Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā |
๔๙. จตุรารกฺขนิเทฺทสวณฺณนา
49. Caturārakkhaniddesavaṇṇanā
๔๖๑-๒. พุทฺธานุสฺสติ …เป.… มรณสฺสตีติ อิมา จตุรารกฺขา นามาติ เสโสฯ อารกตฺตาทินาติ อารกภาโว อารกตฺตํ, ตํ อาทิ ยสฺส ‘‘อรีนํ หตตฺตา’’ติอาทิกสฺส ตํ อารกตฺตาทิฯ เตน เตน มเคฺคน สวาสนานํ อรานํ หตตฺตา อารกา สพฺพกิเลเสหิ สุวิทูรวิทูเร ฐิโตติ อา-การสฺส รสฺสตฺตํ, ก-การสฺส ห-การํ สานุนาสิกํ กตฺวา ‘‘อรห’’นฺติ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ ‘‘อารกา’’ติ จ วุเตฺต สามญฺญโชตนาย วิเสเส อวฎฺฐานโต, วิเสสตฺถินา จ วิเสสสฺส อนุปฺปโยชิตพฺพตฺตา ‘‘กิเลเสหี’’ติ ลพฺภติฯ
461-2. Buddhānussati …pe… maraṇassatīti imā caturārakkhā nāmāti seso. Ārakattādināti ārakabhāvo ārakattaṃ, taṃ ādi yassa ‘‘arīnaṃ hatattā’’tiādikassa taṃ ārakattādi. Tena tena maggena savāsanānaṃ arānaṃ hatattā ārakā sabbakilesehi suvidūravidūre ṭhitoti ā-kārassa rassattaṃ, ka-kārassa ha-kāraṃ sānunāsikaṃ katvā ‘‘araha’’nti padasiddhi veditabbā. ‘‘Ārakā’’ti ca vutte sāmaññajotanāya visese avaṭṭhānato, visesatthinā ca visesassa anuppayojitabbattā ‘‘kilesehī’’ti labbhati.
สมฺมาติ อวิปรีตํฯ สามนฺติ สยเมว, อปรเนโยฺย หุตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘สมฺพุโทฺธ’’ติ หิ เอตฺถ สํ-สโทฺท ‘‘สย’’นฺติ เอตสฺส อตฺถสฺส โพธโก ทฎฺฐโพฺพฯ พุทฺธโตติ ภาวปฺปธาโนยํ นิเทฺทโส, พุทฺธตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘อรหํ’’ อิติ วา ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ อิติ วา ภควโต นวเภเท คุเณ ยา ปุนปฺปุนํ อนุสฺสติ, สา พุทฺธานุสฺสตีติ โยชนาฯ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ อิตี’’ติ วตฺตเพฺพ อ-กาโร สนฺธิวเสน อาคโตฯ อิติ-สโทฺท ปเนตฺถ อาทิอโตฺถ, อิจฺจาทีติ อโตฺถฯ นวเภเทติ ‘‘อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถี’’ติ เอกโต คเหตฺวาฯ เอตฺถ ปน อุปจาโร อุปฺปชฺชติ, น อปฺปนา, ตถา มรณสฺสติยํฯ อิตเรสุ ปน อุภยมฺปิ อุปฺปชฺชตีติ เวทิตพฺพํฯ พุทฺธานุสฺสติฯ
Sammāti aviparītaṃ. Sāmanti sayameva, aparaneyyo hutvāti attho. ‘‘Sambuddho’’ti hi ettha saṃ-saddo ‘‘saya’’nti etassa atthassa bodhako daṭṭhabbo. Buddhatoti bhāvappadhānoyaṃ niddeso, buddhattāti attho. ‘‘Arahaṃ’’ iti vā ‘‘sammāsambuddho’’ iti vā bhagavato navabhede guṇe yā punappunaṃ anussati, sā buddhānussatīti yojanā. ‘‘Sammāsambuddho itī’’ti vattabbe a-kāro sandhivasena āgato. Iti-saddo panettha ādiattho, iccādīti attho. Navabhedeti ‘‘anuttaro purisadammasārathī’’ti ekato gahetvā. Ettha pana upacāro uppajjati, na appanā, tathā maraṇassatiyaṃ. Itaresu pana ubhayampi uppajjatīti veditabbaṃ. Buddhānussati.
๔๖๓-๔. ‘‘สีมฎฺฐา’’ติอาทินา เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสติฯ สีมฎฺฐสเงฺฆติ สีมายํ ติฎฺฐตีติ สีมโฎฺฐ , โสว สโงฺฆฯ โคจรคามมฺหิ อิสฺสเร ชเนติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ มานุเส อุปาทาย สพฺพสเตฺตสูติ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ คาเมฯ สุขิตา โหนฺตุ อเวราติ ปทเจฺฉโทฯ อาทินาติ ‘‘อพฺยาปชฺชา โหนฺตุ, อนีฆา โหนฺตุ, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตู’’ติ อิมินาฯ ปริจฺฉิชฺช ปริจฺฉิชฺชาติ ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร สเพฺพ ภิกฺขู’’ติอาทินา เอวมฺปิ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปริจฺฉินฺทิตฺวาฯ เมตฺตาภาวนาฯ
463-4.‘‘Sīmaṭṭhā’’tiādinā mettābhāvanaṃ dasseti. Sīmaṭṭhasaṅgheti sīmāyaṃ tiṭṭhatīti sīmaṭṭho , sova saṅgho. Gocaragāmamhi issare janeti sambandho. Tattha mānuse upādāya sabbasattesūti yojetabbaṃ. Tatthāti tasmiṃ gāme. Sukhitā hontu averāti padacchedo. Ādināti ‘‘abyāpajjā hontu, anīghā hontu, sukhī attānaṃ pariharantū’’ti iminā. Paricchijja paricchijjāti ‘‘imasmiṃ vihāre sabbe bhikkhū’’tiādinā evampi paricchinditvā paricchinditvā. Mettābhāvanā.
๔๖๕-๖. อิทานิ อสุภํ นิทฺทิสโนฺต สพฺพปฐมํ สาเธตพฺพํ สตฺตวิธมุคฺคหโกสลฺลํ ‘‘วเณฺณ’’จฺจาทินา ทเสฺสติฯ สตฺตวิธญฺหิ ตํ นยโต อาคตํ วาจาสชฺฌายมนสาสชฺฌาเยหิ สทฺธิํฯ ตตฺถ ปฐมํ วาจาย สชฺฌายเนฺตน จตฺตาริ ตจปญฺจกาทีนิ ปริจฺฉินฺทิตฺวา อนุโลมปฺปฎิโลมวเสน กาตพฺพํฯ ยถา ปน วจสา, ตเถว มนสาปิ สชฺฌาโย กาตโพฺพฯ วจสา สชฺฌาโย หิ มนสา สชฺฌายสฺส ปจฺจโยฯ โส ปน ลกฺขณปฺปฎิเวธสฺส ปจฺจโยฯ ตตฺถ วโณฺณ นาม เกสาทีนํ วโณฺณฯ สณฺฐานํ เตสํเยว สณฺฐานํฯ โอกาโส เตสํเยว ปติโฎฺฐกาโสฯ ทิสา นาภิโต อุทฺธํ อุปริมทิสา, อโธ เหฎฺฐิมาฯ ปริเจฺฉโท นาม ‘‘อยํ โกฎฺฐาโส เหฎฺฐา จ อุปริ จ ติริยญฺจ อิมินา นาม ปริจฺฉิโนฺน’’ติ เอวํ สภาคปริเจฺฉโท เจว ‘‘เกสา น โลมา, โลมา น เกสา’’ติ เอวํ อมิสฺสกตาวเสน วิสภาคปริเจฺฉโท จฯ เกสาทิโกฎฺฐาเส ววตฺถเปตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ ววตฺถเปตฺวาติ วุตฺตนเยน ววตฺถเปตฺวาฯ
465-6. Idāni asubhaṃ niddisanto sabbapaṭhamaṃ sādhetabbaṃ sattavidhamuggahakosallaṃ ‘‘vaṇṇe’’ccādinā dasseti. Sattavidhañhi taṃ nayato āgataṃ vācāsajjhāyamanasāsajjhāyehi saddhiṃ. Tattha paṭhamaṃ vācāya sajjhāyantena cattāri tacapañcakādīni paricchinditvā anulomappaṭilomavasena kātabbaṃ. Yathā pana vacasā, tatheva manasāpi sajjhāyo kātabbo. Vacasā sajjhāyo hi manasā sajjhāyassa paccayo. So pana lakkhaṇappaṭivedhassa paccayo. Tattha vaṇṇo nāma kesādīnaṃ vaṇṇo. Saṇṭhānaṃ tesaṃyeva saṇṭhānaṃ. Okāso tesaṃyeva patiṭṭhokāso. Disā nābhito uddhaṃ uparimadisā, adho heṭṭhimā. Paricchedo nāma ‘‘ayaṃ koṭṭhāso heṭṭhā ca upari ca tiriyañca iminā nāma paricchinno’’ti evaṃ sabhāgaparicchedo ceva ‘‘kesā na lomā, lomā na kesā’’ti evaṃ amissakatāvasena visabhāgaparicchedo ca. Kesādikoṭṭhāse vavatthapetvāti sambandho. Vavatthapetvāti vuttanayena vavatthapetvā.
เอวํ ววตฺถเปเนฺตน ยถาวุตฺตํ สตฺตวิธํ อุคฺคหโกสลฺลํ สมฺปาเทตฺวา อฎฺฐารสวิธํ มนสิการโกสลฺลํ สมฺปาเทตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุปุพฺพโต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อปฺปนาโต ตโย จ สุตฺตนฺตาติ อิเม จตฺตาโรปิ นยโตวาคเต นาติสีฆาทีสุ ปกฺขิปิตฺวา ทสวิธตา เวทิตพฺพาฯ อนุปุพฺพโตติ สชฺฌายกรณโต ปฎฺฐาย อนุปฎิปาฎิยาฯ นาติสีฆํ นาติสณิกํ กตฺวาติ กิริยาวิเสสนํฯ วิเกฺขปํ ปฎิพาหยนฺติ กมฺมฎฺฐานํ วิสฺสเชฺชตฺวา พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมเณ เจตโส วิเกฺขปํ ปฎิพาหโนฺตฯ ปณฺณตฺติํ สมติกฺกมฺมาติ ยายํ ‘‘เกสา โลมา’’ติ ปณฺณตฺติ, ตํ อติกฺกมิตฺวา, ‘‘ปฎิกฺกูล’’นฺติ จิตฺตํ ฐเปตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ อนุปุพฺพโต มุญฺจนฺตสฺสาติ โย โย โกฎฺฐาโส น อุปฎฺฐาติ, ตํ ตํ อนุกฺกเมน มุญฺจโต, ตสฺส ‘‘ภาวนา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ vavatthapentena yathāvuttaṃ sattavidhaṃ uggahakosallaṃ sampādetvā aṭṭhārasavidhaṃ manasikārakosallaṃ sampādetabbanti dassetuṃ ‘‘anupubbato’’tiādimāha. Tattha appanāto tayo ca suttantāti ime cattāropi nayatovāgate nātisīghādīsu pakkhipitvā dasavidhatā veditabbā. Anupubbatoti sajjhāyakaraṇato paṭṭhāya anupaṭipāṭiyā. Nātisīghaṃ nātisaṇikaṃ katvāti kiriyāvisesanaṃ. Vikkhepaṃpaṭibāhayanti kammaṭṭhānaṃ vissajjetvā bahiddhā puthuttārammaṇe cetaso vikkhepaṃ paṭibāhanto. Paṇṇattiṃ samatikkammāti yāyaṃ ‘‘kesā lomā’’ti paṇṇatti, taṃ atikkamitvā, ‘‘paṭikkūla’’nti cittaṃ ṭhapetvāti adhippāyo. Anupubbato muñcantassāti yo yo koṭṭhāso na upaṭṭhāti, taṃ taṃ anukkamena muñcato, tassa ‘‘bhāvanā’’ti iminā sambandho veditabbo.
๔๖๗. เอวํ อุภยโกสลฺลํ สมฺปาเทตฺวา สพฺพโกฎฺฐาเส วณฺณาทิวเสน ววตฺถเปตฺวา วณฺณาทิวเสเนว ปญฺจธา ปฎิกฺกูลตา ววตฺถเปตพฺพาติ ทเสฺสตุํ ‘‘วณฺณา’’ติอาทิมาหฯ วณฺณ…เป.… โอกาเสหิ โกฎฺฐาเส ปฎิกฺกูลาติ ภาวนา อสุภนฺติ โยชนาฯ ตตฺร เกสา ตาว ปกติวเณฺณน กาฬกา อทฺทาริฎฺฐกวณฺณา, สณฺฐานโต ทีฆวฎฺฎตุลาทณฺฑสณฺฐานา, ทิสโต อุปริมทิสาย ชาตา, โอกาสโต อุโภสุ ปเสฺสสุ กณฺณจูฬิกาหิ, ปุรโต นฬาฎเนฺตน, ปจฺฉโต คฬวาฎเกน ปริจฺฉินฺนา, สีสกฎาหเวฐนอลฺลจมฺมํ เกสานํ โอกาโสฯ ปริเจฺฉทโต เกสา สีสเวฐนจเมฺม วีหคฺคมตฺตํ ปวิสิตฺวา ปติฎฺฐิเตน เหฎฺฐา อตฺตโน มูลตเลน, อุปริ อากาเสน, ติริยํ อญฺญมเญฺญน ปริจฺฉินฺนาฯ เทฺว เกสา เอกโต นตฺถีติ อยํ สภาคปริเจฺฉโทฯ ‘‘เกสา น โลมา, โลมา น เกสา’’ติ เอวํ อวเสสเอกติํ สโกฎฺฐาเสหิ อมิสฺสีกตา เกสา นาม ปาฎิเยโกฺก เอโก โกฎฺฐาโสติ อยํ วิสภาคปริเจฺฉโทฯ อิทํ เกสานํ วณฺณาทิโต นิจฺฉยนํฯ อิทํ ปน เนสํ วณฺณาทิวเสน ปญฺจธา ปฎิกฺกูลโต นิจฺฉยนํ – เกสา นาเมเต วณฺณโตปิ ปฎิกฺกูลา อาสยโตปิ สณฺฐานโตปิ คนฺธโตปิ โอกาสโตปิ ปฎิกฺกูลาติ เอวํ เสสโกฎฺฐาสานมฺปิ ยถาโยคํ เวทิตพฺพํฯ
467. Evaṃ ubhayakosallaṃ sampādetvā sabbakoṭṭhāse vaṇṇādivasena vavatthapetvā vaṇṇādivaseneva pañcadhā paṭikkūlatā vavatthapetabbāti dassetuṃ ‘‘vaṇṇā’’tiādimāha. Vaṇṇa…pe… okāsehi koṭṭhāse paṭikkūlāti bhāvanā asubhanti yojanā. Tatra kesā tāva pakativaṇṇena kāḷakā addāriṭṭhakavaṇṇā, saṇṭhānato dīghavaṭṭatulādaṇḍasaṇṭhānā, disato uparimadisāya jātā, okāsato ubhosu passesu kaṇṇacūḷikāhi, purato naḷāṭantena, pacchato gaḷavāṭakena paricchinnā, sīsakaṭāhaveṭhanaallacammaṃ kesānaṃ okāso. Paricchedato kesā sīsaveṭhanacamme vīhaggamattaṃ pavisitvā patiṭṭhitena heṭṭhā attano mūlatalena, upari ākāsena, tiriyaṃ aññamaññena paricchinnā. Dve kesā ekato natthīti ayaṃ sabhāgaparicchedo. ‘‘Kesā na lomā, lomā na kesā’’ti evaṃ avasesaekatiṃ sakoṭṭhāsehi amissīkatā kesā nāma pāṭiyekko eko koṭṭhāsoti ayaṃ visabhāgaparicchedo. Idaṃ kesānaṃ vaṇṇādito nicchayanaṃ. Idaṃ pana nesaṃ vaṇṇādivasena pañcadhā paṭikkūlato nicchayanaṃ – kesā nāmete vaṇṇatopi paṭikkūlā āsayatopi saṇṭhānatopi gandhatopi okāsatopi paṭikkūlāti evaṃ sesakoṭṭhāsānampi yathāyogaṃ veditabbaṃ.
อุทฺธุมาตาทิวตฺถูสูติ อุทฺธุมาตกวินีลกวิปุพฺพกวิจฺฉิทฺทกวิกฺขายิตกวิกฺขิตฺตกหตวิ- กฺขิตฺตกโลหิตกปุฬวกอฎฺฐิกสงฺขาเตสุ ทเสสุ อวิญฺญาณกอสุภวตฺถูสุ อสุภาการํ คเหตฺวา ปวตฺตา ภาวนา วา อสุภนฺติ สมฺพโนฺธฯ อสุภภาวนาฯ
Uddhumātādivatthūsūti uddhumātakavinīlakavipubbakavicchiddakavikkhāyitakavikkhittakahatavi- kkhittakalohitakapuḷavakaaṭṭhikasaṅkhātesu dasesu aviññāṇakaasubhavatthūsu asubhākāraṃ gahetvā pavattā bhāvanā vā asubhanti sambandho. Asubhabhāvanā.
๔๖๘. ‘‘มรณํ เม ภวิสฺสตี’’ติ วา ‘‘ชีวิตํ เม อุปรุชฺฌตี’’ติ วา ‘‘มรณํ มรณ’’นฺติ วา โยนิโส ภาวยิตฺวานาติ โยชนาฯ ชีวิตนฺติ รูปชีวิตินฺทฺริยญฺจ อรูปชีวิตินฺทฺริยญฺจฯ โยนิโสติ อุปาเยนฯ เอวํ ปวตฺตยโตเยว หิ เอกจฺจสฺส นีวรณานิ วิกฺขมฺภนฺติ, มรณารมฺมณา สติ สณฺฐาติ, อุปจารปฺปตฺตเมว กมฺมฎฺฐานํ โหติฯ
468. ‘‘Maraṇaṃ me bhavissatī’’ti vā ‘‘jīvitaṃ me uparujjhatī’’ti vā ‘‘maraṇaṃ maraṇa’’nti vā yoniso bhāvayitvānāti yojanā. Jīvitanti rūpajīvitindriyañca arūpajīvitindriyañca. Yonisoti upāyena. Evaṃ pavattayatoyeva hi ekaccassa nīvaraṇāni vikkhambhanti, maraṇārammaṇā sati saṇṭhāti, upacārappattameva kammaṭṭhānaṃ hoti.
๔๖๙-๔๗๐. ยสฺส ปน เอตฺตาวตา น โหติ, เตน วธกปจฺจูปฎฺฐานาทีหิ อฎฺฐหากาเรหิ มรณํ อนุสฺสริตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘วธกเสฺสวา’’ติอาทิมาหฯ วธกสฺส อิว อุปฎฺฐานาติ ‘‘อิมสฺส สีสํ ฉินฺทิสฺสามี’’ติ อสิํ คเหตฺวา คีวาย สญฺจารยมานสฺส วธกสฺส วิย มรณสฺส อุปฎฺฐานโตฯ สมฺปตฺตีนํ วิปตฺติโตติ โภคสมฺปตฺติยา ชีวิตสมฺปตฺติยา จ วินาสมรณสงฺขาตวิปตฺติโตฯ อุปสํหรโตติ ยสมหตฺตโต ปุญฺญมหตฺตโต ถามมหตฺตโต อิทฺธิมหตฺตโต ปญฺญามหตฺตโต ปเจฺจกพุทฺธโต สมฺมาสมฺพุทฺธโตติ อิเมหิ สตฺตหากาเรหิ อตฺตโน อุปสํหรณโต ฯ กายพหุสาธารณาติ อสีติยา กิมิกุลานํ, อเนกสตานํ โรคานํ, พาหิรานญฺจ อหิวิจฺฉิกาทีนํ มรณสฺส ปจฺจยานํ สาธารณโตฯ อายุทุพฺพลโตติ อสฺสาสปสฺสาสูปนิพทฺธตฺตอิริยาปถูปนิพทฺธตฺตาทินา อายุโน ทุพฺพลโตฯ กาลววตฺถานสฺส อภาวโตติ ‘‘อิมสฺมิํเยว กาเล มริตพฺพํ, น อญฺญสฺมิ’’นฺติ เอวํ กาลววตฺถานสฺส อภาวโตฯ อทฺธานสฺส ปริเจฺฉทาติ ‘‘มนุสฺสานํ ชีวิตสฺส ปริเจฺฉโท นาม เอตรหิ ปริโตฺต, อทฺธา โย จิรํ ชีวติ, โส วสฺสสตํ ชีวตี’’ติ เอวํ อทฺธานสฺส กาลสฺส ปริเจฺฉทโตฯ
469-470. Yassa pana ettāvatā na hoti, tena vadhakapaccūpaṭṭhānādīhi aṭṭhahākārehi maraṇaṃ anussaritabbanti dassetuṃ ‘‘vadhakassevā’’tiādimāha. Vadhakassa iva upaṭṭhānāti ‘‘imassa sīsaṃ chindissāmī’’ti asiṃ gahetvā gīvāya sañcārayamānassa vadhakassa viya maraṇassa upaṭṭhānato. Sampattīnaṃ vipattitoti bhogasampattiyā jīvitasampattiyā ca vināsamaraṇasaṅkhātavipattito. Upasaṃharatoti yasamahattato puññamahattato thāmamahattato iddhimahattato paññāmahattato paccekabuddhato sammāsambuddhatoti imehi sattahākārehi attano upasaṃharaṇato . Kāyabahusādhāraṇāti asītiyā kimikulānaṃ, anekasatānaṃ rogānaṃ, bāhirānañca ahivicchikādīnaṃ maraṇassa paccayānaṃ sādhāraṇato. Āyudubbalatoti assāsapassāsūpanibaddhattairiyāpathūpanibaddhattādinā āyuno dubbalato. Kālavavatthānassa abhāvatoti ‘‘imasmiṃyeva kāle maritabbaṃ, na aññasmi’’nti evaṃ kālavavatthānassa abhāvato. Addhānassa paricchedāti ‘‘manussānaṃ jīvitassa paricchedo nāma etarahi paritto, addhā yo ciraṃ jīvati, so vassasataṃ jīvatī’’ti evaṃ addhānassa kālassa paricchedato.
เอตฺถ ปน กมฺมฎฺฐานํ ภาเวตฺวา วิปสฺสนาย สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺตุกาเมน พุทฺธปุเตฺตน ยํ กาตพฺพํ, ตํ อาทิกมฺมิกสฺส กุลปุตฺตสฺส วเสน อาทิโต ปฎฺฐาย สเงฺขเปโนปทิสฺสามฯ จตุพฺพิธํ ตาว สีลํ โสเธตพฺพํฯ ตตฺถ ติวิธา วิสุชฺฌนา อนาปชฺชนํ, อาปนฺนวุฎฺฐานํ, กิเลเสหิ จ อปฺปฎิปีฬนํฯ เอวํ วิสุทฺธสีลสฺส หิ ภาวนา สมฺปชฺชติฯ ยมฺปิทํ เจติยงฺคณวตฺตาทีนํ วเสน อาภิสมาจาริกสีลํ วุจฺจติ, ตมฺปิ สาธุกํ ปริปูเรตพฺพํฯ ตโต –
Ettha pana kammaṭṭhānaṃ bhāvetvā vipassanāya saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pattukāmena buddhaputtena yaṃ kātabbaṃ, taṃ ādikammikassa kulaputtassa vasena ādito paṭṭhāya saṅkhepenopadissāma. Catubbidhaṃ tāva sīlaṃ sodhetabbaṃ. Tattha tividhā visujjhanā anāpajjanaṃ, āpannavuṭṭhānaṃ, kilesehi ca appaṭipīḷanaṃ. Evaṃ visuddhasīlassa hi bhāvanā sampajjati. Yampidaṃ cetiyaṅgaṇavattādīnaṃ vasena ābhisamācārikasīlaṃ vuccati, tampi sādhukaṃ paripūretabbaṃ. Tato –
‘‘อาวาโส จ กุลํ ลาโภ, คโณ กมฺมญฺจ ปญฺจมํ;
‘‘Āvāso ca kulaṃ lābho, gaṇo kammañca pañcamaṃ;
อทฺธานํ ญาติ อาพาโธ, คโนฺถ อิทฺธีติ เต ทสา’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๔๑) –
Addhānaṃ ñāti ābādho, gantho iddhīti te dasā’’ti. (visuddhi. 1.41) –
เอวํ วุเตฺตสุ ทสสุ ปลิโพเธสุ โย ปลิโพโธ, โย อุปจฺฉินฺทิตโพฺพฯ เอวํ อุปจฺฉินฺนปลิโพเธน –
Evaṃ vuttesu dasasu palibodhesu yo palibodho, yo upacchinditabbo. Evaṃ upacchinnapalibodhena –
‘‘ปิโย ครุ ภาวนีโย, วตฺตา จ วจนกฺขโม;
‘‘Piyo garu bhāvanīyo, vattā ca vacanakkhamo;
คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา, โน จาฎฺฐาเน นิโยชโก’’ติฯ (อ. นิ. ๗.๓๗) –
Gambhīrañca kathaṃ kattā, no cāṭṭhāne niyojako’’ti. (a. ni. 7.37) –
เอวํ วุตฺตลกฺขณํ อาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตพฺพํฯ ตํ ทุวิธํ โหติ สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐานญฺจ ปาริหาริยกมฺมฎฺฐานญฺจฯ ตตฺถ สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐานํ นาม ภิกฺขุสงฺฆาทีสุ เมตฺตา, มรณสฺสติ จ, ‘‘อสุภสญฺญา’’ติปิ เอเกฯ เอตํ ปน ตยํ สพฺพตฺถ อตฺถยิตพฺพํ อิจฺฉิตพฺพนฺติ กตฺวา, อธิเปฺปตสฺส จ โยคานุโยคกมฺมสฺส ปทฎฺฐานตฺตา ‘‘สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐาน’’นฺติ วุจฺจติฯ อฎฺฐติํสารมฺมเณสุ ปน ยํ ยสฺส จริตานุกูลํ, ตํ ตสฺส นิจฺจํ ปริหริตพฺพตฺตา ยถาวุเตฺตเนว นเยน ‘‘ปาริหาริยกมฺมฎฺฐาน’’นฺติ วุจฺจติ, ตโต –
Evaṃ vuttalakkhaṇaṃ ācariyaṃ upasaṅkamitvā kammaṭṭhānaṃ uggahetabbaṃ. Taṃ duvidhaṃ hoti sabbatthakakammaṭṭhānañca pārihāriyakammaṭṭhānañca. Tattha sabbatthakakammaṭṭhānaṃ nāma bhikkhusaṅghādīsu mettā, maraṇassati ca, ‘‘asubhasaññā’’tipi eke. Etaṃ pana tayaṃ sabbattha atthayitabbaṃ icchitabbanti katvā, adhippetassa ca yogānuyogakammassa padaṭṭhānattā ‘‘sabbatthakakammaṭṭhāna’’nti vuccati. Aṭṭhatiṃsārammaṇesu pana yaṃ yassa caritānukūlaṃ, taṃ tassa niccaṃ pariharitabbattā yathāvutteneva nayena ‘‘pārihāriyakammaṭṭhāna’’nti vuccati, tato –
‘‘มหาวาสํ นวาวาสํ, ชราวาสญฺจ ปนฺถนิํ;
‘‘Mahāvāsaṃ navāvāsaṃ, jarāvāsañca panthaniṃ;
โสณฺฑิํ ปณฺณญฺจ ปุปฺผญฺจ, ผลํ ปตฺถิตเมว จฯ
Soṇḍiṃ paṇṇañca pupphañca, phalaṃ patthitameva ca.
‘‘นครํ ทารุนา เขตฺตํ, วิสภาเคน ปฎฺฎนํ;
‘‘Nagaraṃ dārunā khettaṃ, visabhāgena paṭṭanaṃ;
ปจฺจนฺตสีมาสปฺปายํ, ยตฺถ มิโตฺต น ลพฺภติฯ
Paccantasīmāsappāyaṃ, yattha mitto na labbhati.
‘‘อฎฺฐารเสตานิ ฐานานิ, อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต;
‘‘Aṭṭhārasetāni ṭhānāni, iti viññāya paṇḍito;
อารกา ปริวเชฺชยฺย, มคฺคํ สปฺปฎิภยํ ยถา’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๕๒) –
Ārakā parivajjeyya, maggaṃ sappaṭibhayaṃ yathā’’ti. (visuddhi. 1.52) –
วุตฺตอฎฺฐารสเสนาสนโทสวชฺชิตํ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, เสนาสนํ นาติทูรํ โหติ นจฺจาสนฺนํ คมนาคมนสมฺปนฺนํ ทิวา อปฺปากิณฺณํ รตฺติํ อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆสํ อปฺปฑํสมกสวาตาตปสรีสปสมฺผสฺสํฯ ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน วิหรนฺตสฺส อปฺปกสิเรเนว อุปฺปชฺชนฺติ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราฯ ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน เถรา ภิกฺขู วิหรนฺติ พหุสฺสุตา อาคตาคมา ธมฺมวินยธรา มาติกาธราฯ เต กาเลน กาลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปริปุจฺฉติ ปริปญฺหติ ‘อิทํ ภเนฺต กถํ, อิมสฺส โก อโตฺถ’ติฯ ตสฺส เต อายสฺมโนฺต อวิวฎเญฺจว วิวรนฺติ, อนุตฺตานีกตญฺจ อุตฺตานิํ กโรนฺติ, อเนกวิหิเตสุ จ กงฺขาฐานีเยสุ ธเมฺมสุ กงฺขํ ปฎิวิโนเทนฺติฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, เสนาสนํ ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ โหตี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๑) วุตฺตปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ เสนาสนํ อุปคมฺม ตตฺถ วสเนฺตน ‘‘ทีฆานิ เกสโลมนขานิ ฉินฺทิตพฺพานิ, ชิณฺณจีวเรสุ อคฺคฬอนุวาตปริภณฺฑทานาทินา ทฬฺหีกมฺมํ วา ตนฺตเจฺฉทาทีสุ ตุนฺนกมฺมํ วา กาตพฺพํ, กิลิฎฺฐานิ รชิตพฺพานิ, สเจ ปเตฺต มลํ โหติ, ปโตฺต ปจิตโพฺพ, มญฺจปีฐาทีนิ โสเธตพฺพานี’’ติ เอวํ วุตฺตอุปจฺฉินฺนขุทฺทกปลิโพเธน กตภตฺตกิเจฺจน ภตฺตสมฺมทํ วิโนเทตฺวา รตนตฺตยคุณานุสฺสรเณน จิตฺตํ สมฺปหํเสตฺวา อาจริยุคฺคหโต เอกปทมฺปิ อสมฺมุยฺหเนฺตน มนสิ กาตพฺพนฺติฯ
Vuttaaṭṭhārasasenāsanadosavajjitaṃ ‘‘idha, bhikkhave, senāsanaṃ nātidūraṃ hoti naccāsannaṃ gamanāgamanasampannaṃ divā appākiṇṇaṃ rattiṃ appasaddaṃ appanigghosaṃ appaḍaṃsamakasavātātapasarīsapasamphassaṃ. Tasmiṃ kho pana senāsane viharantassa appakasireneva uppajjanti cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārā. Tasmiṃ kho pana senāsane therā bhikkhū viharanti bahussutā āgatāgamā dhammavinayadharā mātikādharā. Te kālena kālaṃ upasaṅkamitvā paripucchati paripañhati ‘idaṃ bhante kathaṃ, imassa ko attho’ti. Tassa te āyasmanto avivaṭañceva vivaranti, anuttānīkatañca uttāniṃ karonti, anekavihitesu ca kaṅkhāṭhānīyesu dhammesu kaṅkhaṃ paṭivinodenti. Evaṃ kho, bhikkhave, senāsanaṃ pañcaṅgasamannāgataṃ hotī’’ti (a. ni. 10.11) vuttapañcaṅgasamannāgataṃ senāsanaṃ upagamma tattha vasantena ‘‘dīghāni kesalomanakhāni chinditabbāni, jiṇṇacīvaresu aggaḷaanuvātaparibhaṇḍadānādinā daḷhīkammaṃ vā tantacchedādīsu tunnakammaṃ vā kātabbaṃ, kiliṭṭhāni rajitabbāni, sace patte malaṃ hoti, patto pacitabbo, mañcapīṭhādīni sodhetabbānī’’ti evaṃ vuttaupacchinnakhuddakapalibodhena katabhattakiccena bhattasammadaṃ vinodetvā ratanattayaguṇānussaraṇena cittaṃ sampahaṃsetvā ācariyuggahato ekapadampi asammuyhantena manasi kātabbanti.
จตุรารกฺขนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Caturārakkhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.