarāsiṃ katvā missetvā na gaṇhitabbaṃ, visuṃ visuṃ katvāva gaṇhitvā cīvaranidahakassa tatheva ācikkhitvā dātabbaṃ. Cīvaranidahakenapi bhaṇḍāgārikassa dadamānena ‘‘idaṃ kālacīvaraṃ…pe… idaṃ mukhapuñchanacoḷa’’nti ācikkhitvāva dātabbaṃ. Bhaṇḍāgārikenapi tatheva visuṃ visuṃ saññāṇaṃ katvā ṭhapetabbaṃ. Tato saṅghena ‘‘kālacīvaraṃ āharā’’ti vutte kālacīvarameva dātabbaṃ…pe… ‘‘mukhapuñchanacoḷaṃ āharā’’ti vutte tadeva dātabbaṃ. Iti bhagavatā cīvarapaṭiggāhako anuññāto, cīvaranidahako anuññāto, bhaṇḍāgāriko anuññāto, bhaṇḍāgāraṃ anuññātaṃ, na bāhulikatāya, na asantuṭṭhitāya, apica kho saṅghānuggahāya. Sace hi āhaṭāhaṭaṃ gahetvā bhikkhū bhājeyyuṃ, neva āhaṭaṃ, na anāhaṭaṃ, na dinnaṃ, na adinnaṃ, na laddhaṃ, na aladdhaṃ jāneyyuṃ, āhaṭāhaṭaṃ therāsane vā dadeyyuṃ, khaṇḍākhaṇḍaṃ vā chinditvā gaṇheyyuṃ, evaṃ sati ayuttaparibhogo ca hoti, na ca sabbesaṃ saṅgaho kato hoti. Bhaṇḍāgāre pana cīvaraṃ ṭhapetvā ussannakāle ekekassa bhikkhuno ticīvaraṃ vā dve dve vā ekekaṃ vā cīvaraṃ dassanti, laddhāladdhaṃ jānissanti, aladdhabhāvaṃ ñatvā saṅgahaṃ kātuṃ maññissantīti.

    ๑๙๘. จีวรภาชโกวิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ ภิกฺขุํ จีวรภาชกํ สมฺมนฺนิตุํ, โย น ฉนฺทาคติํ คเจฺฉยฺย, น โทสาคติํ คเจฺฉยฺย, น โมหาคติํ คเจฺฉยฺย, น ภยาคติํ คเจฺฉยฺย, ภาชิตาภาชิตญฺจ ชาเนยฺยา’’ติ (มหาว. ๓๔๓) วจนโต ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคโตเยว ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ จีวรภาชกํ สมฺมเนฺนยฺยา’’ติ(มหาว. ๓๔๓) อาทินา นเยน กมฺมวาจาย วา อปโลกเนน วา สมฺมนฺนิตฺวา ฐเปตโพฺพฯ

    198.Cīvarabhājakovi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgataṃ bhikkhuṃ cīvarabhājakaṃ sammannituṃ, yo na chandāgatiṃ gaccheyya, na dosāgatiṃ gaccheyya, na mohāgatiṃ gaccheyya, na bhayāgatiṃ gaccheyya, bhājitābhājitañca jāneyyā’’ti (mahāva. 343) vacanato pañcahaṅgehi samannāgatoyeva ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ cīvarabhājakaṃ sammanneyyā’’ti(mahāva. 343) ādinā nayena kammavācāya vā apalokanena vā sammannitvā ṭhapetabbo.

    เอตฺถ สภาคานํ ภิกฺขูนํ อปาปุณนฺตมฺปิ มหคฺฆจีวรํ เทโนฺต ฉนฺทาคติํ คจฺฉติ นามฯ อเญฺญสํ วุฑฺฒตรานํ ปาปุณนฺตมฺปิ มหคฺฆจีวรํ อทตฺวา อปฺปคฺฆํ เทโนฺต โทสาคติํ คจฺฉติ นามฯ โมหมูโฬฺห จีวรทานวตฺตํ อชานโนฺต โมหาคติํ คจฺฉติ นามฯ มุขรานํ นวกานมฺปิ ภเยน อปาปุณนฺตํ เอว มหคฺฆํ จีวรํ เทโนฺต ภยาคติํ คจฺฉติ นามฯ โย เอวํ น คจฺฉติ, สเพฺพสํ ตุลาภูโต ปมาณภูโต มชฺฌโตฺต, โส สมฺมนฺนิตโพฺพฯ เตนปิ จีวรํ ภาเชเนฺตน ปฐมํ ‘‘อิทํ ถูลํ, อิทํ สณฺหํ, อิทํ ฆนํ, อิทํ ตนุกํ, อิทํ ปริภุตฺตํ, อิทํ อปริภุตฺตํ, อิทํ ทีฆโต เอตฺตกํ, ปุถุลโต เอตฺตก’’นฺติ เอวํ วตฺถานิ วิจินิตฺวา ‘‘อิทํ เอตฺตกํ อคฺฆติ, อิทํ เอตฺตก’’นฺติ เอวํ อคฺฆปริเจฺฉทํ กตฺวา สเจ สเพฺพสํ เอเกกเมว ทสทสอคฺฆนกํ ปาปุณาติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ ปาปุณาติ, ยํ นว วา อฎฺฐ วา อคฺฆติ, ตํ อเญฺญน เอกอคฺฆนเกน จ ทฺวิอคฺฆนเกน จ สทฺธิํ พนฺธิตฺวา เอเตน อุปาเยน สเม ปฎิวีเส ฐเปตฺวา กุโส ปาเตตโพฺพฯ สเจ เอเกกสฺส ทียมาเน จีวเร ทิวโส นปฺปโหติ, ทส ทส ภิกฺขู คเณตฺวา ทส ทส จีวรปฎิวีเส เอกโต พนฺธิตฺวา ภณฺฑิกํ กตฺวา เอโก จีวรปฎิวีโส ฐเปตโพฺพ ฯ เอวํ ฐปิเตสุ จีวรปฎิวีเสสุ กุโส ปาเตตโพฺพฯ เตหิปิ ภิกฺขูหิ ปุน กุสปาตํ กตฺวา ภาเชตพฺพํฯ

    Ettha sabhāgānaṃ bhikkhūnaṃ apāpuṇantampi mahagghacīvaraṃ dento chandāgatiṃ gacchati nāma. Aññesaṃ vuḍḍhatarānaṃ pāpuṇantampi mahagghacīvaraṃ adatvā appagghaṃ dento dosāgatiṃ gacchati nāma. Mohamūḷho cīvaradānavattaṃ ajānanto mohāgatiṃ gacchati nāma. Mukharānaṃ navakānampi bhayena apāpuṇantaṃ eva mahagghaṃ cīvaraṃ dento bhayāgatiṃ gacchati nāma. Yo evaṃ na gacchati, sabbesaṃ tulābhūto pamāṇabhūto majjhatto, so sammannitabbo. Tenapi cīvaraṃ bhājentena paṭhamaṃ ‘‘idaṃ thūlaṃ, idaṃ saṇhaṃ, idaṃ ghanaṃ, idaṃ tanukaṃ, idaṃ paribhuttaṃ, idaṃ aparibhuttaṃ, idaṃ dīghato ettakaṃ, puthulato ettaka’’nti evaṃ vatthāni vicinitvā ‘‘idaṃ ettakaṃ agghati, idaṃ ettaka’’nti evaṃ agghaparicchedaṃ katvā sace sabbesaṃ ekekameva dasadasaagghanakaṃ pāpuṇāti, iccetaṃ kusalaṃ. No ce pāpuṇāti, yaṃ nava vā aṭṭha vā agghati, taṃ aññena ekaagghanakena ca dviagghanakena ca saddhiṃ bandhitvā etena upāyena same paṭivīse ṭhapetvā kuso pātetabbo. Sace ekekassa dīyamāne cīvare divaso nappahoti, dasa dasa bhikkhū gaṇetvā dasa dasa cīvarapaṭivīse ekato bandhitvā bhaṇḍikaṃ katvā eko cīvarapaṭivīso ṭhapetabbo . Evaṃ ṭhapitesu cīvarapaṭivīsesu kuso pātetabbo. Tehipi bhikkhūhi puna kusapātaṃ katvā bhājetabbaṃ.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สามเณรานํ อุปฑฺฒปฎิวีสํ ทาตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๓) วจนโต เย สามเณรา อตฺติสฺสรา ภิกฺขุสงฺฆสฺส กตฺตพฺพกมฺมํ น กโรนฺติ, อุเทฺทสปริปุจฺฉาสุ ยุตฺตา อาจริยุปชฺฌายานํเยว วตฺตปฎิวตฺตํ กโรนฺติ, อเญฺญสํ น กโรนฺติ, เอเตสํเยว อุปฑฺฒภาโค ทาตโพฺพฯ เย ปน ปุเรภตฺตญฺจ ปจฺฉาภตฺตญฺจ ภิกฺขุสงฺฆเสฺสว กตฺตพฺพกิจฺจํ กโรนฺติ, เตสํ สมโก ทาตโพฺพฯ อิทญฺจ ปิฎฺฐิสมเย อุปฺปเนฺนน ภณฺฑาคาเร ฐปิเตน อกาลจีวเรเนว กถิตํ, กาลจีวรํ ปน สมกํเยว ทาตพฺพํฯ ตตฺรุปฺปาทวสฺสาวาสิกํ สมฺมุญฺชนีพนฺธนาทิ สงฺฆสฺส ผาติกมฺมํ กตฺวา คเหตพฺพํฯ เอตเญฺหตฺถ สเพฺพสํ วตฺตํฯ ภณฺฑาคารจีวเรปิ สเจ สามเณรา อาคนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยํ ยาคุํ ปจาม, ภตฺตํ ปจาม, ขชฺชกํ ปจาม, อปฺปหริตํ กโรม, ทนฺตกฎฺฐํ อาหราม, รงฺคฉลฺลิํ กปฺปิยํ กตฺวา เทม, กิํ อเมฺหหิ น กตํ นามา’’ติ อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺติ, สมภาโคว ทาตโพฺพฯ เอตํเยว วิรชฺฌิตฺวา กโรนฺติ, เยสญฺจ กรณภาโว น ปญฺญายติ, เต สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สามเณรานํ อุปฑฺฒปฎิวีสํ ทาตุ’’นฺติฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘สเจ สามเณรา ‘กสฺมา มยํ, ภเนฺต, สงฺฆกมฺมํ น กโรม, กริสฺสามา’ติ ยาจนฺติ, สมปฎิวีโส ทาตโพฺพ’’ติ วุตฺตํฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sāmaṇerānaṃ upaḍḍhapaṭivīsaṃ dātu’’nti (mahāva. 343) vacanato ye sāmaṇerā attissarā bhikkhusaṅghassa kattabbakammaṃ na karonti, uddesaparipucchāsu yuttā ācariyupajjhāyānaṃyeva vattapaṭivattaṃ karonti, aññesaṃ na karonti, etesaṃyeva upaḍḍhabhāgo dātabbo. Ye pana purebhattañca pacchābhattañca bhikkhusaṅghasseva kattabbakiccaṃ karonti, tesaṃ samako dātabbo. Idañca piṭṭhisamaye uppannena bhaṇḍāgāre ṭhapitena akālacīvareneva kathitaṃ, kālacīvaraṃ pana samakaṃyeva dātabbaṃ. Tatruppādavassāvāsikaṃ sammuñjanībandhanādi saṅghassa phātikammaṃ katvā gahetabbaṃ. Etañhettha sabbesaṃ vattaṃ. Bhaṇḍāgāracīvarepi sace sāmaṇerā āgantvā ‘‘bhante, mayaṃ yāguṃ pacāma, bhattaṃ pacāma, khajjakaṃ pacāma, appaharitaṃ karoma, dantakaṭṭhaṃ āharāma, raṅgachalliṃ kappiyaṃ katvā dema, kiṃ amhehi na kataṃ nāmā’’ti ukkuṭṭhiṃ karonti, samabhāgova dātabbo. Etaṃyeva virajjhitvā karonti, yesañca karaṇabhāvo na paññāyati, te sandhāya vuttaṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sāmaṇerānaṃ upaḍḍhapaṭivīsaṃ dātu’’nti. Kurundiyaṃ pana ‘‘sace sāmaṇerā ‘kasmā mayaṃ, bhante, saṅghakammaṃ na karoma, karissāmā’ti yācanti, samapaṭivīso dātabbo’’ti vuttaṃ.

    สเจ โกจิ ภิกฺขุ สกํ ภาคํ คเหตฺวา สตฺถํ ลภิตฺวา นทิํ วา กนฺตารํ วา อุตฺตริตฺวา ทิสาปกฺกมิตุกาโม โหติ, ตสฺส ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อุตฺตรนฺตสฺส สกํ ภาคํ ทาตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๓) วจนโต จีวเรสุ ภณฺฑาคารโต พหิ นีหเฎสุ ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ภิกฺขุสเงฺฆ สนฺนิปติเต จีวรภาชเกน ‘‘อิมสฺส ภิกฺขุโน โกฎฺฐาเสน เอตฺตเกน ภวิตพฺพ’’นฺติ ตเกฺกตฺวา นยคฺคาเหน สมภาเคน จีวรํ ทาตพฺพํฯ ตุลาย ตุลิตมิว หิ สมสมํ ทาตุํ น สกฺกา, ตสฺมา อูนํ วา โหตุ อธิกํ วา, เอวํ ตเกฺกน นเยน ทินฺนํ สุทินฺนํฯ เนว อูนกํ ปุน ทาตพฺพํ, นาติริตฺตํ ปฎิคฺคณฺหิตพฺพํฯ สเจ ทส ภิกฺขู โหนฺติ, สาฎกาปิ ทเสว, เตสุ เอโก ทฺวาทส อคฺฆติ, เสสา ทสคฺฆนกาฯ สเพฺพสุ ทสคฺฆนกวเสน กุเส ปาติเต ยสฺส ภิกฺขุโน ทฺวาทสคฺฆนโก กุโส ปาติโต, เตน ยตฺตกํ ตสฺมิํ ปฎิวีเส อธิกํ, ตตฺตกํ อคฺฆนกํ ยํ กิญฺจิ อตฺตโน สนฺตกํ กปฺปิยภณฺฑํ ทตฺวา โส อติเรกภาโค คเหตโพฺพฯ สเจ สเพฺพสํ ปญฺจ ปญฺจ วตฺถานิ ปตฺตานิ, เสสานิปิ อตฺถิ, เอเกกํ ปน น ปาปุณาติ, ฉินฺทิตฺวา ทาตพฺพานิฯ

    Sace koci bhikkhu sakaṃ bhāgaṃ gahetvā satthaṃ labhitvā nadiṃ vā kantāraṃ vā uttaritvā disāpakkamitukāmo hoti, tassa ‘‘anujānāmi, bhikkhave, uttarantassa sakaṃ bhāgaṃ dātu’’nti (mahāva. 343) vacanato cīvaresu bhaṇḍāgārato bahi nīhaṭesu ghaṇṭiṃ paharitvā bhikkhusaṅghe sannipatite cīvarabhājakena ‘‘imassa bhikkhuno koṭṭhāsena ettakena bhavitabba’’nti takketvā nayaggāhena samabhāgena cīvaraṃ dātabbaṃ. Tulāya tulitamiva hi samasamaṃ dātuṃ na sakkā, tasmā ūnaṃ vā hotu adhikaṃ vā, evaṃ takkena nayena dinnaṃ sudinnaṃ. Neva ūnakaṃ puna dātabbaṃ, nātirittaṃ paṭiggaṇhitabbaṃ. Sace dasa bhikkhū honti, sāṭakāpi daseva, tesu eko dvādasa agghati, sesā dasagghanakā. Sabbesu dasagghanakavasena kuse pātite yassa bhikkhuno dvādasagghanako kuso pātito, tena yattakaṃ tasmiṃ paṭivīse adhikaṃ, tattakaṃ agghanakaṃ yaṃ kiñci attano santakaṃ kappiyabhaṇḍaṃ datvā so atirekabhāgo gahetabbo. Sace sabbesaṃ pañca pañca vatthāni pattāni, sesānipi atthi, ekekaṃ pana na pāpuṇāti, chinditvā dātabbāni.

    ฉินฺทเนฺตน จ อฑฺฒมณฺฑลาทีนํ วา อุปาหนตฺถวิกาทีนํ วา ปโหนกานิ ขณฺฑานิ กตฺวา ทาตพฺพานิฯ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน จตุรงฺคุลวิตฺถารมฺปิ อนุวาตปฺปโหนกายามํ ขณฺฑํ กตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติ, อปริโภคํ ปน น กาตพฺพํฯ สเจปิ เอกสฺส ภิกฺขุโน โกฎฺฐาเส เอกํ วา เทฺว วา วตฺถานิ นปฺปโหนฺติ, ตตฺถ อญฺญํ สามณกํ ปริกฺขารํ ฐเปตฺวา โย เตน ตุสฺสติ, ตสฺส ตํ ภาคํ กตฺวา ปจฺฉา กุสปาโต กาตโพฺพฯ สเจ ทส ทส ภิกฺขู คเณตฺวา วคฺคํ กโรนฺตานํ เอโก วโคฺค น ปูรติ, อฎฺฐ วา นว วา โหนฺติ, เตสํ อฎฺฐ วา นว วา โกฎฺฐาสา ‘‘ตุเมฺห อิเม คเหตฺวา วิสุํ ภาเชถา’’ติ ทาตพฺพาฯ เอวํ ทตฺวา ปจฺฉา กุสปาโต กาตโพฺพฯ

    Chindantena ca aḍḍhamaṇḍalādīnaṃ vā upāhanatthavikādīnaṃ vā pahonakāni khaṇḍāni katvā dātabbāni. Heṭṭhimaparicchedena caturaṅgulavitthārampi anuvātappahonakāyāmaṃ khaṇḍaṃ katvā dātuṃ vaṭṭati, aparibhogaṃ pana na kātabbaṃ. Sacepi ekassa bhikkhuno koṭṭhāse ekaṃ vā dve vā vatthāni nappahonti, tattha aññaṃ sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ ṭhapetvā yo tena tussati, tassa taṃ bhāgaṃ katvā pacchā kusapāto kātabbo. Sace dasa dasa bhikkhū gaṇetvā vaggaṃ karontānaṃ eko vaggo na pūrati, aṭṭha vā nava vā honti, tesaṃ aṭṭha vā nava vā koṭṭhāsā ‘‘tumhe ime gahetvā visuṃ bhājethā’’ti dātabbā. Evaṃ datvā pacchā kusapāto kātabbo.

    ๑๙๙. อิทานิ ‘‘อฎฺฐิมา, ภิกฺขเว, มาติกา จีวรสฺส อุปฺปาทาย, สีมาย เทติ, กติกาย เทติ, ภิกฺขาปญฺญตฺติยา เทติ, สงฺฆสฺส เทติ, อุภโตสงฺฆสฺส เทติ, วสฺสํวุฎฺฐสงฺฆสฺส เทติ, อาทิสฺส เทติ, ปุคฺคลสฺส เทตี’’ติ (มหาว. ๓๗๙) จีวรานํ ปฎิลาภเขตฺตทสฺสนตฺถํ ยา ตา อฎฺฐ มาติกา วุตฺตา, ตาสํ วเสน วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ

    199. Idāni ‘‘aṭṭhimā, bhikkhave, mātikā cīvarassa uppādāya, sīmāya deti, katikāya deti, bhikkhāpaññattiyā deti, saṅghassa deti, ubhatosaṅghassa deti, vassaṃvuṭṭhasaṅghassa deti, ādissa deti, puggalassa detī’’ti (mahāva. 379) cīvarānaṃ paṭilābhakhettadassanatthaṃ yā tā aṭṭha mātikā vuttā, tāsaṃ vasena vinicchayo veditabbo.

    ตตฺถ ‘‘สีมาย ทมฺมี’’ติ เอวํ สีมํ ปรามสิตฺวา เทโนฺต สีมาย เทติ นามฯ เอวํ สีมาย ทินฺนํ ยาวติกา ภิกฺขู อโนฺตสีมาคตา, เตหิ ภาเชตพฺพํฯ สีมา จ นาเมสา ขณฺฑสีมา อุปจารสีมา สมานสํวาสสีมา อวิปฺปวาสสีมา ลาภสีมา คามสีมา นิคมสีมา นครสีมา อพฺภนฺตรสีมา อุทกุเกฺขปสีมา ชนปทสีมา รฎฺฐสีมา รชฺชสีมา ทีปสีมา จกฺกวาฬสีมาติ ปนฺนรสวิธา โหติฯ ตตฺถ ขณฺฑสีมา สีมากถายํ วุตฺตาวฯ อุปจารสีมา นาม ปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ปริเกฺขเปน, อปริกฺขิตฺตสฺส ปริเกฺขปารหฎฺฐาเนน ปริจฺฉินฺนา โหติฯ อปิจ ภิกฺขูนํ ธุวสนฺนิปาตฎฺฐานโต ปริยเนฺต ฐิตโภชนสาลโต วา นิพทฺธวสนอาวาสโต วา ถามมชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ทฺวินฺนํ เลฑฺฑุปาตานํ อโนฺต อุปจารสีมาติ เวทิตพฺพาฯ สา ปน อาวาเสสุ วฑฺฒเนฺตสุ วฑฺฒติ, ปริหายเนฺตสุ ปริหายติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘ภิกฺขูสุปิ วฑฺฒเนฺตสุ วฑฺฒตี’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา สเจ วิหาเร สนฺนิปติตภิกฺขูหิ สทฺธิํ เอกาพทฺธา หุตฺวา โยชนสตมฺปิ ปูเรตฺวา นิสีทนฺติ, โยชนสตมฺปิ อุปจารสีมาว โหติ, สเพฺพสํ ลาโภ ปาปุณาติฯ สมานสํวาสอวิปฺปวาสสีมาทฺวยมฺปิ วุตฺตเมวฯ ลาภสีมา นาม เนว สมฺมาสมฺพุเทฺธน อนุญฺญาตา, น ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ ฐปิตา, อปิจ โข ราชราชมหามตฺตา วิหารํ กาเรตฺวา คาวุตํ วา อฑฺฒโยชนํ วา โยชนํ วา สมนฺตโต ปริจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘อยํ อมฺหากํ วิหารสฺส ลาภสีมา’’ติ นามลิขิตเก ถเมฺภ นิขณิตฺวา ‘‘ยํ เอตฺถนฺตเร อุปฺปชฺชติ, สพฺพํ อมฺหากํ วิหารสฺส เทมา’’ติ สีมา ฐเปนฺติ, อยํ ลาภสีมา นามฯ คามนิคมนครอพฺภนฺตรอุทกุเกฺขปสีมาปิ วุตฺตา เอวฯ

    Tattha ‘‘sīmāya dammī’’ti evaṃ sīmaṃ parāmasitvā dento sīmāya deti nāma. Evaṃ sīmāya dinnaṃ yāvatikā bhikkhū antosīmāgatā, tehi bhājetabbaṃ. Sīmā ca nāmesā khaṇḍasīmā upacārasīmā samānasaṃvāsasīmā avippavāsasīmā lābhasīmā gāmasīmā nigamasīmā nagarasīmā abbhantarasīmā udakukkhepasīmā janapadasīmā raṭṭhasīmā rajjasīmā dīpasīmā cakkavāḷasīmāti pannarasavidhā hoti. Tattha khaṇḍasīmā sīmākathāyaṃ vuttāva. Upacārasīmā nāma parikkhittassa vihārassa parikkhepena, aparikkhittassa parikkhepārahaṭṭhānena paricchinnā hoti. Apica bhikkhūnaṃ dhuvasannipātaṭṭhānato pariyante ṭhitabhojanasālato vā nibaddhavasanaāvāsato vā thāmamajjhimassa purisassa dvinnaṃ leḍḍupātānaṃ anto upacārasīmāti veditabbā. Sā pana āvāsesu vaḍḍhantesu vaḍḍhati, parihāyantesu parihāyati. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘bhikkhūsupi vaḍḍhantesu vaḍḍhatī’’ti vuttaṃ. Tasmā sace vihāre sannipatitabhikkhūhi saddhiṃ ekābaddhā hutvā yojanasatampi pūretvā nisīdanti, yojanasatampi upacārasīmāva hoti, sabbesaṃ lābho pāpuṇāti. Samānasaṃvāsaavippavāsasīmādvayampi vuttameva. Lābhasīmā nāma neva sammāsambuddhena anuññātā, na dhammasaṅgāhakattherehi ṭhapitā, apica kho rājarājamahāmattā vihāraṃ kāretvā gāvutaṃ vā aḍḍhayojanaṃ vā yojanaṃ vā samantato paricchinditvā ‘‘ayaṃ amhākaṃ vihārassa lābhasīmā’’ti nāmalikhitake thambhe nikhaṇitvā ‘‘yaṃ etthantare uppajjati, sabbaṃ amhākaṃ vihārassa demā’’ti sīmā ṭhapenti, ayaṃ lābhasīmā nāma. Gāmanigamanagaraabbhantaraudakukkhepasīmāpi vuttā eva.

    ชนปทสีมา นาม กาสิโกสลรฎฺฐาทีนํ อโนฺต พหู ชนปทา โหนฺติ, ตตฺถ เอเกโก ชนปทปริเจฺฉโท ชนปทสีมาฯ รฎฺฐสีมา นาม กาสิโกสลาทิรฎฺฐปริเจฺฉโทฯ รชฺชสีมา นาม ‘‘โจฬโภโค เกรฬโภโค’’ติ เอวํ เอเกกสฺส รโญฺญ อาณาปวตฺติฎฺฐานํฯ ทีปสีมา นาม สมุทฺทเนฺตน ปริจฺฉินฺนมหาทีปา จ อนฺตรทีปา จฯ จกฺกวาฬสีมา จกฺกวาฬปพฺพเตเนว ปริจฺฉินฺนาฯ เอวเมตาสุ สีมาสุ ขณฺฑสีมาย เกนจิ กเมฺมน สนฺนิปติตํ สงฺฆํ ทิสฺวา ‘‘เอเตฺถว สีมาย สงฺฆสฺส เทมี’’ติ วุเตฺต ยาวติกา ภิกฺขู อโนฺตขณฺฑสีมาคตา, เตหิ ภาเชตพฺพํฯ เตสํเยว หิ ตํ ปาปุณาติ, อเญฺญสํ สีมนฺตริกาย วา อุปจารสีมาย วา ฐิตานมฺปิ น ปาปุณาติฯ ขณฺฑสีมาย ฐิเต ปน รุเกฺข วา ปพฺพเต วา ฐิตสฺส เหฎฺฐา วา ปถวีเวมชฺฌคตสฺส ปาปุณาติเยวฯ ‘‘อิมิสฺสา อุปจารสีมาย สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ ทินฺนํ ปน ขณฺฑสีมาสีมนฺตริกาสุ ฐิตานมฺปิ ปาปุณาติฯ ‘‘สมานสํวาสสีมาย ทมฺมี’’ติ ทินฺนํ ปน ขณฺฑสีมาสีมนฺตริกาสุ ฐิตานํ น ปาปุณาติฯ อวิปฺปวาสสีมาลาภสีมาสุ ทินฺนํ ตาสุ สีมาสุ อโนฺตคตานํ ปาปุณาติฯ คามสีมาทีสุ ทินฺนํ ตาสํ สีมานํ อพฺภนฺตเร พทฺธสีมาย ฐิตานมฺปิ ปาปุณาติฯ อพฺภนฺตรสีมาอุทกุเกฺขปสีมาสุ ทินฺนํ ตตฺถ อโนฺตคตานํเยว ปาปุณาติฯ ชนปทรฎฺฐรชฺชทีปจกฺกวาฬสีมาสุปิ คามสีมาทีสุ วุตฺตสทิโสเยว วินิจฺฉโยฯ

    Janapadasīmā nāma kāsikosalaraṭṭhādīnaṃ anto bahū janapadā honti, tattha ekeko janapadaparicchedo janapadasīmā. Raṭṭhasīmā nāma kāsikosalādiraṭṭhaparicchedo. Rajjasīmā nāma ‘‘coḷabhogo keraḷabhogo’’ti evaṃ ekekassa rañño āṇāpavattiṭṭhānaṃ. Dīpasīmā nāma samuddantena paricchinnamahādīpā ca antaradīpā ca. Cakkavāḷasīmā cakkavāḷapabbateneva paricchinnā. Evametāsu sīmāsu khaṇḍasīmāya kenaci kammena sannipatitaṃ saṅghaṃ disvā ‘‘ettheva sīmāya saṅghassa demī’’ti vutte yāvatikā bhikkhū antokhaṇḍasīmāgatā, tehi bhājetabbaṃ. Tesaṃyeva hi taṃ pāpuṇāti, aññesaṃ sīmantarikāya vā upacārasīmāya vā ṭhitānampi na pāpuṇāti. Khaṇḍasīmāya ṭhite pana rukkhe vā pabbate vā ṭhitassa heṭṭhā vā pathavīvemajjhagatassa pāpuṇātiyeva. ‘‘Imissā upacārasīmāya saṅghassa dammī’’ti dinnaṃ pana khaṇḍasīmāsīmantarikāsu ṭhitānampi pāpuṇāti. ‘‘Samānasaṃvāsasīmāya dammī’’ti dinnaṃ pana khaṇḍasīmāsīmantarikāsu ṭhitānaṃ na pāpuṇāti. Avippavāsasīmālābhasīmāsu dinnaṃ tāsu sīmāsu antogatānaṃ pāpuṇāti. Gāmasīmādīsu dinnaṃ tāsaṃ sīmānaṃ abbhantare baddhasīmāya ṭhitānampi pāpuṇāti. Abbhantarasīmāudakukkhepasīmāsu dinnaṃ tattha antogatānaṃyeva pāpuṇāti. Janapadaraṭṭharajjadīpacakkavāḷasīmāsupi gāmasīmādīsu vuttasadisoyeva vinicchayo.

    สเจ ปน ชมฺพุทีเป ฐิโต ‘‘ตมฺพวณฺณิทีเป สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ วทติ, ตมฺพปณฺณิทีปโต เอโกปิ อาคนฺตฺวา สเพฺพสํ คณฺหิตุํ ลภติฯ สเจปิ ตเตฺรว เอโก สภาคภิกฺขุ สภาคานํ ภาคํ คณฺหาติ, น วาเรตโพฺพฯ เอวํ ตาว โย สีมํ ปรามสิตฺวา เทติ, ตสฺส ทาเน วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ โย ปน ‘‘อสุกสีมาย’’นฺติ วตฺตุํ น ชานาติ, เกวลํ ‘‘สีมา’’ติ วจนมตฺตเมว ชานโนฺต วิหารํ อาคนฺตฺวา ‘‘สีมาย ทมฺมี’’ติ วา ‘‘สีมฎฺฐกสงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ วา ภณติ, โส ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘สีมา นาม พหุวิธา, กตรสีมํ สนฺธาย ภณสี’’ติฯ สเจ วทติ ‘‘อหํ ‘อสุกสีมา’ติ น ชานามิ, สีมฎฺฐกสโงฺฆ ภาเชตฺวา คณฺหตู’’ติ, กตรสีมาย ภาเชตพฺพํ? มหาสีวเตฺถโร กิราห ‘‘อวิปฺปวาสสีมายา’’ติฯ ตโต นํ อาหํสุ ‘‘อวิปฺปวาสสีมา นาม ติโยชนาปิ โหติ, เอวํ สเนฺต ติโยชเน ฐิตา ลาภํ คณฺหิสฺสนฺติ, ติโยชเน ฐตฺวา อาคนฺตุกวตฺตํ ปูเรตฺวา อารามํ ปวิสิตพฺพํ ภวิสฺสติ, คมิโก ติโยชนํ คนฺตฺวา เสนาสนํ อาปุจฺฉิสฺสติ, นิสฺสยปฺปฎิปนฺนสฺส ติโยชนาติกฺกเม นิสฺสโย ปฎิปฺปสฺสมฺภิสฺสติ, ปาริวาสิเกน ติโยชนํ อติกฺกมิตฺวา อรุณํ อุฎฺฐเปตพฺพํ ภวิสฺสติ, ภิกฺขุนิยา ติโยชเน ฐตฺวา อารามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉิตพฺพํ ภวิสฺสติ, สพฺพเมฺปตํ อุปจารสีมาปริเจฺฉทวเสเนว กาตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา อุปจารสีมาย ภาเชตพฺพ’’นฺติฯ

    Sace pana jambudīpe ṭhito ‘‘tambavaṇṇidīpe saṅghassa dammī’’ti vadati, tambapaṇṇidīpato ekopi āgantvā sabbesaṃ gaṇhituṃ labhati. Sacepi tatreva eko sabhāgabhikkhu sabhāgānaṃ bhāgaṃ gaṇhāti, na vāretabbo. Evaṃ tāva yo sīmaṃ parāmasitvā deti, tassa dāne vinicchayo veditabbo. Yo pana ‘‘asukasīmāya’’nti vattuṃ na jānāti, kevalaṃ ‘‘sīmā’’ti vacanamattameva jānanto vihāraṃ āgantvā ‘‘sīmāya dammī’’ti vā ‘‘sīmaṭṭhakasaṅghassa dammī’’ti vā bhaṇati, so pucchitabbo ‘‘sīmā nāma bahuvidhā, katarasīmaṃ sandhāya bhaṇasī’’ti. Sace vadati ‘‘ahaṃ ‘asukasīmā’ti na jānāmi, sīmaṭṭhakasaṅgho bhājetvā gaṇhatū’’ti, katarasīmāya bhājetabbaṃ? Mahāsīvatthero kirāha ‘‘avippavāsasīmāyā’’ti. Tato naṃ āhaṃsu ‘‘avippavāsasīmā nāma tiyojanāpi hoti, evaṃ sante tiyojane ṭhitā lābhaṃ gaṇhissanti, tiyojane ṭhatvā āgantukavattaṃ pūretvā ārāmaṃ pavisitabbaṃ bhavissati, gamiko tiyojanaṃ gantvā senāsanaṃ āpucchissati, nissayappaṭipannassa tiyojanātikkame nissayo paṭippassambhissati, pārivāsikena tiyojanaṃ atikkamitvā aruṇaṃ uṭṭhapetabbaṃ bhavissati, bhikkhuniyā tiyojane ṭhatvā ārāmappavesanaṃ āpucchitabbaṃ bhavissati, sabbampetaṃ upacārasīmāparicchedavaseneva kātuṃ vaṭṭati, tasmā upacārasīmāya bhājetabba’’nti.

    ๒๐๐. กติกาย เทตีติ เอตฺถ ปน กติกา นาม สมานลาภกติกาฯ ตเตฺรวํ กติกา กาตพฺพา, เอกสฺมิํ วิหาเร สนฺนิปติเตหิ ภิกฺขูหิ ยํ วิหารํ สงฺคณฺหิตุกามา สมานลาภํ กาตุํ อิจฺฉนฺติ , ตสฺส นามํ คเหตฺวา ‘‘อสุโก นาม วิหาโร โปราณโก’’ติ วา ‘‘พุทฺธาธิวุโตฺถ’’ติ วา ‘‘อปฺปลาโภ’’ติ วา ย กิญฺจิ การณํ วตฺวา ‘‘ตํ วิหารํ อิมินา วิหาเรน สทฺธิํ เอกลาภํ กาตุํ สงฺฆสฺส รุจฺจตี’’ติ ติกฺขตฺตุํ สาเวตพฺพํฯ เอตฺตาวตา ตสฺมิํ วิหาเร นิสิโนฺนปิ อิธ นิสิโนฺนว โหติฯ ตสฺมิํ วิหาเรปิ สเงฺฆน เอวเมว กาตพฺพํฯ เอตฺตาวตา อิธ นิสิโนฺนปิ ตสฺมิํ นิสิโนฺนว โหติฯ เอกสฺมิํ วิหาเร ลาเภ ภาชิยมาเน อิตรสฺมิํ ฐิตสฺส ภาคํ คเหตุํ วฎฺฎติฯ เอวํ เอเกน วิหาเรน สทฺธิํ พหูปิ อาวาสา เอกลาภา กาตพฺพาฯ เอวญฺจ กเต เอกสฺมิํ อาวาเส ทิเนฺน สพฺพตฺถ ทินฺนํ โหติฯ

    200.Katikāyadetīti ettha pana katikā nāma samānalābhakatikā. Tatrevaṃ katikā kātabbā, ekasmiṃ vihāre sannipatitehi bhikkhūhi yaṃ vihāraṃ saṅgaṇhitukāmā samānalābhaṃ kātuṃ icchanti , tassa nāmaṃ gahetvā ‘‘asuko nāma vihāro porāṇako’’ti vā ‘‘buddhādhivuttho’’ti vā ‘‘appalābho’’ti vā ya kiñci kāraṇaṃ vatvā ‘‘taṃ vihāraṃ iminā vihārena saddhiṃ ekalābhaṃ kātuṃ saṅghassa ruccatī’’ti tikkhattuṃ sāvetabbaṃ. Ettāvatā tasmiṃ vihāre nisinnopi idha nisinnova hoti. Tasmiṃ vihārepi saṅghena evameva kātabbaṃ. Ettāvatā idha nisinnopi tasmiṃ nisinnova hoti. Ekasmiṃ vihāre lābhe bhājiyamāne itarasmiṃ ṭhitassa bhāgaṃ gahetuṃ vaṭṭati. Evaṃ ekena vihārena saddhiṃ bahūpi āvāsā ekalābhā kātabbā. Evañca kate ekasmiṃ āvāse dinne sabbattha dinnaṃ hoti.

    ๒๐๑. ภิกฺขาปญฺญตฺติ นาม อตฺตโน ปริจฺจาคปญฺญาปนฎฺฐานํ, ยตฺถ สงฺฆสฺส ธุวการา กรียนฺติฯ เอตฺถ จ ยสฺมิํ วิหาเร อิมสฺส จีวรทายกสฺส สนฺตกํ สงฺฆสฺส ปากวฎฺฎํ วา วตฺตติ, ยสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขู อตฺตโน ภารํ กตฺวา สทา เคเห โภเชติ, ยตฺถ วา เตน อาวาโส การิโต, สลากภตฺตาทีนิ วา นิพทฺธานิ, อิเม ธุวการา นามฯ เยน ปน สกโลปิ วิหาโร ปติฎฺฐาปิโต, ตตฺถ วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, ตสฺมา สเจ โส ‘‘ยตฺถ มยฺหํ ธุวการา กรียนฺติ, ตตฺถ ทมฺมี’’ติ วา ‘‘ตตฺถ เทถา’’ติ วา ภณติ, พหูสุ เจปิ ฐาเนสุ ธุวการา โหนฺติ, สพฺพตฺถ ทินฺนเมว โหติฯ สเจ ปน เอกสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขู พหุตรา โหนฺติ, เตหิ วตฺตพฺพํ ‘‘ตุมฺหากํ ธุวกาเร เอกตฺถ ภิกฺขู พหู, เอกตฺถ อปฺปกา’’ติฯ สเจ ‘‘ภิกฺขุคณนาย คณฺหถา’’ติ ภณติ, ตถา ภาเชตฺวา คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ วตฺถเภสชฺชาทิ อปฺปกมฺปิ สุเขน ภาชียติฯ ยทิ ปน มโญฺจ วา ปีฐํ วา เอกเมว โหติ, ตํ ปุจฺฉิตฺวา ยสฺส วิหารสฺส, เอกวิหาเรปิ วา ยสฺส เสนาสนสฺส โส วิจาเรติ, ตตฺถ ทาตพฺพํฯ สเจปิ ‘‘อสุกภิกฺขุ คณฺหตู’’ติ วทติ, วฎฺฎติฯ อถ ‘‘มยฺหํ ธุวกาเร เทถา’’ติ วตฺวา อวิจาเรตฺวา คจฺฉติ, สงฺฆสฺสปิ วิจาเรตุํ วฎฺฎติฯ เอวํ ปน วิจาเรตพฺพํ, ‘‘สงฺฆเตฺถรสฺส วสนฎฺฐาเน เทถา’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ ตตฺถ เสนาสนํ ปริปุณฺณํ โหติ, ยตฺถ นปฺปโหติ, ตตฺถ ทาตพฺพํฯ สเจ เอโก ภิกฺขุ ‘‘มยฺหํ วสนฎฺฐาเน เสนาสนปริโภคภณฺฑํ นตฺถี’’ติ วทติ, ตตฺถ ทาตพฺพํฯ

    201.Bhikkhāpaññatti nāma attano pariccāgapaññāpanaṭṭhānaṃ, yattha saṅghassa dhuvakārā karīyanti. Ettha ca yasmiṃ vihāre imassa cīvaradāyakassa santakaṃ saṅghassa pākavaṭṭaṃ vā vattati, yasmiṃ vihāre bhikkhū attano bhāraṃ katvā sadā gehe bhojeti, yattha vā tena āvāso kārito, salākabhattādīni vā nibaddhāni, ime dhuvakārā nāma. Yena pana sakalopi vihāro patiṭṭhāpito, tattha vattabbameva natthi, tasmā sace so ‘‘yattha mayhaṃ dhuvakārā karīyanti, tattha dammī’’ti vā ‘‘tattha dethā’’ti vā bhaṇati, bahūsu cepi ṭhānesu dhuvakārā honti, sabbattha dinnameva hoti. Sace pana ekasmiṃ vihāre bhikkhū bahutarā honti, tehi vattabbaṃ ‘‘tumhākaṃ dhuvakāre ekattha bhikkhū bahū, ekattha appakā’’ti. Sace ‘‘bhikkhugaṇanāya gaṇhathā’’ti bhaṇati, tathā bhājetvā gaṇhituṃ vaṭṭati. Ettha ca vatthabhesajjādi appakampi sukhena bhājīyati. Yadi pana mañco vā pīṭhaṃ vā ekameva hoti, taṃ pucchitvā yassa vihārassa, ekavihārepi vā yassa senāsanassa so vicāreti, tattha dātabbaṃ. Sacepi ‘‘asukabhikkhu gaṇhatū’’ti vadati, vaṭṭati. Atha ‘‘mayhaṃ dhuvakāre dethā’’ti vatvā avicāretvā gacchati, saṅghassapi vicāretuṃ vaṭṭati. Evaṃ pana vicāretabbaṃ, ‘‘saṅghattherassa vasanaṭṭhāne dethā’’ti vattabbaṃ. Sace tattha senāsanaṃ paripuṇṇaṃ hoti, yattha nappahoti, tattha dātabbaṃ. Sace eko bhikkhu ‘‘mayhaṃ vasanaṭṭhāne senāsanaparibhogabhaṇḍaṃ natthī’’ti vadati, tattha dātabbaṃ.

    ๒๐๒. สงฺฆสฺส เทตีติ เอตฺถ ปน สเจ วิหารํ ปวิสิตฺวา ‘‘อิมานิ จีวรานิ สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ เทติ, อุปจารสีมาย ฐิเตน สเงฺฆน ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา กาลํ โฆเสตฺวา ภาเชตพฺพานิ, สีมฎฺฐกสฺส อสมฺปตฺตสฺสปิ ภาคํ คณฺหโนฺต น วาเรตโพฺพฯ วิหาโร มหา โหติ, เถราสนโต ปฎฺฐาย วเตฺถสุ ทียมาเนสุ อลสชาติกา มหาเถรา ปจฺฉา อาคจฺฉนฺติ, ‘‘ภเนฺต, วีสติวสฺสานํ ทียติ, ตุมฺหากํ ฐิติกา อติกฺกนฺตา’’ติ น วตฺตพฺพา, ฐิติกํ ฐเปตฺวา เตสํ ทตฺวา ปจฺฉา ฐิติภาย ทาตพฺพํฯ ‘‘อสุกวิหาเร กิร พหุ จีวรํ อุปฺปนฺน’’นฺติ สุตฺวา โยชนนฺตริกวิหารโตปิ ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, สมฺปตฺตสมฺปตฺตานํ ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ทาตพฺพํ, อสมฺปตฺตานมฺปิ อุปจารสีมํ ปวิฎฺฐานํ อเนฺตวาสิกาทีสุ คณฺหเนฺตสุ ทาตพฺพเมวฯ ‘‘พหิอุปจารสีมาย ฐิตานํ เทถา’’ติ วทนฺติ, น ทาตพฺพํฯ สเจ ปน อุปจารสีมํ โอกฺกเนฺตหิ เอกาพทฺธา หุตฺวา อตฺตโน วิหารทฺวาเร วา อโนฺตวิหาเรเยว วา โหนฺติ, ปริสวเสน วฑฺฒิตา นาม สีมา โหติ, ตสฺมา ทาตพฺพํฯ สงฺฆนวกสฺส ทิเนฺนปิ ปจฺฉา อาคตานํ ทาตพฺพเมวฯ ทุติยภาเค ปน เถราสนํ อารุเฬฺห อาคตานํ ปฐมภาโค น ปาปุณาติ, ทุติยภาคโต วสฺสเคฺคน ทาตพฺพํฯ

    202.Saṅghassa detīti ettha pana sace vihāraṃ pavisitvā ‘‘imāni cīvarāni saṅghassa dammī’’ti deti, upacārasīmāya ṭhitena saṅghena ghaṇṭiṃ paharitvā kālaṃ ghosetvā bhājetabbāni, sīmaṭṭhakassa asampattassapi bhāgaṃ gaṇhanto na vāretabbo. Vihāro mahā hoti, therāsanato paṭṭhāya vatthesu dīyamānesu alasajātikā mahātherā pacchā āgacchanti, ‘‘bhante, vīsativassānaṃ dīyati, tumhākaṃ ṭhitikā atikkantā’’ti na vattabbā, ṭhitikaṃ ṭhapetvā tesaṃ datvā pacchā ṭhitibhāya dātabbaṃ. ‘‘Asukavihāre kira bahu cīvaraṃ uppanna’’nti sutvā yojanantarikavihāratopi bhikkhū āgacchanti, sampattasampattānaṃ ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya dātabbaṃ, asampattānampi upacārasīmaṃ paviṭṭhānaṃ antevāsikādīsu gaṇhantesu dātabbameva. ‘‘Bahiupacārasīmāya ṭhitānaṃ dethā’’ti vadanti, na dātabbaṃ. Sace pana upacārasīmaṃ okkantehi ekābaddhā hutvā attano vihāradvāre vā antovihāreyeva vā honti, parisavasena vaḍḍhitā nāma sīmā hoti, tasmā dātabbaṃ. Saṅghanavakassa dinnepi pacchā āgatānaṃ dātabbameva. Dutiyabhāge pana therāsanaṃ āruḷhe āgatānaṃ paṭhamabhāgo na pāpuṇāti, dutiyabhāgato vassaggena dātabbaṃ.

    เอกสฺมิํ วิหาเร ทส ภิกฺขู โหนฺติ, ทส วตฺถานิ ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ เทนฺติ, ปาเฎกฺกํ ภาเชตพฺพานิฯ สเจ ‘‘สพฺพาเนว อมฺหากํ ปาปุณนฺตี’’ติ คเหตฺวา คจฺฉนฺติ, ทุปฺปาปิตานิ เจว ทุคฺคหิตานิ จ, คตคตฎฺฐาเน สงฺฆิกาเนว โหนฺติฯ เอกํ ปน อุทฺธริตฺวา ‘‘อิทํ ตุมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ สงฺฆเตฺถรสฺส ปาเปตฺวา ‘‘เสสานิ อมฺหากํ ปาปุณนฺตี’’ติ คเหตุํ วฎฺฎติฯ เอกเมว วตฺถํ ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ อาหรนฺติ, อภาเชตฺวาว ‘‘อมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ คณฺหนฺติ, ทุปฺปาปิตเญฺจว ทุคฺคหิตญฺจฯ สตฺถเกน วา หลิทฺทิอาทินา วา เลขํ กตฺวา เอกโกฎฺฐาสํ ‘‘อิทํ ฐานํ ตุมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ สงฺฆเตฺถรสฺส ปาเปตฺวา ‘‘เสสํ อมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ คเหตุํ วฎฺฎติฯ ยํ ปน วตฺถเสฺสว ปุปฺผํ วา วลิ วา, เตน ปริเจฺฉทํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ เอกํ ตนฺตํ อุทฺธริตฺวา ‘‘อิทํ ฐานํ ตุมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ เถรสฺส ทตฺวา ‘‘เสสํ อมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ คณฺหนฺติ, วฎฺฎติฯ ขณฺฑํ ขณฺฑํ ฉินฺทิตฺวา ภาชิยมานํ วฎฺฎติเยวฯ

    Ekasmiṃ vihāre dasa bhikkhū honti, dasa vatthāni ‘‘saṅghassa demā’’ti denti, pāṭekkaṃ bhājetabbāni. Sace ‘‘sabbāneva amhākaṃ pāpuṇantī’’ti gahetvā gacchanti, duppāpitāni ceva duggahitāni ca, gatagataṭṭhāne saṅghikāneva honti. Ekaṃ pana uddharitvā ‘‘idaṃ tumhākaṃ pāpuṇātī’’ti saṅghattherassa pāpetvā ‘‘sesāni amhākaṃ pāpuṇantī’’ti gahetuṃ vaṭṭati. Ekameva vatthaṃ ‘‘saṅghassa demā’’ti āharanti, abhājetvāva ‘‘amhākaṃ pāpuṇātī’’ti gaṇhanti, duppāpitañceva duggahitañca. Satthakena vā haliddiādinā vā lekhaṃ katvā ekakoṭṭhāsaṃ ‘‘idaṃ ṭhānaṃ tumhākaṃ pāpuṇātī’’ti saṅghattherassa pāpetvā ‘‘sesaṃ amhākaṃ pāpuṇātī’’ti gahetuṃ vaṭṭati. Yaṃ pana vatthasseva pupphaṃ vā vali vā, tena paricchedaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Sace ekaṃ tantaṃ uddharitvā ‘‘idaṃ ṭhānaṃ tumhākaṃ pāpuṇātī’’ti therassa datvā ‘‘sesaṃ amhākaṃ pāpuṇātī’’ti gaṇhanti, vaṭṭati. Khaṇḍaṃ khaṇḍaṃ chinditvā bhājiyamānaṃ vaṭṭatiyeva.

    เอกภิกฺขุเก วิหาเร สงฺฆสฺส จีวเรสุ อุปฺปเนฺนสุ สเจ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว โส ภิกฺขุ ‘‘สพฺพานิ มยฺหํ ปาปุณนฺตี’’ติ คณฺหาติ, สุคฺคหิตานิ , ฐิติกา ปน น ติฎฺฐติฯ สเจ เอเกกํ อุทฺธริตฺวา ‘‘อิทํ มยฺหํ ปาปุณาตี’’ติ คณฺหาติ, ฐิติกา ติฎฺฐติฯ ตตฺถ อฎฺฐิตาย ฐิติกาย ปุน อญฺญสฺมิํ จีวเร อุปฺปเนฺน สเจ เอโก ภิกฺขุ อาคจฺฉติ, มเชฺฌ ฉินฺทิตฺวา ทฺวีหิปิ คเหตพฺพํฯ ฐิตาย ฐิติกาย ปุน อญฺญสฺมิํ จีวเร อุปฺปเนฺน สเจ นวกตโร อาคจฺฉติ, ฐิติกา เหฎฺฐา โอโรหติฯ สเจ วุฑฺฒตโร อาคจฺฉติ, ฐิติกา อุทฺธํ อาโรหติฯ อถ อโญฺญ นตฺถิ, ปุน อตฺตโน ปาเปตฺวา คเหตพฺพํฯ ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ วา ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส เทมา’’ติ วา เยน เกนจิ อากาเรน สงฺฆํ อามสิตฺวา ทินฺนํ ปน ปํสุกูลิกานํ น วฎฺฎติ ‘‘คหปติจีวรํ ปฎิกฺขิปามิ, ปํสุกูลิกงฺคํ สมาทิยามี’’ติ วุตฺตตฺตา, น ปน อกปฺปิยตฺตาฯ ภิกฺขุสเงฺฆน อปโลเกตฺวา ทินฺนมฺปิ น คเหตพฺพํฯ ยํ ปน ภิกฺขุ อตฺตโน สนฺตกํ เทติ, ตํ ภิกฺขุทตฺติยํ นาม วฎฺฎติ, ปํสุกูลํ ปน น โหติฯ เอวํ สเนฺตปิ ธุตงฺคํ น ภิชฺชติฯ ‘‘ภิกฺขูนํ เทม, เถรานํ เทมา’’ติ วุเตฺต ปน ปํสุกูลิกานมฺปิ วฎฺฎติ, ‘‘อิทํ วตฺถํ สงฺฆสฺส เทม, อิมินา อุปาหนตฺถวิกปตฺตตฺถวิกอาโยคอํสพทฺธกาทีนิ กโรนฺตู’’ติ ทินฺนมฺปิ วฎฺฎติฯ ปตฺตตฺถวิกาทีนํ อตฺถาย ทินฺนานิ พหูนิปิ โหนฺติ, จีวรตฺถายปิ ปโหนฺติ, ตโต จีวรํ กตฺวา ปารุปิตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน สโงฺฆ ภาชิตาติริตฺตานิ วตฺถานิ ฉินฺทิตฺวา อุปาหนตฺถวิกาทีนํ อตฺถาย ภาเชติ, ตโต คเหตุํ น วฎฺฎติฯ สามิเกหิ วิจาริตเมว หิ วฎฺฎติ, น อิตรํฯ ปํสุกูลิกํ ‘‘สงฺฆสฺส ธมฺมกรณปฎาทีนํ อตฺถาย เทมา’’ติ วุเตฺตปิ คเหตุํ วฎฺฎติ, ปริกฺขาโร นาม ปํสุกูลิกานมฺปิ อิจฺฉิตโพฺพฯ ยํ ตตฺถ อติเรกํ โหติ, ตํ จีวเรปิ อุปเนตุํ วฎฺฎติฯ สุตฺตํ สงฺฆสฺส เทนฺติ, ปํสุกูลิเกหิปิ คเหตพฺพํฯ อยํ ตาว วิหารํ ปวิสิตฺวา ‘‘อิมานิ จีวรานิ สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ ทิเนฺนสุ วินิจฺฉโยฯ สเจ ปน พหิอุปจารสีมาย อทฺธานมคฺคปฺปฎิปเนฺน ภิกฺขู ทิสฺวา ‘‘สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ สงฺฆเตฺถรสฺส วา สงฺฆนวกสฺส วา อาโรเจติ, สเจปิ โยชนํ ผริตฺวา ปริสา ฐิตา โหติ, เอกาพทฺธา เจ, สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ เย ปน ทฺวาทสหิ หเตฺถหิ ปริสํ อสมฺปตฺตา, เตสํ น ปาปุณาติฯ

    Ekabhikkhuke vihāre saṅghassa cīvaresu uppannesu sace pubbe vuttanayeneva so bhikkhu ‘‘sabbāni mayhaṃ pāpuṇantī’’ti gaṇhāti, suggahitāni , ṭhitikā pana na tiṭṭhati. Sace ekekaṃ uddharitvā ‘‘idaṃ mayhaṃ pāpuṇātī’’ti gaṇhāti, ṭhitikā tiṭṭhati. Tattha aṭṭhitāya ṭhitikāya puna aññasmiṃ cīvare uppanne sace eko bhikkhu āgacchati, majjhe chinditvā dvīhipi gahetabbaṃ. Ṭhitāya ṭhitikāya puna aññasmiṃ cīvare uppanne sace navakataro āgacchati, ṭhitikā heṭṭhā orohati. Sace vuḍḍhataro āgacchati, ṭhitikā uddhaṃ ārohati. Atha añño natthi, puna attano pāpetvā gahetabbaṃ. ‘‘Saṅghassa demā’’ti vā ‘‘bhikkhusaṅghassa demā’’ti vā yena kenaci ākārena saṅghaṃ āmasitvā dinnaṃ pana paṃsukūlikānaṃ na vaṭṭati ‘‘gahapaticīvaraṃ paṭikkhipāmi, paṃsukūlikaṅgaṃ samādiyāmī’’ti vuttattā, na pana akappiyattā. Bhikkhusaṅghena apaloketvā dinnampi na gahetabbaṃ. Yaṃ pana bhikkhu attano santakaṃ deti, taṃ bhikkhudattiyaṃ nāma vaṭṭati, paṃsukūlaṃ pana na hoti. Evaṃ santepi dhutaṅgaṃ na bhijjati. ‘‘Bhikkhūnaṃ dema, therānaṃ demā’’ti vutte pana paṃsukūlikānampi vaṭṭati, ‘‘idaṃ vatthaṃ saṅghassa dema, iminā upāhanatthavikapattatthavikaāyogaaṃsabaddhakādīni karontū’’ti dinnampi vaṭṭati. Pattatthavikādīnaṃ atthāya dinnāni bahūnipi honti, cīvaratthāyapi pahonti, tato cīvaraṃ katvā pārupituṃ vaṭṭati. Sace pana saṅgho bhājitātirittāni vatthāni chinditvā upāhanatthavikādīnaṃ atthāya bhājeti, tato gahetuṃ na vaṭṭati. Sāmikehi vicāritameva hi vaṭṭati, na itaraṃ. Paṃsukūlikaṃ ‘‘saṅghassa dhammakaraṇapaṭādīnaṃ atthāya demā’’ti vuttepi gahetuṃ vaṭṭati, parikkhāro nāma paṃsukūlikānampi icchitabbo. Yaṃ tattha atirekaṃ hoti, taṃ cīvarepi upanetuṃ vaṭṭati. Suttaṃ saṅghassa denti, paṃsukūlikehipi gahetabbaṃ. Ayaṃ tāva vihāraṃ pavisitvā ‘‘imāni cīvarāni saṅghassa dammī’’ti dinnesu vinicchayo. Sace pana bahiupacārasīmāya addhānamaggappaṭipanne bhikkhū disvā ‘‘saṅghassa dammī’’ti saṅghattherassa vā saṅghanavakassa vā āroceti, sacepi yojanaṃ pharitvā parisā ṭhitā hoti, ekābaddhā ce, sabbesaṃ pāpuṇāti. Ye pana dvādasahi hatthehi parisaṃ asampattā, tesaṃ na pāpuṇāti.

    ๒๐๓. อุภโตสงฺฆสฺส เทตีติ เอตฺถ ‘‘อุภโตสงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘ทฺวิธา สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ, ‘‘ทฺวินฺนํ สงฺฆานํ ทมฺมี’’ติ, ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ภิกฺขุนีสงฺฆสฺส จ ทมฺมี’’ติ วุเตฺตปิ อุภโตสงฺฆสฺส ทินฺนเมว โหติฯ ตตฺถ สเจ พหุกาปิ ภิกฺขู โหนฺติ, เอกา ภิกฺขุนี โหติ, อุปฑฺฒํ ทาตพฺพํ, เทฺว ภาเค สเม กตฺวา เอโก ภาโค ทาตโพฺพติ อโตฺถฯ สเจ พหุกาปิ ภิกฺขุนิโย โหนฺติ, เอโก ภิกฺขุ โหติ, อุปฑฺฒํ ทาตพฺพํฯ ‘‘อุภโตสงฺฆสฺส จ ตุยฺหญฺจ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต สเจ ทส ทส ภิกฺขู จ ภิกฺขุนิโย จ โหนฺติ, เอกวีสติ ปฎิวีเส กตฺวา เอโก ปุคฺคลสฺส ทาตโพฺพ, ทส ภิกฺขุสงฺฆสฺส, ทส ภิกฺขุนีสงฺฆสฺสฯ เยน ปุคฺคลิโก ลโทฺธ, โส สงฺฆโตปิ อตฺตโน วสฺสเคฺคน คเหตุํ ลภติฯ กสฺมา? อุภโตสงฺฆคฺคหเณน คหิตตฺตาฯ ‘‘อุภโตสงฺฆสฺส จ เจติยสฺส จ ทมฺมี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ อิธ ปน เจติยสฺส สงฺฆโต ปาปุณนโกฎฺฐาโส นาม นตฺถิ, เอกปุคฺคลสฺส ปตฺตโกฎฺฐาสสโมว โกฎฺฐาโส โหติฯ ‘‘อุภโตสงฺฆสฺส จ ตุยฺหญฺจ เจติยสฺส จา’’ติ วุเตฺต ปน ทฺวาวีสติ โกฎฺฐาเส กตฺวา ทส ภิกฺขูนํ, ทส ภิกฺขุนีนํ, เอโก ปุคฺคลสฺส, เอโก เจติยสฺส ทาตโพฺพฯ ตตฺถ ปุคฺคโล สงฺฆโตปิ อตฺตโน วสฺสเคฺคน คเหตุํ ลภติ, เจติยสฺส เอโกเยวฯ

    203.Ubhatosaṅghassa detīti ettha ‘‘ubhatosaṅghassa dammī’’ti vuttepi ‘‘dvidhā saṅghassa dammī’’ti, ‘‘dvinnaṃ saṅghānaṃ dammī’’ti, ‘‘bhikkhusaṅghassa ca bhikkhunīsaṅghassa ca dammī’’ti vuttepi ubhatosaṅghassa dinnameva hoti. Tattha sace bahukāpi bhikkhū honti, ekā bhikkhunī hoti, upaḍḍhaṃ dātabbaṃ, dve bhāge same katvā eko bhāgo dātabboti attho. Sace bahukāpi bhikkhuniyo honti, eko bhikkhu hoti, upaḍḍhaṃ dātabbaṃ. ‘‘Ubhatosaṅghassa ca tuyhañca dammī’’ti vutte sace dasa dasa bhikkhū ca bhikkhuniyo ca honti, ekavīsati paṭivīse katvā eko puggalassa dātabbo, dasa bhikkhusaṅghassa, dasa bhikkhunīsaṅghassa. Yena puggaliko laddho, so saṅghatopi attano vassaggena gahetuṃ labhati. Kasmā? Ubhatosaṅghaggahaṇena gahitattā. ‘‘Ubhatosaṅghassa ca cetiyassa ca dammī’’ti vuttepi eseva nayo. Idha pana cetiyassa saṅghato pāpuṇanakoṭṭhāso nāma natthi, ekapuggalassa pattakoṭṭhāsasamova koṭṭhāso hoti. ‘‘Ubhatosaṅghassa ca tuyhañca cetiyassa cā’’ti vutte pana dvāvīsati koṭṭhāse katvā dasa bhikkhūnaṃ, dasa bhikkhunīnaṃ, eko puggalassa, eko cetiyassa dātabbo. Tattha puggalo saṅghatopi attano vassaggena gahetuṃ labhati, cetiyassa ekoyeva.

    ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ภิกฺขุนีนญฺจ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต ปน น มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา ทาตพฺพํ, ภิกฺขู จ ภิกฺขุนิโย จ คเณตฺวา ทาตพฺพํฯ ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ภิกฺขุนีนญฺจ ตุยฺหญฺจา’’ติ วุเตฺต ปน ปุคฺคโล วิสุํ น ลภติ, ปาปุณนฎฺฐานโต เอกเมว ลภติฯ กสฺมา? ภิกฺขุสงฺฆคฺคหเณน คหิตตฺตาฯ ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ภิกฺขุนีนญฺจ ตุยฺหญฺจ เจติยสฺส จา’’ติ วุเตฺตปิ เจติยสฺส เอกปุคฺคลปฎิวีโส ลพฺภติ, ปุคฺคลสฺส วิสุํ น ลพฺภติ, ตสฺมา เอกํ เจติยสฺส ทตฺวา อวเสสํ ภิกฺขู จ ภิกฺขุนิโย จ คเณตฺวา ภาเชตพฺพํฯ

    ‘‘Bhikkhusaṅghassa ca bhikkhunīnañca dammī’’ti vutte pana na majjhe bhinditvā dātabbaṃ, bhikkhū ca bhikkhuniyo ca gaṇetvā dātabbaṃ. ‘‘Bhikkhusaṅghassa ca bhikkhunīnañca tuyhañcā’’ti vutte pana puggalo visuṃ na labhati, pāpuṇanaṭṭhānato ekameva labhati. Kasmā? Bhikkhusaṅghaggahaṇena gahitattā. ‘‘Bhikkhusaṅghassa ca bhikkhunīnañca tuyhañca cetiyassa cā’’ti vuttepi cetiyassa ekapuggalapaṭivīso labbhati, puggalassa visuṃ na labbhati, tasmā ekaṃ cetiyassa datvā avasesaṃ bhikkhū ca bhikkhuniyo ca gaṇetvā bhājetabbaṃ.

    ‘‘ภิกฺขูนญฺจ ภิกฺขุนีนญฺจ ทมฺมี’’ติ วุเตฺตปิ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา น ทาตพฺพํ, ปุคฺคลคณนาย เอว วิภชิตพฺพํฯ ‘‘ภิกฺขูนญฺจ ภิกฺขุนีนญฺจ ตุยฺหญฺจ, ภิกฺขูนญฺจ ภิกฺขุนีนญฺจ เจติยสฺส จ, ภิกฺขูนญฺจ ภิกฺขุนีนญฺจ ตุยฺหญฺจ เจติยสฺส จา’’ติ เอวํ วุเตฺตปิ เจติยสฺส เอกปฎิวีโส ลพฺภติ, ปุคฺคลสฺส วิสุํ นตฺถิ, ภิกฺขู จ ภิกฺขุนิโย จ คเณตฺวา เอว ภาเชตพฺพํฯ ยถา จ ภิกฺขุสงฺฆํ อาทิํ กตฺวา นโย นีโต, เอวํ ภิกฺขุนีสงฺฆํ อาทิํ กตฺวาปิ เนตโพฺพฯ

    ‘‘Bhikkhūnañca bhikkhunīnañca dammī’’ti vuttepi majjhe bhinditvā na dātabbaṃ, puggalagaṇanāya eva vibhajitabbaṃ. ‘‘Bhikkhūnañca bhikkhunīnañca tuyhañca, bhikkhūnañca bhikkhunīnañca cetiyassa ca, bhikkhūnañca bhikkhunīnañca tuyhañca cetiyassa cā’’ti evaṃ vuttepi cetiyassa ekapaṭivīso labbhati, puggalassa visuṃ natthi, bhikkhū ca bhikkhuniyo ca gaṇetvā eva bhājetabbaṃ. Yathā ca bhikkhusaṅghaṃ ādiṃ katvā nayo nīto, evaṃ bhikkhunīsaṅghaṃ ādiṃ katvāpi netabbo.

    ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ตุยฺหญฺจา’’ติ วุเตฺต ปุคฺคลสฺส วิสุํ น ลพฺภติ, วสฺสเคฺคเนว คเหตพฺพํฯ ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ เจติยสฺส จา’’ติ วุเตฺต ปน เจติยสฺส วิสุํ ปฎิวีโส ลพฺภติฯ ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ตุยฺหญฺจ เจติยสฺส จา’’ติ วุเตฺตปิ เจติยเสฺสว วิสุํ ลพฺภติ, น ปุคฺคลสฺสฯ ‘‘ภิกฺขูนญฺจ ตุยฺหญฺจา’’ติ วุเตฺตปิ วิสุํ น ลพฺภติ, ‘‘ภิกฺขูนญฺจ เจติยสฺส จา’’ติ วุเตฺต ปน เจติยสฺส ลพฺภติฯ ‘‘ภิกฺขูนญฺจ ตุยฺหญฺจ เจติยสฺส จา’’ติ วุเตฺตปิ เจติยเสฺสว วิสุํ ลพฺภติ, น ปุคฺคลสฺสฯ ภิกฺขุนีสงฺฆํ อาทิํ กตฺวาปิ เอวเมว โยเชตพฺพํฯ

    ‘‘Bhikkhusaṅghassa ca tuyhañcā’’ti vutte puggalassa visuṃ na labbhati, vassaggeneva gahetabbaṃ. ‘‘Bhikkhusaṅghassa ca cetiyassa cā’’ti vutte pana cetiyassa visuṃ paṭivīso labbhati. ‘‘Bhikkhusaṅghassa ca tuyhañca cetiyassa cā’’ti vuttepi cetiyasseva visuṃ labbhati, na puggalassa. ‘‘Bhikkhūnañca tuyhañcā’’ti vuttepi visuṃ na labbhati, ‘‘bhikkhūnañca cetiyassa cā’’ti vutte pana cetiyassa labbhati. ‘‘Bhikkhūnañca tuyhañca cetiyassa cā’’ti vuttepi cetiyasseva visuṃ labbhati, na puggalassa. Bhikkhunīsaṅghaṃ ādiṃ katvāpi evameva yojetabbaṃ.

    ปุเพฺพ พุทฺธปฺปมุขสฺส อุภโตสงฺฆสฺส ทานํ เทนฺติ, ภควา มเชฺฌ นิสีทติ, ทกฺขิณโต ภิกฺขู, วามโต ภิกฺขุนิโย นิสีทนฺติ, ภควา อุภินฺนํ สงฺฆเตฺถโร, ตทา ภควา อตฺตนา ลทฺธปจฺจเย อตฺตนาปิ ปริภุญฺชติ, ภิกฺขูนมฺปิ ทาเปติฯ เอตรหิ ปน ปณฺฑิตมนุสฺสา สธาตุกํ ปฎิมํ วา เจติยํ วา ฐเปตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส อุภโตสงฺฆสฺส ทานํ เทนฺติ, ปฎิมาย วา เจติยสฺส วา ปุรโต อาธารเก ปตฺตํ ฐเปตฺวา ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา ‘‘พุทฺธานํ เทมา’’ติ, ตตฺถ ปฐมํ ขาทนียโภชนียํ เทนฺติ, วิหารํ วา อาหริตฺวา ‘‘อิทํ เจติยสฺส เทมา’’ติ ปิณฺฑปาตญฺจ มาลาคนฺธาทีนิ จ เทนฺติ, ตตฺถ กถํ ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ? มาลาคนฺธาทีนิ ตาว เจติเย อาโรเปตพฺพานิ, วเตฺถหิ ปฎากา, เตเลน ปทีปา กาตพฺพาฯ ปิณฺฑปาตมธุผาณิตาทีนิ ปน โย นิพทฺธเจติยชคฺคโก โหติ ปพฺพชิโต วา คหโฎฺฐ วา, ตสฺส ทาตพฺพานิฯ นิพทฺธชคฺคเก อสติ อาหฎภตฺตํ ฐเปตฺวา วตฺตํ กตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, อุปกเฎฺฐ กาเล ภุญฺชิตฺวา ปจฺฉาปิ วตฺตํ กาตุํ วฎฺฎติเยวฯ มาลาคนฺธาทีสุ จ ยํ กิญฺจิ ‘‘อิทํ หริตฺวา เจติเย ปูชํ กโรถา’’ติ วุเตฺต ทูรมฺปิ หริตฺวา ปูเชตพฺพํ, ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส หรา’’ติ วุเตฺตปิ หริตพฺพํฯ สเจ ปน ‘‘อหํ ปิณฺฑาย จรามิ, อาสนสาลาย ภิกฺขู อตฺถิ, เต หริสฺสนฺตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ภเนฺต, ตุยฺหเมว ทมฺมี’’ติ วทติ, ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ อถ ปน ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทสฺสามี’’ติ หรนฺตสฺส คจฺฉโต อนฺตราว กาโล อุปกโฎฺฐ โหติ, อตฺตโน ปาเปตฺวา ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ

    Pubbe buddhappamukhassa ubhatosaṅghassa dānaṃ denti, bhagavā majjhe nisīdati, dakkhiṇato bhikkhū, vāmato bhikkhuniyo nisīdanti, bhagavā ubhinnaṃ saṅghatthero, tadā bhagavā attanā laddhapaccaye attanāpi paribhuñjati, bhikkhūnampi dāpeti. Etarahi pana paṇḍitamanussā sadhātukaṃ paṭimaṃ vā cetiyaṃ vā ṭhapetvā buddhappamukhassa ubhatosaṅghassa dānaṃ denti, paṭimāya vā cetiyassa vā purato ādhārake pattaṃ ṭhapetvā dakkhiṇodakaṃ datvā ‘‘buddhānaṃ demā’’ti, tattha paṭhamaṃ khādanīyabhojanīyaṃ denti, vihāraṃ vā āharitvā ‘‘idaṃ cetiyassa demā’’ti piṇḍapātañca mālāgandhādīni ca denti, tattha kathaṃ paṭipajjitabbanti? Mālāgandhādīni tāva cetiye āropetabbāni, vatthehi paṭākā, telena padīpā kātabbā. Piṇḍapātamadhuphāṇitādīni pana yo nibaddhacetiyajaggako hoti pabbajito vā gahaṭṭho vā, tassa dātabbāni. Nibaddhajaggake asati āhaṭabhattaṃ ṭhapetvā vattaṃ katvā paribhuñjituṃ vaṭṭati, upakaṭṭhe kāle bhuñjitvā pacchāpi vattaṃ kātuṃ vaṭṭatiyeva. Mālāgandhādīsu ca yaṃ kiñci ‘‘idaṃ haritvā cetiye pūjaṃ karothā’’ti vutte dūrampi haritvā pūjetabbaṃ, ‘‘bhikkhusaṅghassa harā’’ti vuttepi haritabbaṃ. Sace pana ‘‘ahaṃ piṇḍāya carāmi, āsanasālāya bhikkhū atthi, te harissantī’’ti vutte ‘‘bhante, tuyhameva dammī’’ti vadati, bhuñjituṃ vaṭṭati. Atha pana ‘‘bhikkhusaṅghassa dassāmī’’ti harantassa gacchato antarāva kālo upakaṭṭho hoti, attano pāpetvā bhuñjituṃ vaṭṭati.

    ๒๐๔. วสฺสํวุฎฺฐสงฺฆสฺส เทตีติ เอตฺถ ปน สเจ วิหารํ ปวิสิตฺวา ‘‘อิมานิ จีวรานิ วสฺสํวุฎฺฐสงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ เทติ, ยตฺตกา ภิกฺขู ตสฺมิํ อาวาเส วสฺสเจฺฉทํ อกตฺวา ปุริมวสฺสํวุฎฺฐา, เตหิ ภาเชตพฺพํ, อเญฺญสํ น ปาปุณาติฯ ทิสาปกฺกนฺตสฺสปิ สติ คาหเก ยาว กถินสฺสุพฺภารา ทาตพฺพํฯ ‘‘อนตฺถเต ปน กถิเน อโนฺตเหมเนฺต เอวญฺจ วตฺวา ทินฺนํ ปจฺฉิมวสฺสํวุฎฺฐานมฺปิ ปาปุณาตี’’ติ ลกฺขณญฺญู วทนฺติฯ อฎฺฐกถาสุ ปเนตํ น วิจาริตํฯ สเจ ปน พหิอุปจารสีมายํ ฐิโต ‘‘วสฺสํวุฎฺฐสงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ วทติ, สมฺปตฺตานํ สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ อถ ‘‘อสุกวิหาเร วสฺสํวุฎฺฐสงฺฆสฺสา’’ติ วทติ, ตตฺร วสฺสํวุฎฺฐานเมว ยาว กถินสฺสุพฺภารา ปาปุณาติฯ สเจ ปน คิมฺหานํ ปฐมทิวสโต ปฎฺฐาย เอวํ วทติ, ตตฺร สมฺมุขีภูตานํ สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ กสฺมา? ปิฎฺฐิสมเย อุปฺปนฺนตฺตาฯ อโนฺตวเสฺสเยว ‘‘วสฺสํ วสนฺตานํ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต ฉินฺนวสฺสา น ลภนฺติ, วสฺสํ วสนฺตาว ลภนฺติฯ จีวรมาเส ปน ‘‘วสฺสํ วสนฺตานํ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต ปจฺฉิมิกาย วสฺสูปคตานํเยว ปาปุณาติ, ปุริมิกาย วสฺสูปคตานญฺจ ฉินฺนวสฺสานญฺจ น ปาปุณาติฯ

    204.Vassaṃvuṭṭhasaṅghassa detīti ettha pana sace vihāraṃ pavisitvā ‘‘imāni cīvarāni vassaṃvuṭṭhasaṅghassa dammī’’ti deti, yattakā bhikkhū tasmiṃ āvāse vassacchedaṃ akatvā purimavassaṃvuṭṭhā, tehi bhājetabbaṃ, aññesaṃ na pāpuṇāti. Disāpakkantassapi sati gāhake yāva kathinassubbhārā dātabbaṃ. ‘‘Anatthate pana kathine antohemante evañca vatvā dinnaṃ pacchimavassaṃvuṭṭhānampi pāpuṇātī’’ti lakkhaṇaññū vadanti. Aṭṭhakathāsu panetaṃ na vicāritaṃ. Sace pana bahiupacārasīmāyaṃ ṭhito ‘‘vassaṃvuṭṭhasaṅghassa dammī’’ti vadati, sampattānaṃ sabbesaṃ pāpuṇāti. Atha ‘‘asukavihāre vassaṃvuṭṭhasaṅghassā’’ti vadati, tatra vassaṃvuṭṭhānameva yāva kathinassubbhārā pāpuṇāti. Sace pana gimhānaṃ paṭhamadivasato paṭṭhāya evaṃ vadati, tatra sammukhībhūtānaṃ sabbesaṃ pāpuṇāti. Kasmā? Piṭṭhisamaye uppannattā. Antovasseyeva ‘‘vassaṃ vasantānaṃ dammī’’ti vutte chinnavassā na labhanti, vassaṃ vasantāva labhanti. Cīvaramāse pana ‘‘vassaṃ vasantānaṃ dammī’’ti vutte pacchimikāya vassūpagatānaṃyeva pāpuṇāti, purimikāya vassūpagatānañca chinnavassānañca na pāpuṇāti.

    จีวรมาสโต ปฎฺฐาย ยาว เหมนฺตสฺส ปจฺฉิโม ทิวโส, ตาว ‘‘วสฺสาวาสิกํ เทมา’’ติ วุเตฺต กถินํ อตฺถตํ วา โหตุ อนตฺถตํ วา, อตีตวสฺสํวุฎฺฐานเมว ปาปุณาติฯ คิมฺหานํ ปฐมทิวสโต ปฎฺฐาย วุเตฺต ปน มาติกา อาโรเปตพฺพา ‘‘อตีตปสฺสาวาสสฺส ปญฺจ มาสา อติกฺกนฺตา, อนาคโต จาตุมาสจฺจเยน ภวิสฺสติ, กตรวสฺสาวาสสฺส เทสี’’ติฯ สเจ ‘‘อตีตวสฺสํวุฎฺฐานํ ทมฺมี’’ติ วทติ, ตํ อโนฺตวสฺสํวุฎฺฐานเมว ปาปุณาติ, ทิสาปกฺกนฺตานมฺปิ สภาคา คณฺหิตุํ ลภนฺติฯ สเจ ‘‘อนาคเต วสฺสาวาสิกํ ทมฺมี’’ติ วทติ, ตํ ฐเปตฺวา วสฺสูปนายิกทิวเส คเหตพฺพํฯ อถ ‘‘อคุโตฺต วิหาโร, โจรภยํ อตฺถิ, น สกฺกา ฐเปตุํ คณฺหิตฺวา วา อาหิณฺฑิตุ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘สมฺปตฺตานํ ทมฺมี’’ติ วทติ, ภาเชตฺวา คเหตพฺพํฯ สเจ วทติ ‘‘อิโต เม, ภเนฺต, ตติเย วเสฺส วสฺสาวาสิกํ น ทินฺนํ, ตํ ทมฺมี’’ติ, ตสฺมิํ อโนฺตวเสฺส วุฎฺฐภิกฺขูนํ ปาปุณาติฯ สเจ เต ทิสา ปกฺกนฺตา, อโญฺญ วิสฺสาสิโก คณฺหาติ, ทาตพฺพํฯ อเถโกเยว อวสิโฎฺฐ, เสสา กาลกตา, สพฺพํ เอกเสฺสว ปาปุณาติฯ สเจ เอโกปิ นตฺถิ, สงฺฆิกํ โหติ, สมฺมุขีภูเตหิ ภาเชตพฺพํฯ

    Cīvaramāsato paṭṭhāya yāva hemantassa pacchimo divaso, tāva ‘‘vassāvāsikaṃ demā’’ti vutte kathinaṃ atthataṃ vā hotu anatthataṃ vā, atītavassaṃvuṭṭhānameva pāpuṇāti. Gimhānaṃ paṭhamadivasato paṭṭhāya vutte pana mātikā āropetabbā ‘‘atītapassāvāsassa pañca māsā atikkantā, anāgato cātumāsaccayena bhavissati, kataravassāvāsassa desī’’ti. Sace ‘‘atītavassaṃvuṭṭhānaṃ dammī’’ti vadati, taṃ antovassaṃvuṭṭhānameva pāpuṇāti, disāpakkantānampi sabhāgā gaṇhituṃ labhanti. Sace ‘‘anāgate vassāvāsikaṃ dammī’’ti vadati, taṃ ṭhapetvā vassūpanāyikadivase gahetabbaṃ. Atha ‘‘agutto vihāro, corabhayaṃ atthi, na sakkā ṭhapetuṃ gaṇhitvā vā āhiṇḍitu’’nti vutte ‘‘sampattānaṃ dammī’’ti vadati, bhājetvā gahetabbaṃ. Sace vadati ‘‘ito me, bhante, tatiye vasse vassāvāsikaṃ na dinnaṃ, taṃ dammī’’ti, tasmiṃ antovasse vuṭṭhabhikkhūnaṃ pāpuṇāti. Sace te disā pakkantā, añño vissāsiko gaṇhāti, dātabbaṃ. Athekoyeva avasiṭṭho, sesā kālakatā, sabbaṃ ekasseva pāpuṇāti. Sace ekopi natthi, saṅghikaṃ hoti, sammukhībhūtehi bhājetabbaṃ.

    ๒๐๕. อาทิสฺส เทตีติ เอตฺถ ปน ยาคุยา วา ภเตฺต วา ขาทนีเย วา จีวเร วา เสนาสเน วา เภสเชฺช วา อาทิสิตฺวา ปริจฺฉินฺทิตฺวา เทโนฺต อาทิสฺส เทติ นามฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย – ภิกฺขู อชฺชตนาย วา สฺวาตนาย วา ยาคุยา นิมเนฺตตฺวา เตสํ ฆรํ ปวิฎฺฐานํ ยาคุํ เทติ, ยาคุํ ทตฺวา ปีตาย ยาคุยา ‘‘อิมานิ จีวรานิ เยหิ มยฺหํ ยาคุ ปีตา, เตสํ ทมฺมี’’ติ เทติ, เยหิ นิมนฺติเตหิ ยาคุ ปีตา, เตสํเยว ปาปุณาติฯ เยหิ ปน ภิกฺขาจารวเตฺตน ฆรทฺวาเรน คจฺฉเนฺตหิ วา ฆรํ ปวิเฎฺฐหิ วา ยาคุ ลทฺธา, เยสํ วา อาสนสาลโต ปตฺตํ อาหริตฺวา มนุเสฺสหิ นีตา, เยสํ วา เถเรหิ เปสิตา, เตสํ น ปาปุณาติฯ สเจ ปน นิมนฺติหภิกฺขูหิ สทฺธิํ อเญฺญปิ พหู อาคนฺตฺวา อโนฺตเคหญฺจ พหิเคหญฺจ ปูเรตฺวา นิสินฺนา, ทายโก จ เอวํ วทติ ‘‘นิมนฺติตา วา โหนฺตุ อนิมนฺติตา วา, เยสํ มยา ยาคุ ทินฺนา, สเพฺพสํ อิมานิ วตฺถานิ โหนฺตู’’ติ, สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ เยหิ ปน เถรานํ หตฺถโต ยาคุ ลทฺธา, เตสํ น ปาปุณาติฯ อถ โส ‘‘เยหิ มยฺหํ ยาคุ ปีตา, สเพฺพสํ โหตู’’ติ วทติ, สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ ภตฺตขาทนีเยสุปิ เอเสว นโยฯ จีวเร ปน ปุเพฺพปิ เตน วสฺสํ วาเสตฺวา ภิกฺขูนํ จีวรํ ทินฺนปุพฺพํ โหติ, โส เจ ภิกฺขู โภเชตฺวา วทติ ‘‘เยสํ มยา ปุเพฺพ จีวรํ ทินฺนํ, เตสํเยว อิมํ จีวรํ วา สุตฺตํ วา สปฺปิมธุผาณิตาทีนิ วา โหนฺตู’’ติ, สพฺพํ เตสํเยว ปาปุณาติฯ เสนาสเนปิ ‘‘โย มยา การิเต วิหาเร วา ปริเวเณ วา วสติ, ตสฺสิทํ โหตู’’ติ วุเตฺต ตเสฺสว โหติฯ เภสเชฺชปิ ‘‘มยํ กาเลน กาลํ เถรานํ สปฺปิอาทีนิ เภสชฺชานิ เทม, เยหิ ตานิ ลทฺธานิ, เตสํเยวิทํ โหตู’’ติ วุเตฺต เตสํเยว โหติฯ

    205.Ādissa detīti ettha pana yāguyā vā bhatte vā khādanīye vā cīvare vā senāsane vā bhesajje vā ādisitvā paricchinditvā dento ādissa deti nāma. Tatrāyaṃ vinicchayo – bhikkhū ajjatanāya vā svātanāya vā yāguyā nimantetvā tesaṃ gharaṃ paviṭṭhānaṃ yāguṃ deti, yāguṃ datvā pītāya yāguyā ‘‘imāni cīvarāni yehi mayhaṃ yāgu pītā, tesaṃ dammī’’ti deti, yehi nimantitehi yāgu pītā, tesaṃyeva pāpuṇāti. Yehi pana bhikkhācāravattena gharadvārena gacchantehi vā gharaṃ paviṭṭhehi vā yāgu laddhā, yesaṃ vā āsanasālato pattaṃ āharitvā manussehi nītā, yesaṃ vā therehi pesitā, tesaṃ na pāpuṇāti. Sace pana nimantihabhikkhūhi saddhiṃ aññepi bahū āgantvā antogehañca bahigehañca pūretvā nisinnā, dāyako ca evaṃ vadati ‘‘nimantitā vā hontu animantitā vā, yesaṃ mayā yāgu dinnā, sabbesaṃ imāni vatthāni hontū’’ti, sabbesaṃ pāpuṇāti. Yehi pana therānaṃ hatthato yāgu laddhā, tesaṃ na pāpuṇāti. Atha so ‘‘yehi mayhaṃ yāgu pītā, sabbesaṃ hotū’’ti vadati, sabbesaṃ pāpuṇāti. Bhattakhādanīyesupi eseva nayo. Cīvare pana pubbepi tena vassaṃ vāsetvā bhikkhūnaṃ cīvaraṃ dinnapubbaṃ hoti, so ce bhikkhū bhojetvā vadati ‘‘yesaṃ mayā pubbe cīvaraṃ dinnaṃ, tesaṃyeva imaṃ cīvaraṃ vā suttaṃ vā sappimadhuphāṇitādīni vā hontū’’ti, sabbaṃ tesaṃyeva pāpuṇāti. Senāsanepi ‘‘yo mayā kārite vihāre vā pariveṇe vā vasati, tassidaṃ hotū’’ti vutte tasseva hoti. Bhesajjepi ‘‘mayaṃ kālena kālaṃ therānaṃ sappiādīni bhesajjāni dema, yehi tāni laddhāni, tesaṃyevidaṃ hotū’’ti vutte tesaṃyeva hoti.

    ๒๐๖. ปุคฺคลสฺส เทตีติ เอตฺถ ปน ‘‘อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ทมฺมี’’ติ เอวํ ปรมฺมุขา วา, ปาทมูเล ฐเปตฺวา ‘‘อิทํ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ ทมฺมี’’ติ เอวํ สมฺมุขา วา เทติ, ตํ ตเสฺสว โหติฯ สเจ ปน ‘‘อิทํ ตุมฺหากญฺจ ตุมฺหากํ อเนฺตวาสิกานญฺจ ทมฺมี’’ติ เอวํ วทติ, เถรสฺส จ อเนฺตวาสิกานญฺจ ปาปุณาติฯ อุเทฺทสํ คเหตุํ อาคโต คเหตฺวา คจฺฉโนฺต จ อตฺถิ, ตสฺสปิ ปาปุณาติฯ ‘‘ตุเมฺหหิ สทฺธิํ นิพทฺธจาริกภิกฺขูนํ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต อุเทฺทสเนฺตวาสิกานํ วตฺตํ กตฺวา อุเทฺทสปริปุจฺฉาทีนิ คเหตฺวา วิจรนฺตานํ สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ อยํ ‘‘ปุคฺคลสฺส เทตี’’ติ อิมสฺมิํ ปเท วินิจฺฉโยฯ

    206.Puggalassa detīti ettha pana ‘‘imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dammī’’ti evaṃ parammukhā vā, pādamūle ṭhapetvā ‘‘idaṃ, bhante, tumhākaṃ dammī’’ti evaṃ sammukhā vā deti, taṃ tasseva hoti. Sace pana ‘‘idaṃ tumhākañca tumhākaṃ antevāsikānañca dammī’’ti evaṃ vadati, therassa ca antevāsikānañca pāpuṇāti. Uddesaṃ gahetuṃ āgato gahetvā gacchanto ca atthi, tassapi pāpuṇāti. ‘‘Tumhehi saddhiṃ nibaddhacārikabhikkhūnaṃ dammī’’ti vutte uddesantevāsikānaṃ vattaṃ katvā uddesaparipucchādīni gahetvā vicarantānaṃ sabbesaṃ pāpuṇāti. Ayaṃ ‘‘puggalassa detī’’ti imasmiṃ pade vinicchayo.

    สเจ โกจิ ภิกฺขุ เอโกว วสฺสํ วสติ, ตตฺถ มนุสฺสา ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ จีวรานิ เทนฺติ, ตตฺถ กิํ กาตพฺพนฺติ? ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตเสฺสว ตานิ จีวรานิ ยาว กถินสฺส อุพฺภารา’’ติ (มหาว. ๓๖๓) วจนโต สเจ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๖๓) คณปูรเก ภิกฺขู ลภิตฺวา กถินํ อตฺถตํ โหติ, ปญฺจ มาเส, โน เจ อตฺถตํ โหติ, เอกํ จีวรมาสํ อญฺญตฺถ คเหตฺวา นีตานิปิ ตเสฺสว ตานิ จีวรานิ, น เตสํ อโญฺญ โกจิ อิสฺสโรฯ ยํ ยญฺหิ ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ วา ‘‘สงฺฆํ อุทฺทิสฺส เทมา’’ติ วา ‘‘วสฺสํวุฎฺฐสงฺฆสฺส เทมา’’ติ วา ‘‘วสฺสาวาสิกํ เทมา’’ติ วา เทนฺติ, สเจปิ มตกจีวรํ อวิภชิตฺวา ตํ วิหารํ ปวิสติ, ตํ สพฺพํ ตเสฺสว ภิกฺขุโน โหติฯ ยมฺปิ โส วสฺสาวาสตฺถาย วฑฺฒิํ ปโยเชตฺวา ฐปิตอุปนิเกฺขปโต วา ตตฺรุปฺปาทโต วา วสฺสาวาสิกํ คณฺหาติ, สพฺพํ สุคฺคหิตเมว โหติฯ อิทเญฺหตฺถ ลกฺขณํ – เยน เตนากาเรน สงฺฆสฺส อุปฺปนฺนวตฺถํ อตฺถตกถินสฺส ปญฺจ มาเส, อนตฺถตกถินสฺส เอกํ จีวรมาสํ ปาปุณาติฯ สเจ ปน โกจิ ภิกฺขุ วสฺสานโต อญฺญสฺมิํ อุตุกาเล เอกโก วสติ, ตตฺถ มนุสฺสา ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ จีวรานิ เทนฺติ, เตน ภิกฺขุนา อธิฎฺฐาตพฺพํ ‘‘มยฺหิมานิ จีวรานี’’ติฯ อธิฎฺฐหเนฺตน ปน วตฺตํ ชานิตพฺพํฯ เตน หิ ภิกฺขุนา ฆณฺฎิํ วา ปหริตฺวา กาลํ วา โฆเสตฺวา โถกํ อาคเมตฺวา สเจ ฆณฺฎิสญฺญาย วา กาลสญฺญาย วา ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, เตหิ สทฺธิํ ภาเชตพฺพานิฯ เตหิ เจ ภิกฺขูหิ ตสฺมิํ จีวเร ภาชิยมาเน อปาติเต กุเส อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ, สมโก ทาตโพฺพ ภาโค, ปาติเต กุเส อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ, น อกามา ทาตโพฺพ ภาโคฯ เอกโกฎฺฐาเสปิ หิ กุสทณฺฑเก ปาติตมเตฺต สเจปิ ภิกฺขุสหสฺสํ โหติ, คหิตเมว นาม จีวรํ, ตสฺมา น อกามา ภาโค ทาตโพฺพฯ สเจ ปน อตฺตโน รุจิยา ทาตุกามา โหนฺติ, เทนฺตุฯ อนุภาเคปิ เอเสว นโยฯ

    Sace koci bhikkhu ekova vassaṃ vasati, tattha manussā ‘‘saṅghassa demā’’ti cīvarāni denti, tattha kiṃ kātabbanti? ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, tasseva tāni cīvarāni yāva kathinassa ubbhārā’’ti (mahāva. 363) vacanato sace (mahāva. aṭṭha. 363) gaṇapūrake bhikkhū labhitvā kathinaṃ atthataṃ hoti, pañca māse, no ce atthataṃ hoti, ekaṃ cīvaramāsaṃ aññattha gahetvā nītānipi tasseva tāni cīvarāni, na tesaṃ añño koci issaro. Yaṃ yañhi ‘‘saṅghassa demā’’ti vā ‘‘saṅghaṃ uddissa demā’’ti vā ‘‘vassaṃvuṭṭhasaṅghassa demā’’ti vā ‘‘vassāvāsikaṃ demā’’ti vā denti, sacepi matakacīvaraṃ avibhajitvā taṃ vihāraṃ pavisati, taṃ sabbaṃ tasseva bhikkhuno hoti. Yampi so vassāvāsatthāya vaḍḍhiṃ payojetvā ṭhapitaupanikkhepato vā tatruppādato vā vassāvāsikaṃ gaṇhāti, sabbaṃ suggahitameva hoti. Idañhettha lakkhaṇaṃ – yena tenākārena saṅghassa uppannavatthaṃ atthatakathinassa pañca māse, anatthatakathinassa ekaṃ cīvaramāsaṃ pāpuṇāti. Sace pana koci bhikkhu vassānato aññasmiṃ utukāle ekako vasati, tattha manussā ‘‘saṅghassa demā’’ti cīvarāni denti, tena bhikkhunā adhiṭṭhātabbaṃ ‘‘mayhimāni cīvarānī’’ti. Adhiṭṭhahantena pana vattaṃ jānitabbaṃ. Tena hi bhikkhunā ghaṇṭiṃ vā paharitvā kālaṃ vā ghosetvā thokaṃ āgametvā sace ghaṇṭisaññāya vā kālasaññāya vā bhikkhū āgacchanti, tehi saddhiṃ bhājetabbāni. Tehi ce bhikkhūhi tasmiṃ cīvare bhājiyamāne apātite kuse añño bhikkhu āgacchati, samako dātabbo bhāgo, pātite kuse añño bhikkhu āgacchati, na akāmā dātabbo bhāgo. Ekakoṭṭhāsepi hi kusadaṇḍake pātitamatte sacepi bhikkhusahassaṃ hoti, gahitameva nāma cīvaraṃ, tasmā na akāmā bhāgo dātabbo. Sace pana attano ruciyā dātukāmā honti, dentu. Anubhāgepi eseva nayo.

    อถ ฆณฺฎิสญฺญาย วา กาลสญฺญาย วา อเญฺญ ภิกฺขู น อาคจฺฉนฺติ, ‘‘มยฺหิมานิ จีวรานิ ปาปุณนฺตี’’ติ อธิฎฺฐาตพฺพานิฯ เอวํ อธิฎฺฐิเต สพฺพานิ ตเสฺสว โหนฺติ, ฐิติกา ปน น ติฎฺฐติฯ สเจ เอเกกํ อุทฺธริตฺวา ‘‘อยํ ปฐมภาโค มยฺหํ ปาปุณาติ, อยํ ทุติยภาโค’’ติ เอวํ คณฺหาติ, คหิตานิ จ สุคฺคหิตานิ โหนฺติ, ฐิติกา จ ติฎฺฐติ, เอวํ ปาเปตฺวา คณฺหเนฺตนปิ อธิฎฺฐิตเมว โหติฯ สเจ ปน ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา วา อปฺปหริตฺวา วา กาลมฺปิ โฆเสตฺวา วา อโฆเสตฺวา วา ‘‘อหเมเวตฺถ , มยฺหเมว อิมานิ จีวรานี’’ติ คณฺหาติ , ทุคฺคหิตานิ โหนฺติฯ อถ ‘‘อโญฺญ โกจิ อิธ นตฺถิ, มยฺหํ เอตานิ ปาปุณนฺตี’’ติ คณฺหาติ, สุคฺคหิตานิฯ อถ อนธิฎฺฐหิตฺวาว ตานิ จีวรานิ คเหตฺวา อญฺญํ วิหารํ อุทฺทิสฺส คจฺฉติ ‘‘ตตฺถ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ภาเชสฺสามี’’ติ, ตานิ จีวรานิ คตคตฎฺฐาเน สงฺฆิกาเนว โหนฺติฯ ภิกฺขูหิ ทิฎฺฐมตฺตเมเวตฺถ ปมาณํฯ ตสฺมา สเจ เกจิ ปฎิปถํ อาคจฺฉนฺตา ‘‘กุหิํ, อาวุโส, คจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘กิํ, อาวุโส, มยํ สโงฺฆ น โหมา’’ติ ตเตฺถว ภาเชตฺวา คณฺหนฺติ, สุคฺคหิตานิฯ สเจปิ เอส มคฺคา โอกฺกมิตฺวา กญฺจิ วิหารํ วา อาสนสาลํ วา ปิณฺฑาย จรโนฺต เอกเคหเมว วา ปวิสติ, ตตฺร จ นํ ภิกฺขู ทิสฺวา ตมตฺถํ ปุจฺฉิตฺวา ภาเชตฺวา คณฺหนฺติ, สุคฺคหิตาเนวฯ

    Atha ghaṇṭisaññāya vā kālasaññāya vā aññe bhikkhū na āgacchanti, ‘‘mayhimāni cīvarāni pāpuṇantī’’ti adhiṭṭhātabbāni. Evaṃ adhiṭṭhite sabbāni tasseva honti, ṭhitikā pana na tiṭṭhati. Sace ekekaṃ uddharitvā ‘‘ayaṃ paṭhamabhāgo mayhaṃ pāpuṇāti, ayaṃ dutiyabhāgo’’ti evaṃ gaṇhāti, gahitāni ca suggahitāni honti, ṭhitikā ca tiṭṭhati, evaṃ pāpetvā gaṇhantenapi adhiṭṭhitameva hoti. Sace pana ghaṇṭiṃ paharitvā vā appaharitvā vā kālampi ghosetvā vā aghosetvā vā ‘‘ahamevettha , mayhameva imāni cīvarānī’’ti gaṇhāti , duggahitāni honti. Atha ‘‘añño koci idha natthi, mayhaṃ etāni pāpuṇantī’’ti gaṇhāti, suggahitāni. Atha anadhiṭṭhahitvāva tāni cīvarāni gahetvā aññaṃ vihāraṃ uddissa gacchati ‘‘tattha bhikkhūhi saddhiṃ bhājessāmī’’ti, tāni cīvarāni gatagataṭṭhāne saṅghikāneva honti. Bhikkhūhi diṭṭhamattamevettha pamāṇaṃ. Tasmā sace keci paṭipathaṃ āgacchantā ‘‘kuhiṃ, āvuso, gacchasī’’ti pucchitvā tamatthaṃ sutvā ‘‘kiṃ, āvuso, mayaṃ saṅgho na homā’’ti tattheva bhājetvā gaṇhanti, suggahitāni. Sacepi esa maggā okkamitvā kañci vihāraṃ vā āsanasālaṃ vā piṇḍāya caranto ekagehameva vā pavisati, tatra ca naṃ bhikkhū disvā tamatthaṃ pucchitvā bhājetvā gaṇhanti, suggahitāneva.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, อญฺญตฺร วสฺสํวุเฎฺฐน อญฺญตฺร จีวรภาโค สาทิตโพฺพ, โย สาทิเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๔) วจนโต อญฺญตฺร วสฺสํวุโฎฺฐ อญฺญตฺร ภาคํ คณฺหาติ, ทุกฺกฎํฯ เอตฺถ ปน กิญฺจาปิ ลหุกา อาปตฺติ, อถ โข คหิตานิ จีวรานิ คหิตฎฺฐาเน ทาตพฺพานิฯ สเจปิ นฎฺฐานิ วา ชิณฺณานิ วา โหนฺติ, ตเสฺสว คีวาฯ ‘‘เทหี’’ติ วุเตฺต อเทโนฺต ธุรนิเกฺขเป ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, aññatra vassaṃvuṭṭhena aññatra cīvarabhāgo sāditabbo, yo sādiyeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 364) vacanato aññatra vassaṃvuṭṭho aññatra bhāgaṃ gaṇhāti, dukkaṭaṃ. Ettha pana kiñcāpi lahukā āpatti, atha kho gahitāni cīvarāni gahitaṭṭhāne dātabbāni. Sacepi naṭṭhāni vā jiṇṇāni vā honti, tasseva gīvā. ‘‘Dehī’’ti vutte adento dhuranikkhepe bhaṇḍagghena kāretabbo.

    เอโก ภิกฺขุ ทฺวีสุ อาวาเสสุ วสฺสํ วสติ ‘‘เอวํ เม พหุ จีวรํ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ, เอกํ ปุคฺคลปฎิวีสํเยว ลภติฯ ตสฺมา สเจ เอเกกสฺมิํ วิหาเร เอกาหเมกาหํ วา สตฺตาหํ วา วสติ, เอเกกสฺมิํ วิหาเร ยํ เอโก ปุคฺคโล ลภติ, ตโต ตโต อุปฑฺฒํ อุปฑฺฒํ ทาตพฺพํฯ เอวญฺหิ เอกปุคฺคลปฎิวีโส ทิโนฺน โหติฯ สเจ ปน เอกสฺมิํ วิหาเร วสโนฺต อิตรสฺมิํ สตฺตาหวาเรน อรุณเมว อุฎฺฐาเปติ, พหุตรํ วสิตวิหารโต ตสฺส ปฎิวีโส ทาตโพฺพฯ เอวมฺปิ เอกปุคฺคลปฎิวีโสเยว ทิโนฺน โหติฯ อิทญฺจ นานาลาเภหิ นานูปจาเรหิ เอกสีมาวิหาเรหิ กถิตํ, นานาสีมาวิหาเร ปน เสนาสนคฺคาโห ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ ตสฺมา ตตฺถ จีวรปฎิวีโส น ปาปุณาติ, เสสํ ปน อามิสเภสชฺชาทิ สพฺพํ สพฺพตฺถ อโนฺตสีมาคตสฺส ปาปุณาติฯ

    Eko bhikkhu dvīsu āvāsesu vassaṃ vasati ‘‘evaṃ me bahu cīvaraṃ uppajjissatī’’ti, ekaṃ puggalapaṭivīsaṃyeva labhati. Tasmā sace ekekasmiṃ vihāre ekāhamekāhaṃ vā sattāhaṃ vā vasati, ekekasmiṃ vihāre yaṃ eko puggalo labhati, tato tato upaḍḍhaṃ upaḍḍhaṃ dātabbaṃ. Evañhi ekapuggalapaṭivīso dinno hoti. Sace pana ekasmiṃ vihāre vasanto itarasmiṃ sattāhavārena aruṇameva uṭṭhāpeti, bahutaraṃ vasitavihārato tassa paṭivīso dātabbo. Evampi ekapuggalapaṭivīsoyeva dinno hoti. Idañca nānālābhehi nānūpacārehi ekasīmāvihārehi kathitaṃ, nānāsīmāvihāre pana senāsanaggāho paṭippassambhati. Tasmā tattha cīvarapaṭivīso na pāpuṇāti, sesaṃ pana āmisabhesajjādi sabbaṃ sabbattha antosīmāgatassa pāpuṇāti.

    ๒๐๗. ‘‘ภิกฺขุสฺส, ภิกฺขเว, กาลกเต สโงฺฆ สามี ปตฺตจีวเร, อปิจ คิลานุปฎฺฐากา พหูปการา, อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สเงฺฆน ติจีวรญฺจ ปตฺตญฺจ คิลานุปฎฺฐากานํ ทาตุํ, ยํ ตตฺถ ลหุภณฺฑํ ลหุปริกฺขารํ, ตํ สมฺมุขีภูเตน สเงฺฆน ภาเชตุํ, ยํ ตตฺถ ครุภณฺฑํ ครุปริกฺขารํ, ตํ อาคตานาคตจาตุทฺทิสสฺส สงฺฆสฺส อวิสฺสชฺชิกํ อเวภงฺคิก’’นฺติ (มหาว. ๓๖๙) วจนโต ภิกฺขุสฺมิํ กาลกเต อปโลเกตฺวา วา –

    207. ‘‘Bhikkhussa, bhikkhave, kālakate saṅgho sāmī pattacīvare, apica gilānupaṭṭhākā bahūpakārā, anujānāmi, bhikkhave, saṅghena ticīvarañca pattañca gilānupaṭṭhākānaṃ dātuṃ, yaṃ tattha lahubhaṇḍaṃ lahuparikkhāraṃ, taṃ sammukhībhūtena saṅghena bhājetuṃ, yaṃ tattha garubhaṇḍaṃ garuparikkhāraṃ, taṃ āgatānāgatacātuddisassa saṅghassa avissajjikaṃ avebhaṅgika’’nti (mahāva. 369) vacanato bhikkhusmiṃ kālakate apaloketvā vā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ กาลกโต, อิทํ ตสฺส ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ ติจีวรญฺจ ปตฺตญฺจ คิลานุปฎฺฐากานํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, itthannāmo bhikkhu kālakato, idaṃ tassa ticīvarañca patto ca, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ ticīvarañca pattañca gilānupaṭṭhākānaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ กาลกโต, อิทํ ตสฺส ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, สโงฺฆ อิมํ ติจีวรญฺจ ปตฺตญฺจ คิลานุปฎฺฐากานํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิมสฺส ติจีวรสฺส จ ปตฺตสฺส จ คิลานุปฎฺฐากานํ ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, itthannāmo bhikkhu kālakato, idaṃ tassa ticīvarañca patto ca, saṅgho imaṃ ticīvarañca pattañca gilānupaṭṭhākānaṃ deti, yassāyasmato khamati imassa ticīvarassa ca pattassa ca gilānupaṭṭhākānaṃ dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทินฺนํ อิทํ สเงฺฆน ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ คิลานุปฎฺฐากานํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (มหาว. ๓๖๗) –

    ‘‘Dinnaṃ idaṃ saṅghena ticīvarañca patto ca gilānupaṭṭhākānaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (mahāva. 367) –

    เอวํ กมฺมวาจํ วา สาเวตฺวา คิลานุปฎฺฐากานํ ปตฺตจีวรํ ทตฺวา เสสํ ลหุปริกฺขารํ สมฺมุขีภูเตน สเงฺฆน ภาเชตฺวา คเหตพฺพํฯ

    Evaṃ kammavācaṃ vā sāvetvā gilānupaṭṭhākānaṃ pattacīvaraṃ datvā sesaṃ lahuparikkhāraṃ sammukhībhūtena saṅghena bhājetvā gahetabbaṃ.

    ๒๐๘. คิลานุปฎฺฐากานํ ลาเภ ปน อยํ วินิจฺฉโย – สเจ สกเล ภิกฺขุสเงฺฆ อุปฎฺฐหเนฺต กาลํ กโรติ, สเพฺพปิ สามิกาฯ อถ เอกเจฺจหิ วาเร กเต เอกเจฺจหิ อกเตเยว กาลํ กโรติ, ตตฺร เอกเจฺจ อาจริยา วทนฺติ ‘‘สเพฺพปิ อตฺตโน วาเร สมฺปเตฺต กเรยฺยุํ, ตสฺมา สเพฺพปิ สามิโน’’ติฯ เอกเจฺจ วทนฺติ ‘‘เยหิ ชคฺคิโต, เต เอว ลภนฺติ, อิตเร น ลภนฺตี’’ติฯ สามเณเรปิ กาลกเต สเจ จีวรํ อตฺถิ, คิลานุปฎฺฐากานํ ทาตพฺพํฯ โน เจ อตฺถิ, ยํ อตฺถิ, ตํ ทาตพฺพํฯ อญฺญสฺมิํ ปริกฺขาเร สติ จีวรภาคํ กตฺวา ทาตพฺพํฯ ภิกฺขุ จ สามเณโร จ สเจ สมํ อุปฎฺฐหิํสุ, สมโก ภาโค ทาตโพฺพฯ อถ สามเณโรว อุปฎฺฐหติ, ภิกฺขุสฺส สํวิทหนมตฺตเมว โหติ, สามเณรสฺส เชฎฺฐโกฎฺฐาโส ทาตโพฺพฯ สเจ สามเณโร ภิกฺขุนา อานีตอุทเกน ยาคุํ ปจิตฺวา ปฎิคฺคหาปนมตฺตเมว กโรติ, ภิกฺขุ อุปฎฺฐหติ, ภิกฺขุสฺส เชฎฺฐภาโค ทาตโพฺพฯ พหู ภิกฺขู สเพฺพ สมคฺคา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, สเพฺพสํ สมโก ภาโค ทาตโพฺพฯ โย ปเนตฺถ วิเสเสน อุปฎฺฐหติ, ตสฺส วิเสโส กาตโพฺพฯ

    208. Gilānupaṭṭhākānaṃ lābhe pana ayaṃ vinicchayo – sace sakale bhikkhusaṅghe upaṭṭhahante kālaṃ karoti, sabbepi sāmikā. Atha ekaccehi vāre kate ekaccehi akateyeva kālaṃ karoti, tatra ekacce ācariyā vadanti ‘‘sabbepi attano vāre sampatte kareyyuṃ, tasmā sabbepi sāmino’’ti. Ekacce vadanti ‘‘yehi jaggito, te eva labhanti, itare na labhantī’’ti. Sāmaṇerepi kālakate sace cīvaraṃ atthi, gilānupaṭṭhākānaṃ dātabbaṃ. No ce atthi, yaṃ atthi, taṃ dātabbaṃ. Aññasmiṃ parikkhāre sati cīvarabhāgaṃ katvā dātabbaṃ. Bhikkhu ca sāmaṇero ca sace samaṃ upaṭṭhahiṃsu, samako bhāgo dātabbo. Atha sāmaṇerova upaṭṭhahati, bhikkhussa saṃvidahanamattameva hoti, sāmaṇerassa jeṭṭhakoṭṭhāso dātabbo. Sace sāmaṇero bhikkhunā ānītaudakena yāguṃ pacitvā paṭiggahāpanamattameva karoti, bhikkhu upaṭṭhahati, bhikkhussa jeṭṭhabhāgo dātabbo. Bahū bhikkhū sabbe samaggā hutvā upaṭṭhahanti, sabbesaṃ samako bhāgo dātabbo. Yo panettha visesena upaṭṭhahati, tassa viseso kātabbo.

    เยน ปน เอกทิวสมฺปิ คิลานุปฎฺฐากวเสน ยาคุภตฺตํ วา ปจิตฺวา ทินฺนํ, นฺหานํ วา ปฎิสาทิตํ, โสปิ คิลานุปฎฺฐาโกวฯ โย ปน สมีปํ อนาคนฺตฺวา เภสชฺชตณฺฑุลาทีนิ เปเสติ, อยํ คิลานุปฎฺฐาโก น โหติฯ โย ปริเยสิตฺวา คาเหตฺวา อาคจฺฉติ, อยํ คิลานุปฎฺฐาโกว ฯ เอโก วตฺตสีเสน ชคฺคติ, เอโก ปจฺจาสาย, มตกาเล อุโภปิ ปจฺจาสีสนฺติ, อุภินฺนมฺปิ ทาตพฺพํฯ เอโก อุปฎฺฐหิตฺวา คิลานสฺส วา กเมฺมน อตฺตโน วา กเมฺมน กตฺถจิ คโต ‘‘ปุน อาคนฺตฺวา ชคฺคิสฺสามี’’ติ, เอตสฺสปิ ทาตพฺพํฯ เอโก จิรํ อุปฎฺฐหิตฺวา ‘‘อิทานิ น สโกฺกมี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปิตฺวา คจฺฉติ, สเจปิ ตํ ทิวสเมว คิลาโน กาลํ กโรติ, อุปฎฺฐากภาโค น ทาตโพฺพฯ คิลานุปฎฺฐาโก นาม คิหี วา โหตุ ปพฺพชิโต วา อนฺตมโส มาตุคาโมปิ, สเพฺพ ภาคํ ลภนฺติฯ สเจ ตสฺส ภิกฺขุโน ปตฺตจีวรมตฺตเมว โหติ, อญฺญํ นตฺถิ, สพฺพํ คิลานุปฎฺฐากานํเยว ทาตพฺพํฯ สเจปิ สหสฺสํ อคฺฆติ, อญฺญํ ปน พหุมฺปิ ปริกฺขารํ เต น ลภนฺติ, สงฺฆเสฺสว โหติฯ อวเสสํ ภณฺฑํ พหุ เจว มหคฺฆญฺจ, ติจีวรํ อปฺปคฺฆํ, ตโต คเหตฺวา ติจีวรปริกฺขาโร ทาตโพฺพ, สพฺพเญฺจตํ สงฺฆิกโตว ลพฺภติฯ สเจ ปน โส ชีวมาโนเยว สพฺพํ อตฺตโน ปริกฺขารํ นิสฺสชฺชิตฺวา กสฺสจิ อทาสิ, โกจิ วา วิสฺสาสํ อคฺคเหสิ, ยสฺส ทินฺนํ, เยน จ คหิตํ, ตเสฺสว โหติ, ตสฺส รุจิยา เอว คิลานุปฎฺฐากา ลภนฺติฯ อเญฺญสํ อทตฺวา ทูเร ฐปิตปริกฺขาราปิ ตตฺถ ตตฺถ สงฺฆเสฺสว โหนฺติฯ ทฺวินฺนํ สนฺตกํ โหติ อวิภตฺตํ, เอกสฺมิํ กาลกเต อิตโร สามีฯ พหูนมฺปิ สนฺตเก เอเสว นโยฯ สเพฺพสุ มเตสุ สงฺฆิกํ โหติฯ สเจปิ อวิภชิตฺวา สทฺธิวิหาริกาทีนํ เทนฺติ, อทินฺนเมว โหติ, วิภชิตฺวา ทินฺนํ ปน สุทินฺนํฯ ตํ เตสุ มเตสุปิ สทฺธิวิหาริกาทีนํเยว โหติ, น สงฺฆสฺสฯ

    Yena pana ekadivasampi gilānupaṭṭhākavasena yāgubhattaṃ vā pacitvā dinnaṃ, nhānaṃ vā paṭisāditaṃ, sopi gilānupaṭṭhākova. Yo pana samīpaṃ anāgantvā bhesajjataṇḍulādīni peseti, ayaṃ gilānupaṭṭhāko na hoti. Yo pariyesitvā gāhetvā āgacchati, ayaṃ gilānupaṭṭhākova . Eko vattasīsena jaggati, eko paccāsāya, matakāle ubhopi paccāsīsanti, ubhinnampi dātabbaṃ. Eko upaṭṭhahitvā gilānassa vā kammena attano vā kammena katthaci gato ‘‘puna āgantvā jaggissāmī’’ti, etassapi dātabbaṃ. Eko ciraṃ upaṭṭhahitvā ‘‘idāni na sakkomī’’ti dhuraṃ nikkhipitvā gacchati, sacepi taṃ divasameva gilāno kālaṃ karoti, upaṭṭhākabhāgo na dātabbo. Gilānupaṭṭhāko nāma gihī vā hotu pabbajito vā antamaso mātugāmopi, sabbe bhāgaṃ labhanti. Sace tassa bhikkhuno pattacīvaramattameva hoti, aññaṃ natthi, sabbaṃ gilānupaṭṭhākānaṃyeva dātabbaṃ. Sacepi sahassaṃ agghati, aññaṃ pana bahumpi parikkhāraṃ te na labhanti, saṅghasseva hoti. Avasesaṃ bhaṇḍaṃ bahu ceva mahagghañca, ticīvaraṃ appagghaṃ, tato gahetvā ticīvaraparikkhāro dātabbo, sabbañcetaṃ saṅghikatova labbhati. Sace pana so jīvamānoyeva sabbaṃ attano parikkhāraṃ nissajjitvā kassaci adāsi, koci vā vissāsaṃ aggahesi, yassa dinnaṃ, yena ca gahitaṃ, tasseva hoti, tassa ruciyā eva gilānupaṭṭhākā labhanti. Aññesaṃ adatvā dūre ṭhapitaparikkhārāpi tattha tattha saṅghasseva honti. Dvinnaṃ santakaṃ hoti avibhattaṃ, ekasmiṃ kālakate itaro sāmī. Bahūnampi santake eseva nayo. Sabbesu matesu saṅghikaṃ hoti. Sacepi avibhajitvā saddhivihārikādīnaṃ denti, adinnameva hoti, vibhajitvā dinnaṃ pana sudinnaṃ. Taṃ tesu matesupi saddhivihārikādīnaṃyeva hoti, na saṅghassa.

    สเจ วสฺสํวุโฎฺฐ ภิกฺขุ อนุปฺปเนฺน วา อุปฺปเนฺน วา จีวเร อภาชิเต วา ปกฺกมติ, อุมฺมตฺตโก ขิตฺตจิโตฺต เวทนาโฎฺฎ อุกฺขิตฺตโก วา โหติ, สเนฺต ปติรูเป คาหเก ภาโค ทาตโพฺพฯ สเจ ปน วิพฺภมติ วา กาลํ วา กโรติ สามเณโร วา ปฎิชานาติ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาตโก, อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนโก, ปณฺฑโก, เถยฺยสํวาสโก, ติตฺถิยปกฺกนฺตโก, ติรจฺฉานคโต, มาตุฆาตโก, ปิตุฆาตโก, อรหนฺตฆาตโก, ภิกฺขุนีทูสโก, สงฺฆเภทโก, โลหิตุปฺปาทโก, อุภโตพฺยญฺชนโก วา ปฎิชานาติ, สโงฺฆ สามี, ภาโค น ทาตโพฺพฯ

    Sace vassaṃvuṭṭho bhikkhu anuppanne vā uppanne vā cīvare abhājite vā pakkamati, ummattako khittacitto vedanāṭṭo ukkhittako vā hoti, sante patirūpe gāhake bhāgo dātabbo. Sace pana vibbhamati vā kālaṃ vā karoti sāmaṇero vā paṭijānāti, sikkhaṃ paccakkhātako, antimavatthuṃ ajjhāpannako, paṇḍako, theyyasaṃvāsako, titthiyapakkantako, tiracchānagato, mātughātako, pitughātako, arahantaghātako, bhikkhunīdūsako, saṅghabhedako, lohituppādako, ubhatobyañjanako vā paṭijānāti, saṅgho sāmī, bhāgo na dātabbo.

    สเจ วสฺสํวุฎฺฐานํ ภิกฺขูนํ อนุปฺปเนฺน จีวเร สโงฺฆ ภิชฺชติ, โกสมฺพกภิกฺขู วิย เทฺว โกฎฺฐาสา โหนฺติ, ตตฺถ มนุสฺสา เอกสฺมิํ ปเกฺข ทกฺขิโณทกญฺจ คนฺธาทีนิ จ เทนฺติ, เอกสฺมิํ จีวรานิ เทนฺติ ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ, ยตฺถ วา อุทกํ ทินฺนํ, ยสฺมิํเยว ปเกฺข จีวรานิ เทนฺติ ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ, สงฺฆเสฺสว ตานิ จีวรานิ, ทฺวินฺนมฺปิ โกฎฺฐาสานํ ปาปุณนฺติ, ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ทฺวีหิปิ ปเกฺขหิ เอกโต ภาเชตพฺพานิฯ สเจ ปน มนุสฺสา เอกสฺมิํ ปเกฺข ทกฺขิโณทกํ คนฺธาทีนิ จ เทนฺติ, เอกสฺมิํ ปเกฺข จีวรานิ เทนฺติ ‘‘ปกฺขสฺส เทมา’’ติ, ปกฺขเสฺสว ตานิ จีวรานิฯ เอวญฺหิ ทิเนฺน ยสฺส โกฎฺฐาสสฺส อุทกํ ทินฺนํ, ตสฺส อุทกเมว โหติฯ ยสฺส จีวรํ ทินฺนํ, ตเสฺสว จีวรํฯ ยสฺมิํ ปเทเส ทกฺขิโณทกํ ปมาณํ โหติ, ตตฺถ เอโก ปโกฺข ทกฺขิโณทกสฺส ลทฺธตฺตา จีวรานิ ลภติ, เอโก จีวรานเมว ลทฺธตฺตาติ อุโภหิ เอกโต หุตฺวา ยถาวุฑฺฒํ ภาเชตพฺพํฯ ‘‘อิทํ กิร ปรสมุเทฺท ลกฺขณ’’นฺติ มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ สเจ ยสฺมิํ ปเกฺข อุทกํ ทินฺนํ, ตสฺมิํเยว ปเกฺข จีวรานิ เทนฺติ ‘‘ปกฺขสฺส เทมา’’ติ, ปกฺขเสฺสว ตานิ จีวรานิ, อิตโร ปโกฺข อนิสฺสโรเยวฯ สเจ ปน วสฺสํวุฎฺฐานํ ภิกฺขูนํ อุปฺปเนฺน จีวเร อภาชิเต สโงฺฆ ภิชฺชติ, สเพฺพสํ สมกํ ภาเชตพฺพํฯ

    Sace vassaṃvuṭṭhānaṃ bhikkhūnaṃ anuppanne cīvare saṅgho bhijjati, kosambakabhikkhū viya dve koṭṭhāsā honti, tattha manussā ekasmiṃ pakkhe dakkhiṇodakañca gandhādīni ca denti, ekasmiṃ cīvarāni denti ‘‘saṅghassa demā’’ti, yattha vā udakaṃ dinnaṃ, yasmiṃyeva pakkhe cīvarāni denti ‘‘saṅghassa demā’’ti, saṅghasseva tāni cīvarāni, dvinnampi koṭṭhāsānaṃ pāpuṇanti, ghaṇṭiṃ paharitvā dvīhipi pakkhehi ekato bhājetabbāni. Sace pana manussā ekasmiṃ pakkhe dakkhiṇodakaṃ gandhādīni ca denti, ekasmiṃ pakkhe cīvarāni denti ‘‘pakkhassa demā’’ti, pakkhasseva tāni cīvarāni. Evañhi dinne yassa koṭṭhāsassa udakaṃ dinnaṃ, tassa udakameva hoti. Yassa cīvaraṃ dinnaṃ, tasseva cīvaraṃ. Yasmiṃ padese dakkhiṇodakaṃ pamāṇaṃ hoti, tattha eko pakkho dakkhiṇodakassa laddhattā cīvarāni labhati, eko cīvarānameva laddhattāti ubhohi ekato hutvā yathāvuḍḍhaṃ bhājetabbaṃ. ‘‘Idaṃ kira parasamudde lakkhaṇa’’nti mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Sace yasmiṃ pakkhe udakaṃ dinnaṃ, tasmiṃyeva pakkhe cīvarāni denti ‘‘pakkhassa demā’’ti, pakkhasseva tāni cīvarāni, itaro pakkho anissaroyeva. Sace pana vassaṃvuṭṭhānaṃ bhikkhūnaṃ uppanne cīvare abhājite saṅgho bhijjati, sabbesaṃ samakaṃ bhājetabbaṃ.

    สเจ สมฺพหุเลสุ ภิกฺขูสุ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปเนฺนสุ เกจิ ภิกฺขู ปํสุกูลตฺถาย สุสานํ โอกฺกมนฺติ, เกจิ อนาคเมนฺตา ปกฺกมนฺติ, อนาคเมนฺตานํ น อกามา ภาโค ทาตโพฺพ, อาคเมนฺตานํ ปน อกามาปิ ทาตโพฺพ ภาโคฯ ยทิ ปน มนุสฺสา ‘‘อิธาคตา เอว คณฺหนฺตู’’ติ เทนฺติ, สญฺญาณํ วา กตฺวา คจฺฉนฺติ ‘‘สมฺปตฺตา คณฺหนฺตู’’ติ, สมฺปตฺตานํ สเพฺพสมฺปิ ปาปุณาติ ฯ สเจ ฉเฑฺฑตฺวา คตา, เยน คหิตํ, โส เอว สามีฯ สเจ เกจิ ภิกฺขู ปฐมํ สุสานํ โอกฺกมนฺติ, เกจิ ปจฺฉา, ตตฺถ ปฐมํ โอกฺกนฺตา ปํสุกูลํ ลภนฺติ, ปจฺฉา โอกฺกนฺตา น ลภนฺติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปจฺฉา โอกฺกนฺตานํ น อกามา ภาคํ ทาตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๑) วจนโต ปจฺฉา โอกฺกนฺตานํ อกามา ภาโค น ทาตโพฺพฯ สเจ ปน สเพฺพปิ สมํ โอกฺกนฺตา, เกจิ ลภนฺติ, เกจิ น ลภนฺติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สทิสานํ โอกฺกนฺตานํ อกามาปิ ภาคํ ทาตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๑) วจนโต สมํ โอกฺกนฺตานํ อกามาปิ ภาโค ทาตโพฺพฯ สเจ ปน ‘‘ลทฺธํ ปํสุกูลํ สเพฺพ ภาเชตฺวา คณฺหิสฺสามา’’ติ พหิเมว กติกํ กตฺวา สุสานํ โอกฺกนฺตา เกจิ ลภนฺติ, เกจิ น ลภนฺติ, ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, กติกํ กตฺวา โอกฺกนฺตานํ อกามา ภาคํ ทาตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๑) วจนโต กติกํ กตฺวา โอกฺกนฺตานมฺปิ อกามา ภาโค ทาตโพฺพฯ อยํ ตาว จีวรภาชนียกถาฯ

    Sace sambahulesu bhikkhūsu addhānamaggappaṭipannesu keci bhikkhū paṃsukūlatthāya susānaṃ okkamanti, keci anāgamentā pakkamanti, anāgamentānaṃ na akāmā bhāgo dātabbo, āgamentānaṃ pana akāmāpi dātabbo bhāgo. Yadi pana manussā ‘‘idhāgatā eva gaṇhantū’’ti denti, saññāṇaṃ vā katvā gacchanti ‘‘sampattā gaṇhantū’’ti, sampattānaṃ sabbesampi pāpuṇāti . Sace chaḍḍetvā gatā, yena gahitaṃ, so eva sāmī. Sace keci bhikkhū paṭhamaṃ susānaṃ okkamanti, keci pacchā, tattha paṭhamaṃ okkantā paṃsukūlaṃ labhanti, pacchā okkantā na labhanti. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pacchā okkantānaṃ na akāmā bhāgaṃ dātu’’nti (mahāva. 341) vacanato pacchā okkantānaṃ akāmā bhāgo na dātabbo. Sace pana sabbepi samaṃ okkantā, keci labhanti, keci na labhanti. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sadisānaṃ okkantānaṃ akāmāpi bhāgaṃ dātu’’nti (mahāva. 341) vacanato samaṃ okkantānaṃ akāmāpi bhāgo dātabbo. Sace pana ‘‘laddhaṃ paṃsukūlaṃ sabbe bhājetvā gaṇhissāmā’’ti bahimeva katikaṃ katvā susānaṃ okkantā keci labhanti, keci na labhanti, ‘‘anujānāmi, bhikkhave, katikaṃ katvā okkantānaṃ akāmā bhāgaṃ dātu’’nti (mahāva. 341) vacanato katikaṃ katvā okkantānampi akāmā bhāgo dātabbo. Ayaṃ tāva cīvarabhājanīyakathā.

    ๒๐๙. ปิณฺฑปาตภาชเน ปน ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สงฺฆภตฺตํ อุเทฺทสภตฺตํ นิมนฺตนํ สลากภตฺตํ ปกฺขิกํ อุโปสถิกํ ปาฎิปทิก’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๕) เอวํ อนุญฺญาเตสุ สงฺฆภตฺตาทีสุ อยํ วินิจฺฉโย (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๕) –

    209.Piṇḍapātabhājane pana ‘‘anujānāmi, bhikkhave, saṅghabhattaṃ uddesabhattaṃ nimantanaṃ salākabhattaṃ pakkhikaṃ uposathikaṃ pāṭipadika’’nti (cūḷava. 325) evaṃ anuññātesu saṅghabhattādīsu ayaṃ vinicchayo (cūḷava. aṭṭha. 325) –

    สงฺฆภตฺตํ นาม สกลสฺส สงฺฆสฺส ทาตพฺพํ ภตฺตํฯ ตสฺมา สงฺฆภเตฺต ฐิติกา นาม นตฺถิ, ตโตเยว จ ‘‘อมฺหากํ อชฺช ทส ทฺวาทส ทิวสา ภุญฺชนฺตานํ, อิทานิ อญฺญโต ภิกฺขู อาเนถา’’ติ น เอวํ ตตฺถ วตฺตพฺพํ, ‘‘ปุริมทิวเสสุ อเมฺหหิ น ลทฺธํ, อิทานิ ตํ อมฺหากํ คาเหถา’’ติ เอวมฺปิ วตฺตุํ น ลภติฯ ตญฺหิ อาคตาคตานํ ปาปุณาติเยวฯ

    Saṅghabhattaṃ nāma sakalassa saṅghassa dātabbaṃ bhattaṃ. Tasmā saṅghabhatte ṭhitikā nāma natthi, tatoyeva ca ‘‘amhākaṃ ajja dasa dvādasa divasā bhuñjantānaṃ, idāni aññato bhikkhū ānethā’’ti na evaṃ tattha vattabbaṃ, ‘‘purimadivasesu amhehi na laddhaṃ, idāni taṃ amhākaṃ gāhethā’’ti evampi vattuṃ na labhati. Tañhi āgatāgatānaṃ pāpuṇātiyeva.

    อุเทฺทสภตฺตาทีสุ ปน อยํ นโย – รญฺญา วา ราชมหามเตฺตน วา ‘‘สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา เอตฺตเก ภิกฺขู อาเนถา’’ติ ปหิเต กาลํ โฆเสตฺวา ฐิติกา ปุจฺฉิตพฺพาฯ สเจ อตฺถิ, ตโต ปฎฺฐาย คาเหตพฺพํฯ โน เจ, เถราสนโต ปฎฺฐาย คาเหตพฺพํฯ อุเทฺทสเกน ปิณฺฑปาติกานมฺปิ น อติกฺกาเมตพฺพํฯ เต ปน ธุตงฺคํ รกฺขนฺตา สยเมว อติกฺกมิสฺสนฺติฯ เอวํ คาหิยมาเน อลสชาติกา มหาเถรา ปจฺฉา อาคจฺฉนฺติ, ‘‘ภเนฺต, วีสติวสฺสานํ คาหียติ, ตุมฺหากํ ฐิติกา อติกฺกนฺตา’’ติ น วตฺตพฺพา, ฐิติกํ ฐเปตฺวา เตสํ คาเหตฺวา ปจฺฉา ฐิติกาย คาเหตพฺพํฯ ‘‘อสุกวิหาเร พหุ อุเทฺทสภตฺตํ อุปฺปนฺน’’นฺติ สุตฺวา โยชนนฺตริกวิหารโตปิ ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, สมฺปตฺตสมฺปตฺตานํ ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย คาเหตพฺพํ, อสมฺปตฺตานมฺปิ อุปจารสีมํ ปวิฎฺฐานํ อเนฺตวาสิกาทีสุ คณฺหเนฺตสุ คาเหตพฺพเมวฯ ‘‘พหิอุปจารสีมายํ ฐิตานํ คาเหถา’’ติ วทนฺติ, น คาเหตพฺพํฯ สเจ อุปจารสีมํ โอกฺกเนฺตหิ เอกาพทฺธา หุตฺวา อตฺตโน วิหารทฺวาเร วา อโนฺตวิหาเรเยว วา โหนฺติ, ปริสวเสน วฑฺฒิตา นาม สีมา โหติ, ตสฺมา คาเหตพฺพํฯ สงฺฆนวกสฺส ทิเนฺนปิ ปจฺฉา อาคตานํ คาเหตพฺพเมวฯ ทุติยภาเค ปน เถราสนํ อารุเฬฺห ปุน อาคตานํ ปฐมภาโค น ปาปุณาติ, ทุติยภาคโต วสฺสเคฺคน คาเหตพฺพํฯ

    Uddesabhattādīsu pana ayaṃ nayo – raññā vā rājamahāmattena vā ‘‘saṅghato uddisitvā ettake bhikkhū ānethā’’ti pahite kālaṃ ghosetvā ṭhitikā pucchitabbā. Sace atthi, tato paṭṭhāya gāhetabbaṃ. No ce, therāsanato paṭṭhāya gāhetabbaṃ. Uddesakena piṇḍapātikānampi na atikkāmetabbaṃ. Te pana dhutaṅgaṃ rakkhantā sayameva atikkamissanti. Evaṃ gāhiyamāne alasajātikā mahātherā pacchā āgacchanti, ‘‘bhante, vīsativassānaṃ gāhīyati, tumhākaṃ ṭhitikā atikkantā’’ti na vattabbā, ṭhitikaṃ ṭhapetvā tesaṃ gāhetvā pacchā ṭhitikāya gāhetabbaṃ. ‘‘Asukavihāre bahu uddesabhattaṃ uppanna’’nti sutvā yojanantarikavihāratopi bhikkhū āgacchanti, sampattasampattānaṃ ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya gāhetabbaṃ, asampattānampi upacārasīmaṃ paviṭṭhānaṃ antevāsikādīsu gaṇhantesu gāhetabbameva. ‘‘Bahiupacārasīmāyaṃ ṭhitānaṃ gāhethā’’ti vadanti, na gāhetabbaṃ. Sace upacārasīmaṃ okkantehi ekābaddhā hutvā attano vihāradvāre vā antovihāreyeva vā honti, parisavasena vaḍḍhitā nāma sīmā hoti, tasmā gāhetabbaṃ. Saṅghanavakassa dinnepi pacchā āgatānaṃ gāhetabbameva. Dutiyabhāge pana therāsanaṃ āruḷhe puna āgatānaṃ paṭhamabhāgo na pāpuṇāti, dutiyabhāgato vassaggena gāhetabbaṃ.

    เอกสฺมิํ วิหาเร เอกํ ภตฺตุเทฺทสฎฺฐานํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา คาวุตปฺปมาณายปิ อุปจารสีมาย ยตฺถ กตฺถจิ อาโรจิตํ อุเทฺทสภตฺตํ ตสฺมิํเยว ภตฺตุเทฺทสฎฺฐาเน คาเหตพฺพํฯ เอโก เอกสฺส ภิกฺขุโน ปหิณติ ‘‘เสฺว สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา ทส ภิกฺขู ปหิณถา’’ติ, เตน โส อโตฺถ ภตฺตุเทฺทสกสฺส อาโรเจตโพฺพฯ สเจ ตํ ทิวสํ ปมุสฺสติ, ทุติยทิวเส ปาโตว อาโรเจตโพฺพ, อถ ปมุสฺสิตฺวาว ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต สรติ, ยาว อุปจารสีมํ นาติกฺกมติ, ตาว ยา โภชนสาลาย ปกติฐิติกา, ตสฺสาเยว วเสน คาเหตพฺพํฯ สเจปิ อุปจารสีมํ อติกฺกโนฺต, ภิกฺขู จ อุปจารสีมฎฺฐเกหิ เอกาพทฺธา โหนฺติ, อญฺญมญฺญํ ทฺวาทสหตฺถนฺตรํ อวิชหิตฺวา คจฺฉนฺติ, ปกติฐิติกาย วเสน คาเหตพฺพํฯ ภิกฺขูนํ ปน ตาทิเส เอกาพเทฺธ อสติ พหิอุปจารสีมาย ยสฺมิํ ฐาเน สรติ, ตตฺถ นวํ ฐิติกํ กตฺวา คาเหตพฺพํฯ อโนฺตคาเม อาสนสาลาย สรเนฺตน อาสนสาลาย ฐิติกาย คาเหตพฺพํฯ ยตฺถ กตฺถจิ สริตฺวา คาเหตพฺพเมว, อคาเหตุํ น วฎฺฎติฯ น หิ เอตํ ทุติยทิวเส ลพฺภตีติฯ

    Ekasmiṃ vihāre ekaṃ bhattuddesaṭṭhānaṃ paricchinditvā gāvutappamāṇāyapi upacārasīmāya yattha katthaci ārocitaṃ uddesabhattaṃ tasmiṃyeva bhattuddesaṭṭhāne gāhetabbaṃ. Eko ekassa bhikkhuno pahiṇati ‘‘sve saṅghato uddisitvā dasa bhikkhū pahiṇathā’’ti, tena so attho bhattuddesakassa ārocetabbo. Sace taṃ divasaṃ pamussati, dutiyadivase pātova ārocetabbo, atha pamussitvāva piṇḍāya pavisanto sarati, yāva upacārasīmaṃ nātikkamati, tāva yā bhojanasālāya pakatiṭhitikā, tassāyeva vasena gāhetabbaṃ. Sacepi upacārasīmaṃ atikkanto, bhikkhū ca upacārasīmaṭṭhakehi ekābaddhā honti, aññamaññaṃ dvādasahatthantaraṃ avijahitvā gacchanti, pakatiṭhitikāya vasena gāhetabbaṃ. Bhikkhūnaṃ pana tādise ekābaddhe asati bahiupacārasīmāya yasmiṃ ṭhāne sarati, tattha navaṃ ṭhitikaṃ katvā gāhetabbaṃ. Antogāme āsanasālāya sarantena āsanasālāya ṭhitikāya gāhetabbaṃ. Yattha katthaci saritvā gāhetabbameva, agāhetuṃ na vaṭṭati. Na hi etaṃ dutiyadivase labbhatīti.

    สเจ สกวิหารโต อญฺญํ วิหารํ คจฺฉเนฺต ภิกฺขู ทิสฺวา โกจิ อุเทฺทสภตฺตํ อุทฺทิสาเปติ, ยาว อโนฺตอุปจาเร วา อุปจารสีมฎฺฐเกหิ สทฺธิํ วุตฺตนเยน เอกาพทฺธา วา โหนฺติ, ตาว สกวิหาเร ฐิติกาวเสน คาเหตพฺพํฯ พหิอุปจาเร ฐิตานํ ทินฺนํ ปน ‘‘สงฺฆโต, ภเนฺต, เอตฺตเก นาม ภิกฺขู อุทฺทิสถา’’ติ วุเตฺต สมฺปตฺตสมฺปตฺตานํ คาเหตพฺพํฯ ตตฺถ ทฺวาทสหตฺถนฺตรํ อวิชหิตฺวา เอกาพทฺธนเยน ทูเร ฐิตาปิ สมฺปตฺตาเยวาติ เวทิตพฺพาฯ สเจ ยํ วิหารํ คจฺฉนฺติ, ตตฺถ ปวิฎฺฐานํ อาโรเจนฺติ, ตสฺส วิหารสฺส ฐิติกาวเสน คาเหตพฺพํฯ สเจปิ คามทฺวาเร วา วีถิยํ วา จตุเกฺก วา อนฺตรฆเร วา ภิกฺขู ทิสฺวา โกจิ สงฺฆุเทฺทสํ อาโรเจติ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน อโนฺตอุปจารคตานํ คาเหตพฺพํฯ

    Sace sakavihārato aññaṃ vihāraṃ gacchante bhikkhū disvā koci uddesabhattaṃ uddisāpeti, yāva antoupacāre vā upacārasīmaṭṭhakehi saddhiṃ vuttanayena ekābaddhā vā honti, tāva sakavihāre ṭhitikāvasena gāhetabbaṃ. Bahiupacāre ṭhitānaṃ dinnaṃ pana ‘‘saṅghato, bhante, ettake nāma bhikkhū uddisathā’’ti vutte sampattasampattānaṃ gāhetabbaṃ. Tattha dvādasahatthantaraṃ avijahitvā ekābaddhanayena dūre ṭhitāpi sampattāyevāti veditabbā. Sace yaṃ vihāraṃ gacchanti, tattha paviṭṭhānaṃ ārocenti, tassa vihārassa ṭhitikāvasena gāhetabbaṃ. Sacepi gāmadvāre vā vīthiyaṃ vā catukke vā antaraghare vā bhikkhū disvā koci saṅghuddesaṃ āroceti, tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne antoupacāragatānaṃ gāhetabbaṃ.

    ฆรูปจาโร เจตฺถ เอกฆรํ เอกูปจารํ, เอกฆรํ นานูปจารํ, นานาฆรํ เอกูปจารํ, นานาฆรํ นานูปจารนฺติ อิเมสํ วเสน เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ยํ เอกกุลสฺส ฆรํ เอกวฬญฺชํ โหติ, ตํ สุปฺปปาตปริเจฺฉทสฺส อโนฺต เอกูปจารํ นาม, ตตฺถุปฺปโนฺน อุเทฺทสลาโภ เอกสฺมิํ อุปจาเร ภิกฺขาจารวเตฺตนปิ ฐิตานํ สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ เอตํ เอกฆรํ เอกูปจารํ นามฯ ยํ ปน เอกฆรํ ทฺวินฺนํ ภริยานํ สุขวิหารตฺถาย มเชฺฌ ภิตฺติํ อุฎฺฐเปตฺวา นานาทฺวารวฬญฺชํ กตํ, ตตฺถุปฺปโนฺน อุเทฺทสลาโภ ภิตฺติอนฺตริกสฺส น ปาปุณาติ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน นิสินฺนเสฺสว ปาปุณาติฯ เอตํ เอกฆรํ นานูปจารํ นามฯ ยสฺมิํ ปน ฆเร พหู ภิกฺขู นิมเนฺตตฺวา อโนฺตเคหโต ปฎฺฐาย เอกาพเทฺธ กตฺวา ปฎิวิสฺสกฆรานิปิ ปูเรตฺวา นิสีทาเปนฺติ, ตตฺถ อุปฺปโนฺน อุเทฺทสลาโภ สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ ยมฺปิ นานากุลสฺส นิเวสนํ มเชฺฌ ภิตฺติํ อกตฺวา เอกทฺวาเรเนว วฬญฺชนฺติ, ตตฺราปิ เอเสว นโยฯ เอตํ นานาฆรํ เอกูปจารํ นามฯ โย ปน นานานิเวสเนสุ นิสินฺนานํ ภิกฺขูนํ อุเทฺทสลาโภ อุปฺปชฺชติ, กิญฺจาปิ ภิตฺติจฺฉิเทฺทน ภิกฺขู ทิสฺสนฺติ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ นิเวสเน นิสินฺนานํเยว ปาปุณาติฯ เอตํ นานาฆรํ นานูปจารํ นามฯ

    Gharūpacāro cettha ekagharaṃ ekūpacāraṃ, ekagharaṃ nānūpacāraṃ, nānāgharaṃ ekūpacāraṃ, nānāgharaṃ nānūpacāranti imesaṃ vasena veditabbo. Tattha yaṃ ekakulassa gharaṃ ekavaḷañjaṃ hoti, taṃ suppapātaparicchedassa anto ekūpacāraṃ nāma, tatthuppanno uddesalābho ekasmiṃ upacāre bhikkhācāravattenapi ṭhitānaṃ sabbesaṃ pāpuṇāti. Etaṃ ekagharaṃ ekūpacāraṃ nāma. Yaṃ pana ekagharaṃ dvinnaṃ bhariyānaṃ sukhavihāratthāya majjhe bhittiṃ uṭṭhapetvā nānādvāravaḷañjaṃ kataṃ, tatthuppanno uddesalābho bhittiantarikassa na pāpuṇāti, tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne nisinnasseva pāpuṇāti. Etaṃ ekagharaṃ nānūpacāraṃ nāma. Yasmiṃ pana ghare bahū bhikkhū nimantetvā antogehato paṭṭhāya ekābaddhe katvā paṭivissakagharānipi pūretvā nisīdāpenti, tattha uppanno uddesalābho sabbesaṃ pāpuṇāti. Yampi nānākulassa nivesanaṃ majjhe bhittiṃ akatvā ekadvāreneva vaḷañjanti, tatrāpi eseva nayo. Etaṃ nānāgharaṃ ekūpacāraṃ nāma. Yo pana nānānivesanesu nisinnānaṃ bhikkhūnaṃ uddesalābho uppajjati, kiñcāpi bhitticchiddena bhikkhū dissanti, tasmiṃ tasmiṃ nivesane nisinnānaṃyeva pāpuṇāti. Etaṃ nānāgharaṃ nānūpacāraṃ nāma.

    โย ปน คามทฺวารวีถิจตุเกฺกสุ อญฺญตรสฺมิํ ฐาเน อุเทฺทสภตฺตํ ลภิตฺวา อญฺญสฺมิํ ภิกฺขุสฺมิํ อสติ อตฺตโนว ปาปุณาเปตฺวา ทุติยทิวเสปิ ตสฺมิํเยว ฐาเน อญฺญํ ลภติ, เตน ยํ อญฺญํ นวกํ วา วุฑฺฒํ วา ภิกฺขุํ ปสฺสติ, ตสฺส คาเหตพฺพํฯ สเจ โกจิ นตฺถิ, อตฺตโนว ปาเปตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ สเจ อาสนสาลาย นิสีทิตฺวา กาลํ ปฎิมาเนเนฺตสุ ภิกฺขูสุ โกจิ อาคนฺตฺวา ‘‘สงฺฆุเทฺทสปตฺตํ เทถ, อุเทฺทสปตฺตํ เทถ, สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา ปตฺตํ เทถ, สงฺฆิกํ ปตฺตํ เทถา’’ติ วา วทติ, อุเทฺทสปตฺตํ ฐิติกาย คาเหตฺวา ทาตพฺพํฯ ‘‘สงฺฆุเทฺทสภิกฺขุํ เทถ, สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา ภิกฺขุํ เทถ, สงฺฆิกํ ภิกฺขุํ เทถา’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ

    Yo pana gāmadvāravīthicatukkesu aññatarasmiṃ ṭhāne uddesabhattaṃ labhitvā aññasmiṃ bhikkhusmiṃ asati attanova pāpuṇāpetvā dutiyadivasepi tasmiṃyeva ṭhāne aññaṃ labhati, tena yaṃ aññaṃ navakaṃ vā vuḍḍhaṃ vā bhikkhuṃ passati, tassa gāhetabbaṃ. Sace koci natthi, attanova pāpetvā bhuñjitabbaṃ. Sace āsanasālāya nisīditvā kālaṃ paṭimānentesu bhikkhūsu koci āgantvā ‘‘saṅghuddesapattaṃ detha, uddesapattaṃ detha, saṅghato uddisitvā pattaṃ detha, saṅghikaṃ pattaṃ dethā’’ti vā vadati, uddesapattaṃ ṭhitikāya gāhetvā dātabbaṃ. ‘‘Saṅghuddesabhikkhuṃ detha, saṅghato uddisitvā bhikkhuṃ detha, saṅghikaṃ bhikkhuṃ dethā’’ti vuttepi eseva nayo.

    อุเทฺทสโก ปเนตฺถ เปสโล ลชฺชี เมธาวี อิจฺฉิตโพฺพ, เตน ติกฺขตฺตุํ ฐิติกํ ปุจฺฉิตฺวา สเจ โกจิ ฐิติกํ ชานโนฺต นตฺถิ, เถราสนโต คาเหตพฺพํฯ สเจ ปน ‘‘อหํ ชานามิ, ทสวเสฺสน ลทฺธ’’นฺติ โกจิ ภณติ, ‘‘อตฺถาวุโส, ทสวสฺสา ภิกฺขู’’ติ ปุจฺฉิตพฺพํฯ สเจ ตสฺส สุตฺวาว ‘‘ทสวสฺสมฺห ทสวสฺสมฺหา’’ติ พหู อาคจฺฉนฺติ, ‘‘ตุยฺหํ ปาปุณาติ, ตุยฺหํ ปาปุณาตี’’ติ อคตฺวา ‘‘สเพฺพ อปฺปสทฺทา โหถา’’ติ วตฺวา ปฎิปาฎิยา ฐเปตพฺพา, ฐเปตฺวา ‘‘กติ ภิกฺขู อิจฺฉถา’’ติ อุปาสโก ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘เอตฺตเก นาม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุยฺหํ ปาปุณาติ, ตุยฺหํ ปาปุณาตี’’ติ อวตฺวา สพฺพนวกสฺส วสฺสคฺคญฺจ อุตุ จ ทิวสภาโค จ ฉายา จ ปุจฺฉิตพฺพาฯ สเจ ฉายายปิ ปุจฺฉิยมานาย อโญฺญ วุฑฺฒตโร อาคจฺฉติ, ตสฺส ทาตพฺพํฯ อถ ฉายํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ตุยฺหํ ปาปุณาตี’’ติ วุเตฺต วุฑฺฒตโร อาคจฺฉติ, น ลภติฯ กถาปปเญฺจน หิ นิสินฺนสฺสปิ นิทฺทายนฺตสฺสปิ คาหิตํ สุคฺคาหิตํ, อติกฺกนฺตํ สุอติกฺกนฺตํฯ ภาชนียภณฺฑญฺหิ นาเมตํ สมฺปตฺตเสฺสว ปาปุณาติ, ตตฺถ สมฺปตฺตภาโว อุปจาเรน ปริจฺฉินฺทิตโพฺพฯ อาสนสาลาย จ อโนฺตปริเกฺขโป อุปจาโร, ตสฺมิํ ฐิตสฺส ลาโภ ปาปุณาติฯ

    Uddesako panettha pesalo lajjī medhāvī icchitabbo, tena tikkhattuṃ ṭhitikaṃ pucchitvā sace koci ṭhitikaṃ jānanto natthi, therāsanato gāhetabbaṃ. Sace pana ‘‘ahaṃ jānāmi, dasavassena laddha’’nti koci bhaṇati, ‘‘atthāvuso, dasavassā bhikkhū’’ti pucchitabbaṃ. Sace tassa sutvāva ‘‘dasavassamha dasavassamhā’’ti bahū āgacchanti, ‘‘tuyhaṃ pāpuṇāti, tuyhaṃ pāpuṇātī’’ti agatvā ‘‘sabbe appasaddā hothā’’ti vatvā paṭipāṭiyā ṭhapetabbā, ṭhapetvā ‘‘kati bhikkhū icchathā’’ti upāsako pucchitabbo, ‘‘ettake nāma, bhante’’ti vutte ‘‘tuyhaṃ pāpuṇāti, tuyhaṃ pāpuṇātī’’ti avatvā sabbanavakassa vassaggañca utu ca divasabhāgo ca chāyā ca pucchitabbā. Sace chāyāyapi pucchiyamānāya añño vuḍḍhataro āgacchati, tassa dātabbaṃ. Atha chāyaṃ pucchitvā ‘‘tuyhaṃ pāpuṇātī’’ti vutte vuḍḍhataro āgacchati, na labhati. Kathāpapañcena hi nisinnassapi niddāyantassapi gāhitaṃ suggāhitaṃ, atikkantaṃ suatikkantaṃ. Bhājanīyabhaṇḍañhi nāmetaṃ sampattasseva pāpuṇāti, tattha sampattabhāvo upacārena paricchinditabbo. Āsanasālāya ca antoparikkhepo upacāro, tasmiṃ ṭhitassa lābho pāpuṇāti.

    โกจิ อาสนสาลโต อฎฺฐ อุเทฺทสปเตฺต อาหราเปตฺวา สตฺต ปเตฺต ปณีตโภชนานํ, เอกํ อุทกสฺส ปูเรตฺวา อาสนสาลํ ปหิณติ, คเหตฺวา อาคตา กิญฺจิ อวตฺวา ภิกฺขูนํ หเตฺถสุ ปติฎฺฐเปตฺวา ปกฺกมนฺติ, เยน ยํ ลทฺธํ, ตเสฺสว ตํ โหติฯ เยน ปน อุทกํ ลทฺธํ, ตสฺส อติกฺกนฺตมฺปิ ฐิติกํ ฐเปตฺวา อญฺญํ อุเทฺทสภตฺตํ คาเหตพฺพํ, ตญฺจ ลูขํ วา ลภตุ ปณีตํ วา ติจีวรปริวารํ วา, ตเสฺสว ตํ โหติฯ อีทิโส หิสฺส ปุญฺญวิเสโส, อุทกํ ปน ยสฺมา อามิสํ น โหติ, ตสฺมา อญฺญํ อุเทฺทสภตฺตํ ลภติฯ สเจ ปน เต คเหตฺวา อาคตา ‘‘อิทํ กิร, ภเนฺต, สพฺพํ ภาเชตฺวา ภุญฺชถา’’ติ วตฺวา คจฺฉนฺติ, สเพฺพหิ ภาเชตฺวา ภุญฺชิตฺวา อุทกํ ปาตพฺพํฯ ‘‘สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา อฎฺฐ มหาเถเร เทถ, มชฺฌิเม เทถ, นวเก เทถ, ปริปุณฺณวเสฺส สามเณเร เทถ, มชฺฌิมภาณกาทโย เทถ, มยฺหํ ญาติภิกฺขู เทถา’’ติ วทนฺตสฺส ปน ‘‘อุปาสก, ตฺวํ เอวํ วทสิ, ฐิติกาย ปน เตสํ น ปาปุณาตี’’ติ วตฺวา ฐิติกาวเสเนว ทาตพฺพาฯ ทหรสามเณเรหิ ปน อุเทฺทสภเตฺตสุ ลเทฺธสุ สเจ ทายกานํ ฆเร มงฺคลํ โหติ, ‘‘ตุมฺหากํ อาจริยุปชฺฌาเย เปเสถา’’ติ วตฺตพฺพํฯ ยสฺมิํ ปน อุเทฺทสภเตฺต ปฐมภาโค สามเณรานํ ปาปุณาติ, อนุภาโค มหาเถรานํ, น ตตฺถ สามเณรา ‘‘มยํ ปฐมภาคํ ลภิมฺหา’’ติ ปุรโต คนฺตุํ ลภนฺติ, ยถาปฎิปาฎิยา เอว คนฺตพฺพํฯ ‘‘สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา ตุเมฺห เอถา’’ติ วุเตฺต ‘‘มยฺหํ อญฺญทาปิ ชานิสฺสสิ, ฐิติกา ปน เอวํ คจฺฉตี’’ติ ฐิติกาวเสเนว คาเหตพฺพํฯ อถ ‘‘สงฺฆุเทฺทสปตฺตํ เทถา’’ติ วตฺวา อคฺคาหิเตเยว ปเตฺต ยสฺส กสฺสจิ ปตฺตํ คเหตฺวา ปูเรตฺวา อาหรติ, อาหฎมฺปิ ฐิติกาย เอว คาเหตพฺพํฯ

    Koci āsanasālato aṭṭha uddesapatte āharāpetvā satta patte paṇītabhojanānaṃ, ekaṃ udakassa pūretvā āsanasālaṃ pahiṇati, gahetvā āgatā kiñci avatvā bhikkhūnaṃ hatthesu patiṭṭhapetvā pakkamanti, yena yaṃ laddhaṃ, tasseva taṃ hoti. Yena pana udakaṃ laddhaṃ, tassa atikkantampi ṭhitikaṃ ṭhapetvā aññaṃ uddesabhattaṃ gāhetabbaṃ, tañca lūkhaṃ vā labhatu paṇītaṃ vā ticīvaraparivāraṃ vā, tasseva taṃ hoti. Īdiso hissa puññaviseso, udakaṃ pana yasmā āmisaṃ na hoti, tasmā aññaṃ uddesabhattaṃ labhati. Sace pana te gahetvā āgatā ‘‘idaṃ kira, bhante, sabbaṃ bhājetvā bhuñjathā’’ti vatvā gacchanti, sabbehi bhājetvā bhuñjitvā udakaṃ pātabbaṃ. ‘‘Saṅghato uddisitvā aṭṭha mahāthere detha, majjhime detha, navake detha, paripuṇṇavasse sāmaṇere detha, majjhimabhāṇakādayo detha, mayhaṃ ñātibhikkhū dethā’’ti vadantassa pana ‘‘upāsaka, tvaṃ evaṃ vadasi, ṭhitikāya pana tesaṃ na pāpuṇātī’’ti vatvā ṭhitikāvaseneva dātabbā. Daharasāmaṇerehi pana uddesabhattesu laddhesu sace dāyakānaṃ ghare maṅgalaṃ hoti, ‘‘tumhākaṃ ācariyupajjhāye pesethā’’ti vattabbaṃ. Yasmiṃ pana uddesabhatte paṭhamabhāgo sāmaṇerānaṃ pāpuṇāti, anubhāgo mahātherānaṃ, na tattha sāmaṇerā ‘‘mayaṃ paṭhamabhāgaṃ labhimhā’’ti purato gantuṃ labhanti, yathāpaṭipāṭiyā eva gantabbaṃ. ‘‘Saṅghato uddisitvā tumhe ethā’’ti vutte ‘‘mayhaṃ aññadāpi jānissasi, ṭhitikā pana evaṃ gacchatī’’ti ṭhitikāvaseneva gāhetabbaṃ. Atha ‘‘saṅghuddesapattaṃ dethā’’ti vatvā aggāhiteyeva patte yassa kassaci pattaṃ gahetvā pūretvā āharati, āhaṭampi ṭhitikāya eva gāhetabbaṃ.

    เอโก ‘‘สงฺฆุเทฺทสปตฺตํ อาหรา’’ติ เปสิโต ‘‘ภเนฺต, เอกํ ปตฺตํ เทถ, นิมนฺตนภตฺตํ อาหริสฺสามี’’ติ วทติ, โส เจ ‘‘อุเทฺทสภตฺตฆรโต อยํ อาคโต’’ติ ญตฺวา ภิกฺขูหิ ‘‘นนุ ตฺวํ อสุกฆรโต อาคโต’’ติ วุโตฺต ‘‘อาม, ภเนฺต, น นิมนฺตนภตฺตํ, อุเทฺทสภตฺต’’นฺติ ภณติ, ฐิติกาย คาเหตพฺพํฯ โย ปน ‘‘เอกํ ปตฺตํ อาหรา’’ติ วุเตฺต ‘‘กินฺติ วตฺวา อาหรามี’’ติ วตฺวา ‘‘ยถา เต รุจฺจตี’’ติ วุโตฺต อาคจฺฉติ, อยํ วิสฺสฎฺฐทูโต นามฯ อุเทฺทสปตฺตํ วา ปฎิปาฎิปตฺตํ วา ปุคฺคลิกปตฺตํ วา ยํ อิจฺฉติ, ตํ เอตสฺส ทาตพฺพํฯ เอโก พาโล อพฺยโตฺต ‘‘อุเทฺทสปตฺตํ อาหรา’’ติ เปสิโต วตฺตุํ น ชานาติ, ตุณฺหีภูโต ติฎฺฐติ, โส ‘‘กสฺส สนฺติกํ อาคโตสี’’ติ วา ‘‘กสฺส ปตฺตํ หริสฺสสี’’ติ วา น วตฺตโพฺพฯ เอวญฺหิ วุโตฺต ปุจฺฉาสภาเคน ‘‘ตุมฺหากํ สนฺติกํ อาคโตมฺหี’’ติ วา ‘‘ตุมฺหากํ ปตฺตํ หริสฺสามี’’ติ วา วเทยฺยฯ ตโต ตํ ภิกฺขุํ อเญฺญ ภิกฺขู ชิคุจฺฉนฺตา น โอโลเกยฺยุํ, ‘‘กุหิํ คจฺฉสิ, กิํ กโรโนฺต อาหิณฺฑสี’’ติ ปน วตฺตโพฺพฯ ตสฺส ‘‘อุเทฺทสปตฺตตฺถาย อาคโตมฺหี’’ติ วทนฺตสฺส คาเหตฺวา ปโตฺต ทาตโพฺพฯ

    Eko ‘‘saṅghuddesapattaṃ āharā’’ti pesito ‘‘bhante, ekaṃ pattaṃ detha, nimantanabhattaṃ āharissāmī’’ti vadati, so ce ‘‘uddesabhattagharato ayaṃ āgato’’ti ñatvā bhikkhūhi ‘‘nanu tvaṃ asukagharato āgato’’ti vutto ‘‘āma, bhante, na nimantanabhattaṃ, uddesabhatta’’nti bhaṇati, ṭhitikāya gāhetabbaṃ. Yo pana ‘‘ekaṃ pattaṃ āharā’’ti vutte ‘‘kinti vatvā āharāmī’’ti vatvā ‘‘yathā te ruccatī’’ti vutto āgacchati, ayaṃ vissaṭṭhadūto nāma. Uddesapattaṃ vā paṭipāṭipattaṃ vā puggalikapattaṃ vā yaṃ icchati, taṃ etassa dātabbaṃ. Eko bālo abyatto ‘‘uddesapattaṃ āharā’’ti pesito vattuṃ na jānāti, tuṇhībhūto tiṭṭhati, so ‘‘kassa santikaṃ āgatosī’’ti vā ‘‘kassa pattaṃ harissasī’’ti vā na vattabbo. Evañhi vutto pucchāsabhāgena ‘‘tumhākaṃ santikaṃ āgatomhī’’ti vā ‘‘tumhākaṃ pattaṃ harissāmī’’ti vā vadeyya. Tato taṃ bhikkhuṃ aññe bhikkhū jigucchantā na olokeyyuṃ, ‘‘kuhiṃ gacchasi, kiṃ karonto āhiṇḍasī’’ti pana vattabbo. Tassa ‘‘uddesapattatthāya āgatomhī’’ti vadantassa gāhetvā patto dātabbo.

    เอกา กูฎฎฺฐิติกา นาม โหติฯ รโญฺญ วา ราชมหามตฺตสฺส วา เคเห อติปณีตานิ อฎฺฐ อุเทฺทสภตฺตานิ นิจฺจํ ทียนฺติ, ตานิ เอกจาริกภตฺตานิ กตฺวา ภิกฺขู วิสุํ ฐิติกาย ปริภุญฺชนฺติฯ เอกเจฺจ ภิกฺขู ‘‘เสฺว ทานิ อมฺหากํ ปาปุณิสฺสนฺตี’’ติ อตฺตโน ฐิติกํ สลฺลเกฺขตฺวา คตาฯ เตสุ อนาคเตสุเยว อเญฺญ อาคนฺตุกา ภิกฺขู อาคนฺตฺวา อาสนสาลาย นิสีทนฺติฯ ตงฺขณเญฺญว ราชปุริสา อาคนฺตฺวา ‘‘ปณีตภตฺตปเตฺต เทถา’’ติ วทนฺติ, อาคนฺตุกา ฐิติกํ อชานนฺตา คาเหนฺติ, ตงฺขณเญฺญว จ ฐิติกํ ชานนกภิกฺขู อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ คาเหถา’’ติ วทนฺติ ฯ ราชเคเห ปณีตภตฺตนฺติฯ กติวสฺสโต ปฎฺฐายาติฯ เอตฺตกวสฺสโต นามาติฯ ‘‘มา คาเหถา’’ติ นิวาเรตฺวา ฐิติกาย คาเหตพฺพํฯ คาหิเต อาคเตหิปิ, ปตฺตทานกาเล อาคเตหิปิ, ทินฺนกาเล อาคเตหิปิ, ราชเคหโต ปเตฺต ปูเรตฺวา อาหฎกาเล อาคเตหิปิ, ราชา ‘‘อชฺช ภิกฺขูเยว อาคจฺฉนฺตู’’ติ เปเสตฺวา ภิกฺขูนํเยว หเตฺถ ปิณฺฑปาตํ เทติ, เอวํ ทินฺนํ ปิณฺฑปาตํ คเหตฺวา อาคตกาเล อาคเตหิปิ ฐิติกํ ชานนกภิกฺขูหิ ‘‘มา ภุญฺชิตฺถา’’ติ วาเรตฺวา ฐิติกายเมว คาเหตพฺพํฯ

    Ekā kūṭaṭṭhitikā nāma hoti. Rañño vā rājamahāmattassa vā gehe atipaṇītāni aṭṭha uddesabhattāni niccaṃ dīyanti, tāni ekacārikabhattāni katvā bhikkhū visuṃ ṭhitikāya paribhuñjanti. Ekacce bhikkhū ‘‘sve dāni amhākaṃ pāpuṇissantī’’ti attano ṭhitikaṃ sallakkhetvā gatā. Tesu anāgatesuyeva aññe āgantukā bhikkhū āgantvā āsanasālāya nisīdanti. Taṅkhaṇaññeva rājapurisā āgantvā ‘‘paṇītabhattapatte dethā’’ti vadanti, āgantukā ṭhitikaṃ ajānantā gāhenti, taṅkhaṇaññeva ca ṭhitikaṃ jānanakabhikkhū āgantvā ‘‘kiṃ gāhethā’’ti vadanti . Rājagehe paṇītabhattanti. Kativassato paṭṭhāyāti. Ettakavassato nāmāti. ‘‘Mā gāhethā’’ti nivāretvā ṭhitikāya gāhetabbaṃ. Gāhite āgatehipi, pattadānakāle āgatehipi, dinnakāle āgatehipi, rājagehato patte pūretvā āhaṭakāle āgatehipi, rājā ‘‘ajja bhikkhūyeva āgacchantū’’ti pesetvā bhikkhūnaṃyeva hatthe piṇḍapātaṃ deti, evaṃ dinnaṃ piṇḍapātaṃ gahetvā āgatakāle āgatehipi ṭhitikaṃ jānanakabhikkhūhi ‘‘mā bhuñjitthā’’ti vāretvā ṭhitikāyameva gāhetabbaṃ.

    อถ เน ราชา โภเชตฺวา ปเตฺตปิ เนสํ ปูเรตฺวา เทติ, ยํ อาหฎํ, ตํ ฐิติกาย คาเหตพฺพํ ฯ สเจ ปน ‘‘มา ตุจฺฉหตฺถา คจฺฉนฺตู’’ติ โถกเมว ปเตฺตสุ ปกฺขิตฺตํ โหติ, ตํ น คาเหตพฺพํฯ ‘‘อถ ภุญฺชิตฺวา ตุจฺฉปตฺตาว อาคจฺฉนฺติ, ยํ เตหิ ภุตฺตํ, ตํ เนสํ คีวา โหตี’’ติ มหาสุมเตฺถโร อาหฯ มหาปทุมเตฺถโร ปนาห ‘‘คีวากิจฺจํ เอตฺถ นตฺถิ, ฐิติกํ ปน อชานเนฺตหิ ยาว ชานนกา อาคจฺฉนฺติ, ตาว นิสีทิตพฺพํ สิยา, เอวํ สเนฺตปิ ภิกฺขูหิ ภุตฺตํ สุภุตฺตํ, อิทานิ ปตฺตฎฺฐาเนน คาเหตพฺพ’’นฺติฯ

    Atha ne rājā bhojetvā pattepi nesaṃ pūretvā deti, yaṃ āhaṭaṃ, taṃ ṭhitikāya gāhetabbaṃ . Sace pana ‘‘mā tucchahatthā gacchantū’’ti thokameva pattesu pakkhittaṃ hoti, taṃ na gāhetabbaṃ. ‘‘Atha bhuñjitvā tucchapattāva āgacchanti, yaṃ tehi bhuttaṃ, taṃ nesaṃ gīvā hotī’’ti mahāsumatthero āha. Mahāpadumatthero panāha ‘‘gīvākiccaṃ ettha natthi, ṭhitikaṃ pana ajānantehi yāva jānanakā āgacchanti, tāva nisīditabbaṃ siyā, evaṃ santepi bhikkhūhi bhuttaṃ subhuttaṃ, idāni pattaṭṭhānena gāhetabba’’nti.

    เอโก ติจีวรปริวาโร สตคฺฆนโก ปิณฺฑปาโต อวสฺสิกสฺส ภิกฺขุโน ปโตฺต, วิหาเร จ ‘‘เอวรูโป ปิณฺฑปาโต อวสฺสิกสฺส ปโตฺต’’ติ ลิขิตฺวา ฐเปสุํฯ อถ สฎฺฐิวสฺสจฺจเยน อโญฺญ ตถารูโป ปิณฺฑปาโต อุปฺปโนฺน, อยํ กิํ อวสฺสิกฐิติกาย คาเหตโพฺพ, อุทาหุ สฎฺฐิวสฺสฐิติกายาติ? สฎฺฐิวสฺสฐิติกายาติ วุตฺตํฯ อยญฺหิ ภิกฺขุฐิติกํ คเหตฺวาเยว วฑฺฒิโตติฯ เอโก อุเทฺทสภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา สามเณโร ชาโต, ปุน ตํ ภตฺตํ สามเณรฐิติกาย ปตฺตํ คณฺหิตุํ ลภติฯ อยํ กิร อนฺตราภฎฺฐโก นามฯ โย ปน ปริปุณฺณวโสฺส สามเณโร ‘‘เสฺว อุเทฺทสภตฺตํ ลภิสฺสตี’’ติ อเชฺชว อุปสมฺปชฺชติ, อติกฺกนฺตา ตสฺส ฐิติกาฯ เอกสฺส ภิกฺขุโน อุเทฺทสภตฺตํ ปตฺตํ, ปโตฺต จสฺส น ตุโจฺฉ โหติ, โส อญฺญสฺส สมีเป นิสินฺนสฺส ปตฺตํ ทาเปติ, ตํ เจ เถยฺยาย หรนฺติ, คีวา โหติฯ สเจ ปน โส ภิกฺขุ ‘‘มยฺหํ ปตฺตํ ทมฺมี’’ติ สยเมว เทติ, อสฺส คีวา น โหติฯ อถาปิ เตน ภเตฺตน อนตฺถิโก หุตฺวา ‘‘อลํ มยฺหํ, ตเวตํ ภตฺตํ ทมฺมิ, ปตฺตํ เปเสตฺวา อาหราเปหี’’ติ อญฺญํ วทติ, ยํ ตโต อาหรียติ, สพฺพํ ปตฺตสามิกสฺส โหติฯ ปตฺตํ เจ เถยฺยาย หรนฺติ, สุหโฎ, ภตฺตสฺส ทินฺนตฺตา คีวา น โหติฯ

    Eko ticīvaraparivāro satagghanako piṇḍapāto avassikassa bhikkhuno patto, vihāre ca ‘‘evarūpo piṇḍapāto avassikassa patto’’ti likhitvā ṭhapesuṃ. Atha saṭṭhivassaccayena añño tathārūpo piṇḍapāto uppanno, ayaṃ kiṃ avassikaṭhitikāya gāhetabbo, udāhu saṭṭhivassaṭhitikāyāti? Saṭṭhivassaṭhitikāyāti vuttaṃ. Ayañhi bhikkhuṭhitikaṃ gahetvāyeva vaḍḍhitoti. Eko uddesabhattaṃ bhuñjitvā sāmaṇero jāto, puna taṃ bhattaṃ sāmaṇeraṭhitikāya pattaṃ gaṇhituṃ labhati. Ayaṃ kira antarābhaṭṭhako nāma. Yo pana paripuṇṇavasso sāmaṇero ‘‘sve uddesabhattaṃ labhissatī’’ti ajjeva upasampajjati, atikkantā tassa ṭhitikā. Ekassa bhikkhuno uddesabhattaṃ pattaṃ, patto cassa na tuccho hoti, so aññassa samīpe nisinnassa pattaṃ dāpeti, taṃ ce theyyāya haranti, gīvā hoti. Sace pana so bhikkhu ‘‘mayhaṃ pattaṃ dammī’’ti sayameva deti, assa gīvā na hoti. Athāpi tena bhattena anatthiko hutvā ‘‘alaṃ mayhaṃ, tavetaṃ bhattaṃ dammi, pattaṃ pesetvā āharāpehī’’ti aññaṃ vadati, yaṃ tato āharīyati, sabbaṃ pattasāmikassa hoti. Pattaṃ ce theyyāya haranti, suhaṭo, bhattassa dinnattā gīvā na hoti.

    วิหาเร ทส ภิกฺขู โหนฺติ, เตสุ นว ปิณฺฑปาติกา, เอโก สาทิยนโก, ‘‘ทส อุเทฺทสปเตฺต เทถา’’ติ วุเตฺต ปิณฺฑปาติกา คเหตุํ น อิจฺฉนฺติฯ อิตโร ภิกฺขุ ‘‘สพฺพานิ มยฺหํ ปาปุณนฺตี’’ติ คณฺหาติ, ฐิติกา น โหติฯ เอเกกํ เจ ปาเปตฺวา คณฺหาติ, ฐิติกา ติฎฺฐติฯ เอวํ คาเหตฺวา ทสหิปิ ปเตฺตหิ อาหราเปตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ สงฺคหํ กโรถา’’ติ นว ปเตฺต ปิณฺฑปาติกานํ เทติ, ภิกฺขุทตฺติยํ นาเมตํ, คเหตุํ วฎฺฎติฯ สเจ โส อุปาสโก ‘‘ภเนฺต, ฆรํ อาคนฺตพฺพ’’นฺติ วทติ, โส จ ภิกฺขุ เต ภิกฺขู ‘‘เอถ, ภเนฺต, มยฺหํ สหายา โหถา’’ติ ตสฺส ฆรํ คจฺฉติ, ยํ ตตฺถ ลภติ, สพฺพํ ตเสฺสว โหติ, อิตเร เตน ทินฺนํ ลภนฺติฯ อถ เนสํ ฆเรเยว นิสีทาเปตฺวา ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา ยาคุขชฺชกาทีนิ เทนฺติ ‘‘ภเนฺต, ยํ มนุสฺสา เทนฺติ, ตํ คณฺหถา’’ติ, ตสฺส ภิกฺขุโน วจเนเนว อิตเรสํ วฎฺฎติฯ ภุตฺตาวีนํ ปเตฺต ปูเรตฺวา คณฺหิตฺวา คมนตฺถาย เทนฺติ, สพฺพํ ตเสฺสว ภิกฺขุโน โหติ, เตน ทินฺนํ อิตเรสํ วฎฺฎติฯ ยทิ ปน เต วิหาเรเยว เตน ภิกฺขุนา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถ, มนุสฺสานํ วจนํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตา คจฺฉนฺติ, ตตฺถ ยํ ภุญฺชนฺติ เจว นีหรนฺติ จ, สพฺพํ ตํ เตสํเยว สนฺตกํฯ อถาปิ ‘‘มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ อวุตฺตา ‘‘มนุสฺสานํ วจนํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ คจฺฉนฺติ, ตตฺร เจ เอกสฺส มธุเรน สเรน อนุโมทนํ กโรนฺตสฺส สุตฺวา เถรานญฺจ อุปสเม ปสีทิตฺวา พหุํ สมณปริกฺขารํ เทนฺติ, อยํ เถเรสุ ปสาเทน อุปฺปโนฺน อกตภาโค นาม, ตสฺมา สเพฺพสํ ปาปุณาติฯ

    Vihāre dasa bhikkhū honti, tesu nava piṇḍapātikā, eko sādiyanako, ‘‘dasa uddesapatte dethā’’ti vutte piṇḍapātikā gahetuṃ na icchanti. Itaro bhikkhu ‘‘sabbāni mayhaṃ pāpuṇantī’’ti gaṇhāti, ṭhitikā na hoti. Ekekaṃ ce pāpetvā gaṇhāti, ṭhitikā tiṭṭhati. Evaṃ gāhetvā dasahipi pattehi āharāpetvā ‘‘bhante, mayhaṃ saṅgahaṃ karothā’’ti nava patte piṇḍapātikānaṃ deti, bhikkhudattiyaṃ nāmetaṃ, gahetuṃ vaṭṭati. Sace so upāsako ‘‘bhante, gharaṃ āgantabba’’nti vadati, so ca bhikkhu te bhikkhū ‘‘etha, bhante, mayhaṃ sahāyā hothā’’ti tassa gharaṃ gacchati, yaṃ tattha labhati, sabbaṃ tasseva hoti, itare tena dinnaṃ labhanti. Atha nesaṃ ghareyeva nisīdāpetvā dakkhiṇodakaṃ datvā yāgukhajjakādīni denti ‘‘bhante, yaṃ manussā denti, taṃ gaṇhathā’’ti, tassa bhikkhuno vacaneneva itaresaṃ vaṭṭati. Bhuttāvīnaṃ patte pūretvā gaṇhitvā gamanatthāya denti, sabbaṃ tasseva bhikkhuno hoti, tena dinnaṃ itaresaṃ vaṭṭati. Yadi pana te vihāreyeva tena bhikkhunā ‘‘bhante, mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhatha, manussānaṃ vacanaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vuttā gacchanti, tattha yaṃ bhuñjanti ceva nīharanti ca, sabbaṃ taṃ tesaṃyeva santakaṃ. Athāpi ‘‘mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti avuttā ‘‘manussānaṃ vacanaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti gacchanti, tatra ce ekassa madhurena sarena anumodanaṃ karontassa sutvā therānañca upasame pasīditvā bahuṃ samaṇaparikkhāraṃ denti, ayaṃ theresu pasādena uppanno akatabhāgo nāma, tasmā sabbesaṃ pāpuṇāti.

    เอโก สงฺฆโต อุทฺทิสาเปตฺวา ฐิติกาย คาหิตปตฺตํ หริตฺวา ปณีตสฺส ขาทนียโภชนียสฺส ปูเรตฺวา อาหริตฺวา ‘‘อิมํ, ภเนฺต, สโพฺพ สโงฺฆ ปริภุญฺชตู’’ติ เทติ, สเพฺพหิ ภาเชตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ ปตฺตสามิกสฺส ปน อติกฺกนฺตมฺปิ ฐิติกํ ฐเปตฺวา อญฺญํ อุเทฺทสภตฺตํ ทาตพฺพํฯ อถ ปฐมํเยว ‘‘สพฺพํ สงฺฆิกปตฺตํ เทถา’’ติ วทติ, เอกสฺส ลชฺชิภิกฺขุโน สนฺตโก ปโตฺต ทาตโพฺพฯ อาหริตฺวา จ ‘‘สโพฺพ สโงฺฆ ปริภุญฺชตู’’ติ วุเตฺต ภาเชตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ เอโก ปาติยา ภตฺตํ อาหริตฺวา ‘‘สงฺฆุเทฺทสํ ทมฺมี’’ติ วทติ, เอเกกํ อาโลปํ อทตฺวา ฐิติกาย เอกสฺส ยาปนมตฺตํ กตฺวา ทาตพฺพํฯ อถ โส ภตฺตํ อาหริตฺวา กิญฺจิ วตฺตุํ อชานโนฺต ตุณฺหีภูโต อจฺฉติ, ‘‘กสฺส เต อานีตํ, กสฺส ทาตุกาโมสี’’ติ น วตฺตพฺพํฯ ปุจฺฉาสภาเคน หิ ‘‘ตุมฺหากํ อานีตํ, ตุมฺหากํ ทาตุกาโมมฺหี’’ติ วเทยฺย, ตโต ตํ ภิกฺขุํ อเญฺญ ภิกฺขู ชิคุจฺฉนฺตา คีวํ ปริวเตฺตตฺวา โอโลเกตพฺพมฺปิ น มเญฺญยฺยุํฯ สเจ ปน ‘‘กุหิํ ยาสิ, กิํ กโรโนฺต อาหิณฺฑสี’’ติ วุเตฺต ‘‘อุเทฺทสภตฺตํ คเหตฺวา อาคโตมฺหี’’ติ วทติ, เอเกน ลชฺชิภิกฺขุนา ฐิติกาย คาเหตพฺพํฯ สเจ อาภตํ พหุ โหติ, สเพฺพสํ ปโหติ, ฐิติกากิจฺจํ นตฺถิฯ เถราสนโต ปฎฺฐาย ปตฺตํ ปูเรตฺวา ทาตพฺพํฯ

    Eko saṅghato uddisāpetvā ṭhitikāya gāhitapattaṃ haritvā paṇītassa khādanīyabhojanīyassa pūretvā āharitvā ‘‘imaṃ, bhante, sabbo saṅgho paribhuñjatū’’ti deti, sabbehi bhājetvā paribhuñjitabbaṃ. Pattasāmikassa pana atikkantampi ṭhitikaṃ ṭhapetvā aññaṃ uddesabhattaṃ dātabbaṃ. Atha paṭhamaṃyeva ‘‘sabbaṃ saṅghikapattaṃ dethā’’ti vadati, ekassa lajjibhikkhuno santako patto dātabbo. Āharitvā ca ‘‘sabbo saṅgho paribhuñjatū’’ti vutte bhājetvā paribhuñjitabbaṃ. Eko pātiyā bhattaṃ āharitvā ‘‘saṅghuddesaṃ dammī’’ti vadati, ekekaṃ ālopaṃ adatvā ṭhitikāya ekassa yāpanamattaṃ katvā dātabbaṃ. Atha so bhattaṃ āharitvā kiñci vattuṃ ajānanto tuṇhībhūto acchati, ‘‘kassa te ānītaṃ, kassa dātukāmosī’’ti na vattabbaṃ. Pucchāsabhāgena hi ‘‘tumhākaṃ ānītaṃ, tumhākaṃ dātukāmomhī’’ti vadeyya, tato taṃ bhikkhuṃ aññe bhikkhū jigucchantā gīvaṃ parivattetvā oloketabbampi na maññeyyuṃ. Sace pana ‘‘kuhiṃ yāsi, kiṃ karonto āhiṇḍasī’’ti vutte ‘‘uddesabhattaṃ gahetvā āgatomhī’’ti vadati, ekena lajjibhikkhunā ṭhitikāya gāhetabbaṃ. Sace ābhataṃ bahu hoti, sabbesaṃ pahoti, ṭhitikākiccaṃ natthi. Therāsanato paṭṭhāya pattaṃ pūretvā dātabbaṃ.

    ‘‘สงฺฆุเทฺทสปตฺตํ เทถา’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํ อาหริสฺสสี’’ติ อวตฺวา ปกติฐิติกาย เอว คาเหตพฺพํฯ โย ปน ปายาโส วา รสปิณฺฑปาโต วา นิจฺจํ ลพฺภติ, เอวรูปานํ ปณีตโภชนานํ อาเวณิกา ฐิติกา กาตพฺพา, ตถา สปริวาราย ยาคุยา มหคฺฆานํ ผลานํ ปณีตานญฺจ ขชฺชกานํฯ ปกติภตฺตยาคุผลขชฺชกานํ เอกาว ฐิติกา กาตพฺพาฯ ‘‘สปฺปิํ อาหริสฺสามี’’ติ วุเตฺต สพฺพสปฺปีนํ เอกาว ฐิติกา วฎฺฎติ, ตถา สพฺพเตลานํฯ ‘‘มธุํ อาหริสฺสามี’’ติ วุเตฺต ปน มธุโน เอกาว ฐิติกา วฎฺฎติ, ตถา ผาณิตสฺส ลฎฺฐิมธุกาทีนญฺจ เภสชฺชานํฯ สเจ ปน คนฺธมาลํ สงฺฆุเทฺทสํ เทนฺติ, ปิณฺฑปาติกสฺส วฎฺฎติ, น วฎฺฎตีติ? อามิสเสฺสว ปฎิกฺขิตฺตตฺตา วฎฺฎติฯ ‘‘สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ทินฺนตฺตา ปน น คเหตพฺพ’’นฺติ วทนฺติฯ

    ‘‘Saṅghuddesapattaṃ dethā’’ti vutte ‘‘kiṃ āharissasī’’ti avatvā pakatiṭhitikāya eva gāhetabbaṃ. Yo pana pāyāso vā rasapiṇḍapāto vā niccaṃ labbhati, evarūpānaṃ paṇītabhojanānaṃ āveṇikā ṭhitikā kātabbā, tathā saparivārāya yāguyā mahagghānaṃ phalānaṃ paṇītānañca khajjakānaṃ. Pakatibhattayāguphalakhajjakānaṃ ekāva ṭhitikā kātabbā. ‘‘Sappiṃ āharissāmī’’ti vutte sabbasappīnaṃ ekāva ṭhitikā vaṭṭati, tathā sabbatelānaṃ. ‘‘Madhuṃ āharissāmī’’ti vutte pana madhuno ekāva ṭhitikā vaṭṭati, tathā phāṇitassa laṭṭhimadhukādīnañca bhesajjānaṃ. Sace pana gandhamālaṃ saṅghuddesaṃ denti, piṇḍapātikassa vaṭṭati, na vaṭṭatīti? Āmisasseva paṭikkhittattā vaṭṭati. ‘‘Saṅghaṃ uddissa dinnattā pana na gahetabba’’nti vadanti.

    อุเทฺทสภตฺตกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Uddesabhattakathā niṭṭhitā.

    ๒๑๐. นิมนฺตนํ ปุคฺคลิกํ เจ, สยเมว อิสฺสโรฯ สงฺฆิกํ ปน อุเทฺทสภเตฺต วุตฺตนเยเนว คาเหตพฺพํฯ สเจ ปเนตฺถ ทูโต พฺยโตฺต โหติ, ‘‘ภเนฺต, ราชเคเห ภิกฺขุสงฺฆสฺส ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ อวตฺวา ‘‘ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ อถ ทูโต อพฺยโตฺต ‘‘ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ภตฺตุเทฺทสโก พฺยโตฺต ‘‘ภตฺต’’นฺติ อวตฺวา ‘‘ภเนฺต , ตุเมฺห ยาถ, ตุเมฺห ยาถา’’ติ วทติ, เอวมฺปิ ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติ, ‘‘ตุมฺหากํ, ภเนฺต, ปฎิปาฎิยา ภตฺตํ ปาปุณาตี’’ติ วุเตฺต ปน น วฎฺฎติฯ สเจ นิมนฺติตุํ อาคตมนุโสฺส อาสนสาลํ ปวิสิตฺวา ‘‘อฎฺฐ ภิกฺขู เทถา’’ติ วา ‘‘อฎฺฐ ปเตฺต เทถา’’ติ วา วทติ, เอวมฺปิ ปิณฺฑปาติกานํ วฎฺฎติ, ‘‘ตุเมฺห จ ตุเมฺห จ คจฺฉถา’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ ‘‘อฎฺฐ ภิกฺขู เทถ, ภตฺตํ คณฺหถ, อฎฺฐ ปเตฺต เทถ, ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วา วทติ, ปฎิปาฎิยา คาเหตพฺพํฯ คาเหเนฺตน ปน วิจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘ภตฺต’’นฺติ อวทเนฺตน ‘‘ตุเมฺห จ ตุเมฺห จ คจฺฉถา’’ติ วุเตฺต ปิณฺฑปาติกานํ วฎฺฎติฯ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปตฺตํ เทถ, ตุเมฺห เอถา’’ติ วุเตฺต ปน ‘‘สาธุ อุปาสกา’’ติ คนฺตพฺพํฯ ‘‘สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา ตุเมฺห เอถา’’ติ วุเตฺตปิ ฐิติกาย คาเหตพฺพํฯ

    210.Nimantanaṃ puggalikaṃ ce, sayameva issaro. Saṅghikaṃ pana uddesabhatte vuttanayeneva gāhetabbaṃ. Sace panettha dūto byatto hoti, ‘‘bhante, rājagehe bhikkhusaṅghassa bhattaṃ gaṇhathā’’ti avatvā ‘‘bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti vadati, piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Atha dūto abyatto ‘‘bhattaṃ gaṇhathā’’ti vadati, bhattuddesako byatto ‘‘bhatta’’nti avatvā ‘‘bhante , tumhe yātha, tumhe yāthā’’ti vadati, evampi piṇḍapātikānampi vaṭṭati, ‘‘tumhākaṃ, bhante, paṭipāṭiyā bhattaṃ pāpuṇātī’’ti vutte pana na vaṭṭati. Sace nimantituṃ āgatamanusso āsanasālaṃ pavisitvā ‘‘aṭṭha bhikkhū dethā’’ti vā ‘‘aṭṭha patte dethā’’ti vā vadati, evampi piṇḍapātikānaṃ vaṭṭati, ‘‘tumhe ca tumhe ca gacchathā’’ti vattabbaṃ. Sace ‘‘aṭṭha bhikkhū detha, bhattaṃ gaṇhatha, aṭṭha patte detha, bhattaṃ gaṇhathā’’ti vā vadati, paṭipāṭiyā gāhetabbaṃ. Gāhentena pana vicchinditvā ‘‘bhatta’’nti avadantena ‘‘tumhe ca tumhe ca gacchathā’’ti vutte piṇḍapātikānaṃ vaṭṭati. ‘‘Bhante, tumhākaṃ pattaṃ detha, tumhe ethā’’ti vutte pana ‘‘sādhu upāsakā’’ti gantabbaṃ. ‘‘Saṅghato uddisitvā tumhe ethā’’ti vuttepi ṭhitikāya gāhetabbaṃ.

    นิมนฺตนภตฺตฆรโต ปน ปตฺตตฺถาย อาคตสฺส อุเทฺทสภเตฺต วุตฺตนเยเนว ฐิติกาย ปโตฺต ทาตโพฺพฯ เอโก ‘‘สงฺฆโต ปฎิปาฎิยา ปตฺต’’นฺติ อวตฺวา เกวลํ ‘‘เอกํ ปตฺตํ เทถา’’ติ วตฺวา อคฺคาหิเตเยว ปเตฺต ยสฺส กสฺสจิ ปตฺตํ คเหตฺวา ปูเรตฺวา อาหรติ, ตํ ปตฺตสามิกเสฺสว โหติฯ อุเทฺทสภเตฺต วิย ฐิติกาย น คาเหตพฺพํฯ อิธาปิ โย อาคนฺตฺวา ตุณฺหีภูโต ติฎฺฐติ, โส ‘‘กสฺส สนฺติกํ อาคโตสี’’ติ วา ‘‘กสฺส ปตฺตํ หริสฺสสี’’ติ วา น วตฺตโพฺพฯ ปุจฺฉาสภาเคน หิ ‘‘ตุมฺหากํ สนฺติกํ อาคโต, ตุมฺหากํ ปตฺตํ หริสฺสามี’’ติ วเทยฺย, ตโต โส ภิกฺขุ ภิกฺขูหิ ชิคุจฺฉนีโย อสฺสฯ ‘‘กุหิํ คจฺฉสิ, กิํ กโรโนฺต อาหิณฺฑสี’’ติ ปน วุเตฺต ‘‘ตสฺส ปตฺตตฺถาย อาคโตมฺหี’’ติ วทนฺตสฺส ปฎิปาฎิภตฺตฎฺฐิติกาย คเหตฺวา ปโตฺต ทาตโพฺพฯ ‘‘ภตฺตหรณปตฺตํ เทถา’’ติ วุเตฺตปิ ปฎิปาฎิภตฺตฎฺฐิติกาย เอว ทาตโพฺพฯ สเจ อาหริตฺวา ‘‘สโพฺพ สโงฺฆ ภุญฺชตู’’ติ วทติ, ภาเชตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ ปตฺตสามิกสฺส อติกฺกนฺตมฺปิ ฐิติกํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ปฎิปาฎิภตฺตํ คาเหตพฺพํฯ

    Nimantanabhattagharato pana pattatthāya āgatassa uddesabhatte vuttanayeneva ṭhitikāya patto dātabbo. Eko ‘‘saṅghato paṭipāṭiyā patta’’nti avatvā kevalaṃ ‘‘ekaṃ pattaṃ dethā’’ti vatvā aggāhiteyeva patte yassa kassaci pattaṃ gahetvā pūretvā āharati, taṃ pattasāmikasseva hoti. Uddesabhatte viya ṭhitikāya na gāhetabbaṃ. Idhāpi yo āgantvā tuṇhībhūto tiṭṭhati, so ‘‘kassa santikaṃ āgatosī’’ti vā ‘‘kassa pattaṃ harissasī’’ti vā na vattabbo. Pucchāsabhāgena hi ‘‘tumhākaṃ santikaṃ āgato, tumhākaṃ pattaṃ harissāmī’’ti vadeyya, tato so bhikkhu bhikkhūhi jigucchanīyo assa. ‘‘Kuhiṃ gacchasi, kiṃ karonto āhiṇḍasī’’ti pana vutte ‘‘tassa pattatthāya āgatomhī’’ti vadantassa paṭipāṭibhattaṭṭhitikāya gahetvā patto dātabbo. ‘‘Bhattaharaṇapattaṃ dethā’’ti vuttepi paṭipāṭibhattaṭṭhitikāya eva dātabbo. Sace āharitvā ‘‘sabbo saṅgho bhuñjatū’’ti vadati, bhājetvā bhuñjitabbaṃ. Pattasāmikassa atikkantampi ṭhitikaṃ ṭhapetvā aññaṃ paṭipāṭibhattaṃ gāhetabbaṃ.

    เอโก ปาติยา ภตฺตํ อาหริตฺวา ‘‘สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ วทติ, อาโลปภตฺตฎฺฐิติกโต ปฎฺฐาย อาโลปสเงฺขเปน ภาเชตพฺพํฯ สเจ ปน ตุณฺหีภูโต อจฺฉติ, ‘‘กสฺส เต อาภตํ, กสฺส ทาตุกาโมสี’’ติ น วตฺตโพฺพฯ สเจ ปน ‘‘กุหิํ คจฺฉสิ, กิํ กโรโนฺต อาหิณฺฑสี’’ติ วุเตฺต ปน ‘‘สงฺฆสฺส เม ภตฺตํ อาภตํ, เถรานํ เม ภตฺตํ อาภต’’นฺติ วทติ, คเหตฺวา อาโลปภตฺตฎฺฐิติกาย ภาเชตพฺพํฯ สเจ ปน เอวํ อาภตํ ภตฺตํ พหุ โหติ, สกลสงฺฆสฺส ปโหติ, อภิหฎภิกฺขา นาม, ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติ, ฐิติกาปุจฺฉนกิจฺจํ นตฺถิ, เถราสนโต ปฎฺฐาย ปตฺตํ ปูเรตฺวา ทาตพฺพํฯ

    Eko pātiyā bhattaṃ āharitvā ‘‘saṅghassa dammī’’ti vadati, ālopabhattaṭṭhitikato paṭṭhāya ālopasaṅkhepena bhājetabbaṃ. Sace pana tuṇhībhūto acchati, ‘‘kassa te ābhataṃ, kassa dātukāmosī’’ti na vattabbo. Sace pana ‘‘kuhiṃ gacchasi, kiṃ karonto āhiṇḍasī’’ti vutte pana ‘‘saṅghassa me bhattaṃ ābhataṃ, therānaṃ me bhattaṃ ābhata’’nti vadati, gahetvā ālopabhattaṭṭhitikāya bhājetabbaṃ. Sace pana evaṃ ābhataṃ bhattaṃ bahu hoti, sakalasaṅghassa pahoti, abhihaṭabhikkhā nāma, piṇḍapātikānampi vaṭṭati, ṭhitikāpucchanakiccaṃ natthi, therāsanato paṭṭhāya pattaṃ pūretvā dātabbaṃ.

    อุปาสโก สงฺฆเตฺถรสฺส วา คนฺถธุตงฺควเสน อภิญฺญาตสฺส วา ภตฺตุเทฺทสกสฺส วา ปหิณติ ‘‘อมฺหากํ ภตฺตคหณตฺถาย อฎฺฐ ภิกฺขู คเหตฺวา อาคจฺฉถา’’ติ, สเจปิ ญาติอุปฎฺฐาเกหิ เปสิตํ โหติ, อิเม ตโย ชนา ปุจฺฉิตุํ น ลภนฺติ, อารุฬฺหาเยว มาติกํฯ สงฺฆโต อฎฺฐ ภิกฺขู อุทฺทิสาเปตฺวา อตฺตนวเมหิ คนฺตพฺพํฯ กสฺมา? ภิกฺขุสงฺฆสฺส หิ เอเต ภิกฺขู นิสฺสาย ลาโภ อุปฺปชฺชตีติฯ คนฺถธุตงฺคาทีหิ ปน อนภิญฺญาโต อาวาสิกภิกฺขุ อาปุจฺฉิตุํ ลภติ, ตสฺมา เตน ‘‘กิํ สงฺฆโต คณฺหามิ, อุทาหุ เย ชานามิ, เตหิ สทฺธิํ อาคจฺฉามี’’ติ มาติกํ อาโรเปตฺวา ยถา ทายกา วทนฺติ, ตถา ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ ‘‘ตุมฺหากํ นิสฺสิตเก วา เย วา ชานาถ, เต คเหตฺวา เอถา’’ติ วุเตฺต ปน เย อิจฺฉนฺติ, เตหิ สทฺธิํ คนฺตุํ ลภติฯ สเจ ‘‘อฎฺฐ ภิกฺขู ปหิณถา’’ติ เปเสนฺติ, สงฺฆโตว เปเสตพฺพาฯ อตฺตนา สเจ อญฺญสฺมิํ คาเม สกฺกา โหติ ภิกฺขา ลภิตุํ, อโญฺญ คาโม คนฺตโพฺพฯ น สกฺกา เจ โหติ ลภิตุํ, โสเยว คาโม ปิณฺฑาย ปวิสิตโพฺพฯ

    Upāsako saṅghattherassa vā ganthadhutaṅgavasena abhiññātassa vā bhattuddesakassa vā pahiṇati ‘‘amhākaṃ bhattagahaṇatthāya aṭṭha bhikkhū gahetvā āgacchathā’’ti, sacepi ñātiupaṭṭhākehi pesitaṃ hoti, ime tayo janā pucchituṃ na labhanti, āruḷhāyeva mātikaṃ. Saṅghato aṭṭha bhikkhū uddisāpetvā attanavamehi gantabbaṃ. Kasmā? Bhikkhusaṅghassa hi ete bhikkhū nissāya lābho uppajjatīti. Ganthadhutaṅgādīhi pana anabhiññāto āvāsikabhikkhu āpucchituṃ labhati, tasmā tena ‘‘kiṃ saṅghato gaṇhāmi, udāhu ye jānāmi, tehi saddhiṃ āgacchāmī’’ti mātikaṃ āropetvā yathā dāyakā vadanti, tathā paṭipajjitabbaṃ. ‘‘Tumhākaṃ nissitake vā ye vā jānātha, te gahetvā ethā’’ti vutte pana ye icchanti, tehi saddhiṃ gantuṃ labhati. Sace ‘‘aṭṭha bhikkhū pahiṇathā’’ti pesenti, saṅghatova pesetabbā. Attanā sace aññasmiṃ gāme sakkā hoti bhikkhā labhituṃ, añño gāmo gantabbo. Na sakkā ce hoti labhituṃ, soyeva gāmo piṇḍāya pavisitabbo.

    นิมนฺติตภิกฺขู อาสนสาลาย นิสินฺนา โหนฺติ, ตตฺร เจ มนุสฺสา ‘‘ปเตฺต เทถา’’ติ อาคจฺฉนฺติ, อนิมนฺติเตหิ น ทาตพฺพา, ‘‘เอเต นิมนฺติตา ภิกฺขู’’ติ วตฺตพฺพํ, ‘‘ตุเมฺหปิ เทถา’’ติ วุเตฺต ปน ทาตุํ วฎฺฎติฯ อุสฺสวาทีสุ มนุสฺสา สยเมว ปริเวณานิ จ ปธานฆรานิ จ คนฺตฺวา ติปิฎเก จ ธมฺมกถิเก จ ภิกฺขุสเตนปิ สทฺธิํ นิมเนฺตนฺติ, ตทา เตหิ เย ชานนฺติ, เต คเหตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎติฯ กสฺมา? น หิ มหาภิกฺขุสเงฺฆน อตฺถิกา มนุสฺสา ปริเวณปธานฆรานิ คจฺฉนฺติ, สนฺนิปาตฎฺฐานโตว ยถาสตฺติ ยถาพลํ ภิกฺขู คณฺหิตฺวา คจฺฉนฺตีติฯ

    Nimantitabhikkhū āsanasālāya nisinnā honti, tatra ce manussā ‘‘patte dethā’’ti āgacchanti, animantitehi na dātabbā, ‘‘ete nimantitā bhikkhū’’ti vattabbaṃ, ‘‘tumhepi dethā’’ti vutte pana dātuṃ vaṭṭati. Ussavādīsu manussā sayameva pariveṇāni ca padhānagharāni ca gantvā tipiṭake ca dhammakathike ca bhikkhusatenapi saddhiṃ nimantenti, tadā tehi ye jānanti, te gahetvā gantuṃ vaṭṭati. Kasmā? Na hi mahābhikkhusaṅghena atthikā manussā pariveṇapadhānagharāni gacchanti, sannipātaṭṭhānatova yathāsatti yathābalaṃ bhikkhū gaṇhitvā gacchantīti.

    สเจ ปน สงฺฆเตฺถโร วา คนฺถธุตงฺควเสน อภิญฺญาโต วา ภตฺตุเทฺทสโก วา อญฺญตฺร วา วสฺสํ วสิตฺวา กตฺถจิ วา คนฺตฺวา ปุน สกฎฺฐานํ อาคจฺฉติ, มนุสฺสา จ อาคนฺตุกสฺส สกฺการํ กโรนฺติ, เอกวารํ เย ชานนฺติ, เต คเหตฺวา คนฺตพฺพํฯ ปฎิพทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ทุติยวาเร อารเทฺธ สงฺฆโตเยว คเหตฺวา คนฺตพฺพํฯ อภินวอาคนฺตุกาว หุตฺวา ‘‘ญาตี วา อุปฎฺฐาเก วา ปสฺสิสฺสามี’’ติ คจฺฉนฺติ, ตตฺร เจ เตสํ ญาตี จ อุปฎฺฐากา จ สกฺการํ กโรนฺติ, เอตฺถ ปน เย ชานนฺติ, เต คเหตฺวา คนฺตุมฺปิ วฎฺฎติฯ โย ปน อติลาภี โหติ, สกฎฺฐานญฺจ อาคนฺตุกฎฺฐานญฺจ เอกสทิสํ, สพฺพตฺถ มนุสฺสา สงฺฆภตฺตํ สเชฺชตฺวาว นิสีทนฺติ, เตน สงฺฆโตว คเหตฺวา คนฺตพฺพนฺติ อยํ นิมนฺตเน วิเสโสฯ อวเสโส สพฺพปโญฺห อุเทฺทสภเตฺต วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘อฎฺฐ มหาเถเร เทถาติ วุเตฺต อฎฺฐ มหาเถราว ทาตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ เอส นโย มชฺฌิมาทีสุฯ สเจ ปน อวิเสเสตฺวา ‘‘อฎฺฐ ภิกฺขู เทถา’’ติ วทติ, สงฺฆโต ทาตพฺพาติฯ

    Sace pana saṅghatthero vā ganthadhutaṅgavasena abhiññāto vā bhattuddesako vā aññatra vā vassaṃ vasitvā katthaci vā gantvā puna sakaṭṭhānaṃ āgacchati, manussā ca āgantukassa sakkāraṃ karonti, ekavāraṃ ye jānanti, te gahetvā gantabbaṃ. Paṭibaddhakālato paṭṭhāya dutiyavāre āraddhe saṅghatoyeva gahetvā gantabbaṃ. Abhinavaāgantukāva hutvā ‘‘ñātī vā upaṭṭhāke vā passissāmī’’ti gacchanti, tatra ce tesaṃ ñātī ca upaṭṭhākā ca sakkāraṃ karonti, ettha pana ye jānanti, te gahetvā gantumpi vaṭṭati. Yo pana atilābhī hoti, sakaṭṭhānañca āgantukaṭṭhānañca ekasadisaṃ, sabbattha manussā saṅghabhattaṃ sajjetvāva nisīdanti, tena saṅghatova gahetvā gantabbanti ayaṃ nimantane viseso. Avaseso sabbapañho uddesabhatte vuttanayeneva veditabbo. Kurundiyaṃ pana ‘‘aṭṭha mahāthere dethāti vutte aṭṭha mahātherāva dātabbā’’ti vuttaṃ. Esa nayo majjhimādīsu. Sace pana avisesetvā ‘‘aṭṭha bhikkhū dethā’’ti vadati, saṅghato dātabbāti.

    นิมนฺตนภตฺตกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Nimantanabhattakathā niṭṭhitā.

    ๒๑๑. สลากภตฺตํ ปน ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สลากาย วา ปฎฺฎิกาย วา อุปนิพนฺธิตฺวา โอปุญฺชิตฺวา ภตฺตํ อุทฺทิสิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๖) วจนโต รุกฺขสารมยาย สลากาย วา เวฬุวิลีวตาลปณฺณาทิมยาย ปฎฺฎิกาย วา ‘‘อสุกสฺส นาม สลากภตฺต’’นฺติ เอวํ อกฺขรานิ อุปนิพนฺธิตฺวา ปจฺฉิยํ วา จีวรโภเค วา กตฺวา สพฺพสลากาโย โอปุญฺชิตฺวา ปุนปฺปุนํ เหฎฺฐุปริยวเสน อาโลเฬตฺวา ปญฺจงฺคสมนฺนาคเตน ภตฺตุเทฺทสเกน สเจ ฐิติกา อตฺถิ, ฐิติกโต ปฎฺฐาย, โน เจ อตฺถิ, เถราสนโต ปฎฺฐาย สลากา ทาตพฺพาฯ ปจฺฉา อาคตานมฺปิ เอกาพทฺธวเสน ทูเร ฐิตานมฺปิ อุเทฺทสภเตฺต วุตฺตนเยเนว ทาตพฺพาฯ

    211.Salākabhattaṃ pana ‘‘anujānāmi, bhikkhave, salākāya vā paṭṭikāya vā upanibandhitvā opuñjitvā bhattaṃ uddisitu’’nti (cūḷava. 326) vacanato rukkhasāramayāya salākāya vā veḷuvilīvatālapaṇṇādimayāya paṭṭikāya vā ‘‘asukassa nāma salākabhatta’’nti evaṃ akkharāni upanibandhitvā pacchiyaṃ vā cīvarabhoge vā katvā sabbasalākāyo opuñjitvā punappunaṃ heṭṭhupariyavasena āloḷetvā pañcaṅgasamannāgatena bhattuddesakena sace ṭhitikā atthi, ṭhitikato paṭṭhāya, no ce atthi, therāsanato paṭṭhāya salākā dātabbā. Pacchā āgatānampi ekābaddhavasena dūre ṭhitānampi uddesabhatte vuttanayeneva dātabbā.

    สเจ วิหารสฺส สมนฺตโต พหู โคจรคามา, ภิกฺขู ปน น พหู, คามวเสนปิ สลากา ปาปุณนฺติฯ ‘‘ตุมฺหากํ อสุกคาเม สลากภตฺตํ ปาปุณาตี’’ติ คามวเสเนว คาเหตพฺพํฯ เอวํ คาเหเนฺตน สเจปิ เอกเมกสฺมิํ คาเม นานปฺปการานิ สฎฺฐิ สลากภตฺตานิ, สพฺพานิ คหิตาเนว โหนฺติฯ ตสฺส ปตฺตคามสมีเป อญฺญานิปิ เทฺว ตีณิ สลากภตฺตานิ โหนฺติ, ตานิ ตเสฺสว ทาตพฺพานิฯ น หิ สกฺกา เตสํ การณา อญฺญํ ภิกฺขุํ ปหิณิตุนฺติฯ

    Sace vihārassa samantato bahū gocaragāmā, bhikkhū pana na bahū, gāmavasenapi salākā pāpuṇanti. ‘‘Tumhākaṃ asukagāme salākabhattaṃ pāpuṇātī’’ti gāmavaseneva gāhetabbaṃ. Evaṃ gāhentena sacepi ekamekasmiṃ gāme nānappakārāni saṭṭhi salākabhattāni, sabbāni gahitāneva honti. Tassa pattagāmasamīpe aññānipi dve tīṇi salākabhattāni honti, tāni tasseva dātabbāni. Na hi sakkā tesaṃ kāraṇā aññaṃ bhikkhuṃ pahiṇitunti.

    สเจ เอกเจฺจสุ คาเมสุ พหูนิ สลากภตฺตานิ สลฺลเกฺขตฺวา สตฺตนฺนมฺปิ อฎฺฐนฺนมฺปิ ภิกฺขูนํ ทาตพฺพานิฯ เทเนฺตน ปน จตุนฺนํ ปญฺจนฺนํ ภตฺตานํ สลากาโย เอกโต พนฺธิตฺวา ทาตพฺพาฯ สเจ ตํ คามํ อติกฺกมิตฺวา อโญฺญ คาโม โหติ, ตสฺมิญฺจ เอกเมว สลากภตฺตํ, ตํ ปน ปาโตว เทนฺติ, ตมฺปิ เอเตสุ ภิกฺขูสุ เอกสฺส นิคฺคเหน ทตฺวา ‘‘ปาโตว ตํ คเหตฺวา ปจฺฉา โอริมคาเม อิตรานิ ภตฺตานิ คณฺหาหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ โอริมคาเม สลากภเตฺตสุ อคฺคหิเตเสฺวว คหิตสญฺญาย คจฺฉติ, ปรภาคคาเม สลากภตฺตํ คเหตฺวา ปุน วิหารํ อาคนฺตฺวา อิตรานิ คเหตฺวา โอริมคาโม คนฺตโพฺพฯ น หิ พหิสีมาย สงฺฆลาโภ คาเหตุํ ลพฺภตีติ อยํ นโย กุรุนฺทิยํ วุโตฺตฯ สเจ ปน ภิกฺขู พหู โหนฺติ, คามวเสน สลากา น ปาปุณนฺติ, วีถิวเสน วา วีถิยํ เอกเคหวเสน วา เอกกุลวเสน วา คาเหตพฺพํฯ วีถิอาทีสุ จ ยตฺถ พหูนิ ภตฺตานิ, ตตฺถ คาเม วุตฺตนเยเนว พหูนํ ภิกฺขูนํ คาเหตพฺพานิ, สลากาสุ อสติ อุทฺทิสิตฺวาปิ คาเหตพฺพานิฯ

    Sace ekaccesu gāmesu bahūni salākabhattāni sallakkhetvā sattannampi aṭṭhannampi bhikkhūnaṃ dātabbāni. Dentena pana catunnaṃ pañcannaṃ bhattānaṃ salākāyo ekato bandhitvā dātabbā. Sace taṃ gāmaṃ atikkamitvā añño gāmo hoti, tasmiñca ekameva salākabhattaṃ, taṃ pana pātova denti, tampi etesu bhikkhūsu ekassa niggahena datvā ‘‘pātova taṃ gahetvā pacchā orimagāme itarāni bhattāni gaṇhāhī’’ti vattabbo. Sace orimagāme salākabhattesu aggahitesveva gahitasaññāya gacchati, parabhāgagāme salākabhattaṃ gahetvā puna vihāraṃ āgantvā itarāni gahetvā orimagāmo gantabbo. Na hi bahisīmāya saṅghalābho gāhetuṃ labbhatīti ayaṃ nayo kurundiyaṃ vutto. Sace pana bhikkhū bahū honti, gāmavasena salākā na pāpuṇanti, vīthivasena vā vīthiyaṃ ekagehavasena vā ekakulavasena vā gāhetabbaṃ. Vīthiādīsu ca yattha bahūni bhattāni, tattha gāme vuttanayeneva bahūnaṃ bhikkhūnaṃ gāhetabbāni, salākāsu asati uddisitvāpi gāhetabbāni.

    ๒๑๒. สลากทายเกน ปน วตฺตํ ชานิตพฺพํฯ เตน หิ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา โภชนสาลํ คนฺตฺวา อสมฺมฎฺฐฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตฺวา ปานียํ ปริโภชนียํ อุปฎฺฐาเปตฺวา ‘‘อิทานิ ภิกฺขูหิ วตฺตํ กตํ ภวิสฺสตี’’ติ กาลํ สลฺลเกฺขตฺวา ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ภิกฺขูสุ สนฺนิปติเตสุ ปฐมเมว วารคาเม สลากภตฺตํ คาเหตพฺพํ, ‘‘ตุยฺหํ อสุกสฺมิํ นาม วารคาเม สลากา ปาปุณาติ, ตตฺร คจฺฉา’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ อภิเรกคาวุเต คาโม โหติ, ตํ ทิวสํ คจฺฉนฺตา กิลมนฺติ, ‘‘เสฺว ตุยฺหํ วารคาเม ปาปุณาตี’’ติ อเชฺชว คาเหตพฺพํฯ โย วารคามํ เปสิยมาโน น คจฺฉติ, อญฺญํ สลากํ มคฺคติ, น ทาตพฺพาฯ สทฺธานญฺหิ มนุสฺสานํ ปุญฺญหานิ จ สงฺฆสฺส จ ลาภเจฺฉโท โหติ, ตสฺมา ตสฺส ทุติเยปิ ตติเยปิ ทิวเส อญฺญา สลากา น ทาตพฺพา, ‘‘อตฺตโน ปตฺตฎฺฐานํ คนฺตฺวา ภุญฺชาหี’’ติ วตฺตโพฺพ, ตีณิ ปน ทิวสานิ อคจฺฉนฺตสฺส วารคามโต โอริมวารคาเม สลากา คาเหตพฺพาฯ ตเญฺจ น คณฺหาติ, ตโต ปฎฺฐาย ตสฺส อญฺญํ สลากํ ทาตุํ น วฎฺฎติ, ทณฺฑกมฺมํ ทฬฺหํ กาตพฺพํ ฯ สฎฺฐิโต วา ปณฺณาสโต วา น ปริหาเปตพฺพํฯ วารคาเม คาเหตฺวา วิหารวาโร คาเหตโพฺพ, ‘‘ตุยฺหํ วิหารวาโร ปาปุณาตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ วิหารวาริกสฺส เทฺว ติโสฺส ยาคุสลากาโย ติโสฺส จตโสฺส ภตฺตสลากาโย จ ทาตพฺพา, นิพทฺธํ กตฺวา ปน น ทาตพฺพาฯ ยาคุภตฺตทายกา หิ ‘‘อมฺหากํ ยาคุภตฺตํ วิหารโคปกาวภุญฺชนฺตี’’ติ อญฺญถตฺตํ อาปเชฺชยฺยุํ, ตสฺมา อเญฺญสุ กุเลสุ ทาตพฺพาฯ

    212. Salākadāyakena pana vattaṃ jānitabbaṃ. Tena hi kālasseva vuṭṭhāya pattacīvaraṃ gahetvā bhojanasālaṃ gantvā asammaṭṭhaṭṭhānaṃ sammajjitvā pānīyaṃ paribhojanīyaṃ upaṭṭhāpetvā ‘‘idāni bhikkhūhi vattaṃ kataṃ bhavissatī’’ti kālaṃ sallakkhetvā ghaṇṭiṃ paharitvā bhikkhūsu sannipatitesu paṭhamameva vāragāme salākabhattaṃ gāhetabbaṃ, ‘‘tuyhaṃ asukasmiṃ nāma vāragāme salākā pāpuṇāti, tatra gacchā’’ti vattabbaṃ. Sace abhirekagāvute gāmo hoti, taṃ divasaṃ gacchantā kilamanti, ‘‘sve tuyhaṃ vāragāme pāpuṇātī’’ti ajjeva gāhetabbaṃ. Yo vāragāmaṃ pesiyamāno na gacchati, aññaṃ salākaṃ maggati, na dātabbā. Saddhānañhi manussānaṃ puññahāni ca saṅghassa ca lābhacchedo hoti, tasmā tassa dutiyepi tatiyepi divase aññā salākā na dātabbā, ‘‘attano pattaṭṭhānaṃ gantvā bhuñjāhī’’ti vattabbo, tīṇi pana divasāni agacchantassa vāragāmato orimavāragāme salākā gāhetabbā. Tañce na gaṇhāti, tato paṭṭhāya tassa aññaṃ salākaṃ dātuṃ na vaṭṭati, daṇḍakammaṃ daḷhaṃ kātabbaṃ . Saṭṭhito vā paṇṇāsato vā na parihāpetabbaṃ. Vāragāme gāhetvā vihāravāro gāhetabbo, ‘‘tuyhaṃ vihāravāro pāpuṇātī’’ti vattabbaṃ. Vihāravārikassa dve tisso yāgusalākāyo tisso catasso bhattasalākāyo ca dātabbā, nibaddhaṃ katvā pana na dātabbā. Yāgubhattadāyakā hi ‘‘amhākaṃ yāgubhattaṃ vihāragopakāvabhuñjantī’’ti aññathattaṃ āpajjeyyuṃ, tasmā aññesu kulesu dātabbā.

    สเจ วิหารวาริกานํ สภาคา อาหริตฺวา เทนฺติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ, วารํ คเหตฺวา เตสํ ยาคุภตฺตํ อาหราเปตพฺพํ, ตาว เนสํ สลากา ผาติกมฺมเมว ภวนฺติฯ วสฺสเคฺคน ปตฺตฎฺฐาเน ปน อญฺญมฺปิ ปณีตภตฺตสลากํ คณฺหิตุํ ลภนฺติเยวฯ อติเรกอุตฺตริภงฺคสฺส เอกจาริกภตฺตสฺส วิสุํ ฐิติกํ กตฺวา สลากา ทาตพฺพาฯ สเจ เยน สลากา ลทฺธา, โส ตํ ทิวสํ ตํ ภตฺตํ น ลภติ, ปุน ทิวเส คาเหตพฺพํฯ ภตฺตเญฺญว ลภติ, น อุตฺตริภงฺคํ, เอวมฺปิ ปุน คาเหตพฺพํฯ ขีรภตฺตสลากายปิ เอเสว นโยฯ สเจ ปน ขีรเมว ลภติ, น ภตฺตํ, ขีรลาภโต ปฎฺฐาย ปุน น คาเหตพฺพํฯ เทฺว ตีณิ เอกจาริกภตฺตานิ เอกเสฺสว ปาปุณนฺติ, ทุพฺภิกฺขสมเย สงฺฆนวเกน ลทฺธกาเล วิชเฎตฺวา วิสุํ คาเหตพฺพานิฯ ปากติกสลากภตฺตํ อลทฺธสฺสปิ ปุนทิวเส คาเหตพฺพํฯ

    Sace vihāravārikānaṃ sabhāgā āharitvā denti, iccetaṃ kusalaṃ. No ce, vāraṃ gahetvā tesaṃ yāgubhattaṃ āharāpetabbaṃ, tāva nesaṃ salākā phātikammameva bhavanti. Vassaggena pattaṭṭhāne pana aññampi paṇītabhattasalākaṃ gaṇhituṃ labhantiyeva. Atirekauttaribhaṅgassa ekacārikabhattassa visuṃ ṭhitikaṃ katvā salākā dātabbā. Sace yena salākā laddhā, so taṃ divasaṃ taṃ bhattaṃ na labhati, puna divase gāhetabbaṃ. Bhattaññeva labhati, na uttaribhaṅgaṃ, evampi puna gāhetabbaṃ. Khīrabhattasalākāyapi eseva nayo. Sace pana khīrameva labhati, na bhattaṃ, khīralābhato paṭṭhāya puna na gāhetabbaṃ. Dve tīṇi ekacārikabhattāni ekasseva pāpuṇanti, dubbhikkhasamaye saṅghanavakena laddhakāle vijaṭetvā visuṃ gāhetabbāni. Pākatikasalākabhattaṃ aladdhassapi punadivase gāhetabbaṃ.

    สเจ ขุทฺทโก วิหาโร โหติ, สเพฺพ ภิกฺขู เอกสโมฺภคา, อุจฺฉุสลากํ คาเหเนฺตน ยสฺส กสฺสจิ สมฺมุขีภูตสฺส ปาเปตฺวา มหาเถราทีนํ ทิวา ตเจฺฉตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติฯ รสสลากํ ปาเปตฺวา ปจฺฉาภตฺตมฺปิ ปริสฺสาเวตฺวา ผาณิตํ วา กาเรตฺวา ปิณฺฑปาติกาทีนมฺปิ ทาตพฺพํ, อาคนฺตุกานํ อาคตานาคตภาวํ ญตฺวา คาเหตพฺพาฯ มหาอาวาเส ฐิติกํ กตฺวา คาเหตพฺพาฯ ตกฺกสลากมฺปิ สภาคฎฺฐาเน ปาเปตฺวา วา ธูมาเปตฺวา ปจาเปตฺวา วา เถรานํ ทาตุํ วฎฺฎติฯ มหาอาวาเส วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ ผลสลากปูวสลากเภสชฺชคนฺธมาลาสลากาโยปิ วิสุํ ฐิติกาย คาเหตพฺพาฯ เภสชฺชาทิสลากาโย เจตฺถ กิญฺจาปิ ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎนฺติ, สลากวเสน ปน คาหิตตฺตา น สาทิตพฺพาฯ อคฺคภิกฺขามตฺตํ สลากภตฺตํ เทนฺติ, ฐิติกํ ปุจฺฉิตฺวา คาเหตพฺพํฯ อสติยา ฐิติกาย เถราสนโต ปฎฺฐาย คาเหตพฺพํฯ สเจ ตาทิสานิ ภตฺตานิ พหูนิ โหนฺติ, เอเกกสฺส ภิกฺขุโน เทฺว ตีณิ ทาตพฺพานิฯ โน เจ, เอเกกเมว ทตฺวา ปฎิปาฎิยา คตาย ปุน เถราสนโต ปฎฺฐาย ทาตพฺพํฯ อถ อนฺตราว อุปจฺฉิชฺชติ, ฐิติกา สลฺลเกฺขตพฺพาฯ ยทิ ปน ตาทิสํ ภตฺตํ นิพทฺธเมว โหติ, ยสฺส ปาปุณาติ, โส วตฺตโพฺพ ‘‘ลทฺธา วา อลทฺธา วา เสฺวปิ คเณฺหยฺยาสี’’ติฯ เอกํ อนิพทฺธํ โหติ, ลภนทิวเส ปน ยาวทตฺถํ ลภติฯ อลภนทิวสา พหุตรา โหนฺติ, ตํ ยสฺส ปาปุณาติ, โส อลภิตฺวา ‘‘เสฺว คเณฺหยฺยาสี’’ติ วตฺตโพฺพฯ

    Sace khuddako vihāro hoti, sabbe bhikkhū ekasambhogā, ucchusalākaṃ gāhentena yassa kassaci sammukhībhūtassa pāpetvā mahātherādīnaṃ divā tacchetvā dātuṃ vaṭṭati. Rasasalākaṃ pāpetvā pacchābhattampi parissāvetvā phāṇitaṃ vā kāretvā piṇḍapātikādīnampi dātabbaṃ, āgantukānaṃ āgatānāgatabhāvaṃ ñatvā gāhetabbā. Mahāāvāse ṭhitikaṃ katvā gāhetabbā. Takkasalākampi sabhāgaṭṭhāne pāpetvā vā dhūmāpetvā pacāpetvā vā therānaṃ dātuṃ vaṭṭati. Mahāāvāse vuttanayeneva paṭipajjitabbaṃ. Phalasalākapūvasalākabhesajjagandhamālāsalākāyopi visuṃ ṭhitikāya gāhetabbā. Bhesajjādisalākāyo cettha kiñcāpi piṇḍapātikānampi vaṭṭanti, salākavasena pana gāhitattā na sāditabbā. Aggabhikkhāmattaṃ salākabhattaṃ denti, ṭhitikaṃ pucchitvā gāhetabbaṃ. Asatiyā ṭhitikāya therāsanato paṭṭhāya gāhetabbaṃ. Sace tādisāni bhattāni bahūni honti, ekekassa bhikkhuno dve tīṇi dātabbāni. No ce, ekekameva datvā paṭipāṭiyā gatāya puna therāsanato paṭṭhāya dātabbaṃ. Atha antarāva upacchijjati, ṭhitikā sallakkhetabbā. Yadi pana tādisaṃ bhattaṃ nibaddhameva hoti, yassa pāpuṇāti, so vattabbo ‘‘laddhā vā aladdhā vā svepi gaṇheyyāsī’’ti. Ekaṃ anibaddhaṃ hoti, labhanadivase pana yāvadatthaṃ labhati. Alabhanadivasā bahutarā honti, taṃ yassa pāpuṇāti, so alabhitvā ‘‘sve gaṇheyyāsī’’ti vattabbo.

    โย สลากาสุ คหิตาสุ ปจฺฉา อาคจฺฉติ, ตสฺส อติกฺกนฺตาว สลากา น อุปฎฺฐาเปตฺวา ทาตพฺพาฯ สลากํ นาม ฆณฺฎิํ ปหรณโต ปฎฺฐาย อาคนฺตฺวา หตฺถํ ปสาเรโนฺตว ลภติ, อญฺญสฺส อาคนฺตฺวา สมีเป ฐิตสฺสปิ อติกฺกนฺตา อติกฺกนฺตาว โหติฯ สเจ ปนสฺส อโญฺญ คณฺหโนฺต อตฺถิ, สยํ อนาคโตปิ ลภติ, สภาคฎฺฐาเน ‘‘อสุโก อนาคโต’’ติ ญตฺวา ‘‘อยํ ตสฺส สลากา’’ติ ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ‘‘อนาคตสฺส น ทาตพฺพา’’ติ กติกํ กโรนฺติ, อธมฺมิกา โหติฯ อโนฺตอุปจาเร ฐิตสฺส หิ ภาชนียภณฺฑํ ปาปุณาติฯ สเจ ปน ‘‘อนาคตสฺส เทถา’’ติ มหาสทฺทํ กโรนฺติ, ทณฺฑกมฺมํ ฐเปตพฺพํ, ‘‘อาคนฺตฺวา คณฺหนฺตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ ฉ ปญฺจสลากา นฎฺฐา โหนฺติ, ภตฺตุเทฺทสโก ทายกานํ นามํ น สรติ, โส เจ นฎฺฐสลากา มหาเถรสฺส วา อตฺตโน วา ปาเปตฺวา ภิกฺขู วเทยฺย ‘‘มยา อสุกคาเม สลากภตฺตํ มยฺหํ ปาปิตํ, ตุเมฺห ตตฺถ ลทฺธสลากภตฺตํ ภุเญฺชยฺยาถา’’ติ, วฎฺฎติ, วิหาเร อปาปิตํ ปน อาสนสาลาย ตํ ภตฺตํ ลภิตฺวา ตเตฺถว ปาเปตฺวา ภุญฺชิตุํ น วฎฺฎติฯ ‘‘อชฺช ปฎฺฐาย มยฺหํ สลากภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺต ตตฺร อาสนสาลาย คาเหตุํ น วฎฺฎติ, วิหารํ อาเนตฺวา คาเหตพฺพํฯ ‘‘เสฺว ปฎฺฐายา’’ติ วุเตฺต ปน ภตฺตุเทฺทสกสฺส อาจิกฺขิตพฺพํ ‘‘เสฺว ปฎฺฐาย อสุกกุลํ นาม สลากภตฺตํ เทติ, สลากคฺคาหณกาเล สเรยฺยาสี’’ติฯ ทุพฺภิเกฺข สลากภตฺตํ ปจฺฉินฺทิตฺวา สุภิเกฺข ชาเต กญฺจิ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช ปฎฺฐาย อมฺหากํ สลากภตฺตํ คณฺหถา’’ติ ปุน ปฎฺฐเปนฺติ, อโนฺตคาเม อคาเหตฺวา วิหารํ อาเนตฺวา คาเหตพฺพํฯ อิทญฺหิ สลากภตฺตํ นาม อุเทฺทสภตฺตสทิสํ น โหติ, วิหารเมว สนฺธาย ทียติ, ตสฺมา พหิอุปจาเร คาเหตุํ น วฎฺฎติ, ‘‘เสฺว ปฎฺฐายา’’ติ วุเตฺต ปน วิหาเร คาเหตพฺพเมวฯ

    Yo salākāsu gahitāsu pacchā āgacchati, tassa atikkantāva salākā na upaṭṭhāpetvā dātabbā. Salākaṃ nāma ghaṇṭiṃ paharaṇato paṭṭhāya āgantvā hatthaṃ pasārentova labhati, aññassa āgantvā samīpe ṭhitassapi atikkantā atikkantāva hoti. Sace panassa añño gaṇhanto atthi, sayaṃ anāgatopi labhati, sabhāgaṭṭhāne ‘‘asuko anāgato’’ti ñatvā ‘‘ayaṃ tassa salākā’’ti ṭhapetuṃ vaṭṭati. Sace ‘‘anāgatassa na dātabbā’’ti katikaṃ karonti, adhammikā hoti. Antoupacāre ṭhitassa hi bhājanīyabhaṇḍaṃ pāpuṇāti. Sace pana ‘‘anāgatassa dethā’’ti mahāsaddaṃ karonti, daṇḍakammaṃ ṭhapetabbaṃ, ‘‘āgantvā gaṇhantū’’ti vattabbaṃ. Cha pañcasalākā naṭṭhā honti, bhattuddesako dāyakānaṃ nāmaṃ na sarati, so ce naṭṭhasalākā mahātherassa vā attano vā pāpetvā bhikkhū vadeyya ‘‘mayā asukagāme salākabhattaṃ mayhaṃ pāpitaṃ, tumhe tattha laddhasalākabhattaṃ bhuñjeyyāthā’’ti, vaṭṭati, vihāre apāpitaṃ pana āsanasālāya taṃ bhattaṃ labhitvā tattheva pāpetvā bhuñjituṃ na vaṭṭati. ‘‘Ajja paṭṭhāya mayhaṃ salākabhattaṃ gaṇhathā’’ti vutte tatra āsanasālāya gāhetuṃ na vaṭṭati, vihāraṃ ānetvā gāhetabbaṃ. ‘‘Sve paṭṭhāyā’’ti vutte pana bhattuddesakassa ācikkhitabbaṃ ‘‘sve paṭṭhāya asukakulaṃ nāma salākabhattaṃ deti, salākaggāhaṇakāle sareyyāsī’’ti. Dubbhikkhe salākabhattaṃ pacchinditvā subhikkhe jāte kañci bhikkhuṃ disvā ‘‘ajja paṭṭhāya amhākaṃ salākabhattaṃ gaṇhathā’’ti puna paṭṭhapenti, antogāme agāhetvā vihāraṃ ānetvā gāhetabbaṃ. Idañhi salākabhattaṃ nāma uddesabhattasadisaṃ na hoti, vihārameva sandhāya dīyati, tasmā bahiupacāre gāhetuṃ na vaṭṭati, ‘‘sve paṭṭhāyā’’ti vutte pana vihāre gāhetabbameva.

    คมิโก ภิกฺขุ ยํ ทิสาภาคํ คนฺตุกาโม, ตตฺถ อเญฺญน วารคามสลากา ลทฺธา โหติ, ตํ คเหตฺวา อิตรํ ภิกฺขุํ ‘‘มยฺหํ ปตฺตสลากํ ตฺวํ คณฺหาหี’’ติ วตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎติฯ เตน ปน อุปจารสีมํ อนติกฺกเนฺตเยว ตสฺมิํ ตสฺส สลากา คาเหตพฺพาฯ ฉฑฺฑิตวิหาเร วสิตฺวา มนุสฺสา ‘‘โพธิเจติยาทีนิ ชคฺคิตฺวา ภุญฺชนฺตู’’ติ สลากภตฺตํ ปฎฺฐเปนฺติ, ภิกฺขู สภาคฎฺฐาเนสุ วสิตฺวา กาลเสฺสว คนฺตฺวา ตตฺถ วตฺตํ กริตฺวา ตํ ภตฺตํ ภุญฺชนฺติ, วฎฺฎติฯ สเจ เตสุ สฺวาตนาย อตฺตโน ปาเปตฺวา คเตสุ อาคนฺตุโก ภิกฺขุ ฉฑฺฑิตวิหาเร วสิตฺวา กาลเสฺสว วตฺตํ กตฺวา ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา สลากภตฺตํ อตฺตโน ปาเปตฺวา อาสนสาลํ คจฺฉติ, โสว ตสฺส ภตฺตสฺส อิสฺสโรฯ โย ปน ภิกฺขูสุ วตฺตํ กโรเนฺตสุเยว ภูมิยํ เทฺว ตโย สมฺมุญฺชนีปหาเร ทตฺวา ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ‘‘ธุรคาเม สลากภตฺตํ มยฺหํ ปาปุณาตี’’ติ คจฺฉติ, ตสฺส ตํ โจริกาย คหิตตฺตา น ปาปุณาติ, วตฺตํ กตฺวา ปาเปตฺวา ปจฺฉาคตภิกฺขูนํเยว โหติฯ

    Gamiko bhikkhu yaṃ disābhāgaṃ gantukāmo, tattha aññena vāragāmasalākā laddhā hoti, taṃ gahetvā itaraṃ bhikkhuṃ ‘‘mayhaṃ pattasalākaṃ tvaṃ gaṇhāhī’’ti vatvā gantuṃ vaṭṭati. Tena pana upacārasīmaṃ anatikkanteyeva tasmiṃ tassa salākā gāhetabbā. Chaḍḍitavihāre vasitvā manussā ‘‘bodhicetiyādīni jaggitvā bhuñjantū’’ti salākabhattaṃ paṭṭhapenti, bhikkhū sabhāgaṭṭhānesu vasitvā kālasseva gantvā tattha vattaṃ karitvā taṃ bhattaṃ bhuñjanti, vaṭṭati. Sace tesu svātanāya attano pāpetvā gatesu āgantuko bhikkhu chaḍḍitavihāre vasitvā kālasseva vattaṃ katvā ghaṇṭiṃ paharitvā salākabhattaṃ attano pāpetvā āsanasālaṃ gacchati, sova tassa bhattassa issaro. Yo pana bhikkhūsu vattaṃ karontesuyeva bhūmiyaṃ dve tayo sammuñjanīpahāre datvā ghaṇṭiṃ paharitvā ‘‘dhuragāme salākabhattaṃ mayhaṃ pāpuṇātī’’ti gacchati, tassa taṃ corikāya gahitattā na pāpuṇāti, vattaṃ katvā pāpetvā pacchāgatabhikkhūnaṃyeva hoti.

    เอโก คาโม อติทูเร โหติ, ภิกฺขู นิจฺจํ คนฺตุํ น อิจฺฉนฺติ, มนุสฺสา ‘‘มยํ ปุเญฺญน ปริพาหิรา โหมา’’ติ วทนฺติ, เย ตสฺส คามสฺส อาสนฺนวิหาเร สภาคภิกฺขู, เต วตฺตพฺพา ‘‘อิเมสํ ภิกฺขูนํ อนาคตทิวเส ตุเมฺห ภุญฺชถา’’ติ, สลากา ปน เทวสิกํ ปาเปตพฺพาฯ ตา จ โข ปน ฆณฺฎิปหรณมเตฺตน วา ปจฺฉิจาลนมเตฺตน วา ปาปิตา น โหนฺติ, ปจฺฉิํ ปน คเหตฺวา สลากา ปีฐเก อากิริตพฺพา, ปจฺฉิ ปน มุขวฎฺฎิยํ น คเหตพฺพาฯ สเจ หิ ตตฺถ อหิ วา วิจฺฉิโก วา ภเวยฺย, ทุกฺขํ อุปฺปาเทยฺย, ตสฺมา เหฎฺฐา คเหตฺวา ปจฺฉิํ ปรมฺมุขํ กตฺวา สลากา อากิริตพฺพา ‘‘สเจปิ สโปฺป ภวิสฺสติ, เอโตฺตว ปลายิสฺสตี’’ติฯ เอวํ สลากา อากิริตฺวา คามาทิวเสน ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว คาเหตพฺพาฯ

    Eko gāmo atidūre hoti, bhikkhū niccaṃ gantuṃ na icchanti, manussā ‘‘mayaṃ puññena paribāhirā homā’’ti vadanti, ye tassa gāmassa āsannavihāre sabhāgabhikkhū, te vattabbā ‘‘imesaṃ bhikkhūnaṃ anāgatadivase tumhe bhuñjathā’’ti, salākā pana devasikaṃ pāpetabbā. Tā ca kho pana ghaṇṭipaharaṇamattena vā pacchicālanamattena vā pāpitā na honti, pacchiṃ pana gahetvā salākā pīṭhake ākiritabbā, pacchi pana mukhavaṭṭiyaṃ na gahetabbā. Sace hi tattha ahi vā vicchiko vā bhaveyya, dukkhaṃ uppādeyya, tasmā heṭṭhā gahetvā pacchiṃ parammukhaṃ katvā salākā ākiritabbā ‘‘sacepi sappo bhavissati, ettova palāyissatī’’ti. Evaṃ salākā ākiritvā gāmādivasena pubbe vuttanayeneva gāhetabbā.

    อปิจ เอกํ มหาเถรสฺส ปาเปตฺวา ‘‘อวเสสา มยฺหํ ปาปุณนฺตี’’ติ อตฺตโน ปาเปตฺวา วตฺตํ กตฺวา เจติยํ วนฺทิตฺวา วิตกฺกมาฬเก ฐิเตหิ ภิกฺขูหิ ‘‘ปาปิตา, อาวุโส, สลากา’’ติ วุเตฺต ‘‘อาม, ภเนฺต, ตุเมฺห คตคตคาเม สลากภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอวญฺหิ ปาปิตาปิ สุปาปิตาว โหนฺติฯ ภิกฺขู สพฺพรตฺติํ ธมฺมสฺสวนตฺถํ อญฺญํ วิหารํ คจฺฉนฺตา ‘‘มยํ ตตฺถ ทานํ อคฺคเหตฺวาว อมฺหากํ โคจรคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา อาคมิสฺสามา’’ติ สลากา อคฺคเหตฺวาว คตา วิหาเร เถรสฺส ปตฺตํ สลากภตฺตํ ภุญฺชิตุํ อาคจฺฉนฺติ, วฎฺฎติฯ อถ มหาเถโรปิ ‘‘อหํ อิธ กิํ กโรมี’’ติ เตหิเยว สทฺธิํ คจฺฉติ, เตหิ คตวิหาเร อภุญฺชิตฺวาว โคจรคามํ อนุปฺปเตฺตหิ ‘‘เทถ, ภเนฺต, ปเตฺต, สลากยาคุอาทีนิ อาหริสฺสามา’’ติ วุเตฺต ปตฺตา น ทาตพฺพาฯ กสฺมา, ภเนฺต, น เทถาติฯ วิหารฎฺฐกํ ภตฺตํ วิหาเร วุตฺถานํ ปาปุณาติ, มยํ อญฺญวิหาเร วุตฺถาติฯ ‘‘เทถ, ภเนฺต, น มยํ วิหาเร ปาลิกาย เทม, ตุมฺหากํ เทม, คณฺหถ อมฺหากํ ภิกฺข’’นฺติ วุเตฺต ปน วฎฺฎติฯ

    Apica ekaṃ mahātherassa pāpetvā ‘‘avasesā mayhaṃ pāpuṇantī’’ti attano pāpetvā vattaṃ katvā cetiyaṃ vanditvā vitakkamāḷake ṭhitehi bhikkhūhi ‘‘pāpitā, āvuso, salākā’’ti vutte ‘‘āma, bhante, tumhe gatagatagāme salākabhattaṃ gaṇhathā’’ti vattabbaṃ. Evañhi pāpitāpi supāpitāva honti. Bhikkhū sabbarattiṃ dhammassavanatthaṃ aññaṃ vihāraṃ gacchantā ‘‘mayaṃ tattha dānaṃ aggahetvāva amhākaṃ gocaragāme piṇḍāya caritvā āgamissāmā’’ti salākā aggahetvāva gatā vihāre therassa pattaṃ salākabhattaṃ bhuñjituṃ āgacchanti, vaṭṭati. Atha mahātheropi ‘‘ahaṃ idha kiṃ karomī’’ti tehiyeva saddhiṃ gacchati, tehi gatavihāre abhuñjitvāva gocaragāmaṃ anuppattehi ‘‘detha, bhante, patte, salākayāguādīni āharissāmā’’ti vutte pattā na dātabbā. Kasmā, bhante, na dethāti. Vihāraṭṭhakaṃ bhattaṃ vihāre vutthānaṃ pāpuṇāti, mayaṃ aññavihāre vutthāti. ‘‘Detha, bhante, na mayaṃ vihāre pālikāya dema, tumhākaṃ dema, gaṇhatha amhākaṃ bhikkha’’nti vutte pana vaṭṭati.

    สลากภตฺตกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Salākabhattakathā niṭṭhitā.

    ๒๑๓. ปกฺขิกาทีสุ ปน ยํ อภิลกฺขิเตสุ จาตุทฺทสี ปญฺจทสี ปญฺจมี อฎฺฐมีติ อิเมสุ ปเกฺขสุ กมฺมปฺปสุเตหิ อุโปสถํ กาตุํ สติกรณตฺถาย ทียติ, ตํ ปกฺขิกํ นามฯ ตํ สลากภตฺตคติกเมว โหติ, คาเหตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ สเจ สลากภตฺตมฺปิ ปกฺขิกภตฺตมฺปิ พหุํ สเพฺพสํ วินิวิชฺฌิตฺวา คจฺฉติ, เทฺวปิ ภตฺตานิ วิสุํ วิสุํ คาเหตพฺพานิฯ สเจ ภิกฺขุสโงฺฆ มหา, ปกฺขิกํ คาเหตฺวา ตสฺส ฐิติกาย สลากภตฺตํ คาเหตพฺพํ, สลากภตฺตํ วา คาหาเปตฺวา ตสฺส ฐิติกาย ปกฺขิกํ คาเหตพฺพํฯ เยสํ น ปาปุณาติ, เต ปิณฺฑาย จริสฺสนฺติฯ สเจ เทฺวปิ ภตฺตานิ พหูนิ, ภิกฺขู มนฺทา, สลากภตฺตํ นาม เทวสิกํ ลพฺภติ, ตสฺมา ตํ ฐเปตฺวา ‘‘ปกฺขิกํ, อาวุโส, ภุญฺชถา’’ติ ปกฺขิกเมว ทาตพฺพํฯ ปกฺขิกํ ปณีตํ เทนฺติ, วิสุํ ฐิติกา กาตพฺพา, ‘‘เสฺว ปโกฺข’’ติ อชฺช ปกฺขิกํ น คาเหตพฺพํฯ สเจ ปน ทายกา วทนฺติ ‘‘เสฺวปิ อมฺหากํ ฆเร ลูขภตฺตํ ภวิสฺสติ, อเชฺชว ปกฺขิกภตฺตํ อุทฺทิสถา’’ติ, เอวํ วฎฺฎติฯ

    213.Pakkhikādīsu pana yaṃ abhilakkhitesu cātuddasī pañcadasī pañcamī aṭṭhamīti imesu pakkhesu kammappasutehi uposathaṃ kātuṃ satikaraṇatthāya dīyati, taṃ pakkhikaṃ nāma. Taṃ salākabhattagatikameva hoti, gāhetvā bhuñjitabbaṃ. Sace salākabhattampi pakkhikabhattampi bahuṃ sabbesaṃ vinivijjhitvā gacchati, dvepi bhattāni visuṃ visuṃ gāhetabbāni. Sace bhikkhusaṅgho mahā, pakkhikaṃ gāhetvā tassa ṭhitikāya salākabhattaṃ gāhetabbaṃ, salākabhattaṃ vā gāhāpetvā tassa ṭhitikāya pakkhikaṃ gāhetabbaṃ. Yesaṃ na pāpuṇāti, te piṇḍāya carissanti. Sace dvepi bhattāni bahūni, bhikkhū mandā, salākabhattaṃ nāma devasikaṃ labbhati, tasmā taṃ ṭhapetvā ‘‘pakkhikaṃ, āvuso, bhuñjathā’’ti pakkhikameva dātabbaṃ. Pakkhikaṃ paṇītaṃ denti, visuṃ ṭhitikā kātabbā, ‘‘sve pakkho’’ti ajja pakkhikaṃ na gāhetabbaṃ. Sace pana dāyakā vadanti ‘‘svepi amhākaṃ ghare lūkhabhattaṃ bhavissati, ajjeva pakkhikabhattaṃ uddisathā’’ti, evaṃ vaṭṭati.

    อุโปสถิกํ นาม อนฺวฑฺฒมาเส อุโปสถทิวเส อุโปสถงฺคานิ สมาทิยิตฺวา ยํ อตฺตนา ภุญฺชติ, ตเทว ทียติฯ ปาฎิปทิกํ นาม ‘‘อุโปสเถ พหู สทฺธา ปสนฺนา ภิกฺขูนํ สกฺการํ กโรนฺติ, ปาฎิปเท ปน ภิกฺขู กิลมนฺติ, ปาฎิปเท ทินฺนํ ทุพฺภิกฺขทานสทิสํ มหปฺผลํ โหติ, อุโปสถกเมฺมน วา ปริสุทฺธสีลานํ ทุติยทิวเส ทินฺนํ มหปฺผลํ โหตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ปาฎิปเท ทียมานกทานํฯ ตมฺปิ อุภยํ สลากภตฺตคติกเมวฯ อิติ อิมานิ สตฺตปิ ภตฺตานิ ปิณฺฑปาติกานํ น วฎฺฎนฺติ, ธุตงฺคเภทํ กโรนฺติเยวฯ

    Uposathikaṃ nāma anvaḍḍhamāse uposathadivase uposathaṅgāni samādiyitvā yaṃ attanā bhuñjati, tadeva dīyati. Pāṭipadikaṃ nāma ‘‘uposathe bahū saddhā pasannā bhikkhūnaṃ sakkāraṃ karonti, pāṭipade pana bhikkhū kilamanti, pāṭipade dinnaṃ dubbhikkhadānasadisaṃ mahapphalaṃ hoti, uposathakammena vā parisuddhasīlānaṃ dutiyadivase dinnaṃ mahapphalaṃ hotī’’ti sallakkhetvā pāṭipade dīyamānakadānaṃ. Tampi ubhayaṃ salākabhattagatikameva. Iti imāni sattapi bhattāni piṇḍapātikānaṃ na vaṭṭanti, dhutaṅgabhedaṃ karontiyeva.

    ๒๑๔. อปรานิปิ จีวรกฺขนฺธเก (มหาว. ๓๕๐) วิสาขาย วรํ ยาจิตฺวา ทินฺนานิ อาคนฺตุกภตฺตํ คมิกภตฺตํ คิลานภตฺตํ คิลานุปฎฺฐากภตฺตนฺติ จตฺตาริ ภตฺตานิ ปาฬิยํ อาคตาเนวฯ ตตฺถ อาคนฺตุกานํ ทินฺนํ ภตฺตํ อาคนฺตุกภตฺตํฯ เอส นโย เสเสสุฯ สเจ ปเนตฺถ อาคนฺตุกภตฺตานิปิ อาคนฺตุกาปิ พหู โหนฺติ, สเพฺพสํ เอเกกํ คาเหตพฺพํฯ ภเตฺตสุ อปฺปโหเนฺตสุ ฐิติกาย คาเหตพฺพํฯ เอโก อาคนฺตุโก ปฐมเมว อาคนฺตฺวา สพฺพํ อาคนฺตุกภตฺตํ อตฺตโน คาเหตฺวา นิสีทติ, สพฺพํ ตเสฺสว โหติฯ ปจฺฉา อาคเตหิ อาคนฺตุเกหิ เตน ทินฺนานิ ปริภุญฺชิตพฺพานิฯ เตนปิ เอกํ อตฺตโน คเหตฺวา เสสานิ ทาตพฺพานิฯ อยํ อุฬารตาฯ สเจ ปน ปฐมํ อาคนฺตฺวาปิ อตฺตโน อคฺคเหตฺวา ตุณฺหีภูโต นิสีทติ, ปจฺฉา อาคเตหิ สทฺธิํ ปฎิปาฎิยา คณฺหิตพฺพํฯ สเจ นิจฺจํ อาคนฺตุกา อาคจฺฉนฺติ, อาคตทิวเสเยว ภุญฺชิตพฺพํฯ อนฺตรนฺตรา เจ อาคจฺฉนฺติ, เทฺว ตีณิ ทิวสานิ ภุญฺชิตพฺพํฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘สตฺต ทิวสานิ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ อาวาสิโก กตฺถจิ คนฺตฺวา อาคโต, เตนปิ อาคนฺตุกภตฺตํ ภุญฺชิตพฺพํฯ สเจ ปน ตํ วิหาเร นิพนฺธาปิตํ โหติ, วิหาเร คาเหตพฺพํฯ อถ วิหาโร ทูเร โหติ, อาสนสาลาย นิพนฺธาปิตํ, อาสนสาลาย คาเหตพฺพํฯ สเจ ปน ทายกา ‘‘อาคนฺตุเกสุ อสติ อาวาสิกาปิ ภุญฺชนฺตู’’ติ วทนฺติ, วฎฺฎติ, อวุเตฺต ปน น วฎฺฎติฯ

    214. Aparānipi cīvarakkhandhake (mahāva. 350) visākhāya varaṃ yācitvā dinnāni āgantukabhattaṃ gamikabhattaṃ gilānabhattaṃ gilānupaṭṭhākabhattanti cattāri bhattāni pāḷiyaṃ āgatāneva. Tattha āgantukānaṃ dinnaṃ bhattaṃ āgantukabhattaṃ. Esa nayo sesesu. Sace panettha āgantukabhattānipi āgantukāpi bahū honti, sabbesaṃ ekekaṃ gāhetabbaṃ. Bhattesu appahontesu ṭhitikāya gāhetabbaṃ. Eko āgantuko paṭhamameva āgantvā sabbaṃ āgantukabhattaṃ attano gāhetvā nisīdati, sabbaṃ tasseva hoti. Pacchā āgatehi āgantukehi tena dinnāni paribhuñjitabbāni. Tenapi ekaṃ attano gahetvā sesāni dātabbāni. Ayaṃ uḷāratā. Sace pana paṭhamaṃ āgantvāpi attano aggahetvā tuṇhībhūto nisīdati, pacchā āgatehi saddhiṃ paṭipāṭiyā gaṇhitabbaṃ. Sace niccaṃ āgantukā āgacchanti, āgatadivaseyeva bhuñjitabbaṃ. Antarantarā ce āgacchanti, dve tīṇi divasāni bhuñjitabbaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘satta divasāni bhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Āvāsiko katthaci gantvā āgato, tenapi āgantukabhattaṃ bhuñjitabbaṃ. Sace pana taṃ vihāre nibandhāpitaṃ hoti, vihāre gāhetabbaṃ. Atha vihāro dūre hoti, āsanasālāya nibandhāpitaṃ, āsanasālāya gāhetabbaṃ. Sace pana dāyakā ‘‘āgantukesu asati āvāsikāpi bhuñjantū’’ti vadanti, vaṭṭati, avutte pana na vaṭṭati.

    คมิกภเตฺตปิ อยเมว กถามโคฺคฯ อยํ ปน วิเสโส – อาคนฺตุโก อาคนฺตุกภตฺตเมว ลภติ, คมิโก อาคนฺตุกภตฺตมฺปิ คมิกภตฺตมฺปิฯ อาวาสิโกปิ ปกฺกมิตุกาโม คมิโก โหติ, คมิกภตฺตํ ลภติฯ ยถา ปน อาคนฺตุกภตฺตํ, เอวมิทํ เทฺว ตีณิ วา สตฺต วา ทิวสานิ น ลภติฯ ‘‘คมิสฺสามี’’ติ ภุโตฺตปิ ตํ ทิวสํ เกนจิ การเณน น คโต, ปุนทิวเสปิ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ สอุสฺสาหตฺตาฯ ‘‘คมิสฺสามี’’ติ ภุตฺตสฺส โจรา วา ปนฺถํ รุนฺธนฺติ, อุทกํ วา เทโว วา วสฺสติ, สโตฺถ วา น คจฺฉติ, สอุสฺสาเหน ภุญฺชิตพฺพํฯ ‘‘เอเต อุปทฺทเว โอโลเกเนฺตน เทฺว ตโย ทิวเส ภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ ‘‘คมิสฺสามิ คมิสฺสามี’’ติ ปน เลสํ โอเฑฺฑตฺวา ภุญฺชิตุํ น ลภติฯ

    Gamikabhattepi ayameva kathāmaggo. Ayaṃ pana viseso – āgantuko āgantukabhattameva labhati, gamiko āgantukabhattampi gamikabhattampi. Āvāsikopi pakkamitukāmo gamiko hoti, gamikabhattaṃ labhati. Yathā pana āgantukabhattaṃ, evamidaṃ dve tīṇi vā satta vā divasāni na labhati. ‘‘Gamissāmī’’ti bhuttopi taṃ divasaṃ kenaci kāraṇena na gato, punadivasepi bhuñjituṃ vaṭṭati saussāhattā. ‘‘Gamissāmī’’ti bhuttassa corā vā panthaṃ rundhanti, udakaṃ vā devo vā vassati, sattho vā na gacchati, saussāhena bhuñjitabbaṃ. ‘‘Ete upaddave olokentena dve tayo divase bhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. ‘‘Gamissāmi gamissāmī’’ti pana lesaṃ oḍḍetvā bhuñjituṃ na labhati.

    คิลานภตฺตมฺปิ สเจ สเพฺพสํ คิลานานํ ปโหติ, ตํ สเพฺพสํ ทาตพฺพํฯ โน เจ, ฐิติกํ กตฺวา คาเหตพฺพํฯ เอโก คิลาโน อโรครูโป สโกฺกติ อโนฺตคามํ คนฺตุํ, เอโก น สโกฺกติ, อยํ มหาคิลาโน นาม, เอตสฺส คิลานภตฺตํ ทาตพฺพํฯ เทฺว มหาคิลานา, เอโก ลาภี อภิญฺญาโต พหุํ ขาทนียโภชนียํ ลภติ, เอโก อนาโถ อปฺปลาภตาย อโนฺตคามํ ปวิสติ, เอตสฺส คิลานภตฺตํ ทาตพฺพํฯ คิลานภเตฺต ทิวสปริเจฺฉโท นตฺถิ, ยาว โรโค น วูปสมฺมติ, สปฺปายโภชนํ อภุญฺชโนฺต น ยาเปติ, ตาว ภุญฺชิตพฺพํฯ ยทา ปน มิสฺสกยาคุํ วา มิสฺสกภตฺตํ วา ภุตฺตสฺสปิ โรโค น กุปฺปติ, ตโต ปฎฺฐาย น ภุญฺชิตพฺพํฯ

    Gilānabhattampi sace sabbesaṃ gilānānaṃ pahoti, taṃ sabbesaṃ dātabbaṃ. No ce, ṭhitikaṃ katvā gāhetabbaṃ. Eko gilāno arogarūpo sakkoti antogāmaṃ gantuṃ, eko na sakkoti, ayaṃ mahāgilāno nāma, etassa gilānabhattaṃ dātabbaṃ. Dve mahāgilānā, eko lābhī abhiññāto bahuṃ khādanīyabhojanīyaṃ labhati, eko anātho appalābhatāya antogāmaṃ pavisati, etassa gilānabhattaṃ dātabbaṃ. Gilānabhatte divasaparicchedo natthi, yāva rogo na vūpasammati, sappāyabhojanaṃ abhuñjanto na yāpeti, tāva bhuñjitabbaṃ. Yadā pana missakayāguṃ vā missakabhattaṃ vā bhuttassapi rogo na kuppati, tato paṭṭhāya na bhuñjitabbaṃ.

    คิลานุปฎฺฐากภตฺตมฺปิ ยํ สเพฺพสํ ปโหติ, ตํ สเพฺพสํ ทาตพฺพํฯ โน เจ ปโหติ, ฐิติกํ กตฺวา คาเหตพฺพํฯ อิทมฺปิ ทฺวีสุ คิลาเนสุ มหาคิลานุปฎฺฐากสฺส คาเหตพฺพํ, ทฺวีสุ มหาคิลาเนสุ อนาถคิลานุปฎฺฐากสฺสฯ ยํ กุลํ คิลานภตฺตมฺปิ เทติ คิลานุปฎฺฐากภตฺตมฺปิ, ตตฺถ ยสฺส คิลานสฺส คิลานภตฺตํ ปาปุณาติ, ตทุปฎฺฐากสฺสปิ ตเตฺถว คาเหตพฺพํฯ คิลานุปฎฺฐากภเตฺตปิ ทิวสปริเจฺฉโท นตฺถิ, ยาว คิลาโน ลภติ, ตาวสฺส อุปฎฺฐาโกปิ ลภตีติฯ อิมานิ จตฺตาริ ภตฺตานิ สเจ เอวํ ทินฺนานิ โหนฺติ ‘‘อาคนฺตุกคมิกคิลานคิลานุปฎฺฐากา มม ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ, ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ สเจ ปน ‘‘อาคนฺตุกาทีนํ จตุนฺนํ ภตฺตํ นิพนฺธาเปมิ, มม ภตฺตํ คณฺหนฺตู’’ติ เอวํ ทินฺนานิ โหนฺติ, ปิณฺฑปาติกานํ น วฎฺฎติฯ

    Gilānupaṭṭhākabhattampi yaṃ sabbesaṃ pahoti, taṃ sabbesaṃ dātabbaṃ. No ce pahoti, ṭhitikaṃ katvā gāhetabbaṃ. Idampi dvīsu gilānesu mahāgilānupaṭṭhākassa gāhetabbaṃ, dvīsu mahāgilānesu anāthagilānupaṭṭhākassa. Yaṃ kulaṃ gilānabhattampi deti gilānupaṭṭhākabhattampi, tattha yassa gilānassa gilānabhattaṃ pāpuṇāti, tadupaṭṭhākassapi tattheva gāhetabbaṃ. Gilānupaṭṭhākabhattepi divasaparicchedo natthi, yāva gilāno labhati, tāvassa upaṭṭhākopi labhatīti. Imāni cattāri bhattāni sace evaṃ dinnāni honti ‘‘āgantukagamikagilānagilānupaṭṭhākā mama bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti, piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Sace pana ‘‘āgantukādīnaṃ catunnaṃ bhattaṃ nibandhāpemi, mama bhattaṃ gaṇhantū’’ti evaṃ dinnāni honti, piṇḍapātikānaṃ na vaṭṭati.

    ๒๑๕. อปรานิปิ ธุรภตฺตํ กุฎิภตฺตํ วารกภตฺตนฺติ ตีณิ ภตฺตานิฯ ตตฺถ ธุรภตฺตนฺติ นิจฺจภตฺตํ วุจฺจติ, ตํ ทุวิธํ สงฺฆิกญฺจ ปุคฺคลิกญฺจฯ ตตฺถ ยํ ‘‘สงฺฆสฺส ธุรภตฺตํ เทมา’’ติ นิพนฺธาปิตํ, ตํ สลากภตฺตคติกํฯ ‘‘มม นิพทฺธภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ วตฺวา ทินฺนํ ปน ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ ปุคฺคลิเกปิ ‘‘ตุมฺหากํ ธุรภตฺตํ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต ปิณฺฑปาติโก เจ, น วฎฺฎติ, ‘‘มม นิพทฺธภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺต ปน วฎฺฎติ, สาทิตพฺพํฯ สเจ ปจฺฉา กติปาเห วีติวเตฺต ‘‘ธุรภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทติ, มูเล สุฎฺฐุ สมฺปฎิจฺฉิตตฺตา วฎฺฎติฯ

    215. Aparānipi dhurabhattaṃ kuṭibhattaṃ vārakabhattanti tīṇi bhattāni. Tattha dhurabhattanti niccabhattaṃ vuccati, taṃ duvidhaṃ saṅghikañca puggalikañca. Tattha yaṃ ‘‘saṅghassa dhurabhattaṃ demā’’ti nibandhāpitaṃ, taṃ salākabhattagatikaṃ. ‘‘Mama nibaddhabhikkhaṃ gaṇhantū’’ti vatvā dinnaṃ pana piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Puggalikepi ‘‘tumhākaṃ dhurabhattaṃ dammī’’ti vutte piṇḍapātiko ce, na vaṭṭati, ‘‘mama nibaddhabhikkhaṃ gaṇhathā’’ti vutte pana vaṭṭati, sāditabbaṃ. Sace pacchā katipāhe vītivatte ‘‘dhurabhattaṃ gaṇhathā’’ti vadati, mūle suṭṭhu sampaṭicchitattā vaṭṭati.

    กุฎิภตฺตํ นาม ยํ สงฺฆสฺส อาวาสํ กาเรตฺวา ‘‘อมฺหากํ เสนาสนวาสิโน อมฺหากํเยว ภตฺตํ คณฺหนฺตู’’ติ เอวํ นิพนฺธาปิตํ, ตํ สลากภตฺตคติกเมว โหติ, คาเหตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ ‘‘อมฺหากํ เสนาสนวาสิโน อมฺหากํเยว ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ วุเตฺต ปน ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ ยํ ปน ปุคฺคเล ปสีทิตฺวา ตสฺส อาวาสํ กตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ เทมา’’ติ ทินฺนํ, ตํ ตเสฺสว โหติ, ตสฺมิํ กตฺถจิ คเต นิสฺสิตเกหิ ภุญฺชิตพฺพํฯ

    Kuṭibhattaṃ nāma yaṃ saṅghassa āvāsaṃ kāretvā ‘‘amhākaṃ senāsanavāsino amhākaṃyeva bhattaṃ gaṇhantū’’ti evaṃ nibandhāpitaṃ, taṃ salākabhattagatikameva hoti, gāhetvā bhuñjitabbaṃ. ‘‘Amhākaṃ senāsanavāsino amhākaṃyeva bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti vutte pana piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Yaṃ pana puggale pasīditvā tassa āvāsaṃ katvā ‘‘tumhākaṃ demā’’ti dinnaṃ, taṃ tasseva hoti, tasmiṃ katthaci gate nissitakehi bhuñjitabbaṃ.

    วารกภตฺตํ นาม ทุพฺภิกฺขสมเย ‘‘วาเรน ภิกฺขู ชคฺคิสฺสามา’’ติ ธุรเคหโต ปฎฺฐาย ทินฺนํ, ตมฺปิ ภิกฺขาวจเนน ทินฺนํ ปิณฺฑปาติกานํ วฎฺฎติ, ‘‘วารกภตฺต’’นฺติ วุเตฺต ปน สลากภตฺตคติกํ โหติฯ สเจ ตณฺฑุลาทีนิ เปเสนฺติ ‘‘สามเณรา ปจิตฺวา เทนฺตู’’ติ, ปิณฺฑปาติกานํ วฎฺฎติฯ อิติ อิมานิ จ ตีณิ, อาคนฺตุกภตฺตาทีนิ จ จตฺตารีติ สตฺต, ตานิ สงฺฆภตฺตาทีหิ สห จุทฺทส ภตฺตานิ โหนฺติฯ

    Vārakabhattaṃ nāma dubbhikkhasamaye ‘‘vārena bhikkhū jaggissāmā’’ti dhuragehato paṭṭhāya dinnaṃ, tampi bhikkhāvacanena dinnaṃ piṇḍapātikānaṃ vaṭṭati, ‘‘vārakabhatta’’nti vutte pana salākabhattagatikaṃ hoti. Sace taṇḍulādīni pesenti ‘‘sāmaṇerā pacitvā dentū’’ti, piṇḍapātikānaṃ vaṭṭati. Iti imāni ca tīṇi, āgantukabhattādīni ca cattārīti satta, tāni saṅghabhattādīhi saha cuddasa bhattāni honti.

    ๒๑๖. อฎฺฐกถายํ ปน วิหารภตฺตํ อฎฺฐกภตฺตํ จตุกฺกภตฺตํ คุฬฺหกภตฺตนฺติ อญฺญานิปิ จตฺตาริ ภตฺตานิ วุตฺตานิฯ ตตฺถ วิหารภตฺตํ นาม วิหาเร ตตฺรุปฺปาทภตฺตํ, ตํ สงฺฆภเตฺตน สงฺคหิตํฯ ตํ ปน ติสฺสมหาวิหารจิตฺตลปพฺพตาทีสุ ปฎิสมฺภิทาปฺปเตฺตหิ ขีณาสเวหิ ยถา ปิณฺฑปาติกานมฺปิ สกฺกา โหนฺติ ปริภุญฺชิตุํ, ตถา ปฎิคฺคหิตตฺตา ตาทิเสสุ ฐาเนสุ ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ ‘‘อฎฺฐนฺนํ ภิกฺขูนํ เทม, จตุนฺนํ เทมา’’ติ เอวํ ทินฺนํ ปน อฎฺฐกภตฺตเญฺจว จตุกฺกภตฺตญฺจ, ตมฺปิ ภิกฺขาวจเนน ทินฺนํ ปิณฺฑปาติกานํ วฎฺฎติฯ มหาภิสงฺขาเรน อติรสกปูเวน ปตฺตํ ถเกตฺวา ทินฺนํ คุฬฺหกภตฺตํ นามฯ อิมานิ ตีณิ สลากภตฺตคติกาเนวฯ อปรมฺปิ คุฬฺหกภตฺตํ นาม อตฺถิ, อิเธกเจฺจ มนุสฺสา มหาธมฺมสฺสวนญฺจ วิหารปูชญฺจ กาเรตฺวา ‘‘สกลสงฺฆสฺส ทาตุํ น สโกฺกม, เทฺว ตีณิ ภิกฺขุสตานิ อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ ภิกฺขุปริเจฺฉทชานนตฺถํ คุฬฺหเก เทนฺติ, อิทํ ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ

    216. Aṭṭhakathāyaṃ pana vihārabhattaṃ aṭṭhakabhattaṃ catukkabhattaṃ guḷhakabhattanti aññānipi cattāri bhattāni vuttāni. Tattha vihārabhattaṃ nāma vihāre tatruppādabhattaṃ, taṃ saṅghabhattena saṅgahitaṃ. Taṃ pana tissamahāvihāracittalapabbatādīsu paṭisambhidāppattehi khīṇāsavehi yathā piṇḍapātikānampi sakkā honti paribhuñjituṃ, tathā paṭiggahitattā tādisesu ṭhānesu piṇḍapātikānampi vaṭṭati. ‘‘Aṭṭhannaṃ bhikkhūnaṃ dema, catunnaṃ demā’’ti evaṃ dinnaṃ pana aṭṭhakabhattañceva catukkabhattañca, tampi bhikkhāvacanena dinnaṃ piṇḍapātikānaṃ vaṭṭati. Mahābhisaṅkhārena atirasakapūvena pattaṃ thaketvā dinnaṃ guḷhakabhattaṃ nāma. Imāni tīṇi salākabhattagatikāneva. Aparampi guḷhakabhattaṃ nāma atthi, idhekacce manussā mahādhammassavanañca vihārapūjañca kāretvā ‘‘sakalasaṅghassa dātuṃ na sakkoma, dve tīṇi bhikkhusatāni amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti bhikkhuparicchedajānanatthaṃ guḷhake denti, idaṃ piṇḍapātikānampi vaṭṭati.

    ปิณฺฑปาตภาชนียํ นิฎฺฐิตํฯ

    Piṇḍapātabhājanīyaṃ niṭṭhitaṃ.

    ๒๑๗. คิลานปจฺจยภาชนียํ ปน เอวํ เวทิตพฺพํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๕ ปกฺขิกภตฺตาทิกถา) – สปฺปิอาทีสุ เภสเชฺชสุ ราชราชมหามตฺตา สปฺปิสฺส ตาว กุมฺภสตมฺปิ กุมฺภสหสฺสมฺปิ วิหารํ เปเสนฺติ, ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา เถราสนโต ปฎฺฐาย คหิตภาชนํ ปูเรตฺวา ทาตพฺพํ, ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ สเจ อลสชาติกา มหาเถรา ปจฺฉา อาคจฺฉนฺติ, ‘‘ภเนฺต, วีสติวสฺสานํ ทียติ, ตุมฺหากํ ฐิติกา อติกฺกนฺตา’’ติ น วตฺตพฺพา, ฐิติกํ ฐเปตฺวา เตสํ ทตฺวา ปจฺฉา ฐิติกาย ทาตพฺพํฯ ‘‘อสุกวิหาเร พหุ สปฺปิ อุปฺปนฺน’’นฺติ สุตฺวา โยชนนฺตรวิหารโตปิ ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, สมฺปตฺตสมฺปตฺตานมฺปิ ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ทาตพฺพํฯ อสมฺปตฺตานมฺปิ อุปจารสีมํ ปวิฎฺฐานํ อเนฺตวาสิกาทีสุ คณฺหเนฺตสุ ทาตพฺพเมวฯ ‘‘พหิอุปจารสีมาย ฐิตานํ เทถา’’ติ วทนฺติ, น ทาตพฺพํฯ สเจ ปน อุปจารสีมํ โอกฺกเนฺตหิ เอกาพทฺธา หุตฺวา อตฺตโน วิหารทฺวาเร อโนฺตวิหาเรเยว วา โหนฺติ, ปริสวเสน วฑฺฒิตา นาม สีมา โหติ, ตสฺมา ทาตพฺพาฯ สงฺฆนวกสฺส ทิเนฺนปิ ปจฺฉา อาคตานํ ทาตพฺพเมวฯ ทุติยภาเค ปน เถราสนํ อารุเฬฺห อาคตานํ ปฐมภาโค น ปาปุณาติ, ทุติยภาคโต วสฺสเคฺคน ทาตพฺพํฯ อโนฺตอุปจารสีมํ ปวิสิตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ ทินฺนํ โหติ, สพฺพํ สนฺนิปาตฎฺฐาเนเยว ภาเชตพฺพํฯ

    217.Gilānapaccayabhājanīyaṃ pana evaṃ veditabbaṃ (cūḷava. aṭṭha. 325 pakkhikabhattādikathā) – sappiādīsu bhesajjesu rājarājamahāmattā sappissa tāva kumbhasatampi kumbhasahassampi vihāraṃ pesenti, ghaṇṭiṃ paharitvā therāsanato paṭṭhāya gahitabhājanaṃ pūretvā dātabbaṃ, piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Sace alasajātikā mahātherā pacchā āgacchanti, ‘‘bhante, vīsativassānaṃ dīyati, tumhākaṃ ṭhitikā atikkantā’’ti na vattabbā, ṭhitikaṃ ṭhapetvā tesaṃ datvā pacchā ṭhitikāya dātabbaṃ. ‘‘Asukavihāre bahu sappi uppanna’’nti sutvā yojanantaravihāratopi bhikkhū āgacchanti, sampattasampattānampi ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya dātabbaṃ. Asampattānampi upacārasīmaṃ paviṭṭhānaṃ antevāsikādīsu gaṇhantesu dātabbameva. ‘‘Bahiupacārasīmāya ṭhitānaṃ dethā’’ti vadanti, na dātabbaṃ. Sace pana upacārasīmaṃ okkantehi ekābaddhā hutvā attano vihāradvāre antovihāreyeva vā honti, parisavasena vaḍḍhitā nāma sīmā hoti, tasmā dātabbā. Saṅghanavakassa dinnepi pacchā āgatānaṃ dātabbameva. Dutiyabhāge pana therāsanaṃ āruḷhe āgatānaṃ paṭhamabhāgo na pāpuṇāti, dutiyabhāgato vassaggena dātabbaṃ. Antoupacārasīmaṃ pavisitvā yattha katthaci dinnaṃ hoti, sabbaṃ sannipātaṭṭhāneyeva bhājetabbaṃ.

    ยสฺมิํ วิหาเร ทส ภิกฺขู, ทเสว จ สปฺปิกุมฺภา ทียนฺติ, เอเกกกุมฺภวเสน ภาเชตพฺพํฯ เอโก สปฺปิกุโมฺภ โหติ, ทสภิกฺขูหิ ภาเชตฺวา คเหตพฺพํฯ สเจ ‘‘ยถาฐิตํเยว อมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ คณฺหนฺติ, ทุคฺคหิตํ, ตํ คตคตฎฺฐาเน สงฺฆิกเมว โหติฯ กุมฺภํ ปน อาวเชฺชตฺวา ถาลเก โถกํ สปฺปิํ กตฺวา ‘‘อิทํ มหาเถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสํ อมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ วตฺวา ตมฺปิ กุเมฺภเยว อากิริตฺวา ยถิจฺฉิตํ คเหตฺวา คนฺตพฺพํฯ สเจ ถินํ สปฺปิ โหติ, เลขํ กตฺวา ‘‘เลขโต ปรภาโค มหาเถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสํ อมฺหาก’’นฺติ คหิตมฺปิ สุคฺคหิตํฯ วุตฺตปริเจฺฉทโต อูนาธิเกสุ ภิกฺขูสุ สปฺปิกุเมฺภสุ จ เอเตเนว อุปาเยน ภาเชตพฺพํฯ สเจ ปเนโก ภิกฺขุ, เอโก กุโมฺภ โหติ, ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ‘‘อยํ มยฺหํ ปาปุณาตี’’ติปิ คเหตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อยํ ปฐมภาโค มยฺหํ ปาปุณาติ, อยํ ทุติยภาโค’’ติ เอวํ โถกํ โถกมฺปิ ปาเปตุํ วฎฺฎติฯ เอส นโย นวนีตาทีสุปิ ฯ ยสฺมิํ ปน วิปฺปสนฺนติลเตลาทิมฺหิ เลขา น สนฺติฎฺฐติ, ตํ อุทฺธริตฺวา ภาเชตพฺพํฯ สิงฺคิเวรมริจาทิเภสชฺชมฺปิ อวเสสปตฺตถาลกาทิสมณปริกฺขาโรปิ สโพฺพ วุตฺตานุรูเปเนว นเยน สุฎฺฐุ สลฺลเกฺขตฺวา ภาเชตโพฺพติฯ อยํ คิลานปจฺจยภาชนียกถาฯ

    Yasmiṃ vihāre dasa bhikkhū, daseva ca sappikumbhā dīyanti, ekekakumbhavasena bhājetabbaṃ. Eko sappikumbho hoti, dasabhikkhūhi bhājetvā gahetabbaṃ. Sace ‘‘yathāṭhitaṃyeva amhākaṃ pāpuṇātī’’ti gaṇhanti, duggahitaṃ, taṃ gatagataṭṭhāne saṅghikameva hoti. Kumbhaṃ pana āvajjetvā thālake thokaṃ sappiṃ katvā ‘‘idaṃ mahātherassa pāpuṇāti, avasesaṃ amhākaṃ pāpuṇātī’’ti vatvā tampi kumbheyeva ākiritvā yathicchitaṃ gahetvā gantabbaṃ. Sace thinaṃ sappi hoti, lekhaṃ katvā ‘‘lekhato parabhāgo mahātherassa pāpuṇāti, avasesaṃ amhāka’’nti gahitampi suggahitaṃ. Vuttaparicchedato ūnādhikesu bhikkhūsu sappikumbhesu ca eteneva upāyena bhājetabbaṃ. Sace paneko bhikkhu, eko kumbho hoti, ghaṇṭiṃ paharitvā ‘‘ayaṃ mayhaṃ pāpuṇātī’’tipi gahetuṃ vaṭṭati. ‘‘Ayaṃ paṭhamabhāgo mayhaṃ pāpuṇāti, ayaṃ dutiyabhāgo’’ti evaṃ thokaṃ thokampi pāpetuṃ vaṭṭati. Esa nayo navanītādīsupi . Yasmiṃ pana vippasannatilatelādimhi lekhā na santiṭṭhati, taṃ uddharitvā bhājetabbaṃ. Siṅgiveramaricādibhesajjampi avasesapattathālakādisamaṇaparikkhāropi sabbo vuttānurūpeneva nayena suṭṭhu sallakkhetvā bhājetabboti. Ayaṃ gilānapaccayabhājanīyakathā.

    ๒๑๘. อิทานิ เสนาสนคฺคาเห วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๑๘) – อยํ เสนาสนคฺคาโห นาม ทุวิโธ โหติ อุตุกาเล จ วสฺสาวาเส จฯ ตตฺถ อุตุกาเล ตาว เกจิ อาคนฺตุกา ภิกฺขู ปุเรภตฺตํ อาคจฺฉนฺติ, เกจิ ปจฺฉาภตฺตํ ปฐมยามํ มชฺฌิมยามํ ปจฺฉิมยามํ วาฯ เย ยทา อาคจฺฉนฺติ, เตสํ ตทาว ภิกฺขู อุฎฺฐาเปตฺวา เสนาสนํ ทาตพฺพํ, อกาโล นาม นตฺถิฯ เสนาสนปญฺญาปเกน ปน ปณฺฑิเตน ภวิตพฺพํ, เอกํ วา เทฺว วา มญฺจฎฺฐานานิ ฐเปตพฺพานิฯ สเจ วิกาเล เอโก วา เทฺว วา เถรา อาคจฺฉนฺติ, เต วตฺตพฺพา ‘‘ภเนฺต, อาทิโต ปฎฺฐาย วุฎฺฐาปิยมาเน สเพฺพปิ ภิกฺขู อุพฺภณฺฑิกา ภวิสฺสนฺติ, ตุเมฺห อมฺหากํ วสนฎฺฐาเน วสถา’’ติฯ

    218. Idāni senāsanaggāhe vinicchayo veditabbo (cūḷava. aṭṭha. 318) – ayaṃ senāsanaggāho nāma duvidho hoti utukāle ca vassāvāse ca. Tattha utukāle tāva keci āgantukā bhikkhū purebhattaṃ āgacchanti, keci pacchābhattaṃ paṭhamayāmaṃ majjhimayāmaṃ pacchimayāmaṃ vā. Ye yadā āgacchanti, tesaṃ tadāva bhikkhū uṭṭhāpetvā senāsanaṃ dātabbaṃ, akālo nāma natthi. Senāsanapaññāpakena pana paṇḍitena bhavitabbaṃ, ekaṃ vā dve vā mañcaṭṭhānāni ṭhapetabbāni. Sace vikāle eko vā dve vā therā āgacchanti, te vattabbā ‘‘bhante, ādito paṭṭhāya vuṭṭhāpiyamāne sabbepi bhikkhū ubbhaṇḍikā bhavissanti, tumhe amhākaṃ vasanaṭṭhāne vasathā’’ti.

    พหูสุ ปน อาคเตสุ วุฎฺฐาเปตฺวา ปฎิปาฎิยา ทาตพฺพํฯ สเจ เอเกกํ ปริเวณํ ปโหติ, เอเกกํ ปริเวณํ ทาตพฺพํฯ ตตฺถ อคฺคิสาลาทีฆสาลามณฺฑลมาฬาทโย สเพฺพปิ ตเสฺสว ปาปุณนฺติฯ เอวํ อปฺปโหเนฺต ปาสาทเคฺคน ทาตพฺพํ, ปาสาเทสุ อปฺปโหเนฺตสุ โอวรกเคฺคน ทาตพฺพํ, โอวรเกสุ อปฺปโหเนฺตสุ เสยฺยเคฺคน ทาตพฺพํ, เสยฺยเคฺคสุ อปฺปโหเนฺตสุ มญฺจฎฺฐาเนน ทาตพฺพํ, มญฺจฎฺฐาเน อปฺปโหเนฺต เอกปีฐกฎฺฐานวเสน ทาตพฺพํ, ภิกฺขุโน ปน ฐิโตกาสมตฺตํ น คาเหตพฺพํฯ เอตญฺหิ เสนาสนํ นาม น โหติฯ ปีฐกฎฺฐาเน ปน อปฺปโหเนฺต เอกํ มญฺจฎฺฐานํ วา เอกํ ปีฐฎฺฐานํ วา ‘‘วาเรน วาเรน, ภเนฺต, วิสฺสมถา’’ติ ติณฺณํ ชนานํ ทาตพฺพํฯ น หิ สกฺกา สีตสมเย สพฺพรตฺติํ อโชฺฌกาเสว วสิตุํฯ มหาเถเรน ปฐมยามํ วิสฺสมิตฺวา นิกฺขมิตฺวา ทุติยเตฺถรสฺส วตฺตพฺพํ ‘‘อาวุโส อิธ ปวิสาหี’’ติฯ สเจ มหาเถโร นิทฺทาครุโก โหติ, กาลํ น ชานาติ, อุกฺกาสิตฺวา ทฺวารํ อาโกเฎตฺวา ‘‘ภเนฺต กาโล ชาโต, สีตํ อนุทหตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ เตน นิกฺขมิตฺวา โอกาโส ทาตโพฺพ, อทาตุํ น ลภติฯ ทุติยเตฺถเรนปิ มชฺฌิมยามํ วิสฺสมิตฺวา ปุริมนเยเนว อิตรสฺส ทาตพฺพํฯ นิทฺทาครุโก วุตฺตนเยเนว วุฎฺฐาเปตโพฺพฯ เอวํ เอกรตฺติํ เอกมญฺจฎฺฐานํ ติณฺณํ ทาตพฺพํฯ ชมฺพุทีเป ปน เอกเจฺจ ภิกฺขู ‘‘เสนาสนํ นาม มญฺจฎฺฐานํ วา ปีฐฎฺฐานํ วา กิญฺจิเทว กสฺสจิ สปฺปายํ โหติ, กสฺสจิ อสปฺปาย’’นฺติ อาคนฺตุกา โหนฺตุ วา มา วา, เทวสิกํ เสนาสนํ คาเหนฺติฯ อยํ อุตุกาเล เสนาสนคฺคาโห นามฯ

    Bahūsu pana āgatesu vuṭṭhāpetvā paṭipāṭiyā dātabbaṃ. Sace ekekaṃ pariveṇaṃ pahoti, ekekaṃ pariveṇaṃ dātabbaṃ. Tattha aggisālādīghasālāmaṇḍalamāḷādayo sabbepi tasseva pāpuṇanti. Evaṃ appahonte pāsādaggena dātabbaṃ, pāsādesu appahontesu ovarakaggena dātabbaṃ, ovarakesu appahontesu seyyaggena dātabbaṃ, seyyaggesu appahontesu mañcaṭṭhānena dātabbaṃ, mañcaṭṭhāne appahonte ekapīṭhakaṭṭhānavasena dātabbaṃ, bhikkhuno pana ṭhitokāsamattaṃ na gāhetabbaṃ. Etañhi senāsanaṃ nāma na hoti. Pīṭhakaṭṭhāne pana appahonte ekaṃ mañcaṭṭhānaṃ vā ekaṃ pīṭhaṭṭhānaṃ vā ‘‘vārena vārena, bhante, vissamathā’’ti tiṇṇaṃ janānaṃ dātabbaṃ. Na hi sakkā sītasamaye sabbarattiṃ ajjhokāseva vasituṃ. Mahātherena paṭhamayāmaṃ vissamitvā nikkhamitvā dutiyattherassa vattabbaṃ ‘‘āvuso idha pavisāhī’’ti. Sace mahāthero niddāgaruko hoti, kālaṃ na jānāti, ukkāsitvā dvāraṃ ākoṭetvā ‘‘bhante kālo jāto, sītaṃ anudahatī’’ti vattabbaṃ. Tena nikkhamitvā okāso dātabbo, adātuṃ na labhati. Dutiyattherenapi majjhimayāmaṃ vissamitvā purimanayeneva itarassa dātabbaṃ. Niddāgaruko vuttanayeneva vuṭṭhāpetabbo. Evaṃ ekarattiṃ ekamañcaṭṭhānaṃ tiṇṇaṃ dātabbaṃ. Jambudīpe pana ekacce bhikkhū ‘‘senāsanaṃ nāma mañcaṭṭhānaṃ vā pīṭhaṭṭhānaṃ vā kiñcideva kassaci sappāyaṃ hoti, kassaci asappāya’’nti āgantukā hontu vā mā vā, devasikaṃ senāsanaṃ gāhenti. Ayaṃ utukāle senāsanaggāho nāma.

    ๒๑๙. วสฺสาวาเส ปน อตฺถิ อาคนฺตุกวตฺตํ, อตฺถิ อาวาสิกวตฺตํฯ อาคนฺตุเกน ตาว สกฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา อญฺญตฺถ คนฺตฺวา วสิตุกาเมน วสฺสูปนายิกทิวสเมว ตตฺถ น คนฺตพฺพํฯ วสนฎฺฐานํ วา หิ ตตฺร สมฺพาธํ ภเวยฺย, ภิกฺขาจาโร วา น สมฺปเชฺชยฺย, เตน น ผาสุกํ วิหเรยฺย, ตสฺมา ‘‘อิทานิ มาสมเตฺตน วสฺสูปนายิกา ภวิสฺสตี’’ติ ตํ วิหารํ ปวิสิตพฺพํฯ ตตฺถ มาสมตฺตํ วสโนฺต สเจ อุเทฺทสตฺถิโก, อุเทฺทสสมฺปตฺติํ สลฺลเกฺขตฺวา, สเจ กมฺมฎฺฐานิโก, กมฺมฎฺฐานสปฺปายตํ สลฺลเกฺขตฺวา, สเจ ปจฺจยตฺถิโก, ปจฺจยลาภํ สลฺลเกฺขตฺวา อโนฺตวเสฺส สุขํ วสิสฺสติฯ สกฎฺฐานโต จ ตตฺถ คจฺฉเนฺตน น โคจรคาโม ฆเฎฺฎตโพฺพฯ น ตตฺถ มนุสฺสา วตฺตพฺพา ‘‘ตุเมฺห นิสฺสาย สลากภตฺตาทีนิ วา ยาคุขชฺชกาทีนิ วา วสฺสาวาสิกํ วา นตฺถิ, อยํ เจติยสฺส ปริกฺขาโร, อยํ อุโปสถาคารสฺส, อิทํ ตาฬเญฺจว สูจิ จ, สมฺปฎิจฺฉถ ตุมฺหากํ วิหาร’’นฺติฯ เสนาสนํ ปน ชคฺคิตฺวา ทารุภณฺฑมตฺติกาภณฺฑานิ ปฎิสาเมตฺวา คมิกวตฺตํ ปูเรตฺวา คนฺตพฺพํฯ

    219.Vassāvāse pana atthi āgantukavattaṃ, atthi āvāsikavattaṃ. Āgantukena tāva sakaṭṭhānaṃ muñcitvā aññattha gantvā vasitukāmena vassūpanāyikadivasameva tattha na gantabbaṃ. Vasanaṭṭhānaṃ vā hi tatra sambādhaṃ bhaveyya, bhikkhācāro vā na sampajjeyya, tena na phāsukaṃ vihareyya, tasmā ‘‘idāni māsamattena vassūpanāyikā bhavissatī’’ti taṃ vihāraṃ pavisitabbaṃ. Tattha māsamattaṃ vasanto sace uddesatthiko, uddesasampattiṃ sallakkhetvā, sace kammaṭṭhāniko, kammaṭṭhānasappāyataṃ sallakkhetvā, sace paccayatthiko, paccayalābhaṃ sallakkhetvā antovasse sukhaṃ vasissati. Sakaṭṭhānato ca tattha gacchantena na gocaragāmo ghaṭṭetabbo. Na tattha manussā vattabbā ‘‘tumhe nissāya salākabhattādīni vā yāgukhajjakādīni vā vassāvāsikaṃ vā natthi, ayaṃ cetiyassa parikkhāro, ayaṃ uposathāgārassa, idaṃ tāḷañceva sūci ca, sampaṭicchatha tumhākaṃ vihāra’’nti. Senāsanaṃ pana jaggitvā dārubhaṇḍamattikābhaṇḍāni paṭisāmetvā gamikavattaṃ pūretvā gantabbaṃ.

    เอวํ คจฺฉเนฺตนปิ ทหเรหิ ปตฺตจีวรภณฺฑิกาโย อุกฺขิปาเปตฺวา เตลนาฬิกตฺตรทณฺฑาทีนิ คาเหตฺวา ฉตฺตํ ปคฺคยฺห อตฺตานํ ทเสฺสเนฺตน คามทฺวาเรเนว น คนฺตพฺพํ, ปฎิจฺฉเนฺนน อฎวิมเคฺคน คนฺตพฺพํฯ อฎวิมเคฺค อสติ คุมฺพาทีนิ มทฺทเนฺตน น คนฺตพฺพํ, คมิกวตฺตํ ปน ปูเรตฺวา วิตกฺกํ ฉินฺทิตฺวา สุทฺธจิเตฺตน คมนวเตฺตเนว คนฺตพฺพํฯ สเจ ปน คามทฺวาเรน มโคฺค โหติ, คจฺฉนฺตญฺจ นํ สปริวารํ ทิสฺวา มนุสฺสา ‘‘อมฺหากํ เถโร วิยา’’ติ อุปธาวิตฺวา ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, สพฺพปริกฺขาเร คเหตฺวา คจฺฉถา’’ติ วทนฺติ, เตสุ เจ เอโก เอวํ วทติ ‘‘วสฺสูปนายิกกาโล นามายํ, ยตฺถ อโนฺตวเสฺสนิพทฺธภิกฺขาจาโร ภณฺฑปฎิจฺฉาทนญฺจ ลพฺภติ, ตตฺถ ภิกฺขู คจฺฉนฺตี’’ติ, ตสฺส เจ สุตฺวา เต มนุสฺสา ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิมฺปิ คาเม ชโน ภุญฺชติ เจว นิวาเสติ จ, มา อญฺญตฺถ คจฺฉถา’’ติ วตฺวา มิตฺตามเจฺจ ปโกฺกสิตฺวา สเพฺพ สมฺมนฺตยิตฺวา วิหาเร นิพทฺธวตฺตญฺจ สลากภตฺตาทีนิ จ วสฺสาวาสิกญฺจ ฐเปตฺวา ‘‘อิเธว, ภเนฺต, วสถา’’ติ ยาจนฺติ, สเพฺพสํ สาทิตุํ วฎฺฎติฯ สพฺพเญฺจตํ กปฺปิยเญฺจว อนวชฺชญฺจฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘กุหิํ คจฺฉถาติ วุเตฺต ‘อสุกฎฺฐาน’นฺติ วตฺวา ‘กสฺมา ตตฺถ คจฺฉถา’ติ วุเตฺต ‘การณํ อาจิกฺขิตพฺพ’’’นฺติ วุตฺตํฯ อุภยมฺปิ ปเนตํ สุทฺธจิตฺตตฺตาว อนวชฺชํฯ อิทํ อาคนฺตุกวตฺตํ นามฯ

    Evaṃ gacchantenapi daharehi pattacīvarabhaṇḍikāyo ukkhipāpetvā telanāḷikattaradaṇḍādīni gāhetvā chattaṃ paggayha attānaṃ dassentena gāmadvāreneva na gantabbaṃ, paṭicchannena aṭavimaggena gantabbaṃ. Aṭavimagge asati gumbādīni maddantena na gantabbaṃ, gamikavattaṃ pana pūretvā vitakkaṃ chinditvā suddhacittena gamanavatteneva gantabbaṃ. Sace pana gāmadvārena maggo hoti, gacchantañca naṃ saparivāraṃ disvā manussā ‘‘amhākaṃ thero viyā’’ti upadhāvitvā ‘‘kuhiṃ, bhante, sabbaparikkhāre gahetvā gacchathā’’ti vadanti, tesu ce eko evaṃ vadati ‘‘vassūpanāyikakālo nāmāyaṃ, yattha antovassenibaddhabhikkhācāro bhaṇḍapaṭicchādanañca labbhati, tattha bhikkhū gacchantī’’ti, tassa ce sutvā te manussā ‘‘bhante, imasmimpi gāme jano bhuñjati ceva nivāseti ca, mā aññattha gacchathā’’ti vatvā mittāmacce pakkositvā sabbe sammantayitvā vihāre nibaddhavattañca salākabhattādīni ca vassāvāsikañca ṭhapetvā ‘‘idheva, bhante, vasathā’’ti yācanti, sabbesaṃ sādituṃ vaṭṭati. Sabbañcetaṃ kappiyañceva anavajjañca. Kurundiyaṃ pana ‘‘kuhiṃ gacchathāti vutte ‘asukaṭṭhāna’nti vatvā ‘kasmā tattha gacchathā’ti vutte ‘kāraṇaṃ ācikkhitabba’’’nti vuttaṃ. Ubhayampi panetaṃ suddhacittattāva anavajjaṃ. Idaṃ āgantukavattaṃ nāma.

    อิทํ ปน อาวาสิกวตฺตํฯ ปฎิกเจฺจว หิ อาวาสิเกหิ วิหาโร ชคฺคิตโพฺพ, ขณฺฑผุลฺลปฎิสงฺขรณปริภณฺฑานิ กาตพฺพานิ, รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานวจฺจกุฎิปสฺสาวฎฺฐานานิ ปธานฆรวิหารมโคฺคติ อิมานิ สพฺพานิ ปฎิชคฺคิตพฺพานิฯ เจติเย สุธากมฺมํ มุณฺฑเวทิกาย เตลมกฺขนํ มญฺจปีฐชคฺคนนฺติ อิทมฺปิ สพฺพํ กาตพฺพํ ‘‘วสฺสํ วสิตุกามา อาคนฺตฺวา อุเทฺทสปริปุจฺฉากมฺมฎฺฐานานุโยคาทีนิ กโรนฺตา สุขํ วสิสฺสนฺตี’’ติฯ กตปริกเมฺมหิ อาสาฬฺหีชุณฺหปญฺจมิโต ปฎฺฐาย วสฺสาวาสิกํ ปุจฺฉิตพฺพํฯ กตฺถ ปุจฺฉิตพฺพํ? ยโต ปกติยา ลพฺภติฯ เยหิ ปน น ทินฺนปุพฺพํ, เต ปุจฺฉิตุํ น วฎฺฎติฯ กสฺมา ปุจฺฉิตพฺพํ? กทาจิ หิ มนุสฺสา เทนฺติ, กทาจิ ทุพฺภิกฺขาทีหิ อุปทฺทุตา น เทนฺติ, ตตฺถ เย น ทสฺสนฺติ, เต อปุจฺฉิตฺวา วสฺสาวาสิเก คาหิเต คาหิตภิกฺขูนํ ลาภนฺตราโย โหติ, ตสฺมา ปุจฺฉิตฺวาว คาเหตพฺพํฯ

    Idaṃ pana āvāsikavattaṃ. Paṭikacceva hi āvāsikehi vihāro jaggitabbo, khaṇḍaphullapaṭisaṅkharaṇaparibhaṇḍāni kātabbāni, rattiṭṭhānadivāṭṭhānavaccakuṭipassāvaṭṭhānāni padhānagharavihāramaggoti imāni sabbāni paṭijaggitabbāni. Cetiye sudhākammaṃ muṇḍavedikāya telamakkhanaṃ mañcapīṭhajaggananti idampi sabbaṃ kātabbaṃ ‘‘vassaṃ vasitukāmā āgantvā uddesaparipucchākammaṭṭhānānuyogādīni karontā sukhaṃ vasissantī’’ti. Kataparikammehi āsāḷhījuṇhapañcamito paṭṭhāya vassāvāsikaṃ pucchitabbaṃ. Kattha pucchitabbaṃ? Yato pakatiyā labbhati. Yehi pana na dinnapubbaṃ, te pucchituṃ na vaṭṭati. Kasmā pucchitabbaṃ? Kadāci hi manussā denti, kadāci dubbhikkhādīhi upaddutā na denti, tattha ye na dassanti, te apucchitvā vassāvāsike gāhite gāhitabhikkhūnaṃ lābhantarāyo hoti, tasmā pucchitvāva gāhetabbaṃ.

    ปุจฺฉเนฺตน ‘‘ตุมฺหากํ วสฺสาวาสิกํ คาหณกาโล อุปกโฎฺฐ’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ วทนฺติ ‘‘ภเนฺต, อิมํ สํวจฺฉรํ ฉาตกาทีหิ อุปทฺทุตมฺห, น สโกฺกม ทาตุ’’นฺติ วา ‘‘ยํ ปุเพฺพ เทม, ตโต อูนตรํ ทสฺสามา’’ติ วา ‘‘อิทานิ กปฺปาโส สุลโภ, ยํ ปุเพฺพ เทม, ตโต พหุตรํ ทสฺสามา’’ติ วา, ตํ สลฺลเกฺขตฺวา ตทนุรูเปน นเยน เตสํ เสนาสเน ภิกฺขูนํ วสฺสาวาสิกํ คาเหตพฺพํฯ สเจ มนุสฺสา วทนฺติ ‘‘ยสฺส อมฺหากํ วสฺสาวาสิกํ ปาปุณาติ, โส เตมาสํ ปานียํ อุปฎฺฐาเปตุ, วิหารมคฺคํ ชคฺคตุ, เจติยงฺคณโพธิยงฺคณานิ ชคฺคตุ, โพธิรุเกฺข อุทกํ อาสิญฺจตู’’ติ, ยสฺส ตํ ปาปุณาติ, ตสฺส อาจิกฺขิตพฺพํฯ โย ปน คาโม ปฎิกฺกมฺม โยชนทฺวิโยชนนฺตเร โหติ, ตตฺร เจ กุลานิ อุปนิเกฺขปํ ฐเปตฺวา ปหาเร วสฺสาวาสิกํ เทนฺติเยว, ตานิ กุลานิ อาปุจฺฉิตฺวาปิ เตสํ เสนาสเน วตฺตํ กตฺวา วสนฺตสฺส วสฺสาวาสิตํ คาเหตพฺพํฯ สเจ ปน เตสํ เสนาสเน ปํสุกูลิโก วสติ, อาคตญฺจ ตํ ทิสฺวา ‘‘ตุมฺหากํ วสฺสาวาสิกํ เทมา’’ติ วทนฺติ, เตน สงฺฆสฺส อาจิกฺขิตพฺพํฯ สเจ ตานิ กุลานิ สงฺฆสฺส ทาตุํ น อิจฺฉนฺติ, ‘‘ตุมฺหากํเยว เทมา’’ติ วทนฺติ, สภาโค ภิกฺขุ ‘‘วตฺตํ กตฺวา คณฺหาหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ ปํสุกูลิกสฺส ปเนตํ น วฎฺฎติฯ อิติ สทฺธาเทยฺยทายกมนุสฺสา ปุจฺฉิตพฺพาฯ

    Pucchantena ‘‘tumhākaṃ vassāvāsikaṃ gāhaṇakālo upakaṭṭho’’ti vattabbaṃ. Sace vadanti ‘‘bhante, imaṃ saṃvaccharaṃ chātakādīhi upaddutamha, na sakkoma dātu’’nti vā ‘‘yaṃ pubbe dema, tato ūnataraṃ dassāmā’’ti vā ‘‘idāni kappāso sulabho, yaṃ pubbe dema, tato bahutaraṃ dassāmā’’ti vā, taṃ sallakkhetvā tadanurūpena nayena tesaṃ senāsane bhikkhūnaṃ vassāvāsikaṃ gāhetabbaṃ. Sace manussā vadanti ‘‘yassa amhākaṃ vassāvāsikaṃ pāpuṇāti, so temāsaṃ pānīyaṃ upaṭṭhāpetu, vihāramaggaṃ jaggatu, cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇāni jaggatu, bodhirukkhe udakaṃ āsiñcatū’’ti, yassa taṃ pāpuṇāti, tassa ācikkhitabbaṃ. Yo pana gāmo paṭikkamma yojanadviyojanantare hoti, tatra ce kulāni upanikkhepaṃ ṭhapetvā pahāre vassāvāsikaṃ dentiyeva, tāni kulāni āpucchitvāpi tesaṃ senāsane vattaṃ katvā vasantassa vassāvāsitaṃ gāhetabbaṃ. Sace pana tesaṃ senāsane paṃsukūliko vasati, āgatañca taṃ disvā ‘‘tumhākaṃ vassāvāsikaṃ demā’’ti vadanti, tena saṅghassa ācikkhitabbaṃ. Sace tāni kulāni saṅghassa dātuṃ na icchanti, ‘‘tumhākaṃyeva demā’’ti vadanti, sabhāgo bhikkhu ‘‘vattaṃ katvā gaṇhāhī’’ti vattabbo. Paṃsukūlikassa panetaṃ na vaṭṭati. Iti saddhādeyyadāyakamanussā pucchitabbā.

    ตตฺรุปฺปาเท ปน กปฺปิยการกา ปุจฺฉิตพฺพาฯ กถํ ปุจฺฉิตพฺพา? กิํ, อาวุโส, สงฺฆสฺส ภณฺฑปฎิจฺฉาทนํ ภวิสฺสตีติ? สเจ วทนฺติ ‘‘ภวิสฺสติ, ภเนฺต, เอเกกสฺส นวหตฺถสาฎกํ ทสฺสาม, วสฺสาวาสิกํ คาเหถา’’ติ, คาเหตพฺพํฯ สเจปิ วทนฺติ ‘‘สาฎกา นตฺถิ, วตฺถุ ปน อตฺถิ, คาเหถ, ภเนฺต’’ติ, วตฺถุมฺหิ สเนฺตปิ คาเหตุํ วฎฺฎติเยวฯ กปฺปิยการกานญฺหิ หเตฺถ ‘‘กปฺปิยภณฺฑํ ปริภุญฺชถา’’ติ ทินฺนวตฺถุโต ยํ ยํ กปฺปิยํ, สพฺพํ ปริภุญฺชิตุํ อนุญฺญาตํฯ ยํ ปเนตฺถ ปิณฺฑปาตตฺถาย คิลานปจฺจยตฺถาย จ อุทฺทิสฺส ทินฺนํ, ตํ จีวเร อุปนาเมเนฺตหิ สงฺฆสุฎฺฐุตาย อปโลเกตฺวา อุปนาเมตพฺพํ, เสนาสนตฺถาย ปน อุทฺทิสฺส ทินฺนํ ครุภณฺฑํ โหติฯ จีวรวเสเนว ปน จตุปจฺจยวเสน วา ทินฺนํ จีวเร อุปนาเมนฺตานํ อปโลกนกมฺมกิจฺจํ นตฺถิฯ อปโลกนกมฺมํ กโรเนฺตหิ จ ปุคฺคลวเสเนว กาตพฺพํ, สงฺฆวเสน น กาตพฺพํฯ ชาตรูปรชตวเสนปิ อามกธญฺญวเสน วา อปโลกนกมฺมํ น วฎฺฎติ, กปฺปิยภณฺฑวเสน จีวรตณฺฑุลาทิวเสเนว จ วฎฺฎติฯ ตํ ปน เอวํ กตฺตพฺพํ ‘‘อิทานิ สุภิกฺขํ สุลภปิณฺฑํ, ภิกฺขู จีวเรน กิลมนฺติ, เอตฺตกํ นาม ตณฺฑุลภาคํ ภิกฺขูนํ จีวรํ กาตุํ รุจฺจตี’’ติ, ‘‘คิลานปจฺจโย สุลโภ, คิลาโน วา นตฺถิ, เอตฺตกํ นาม ตณฺฑุลภาคํ ภิกฺขูนํ จีวรํ กาตุํ รุจฺจตี’’ติฯ

    Tatruppāde pana kappiyakārakā pucchitabbā. Kathaṃ pucchitabbā? Kiṃ, āvuso, saṅghassa bhaṇḍapaṭicchādanaṃ bhavissatīti? Sace vadanti ‘‘bhavissati, bhante, ekekassa navahatthasāṭakaṃ dassāma, vassāvāsikaṃ gāhethā’’ti, gāhetabbaṃ. Sacepi vadanti ‘‘sāṭakā natthi, vatthu pana atthi, gāhetha, bhante’’ti, vatthumhi santepi gāhetuṃ vaṭṭatiyeva. Kappiyakārakānañhi hatthe ‘‘kappiyabhaṇḍaṃ paribhuñjathā’’ti dinnavatthuto yaṃ yaṃ kappiyaṃ, sabbaṃ paribhuñjituṃ anuññātaṃ. Yaṃ panettha piṇḍapātatthāya gilānapaccayatthāya ca uddissa dinnaṃ, taṃ cīvare upanāmentehi saṅghasuṭṭhutāya apaloketvā upanāmetabbaṃ, senāsanatthāya pana uddissa dinnaṃ garubhaṇḍaṃ hoti. Cīvaravaseneva pana catupaccayavasena vā dinnaṃ cīvare upanāmentānaṃ apalokanakammakiccaṃ natthi. Apalokanakammaṃ karontehi ca puggalavaseneva kātabbaṃ, saṅghavasena na kātabbaṃ. Jātarūparajatavasenapi āmakadhaññavasena vā apalokanakammaṃ na vaṭṭati, kappiyabhaṇḍavasena cīvarataṇḍulādivaseneva ca vaṭṭati. Taṃ pana evaṃ kattabbaṃ ‘‘idāni subhikkhaṃ sulabhapiṇḍaṃ, bhikkhū cīvarena kilamanti, ettakaṃ nāma taṇḍulabhāgaṃ bhikkhūnaṃ cīvaraṃ kātuṃ ruccatī’’ti, ‘‘gilānapaccayo sulabho, gilāno vā natthi, ettakaṃ nāma taṇḍulabhāgaṃ bhikkhūnaṃ cīvaraṃ kātuṃ ruccatī’’ti.

    เอวํ จีวรปจฺจยํ สลฺลเกฺขตฺวา เสนาสนสฺส กาเล โฆสิเต สนฺนิปติเต สเงฺฆ เสนาสนคฺคาหโก สมฺมนฺนิตโพฺพฯ สมฺมนฺนเนฺตน จ เทฺว สมฺมนฺนิตพฺพาติ วุตฺตํฯ เอวญฺหิ นวโก วุฑฺฒสฺส, วุโฑฺฒ จ นวกสฺส คาเหสฺสตีติฯ มหเนฺต ปน มหาวิหารสทิเส วิหาเร ตโย จตฺตาโร ชนา สมฺมนฺนิตพฺพาฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘อฎฺฐปิ โสฬสปิ ชเน สมฺมนฺนิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ เตสํ สมฺมุติ กมฺมวาจายปิ อปโลกเนนปิ วฎฺฎติเยวฯ เตหิ สมฺมเตหิ ภิกฺขูหิ เสนาสนํ สลฺลเกฺขตพฺพํฯ เจติยฆรํ โพธิฆรํ อาสนฆรํ สมฺมุญฺชนิอโฎฺฎ ทารุอโฎฺฎ วจฺจกุฎิ อิฎฺฐกสาลา วฑฺฒกิสาลา ทฺวารโกฎฺฐโก ปานียมาโฬ มโคฺค โปกฺขรณีติ เอตานิ หิ อเสนาสนานิ, วิหาโร อฑฺฒโยโค ปาสาโท หมฺมิยํ คุหา มณฺฑโป รุกฺขมูลํ เวฬุคุโมฺพติ อิมานิ เสนาสนานิ, ตานิ คาเหตพฺพานิฯ

    Evaṃ cīvarapaccayaṃ sallakkhetvā senāsanassa kāle ghosite sannipatite saṅghe senāsanaggāhako sammannitabbo. Sammannantena ca dve sammannitabbāti vuttaṃ. Evañhi navako vuḍḍhassa, vuḍḍho ca navakassa gāhessatīti. Mahante pana mahāvihārasadise vihāre tayo cattāro janā sammannitabbā. Kurundiyaṃ pana ‘‘aṭṭhapi soḷasapi jane sammannituṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Tesaṃ sammuti kammavācāyapi apalokanenapi vaṭṭatiyeva. Tehi sammatehi bhikkhūhi senāsanaṃ sallakkhetabbaṃ. Cetiyagharaṃ bodhigharaṃ āsanagharaṃ sammuñjaniaṭṭo dāruaṭṭo vaccakuṭi iṭṭhakasālā vaḍḍhakisālā dvārakoṭṭhako pānīyamāḷo maggo pokkharaṇīti etāni hi asenāsanāni, vihāro aḍḍhayogo pāsādo hammiyaṃ guhā maṇḍapo rukkhamūlaṃ veḷugumboti imāni senāsanāni, tāni gāhetabbāni.

    ๒๒๐. คาเหเนฺตน จ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปฐมํ ภิกฺขู คเณตุํ, ภิกฺขู คเณตฺวา เสยฺยา คเณตุํ, เสยฺยา คเณตฺวา เสยฺยเคฺคน คาเหตุ’’นฺติ(จูฬว. ๓๑๘) อาทิวจนโต ปฐมํ วิหาเร ภิกฺขู คเณตฺวา มญฺจฎฺฐานานิ คเณตพฺพานิ, ตโต เอเกกํ มญฺจฎฺฐานํ เอเกกสฺส ภิกฺขุโน คาเหตพฺพํฯ สเจ มญฺจฎฺฐานานิ อติเรกานิ โหนฺติ, วิหารเคฺคน คาเหตพฺพํฯ สเจ วิหาราปิ อติเรกา โหนฺติ, ปริเวณเคฺคน คาเหตพฺพํฯ ปริเวเณสุปิ อติเรเกสุ ปุน อปโรปิ ภาโค ทาตโพฺพฯ อติมเนฺทสุ หิ ภิกฺขูสุ เอเกกสฺส ภิกฺขุโน เทฺว ตีณิ ปริเวณานิ ทาตพฺพานิฯ คหิเต ปน ทุติยภาเค อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ, น อตฺตโน อรุจิยา โส ภาโค ตสฺส ทาตโพฺพฯ สเจ ปน เยน คหิโต, โส อตฺตโน รุจิยา ตํ ทุติยภาคํ วา ปฐมภาคํ วา เทติ, วฎฺฎติฯ

    220. Gāhentena ca ‘‘anujānāmi, bhikkhave, paṭhamaṃ bhikkhū gaṇetuṃ, bhikkhū gaṇetvā seyyā gaṇetuṃ, seyyā gaṇetvā seyyaggena gāhetu’’nti(cūḷava. 318) ādivacanato paṭhamaṃ vihāre bhikkhū gaṇetvā mañcaṭṭhānāni gaṇetabbāni, tato ekekaṃ mañcaṭṭhānaṃ ekekassa bhikkhuno gāhetabbaṃ. Sace mañcaṭṭhānāni atirekāni honti, vihāraggena gāhetabbaṃ. Sace vihārāpi atirekā honti, pariveṇaggena gāhetabbaṃ. Pariveṇesupi atirekesu puna aparopi bhāgo dātabbo. Atimandesu hi bhikkhūsu ekekassa bhikkhuno dve tīṇi pariveṇāni dātabbāni. Gahite pana dutiyabhāge añño bhikkhu āgacchati, na attano aruciyā so bhāgo tassa dātabbo. Sace pana yena gahito, so attano ruciyā taṃ dutiyabhāgaṃ vā paṭhamabhāgaṃ vā deti, vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, นิสฺสีเม ฐิตสฺส เสนาสนํ คาเหตพฺพํ, โย คาเหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๑๘) วจนโต อุปจารสีธโต พหิ ฐิตสฺส น คาเหตพฺพํ, อโนฺตอุปจารสีมาย ปน ทูเร ฐิตสฺสปิ ลพฺภติเยวฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, nissīme ṭhitassa senāsanaṃ gāhetabbaṃ, yo gāheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 318) vacanato upacārasīdhato bahi ṭhitassa na gāhetabbaṃ, antoupacārasīmāya pana dūre ṭhitassapi labbhatiyeva.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานสฺส ปติรูปํ เสยฺยํ ทาตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๑๖) วจนโต โย (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๑๖) กาสสาสภคนฺทราติสาราทีหิ คิลาโน โหติ, เขฬมลฺลกวจฺจกปาลาทีนิ ฐเปตพฺพานิ โหนฺติ, กุฎฺฐี วา โหติ, เสนาสนํ ทูเสติ, เอวรูปสฺส เหฎฺฐาปาสาทปณฺณสาลาทีสุ อญฺญตรํ เอกมนฺตํ เสนาสนํ ทาตพฺพํฯ ยสฺมิํ วสเนฺต เสนาสนํ น ทุสฺสติ, ตสฺส วรเสยฺยาปิ ทาตพฺพาวฯ โยปิ สิเนหปานวิเรจนนตฺถุกมฺมาทีสุ ยํ กิญฺจิ เภสชฺชํ กโรติ, สโพฺพ โส คิลาโนเยวฯ ตสฺสปิ สลฺลเกฺขตฺวา ปติรูปํ เสนาสนํ ทาตพฺพํฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, gilānassa patirūpaṃ seyyaṃ dātu’’nti (cūḷava. 316) vacanato yo (cūḷava. aṭṭha. 316) kāsasāsabhagandarātisārādīhi gilāno hoti, kheḷamallakavaccakapālādīni ṭhapetabbāni honti, kuṭṭhī vā hoti, senāsanaṃ dūseti, evarūpassa heṭṭhāpāsādapaṇṇasālādīsu aññataraṃ ekamantaṃ senāsanaṃ dātabbaṃ. Yasmiṃ vasante senāsanaṃ na dussati, tassa varaseyyāpi dātabbāva. Yopi sinehapānavirecananatthukammādīsu yaṃ kiñci bhesajjaṃ karoti, sabbo so gilānoyeva. Tassapi sallakkhetvā patirūpaṃ senāsanaṃ dātabbaṃ.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, เอเกน เทฺว ปฎิพาเหตพฺพา, โย ปฎิพาเหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๑๙) วจนโต เอเกน เทฺว เสนาสนานิ น คเหตพฺพานิฯ สเจปิ คเณฺหยฺย, ปจฺฉิเมน คหเณน ปุริมคฺคหณํ ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ คหเณน หิ คหณํ ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, คหเณน อาลโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, อาลเยน คหณํ ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, อาลเยน อาลโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ กถํ? อิเธกโจฺจ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๑๙) วสฺสูปนายิกทิวเส เอกสฺมิํ วิหาเร เสนาสนํ คเหตฺวา สามนฺตวิหารํ คนฺตฺวา ตตฺราปิ คณฺหาติ, ตสฺส อิมินา คหเณน ปุริมคฺคหณํ ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อปโร ‘‘อิธ วสิสฺสามี’’ติ อาลยมตฺตํ กตฺวา สามนฺตวิหารํ คนฺตฺวา ตตฺถ เสนาสนํ คณฺหาติ, ตสฺส อิมินา คหเณเนว ปุริโม อาลโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ เอโก ‘‘อิธ วสิสฺสามี’’ติ เสนาสนํ วา คเหตฺวา อาลยํ วา กตฺวา สามนฺตวิหารํ คนฺตฺวา ‘‘อิเธว ทานิ วสิสฺสามี’’ติ อาลยํ กโรติ, อิจฺจสฺส อาลเยน วา คหณํ, อาลเยน วา อาลโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, สพฺพตฺถ ปจฺฉิเม คหเณ วา อาลเย วา ติฎฺฐติฯ โย ปน เอกสฺมิํ วิหาเร เสนาสนํ คเหตฺวา ‘‘อญฺญสฺมิํ วิหาเร วสิสฺสามี’’ติ คจฺฉติ, ตสฺส อุปจารสีมาติกฺกเม เสนาสนคฺคาโห ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ ยทิ ปน ‘‘ตตฺถ ผาสุ ภวิสฺสติ, วสิสฺสามิ, โน เจ, อาคมิสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา อผาสุกภาวํ ญตฺวา ปจฺฉา วา คจฺฉติ, วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, ekena dve paṭibāhetabbā, yo paṭibāheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 319) vacanato ekena dve senāsanāni na gahetabbāni. Sacepi gaṇheyya, pacchimena gahaṇena purimaggahaṇaṃ paṭippassambhati. Gahaṇena hi gahaṇaṃ paṭippassambhati, gahaṇena ālayo paṭippassambhati, ālayena gahaṇaṃ paṭippassambhati, ālayena ālayo paṭippassambhati. Kathaṃ? Idhekacco (cūḷava. aṭṭha. 319) vassūpanāyikadivase ekasmiṃ vihāre senāsanaṃ gahetvā sāmantavihāraṃ gantvā tatrāpi gaṇhāti, tassa iminā gahaṇena purimaggahaṇaṃ paṭippassambhati. Aparo ‘‘idha vasissāmī’’ti ālayamattaṃ katvā sāmantavihāraṃ gantvā tattha senāsanaṃ gaṇhāti, tassa iminā gahaṇeneva purimo ālayo paṭippassambhati. Eko ‘‘idha vasissāmī’’ti senāsanaṃ vā gahetvā ālayaṃ vā katvā sāmantavihāraṃ gantvā ‘‘idheva dāni vasissāmī’’ti ālayaṃ karoti, iccassa ālayena vā gahaṇaṃ, ālayena vā ālayo paṭippassambhati, sabbattha pacchime gahaṇe vā ālaye vā tiṭṭhati. Yo pana ekasmiṃ vihāre senāsanaṃ gahetvā ‘‘aññasmiṃ vihāre vasissāmī’’ti gacchati, tassa upacārasīmātikkame senāsanaggāho paṭippassambhati. Yadi pana ‘‘tattha phāsu bhavissati, vasissāmi, no ce, āgamissāmī’’ti gantvā aphāsukabhāvaṃ ñatvā pacchā vā gacchati, vaṭṭati.

    เสนาสนคฺคาหเกน จ เสนาสนํ คาเหตฺวา วสฺสาวาสิกํ คาเหตพฺพํฯ คาเหเนฺตน สเจ สงฺฆิโก จ สทฺธาเทโยฺย จาติ เทฺว จีวรปจฺจยา โหนฺติ, เตสุ ยํ ภิกฺขู ปฐมํ คหิตุํ อิจฺฉนฺติ, ตํ คเหตฺวา ตสฺส ฐิติกโต ปฎฺฐาย อิตโร คาเหตโพฺพฯ ‘‘สเจ ภิกฺขูนํ อปฺปตาย ปริเวณเคฺคน เสนาสเน คาหิยมาเน เอกํ ปริเวณํ มหาลาภํ โหติ, ทส วา ทฺวาทส วา จีวรานิ ลภนฺติ, ตํ วิชเฎตฺวา อเญฺญสุ อลาภเกสุ อาวาเสสุ ปกฺขิปิตฺวา อเญฺญสมฺปิ ภิกฺขูนํ คาเหตพฺพ’’นฺติ มหาสุมเตฺถโร อาหฯ มหาปทุมเตฺถโร ปนาห ‘‘น เอวํ กาตพฺพํฯ มนุสฺสา หิ อตฺตโน อาวาสปฎิชคฺคนตฺถาย ปจฺจยํ เทนฺติ, ตสฺมา อเญฺญหิ ภิกฺขูหิ ตตฺถ ปวิสิตพฺพ’’นฺติฯ

    Senāsanaggāhakena ca senāsanaṃ gāhetvā vassāvāsikaṃ gāhetabbaṃ. Gāhentena sace saṅghiko ca saddhādeyyo cāti dve cīvarapaccayā honti, tesu yaṃ bhikkhū paṭhamaṃ gahituṃ icchanti, taṃ gahetvā tassa ṭhitikato paṭṭhāya itaro gāhetabbo. ‘‘Sace bhikkhūnaṃ appatāya pariveṇaggena senāsane gāhiyamāne ekaṃ pariveṇaṃ mahālābhaṃ hoti, dasa vā dvādasa vā cīvarāni labhanti, taṃ vijaṭetvā aññesu alābhakesu āvāsesu pakkhipitvā aññesampi bhikkhūnaṃ gāhetabba’’nti mahāsumatthero āha. Mahāpadumatthero panāha ‘‘na evaṃ kātabbaṃ. Manussā hi attano āvāsapaṭijagganatthāya paccayaṃ denti, tasmā aññehi bhikkhūhi tattha pavisitabba’’nti.

    ๒๒๑. สเจ ปเนตฺถ มหาเถโร ปฎิโกฺกสติ ‘‘มา, อาวุโส, เอวํ คาเหถ, ภควโต อนุสิฎฺฐิํ กโรถฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปริเวณเคฺคน คาเหตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๑๘)ฯ ตสฺส ปฎิโกฺกสนาย อฎฺฐตฺวา ‘‘ภเนฺต, ภิกฺขู พหู, ปจฺจโย มโนฺท, สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ สญฺญาเปตฺวา คาเหตพฺพเมวฯ คาเหเนฺตน จ สมฺมเตน ภิกฺขุนา มหาเถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เอวํ วตฺตพฺพํ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ เสนาสนํ ปาปุณาติ, ปจฺจยํ ธาเรถา’’ติฯ อสุกกุลสฺส ปจฺจโย อสุกเสนาสนญฺจ มยฺหํ ปาปุณาติ, อาวุโสติฯ ปาปุณาติ ภเนฺต, คณฺหถ นนฺติฯ คณฺหามิ, อาวุโสติฯ คหิตํ โหติฯ ‘‘สเจ ปน ‘คหิตํ โว, ภเนฺต’ติ วุเตฺต ‘คหิตํ เม’ติ วา, ‘คณฺหิสฺสถ, ภเนฺต’ติ วุเตฺต ‘คณฺหิสฺสามี’ติ วา วทติ, อคฺคหิตํ โหตี’’ติ มหาสุมเตฺถโร อาหฯ มหาปทุมเตฺถโร ปนาห ‘‘อตีตานาคตวจนํ วา โหตุ วตฺตมานวจนํ วา, สตุปฺปาทมตฺตํ อาลยกรณมตฺตเมว เจตฺถ ปมาณํ, ตสฺมา คหิตเมว โหตี’’ติฯ

    221. Sace panettha mahāthero paṭikkosati ‘‘mā, āvuso, evaṃ gāhetha, bhagavato anusiṭṭhiṃ karotha. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, pariveṇaggena gāhetu’’nti (cūḷava. 318). Tassa paṭikkosanāya aṭṭhatvā ‘‘bhante, bhikkhū bahū, paccayo mando, saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti saññāpetvā gāhetabbameva. Gāhentena ca sammatena bhikkhunā mahātherassa santikaṃ gantvā evaṃ vattabbaṃ ‘‘bhante, tumhākaṃ senāsanaṃ pāpuṇāti, paccayaṃ dhārethā’’ti. Asukakulassa paccayo asukasenāsanañca mayhaṃ pāpuṇāti, āvusoti. Pāpuṇāti bhante, gaṇhatha nanti. Gaṇhāmi, āvusoti. Gahitaṃ hoti. ‘‘Sace pana ‘gahitaṃ vo, bhante’ti vutte ‘gahitaṃ me’ti vā, ‘gaṇhissatha, bhante’ti vutte ‘gaṇhissāmī’ti vā vadati, aggahitaṃ hotī’’ti mahāsumatthero āha. Mahāpadumatthero panāha ‘‘atītānāgatavacanaṃ vā hotu vattamānavacanaṃ vā, satuppādamattaṃ ālayakaraṇamattameva cettha pamāṇaṃ, tasmā gahitameva hotī’’ti.

    โยปิ ปํสุกูลิโก ภิกฺขุ เสนาสนํ คเหตฺวา ปจฺจยํ วิสฺสเชฺชติ, อยมฺปิ น อญฺญสฺมิํ อาวาเส ปกฺขิปิตโพฺพ, ตสฺมิํเยว ปริเวเณ อคฺคิสาลาย วา ทีฆสาลาย วา รุกฺขมูเล วา อญฺญสฺส คาเหตุํ วฎฺฎติฯ ปํสุกูลิโก ‘‘วสามี’’ติ เสนาสนํ ชคฺคิสฺสติ, อิตโร ‘‘ปจฺจยํ คณฺหามี’’ติ เอวํ ทฺวีหิ การเณหิ เสนาสนํ สุชคฺคิตตรํ ภวิสฺสติฯ มหาปจฺจริยํ ปน วุตฺตํ ‘‘ปํสุกูลิเก วาสตฺถาย เสนาสนํ คณฺหเนฺต เสนาสนคฺคาหเกน วตฺตพฺพํ, ‘ภเนฺต อิธ ปจฺจโย อตฺถิ, โส กิํ กาตโพฺพ’ติฯ เตน ‘เหฎฺฐา อญฺญํ คาหาเปหี’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ ปน กิญฺจิ อวตฺวาว วสติ, วุฎฺฐวสฺสสฺส จ ปาทมูเล ฐเปตฺวา สาฎกํ เทนฺติ, วฎฺฎติฯ อถ ‘วสฺสาวาสิกํ เทมา’ติ วทนฺติ, ตสฺมิํ เสนาสเน วสฺสํวุฎฺฐภิกฺขูนํ ปาปุณาตี’’ติฯ เยสํ ปน เสนาสนํ นตฺถิ, เกวลํ ปจฺจยเมว เทนฺติ, เตสํ ปจฺจยํ อวสฺสาวาสิกเสนาสเน คาเหตุํ วฎฺฎติฯ มนุสฺสา ถูปํ กตฺวา วสฺสาวาสิกํ คาหาเปนฺติฯ ถูโป นาม อเสนาสนํ, ตสฺส สมีเป รุเกฺข วา มณฺฑเป วา อุปนิพนฺธิตฺวา คาเหตพฺพํฯ เตน ภิกฺขุนา เจติยํ ชคฺคิตพฺพํฯ โพธิรุกฺขโพธิฆรอาสนฆรสมฺมุญฺชนิอฎฺฎทารุอฎฺฎวจฺจกุฎิทฺวารโกฎฺฐกปานียกุฎิปานียมาฬกทนฺตกฎฺฐมาฬเกสุปิ เอเสว นโยฯ โภชนสาลา ปน เสนาสนเมว, ตสฺมา ตํ เอกสฺส วา พหูนํ วา ปริจฺฉินฺทิตฺวา คาเหตุํ วฎฺฎตีติ สพฺพมิทํ วิตฺถาเรน มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ

    Yopi paṃsukūliko bhikkhu senāsanaṃ gahetvā paccayaṃ vissajjeti, ayampi na aññasmiṃ āvāse pakkhipitabbo, tasmiṃyeva pariveṇe aggisālāya vā dīghasālāya vā rukkhamūle vā aññassa gāhetuṃ vaṭṭati. Paṃsukūliko ‘‘vasāmī’’ti senāsanaṃ jaggissati, itaro ‘‘paccayaṃ gaṇhāmī’’ti evaṃ dvīhi kāraṇehi senāsanaṃ sujaggitataraṃ bhavissati. Mahāpaccariyaṃ pana vuttaṃ ‘‘paṃsukūlike vāsatthāya senāsanaṃ gaṇhante senāsanaggāhakena vattabbaṃ, ‘bhante idha paccayo atthi, so kiṃ kātabbo’ti. Tena ‘heṭṭhā aññaṃ gāhāpehī’ti vattabbo. Sace pana kiñci avatvāva vasati, vuṭṭhavassassa ca pādamūle ṭhapetvā sāṭakaṃ denti, vaṭṭati. Atha ‘vassāvāsikaṃ demā’ti vadanti, tasmiṃ senāsane vassaṃvuṭṭhabhikkhūnaṃ pāpuṇātī’’ti. Yesaṃ pana senāsanaṃ natthi, kevalaṃ paccayameva denti, tesaṃ paccayaṃ avassāvāsikasenāsane gāhetuṃ vaṭṭati. Manussā thūpaṃ katvā vassāvāsikaṃ gāhāpenti. Thūpo nāma asenāsanaṃ, tassa samīpe rukkhe vā maṇḍape vā upanibandhitvā gāhetabbaṃ. Tena bhikkhunā cetiyaṃ jaggitabbaṃ. Bodhirukkhabodhigharaāsanagharasammuñjaniaṭṭadāruaṭṭavaccakuṭidvārakoṭṭhakapānīyakuṭipānīyamāḷakadantakaṭṭhamāḷakesupi eseva nayo. Bhojanasālā pana senāsanameva, tasmā taṃ ekassa vā bahūnaṃ vā paricchinditvā gāhetuṃ vaṭṭatīti sabbamidaṃ vitthārena mahāpaccariyaṃ vuttaṃ.

    เสนาสนคฺคาหเกน ปน ปาฎิปทอรุณโต ปฎฺฐาย ยาว ปุน อรุณํ น ภิชฺชติ, ตาว คาเหตพฺพํฯ อิทญฺหิ เสนาสนคฺคาหสฺส เขตฺตํฯ สเจ ปาโตว คาภิเต เสนาสเน อโญฺญ วิตกฺกจาริโก ภิกฺขุ อาคนฺตฺวา เสนาสนํ ยาจติ, ‘‘คหิตํ, ภเนฺต, เสนาสนํ, วสฺสูปคโต สโงฺฆ, รมณีโย วิหาโร, รุกฺขมูลาทีสุ ยตฺถ อิจฺฉถ, ตตฺถ วสถา’’ติ วตฺตโพฺพฯ ปจฺฉิมวสฺสูปนายิกทิวเส ปน สเจ กาลํ โฆเสตฺวา สนฺนิปติเต สเงฺฆ โกจิ ทสหตฺถํ วตฺถํ อาหริตฺวา วสฺสาวาสิกํ เทติ, อาคนฺตุโก เจ ภิกฺขุ สงฺฆเตฺถโร โหติ, ตสฺส ทาตพฺพํฯ นวโก เจ โหติ, สมฺมเตน ภิกฺขุนา สงฺฆเตฺถโร วตฺตโพฺพ ‘‘สเจ, ภเนฺต, อิจฺฉถ, ปฐมภาคํ มุญฺจิตฺวา อิทํ วตฺถํ คณฺหถา’’ติ, อมุญฺจนฺตสฺส น ทาตพฺพํฯ สเจ ปน ปุเพฺพ คาหิตํ มุญฺจิตฺวา คณฺหาติ, ทาตพฺพํฯ เอเตเนว อุปาเยน ทุติยเตฺถรโต ปฎฺฐาย ปริวเตฺตตฺวา ปตฺตฎฺฐาเนว อาคนฺตุกสฺส ทาตพฺพํฯ สเจ ปน ปฐมวสฺสูปคตา เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ วา วตฺถานิ อลตฺถุํ, ลทฺธํ ลทฺธํ เอเตเนว อุปาเยน วิสฺสชฺชาเปตฺวา ยาว อาคนฺตุกสฺส สมกํ โหติ, ตาว ทาตพฺพํฯ เตน สมเก ลเทฺธ อวสิโฎฺฐ อนุภาโค เถราสเน ทาตโพฺพฯ ปจฺจุปฺปเนฺน ลาเภ สติ ฐิติกาย คาเหตุํ กติกํ กาตุํ วฎฺฎติฯ

    Senāsanaggāhakena pana pāṭipadaaruṇato paṭṭhāya yāva puna aruṇaṃ na bhijjati, tāva gāhetabbaṃ. Idañhi senāsanaggāhassa khettaṃ. Sace pātova gābhite senāsane añño vitakkacāriko bhikkhu āgantvā senāsanaṃ yācati, ‘‘gahitaṃ, bhante, senāsanaṃ, vassūpagato saṅgho, ramaṇīyo vihāro, rukkhamūlādīsu yattha icchatha, tattha vasathā’’ti vattabbo. Pacchimavassūpanāyikadivase pana sace kālaṃ ghosetvā sannipatite saṅghe koci dasahatthaṃ vatthaṃ āharitvā vassāvāsikaṃ deti, āgantuko ce bhikkhu saṅghatthero hoti, tassa dātabbaṃ. Navako ce hoti, sammatena bhikkhunā saṅghatthero vattabbo ‘‘sace, bhante, icchatha, paṭhamabhāgaṃ muñcitvā idaṃ vatthaṃ gaṇhathā’’ti, amuñcantassa na dātabbaṃ. Sace pana pubbe gāhitaṃ muñcitvā gaṇhāti, dātabbaṃ. Eteneva upāyena dutiyattherato paṭṭhāya parivattetvā pattaṭṭhāneva āgantukassa dātabbaṃ. Sace pana paṭhamavassūpagatā dve tīṇi cattāri pañca vā vatthāni alatthuṃ, laddhaṃ laddhaṃ eteneva upāyena vissajjāpetvā yāva āgantukassa samakaṃ hoti, tāva dātabbaṃ. Tena samake laddhe avasiṭṭho anubhāgo therāsane dātabbo. Paccuppanne lābhe sati ṭhitikāya gāhetuṃ katikaṃ kātuṃ vaṭṭati.

    สเจ ทุพฺภิกฺขํ โหติ, ทฺวีสุปิ วสฺสูปนายิกาสุ วสฺสูปคตา ภิกฺขู ภิกฺขาย กิลมนฺตา ‘‘อาวุโส, อิธ วสนฺตา สเพฺพว กิลมาม, สาธุ วต เทฺว ภาคา โหม, เยสํ ญาติปวาริตฎฺฐานานิ อตฺถิ, เต ตตฺถ วสิตฺวา ปวารณาย อาคนฺตฺวา อตฺตโน ปตฺตํ วสฺสาวาสิกํ คณฺหนฺตู’’ติ วทนฺติ, เตสุ เย ตตฺถ วสิตฺวา ปวารณาย อาคจฺฉนฺติ, เตสํ อปโลเกตฺวา วสฺสาวาสิกํ ทาตพฺพํฯ สาทิยนฺตาปิ หิ เตเนว วสฺสาวาสิกสฺส สามิโน, ขียนฺตาปิ จ อาวาสิกา เนว อทาตุํ ลภนฺติฯ กุรุนฺทิยํ ปน วุตฺตํ ‘‘กติกวตฺตํ กาตพฺพํ ‘สเพฺพสํ โน อิธ ยาคุภตฺตํ นปฺปโหติ, สภาคฎฺฐาเน วสิตฺวา อาคจฺฉถ, ตุมฺหากํ ปตฺตํ วสฺสาวาสิกํ ลภิสฺสถา’ติฯ ตเญฺจ เอโก ปฎิพาหติ, สุปฎิพาหิตํฯ โน เจ ปฎิพาหติ, กติกา สุกตาฯ ปจฺฉา เตสํ ตตฺถ วสิตฺวา อาคตานํ อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํ, อปโลกนกาเล ปฎิพาหิตุํ น ลพฺภตี’’ติฯ ปุนปิ วุตฺตํ ‘‘สเจ วสฺสูปคเตสุ เอกจฺจานํ วสฺสาวาสิเก อปาปุณเนฺต ภิกฺขู กติกํ กโรนฺติ ‘ฉินฺนวสฺสานํ วสฺสาวาสิกญฺจ อิทานิ อุปฺปชฺชนกวสฺสาวาสิกญฺจ อิเมสํ ทาตุํ รุจฺจตี’ติ, เอวํ กติกาย กตาย คาหิตสทิสเมว โหติ, อุปฺปนฺนุปฺปนฺนํ เตสเมว ทาตพฺพ’’นฺติฯ เตมาสํ ปานียํ อุปฎฺฐาเปตฺวา วิหารมคฺคเจติยงฺคณโพธิยงฺคณานิ ชคฺคิตฺวา โพธิรุเกฺข อุทกํ สิญฺจิตฺวา ปกฺกโนฺตปิ วิพฺภโนฺตปิ วสฺสาวาสิกํ ลภติเยวฯ ภตินิวิฎฺฐญฺหิ เตน กตํ, สงฺฆิกํ ปน อปโลกนกมฺมํ กตฺวา คาหิตํ อโนฺตวเสฺส วิพฺภโนฺตปิ ลภเตว, ปจฺจยวเสน คาหิตํ ปน น ลภตีติ วทนฺติฯ

    Sace dubbhikkhaṃ hoti, dvīsupi vassūpanāyikāsu vassūpagatā bhikkhū bhikkhāya kilamantā ‘‘āvuso, idha vasantā sabbeva kilamāma, sādhu vata dve bhāgā homa, yesaṃ ñātipavāritaṭṭhānāni atthi, te tattha vasitvā pavāraṇāya āgantvā attano pattaṃ vassāvāsikaṃ gaṇhantū’’ti vadanti, tesu ye tattha vasitvā pavāraṇāya āgacchanti, tesaṃ apaloketvā vassāvāsikaṃ dātabbaṃ. Sādiyantāpi hi teneva vassāvāsikassa sāmino, khīyantāpi ca āvāsikā neva adātuṃ labhanti. Kurundiyaṃ pana vuttaṃ ‘‘katikavattaṃ kātabbaṃ ‘sabbesaṃ no idha yāgubhattaṃ nappahoti, sabhāgaṭṭhāne vasitvā āgacchatha, tumhākaṃ pattaṃ vassāvāsikaṃ labhissathā’ti. Tañce eko paṭibāhati, supaṭibāhitaṃ. No ce paṭibāhati, katikā sukatā. Pacchā tesaṃ tattha vasitvā āgatānaṃ apaloketvā dātabbaṃ, apalokanakāle paṭibāhituṃ na labbhatī’’ti. Punapi vuttaṃ ‘‘sace vassūpagatesu ekaccānaṃ vassāvāsike apāpuṇante bhikkhū katikaṃ karonti ‘chinnavassānaṃ vassāvāsikañca idāni uppajjanakavassāvāsikañca imesaṃ dātuṃ ruccatī’ti, evaṃ katikāya katāya gāhitasadisameva hoti, uppannuppannaṃ tesameva dātabba’’nti. Temāsaṃ pānīyaṃ upaṭṭhāpetvā vihāramaggacetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇāni jaggitvā bodhirukkhe udakaṃ siñcitvā pakkantopi vibbhantopi vassāvāsikaṃ labhatiyeva. Bhatiniviṭṭhañhi tena kataṃ, saṅghikaṃ pana apalokanakammaṃ katvā gāhitaṃ antovasse vibbhantopi labhateva, paccayavasena gāhitaṃ pana na labhatīti vadanti.

    สเจ วุฎฺฐวโสฺส ทิสํคมิโก ภิกฺขุ อาวาสิกสฺส หตฺถโต กิญฺจิเทว กปฺปิยภณฺฑํ คเหตฺวา ‘‘อสุกกุเล มยฺหํ วสฺสาวาสิกํ ปตฺตํ, ตํ คณฺหถา’’ติ วตฺวา คตฎฺฐาเน วิพฺภมติ, วสฺสาวาสิกํ สงฺฆิกํ โหติฯ สเจ ปน มนุเสฺส สมฺมุขา สมฺปฎิจฺฉาเปตฺวา คจฺฉติ, ลภติฯ ‘‘อิทํ วสฺสาวาสิกํ อมฺหากํ เสนาสเน วุตฺถภิกฺขุโน เทมา’’ติ วุเตฺต ยสฺส คาหิตํ, ตเสฺสว โหติฯ สเจ ปน เสนาสนสามิกสฺส ปิยกมฺยตาย ปุตฺตธีตาทโย พหูนิ วตฺถานิ อาหริตฺวา ‘‘อมฺหากํ เสนาสเน เทมา’’ติ เทนฺติ, ตตฺถ วสฺสูปคตสฺส เอกเมว วตฺถํ ทาตพฺพํ, เสสานิ สงฺฆิกานิ โหนฺติฯ วสฺสาวาสิกฐิติกาย คาเหตพฺพานิ, ฐิติกาย อสติ เถราสนโต ปฎฺฐาย คาเหตพฺพานิฯ เสนาสเน วสฺสูปคตํ ภิกฺขุํ นิสฺสาย อุปฺปเนฺนน จิตฺตปฺปสาเทน พหูนิ วตฺถานิ อาหริตฺวา ‘‘เสนาสนสฺส เทมา’’ติ ทิเนฺนสุปิ เอเสว นโยฯ สเจ ปน ปาทมูเล ฐเปตฺวา ‘‘เอตสฺส ภิกฺขุโน เทมา’’ติ วทนฺติ, ตเสฺสว โหนฺติฯ

    Sace vuṭṭhavasso disaṃgamiko bhikkhu āvāsikassa hatthato kiñcideva kappiyabhaṇḍaṃ gahetvā ‘‘asukakule mayhaṃ vassāvāsikaṃ pattaṃ, taṃ gaṇhathā’’ti vatvā gataṭṭhāne vibbhamati, vassāvāsikaṃ saṅghikaṃ hoti. Sace pana manusse sammukhā sampaṭicchāpetvā gacchati, labhati. ‘‘Idaṃ vassāvāsikaṃ amhākaṃ senāsane vutthabhikkhuno demā’’ti vutte yassa gāhitaṃ, tasseva hoti. Sace pana senāsanasāmikassa piyakamyatāya puttadhītādayo bahūni vatthāni āharitvā ‘‘amhākaṃ senāsane demā’’ti denti, tattha vassūpagatassa ekameva vatthaṃ dātabbaṃ, sesāni saṅghikāni honti. Vassāvāsikaṭhitikāya gāhetabbāni, ṭhitikāya asati therāsanato paṭṭhāya gāhetabbāni. Senāsane vassūpagataṃ bhikkhuṃ nissāya uppannena cittappasādena bahūni vatthāni āharitvā ‘‘senāsanassa demā’’ti dinnesupi eseva nayo. Sace pana pādamūle ṭhapetvā ‘‘etassa bhikkhuno demā’’ti vadanti, tasseva honti.

    เอกสฺส เคเห เทฺว วสฺสาวาสิกานิ, ปฐมภาโค สามเณรสฺส คาหิโต โหติ, ทุติโย เถราสเนฯ โส เอกํ ทสหตฺถํ, เอกํ อฎฺฐหตฺถํ สาฎกํ เปเสติ ‘‘วสฺสาวาสิกํ ปตฺตภิกฺขูนํ เทถา’’ติ, วิจินิตฺวา วรภาคํ สามเณรสฺส ทตฺวา อนุภาโค เถราสเน ทาตโพฺพ ฯ สเจ ปน อุโภปิ ฆรํ เนตฺวา โภเชตฺวา สยเมว ปาทมูเล ฐเปติ, ยํ ยสฺส ทินฺนํ, ตเทว ตสฺส โหติฯ อิโต ปรํ มหาปจฺจริยํ อาคตนโย โหติ – เอกสฺส ฆเร ทหรสามเณรสฺส วสฺสาวาสิกํ ปาปุณาติ, โส เจ ปุจฺฉติ ‘‘อมฺหากํ วสฺสาวาสิกํ กสฺส ปตฺต’’นฺติ, ‘‘สามเณรสฺสา’’ติ อวตฺวา ‘‘ทานกาเล ชานิสฺสสี’’ติ วตฺวา ทานทิวเส เอกํ มหาเถรํ เปเสตฺวา นีหราเปตพฺพํฯ สเจ ยสฺส วสฺสาวาสิกํ ปตฺตํ, โส วิพฺภมติ วา กาลํ วา กโรติ, มนุสฺสา เจ ปุจฺฉนฺติ ‘‘กสฺส อมฺหากํ วสฺสาวาสิกํ ปตฺต’’นฺติ, เตสํ ยถาภูตํ อาจิกฺขิตพฺพํฯ สเจ เต วทนฺติ ‘‘ตุมฺหากํ เทมา’’ติ, ตสฺส ภิกฺขุโน ปาปุณาติฯ อถ สงฺฆสฺส วา คณสฺส วา เทนฺติ, สงฺฆสฺส วา คณสฺส วา ปาปุณาติฯ สเจ วสฺสูปคตา สุทฺธปํสุกูลิกาเยว โหนฺติ, อาเนตฺวา ทินฺนํ วสฺสาวาสิกํ เสนาสนปริกฺขารํ วา กตฺวา ฐเปตพฺพํ, พิโมฺพหนาทีนิ วา กาตพฺพานีติฯ

    Ekassa gehe dve vassāvāsikāni, paṭhamabhāgo sāmaṇerassa gāhito hoti, dutiyo therāsane. So ekaṃ dasahatthaṃ, ekaṃ aṭṭhahatthaṃ sāṭakaṃ peseti ‘‘vassāvāsikaṃ pattabhikkhūnaṃ dethā’’ti, vicinitvā varabhāgaṃ sāmaṇerassa datvā anubhāgo therāsane dātabbo . Sace pana ubhopi gharaṃ netvā bhojetvā sayameva pādamūle ṭhapeti, yaṃ yassa dinnaṃ, tadeva tassa hoti. Ito paraṃ mahāpaccariyaṃ āgatanayo hoti – ekassa ghare daharasāmaṇerassa vassāvāsikaṃ pāpuṇāti, so ce pucchati ‘‘amhākaṃ vassāvāsikaṃ kassa patta’’nti, ‘‘sāmaṇerassā’’ti avatvā ‘‘dānakāle jānissasī’’ti vatvā dānadivase ekaṃ mahātheraṃ pesetvā nīharāpetabbaṃ. Sace yassa vassāvāsikaṃ pattaṃ, so vibbhamati vā kālaṃ vā karoti, manussā ce pucchanti ‘‘kassa amhākaṃ vassāvāsikaṃ patta’’nti, tesaṃ yathābhūtaṃ ācikkhitabbaṃ. Sace te vadanti ‘‘tumhākaṃ demā’’ti, tassa bhikkhuno pāpuṇāti. Atha saṅghassa vā gaṇassa vā denti, saṅghassa vā gaṇassa vā pāpuṇāti. Sace vassūpagatā suddhapaṃsukūlikāyeva honti, ānetvā dinnaṃ vassāvāsikaṃ senāsanaparikkhāraṃ vā katvā ṭhapetabbaṃ, bimbohanādīni vā kātabbānīti.

    อยํ ตาว อโนฺตวเสฺส วสฺสูปนายิกทิวสวเสน

    Ayaṃ tāva antovasse vassūpanāyikadivasavasena

    เสนาสนคฺคาหกถาฯ

    Senāsanaggāhakathā.

    ๒๒๒. อยมปโรปิ อุตุกาเล อนฺตรามุตฺตโก นาม เสนาสนคฺคาโห เวทิตโพฺพฯ ทิวสวเสน หิ ติวิโธ เสนาสนคฺคาโห ปุริมโก ปจฺฉิมโก อนฺตรามุตฺตโกติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    222. Ayamaparopi utukāle antarāmuttako nāma senāsanaggāho veditabbo. Divasavasena hi tividho senāsanaggāho purimako pacchimako antarāmuttakoti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ตโยเม, ภิกฺขเว, เสนาสนคฺคาหา, ปุริมโก ปจฺฉิมโก อนฺตรามุตฺตโกฯ อปรชฺชุคตาย อาสาฬฺหิยา ปุริมโก คาเหตโพฺพ, มาสคตาย อาสาฬฺหิยา ปจฺฉิมโก คาเหตโพฺพ, อปรชฺชุคตาย ปวารณาย อายติํ วสฺสาวาสตฺถาย อนฺตรามุตฺตโก คาเหตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๓๑๘)ฯ

    ‘‘Tayome, bhikkhave, senāsanaggāhā, purimako pacchimako antarāmuttako. Aparajjugatāya āsāḷhiyā purimako gāhetabbo, māsagatāya āsāḷhiyā pacchimako gāhetabbo, aparajjugatāya pavāraṇāya āyatiṃ vassāvāsatthāya antarāmuttako gāhetabbo’’ti (mahāva. 318).

    เอเตสุ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๑๘) ตีสุ เสนาสนคฺคาเหสุ ปุริมโก ปจฺฉิมโก จาติ อิเม เทฺว คาหา ถาวรา, อนฺตรามุตฺตโก ปน เสนาสนปฎิชคฺคนตฺถํ ภควตา อนุญฺญาโตฯ ตถา หิ เอกสฺมิํ วิหาเร มหาลาภํ เสนาสนํ โหติ, เสนาสนสามิกา วสฺสูปคตํ ภิกฺขุํ สพฺพปจฺจเยหิ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหิตฺวา ปวาเรตฺวา คมนกาเล พหุํ สมณปริกฺขารํ เทนฺติ, มหาเถรา ทูรโตว อาคนฺตฺวา วสฺสูปนายิกทิวเส ตํ คเหตฺวา ผาสุํ วสิตฺวา วุฎฺฐวสฺสา ลาภํ คณฺหิตฺวา ปกฺกมนฺติฯ อาวาสิกา ‘‘มยํ เอตฺถุปฺปนฺนํ ลาภํ น ลภาม, นิจฺจํ อาคนฺตุกมหาเถราว ลภนฺติ, เตเยว นํ อาคนฺตฺวา ปฎิชคฺคิสฺสนฺตี’’ติ ปลุชฺชนฺตมฺปิ น โอโลเกนฺติฯ ภควา ตสฺส ปฎิชคฺคนตฺถํ ‘‘อปรชฺชุคตาย ปวารณาย อายติํ วสฺสาวาสตฺถาย อนฺตรามุตฺตโก คาเหตโพฺพ’’ติ อาหฯ

    Etesu (cūḷava. aṭṭha. 318) tīsu senāsanaggāhesu purimako pacchimako cāti ime dve gāhā thāvarā, antarāmuttako pana senāsanapaṭijagganatthaṃ bhagavatā anuññāto. Tathā hi ekasmiṃ vihāre mahālābhaṃ senāsanaṃ hoti, senāsanasāmikā vassūpagataṃ bhikkhuṃ sabbapaccayehi sakkaccaṃ upaṭṭhahitvā pavāretvā gamanakāle bahuṃ samaṇaparikkhāraṃ denti, mahātherā dūratova āgantvā vassūpanāyikadivase taṃ gahetvā phāsuṃ vasitvā vuṭṭhavassā lābhaṃ gaṇhitvā pakkamanti. Āvāsikā ‘‘mayaṃ etthuppannaṃ lābhaṃ na labhāma, niccaṃ āgantukamahātherāva labhanti, teyeva naṃ āgantvā paṭijaggissantī’’ti palujjantampi na olokenti. Bhagavā tassa paṭijagganatthaṃ ‘‘aparajjugatāya pavāraṇāya āyatiṃ vassāvāsatthāya antarāmuttako gāhetabbo’’ti āha.

    ตํ คาเหเนฺตน สงฺฆเตฺถโร วตฺตโพฺพ ‘‘ภเนฺต, อนฺตรามุตฺตกเสนาสนํ คณฺหถา’’ติฯ สเจ คณฺหาติ , ทาตพฺพํฯ โน เจ, เอเตเนว อุปาเยน อนุเถรํ อาทิํ กตฺวา โย คณฺหาติ, ตสฺส อนฺตมโส สามเณรสฺสปิ ทาตพฺพํฯ เตน ตํ เสนาสนํ อฎฺฐ มาเส ปฎิชคฺคิตพฺพํ, ฉทนภิตฺติภูมีสุ ยํ กิญฺจิ ขณฺฑํ วา ผุลฺลํ วา โหติ, ตํ สพฺพํ ปฎิสงฺขริตพฺพํฯ อุเทฺทสปริปุจฺฉาทีหิ ทิวสํ เขเปตฺวา รตฺติํ ตตฺถ วสิตุํ วฎฺฎติ, รตฺติํ ปริเวเณ วสิตฺวา ตตฺถ ทิวสํ เขเปตุมฺปิ วฎฺฎติ, รตฺตินฺทิวํ ตเตฺถว วสิตุมฺปิ วฎฺฎติ, อุตุกาเล อาคตานํ วุฑฺฒานํ น ปฎิพาหิตพฺพํฯ วสฺสูปนายิกทิวเส ปน สมฺปเตฺต สเจ สงฺฆเตฺถโร ‘‘มยฺหํ อิทํ ปน เสนาสนํ เทถา’’ติ วทติ, น ลภติฯ ‘‘ภเนฺต, อิทํ อนฺตรามุตฺตกํ คเหตฺวา เอเกน ภิกฺขุนา ปฎิชคฺคิต’’นฺติ วตฺวา น ทาตพฺพํ, อฎฺฐ มาเส ปฎิชคฺคิตภิกฺขุเสฺสว คาหิตํ โหติฯ ยสฺมิํ ปน เสนาสเน เอกสํวจฺฉเร ทฺวิกฺขตฺตุํ ปจฺจเย เทนฺติ ฉมาสจฺจเยน ฉมาสจฺจเยน, ตํ อนฺตรามุตฺตกํ น คาเหตพฺพํฯ ยสฺมิํ วา ติกฺขตฺตุํ เทนฺติ จตุมาสจฺจเยน จตุมาสจฺจเยน, ยสฺมิํ วา จตุกฺขตฺตุํ เทนฺติ เตมาสจฺจเยน เตมาสจฺจเยน, ตํ อนฺตรามุตฺตกํ น คาเหตพฺพํฯ ปจฺจเยเนว หิ ตํ ปฎิชคฺคนํ ลภิสฺสติฯ ยสฺมิํ ปน เอกสํวจฺฉเร สกิเทว พหู ปจฺจเย เทนฺติ, เอตํ อนฺตรามุตฺตกํ คาเหตพฺพนฺติฯ

    Taṃ gāhentena saṅghatthero vattabbo ‘‘bhante, antarāmuttakasenāsanaṃ gaṇhathā’’ti. Sace gaṇhāti , dātabbaṃ. No ce, eteneva upāyena anutheraṃ ādiṃ katvā yo gaṇhāti, tassa antamaso sāmaṇerassapi dātabbaṃ. Tena taṃ senāsanaṃ aṭṭha māse paṭijaggitabbaṃ, chadanabhittibhūmīsu yaṃ kiñci khaṇḍaṃ vā phullaṃ vā hoti, taṃ sabbaṃ paṭisaṅkharitabbaṃ. Uddesaparipucchādīhi divasaṃ khepetvā rattiṃ tattha vasituṃ vaṭṭati, rattiṃ pariveṇe vasitvā tattha divasaṃ khepetumpi vaṭṭati, rattindivaṃ tattheva vasitumpi vaṭṭati, utukāle āgatānaṃ vuḍḍhānaṃ na paṭibāhitabbaṃ. Vassūpanāyikadivase pana sampatte sace saṅghatthero ‘‘mayhaṃ idaṃ pana senāsanaṃ dethā’’ti vadati, na labhati. ‘‘Bhante, idaṃ antarāmuttakaṃ gahetvā ekena bhikkhunā paṭijaggita’’nti vatvā na dātabbaṃ, aṭṭha māse paṭijaggitabhikkhusseva gāhitaṃ hoti. Yasmiṃ pana senāsane ekasaṃvacchare dvikkhattuṃ paccaye denti chamāsaccayena chamāsaccayena, taṃ antarāmuttakaṃ na gāhetabbaṃ. Yasmiṃ vā tikkhattuṃ denti catumāsaccayena catumāsaccayena, yasmiṃ vā catukkhattuṃ denti temāsaccayena temāsaccayena, taṃ antarāmuttakaṃ na gāhetabbaṃ. Paccayeneva hi taṃ paṭijagganaṃ labhissati. Yasmiṃ pana ekasaṃvacchare sakideva bahū paccaye denti, etaṃ antarāmuttakaṃ gāhetabbanti.

    ๒๒๓. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อกตํ วา วิหารํ วิปฺปกตํ วา นวกมฺมํ ทาตุํ, ขุทฺทเก วิหาเร กมฺมํ โอโลเกตฺวา ฉปฺปญฺจวสฺสิกํ นวกมฺมํ ทาตุํ, อฑฺฒโยเค กมฺมํ โอโลเกตฺวา สตฺตฎฺฐวสฺสิกํ นวกมฺมํ ทาตุํ, มหลฺลเก วิหาเร ปาสาเท วา กมฺมํ โอโลเกตฺวา ทสทฺวาทสวสฺสิกํ นวกมฺมํ ทาตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๓) วจนโต อกตํ วิปฺปกตํ วา เสนาสนํ เอกสฺส ภิกฺขุโน อปโลกเนน วา กมฺมวาจาย วา สาเวตฺวา นวกมฺมํ กตฺวา วสิตุํ ยถาวุตฺตกาลปริเจฺฉทวเสน ทาตพฺพํฯ นวกมฺมิโก ภิกฺขุ อโนฺตวเสฺส ตํ อาวาสํ ลภติ, อุตุกาเล ปฎิพาหิตุํ น ลภติฯ ลทฺธนวกเมฺมน ปน ภิกฺขุนา วาสิผรสุนิขาทนาทีนิ คเหตฺวา สยํ น กาตพฺพํ, กตากตํ ชานิตพฺพํฯ สเจ โส อาวาโส ชีรติ, อาวาสสามิกสฺส วา ตสฺส วํเส อุปฺปนฺนสฺส วา กสฺสจิ กเถตพฺพํ ‘‘อาวาโส เต นสฺสติ, ชคฺคถ เอตํ อาวาส’’นฺติฯ สเจ โส น สโกฺกติ, ภิกฺขูหิ ญาตีหิ วา อุปฎฺฐาเกหิ วา สมาทาเปตฺวา ชคฺคิตโพฺพฯ สเจ เตปิ น สโกฺกนฺติ, สงฺฆิเกน ปจฺจเยน ชคฺคิตโพฺพ, ตสฺมิมฺปิ อสติ เอกํ อาวาสํ วิสฺสเชฺชตฺวา อวเสสา ชคฺคิตพฺพา, พหู วิสฺสเชฺชตฺวา เอกํ สณฺฐเปตุมฺปิ วฎฺฎติเยวฯ

    223. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, akataṃ vā vihāraṃ vippakataṃ vā navakammaṃ dātuṃ, khuddake vihāre kammaṃ oloketvā chappañcavassikaṃ navakammaṃ dātuṃ, aḍḍhayoge kammaṃ oloketvā sattaṭṭhavassikaṃ navakammaṃ dātuṃ, mahallake vihāre pāsāde vā kammaṃ oloketvā dasadvādasavassikaṃ navakammaṃ dātu’’nti (cūḷava. 323) vacanato akataṃ vippakataṃ vā senāsanaṃ ekassa bhikkhuno apalokanena vā kammavācāya vā sāvetvā navakammaṃ katvā vasituṃ yathāvuttakālaparicchedavasena dātabbaṃ. Navakammiko bhikkhu antovasse taṃ āvāsaṃ labhati, utukāle paṭibāhituṃ na labhati. Laddhanavakammena pana bhikkhunā vāsipharasunikhādanādīni gahetvā sayaṃ na kātabbaṃ, katākataṃ jānitabbaṃ. Sace so āvāso jīrati, āvāsasāmikassa vā tassa vaṃse uppannassa vā kassaci kathetabbaṃ ‘‘āvāso te nassati, jaggatha etaṃ āvāsa’’nti. Sace so na sakkoti, bhikkhūhi ñātīhi vā upaṭṭhākehi vā samādāpetvā jaggitabbo. Sace tepi na sakkonti, saṅghikena paccayena jaggitabbo, tasmimpi asati ekaṃ āvāsaṃ vissajjetvā avasesā jaggitabbā, bahū vissajjetvā ekaṃ saṇṭhapetumpi vaṭṭatiyeva.

    ทุพฺภิเกฺข ภิกฺขูสุ ปกฺกเนฺตสุ สเพฺพ อาวาสา นสฺสนฺติ, ตสฺมา เอกํ วา เทฺว วา ตโย วา อาวาเส วิสฺสเชฺชตฺวา ตโต ยาคุภตฺตจีวราทีนิ ปริภุญฺชเนฺตหิ เสสาวาสา ชคฺคิตพฺพาเยวฯ

    Dubbhikkhe bhikkhūsu pakkantesu sabbe āvāsā nassanti, tasmā ekaṃ vā dve vā tayo vā āvāse vissajjetvā tato yāgubhattacīvarādīni paribhuñjantehi sesāvāsā jaggitabbāyeva.

    กุรุนฺทิยํ ปน วุตฺตํ ‘‘สงฺฆิเก ปจฺจเย อสติ เอโก ภิกฺขุ ‘ตุยฺหํ เอกมญฺจฎฺฐานํ คเหตฺวา ชคฺคาหี’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ พหุตรํ อิจฺฉติ, ติภาคํ วา อุปฑฺฒภาคํ วา ทตฺวาปิ ชคฺคาเปตพฺพํฯ อถ ถมฺภมตฺตเมเวตฺถ อวสิฎฺฐํ, พหุกมฺมํ กาตพฺพนฺติ น อิจฺฉติ, ‘ตุยฺหํ ปุคฺคลิกเมว กตฺวา ชคฺคาหี’ติ ทาตพฺพํฯ เอวมฺปิ หิ ‘สงฺฆสฺส ภณฺฑกฐปนฎฺฐานญฺจ นวกานญฺจ วสนฎฺฐานํ ลภิสฺสตี’ติ ชคฺคาเปตโพฺพฯ เอวํ ชคฺคิโต ปน ตสฺมิํ ชีวเนฺต ปุคฺคลิโก โหติ, มเต สงฺฆิโกวฯ สเจ สทฺธิวิหาริกานํ ทาตุกาโม โหติ, กมฺมํ โอโลเกตฺวา ติภาคํ วา อุปฑฺฒํ วา ปุคฺคลิกํ กตฺวา ชคฺคาเปตโพฺพฯ เอวญฺหิ สทฺธิวิหาริกานํ ทาตุํ ลภติฯ เอวํ ชคฺคนเก ปน อสติ เอกํ อาวาสํ วิสฺสเชฺชตฺวาติอาทินา นเยน ชคฺคาเปตโพฺพ’’ติ วุตฺตํฯ อิทมฺปิ จ อญฺญํ ตเตฺถว วุตฺตํฯ

    Kurundiyaṃ pana vuttaṃ ‘‘saṅghike paccaye asati eko bhikkhu ‘tuyhaṃ ekamañcaṭṭhānaṃ gahetvā jaggāhī’ti vattabbo. Sace bahutaraṃ icchati, tibhāgaṃ vā upaḍḍhabhāgaṃ vā datvāpi jaggāpetabbaṃ. Atha thambhamattamevettha avasiṭṭhaṃ, bahukammaṃ kātabbanti na icchati, ‘tuyhaṃ puggalikameva katvā jaggāhī’ti dātabbaṃ. Evampi hi ‘saṅghassa bhaṇḍakaṭhapanaṭṭhānañca navakānañca vasanaṭṭhānaṃ labhissatī’ti jaggāpetabbo. Evaṃ jaggito pana tasmiṃ jīvante puggaliko hoti, mate saṅghikova. Sace saddhivihārikānaṃ dātukāmo hoti, kammaṃ oloketvā tibhāgaṃ vā upaḍḍhaṃ vā puggalikaṃ katvā jaggāpetabbo. Evañhi saddhivihārikānaṃ dātuṃ labhati. Evaṃ jagganake pana asati ekaṃ āvāsaṃ vissajjetvātiādinā nayena jaggāpetabbo’’ti vuttaṃ. Idampi ca aññaṃ tattheva vuttaṃ.

    เทฺว ภิกฺขู สงฺฆิกภูมิํ คเหตฺวา โสเธตฺวา สงฺฆิกเสนาสนํ กโรนฺติ, เยน สา ภูมิ ปฐมํ คหิตา, โส สามีฯ อุโภปิ ปุคฺคลิกํ กโรนฺติ, โสเยว สามีฯ โส สงฺฆิกํ กโรติ, อิตโร ปุคฺคลิกํ กโรติ, อญฺญํ เจ พหุ เสนาสนฎฺฐานํ อตฺถิ, ปุคฺคลิกํ กโรโนฺตปิ น วาเรตโพฺพฯ อญฺญสฺมิํ ปน ตาทิเส ปติรูเป ฐาเน อสติ ตํ ปฎิพาหิตฺวา สงฺฆิกํ กโรเนฺตเนว กาตพฺพํฯ ยํ ปน ตสฺส ตตฺถ วยกมฺมํ กตํ, ตํ ทาตพฺพํฯ สเจ ปน กตาวาเส วา อาวาสกรณฎฺฐาเน วา ฉายูปคผลูปคา รุกฺขา โหนฺติ, อปโลเกตฺวา หาเรตพฺพาฯ ปุคฺคลิกา เจ โหนฺติ, สามิกา อาปุจฺฉิตพฺพาฯ โน เจ เทนฺติ, ยาวตติยกํ อาปุจฺฉิตฺวา ‘‘รุกฺขอคฺฆนกมูลํ ทสฺสามา’’ติ หาเรตพฺพาฯ

    Dve bhikkhū saṅghikabhūmiṃ gahetvā sodhetvā saṅghikasenāsanaṃ karonti, yena sā bhūmi paṭhamaṃ gahitā, so sāmī. Ubhopi puggalikaṃ karonti, soyeva sāmī. So saṅghikaṃ karoti, itaro puggalikaṃ karoti, aññaṃ ce bahu senāsanaṭṭhānaṃ atthi, puggalikaṃ karontopi na vāretabbo. Aññasmiṃ pana tādise patirūpe ṭhāne asati taṃ paṭibāhitvā saṅghikaṃ karonteneva kātabbaṃ. Yaṃ pana tassa tattha vayakammaṃ kataṃ, taṃ dātabbaṃ. Sace pana katāvāse vā āvāsakaraṇaṭṭhāne vā chāyūpagaphalūpagā rukkhā honti, apaloketvā hāretabbā. Puggalikā ce honti, sāmikā āpucchitabbā. No ce denti, yāvatatiyakaṃ āpucchitvā ‘‘rukkhaagghanakamūlaṃ dassāmā’’ti hāretabbā.

    ๒๒๔. โย ปน สงฺฆิกํ วลฺลิมตฺตมฺปิ อคฺคเหตฺวา อาหริเมน อุปกรเณน สงฺฆิกาย ภูมิยา ปุคฺคลิกวิหารํ กาเรติ, อุปฑฺฒํ สงฺฆิกํ โหติ, อุปฑฺฒํ ปุคฺคลิกํฯ ปาสาโท เจ โหติ, เหฎฺฐาปาสาโท สงฺฆิโก, อุปริ ปุคฺคลิโกฯ สเจ โย เหฎฺฐาปาสาทํ อิจฺฉติ, เหฎฺฐาปาสาทํ ตสฺส โหติฯ อถ เหฎฺฐา จ อุปริ จ อิจฺฉติ, อุภยตฺถ อุปฑฺฒํ ลภติฯ เทฺว เสนาสนานิ กาเรติ, เอกํ สงฺฆิกํ, เอกํ ปุคฺคลิกํฯ สเจ วิหาเร อุฎฺฐิเตน ทพฺพสมฺภาเรน กาเรติ, ติภาคํ ลภติฯ สเจ อกตฎฺฐาเน จยํ วา ปมุขํ วา กโรติ พหิกุเฎฺฎ, อุปฑฺฒํ สงฺฆสฺส, อุปฑฺฒํ ตสฺสฯ อถ มหนฺตํ วิสมํ ปูเรตฺวา อปเท ปทํ ทเสฺสตฺวา กตํ โหติ, อนิสฺสโร ตตฺถ สโงฺฆฯ

    224. Yo pana saṅghikaṃ vallimattampi aggahetvā āharimena upakaraṇena saṅghikāya bhūmiyā puggalikavihāraṃ kāreti, upaḍḍhaṃ saṅghikaṃ hoti, upaḍḍhaṃ puggalikaṃ. Pāsādo ce hoti, heṭṭhāpāsādo saṅghiko, upari puggaliko. Sace yo heṭṭhāpāsādaṃ icchati, heṭṭhāpāsādaṃ tassa hoti. Atha heṭṭhā ca upari ca icchati, ubhayattha upaḍḍhaṃ labhati. Dve senāsanāni kāreti, ekaṃ saṅghikaṃ, ekaṃ puggalikaṃ. Sace vihāre uṭṭhitena dabbasambhārena kāreti, tibhāgaṃ labhati. Sace akataṭṭhāne cayaṃ vā pamukhaṃ vā karoti bahikuṭṭe, upaḍḍhaṃ saṅghassa, upaḍḍhaṃ tassa. Atha mahantaṃ visamaṃ pūretvā apade padaṃ dassetvā kataṃ hoti, anissaro tattha saṅgho.

    สเจ ภิกฺขุ สงฺฆิกวิหารโต โคปานสิอาทีนิ คเหตฺวา อญฺญสฺมิํ สงฺฆิกาวาเส โยเชติ, สุโยชิตานิฯ ปุคฺคลิกาวาเส โยเชเนฺตหิ ปน มูลํ วา ทาตพฺพํ, ปฎิปากติกํ วา กาตพฺพํฯ ฉฑฺฑิตวิหารโต มญฺจปีฐาทีนิ เถยฺยจิเตฺตน คณฺหโนฺต อุทฺธาเรเยว ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ ‘‘ปุน อาวาสิกกาเล ทสฺสามี’’ติ คเหตฺวา สงฺฆิกปริโภเคน ปริภุญฺชนฺตสฺส นฎฺฐํ สุนฎฺฐํ, ชิณฺณํ สุชิณฺณํฯ อโรคํ เจ, ปากติกํ กาตพฺพํ, ปุคฺคลิกปริโภเคน ปริภุญฺชนฺตสฺส นฎฺฐํ วา ชิณฺณํ วา คีวา โหติฯ ตโต ทฺวารวาตปานาทีนิ สงฺฆิกาวาเส วา ปุคฺคลิกาวาเส วา โยชิตานิ, ปฎิทาตพฺพานิเยวฯ สเจ โกจิ สงฺฆิโก วิหาโร อุนฺทฺริยติ, ยํ ตตฺถ มญฺจปีฐาทิกํ, ตํ คุตฺตตฺถาย อญฺญตฺร หริตุํ วฎฺฎติฯ ตสฺมา อญฺญตฺร หริตฺวา สงฺฆิกปริโภเคน ปริภุญฺชนฺตสฺส นฎฺฐํ สุนฎฺฐํ, ชิณฺณํ สุชิณฺณํฯ สเจ อโรคํ, ตสฺมิํ วิหาเร ปฎิสงฺขเต ปุน ปากติกํ กาตพฺพํฯ ปุคฺคลิกปริโภเคน ปริภุญฺชโต นฎฺฐํ วา ชิณฺณํ วา คีวา โหติ, ตสฺมิํ ปฎิสงฺขเต ทาตพฺพเมวฯ อยํ เสนาสนคฺคาหกถาฯ

    Sace bhikkhu saṅghikavihārato gopānasiādīni gahetvā aññasmiṃ saṅghikāvāse yojeti, suyojitāni. Puggalikāvāse yojentehi pana mūlaṃ vā dātabbaṃ, paṭipākatikaṃ vā kātabbaṃ. Chaḍḍitavihārato mañcapīṭhādīni theyyacittena gaṇhanto uddhāreyeva bhaṇḍagghena kāretabbo. ‘‘Puna āvāsikakāle dassāmī’’ti gahetvā saṅghikaparibhogena paribhuñjantassa naṭṭhaṃ sunaṭṭhaṃ, jiṇṇaṃ sujiṇṇaṃ. Arogaṃ ce, pākatikaṃ kātabbaṃ, puggalikaparibhogena paribhuñjantassa naṭṭhaṃ vā jiṇṇaṃ vā gīvā hoti. Tato dvāravātapānādīni saṅghikāvāse vā puggalikāvāse vā yojitāni, paṭidātabbāniyeva. Sace koci saṅghiko vihāro undriyati, yaṃ tattha mañcapīṭhādikaṃ, taṃ guttatthāya aññatra harituṃ vaṭṭati. Tasmā aññatra haritvā saṅghikaparibhogena paribhuñjantassa naṭṭhaṃ sunaṭṭhaṃ, jiṇṇaṃ sujiṇṇaṃ. Sace arogaṃ, tasmiṃ vihāre paṭisaṅkhate puna pākatikaṃ kātabbaṃ. Puggalikaparibhogena paribhuñjato naṭṭhaṃ vā jiṇṇaṃ vā gīvā hoti, tasmiṃ paṭisaṅkhate dātabbameva. Ayaṃ senāsanaggāhakathā.

    ๒๒๕. อยํ ปเนตฺถ จตุปจฺจยสาธารณกถา (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๕ ปกฺขิกภตฺตาทิกถา) – สมฺมเตน อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชเกน ภิกฺขุนา จีวรกมฺมํ กโรนฺตสฺส ‘‘สูจิํ เทหี’’ติ วทโต เอกา ทีฆา, เอกา รสฺสาติ เทฺว สูจิโย ทาตพฺพาฯ ‘‘อวิภตฺตํ สงฺฆิกภณฺฑ’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพกิจฺจํ นตฺถิฯ ปิปฺผลตฺถิกสฺส เอโก ปิปฺผลโก, กนฺตารํ ปฎิปชฺชิตุกามสฺส อุปาหนยุคฬํ, กายพนฺธนตฺถิกสฺส กายพนฺธนํ, ‘‘อํสพทฺธโก เม ชิโณฺณ’’ติ อาคตสฺส อํสพทฺธโก, ปริสฺสาวนตฺถิกสฺส ปริสฺสาวนํ ทาตพฺพํ, ธมฺมกรณตฺถิกสฺส ธมฺมกรโณฯ สเจ ปฎฺฎโก น โหติ, ธมฺมกรโณ ปฎฺฎเกน สทฺธิํ ทาตโพฺพฯ ‘‘อาคนฺตุกปตฺตํ อาโรเปสฺสามี’’ติ ยาจนฺตสฺส กุสิยา จ อฑฺฒกุสิยา จ ปโหนกํ ทาตพฺพํฯ ‘‘มณฺฑลํ นปฺปโหตี’’ติ อาคตสฺส มณฺฑลํ เอกํ ทาตพฺพํ, อฑฺฒมณฺฑลานิ เทฺว ทาตพฺพานิ, เทฺว มณฺฑลานิ ยาจนฺตสฺส น ทาตพฺพานิฯ อนุวาตปริภณฺฑตฺถิกสฺส เอกสฺส จีวรสฺส ปโหนกํ ทาตพฺพํ, สปฺปินวนีตาทิอตฺถิกสฺส คิลานสฺส เอกํ เภสชฺชํ นาฬิมตฺตํ กตฺวา ตโต ตติยโกฎฺฐาโส ทาตโพฺพฯ เอวํ ตีณิ ทิวสานิ ทตฺวา นาฬิยา ปริปุณฺณาย จตุตฺถทิวสโต ปฎฺฐาย สงฺฆํ อาปุจฺฉิตฺวา ทาตพฺพํ, คุฬปิเณฺฑปิ เอกทิวสํ ตติยภาโค ทาตโพฺพฯ เอวํ ตีหิ ทิวเสหิ นิฎฺฐิเต ปิเณฺฑ ตโต ปรํ สงฺฆํ อาปุจฺฉิตฺวา ทาตพฺพํฯ สมฺมนฺนิตฺวา ฐปิตยาคุภาชกาทีหิ จ ภาชนียฎฺฐานํ อาคตมนุสฺสานํ อนาปุจฺฉิตฺวาว อุปฑฺฒภาโค ทาตโพฺพฯ อสมฺมเตหิ ปน อปโลเกตฺวา ทาตโพฺพติฯ

    225. Ayaṃ panettha catupaccayasādhāraṇakathā (cūḷava. aṭṭha. 325 pakkhikabhattādikathā) – sammatena appamattakavissajjakena bhikkhunā cīvarakammaṃ karontassa ‘‘sūciṃ dehī’’ti vadato ekā dīghā, ekā rassāti dve sūciyo dātabbā. ‘‘Avibhattaṃ saṅghikabhaṇḍa’’nti pucchitabbakiccaṃ natthi. Pipphalatthikassa eko pipphalako, kantāraṃ paṭipajjitukāmassa upāhanayugaḷaṃ, kāyabandhanatthikassa kāyabandhanaṃ, ‘‘aṃsabaddhako me jiṇṇo’’ti āgatassa aṃsabaddhako, parissāvanatthikassa parissāvanaṃ dātabbaṃ, dhammakaraṇatthikassa dhammakaraṇo. Sace paṭṭako na hoti, dhammakaraṇo paṭṭakena saddhiṃ dātabbo. ‘‘Āgantukapattaṃ āropessāmī’’ti yācantassa kusiyā ca aḍḍhakusiyā ca pahonakaṃ dātabbaṃ. ‘‘Maṇḍalaṃ nappahotī’’ti āgatassa maṇḍalaṃ ekaṃ dātabbaṃ, aḍḍhamaṇḍalāni dve dātabbāni, dve maṇḍalāni yācantassa na dātabbāni. Anuvātaparibhaṇḍatthikassa ekassa cīvarassa pahonakaṃ dātabbaṃ, sappinavanītādiatthikassa gilānassa ekaṃ bhesajjaṃ nāḷimattaṃ katvā tato tatiyakoṭṭhāso dātabbo. Evaṃ tīṇi divasāni datvā nāḷiyā paripuṇṇāya catutthadivasato paṭṭhāya saṅghaṃ āpucchitvā dātabbaṃ, guḷapiṇḍepi ekadivasaṃ tatiyabhāgo dātabbo. Evaṃ tīhi divasehi niṭṭhite piṇḍe tato paraṃ saṅghaṃ āpucchitvā dātabbaṃ. Sammannitvā ṭhapitayāgubhājakādīhi ca bhājanīyaṭṭhānaṃ āgatamanussānaṃ anāpucchitvāva upaḍḍhabhāgo dātabbo. Asammatehi pana apaloketvā dātabboti.

    สงฺฆสฺส สนฺตกํ สมฺมเตน วา อาณเตฺตหิ วา อารามิกาทีหิ ทียมานํ, คิหีนญฺจ สนฺตกํ สามิเกน วา อาณเตฺตน วา ทียมานํ ‘‘อปรสฺส ภาคํ เทหี’’ติ อสนฺตํ ปุคฺคลํ วตฺวา คณฺหโต ภณฺฑาเทยฺยํฯ อเญฺญน ทียมานํ คณฺหโนฺต ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ อสมฺมเตน วา อนาณเตฺตน วา ทียมาเน ‘‘อปรมฺปิ ภาคํ เทหี’’ติ วตฺวา วา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา วา คณฺหโนฺต อุทฺธาเรเยว ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ อิตเรหิ ทียมานํ เอวํ คณฺหโต ภณฺฑาเทยฺยํ สามิเกน ปน ‘‘อิมสฺส เทหี’’ติ ทาปิตํ วา สยํ ทินฺนํ วา สุทินฺนนฺติ อยํ สพฺพฎฺฐกถาวินิจฺฉยโต สาโรฯ

    Saṅghassa santakaṃ sammatena vā āṇattehi vā ārāmikādīhi dīyamānaṃ, gihīnañca santakaṃ sāmikena vā āṇattena vā dīyamānaṃ ‘‘aparassa bhāgaṃ dehī’’ti asantaṃ puggalaṃ vatvā gaṇhato bhaṇḍādeyyaṃ. Aññena dīyamānaṃ gaṇhanto bhaṇḍagghena kāretabbo. Asammatena vā anāṇattena vā dīyamāne ‘‘aparampi bhāgaṃ dehī’’ti vatvā vā kūṭavassāni gaṇetvā vā gaṇhanto uddhāreyeva bhaṇḍagghena kāretabbo. Itarehi dīyamānaṃ evaṃ gaṇhato bhaṇḍādeyyaṃ sāmikena pana ‘‘imassa dehī’’ti dāpitaṃ vā sayaṃ dinnaṃ vā sudinnanti ayaṃ sabbaṭṭhakathāvinicchayato sāro.

    ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐสฺสปิ โอทนปฎิวีโส อโนฺตอุปจารสีมายํ ฐิตเสฺสว คเหตุํ วฎฺฎติฯ ยทิ ปน ทายกา ‘‘พหิอุปจารสีมฎฺฐานมฺปิ, ภเนฺต, คณฺหถ, อาคนฺตฺวา ปริภุญฺชิสฺสนฺตี’’ติ วทนฺติ, เอวํ อโนฺตคามฎฺฐานมฺปิ คเหตุํ วฎฺฎติฯ

    Piṇḍāya paviṭṭhassapi odanapaṭivīso antoupacārasīmāyaṃ ṭhitasseva gahetuṃ vaṭṭati. Yadi pana dāyakā ‘‘bahiupacārasīmaṭṭhānampi, bhante, gaṇhatha, āgantvā paribhuñjissantī’’ti vadanti, evaṃ antogāmaṭṭhānampi gahetuṃ vaṭṭati.

    ปาฬิํ อฎฺฐกถเญฺจว, โอโลเกตฺวา วิจกฺขโณ;

    Pāḷiṃ aṭṭhakathañceva, oloketvā vicakkhaṇo;

    สงฺฆิเก ปจฺจเย เอวํ, อปฺปมโตฺตว ภาชเยติฯ

    Saṅghike paccaye evaṃ, appamattova bhājayeti.

    อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห สพฺพาการโต

    Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe sabbākārato

    จตุปจฺจยภาชนียวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ

    Catupaccayabhājanīyavinicchayakathā samattā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact