Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā |
๔๙. จตุรารกฺขนิเทฺทสวณฺณนา
49. Caturārakkhaniddesavaṇṇanā
๔๖๑-๒. อสุภนฺติ อสุภภาวนาฯ อิเม จตฺตาโร จตุรารกฺขา นามาติ อธิปฺปาโยฯ อิทานิ เต ทเสฺสตุํ ‘‘อารกตฺตาทินา’’ติอาทิมาหฯ อารกตฺตาทินาติ เอตฺถ อารกตฺตา, อรีนํ อรานญฺจ หตตฺตา, ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวาติ อิเมหิ ตาว จตูหิ การเณหิ โส ภควา อรหนฺติ อนุสฺสริตโพฺพติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺหตํ –
461-2.Asubhanti asubhabhāvanā. Ime cattāro caturārakkhā nāmāti adhippāyo. Idāni te dassetuṃ ‘‘ārakattādinā’’tiādimāha. Ārakattādināti ettha ārakattā, arīnaṃ arānañca hatattā, paccayādīnaṃ arahattā, pāpakaraṇe rahābhāvāti imehi tāva catūhi kāraṇehi so bhagavā arahanti anussaritabboti attho. Vuttañhetaṃ –
‘‘อารกตฺตา หตตฺตา จ, กิเลสารีน โส มุนิ;
‘‘Ārakattā hatattā ca, kilesārīna so muni;
หตสํสารจกฺกาโร, ปจฺจยาทีน จารโห;
Hatasaṃsāracakkāro, paccayādīna cāraho;
น รโห กโรติ ปาปานิ, อรหํ เตน วุจฺจตี’’ติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑; วิสุทฺธิ. ๑.๑๓๐);
Na raho karoti pāpāni, arahaṃ tena vuccatī’’ti. (pārā. aṭṭha. 1.1; visuddhi. 1.130);
ภควา ปน สพฺพกิเลเสหิ สุวิทูรวิทูเร ฐิโต มเคฺคน สวาสนกิเลสานํ หตตฺตา, ตสฺมา ‘‘อารกตฺตา อรห’’นฺติ วุโตฺตฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Bhagavā pana sabbakilesehi suvidūravidūre ṭhito maggena savāsanakilesānaṃ hatattā, tasmā ‘‘ārakattā araha’’nti vutto. Vuttañhetaṃ –
‘‘โส ตโต อารกา นาม;
‘‘So tato ārakā nāma;
ยสฺส เยนาสมงฺคิตา;
Yassa yenāsamaṅgitā;
อสมงฺคี จ โทเสหิ,
Asamaṅgī ca dosehi,
นาโถ เตนารหํ มโต’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๕);
Nātho tenārahaṃ mato’’ti. (visuddhi. 1.125);
ภควตา ปน สพฺพกิเลสารโย หตา, ตสฺมา ‘‘อรีนํ หตตฺตาปิ อรห’’นฺติ วุโตฺตฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Bhagavatā pana sabbakilesārayo hatā, tasmā ‘‘arīnaṃ hatattāpi araha’’nti vutto. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยสฺมา ราคาทิสงฺขาตา, สเพฺพปิ อรโย หตา;
‘‘Yasmā rāgādisaṅkhātā, sabbepi arayo hatā;
ปญฺญาสเตฺถน นาเถน, ตสฺมาปิ อรหํ มโต’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๖);
Paññāsatthena nāthena, tasmāpi arahaṃ mato’’ti. (visuddhi. 1.126);
ยํ ปเนตํ อวิชฺชาภวตณฺหามยนาภิปุญฺญาภิสงฺขารอปุญฺญาภิสงฺขารอาเนญฺชาภิสงฺขารารํ ชรามรณเนมิ ‘‘อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๓) วจนโต อาสวสมุทยมเยน อเกฺขน วิชฺฌิตฺวา ติภวรเถ โยชิตํ อนาทิกาลปฺปวตฺตํ สํสารจกฺกํ, ตสฺส ภควโต โพธิรุกฺขมูเล สมฺมปฺปธานวีริยปาเทหิ จตุปาริสุทฺธิสีลปถวิยํ ปติฎฺฐาย สทฺธาหเตฺถน กมฺมกฺขยกรญาณผรสุํ คเหตฺวา สเพฺพ อรา หตาฯ ตสฺมา ‘‘อรานํ หตตฺตา อรห’’นฺติ วุโตฺตฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Yaṃ panetaṃ avijjābhavataṇhāmayanābhipuññābhisaṅkhāraapuññābhisaṅkhāraāneñjābhisaṅkhārāraṃ jarāmaraṇanemi ‘‘āsavasamudayā avijjāsamudayo’’ti (ma. ni. 1.103) vacanato āsavasamudayamayena akkhena vijjhitvā tibhavarathe yojitaṃ anādikālappavattaṃ saṃsāracakkaṃ, tassa bhagavato bodhirukkhamūle sammappadhānavīriyapādehi catupārisuddhisīlapathaviyaṃ patiṭṭhāya saddhāhatthena kammakkhayakarañāṇapharasuṃ gahetvā sabbe arā hatā. Tasmā ‘‘arānaṃ hatattā araha’’nti vutto. Vuttañhetaṃ –
‘‘อรา สํสารจกฺกสฺส, หตา ญาณาสินา ยโต;
‘‘Arā saṃsāracakkassa, hatā ñāṇāsinā yato;
โลกนาเถน เตเนส, อรหนฺติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๘);
Lokanāthena tenesa, arahanti pavuccatī’’ti. (visuddhi. 1.128);
อคฺคทกฺขิเณยฺยตฺตา จีวราทีนํ ปจฺจยานํ อุตฺตมปูชาย จ ยุโตฺต ภควา, ตสฺมา ‘‘ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา จ อรห’’นฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Aggadakkhiṇeyyattā cīvarādīnaṃ paccayānaṃ uttamapūjāya ca yutto bhagavā, tasmā ‘‘paccayādīnaṃ arahattā ca araha’’nti vuccati. Vuttañhetaṃ –
‘‘ปูชาวิเสสํ สห ปจฺจเยหิ,
‘‘Pūjāvisesaṃ saha paccayehi,
ยสฺมา อยํ อรหติ โลกนาโถ;
Yasmā ayaṃ arahati lokanātho;
อตฺถานุรูปํ อรหนฺติ โลเก,
Atthānurūpaṃ arahanti loke,
ตสฺมา ชิโน อรหติ นามเมต’’นฺติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๙);
Tasmā jino arahati nāmameta’’nti. (visuddhi. 1.129);
ยถา โลเก เกจิ ปณฺฑิตมานิโน อสิโลกภเยน รโห ปาปานิ กโรนฺติ, ตถา ภควา กทาจิปิ น กโรติ, ตสฺมา ‘‘ปาปกรเณ รหาภาวา จ อรห’’นฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Yathā loke keci paṇḍitamānino asilokabhayena raho pāpāni karonti, tathā bhagavā kadācipi na karoti, tasmā ‘‘pāpakaraṇe rahābhāvā ca araha’’nti vuccati. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยสฺมา นตฺถิ รโห นาม, ปาปกเมฺมสุ ตาทิโน;
‘‘Yasmā natthi raho nāma, pāpakammesu tādino;
รหาภาเวน เตเนส, อรหํ อิติ วิสฺสุโต’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๓๐) –
Rahābhāvena tenesa, arahaṃ iti vissuto’’ti. (visuddhi. 1.130) –
เอวํ อารกตฺตาทินา อรหนฺติ ภาเวตพฺพํฯ
Evaṃ ārakattādinā arahanti bhāvetabbaṃ.
สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ สมฺมาติ ญาเยเนว, อภิเญฺญเยฺย ธเมฺม อภิเญฺญยฺยโต ปริเญฺญเยฺย ธเมฺม ปริเญฺญยฺยโต ปหาตเพฺพ ธเมฺม ปหาตพฺพโต สจฺฉิกาตเพฺพ ธเมฺม สจฺฉิกาตพฺพโต ภาเวตเพฺพ ธเมฺม ภาเวตพฺพโต เอวาติ อโตฺถฯ สามญฺจาติ อตฺตนาวฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā pana sammāsambuddho. Sammāti ñāyeneva, abhiññeyye dhamme abhiññeyyato pariññeyye dhamme pariññeyyato pahātabbe dhamme pahātabbato sacchikātabbe dhamme sacchikātabbato bhāvetabbe dhamme bhāvetabbato evāti attho. Sāmañcāti attanāva. Vuttañhetaṃ –
‘‘อภิเญฺญยฺยํ อภิญฺญาตํ, ภาเวตพฺพญฺจ ภาวิตํ;
‘‘Abhiññeyyaṃ abhiññātaṃ, bhāvetabbañca bhāvitaṃ;
ปหาตพฺพํ ปหีนํ เม, ตสฺมา พุโทฺธสฺมิ พฺราหฺมณา’’ติฯ (ม. นิ. ๒.๓๙๙; สุ. นิ. ๕๖๓);
Pahātabbaṃ pahīnaṃ me, tasmā buddhosmi brāhmaṇā’’ti. (ma. ni. 2.399; su. ni. 563);
‘‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถาเทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา’’ติ เอวํ วุเตฺต นวเภเท ภควโต คุเณ ยา ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชนโต สติเยว อนุสฺสติ, ปวตฺติตพฺพฎฺฐานมฺหิเยว วา ปวตฺตตฺตา สทฺธาปพฺพชิตสฺส กุลปุตฺตสฺส อนุรูปา สตีติ อนุสฺสติ, พุทฺธํ อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนุสฺสติ พุทฺธานุสฺสติ, ยา เอวํ นววิเธน ปวตฺตา สติ , สา พุทฺธานุสฺสติ นามาติ อโตฺถฯ สพฺพากาเรน ปน อาจริเยน พุทฺธโฆเสน พุทฺธานุสฺสติ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๓ อาทโย) วุตฺตา, อตฺถิเกน ปน ตโต ปจฺจาสีสิตพฺพาฯ
‘‘Itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthādevamanussānaṃ buddho bhagavā’’ti evaṃ vutte navabhede bhagavato guṇe yā punappunaṃ uppajjanato satiyeva anussati, pavattitabbaṭṭhānamhiyeva vā pavattattā saddhāpabbajitassa kulaputtassa anurūpā satīti anussati, buddhaṃ ārabbha uppannā anussati buddhānussati, yā evaṃ navavidhena pavattā sati , sā buddhānussati nāmāti attho. Sabbākārena pana ācariyena buddhaghosena buddhānussati visuddhimagge (visuddhi. 1.123 ādayo) vuttā, atthikena pana tato paccāsīsitabbā.
๔๖๓-๔. จตุรารกฺขาย สายํปาตํ ภาเวตพฺพตฺตา เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสเนฺตน เถเรน สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐานภาวนาวเสน ทสฺสิตาติ เวทิตพฺพาฯ อิตรถา ‘‘อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา, น หเนยฺย น ฆาตเย’’ติ (ธ. ป. ๑๒๙-๑๓๐) วจนโต สพฺพปฐมํ ‘‘อหํ สุขิโต โหมิ, อเวโร’’ติอาทินา นเยน ภาเวตฺวาว อตฺตนิ จิตฺตํ นิปริพนฺธมานํ กตฺวา ปจฺฉา อาจริยุปชฺฌายาทีสุ กเมน ภาเวตพฺพาฯ อตฺตนิ ปน อปฺปนา น โหติฯ โคจรคามมฺหิ อิสฺสเร ชเนติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถาติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๖๕) โคจรคาเมฯ สีมฎฺฐสงฺฆโต ปฎฺฐาย ปริจฺฉิชฺช ปริจฺฉิชฺชาติ อโตฺถฯ เอวํ เมตฺตํ ภาเวโนฺต ภิกฺขุสเงฺฆ เมตฺตาย สหวาสีนํ มุทุจิตฺตํ ชเนติ, อถสฺส สุขสํวาสตา โหติฯ สีมฎฺฐกเทวตาสุ เมตฺตาย มุทุกตจิตฺตาหิ เทวตาหิ ธมฺมิกาย รกฺขาย สุสํวิหิตรโกฺข โหติฯ โคจรคามมฺหิ อิสฺสรชเน เมตฺตาย มุทุกตจิตฺตสนฺตาเนหิ อิสฺสเรหิ ธมฺมิกาย รกฺขาย สุรกฺขิตปริกฺขาโร โหติฯ ตตฺถ มนุเสฺส เมตฺตาย ปสาทิตจิเตฺตหิ เตหิ อปริภูโต หุตฺวา วิจรติฯ สพฺพสเตฺตสุ เมตฺตาย สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตจาโร โหติฯ
463-4. Caturārakkhāya sāyaṃpātaṃ bhāvetabbattā mettābhāvanaṃ dassentena therena sabbatthakakammaṭṭhānabhāvanāvasena dassitāti veditabbā. Itarathā ‘‘attānaṃ upamaṃ katvā, na haneyya na ghātaye’’ti (dha. pa. 129-130) vacanato sabbapaṭhamaṃ ‘‘ahaṃ sukhito homi, avero’’tiādinā nayena bhāvetvāva attani cittaṃ niparibandhamānaṃ katvā pacchā ācariyupajjhāyādīsu kamena bhāvetabbā. Attani pana appanā na hoti. Gocaragāmamhi issare janeti sambandho. Tatthāti (pārā. aṭṭha. 2.165) gocaragāme. Sīmaṭṭhasaṅghato paṭṭhāya paricchijja paricchijjāti attho. Evaṃ mettaṃ bhāvento bhikkhusaṅghe mettāya sahavāsīnaṃ muducittaṃ janeti, athassa sukhasaṃvāsatā hoti. Sīmaṭṭhakadevatāsu mettāya mudukatacittāhi devatāhi dhammikāya rakkhāya susaṃvihitarakkho hoti. Gocaragāmamhi issarajane mettāya mudukatacittasantānehi issarehi dhammikāya rakkhāya surakkhitaparikkhāro hoti. Tattha manusse mettāya pasāditacittehi tehi aparibhūto hutvā vicarati. Sabbasattesu mettāya sabbattha appaṭihatacāro hoti.
๔๖๕-๖. วณฺณโต จ สณฺฐานโต จ โอกาสโต จ ทิสโต จ ปริเจฺฉทโต จ เกสาทิโกฎฺฐาเส ววตฺถเปตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ เอตฺถ วณฺณโตติ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๑๐) เกสาทีนํ วณฺณโตฯ สณฺฐานโตติ เตสํเยว สณฺฐานโตฯ โอกาสโตติ ‘‘อยํ โกฎฺฐาโส อิมสฺมิํ นาม โอกาเส ปติฎฺฐิโต’’ติ เอวํ ตสฺส ตสฺส โอกาสโตฯ ทิสโตติ อิมสฺมิํ สรีเร นาภิโต อุทฺธํ อุปริมา ทิสา, อโธ เหฎฺฐิมา ทิสา, ตสฺมา ‘‘อยํ โกฎฺฐาโส อิมิสฺสา นาม ทิสายา’’ติ ทิสา ววตฺถเปตพฺพาฯ ปริเจฺฉทโตติ สภาคปริเจฺฉทโต วิสภาคปริเจฺฉทโตติ เทฺว ปริเจฺฉทาฯ ตตฺถ ‘‘อยํ โกฎฺฐาโส เหฎฺฐา จ อุปริ จ ติริยญฺจ อิมินา นาม ปริเจฺฉโท’’ติ เอวํ สภาคปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพฯ ‘‘เกสา น โลมา, โลมา น เกสา’’ติ เอวํ อมิสฺสกวเสน วิสภาคปริเจฺฉโทฯ
465-6. Vaṇṇato ca saṇṭhānato ca okāsato ca disato ca paricchedato ca kesādikoṭṭhāse vavatthapetvāti sambandho. Ettha vaṇṇatoti (visuddhi. 1.110) kesādīnaṃ vaṇṇato. Saṇṭhānatoti tesaṃyeva saṇṭhānato. Okāsatoti ‘‘ayaṃ koṭṭhāso imasmiṃ nāma okāse patiṭṭhito’’ti evaṃ tassa tassa okāsato. Disatoti imasmiṃ sarīre nābhito uddhaṃ uparimā disā, adho heṭṭhimā disā, tasmā ‘‘ayaṃ koṭṭhāso imissā nāma disāyā’’ti disā vavatthapetabbā. Paricchedatoti sabhāgaparicchedato visabhāgaparicchedatoti dve paricchedā. Tattha ‘‘ayaṃ koṭṭhāso heṭṭhā ca upari ca tiriyañca iminā nāma paricchedo’’ti evaṃ sabhāgaparicchedo veditabbo. ‘‘Kesā na lomā, lomā na kesā’’ti evaṃ amissakavasena visabhāgaparicchedo.
เอวํ ปญฺจหิ อากาเรหิ ววตฺถานาการํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ มนสิ กโรเนฺตน เอวํ มนสิ กาตพฺพนฺติ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุปุพฺพโต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนุปุพฺพโตติ สชฺฌายกรณกาลโต ปฎฺฐาย ‘‘เกสา นขา’’ติ เอวํ เอกนฺตริกาย วา ‘‘โลมา เกสา’’ติ เอวํ อุปฺปฎิปาฎิยา วา น มนสิ กาตพฺพํ, อถ โข ‘‘เกสา โลมา’’ติอาทินา นเยน อนุปฎิปาฎิยา มนสิ กาตพฺพํ, อนุปฎิปาฎิยา มนสิ กโรเนฺตนาปิ นาติสีฆํ นาติสณิกํ มนสิ กาตพฺพํ, พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมเณ เจตโส วิเกฺขโป ปฎิพาหิตโพฺพฯ ‘‘ปณฺณตฺติํ สมติกฺกมฺม, มุญฺจนฺตสฺสานุปุพฺพโต’’ติ ปาโฐ คเหตโพฺพฯ เอวญฺหิ สติ ภาวนากฺกเมน อโตฺถ สุวิเญฺญโยฺย โหติฯ ‘‘เกสา โลมา’’ติอาทิปญฺญตฺติํ อมนสิกตฺวา ปฎิกฺกูลภาเวน เอวํ จิตฺตํ ฐเปตพฺพํฯ มุญฺจนฺตสฺสานุปุพฺพโตติ โย โย โกฎฺฐาโส อาปาถํ นาคจฺฉติ, ตํ ตํ อนุปุพฺพโต มุญฺจนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ
Evaṃ pañcahi ākārehi vavatthānākāraṃ dassetvā idāni manasi karontena evaṃ manasi kātabbanti taṃ dassetuṃ ‘‘anupubbato’’tiādimāha. Tattha anupubbatoti sajjhāyakaraṇakālato paṭṭhāya ‘‘kesā nakhā’’ti evaṃ ekantarikāya vā ‘‘lomā kesā’’ti evaṃ uppaṭipāṭiyā vā na manasi kātabbaṃ, atha kho ‘‘kesā lomā’’tiādinā nayena anupaṭipāṭiyā manasi kātabbaṃ, anupaṭipāṭiyā manasi karontenāpi nātisīghaṃ nātisaṇikaṃ manasi kātabbaṃ, bahiddhā puthuttārammaṇe cetaso vikkhepo paṭibāhitabbo. ‘‘Paṇṇattiṃ samatikkamma, muñcantassānupubbato’’ti pāṭho gahetabbo. Evañhi sati bhāvanākkamena attho suviññeyyo hoti. ‘‘Kesā lomā’’tiādipaññattiṃ amanasikatvā paṭikkūlabhāvena evaṃ cittaṃ ṭhapetabbaṃ. Muñcantassānupubbatoti yo yo koṭṭhāso āpāthaṃ nāgacchati, taṃ taṃ anupubbato muñcantassāti attho.
๔๖๗. อิทานิ ยถา ปฎิกฺกูลมนสิกาโร กาตโพฺพ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘วณฺณอาสยสณฺฐานา’’ติอาทิมาหฯ เอเตหิ วณฺณาทีหิ โกฎฺฐาเสหิ ปฎิกฺกูลาติ ภาวนาติ สมฺพโนฺธฯ เอตฺถ (วิภ. อฎฺฐ. ๓๕๖; วิสุทฺธิ. ๑.๑๗๘) เกสา ตาว วณฺณโตปิ ปฎิกฺกูลาฯ ตถา หิ ยาคุภตฺตาทีสุ เกสวณฺณํ กิญฺจิ ทิสฺวา ชิคุจฺฉนฺติฯ สณฺฐานโตปิ ปฎิกฺกูลาฯ ตถา หิ รตฺติํ ภุญฺชนฺตา เกสสณฺฐานํ มกจิวากาทิกํ ฉุปิตฺวา ชิคุจฺฉนฺติฯ เตลมกฺขนาทิวิรหิตานญฺจ อคฺคิมฺหิ ปกฺขิตฺตานญฺจ คโนฺธ อติวิย ปฎิกฺกูโลติ คนฺธโตปิ ปฎิกฺกูลาฯ อสุจิฎฺฐาเน ชาตสูเปยฺยปณฺณํ วิย ปุพฺพโลหิตมุตฺตกรีสปิตฺตเสมฺหาทินิสฺสเนฺทน ชาตตฺตา อาสยโตปิ ปฎิกฺกูลาฯ คูถราสิมฺหิ อุฎฺฐิตกณฺณิกํ วิย เอกติํสโกฎฺฐาสราสิมฺหิ ชาตตฺตา โอกาสโตปิ ปฎิกฺกูลาฯ อุทฺธุมาตกํ วินีลกํ วิปุพฺพกํ วิจฺฉิทฺทกํ วิกฺขายิตกํ วิกฺขิตฺตกํ หตวิกฺขิตฺตกํ โลหิตกํ ปุฬวกํ อฎฺฐิกนฺติ อิเมสุ อุทฺธุมาตกาทีสุ วตฺถูสุ อสุภาการํ คเหตฺวา ปวตฺตา ภาวนา วา อสุภํ นามาติ อโตฺถฯ
467. Idāni yathā paṭikkūlamanasikāro kātabbo, taṃ dassetuṃ ‘‘vaṇṇaāsayasaṇṭhānā’’tiādimāha. Etehi vaṇṇādīhi koṭṭhāsehi paṭikkūlāti bhāvanāti sambandho. Ettha (vibha. aṭṭha. 356; visuddhi. 1.178) kesā tāva vaṇṇatopi paṭikkūlā. Tathā hi yāgubhattādīsu kesavaṇṇaṃ kiñci disvā jigucchanti. Saṇṭhānatopi paṭikkūlā. Tathā hi rattiṃ bhuñjantā kesasaṇṭhānaṃ makacivākādikaṃ chupitvā jigucchanti. Telamakkhanādivirahitānañca aggimhi pakkhittānañca gandho ativiya paṭikkūloti gandhatopi paṭikkūlā. Asuciṭṭhāne jātasūpeyyapaṇṇaṃ viya pubbalohitamuttakarīsapittasemhādinissandena jātattā āsayatopi paṭikkūlā. Gūtharāsimhi uṭṭhitakaṇṇikaṃ viya ekatiṃsakoṭṭhāsarāsimhi jātattā okāsatopi paṭikkūlā. Uddhumātakaṃ vinīlakaṃ vipubbakaṃ vicchiddakaṃ vikkhāyitakaṃ vikkhittakaṃ hatavikkhittakaṃ lohitakaṃ puḷavakaṃ aṭṭhikanti imesu uddhumātakādīsu vatthūsu asubhākāraṃ gahetvā pavattā bhāvanā vā asubhaṃ nāmāti attho.
๔๖๘. ยํ ปเนตํ อรหนฺตานํ วฎฺฎทุกฺขสมุเจฺฉทสงฺขาตํ สมุเจฺฉทมรณํ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๖๗), สงฺขารานํ ขณภงฺคสงฺขาตํ ขณิกมรณํ, ‘‘รุโกฺข มโต, โลหํ มต’’นฺติอาทิ สมฺมุติมรณญฺจ, น ตํ อิธ อธิเปฺปตํฯ อิธ ปน มรณนฺติ เอกภวปริยาปนฺนสฺส ชีวิตินฺทฺริยสฺส อุปเจฺฉโท อธิเปฺปโตฯ ตมฺปิ กาลมรณํ อกาลมรณนฺติ ทุวิธํ โหติฯ ตตฺถ กาลมรณํ ปุญฺญกฺขเยน วา อายุกฺขเยน วา อุภยกฺขเยน วา โหติ, อกาลมรณํ อุปปีฬกอุปเจฺฉทกกมฺมวเสน ฯ ‘‘มรณํ เม ภวิสฺสตี’’ติ วา ‘‘ชีวิตํ อุจฺฉิชฺชิสฺสตี’’ติ วา ‘‘มรณํ มรณ’’นฺติ วา โยนิโส ภาวยิตฺวานาติ สมฺพโนฺธฯ
468. Yaṃ panetaṃ arahantānaṃ vaṭṭadukkhasamucchedasaṅkhātaṃ samucchedamaraṇaṃ (visuddhi. 1.167), saṅkhārānaṃ khaṇabhaṅgasaṅkhātaṃ khaṇikamaraṇaṃ, ‘‘rukkho mato, lohaṃ mata’’ntiādi sammutimaraṇañca, na taṃ idha adhippetaṃ. Idha pana maraṇanti ekabhavapariyāpannassa jīvitindriyassa upacchedo adhippeto. Tampi kālamaraṇaṃ akālamaraṇanti duvidhaṃ hoti. Tattha kālamaraṇaṃ puññakkhayena vā āyukkhayena vā ubhayakkhayena vā hoti, akālamaraṇaṃ upapīḷakaupacchedakakammavasena . ‘‘Maraṇaṃ me bhavissatī’’ti vā ‘‘jīvitaṃ ucchijjissatī’’ti vā ‘‘maraṇaṃ maraṇa’’nti vā yoniso bhāvayitvānāti sambandho.
๔๖๙-๗๐. ยสฺส ปน เอตฺตาวตา อุปจารชฺฌานํ น อุปฺปชฺชติ, เตน วธกปจฺจุปฎฺฐานโต สมฺปตฺติวิปตฺติโต อุปสํหรณโต กายพหุสาธารณโต อายุทุพฺพลโต อนิมิตฺตโต อทฺธานปริเจฺฉทโต ขณปริตฺตโตติ อิเมหิ อฎฺฐหิ อากาเรหิ มรณํ อนุสฺสริตพฺพํ, อิทานิ เต ทเสฺสตุํ ‘‘วธกเสฺสวุปฎฺฐาน’’นฺติอาทิมาหฯ อสิํ อุกฺขิปิตฺวา สีสํ ฉินฺทิตุํ ฐิตวธโก วิย มรณํ ปจฺจุปฎฺฐิตเมวาติ ภาวนา มรณสฺสติ นามาติ สมฺพโนฺธฯ เอวํ สพฺพตฺถฯ สพฺพํ อาโรคฺยํ พฺยาธิปริโยสานํ, สพฺพํ โยพฺพนํ ชราปริโยสานํ, สพฺพํ ชีวิตํ มรณปริโยสานํ, ตสฺมา ‘‘อยํ โยพฺพนาทิกายสมฺปตฺติ ตาวเทว โสภติ, ยาว มรณสงฺขาตา วิปตฺติ น ภวิสฺสตี’’ติ เอวมาทินา สมฺปตฺติวิปตฺติโต จ, สตฺตหากาเรหิ อุปสํหรณโต มรณํ อนุสฺสริตพฺพํ ยสมหตฺตโต ปุญฺญมหตฺตโต ถามมหตฺตโต อิทฺธิมหตฺตโต ปญฺญามหตฺตโต ปเจฺจกพุทฺธโต สมฺมาสมฺพุทฺธโตติฯ ตตฺถ ‘‘อิทํ มรณํ นาม มหายสานํ มหาปริวารานํ มหาสมฺมตมนฺธาตาทีนมฺปิ อุปริ ปตติ, กิมงฺคํ ปน มยฺหํ อุปริ น ปติสฺสตี’’ติ เอวํ ยสมหตฺตโต,
469-70. Yassa pana ettāvatā upacārajjhānaṃ na uppajjati, tena vadhakapaccupaṭṭhānato sampattivipattito upasaṃharaṇato kāyabahusādhāraṇato āyudubbalato animittato addhānaparicchedato khaṇaparittatoti imehi aṭṭhahi ākārehi maraṇaṃ anussaritabbaṃ, idāni te dassetuṃ ‘‘vadhakassevupaṭṭhāna’’ntiādimāha. Asiṃ ukkhipitvā sīsaṃ chindituṃ ṭhitavadhako viya maraṇaṃ paccupaṭṭhitamevāti bhāvanā maraṇassati nāmāti sambandho. Evaṃ sabbattha. Sabbaṃ ārogyaṃ byādhipariyosānaṃ, sabbaṃ yobbanaṃ jarāpariyosānaṃ, sabbaṃ jīvitaṃ maraṇapariyosānaṃ, tasmā ‘‘ayaṃ yobbanādikāyasampatti tāvadeva sobhati, yāva maraṇasaṅkhātā vipatti na bhavissatī’’ti evamādinā sampattivipattito ca, sattahākārehi upasaṃharaṇato maraṇaṃ anussaritabbaṃ yasamahattato puññamahattato thāmamahattato iddhimahattato paññāmahattato paccekabuddhato sammāsambuddhatoti. Tattha ‘‘idaṃ maraṇaṃ nāma mahāyasānaṃ mahāparivārānaṃ mahāsammatamandhātādīnampi upari patati, kimaṅgaṃ pana mayhaṃ upari na patissatī’’ti evaṃ yasamahattato,
‘‘โชติโก ชฎิโล อุโคฺค,
‘‘Jotiko jaṭilo uggo,
เมณฺฑโก อถ ปุณฺณโก;
Meṇḍako atha puṇṇako;
เอเต จเญฺญ จ เย โลเก,
Ete caññe ca ye loke,
มหาปุญฺญาติ วิสฺสุตา;
Mahāpuññāti vissutā;
สเพฺพ มรณมาปนฺนา,
Sabbe maraṇamāpannā,
มาทิเสสุ กถาว กา’’ติฯ –
Mādisesu kathāva kā’’ti. –
เอวํ ปุญฺญมหตฺตโต,
Evaṃ puññamahattato,
‘‘วาสุเทโว พลเทโว, ภีมเสนาทโย มหา;
‘‘Vāsudevo baladevo, bhīmasenādayo mahā;
พลา มจฺจุวสํ ปตฺตา, มาทิเสสุ กถาว กา’’ติฯ –
Balā maccuvasaṃ pattā, mādisesu kathāva kā’’ti. –
เอวํ ถามมหตฺตโต,
Evaṃ thāmamahattato,
‘‘มหาโมคฺคลฺลานาทีนํ มหิทฺธิกานมฺปิ อุปริ ปตติ, มาทิเสสุ กถาว กา’’ติ เอวํ อิทฺธิมหตฺตโต, ‘‘สาริปุตฺตาทีนํ มหาปญฺญานมฺปิ อุปริ ปตติ, มาทิเสสุ กถาว กา’’ติ เอวํ ปญฺญามหตฺตโตฯ เอวํ อิตเรสมฺปิ ปเจฺจกพุทฺธสมฺมาสมฺพุทฺธานมฺปิ มหนฺตภาวํ จิเนฺตตฺวา ‘‘เตสมฺปิ อุปริ มรณํ ปตติ, กิมงฺคํ ปน มยฺหํ อุปริ น ปติสฺสตี’’ติ เอวํ อุปสํหรณโต จ, ‘‘อยํ กาโย พหุสาธารโณ อชฺฌตฺติกานํเยว อเนกสตานํ โรคานํ พาหิรานํ อหิวิจฺฉิกาทีนญฺจา’’ติ กายพหุสาธารณโต จ, ‘‘อสฺสาสปสฺสาสปฎิพทฺธํ ชีวิต’’นฺติอาทินา นเยน อายุทุพฺพลโต จ,
‘‘Mahāmoggallānādīnaṃ mahiddhikānampi upari patati, mādisesu kathāva kā’’ti evaṃ iddhimahattato, ‘‘sāriputtādīnaṃ mahāpaññānampi upari patati, mādisesu kathāva kā’’ti evaṃ paññāmahattato. Evaṃ itaresampi paccekabuddhasammāsambuddhānampi mahantabhāvaṃ cintetvā ‘‘tesampi upari maraṇaṃ patati, kimaṅgaṃ pana mayhaṃ upari na patissatī’’ti evaṃ upasaṃharaṇato ca, ‘‘ayaṃ kāyo bahusādhāraṇo ajjhattikānaṃyeva anekasatānaṃ rogānaṃ bāhirānaṃ ahivicchikādīnañcā’’ti kāyabahusādhāraṇato ca, ‘‘assāsapassāsapaṭibaddhaṃ jīvita’’ntiādinā nayena āyudubbalato ca,
‘‘ชีวิตํ พฺยาธิ กาโล จ,
‘‘Jīvitaṃ byādhi kālo ca,
เทหนิเกฺขปนํ คติ;
Dehanikkhepanaṃ gati;
ปเญฺจเต ชีวโลกสฺมิํ;
Pañcete jīvalokasmiṃ;
อนิมิตฺตา น นายเร’’ติฯ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๐; ชา. อฎฺฐ. ๒.๒.๓๔) –
Animittā na nāyare’’ti. (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.20; jā. aṭṭha. 2.2.34) –
เอวํ กาลววตฺถานสฺส อภาวโต จ, ‘‘โย, ภิกฺขเว, จิรํ ชีวติ, โส วสฺสสตํ ชีวติ อปฺปํ วา ภิโยฺย’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๔๕) วุตฺตตฺตา เอวมาทินา นเยน อทฺธานสฺส ปริเจฺฉทาจ ภาวนา มรณสฺสติ นามาติ อโตฺถฯ ขณปริตฺตโต จ มรณสฺสติ ภาเวตพฺพาฯ
Evaṃ kālavavatthānassa abhāvato ca, ‘‘yo, bhikkhave, ciraṃ jīvati, so vassasataṃ jīvati appaṃ vā bhiyyo’’ti (saṃ. ni. 1.145) vuttattā evamādinā nayena addhānassa paricchedāca bhāvanā maraṇassati nāmāti attho. Khaṇaparittato ca maraṇassati bhāvetabbā.
‘‘ชีวิตํ อตฺตภาโว จ,
‘‘Jīvitaṃ attabhāvo ca,
สุขทุกฺขา จ เกวลา;
Sukhadukkhā ca kevalā;
เอกจิตฺตสมายุตฺตา,
Ekacittasamāyuttā,
ลหุ โส วตฺตเต ขโณ’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๗๖) –
Lahu so vattate khaṇo’’ti. (visuddhi. 1.176) –
หิ วุตฺตํฯ จตุรารกฺขวินิจฺฉโยฯ
Hi vuttaṃ. Caturārakkhavinicchayo.
จตุรารกฺขนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Caturārakkhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.