Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā

    ๔. จตุตฺถปาราชิกํ

    4. Catutthapārājikaṃ

    จตุสจฺจวิทู สตฺถา, จตุตฺถํ ยํ ปกาสยิ;

    Catusaccavidū satthā, catutthaṃ yaṃ pakāsayi;

    ปาราชิกํ ตสฺส ทานิ, ปโตฺต สํวณฺณนากฺกโมฯ

    Pārājikaṃ tassa dāni, patto saṃvaṇṇanākkamo.

    ยสฺมา ตสฺมา สุวิเญฺญยฺยํ, ยํ ปุเพฺพ จ ปกาสิตํ;

    Yasmā tasmā suviññeyyaṃ, yaṃ pubbe ca pakāsitaṃ;

    ตํ วชฺชยิตฺวา อสฺสาปิ, โหติ สํวณฺณนา อยํฯ

    Taṃ vajjayitvā assāpi, hoti saṃvaṇṇanā ayaṃ.

    วคฺคุมุทาตีริยภิกฺขุวตฺถุวณฺณนา

    Vaggumudātīriyabhikkhuvatthuvaṇṇanā

    ๑๙๓. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ…เป.… คิหีนํ กมฺมนฺตํ อธิเฎฺฐมาติ คิหีนํ เขเตฺตสุ เจว อารามาทีสุ จ กตฺตพฺพกิจฺจํ อธิฎฺฐาม; ‘‘เอวํ กาตพฺพํ, เอวํ น กาตพฺพ’’นฺติ อาจิกฺขาม เจว อนุสาสาม จาติ วุตฺตํ โหติฯ ทูเตยฺยนฺติ ทูตกมฺมํฯ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺสาติ มนุเสฺส อุตฺติณฺณธมฺมสฺส; มนุเสฺส อติกฺกมิตฺวา พฺรหฺมตฺตํ วา นิพฺพานํ วา ปาปนกธมฺมสฺสาติ อโตฺถฯ อุตฺตริมนุสฺสานํ วา เสฎฺฐปุริสานํ ฌายีนญฺจ อริยานญฺจ ธมฺมสฺสฯ อสุโก ภิกฺขูติอาทีสุ อตฺตนา เอวํ มนฺตยิตฺวา ปจฺฉา คิหีนํ ภาสนฺตา ‘‘พุทฺธรกฺขิโต นาม ภิกฺขุ ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี, ธมฺมรกฺขิโต ทุติยสฺสา’’ติ เอวํ นามวเสเนว วณฺณํ ภาสิํสูติ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ เอโสเยว โข อาวุโส เสโยฺยติ กมฺมนฺตาธิฎฺฐานํ ทูเตยฺยหรณญฺจ พหุสปตฺตํ มหาสมารมฺภํ น จ สมณสารุปฺปํฯ ตโต ปน อุภยโตปิ เอโส เอว เสโยฺย ปาสํสตโร สุนฺทรตโร โย อมฺหากํ คิหีนํ อญฺญมญฺญสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส วโณฺณ ภาสิโตฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? อิริยาปถํ สณฺฐเปตฺวา นิสินฺนํ วา จงฺกมนฺตํ วา ปุจฺฉนฺตานํ วา อปุจฺฉนฺตานํ วา คิหีนํ ‘‘อยํ อสุโก นาม ภิกฺขุ ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี’’ติ เอวมาทินา นเยน โย อมฺหากํ อเญฺญน อญฺญสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส วโณฺณ ภาสิโต ภวิสฺสติ, เอโส เอว เสโยฺยติฯ อนาคตสมฺพเนฺธ ปน อสติ น เอเตหิ โส ตสฺมิํ ขเณ ภาสิโตว ยสฺมา น ยุชฺชติ, ตสฺมา อนาคตสมฺพนฺธํ กตฺวา ‘‘โย เอวํ ภาสิโต ภวิสฺสติ, โส เอว เสโยฺย’’ติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ลกฺขณํ ปน สทฺทสตฺถโต ปริเยสิตพฺพํฯ

    193.Tena samayena buddho bhagavā vesāliyaṃ viharati…pe… gihīnaṃ kammantaṃ adhiṭṭhemāti gihīnaṃ khettesu ceva ārāmādīsu ca kattabbakiccaṃ adhiṭṭhāma; ‘‘evaṃ kātabbaṃ, evaṃ na kātabba’’nti ācikkhāma ceva anusāsāma cāti vuttaṃ hoti. Dūteyyanti dūtakammaṃ. Uttarimanussadhammassāti manusse uttiṇṇadhammassa; manusse atikkamitvā brahmattaṃ vā nibbānaṃ vā pāpanakadhammassāti attho. Uttarimanussānaṃ vā seṭṭhapurisānaṃ jhāyīnañca ariyānañca dhammassa. Asuko bhikkhūtiādīsu attanā evaṃ mantayitvā pacchā gihīnaṃ bhāsantā ‘‘buddharakkhito nāma bhikkhu paṭhamassa jhānassa lābhī, dhammarakkhito dutiyassā’’ti evaṃ nāmavaseneva vaṇṇaṃ bhāsiṃsūti veditabbo. Tattha esoyeva kho āvuso seyyoti kammantādhiṭṭhānaṃ dūteyyaharaṇañca bahusapattaṃ mahāsamārambhaṃ na ca samaṇasāruppaṃ. Tato pana ubhayatopi eso eva seyyo pāsaṃsataro sundarataro yo amhākaṃ gihīnaṃ aññamaññassa uttarimanussadhammassa vaṇṇo bhāsito. Kiṃ vuttaṃ hoti? Iriyāpathaṃ saṇṭhapetvā nisinnaṃ vā caṅkamantaṃ vā pucchantānaṃ vā apucchantānaṃ vā gihīnaṃ ‘‘ayaṃ asuko nāma bhikkhu paṭhamassa jhānassa lābhī’’ti evamādinā nayena yo amhākaṃ aññena aññassa uttarimanussadhammassa vaṇṇo bhāsito bhavissati, eso eva seyyoti. Anāgatasambandhe pana asati na etehi so tasmiṃ khaṇe bhāsitova yasmā na yujjati, tasmā anāgatasambandhaṃ katvā ‘‘yo evaṃ bhāsito bhavissati, so eva seyyo’’ti evamettha attho veditabbo. Lakkhaṇaṃ pana saddasatthato pariyesitabbaṃ.

    ๑๙๔. วณฺณวา อเหสุนฺติ อโญฺญเยว เนสํ อภินโว สรีรวโณฺณ อุปฺปชฺชิ, เตน วเณฺณน วณฺณวโนฺต อเหสุํฯ ปีณินฺทฺริยาติ ปญฺจหิ ปสาเทหิ อภินิวิโฎฺฐกาสสฺส ปริปุณฺณตฺตา มนจฺฉฎฺฐานํ อินฺทฺริยานํ อมิลาตภาเวน ปีณินฺทฺริยาฯ ปสนฺนมุขวณฺณาติ กิญฺจาปิ อวิเสเสน วณฺณวโนฺต สรีรวณฺณโต ปน เนสํ มุขวโณฺณ อธิกตรํ ปสโนฺน; อโจฺฉ อนาวิโล ปริสุโทฺธติ อโตฺถฯ วิปฺปสนฺนฉวิวณฺณาติ เยน จ เต มหากณิการปุปฺผาทิสทิเสน วเณฺณน วณฺณวโนฺต, ตาทิโส อเญฺญสมฺปิ มนุสฺสานํ วโณฺณ อตฺถิฯ ยถา ปน อิเมสํ; เอวํ น เตสํ ฉวิวโณฺณ วิปฺปสโนฺนฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วิปฺปสนฺนฉวิวณฺณา’’ติฯ อิติห เต ภิกฺขู เนว อุเทฺทสํ น ปริปุจฺฉํ น กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชนฺตาฯ อถ โข กุหกตาย อภูตคุณสํวณฺณนาย ลทฺธานิ ปณีตโภชนานิ ภุญฺชิตฺวา ยถาสุขํ นิทฺทารามตํ สงฺคณิการามตญฺจ อนุยุญฺชนฺตา อิมํ สรีรโสภํ ปาปุณิํสุ, ยถา ตํ พาลา ภนฺตมิคปฺปฎิภาคาติฯ

    194.Vaṇṇavā ahesunti aññoyeva nesaṃ abhinavo sarīravaṇṇo uppajji, tena vaṇṇena vaṇṇavanto ahesuṃ. Pīṇindriyāti pañcahi pasādehi abhiniviṭṭhokāsassa paripuṇṇattā manacchaṭṭhānaṃ indriyānaṃ amilātabhāvena pīṇindriyā. Pasannamukhavaṇṇāti kiñcāpi avisesena vaṇṇavanto sarīravaṇṇato pana nesaṃ mukhavaṇṇo adhikataraṃ pasanno; accho anāvilo parisuddhoti attho. Vippasannachavivaṇṇāti yena ca te mahākaṇikārapupphādisadisena vaṇṇena vaṇṇavanto, tādiso aññesampi manussānaṃ vaṇṇo atthi. Yathā pana imesaṃ; evaṃ na tesaṃ chavivaṇṇo vippasanno. Tena vuttaṃ – ‘‘vippasannachavivaṇṇā’’ti. Itiha te bhikkhū neva uddesaṃ na paripucchaṃ na kammaṭṭhānaṃ anuyuñjantā. Atha kho kuhakatāya abhūtaguṇasaṃvaṇṇanāya laddhāni paṇītabhojanāni bhuñjitvā yathāsukhaṃ niddārāmataṃ saṅgaṇikārāmatañca anuyuñjantā imaṃ sarīrasobhaṃ pāpuṇiṃsu, yathā taṃ bālā bhantamigappaṭibhāgāti.

    วคฺคุมุทาตีริยาติ วคฺคุมุทาตีรวาสิโนฯ กจฺจิ ภิกฺขเว ขมนียนฺติ ภิกฺขเว กจฺจิ ตุมฺหากํ อิทํ จตุจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ ขมนียํ สกฺกา ขมิตุํ สหิตุํ ปริหริตุํ น กิญฺจิ ทุกฺขํ อุปฺปาเทตีติฯ กจฺจิ ยาปนียนฺติ กจฺจิ สพฺพกิเจฺจสุ ยาเปตุํ คเมตุํ สกฺกา, น กิญฺจิ อนฺตรายํ ทเสฺสตีติฯ กุจฺฉิ ปริกโนฺตติ กุจฺฉิ ปริกนฺติโต วรํ ภเวยฺย; ‘‘ปริกโตฺต’’ติปิ ปาโฐ ยุชฺชติฯ เอวํ วคฺคุมุทาตีริเย อเนกปริยาเยน วิครหิตฺวา อิทานิ ยสฺมา เตหิ กตกมฺมํ โจรกมฺมํ โหติ, ตสฺมา อายติํ อเญฺญสมฺปิ เอวรูปสฺส กมฺมสฺส อกรณตฺถํ อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิฯ

    Vaggumudātīriyāti vaggumudātīravāsino. Kacci bhikkhave khamanīyanti bhikkhave kacci tumhākaṃ idaṃ catucakkaṃ navadvāraṃ sarīrayantaṃ khamanīyaṃ sakkā khamituṃ sahituṃ pariharituṃ na kiñci dukkhaṃ uppādetīti. Kacci yāpanīyanti kacci sabbakiccesu yāpetuṃ gametuṃ sakkā, na kiñci antarāyaṃ dassetīti. Kucchi parikantoti kucchi parikantito varaṃ bhaveyya; ‘‘parikatto’’tipi pāṭho yujjati. Evaṃ vaggumudātīriye anekapariyāyena vigarahitvā idāni yasmā tehi katakammaṃ corakammaṃ hoti, tasmā āyatiṃ aññesampi evarūpassa kammassa akaraṇatthaṃ atha kho bhagavā bhikkhū āmantesi.

    ๑๙๕. อามเนฺตตฺวา จ ปน ‘‘ปญฺจิเม ภิกฺขเว มหาโจรา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สโนฺต สํวิชฺชมานาติ อตฺถิ เจว อุปลพฺภนฺติ จาติ วุตฺตํ โหติฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สตฺตโลเกฯ เอวํ โหตีติ เอวํ ปุพฺพภาเค อิจฺฉา อุปฺปชฺชติฯ กุทาสฺสุ นามาหนฺติ เอตฺถ สุอิติ นิปาโต; กุทา นามาติ อโตฺถฯ โส อปเรน สมเยนาติ โส ปุพฺพภาเค เอวํ จิเนฺตตฺวา อนุกฺกเมน ปริสํ วเฑฺฒโนฺต ปนฺถทูหนกมฺมํ ปจฺจนฺติมคามวิโลปนฺติ เอวมาทีนิ กตฺวา เวปุลฺลปฺปตฺตปริโส หุตฺวา คาเมปิ อคาเม, ชนปเทปิ อชนปเท กโรโนฺต หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปาเจโนฺต

    195. Āmantetvā ca pana ‘‘pañcime bhikkhave mahācorā’’tiādimāha. Tattha santo saṃvijjamānāti atthi ceva upalabbhanti cāti vuttaṃ hoti. Idhāti imasmiṃ sattaloke. Evaṃ hotīti evaṃ pubbabhāge icchā uppajjati. Kudāssu nāmāhanti ettha suiti nipāto; kudā nāmāti attho. So aparena samayenāti so pubbabhāge evaṃ cintetvā anukkamena parisaṃ vaḍḍhento panthadūhanakammaṃ paccantimagāmavilopanti evamādīni katvā vepullappattapariso hutvā gāmepi agāme, janapadepi ajanapade karonto hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pācento.

    อิติ พาหิรกมหาโจรํ ทเสฺสตฺวา เตน สทิเส สาสเน ปญฺจ มหาโจเร ทเสฺสตุํ ‘‘เอวเมว โข’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาปภิกฺขุโนติ อเญฺญสุ ฐาเนสุ มูลจฺฉิโนฺน ปาราชิกปฺปโตฺต ‘‘ปาปภิกฺขู’’ติ วุจฺจติฯ อิธ ปน ปาราชิกํ อนาปโนฺน อิจฺฉาจาเร ฐิโต ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ มทฺทิตฺวา วิจรโนฺต ‘‘ปาปภิกฺขู’’ติ อธิเปฺปโตฯ ตสฺสาปิ พาหิรกโจรสฺส วิย ปุพฺพภาเค เอวํ โหติ – ‘‘กุทาสฺสุ นามาหํ…เป.… ปริกฺขาราน’’นฺติฯ ตตฺถ สกฺกโตติ สกฺการปฺปโตฺตฯ ครุกโตติ ครุการปฺปโตฺตฯ มานิโตติ มนสา ปิยายิโตฯ ปูชิโตติ จตุปจฺจยาภิหารปูชาย ปูชิโตฯ อปจิโตติ อปจิติปฺปโตฺตฯ ตตฺถ ยสฺส จตฺตาโร ปจฺจเย สกฺกริตฺวา สุฎฺฐุ อภิสงฺขเต ปณีตปณีเต กตฺวา เทนฺติ, โส สกฺกโตฯ ยสฺมิํ ครุภาวํ ปจฺจุเปตฺวา เทนฺติ, โส ครุกโตฯ ยํ มนสา ปิยายนฺติ, โส มานิโตฯ ยสฺส สพฺพเมฺปตํ กโรนฺติ, โส ปูชิโตฯ ยสฺส อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานอญฺชลิกมฺมาทิวเสน ปรมนิปจฺจการํ กโรนฺติ, โส อปจิโตฯ อิมสฺส จ ปน สพฺพมฺปิ อิมํ โลกามิสํ ปตฺถยมานสฺส เอวํ โหติฯ

    Iti bāhirakamahācoraṃ dassetvā tena sadise sāsane pañca mahācore dassetuṃ ‘‘evameva kho’’tiādimāha. Tattha pāpabhikkhunoti aññesu ṭhānesu mūlacchinno pārājikappatto ‘‘pāpabhikkhū’’ti vuccati. Idha pana pārājikaṃ anāpanno icchācāre ṭhito khuddānukhuddakāni sikkhāpadāni madditvā vicaranto ‘‘pāpabhikkhū’’ti adhippeto. Tassāpi bāhirakacorassa viya pubbabhāge evaṃ hoti – ‘‘kudāssu nāmāhaṃ…pe… parikkhārāna’’nti. Tattha sakkatoti sakkārappatto. Garukatoti garukārappatto. Mānitoti manasā piyāyito. Pūjitoti catupaccayābhihārapūjāya pūjito. Apacitoti apacitippatto. Tattha yassa cattāro paccaye sakkaritvā suṭṭhu abhisaṅkhate paṇītapaṇīte katvā denti, so sakkato. Yasmiṃ garubhāvaṃ paccupetvā denti, so garukato. Yaṃ manasā piyāyanti, so mānito. Yassa sabbampetaṃ karonti, so pūjito. Yassa abhivādanapaccuṭṭhānaañjalikammādivasena paramanipaccakāraṃ karonti, so apacito. Imassa ca pana sabbampi imaṃ lokāmisaṃ patthayamānassa evaṃ hoti.

    โส อปเรน สมเยนาติ โส ปุพฺพภาเค เอวํ จิเนฺตตฺวา อนุกฺกเมน สิกฺขาย อติพฺพคารเว อุทฺธเต อุนฺนเฬ จปเล มุขเร วิกิณฺณวาเจ มุฎฺฐสฺสตี อสมฺปชาเน ปากตินฺทฺริเย อาจริยุปชฺฌาเยหิ ปริจฺจตฺตเก ลาภครุเก ปาปภิกฺขู สงฺคณฺหิตฺวา อิริยาปถสณฺฐปนาทีนิ กุหกวตฺตานิ สิกฺขาเปตฺวา ‘‘อยํ เถโร อสุกสฺมิํ นาม เสนาสเน วสฺสํ อุปคมฺม วตฺตปฎิปตฺติํ ปูรยมาโน วสฺสํ วสิตฺวา นิคฺคโต’’ติ โลกสมฺมตเสนาสนสํวณฺณนาทีหิ อุปาเยหิ โลกํ ปริปาเจตุํ ปฎิพเลหิ ชาตกาทีสุ กตปริจเยหิ สรสมฺปเนฺนหิ ปาปภิกฺขูหิ สํวณฺณิยมานคุโณ หุตฺวา สเตน วา สหเสฺสน วา ปริวุโต…เป.… เภสชฺชปริกฺขารานํฯ อยํ ภิกฺขเว ปฐโม มหาโจโรติ อยํ สนฺธิเจฺฉทาทิโจรโก วิย น เอกํ กุลํ น เทฺว, อถ โข มหาชนํ วเญฺจตฺวา จตุปจฺจยคหณโต ‘‘ปฐโม มหาโจโร’’ติ เวทิตโพฺพฯ เย ปน สุตฺตนฺติกา วา อาภิธมฺมิกา วา วินยธรา วา ภิกฺขู ภิกฺขาจาเร อสมฺปชฺชมาเน ปาฬิํ วาเจนฺตา อฎฺฐกถํ กเถนฺตา อนุโมทนาย ธมฺมกถาย อิริยาปถสมฺปตฺติยา จ โลกํ ปสาเทนฺตา ชนปทจาริกํ จรนฺติ สกฺกตา ครุกตา มานิตา ปูชิตา อปจิตา, เต ‘‘ตนฺติปเวณิฆฎนกา สาสนโชตกา’’ติ เวทิตพฺพาฯ

    So aparena samayenāti so pubbabhāge evaṃ cintetvā anukkamena sikkhāya atibbagārave uddhate unnaḷe capale mukhare vikiṇṇavāce muṭṭhassatī asampajāne pākatindriye ācariyupajjhāyehi pariccattake lābhagaruke pāpabhikkhū saṅgaṇhitvā iriyāpathasaṇṭhapanādīni kuhakavattāni sikkhāpetvā ‘‘ayaṃ thero asukasmiṃ nāma senāsane vassaṃ upagamma vattapaṭipattiṃ pūrayamāno vassaṃ vasitvā niggato’’ti lokasammatasenāsanasaṃvaṇṇanādīhi upāyehi lokaṃ paripācetuṃ paṭibalehi jātakādīsu kataparicayehi sarasampannehi pāpabhikkhūhi saṃvaṇṇiyamānaguṇo hutvā satena vā sahassena vā parivuto…pe… bhesajjaparikkhārānaṃ. Ayaṃ bhikkhave paṭhamo mahācoroti ayaṃ sandhicchedādicorako viya na ekaṃ kulaṃ na dve, atha kho mahājanaṃ vañcetvā catupaccayagahaṇato ‘‘paṭhamo mahācoro’’ti veditabbo. Ye pana suttantikā vā ābhidhammikā vā vinayadharā vā bhikkhū bhikkhācāre asampajjamāne pāḷiṃ vācentā aṭṭhakathaṃ kathentā anumodanāya dhammakathāya iriyāpathasampattiyā ca lokaṃ pasādentā janapadacārikaṃ caranti sakkatā garukatā mānitā pūjitā apacitā, te ‘‘tantipaveṇighaṭanakā sāsanajotakā’’ti veditabbā.

    ตถาคตปฺปเวทิตนฺติ ตถาคเตน ปฎิวิทฺธํ ปจฺจกฺขกตํ ชานาปิตํ วาฯ อตฺตโน ทหตีติ ปริสมเชฺฌ ปาฬิญฺจ อฎฺฐกถญฺจ สํสนฺทิตฺวา มธุเรน สเรน ปสาทนียํ สุตฺตนฺตํ กเถตฺวา ธมฺมกถาวเสน อจฺฉริยพฺภุตชาเตน วิญฺญูชเนน ‘‘อโห, ภเนฺต, ปาฬิ จ อฎฺฐกถา จ สุปริสุทฺธา, กสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหิตฺถา’’ติ ปุจฺฉิโต ‘‘โก อมฺหาทิเส อุคฺคหาเปตุํ สมโตฺถ’’ติ อาจริยํ อนุทฺทิสิตฺวา อตฺตนา ปฎิวิทฺธํ สยมฺภุญาณาธิคตํ ธมฺมวินยํ ปเวเทติฯ อยํ ตถาคเตน สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขยฺยานิ ปารมิโย ปูเรตฺวา กิเจฺฉน กสิเรน ปฎิวิทฺธธมฺมเตฺถนโก ทุติโย มหาโจโร

    Tathāgatappaveditanti tathāgatena paṭividdhaṃ paccakkhakataṃ jānāpitaṃ vā. Attano dahatīti parisamajjhe pāḷiñca aṭṭhakathañca saṃsanditvā madhurena sarena pasādanīyaṃ suttantaṃ kathetvā dhammakathāvasena acchariyabbhutajātena viññūjanena ‘‘aho, bhante, pāḷi ca aṭṭhakathā ca suparisuddhā, kassa santike uggaṇhitthā’’ti pucchito ‘‘ko amhādise uggahāpetuṃ samattho’’ti ācariyaṃ anuddisitvā attanā paṭividdhaṃ sayambhuñāṇādhigataṃ dhammavinayaṃ pavedeti. Ayaṃ tathāgatena satasahassakappādhikāni cattāri asaṅkheyyāni pāramiyo pūretvā kicchena kasirena paṭividdhadhammatthenako dutiyo mahācoro.

    สุทฺธํ พฺรหฺมจารินฺติ ขีณาสวภิกฺขุํฯ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตนฺติ นิรุปกฺกิเลสํ เสฎฺฐจริยํ จรนฺตํ; อญฺญมฺปิ วา อนาคามิํ อาทิํ กตฺวา ยาว สีลวนฺตํ ปุถุชฺชนํ อวิปฺปฎิสาราทิวตฺถุกํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตํฯ อมูลเกน อพฺรหฺมจริเยน อนุทฺธํเสตีติ ตสฺมิํ ปุคฺคเล อวิชฺชมาเนน อนฺติมวตฺถุนา อนุวทติ โจเทติ; อยํ วิชฺชมานคุณมกฺขี อริยคุณเตฺถนโก ตติโย มหาโจโร

    Suddhaṃ brahmacārinti khīṇāsavabhikkhuṃ. Parisuddhaṃ brahmacariyaṃ carantanti nirupakkilesaṃ seṭṭhacariyaṃ carantaṃ; aññampi vā anāgāmiṃ ādiṃ katvā yāva sīlavantaṃ puthujjanaṃ avippaṭisārādivatthukaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ carantaṃ. Amūlakena abrahmacariyena anuddhaṃsetīti tasmiṃ puggale avijjamānena antimavatthunā anuvadati codeti; ayaṃ vijjamānaguṇamakkhī ariyaguṇatthenako tatiyo mahācoro.

    ครุภณฺฑานิ ครุปริกฺขารานีติ ยถา อทินฺนาทาเน ‘‘จตุโร ชนา สํวิธาย ครุภณฺฑํ อวาหรุ’’นฺติ (ปริ. ๔๗๙) เอตฺถ ปญฺจมาสกคฺฆนกํ ‘‘ครุภณฺฑ’’นฺติ วุจฺจติ, อิธ ปน น เอวํฯ อถ โข ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, อวิสฺสชฺชิยานิ น วิสฺสเชฺชตพฺพานิ สเงฺฆน วา คเณน วา ปุคฺคเลน วาฯ วิสฺสชฺชิตานิปิ อวิสฺสชฺชิตานิ โหนฺติฯ โย วิสฺสเชฺชยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ กตมานิ ปญฺจ? อาราโม, อารามวตฺถุ…เป.… ทารุภณฺฑํ, มตฺติกาภณฺฑ’’นฺติ วจนโต อวิสฺสชฺชิตพฺพตฺตา ครุภณฺฑานิฯ ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, อเวภงฺคิยานิ น วิภชิตพฺพานิ สเงฺฆน วา คเณน วา ปุคฺคเลน วาฯ วิภตฺตานิปิ อวิภตฺตานิ โหนฺติฯ โย วิภเชยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ กตมานิ ปญฺจ? อาราโม, อารามวตฺถุ…เป.… ทารุภณฺฑํ, มตฺติกาภณฺฑ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๒) วจนโต อเวภงฺคิยตฺตา สาธารณปริกฺขารภาเวน ครุปริกฺขารานิฯ อาราโม อารามวตฺถูติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ ตํ สพฺพํ ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, อวิสฺสชฺชิยานี’’ติ ขนฺธเก อาคตสุตฺตวณฺณนายเมว ภณิสฺสามฯ เตหิ คิหี สงฺคณฺหาตีติ ตานิ ทตฺวา ทตฺวา คิหีํ สงฺคณฺหาติ อนุคฺคณฺหาติฯ อุปลาเปตีติ ‘‘อโห อมฺหากํ อโยฺย’’ติ เอวํ ลปนเก อนุพนฺธนเก สเสฺนเห กโรติฯ อยํ อวิสฺสชฺชิยํ อเวภงฺคิยญฺจ ครุปริกฺขารํ ตถาภาวโต เถเนตฺวา คิหิ สงฺคณฺหนโก จตุโตฺถ มหาโจโรฯ โส จ ปนายํ อิมํ ครุภณฺฑํ กุลสงฺคณฺหนตฺถํ วิสฺสเชฺชโนฺต กุลทูสกทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ ปพฺพาชนียกมฺมารโห จ โหติฯ ภิกฺขุสงฺฆํ อภิภวิตฺวา อิสฺสรวตาย วิสฺสเชฺชโนฺต ถุลฺลจฺจยํ อาปชฺชติฯ เถยฺยจิเตฺตน วิสฺสเชฺชโนฺต ภณฺฑํ อคฺฆาเปตฺวา กาเรตโพฺพติฯ

    Garubhaṇḍāni garuparikkhārānīti yathā adinnādāne ‘‘caturo janā saṃvidhāya garubhaṇḍaṃ avāharu’’nti (pari. 479) ettha pañcamāsakagghanakaṃ ‘‘garubhaṇḍa’’nti vuccati, idha pana na evaṃ. Atha kho ‘‘pañcimāni, bhikkhave, avissajjiyāni na vissajjetabbāni saṅghena vā gaṇena vā puggalena vā. Vissajjitānipi avissajjitāni honti. Yo vissajjeyya, āpatti thullaccayassa. Katamāni pañca? Ārāmo, ārāmavatthu…pe… dārubhaṇḍaṃ, mattikābhaṇḍa’’nti vacanato avissajjitabbattā garubhaṇḍāni. ‘‘Pañcimāni, bhikkhave, avebhaṅgiyāni na vibhajitabbāni saṅghena vā gaṇena vā puggalena vā. Vibhattānipi avibhattāni honti. Yo vibhajeyya, āpatti thullaccayassa. Katamāni pañca? Ārāmo, ārāmavatthu…pe… dārubhaṇḍaṃ, mattikābhaṇḍa’’nti (cūḷava. 322) vacanato avebhaṅgiyattā sādhāraṇaparikkhārabhāvena garuparikkhārāni. Ārāmo ārāmavatthūtiādīsu yaṃ vattabbaṃ taṃ sabbaṃ ‘‘pañcimāni, bhikkhave, avissajjiyānī’’ti khandhake āgatasuttavaṇṇanāyameva bhaṇissāma. Tehi gihī saṅgaṇhātīti tāni datvā datvā gihīṃ saṅgaṇhāti anuggaṇhāti. Upalāpetīti ‘‘aho amhākaṃ ayyo’’ti evaṃ lapanake anubandhanake sasnehe karoti. Ayaṃ avissajjiyaṃ avebhaṅgiyañca garuparikkhāraṃ tathābhāvato thenetvā gihi saṅgaṇhanako catuttho mahācoro. So ca panāyaṃ imaṃ garubhaṇḍaṃ kulasaṅgaṇhanatthaṃ vissajjento kuladūsakadukkaṭaṃ āpajjati. Pabbājanīyakammāraho ca hoti. Bhikkhusaṅghaṃ abhibhavitvā issaravatāya vissajjento thullaccayaṃ āpajjati. Theyyacittena vissajjento bhaṇḍaṃ agghāpetvā kāretabboti.

    อยํ อโคฺค มหาโจโรติ อยํ อิเมสํ โจรานํ เชฎฺฐโจโร; อิมินา สทิโส โจโร นาม นตฺถิ, โย ปญฺจินฺทฺริยคฺคหณาตีตํ อติสณฺหสุขุมํ โลกุตฺตรธมฺมํ เถเนติฯ กิํ ปน สกฺกา โลกุตฺตรธโมฺม หิรญฺญสุวณฺณาทีนิ วิย วเญฺจตฺวา เถเนตฺวา คเหตุนฺติ? น สกฺกา, เตเนวาห – ‘‘โย อสนฺตํ อภูตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อุลฺลปตี’’ติฯ อยญฺหิ อตฺตนิ อสนฺตํ ตํ ธมฺมํ เกวลํ ‘‘อตฺถิ มยฺหํ เอโส’’ติ อุลฺลปติ, น ปน สโกฺกติ ฐานา จาเวตุํ, อตฺตนิ วา สํวิชฺชมานํ กาตุํฯ อถ กสฺมา โจโรติ วุโตฺตติ? ยสฺมา ตํ อุลฺลปิตฺวา อสนฺตสมฺภาวนาย อุปฺปเนฺน ปจฺจเย คณฺหาติฯ เอวญฺหิ คณฺหตา เต ปจฺจยา สุขุเมน อุปาเยน วเญฺจตฺวา เถเนตฺวา คหิตา โหนฺติฯ เตเนวาห – ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ? เถยฺยาย โว ภิกฺขเว รฎฺฐปิโณฺฑ ภุโตฺต’’ติฯ อยญฺหิ เอตฺถ อโตฺถ – ยํ อโวจุมฺห – ‘‘อยํ อโคฺค มหาโจโร, โย อสนฺตํ อภูตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อุลฺลปตี’’ติ ฯ ตํ กิสฺส เหตูติ เกน การเณน เอตํ อโวจุมฺหาติ เจฯ ‘‘เถยฺยาย โว ภิกฺขเว รฎฺฐปิโณฺฑ ภุโตฺต’’ติ ภิกฺขเว ยสฺมา โส เตน รฎฺฐปิโณฺฑ เถยฺยาย เถยฺยจิเตฺตน ภุโตฺต โหติฯ เอตฺถ หิ โวกาโร ‘‘เย หิ โว อริยา อรญฺญวนปตฺถานี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๕-๓๖) วิย ปทปูรณมเตฺต นิปาโตฯ ตสฺมา ‘‘ตุเมฺหหิ ภุโตฺต’’ติ เอวมสฺส อโตฺถ น ทฎฺฐโพฺพฯ

    Ayaṃ aggo mahācoroti ayaṃ imesaṃ corānaṃ jeṭṭhacoro; iminā sadiso coro nāma natthi, yo pañcindriyaggahaṇātītaṃ atisaṇhasukhumaṃ lokuttaradhammaṃ theneti. Kiṃ pana sakkā lokuttaradhammo hiraññasuvaṇṇādīni viya vañcetvā thenetvā gahetunti? Na sakkā, tenevāha – ‘‘yo asantaṃ abhūtaṃ uttarimanussadhammaṃ ullapatī’’ti. Ayañhi attani asantaṃ taṃ dhammaṃ kevalaṃ ‘‘atthi mayhaṃ eso’’ti ullapati, na pana sakkoti ṭhānā cāvetuṃ, attani vā saṃvijjamānaṃ kātuṃ. Atha kasmā coroti vuttoti? Yasmā taṃ ullapitvā asantasambhāvanāya uppanne paccaye gaṇhāti. Evañhi gaṇhatā te paccayā sukhumena upāyena vañcetvā thenetvā gahitā honti. Tenevāha – ‘‘taṃ kissa hetu? Theyyāya vo bhikkhave raṭṭhapiṇḍo bhutto’’ti. Ayañhi ettha attho – yaṃ avocumha – ‘‘ayaṃ aggo mahācoro, yo asantaṃ abhūtaṃ uttarimanussadhammaṃ ullapatī’’ti . Taṃ kissa hetūti kena kāraṇena etaṃ avocumhāti ce. ‘‘Theyyāya vo bhikkhave raṭṭhapiṇḍo bhutto’’ti bhikkhave yasmā so tena raṭṭhapiṇḍo theyyāya theyyacittena bhutto hoti. Ettha hi vokāro ‘‘ye hi vo ariyā araññavanapatthānī’’tiādīsu (ma. ni. 1.35-36) viya padapūraṇamatte nipāto. Tasmā ‘‘tumhehi bhutto’’ti evamassa attho na daṭṭhabbo.

    อิทานิ ตเมวตฺถํ คาถาหิ วิภูตตรํ กโรโนฺต ‘‘อญฺญถา สนฺต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อญฺญถา สนฺตนฺติ อปริสุทฺธกายสมาจาราทิเกน อเญฺญนากาเรน สนฺตํฯ อญฺญถา โย ปเวทเยติ ปริสุทฺธกายสมาจาราทิเกน อเญฺญน อากาเรน โย ปเวเทยฺยฯ ‘‘ปรมปริสุโทฺธ อหํ, อตฺถิ เม อพฺภนฺตเร โลกุตฺตรธโมฺม’’ติ เอวํ ชานาเปยฺยฯ ปเวเทตฺวา จ ปน ตาย ปเวทนาย อุปฺปนฺนํ โภชนํ อรหา วิย ภุญฺชติฯ นิกจฺจ กิตวเสฺสว ภุตฺตํ เถเยฺยน ตสฺส ตนฺติ นิกจฺจาติ วเญฺจตฺวา อญฺญถา สนฺตํ อญฺญถา ทเสฺสตฺวาฯ อคุมฺพอคจฺฉภูตเมว สาขาปลาสปลฺลวาทิจฺฉาทเนน คุมฺพมิว คจฺฉมิว จ อตฺตานํ ทเสฺสตฺวาฯ กิตวเสฺสวาติ วญฺจกสฺส เกราฎิกสฺส คุมฺพคจฺฉสญฺญาย อรเญฺญ อาคตาคเต สกุเณ คเหตฺวา ชีวิตกปฺปกสฺส สากุณิกเสฺสวฯ ภุตฺตํ เถเยฺยน ตสฺส ตนฺติ ตสฺสาปิ อนรหนฺตเสฺสว สโต อรหนฺตภาวํ ทเสฺสตฺวา ลทฺธโภชนํ ภุญฺชโต; ยํ ตํ ภุตฺตํ ตํ ยถา สากุณิกกิตวสฺส นิกจฺจ วเญฺจตฺวา สกุณคฺคหณํ, เอวํ มนุเสฺส วเญฺจตฺวา ลทฺธสฺส โภชนสฺส ภุตฺตตฺตา เถเยฺยน ภุตฺตํ นาม โหติฯ

    Idāni tamevatthaṃ gāthāhi vibhūtataraṃ karonto ‘‘aññathā santa’’ntiādimāha. Tattha aññathā santanti aparisuddhakāyasamācārādikena aññenākārena santaṃ. Aññathā yo pavedayeti parisuddhakāyasamācārādikena aññena ākārena yo pavedeyya. ‘‘Paramaparisuddho ahaṃ, atthi me abbhantare lokuttaradhammo’’ti evaṃ jānāpeyya. Pavedetvā ca pana tāya pavedanāya uppannaṃ bhojanaṃ arahā viya bhuñjati. Nikacca kitavasseva bhuttaṃ theyyena tassa tanti nikaccāti vañcetvā aññathā santaṃ aññathā dassetvā. Agumbaagacchabhūtameva sākhāpalāsapallavādicchādanena gumbamiva gacchamiva ca attānaṃ dassetvā. Kitavassevāti vañcakassa kerāṭikassa gumbagacchasaññāya araññe āgatāgate sakuṇe gahetvā jīvitakappakassa sākuṇikasseva. Bhuttaṃ theyyena tassa tanti tassāpi anarahantasseva sato arahantabhāvaṃ dassetvā laddhabhojanaṃ bhuñjato; yaṃ taṃ bhuttaṃ taṃ yathā sākuṇikakitavassa nikacca vañcetvā sakuṇaggahaṇaṃ, evaṃ manusse vañcetvā laddhassa bhojanassa bhuttattā theyyena bhuttaṃ nāma hoti.

    อิมํ ปน อตฺถวสํ อชานนฺตา เย เอวํ ภุญฺชนฺติ, กาสาวกณฺฐา…เป.… นิรยํ เต อุปปชฺชเร กาสาวกณฺฐาติ กาสาเวน เวฐิตกณฺฐาฯ เอตฺตกเมว อริยทฺธชธารณมตฺตํ, เสสํ สามญฺญํ นตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ภวิสฺสนฺติ โข ปนานนฺท อนาคตมทฺธานํ โคตฺรภุโน กาสาวกณฺฐา’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๘๐) เอวํ วุตฺตทุสฺสีลานํ เอตํ อธิวจนํฯ ปาปธมฺมาติ ลามกธมฺมาฯ อสญฺญตาติ กายาทีหิ อสญฺญตาฯ ปาปาติ ลามกปุคฺคลาฯ ปาเปหิ กเมฺมหีติ เตหิ กรณกาเล อาทีนวํ อทิสฺวา กเตหิ ปรวญฺจนาทีหิ ปาปกเมฺมหิฯ นิรยํ เต อุปปชฺชเรติ นิรสฺสาทํ ทุคฺคติํ เต อุปปชฺชนฺติ; ตสฺมา เสโยฺย อโยคุโฬติ คาถาฯ ตสฺสโตฺถ – สจายํ ทุสฺสีโล อสญฺญโต อิจฺฉาจาเร ฐิโต กุหนาย โลกํ วญฺจโก ปุคฺคโล ตตฺตํ อคฺคิสิขูปมํ อโยคุฬํ ภุเญฺชยฺย อโชฺฌหเรยฺย, ตสฺส ยเญฺจตํ รฎฺฐปิณฺฑํ ภุเญฺชยฺย, ยเญฺจตํ อโยคุฬํ, เตสุ ทฺวีสุ อโยคุโฬว ภุโตฺต เสโยฺย สุนฺทรตโร ปณีตตโร จ ภเวยฺย, น หิ อโยคุฬสฺส ภุตฺตตฺตา สมฺปราเย สพฺพญฺญุตญาเณนาปิ ทุชฺชานปริเจฺฉทํ ทุกฺขํ อนุภวติฯ เอวํ ปฎิลทฺธสฺส ปน ตสฺส รฎฺฐปิณฺฑสฺส ภุตฺตตฺตา สมฺปราเย วุตฺตปฺปการํ ทุกฺขํ อนุโภติ, อยญฺหิ โกฎิปฺปโตฺต มิจฺฉาชีโวติฯ

    Imaṃ pana atthavasaṃ ajānantā ye evaṃ bhuñjanti, kāsāvakaṇṭhā…pe… nirayaṃ te upapajjare kāsāvakaṇṭhāti kāsāvena veṭhitakaṇṭhā. Ettakameva ariyaddhajadhāraṇamattaṃ, sesaṃ sāmaññaṃ natthīti vuttaṃ hoti. ‘‘Bhavissanti kho panānanda anāgatamaddhānaṃ gotrabhuno kāsāvakaṇṭhā’’ti (ma. ni. 3.380) evaṃ vuttadussīlānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Pāpadhammāti lāmakadhammā. Asaññatāti kāyādīhi asaññatā. Pāpāti lāmakapuggalā. Pāpehi kammehīti tehi karaṇakāle ādīnavaṃ adisvā katehi paravañcanādīhi pāpakammehi. Nirayaṃ te upapajjareti nirassādaṃ duggatiṃ te upapajjanti; tasmā seyyo ayoguḷoti gāthā. Tassattho – sacāyaṃ dussīlo asaññato icchācāre ṭhito kuhanāya lokaṃ vañcako puggalo tattaṃ aggisikhūpamaṃ ayoguḷaṃ bhuñjeyya ajjhohareyya, tassa yañcetaṃ raṭṭhapiṇḍaṃ bhuñjeyya, yañcetaṃ ayoguḷaṃ, tesu dvīsu ayoguḷova bhutto seyyo sundarataro paṇītataro ca bhaveyya, na hi ayoguḷassa bhuttattā samparāye sabbaññutañāṇenāpi dujjānaparicchedaṃ dukkhaṃ anubhavati. Evaṃ paṭiladdhassa pana tassa raṭṭhapiṇḍassa bhuttattā samparāye vuttappakāraṃ dukkhaṃ anubhoti, ayañhi koṭippatto micchājīvoti.

    เอวํ ปาปกิริยาย อนาทีนวทสฺสาวีนํ อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อถ โข ภควา วคฺคุมุทาตีริเย ภิกฺขู อเนกปริยาเยน วิครหิตฺวา ทุพฺภรตาย ทุโปฺปสตาย…เป.… อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติ จ วตฺวา จตุตฺถปาราชิกํ ปญฺญเปโนฺต ‘‘โย ปน ภิกฺขุ อนภิชาน’’นฺติ อาทิมาหฯ

    Evaṃ pāpakiriyāya anādīnavadassāvīnaṃ ādīnavaṃ dassetvā ‘‘atha kho bhagavā vaggumudātīriye bhikkhū anekapariyāyena vigarahitvā dubbharatāya dupposatāya…pe… imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyāthā’’ti ca vatvā catutthapārājikaṃ paññapento ‘‘yo pana bhikkhu anabhijāna’’nti ādimāha.

    เอวํ มูลเจฺฉชฺชวเสน ทฬฺหํ กตฺวา จตุตฺถปาราชิเก ปญฺญเตฺต อปรมฺปิ อนุปฺปญฺญตฺตตฺถาย อธิมานวตฺถุ อุทปาทิฯ ตสฺสุปฺปตฺติทีปนตฺถํ เอตํ วุตฺตํ – ‘‘เอวญฺจิทํ ภควตา ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ โหตี’’ติฯ

    Evaṃ mūlacchejjavasena daḷhaṃ katvā catutthapārājike paññatte aparampi anuppaññattatthāya adhimānavatthu udapādi. Tassuppattidīpanatthaṃ etaṃ vuttaṃ – ‘‘evañcidaṃ bhagavatā bhikkhūnaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ hotī’’ti.

    อธิมานวตฺถุวณฺณนา

    Adhimānavatthuvaṇṇanā

    ๑๙๖. ตตฺถ อทิเฎฺฐ ทิฎฺฐสญฺญิโนติ อรหเตฺต ญาณจกฺขุนา อทิเฎฺฐเยว ‘‘ทิฎฺฐํ อเมฺหหิ อรหตฺต’’นฺติ ทิฎฺฐสญฺญิโน หุตฺวาฯ เอส นโย อปฺปตฺตาทีสุฯ อยํ ปน วิเสโส – อปฺปเตฺตติ อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปตฺติวเสน อปฺปเตฺตฯ อนธิคเตติ มคฺคภาวนาย อนธิคเต; อปฺปฎิลเทฺธติปิ อโตฺถฯ อสจฺฉิกเตติ อปฺปฎิวิเทฺธ ปจฺจเวกฺขณวเสน วา อปฺปจฺจกฺขกเตฯ อธิมาเนนาติ อธิคตมาเนน; ‘‘อธิคตา มย’’นฺติ เอวํ อุปฺปนฺนมาเนนาติ อโตฺถ, อธิกมาเนน วา ถทฺธมาเนนาติ อโตฺถฯ อญฺญํ พฺยากริํสูติ อรหตฺตํ พฺยากริํสุ; ‘‘ปตฺตํ อาวุโส อเมฺหหิ อรหตฺตํ, กตํ กรณีย’’นฺติ ภิกฺขูนํ อาโรเจสุํฯ เตสํ มเคฺคน อปฺปหีนกิเลสตฺตา เกวลํ สมถวิปสฺสนาพเลน วิกฺขมฺภิตกิเลสานํ อปเรน สมเยน ตถารูปปจฺจยสมาโยเค ราคาย จิตฺตํ นมติ; ราคตฺถาย นมตีติ อโตฺถฯ เอส นโย อิตเรสุฯ

    196. Tattha adiṭṭhe diṭṭhasaññinoti arahatte ñāṇacakkhunā adiṭṭheyeva ‘‘diṭṭhaṃ amhehi arahatta’’nti diṭṭhasaññino hutvā. Esa nayo appattādīsu. Ayaṃ pana viseso – appatteti attano santāne uppattivasena appatte. Anadhigateti maggabhāvanāya anadhigate; appaṭiladdhetipi attho. Asacchikateti appaṭividdhe paccavekkhaṇavasena vā appaccakkhakate. Adhimānenāti adhigatamānena; ‘‘adhigatā maya’’nti evaṃ uppannamānenāti attho, adhikamānena vā thaddhamānenāti attho. Aññaṃ byākariṃsūti arahattaṃ byākariṃsu; ‘‘pattaṃ āvuso amhehi arahattaṃ, kataṃ karaṇīya’’nti bhikkhūnaṃ ārocesuṃ. Tesaṃ maggena appahīnakilesattā kevalaṃ samathavipassanābalena vikkhambhitakilesānaṃ aparena samayena tathārūpapaccayasamāyoge rāgāya cittaṃ namati; rāgatthāya namatīti attho. Esa nayo itaresu.

    ตญฺจ โข เอตํ อโพฺพหาริกนฺติ ตญฺจ โข เอตํ เตสํ อญฺญพฺยากรณํ อโพฺพหาริกํ อาปตฺติปญฺญาปเน โวหารํ น คจฺฉติ; อาปตฺติยา องฺคํ น โหตีติ อโตฺถฯ

    Tañcakho etaṃ abbohārikanti tañca kho etaṃ tesaṃ aññabyākaraṇaṃ abbohārikaṃ āpattipaññāpane vohāraṃ na gacchati; āpattiyā aṅgaṃ na hotīti attho.

    กสฺส ปนายํ อธิมาโน อุปฺปชฺชติ, กสฺส นุปฺปชฺชตีติ? อริยสาวกสฺส ตาว นุปฺปชฺชติ โส หิ มคฺคผลนิพฺพานปหีนกิเลสอวสิฎฺฐกิเลสปจฺจเวกฺขเณน สญฺชาตโสมนโสฺส อริยคุณปฎิเวเธ นิกฺกโงฺขฯ ตสฺมา โสตาปนฺนาทีนํ ‘‘อหํ สกทาคามี’’ติอาทิวเสน อธิมาโน นุปฺปชฺชติฯ ทุสฺสีลสฺส นุปฺปชฺชติ, โส หิ อริยคุณาธิคเม นิราโสวฯ สีลวโตปิ ปริจฺจตฺตกมฺมฎฺฐานสฺส นิทฺทารามตาทิมนุยุตฺตสฺส นุปฺปชฺชติฯ สุปริสุทฺธสีลสฺส ปน กมฺมฎฺฐาเน อปฺปมตฺตสฺส นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา ปจฺจยปริคฺคเหน วิติณฺณกงฺขสฺส ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา สงฺขาเร สมฺมสนฺตสฺส อารทฺธวิปสฺสกสฺส อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน จ สุทฺธสมถลาภิํ วา สุทฺธวิปสฺสนาลาภิํ วา อนฺตรา ฐเปติ, โส หิ ทสปิ วีสติปิ ติํสมฺปิ วสฺสานิ กิเลสสมุทาจารํ อปสฺสิตฺวา ‘‘อหํ โสตาปโนฺน’’ติ วา ‘‘สกทาคามี’’ติ วา ‘‘อนาคามี’’ติ วา มญฺญติฯ สมถวิปสฺสนาลาภิํ ปน อรหเตฺตเยว ฐเปติฯ ตสฺส หิ สมาธิพเลน กิเลสา วิกฺขมฺภิตา, วิปสฺสนาพเลน สงฺขารา สุปริคฺคหิตา, ตสฺมา สฎฺฐิมฺปิ วสฺสานิ อสีติมฺปิ วสฺสานิ วสฺสสตมฺปิ กิเลสา น สมุทาจรนฺติ, ขีณาสวเสฺสว จิตฺตจาโร โหติฯ โส เอวํ ทีฆรตฺตํ กิเลสสมุทาจารํ อปสฺสโนฺต อนฺตรา อฐตฺวาว ‘‘อรหา อห’’นฺติ มญฺญตีติฯ

    Kassa panāyaṃ adhimāno uppajjati, kassa nuppajjatīti? Ariyasāvakassa tāva nuppajjati so hi maggaphalanibbānapahīnakilesaavasiṭṭhakilesapaccavekkhaṇena sañjātasomanasso ariyaguṇapaṭivedhe nikkaṅkho. Tasmā sotāpannādīnaṃ ‘‘ahaṃ sakadāgāmī’’tiādivasena adhimāno nuppajjati. Dussīlassa nuppajjati, so hi ariyaguṇādhigame nirāsova. Sīlavatopi pariccattakammaṭṭhānassa niddārāmatādimanuyuttassa nuppajjati. Suparisuddhasīlassa pana kammaṭṭhāne appamattassa nāmarūpaṃ vavatthapetvā paccayapariggahena vitiṇṇakaṅkhassa tilakkhaṇaṃ āropetvā saṅkhāre sammasantassa āraddhavipassakassa uppajjati, uppanno ca suddhasamathalābhiṃ vā suddhavipassanālābhiṃ vā antarā ṭhapeti, so hi dasapi vīsatipi tiṃsampi vassāni kilesasamudācāraṃ apassitvā ‘‘ahaṃ sotāpanno’’ti vā ‘‘sakadāgāmī’’ti vā ‘‘anāgāmī’’ti vā maññati. Samathavipassanālābhiṃ pana arahatteyeva ṭhapeti. Tassa hi samādhibalena kilesā vikkhambhitā, vipassanābalena saṅkhārā supariggahitā, tasmā saṭṭhimpi vassāni asītimpi vassāni vassasatampi kilesā na samudācaranti, khīṇāsavasseva cittacāro hoti. So evaṃ dīgharattaṃ kilesasamudācāraṃ apassanto antarā aṭhatvāva ‘‘arahā aha’’nti maññatīti.

    สวิภงฺคสิกฺขาปทวณฺณนา

    Savibhaṅgasikkhāpadavaṇṇanā

    ๑๙๗. อนภิชานนฺติ น อภิชานํฯ ยสฺมา ปนายํ อนภิชานํ สมุทาจรติ, สฺวสฺส สนฺตาเน อนุปฺปโนฺน ญาเณน จ อสจฺฉิกโตติ อภูโต โหติฯ เตนสฺส ปทภาชเน ‘‘อสนฺตํ อภูตํ อสํวิชฺชมาน’’นฺติ วตฺวา ‘‘อชานโนฺต อปสฺสโนฺต’’ติ วุตฺตํ ฯ

    197.Anabhijānanti na abhijānaṃ. Yasmā panāyaṃ anabhijānaṃ samudācarati, svassa santāne anuppanno ñāṇena ca asacchikatoti abhūto hoti. Tenassa padabhājane ‘‘asantaṃ abhūtaṃ asaṃvijjamāna’’nti vatvā ‘‘ajānanto apassanto’’ti vuttaṃ .

    อุตฺตริมนุสฺสธมฺมนฺติ อุตฺตริมนุสฺสานํ ฌายีนเญฺจว อริยานญฺจ ธมฺมํฯ อตฺตุปนายิกนฺติ อตฺตนิ ตํ อุปเนติ, อตฺตานํ วา ตตฺถ อุปเนตีติ อตฺตุปนายิโก, ตํ อตฺตุปนายิกํ; เอวํ กตฺวา สมุทาจเรยฺยาติ สมฺพโนฺธฯ ปทภาชเน ปน ยสฺมา อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม นาม ฌานํ วิโมกฺขํ สมาธิ สมาปตฺติ ญาณทสฺสนํ…เป.… สุญฺญาคาเร อภิรตีติ เอวํ ฌานาทโย อเนกธมฺมา วุตฺตาฯ ตสฺมา เตสํ สเพฺพสํ วเสน อตฺตุปนายิกภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เต วา กุสเล ธเมฺม อตฺตนิ อุปเนตี’’ติ พหุวจนนิเทฺทสํ อกาสิฯ ตตฺถ ‘‘เอเต ธมฺมา มยิ สนฺทิสฺสนฺตี’’ติ สมุทาจรโนฺต อตฺตนิ อุปเนติฯ ‘‘อหํ เอเตสุ สนฺทิสฺสามี’’ติ สมุทาจรโนฺต อตฺตานํ เตสุ อุปเนตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Uttarimanussadhammanti uttarimanussānaṃ jhāyīnañceva ariyānañca dhammaṃ. Attupanāyikanti attani taṃ upaneti, attānaṃ vā tattha upanetīti attupanāyiko, taṃ attupanāyikaṃ; evaṃ katvā samudācareyyāti sambandho. Padabhājane pana yasmā uttarimanussadhammo nāma jhānaṃ vimokkhaṃ samādhi samāpatti ñāṇadassanaṃ…pe… suññāgāre abhiratīti evaṃ jhānādayo anekadhammā vuttā. Tasmā tesaṃ sabbesaṃ vasena attupanāyikabhāvaṃ dassento ‘‘te vā kusale dhamme attani upanetī’’ti bahuvacananiddesaṃ akāsi. Tattha ‘‘ete dhammā mayi sandissantī’’ti samudācaranto attani upaneti. ‘‘Ahaṃ etesu sandissāmī’’ti samudācaranto attānaṃ tesu upanetīti veditabbo.

    อลมริยญาณทสฺสนนฺติ เอตฺถ โลกิยโลกุตฺตรา ปญฺญา ชานนเฎฺฐน ญาณํ, จกฺขุนา ทิฎฺฐมิว ธมฺมํ ปจฺจกฺขกรณโต ทสฺสนเฎฺฐน ทสฺสนนฺติ ญาณทสฺสนํฯ อริยํ วิสุทฺธํ อุตฺตมํ ญาณทสฺสนนฺติ อริยญาณทสฺสนํฯ อลํ ปริยตฺตํ กิเลสวิทฺธํสนสมตฺถํ อริยญาณทสฺสนเมตฺถ, ฌานาทิเภเท อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม อลํ วา อริยญาณทสฺสนมสฺสาติ อลมริยญาณทสฺสโน, ตํ อลมริยญาณทสฺสนํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมนฺติ เอวํ ปทตฺถสมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ เยน ญาณทสฺสเนน โส อลมริยญาณทสฺสโนติ วุจฺจติฯ ตเทว ทเสฺสตุํ ‘‘ญาณนฺติ ติโสฺส วิชฺชา, ทสฺสนนฺติ ยํ ญาณํ ตํ ทสฺสนํ; ยํ ทสฺสนํ ตํ ญาณ’’นฺติ วิชฺชาสีเสน ปทภาชนํ วุตฺตํฯ มหคฺคตโลกุตฺตรา ปเนตฺถ สพฺพาปิ ปญฺญา ‘‘ญาณ’’นฺติ เวทิตพฺพาฯ

    Alamariyañāṇadassananti ettha lokiyalokuttarā paññā jānanaṭṭhena ñāṇaṃ, cakkhunā diṭṭhamiva dhammaṃ paccakkhakaraṇato dassanaṭṭhena dassananti ñāṇadassanaṃ. Ariyaṃ visuddhaṃ uttamaṃ ñāṇadassananti ariyañāṇadassanaṃ. Alaṃ pariyattaṃ kilesaviddhaṃsanasamatthaṃ ariyañāṇadassanamettha, jhānādibhede uttarimanussadhamme alaṃ vā ariyañāṇadassanamassāti alamariyañāṇadassano, taṃ alamariyañāṇadassanaṃ uttarimanussadhammanti evaṃ padatthasambandho veditabbo. Tattha yena ñāṇadassanena so alamariyañāṇadassanoti vuccati. Tadeva dassetuṃ ‘‘ñāṇanti tisso vijjā, dassananti yaṃ ñāṇaṃ taṃ dassanaṃ; yaṃ dassanaṃ taṃ ñāṇa’’nti vijjāsīsena padabhājanaṃ vuttaṃ. Mahaggatalokuttarā panettha sabbāpi paññā ‘‘ñāṇa’’nti veditabbā.

    สมุทาจเรยฺยาติ วุตฺตปฺปการเมตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อตฺตุปนายิกํ กตฺวา อาโรเจยฺยฯ อิตฺถิยา วาติอาทิ ปน อาโรเจตพฺพปุคฺคลนิทสฺสนํฯ เอเตสญฺหิ อาโรจิเต อาโรจิตํ โหติ น เทวมารพฺรหฺมานํ, นาปิ เปตยกฺขติรจฺฉานคตานนฺติฯ อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามีติ สมุทาจรณาการนิทสฺสนเมตํฯ ปทภาชเน ปนสฺส ‘‘ชานามหํ เอเต ธเมฺม, ปสฺสามหํ เอเต ธเมฺม’’ติ อิทํ เตสุ ฌานาทีสุ ธเมฺมสุ ชานนปสฺสนานํ ปวตฺติทีปนํ, ‘‘อตฺถิ จ เม เอเต ธมฺมา’’ติอาทิ อตฺตุปนายิกภาวทีปนํ ฯ

    Samudācareyyāti vuttappakārametaṃ uttarimanussadhammaṃ attupanāyikaṃ katvā āroceyya. Itthiyā vātiādi pana ārocetabbapuggalanidassanaṃ. Etesañhi ārocite ārocitaṃ hoti na devamārabrahmānaṃ, nāpi petayakkhatiracchānagatānanti. Iti jānāmi iti passāmīti samudācaraṇākāranidassanametaṃ. Padabhājane panassa ‘‘jānāmahaṃ ete dhamme, passāmahaṃ ete dhamme’’ti idaṃ tesu jhānādīsu dhammesu jānanapassanānaṃ pavattidīpanaṃ, ‘‘atthi ca me ete dhammā’’tiādi attupanāyikabhāvadīpanaṃ .

    ๑๙๘. ตโต อปเรน สมเยนาติ อาปตฺติปฎิชานนสมยทสฺสนเมตํฯ อยํ ปน อาโรจิตกฺขเณเยว ปาราชิกํ อาปชฺชติฯ อาปตฺติํ ปน อาปโนฺน ยสฺมา ปเรน โจทิโต วา อโจทิโต วา ปฎิชานาติ; ตสฺมา ‘‘สมนุคฺคาหิยมาโน วา อสมนุคฺคาหิยมาโน วา’’ติ วุตฺตํฯ

    198.Tato aparena samayenāti āpattipaṭijānanasamayadassanametaṃ. Ayaṃ pana ārocitakkhaṇeyeva pārājikaṃ āpajjati. Āpattiṃ pana āpanno yasmā parena codito vā acodito vā paṭijānāti; tasmā ‘‘samanuggāhiyamāno vā asamanuggāhiyamāno vā’’ti vuttaṃ.

    ตตฺถ สมนุคฺคาหิยมาเน ตาว – กิํ เต อธิคตนฺติ อธิคมปุจฺฉา; ฌานวิโมกฺขาทีสุ, โสตาปตฺติมคฺคาทีสุ วา กิํ ตยา อธิคตนฺติฯ กินฺติ เต อธิคตนฺติ อุปายปุจฺฉาฯ อยญฺหิ เอตฺถาธิปฺปาโย – กิํ ตยา อนิจฺจลกฺขณํ ธุรํ กตฺวา อธิคตํ, ทุกฺขานตฺตลกฺขเณสุ อญฺญตรํ วา? กิํ วา สมาธิวเสน อภินิวิสิตฺวา, อุทาหุ วิปสฺสนาวเสน? ตถา กิํ รูเป อภินิวิสิตฺวา, อุทาหุ อรูเป? กิํ วา อชฺฌตฺตํ อภินิวิสิตฺวา, อุทาหุ พหิทฺธาติ? กทา เต อธิคตนฺติ กาลปุจฺฉาฯ ปุพฺพณฺหมชฺฌนฺหิกาทีสุ กตรสฺมิํ กาเลติ วุตฺตํ โหติ? กตฺถ เต อธิคตนฺติ โอกาสปุจฺฉาฯ กตรสฺมิํ โอกาเส, กิํ รตฺติฎฺฐาเน, ทิวาฎฺฐาเน, รุกฺขมูเล, มณฺฑเป, กตรสฺมิํ วา วิหาเรติ วุตฺตํ โหติฯ กตเม เต กิเลสา ปหีนาติ ปหีนกิเลสปุจฺฉาฯ กตรมคฺควชฺฌา ตว กิเลสา ปหีนาติ วุตฺตํ โหติฯ กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภีติ ปฎิลทฺธธมฺมปุจฺฉาฯ ปฐมมคฺคาทีสุ กตเมสํ ธมฺมานํ ตฺวํ ลาภีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tattha samanuggāhiyamāne tāva – kiṃ te adhigatanti adhigamapucchā; jhānavimokkhādīsu, sotāpattimaggādīsu vā kiṃ tayā adhigatanti. Kinti te adhigatanti upāyapucchā. Ayañhi etthādhippāyo – kiṃ tayā aniccalakkhaṇaṃ dhuraṃ katvā adhigataṃ, dukkhānattalakkhaṇesu aññataraṃ vā? Kiṃ vā samādhivasena abhinivisitvā, udāhu vipassanāvasena? Tathā kiṃ rūpe abhinivisitvā, udāhu arūpe? Kiṃ vā ajjhattaṃ abhinivisitvā, udāhu bahiddhāti? Kadā te adhigatanti kālapucchā. Pubbaṇhamajjhanhikādīsu katarasmiṃ kāleti vuttaṃ hoti? Kattha te adhigatanti okāsapucchā. Katarasmiṃ okāse, kiṃ rattiṭṭhāne, divāṭṭhāne, rukkhamūle, maṇḍape, katarasmiṃ vā vihāreti vuttaṃ hoti. Katame te kilesā pahīnāti pahīnakilesapucchā. Kataramaggavajjhā tava kilesā pahīnāti vuttaṃ hoti. Katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhīti paṭiladdhadhammapucchā. Paṭhamamaggādīsu katamesaṃ dhammānaṃ tvaṃ lābhīti vuttaṃ hoti.

    ตสฺมา อิทานิ เจปิ โกจิ ภิกฺขุ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาธิคมํ พฺยากเรยฺย, น โส เอตฺตาวตาว สกฺกาตโพฺพฯ อิเมสุ ปน ฉสุ ฐาเนสุ โสธนตฺถํ วตฺตโพฺพ – ‘‘กิํ เต อธิคตํ, กิํ ฌานํ, อุทาหุ วิโมกฺขาทีสุ อญฺญตร’’นฺติ? โย หิ เยน อธิคโต ธโมฺม, โส ตสฺส ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อิทํ นาม เม อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กินฺติ เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘อนิจฺจลกฺขณาทีสุ กิํ ธุรํ กตฺวา อฎฺฐติํสาย วา อารมฺมเณสุ รูปารูปอชฺฌตฺตพหิทฺธาทิเภเทสุ วา ธเมฺมสุ เกน มุเขน อภินิวิสิตฺวา’’ติ โย หิ ยสฺสาภินิเวโส, โส ตสฺส ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อยํ นาม เม อภินิเวโส เอวํ มยา อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กทา เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ปุพฺพเณฺห, อุทาหุ มชฺฌนฺหิกาทีสุ อญฺญตรสฺมิํ กาเล’’ติ สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตกาโล ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม กาเล อธิคตนฺติ วทติ, ตโต ‘‘กตฺถ เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ทิวาฎฺฐาเน, อุทาหุ รตฺติฎฺฐานาทีสุ อญฺญตรสฺมิํ โอกาเส’’ติ สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคโตกาโส ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม เม โอกาเส อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กตเม เต กิเลสา ปหีนา’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ปฐมมคฺควชฺฌา, อุทาหุ ทุติยาทิมคฺควชฺฌา’’ติ สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตมเคฺคน ปหีนกิเลสา ปากฎา โหนฺติฯ สเจ ‘‘อิเม นาม เม กิเลสา ปหีนา’’ติ วทติ, ตโต ‘‘กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภี’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพ , ‘‘กิํ โสตาปตฺติมคฺคสฺส, อุทาหุ สกทาคามิมคฺคาทีสุ อญฺญตรสฺสา’’ติ สเพฺพสํ หิ อตฺตนา อธิคตธมฺมา ปากฎา โหนฺติฯ สเจ ‘‘อิเมสํ นามาหํ ธมฺมานํ ลาภี’’ติ วทติ, เอตฺตาวตาปิสฺส วจนํ น สทฺธาตพฺพํ, พหุสฺสุตา หิ อุคฺคหปริปุจฺฉากุสลา ภิกฺขู อิมานิ ฉ ฐานานิ โสเธตุํ สโกฺกนฺติฯ

    Tasmā idāni cepi koci bhikkhu uttarimanussadhammādhigamaṃ byākareyya, na so ettāvatāva sakkātabbo. Imesu pana chasu ṭhānesu sodhanatthaṃ vattabbo – ‘‘kiṃ te adhigataṃ, kiṃ jhānaṃ, udāhu vimokkhādīsu aññatara’’nti? Yo hi yena adhigato dhammo, so tassa pākaṭo hoti. Sace ‘‘idaṃ nāma me adhigata’’nti vadati, tato ‘‘kinti te adhigata’’nti pucchitabbo, ‘‘aniccalakkhaṇādīsu kiṃ dhuraṃ katvā aṭṭhatiṃsāya vā ārammaṇesu rūpārūpaajjhattabahiddhādibhedesu vā dhammesu kena mukhena abhinivisitvā’’ti yo hi yassābhiniveso, so tassa pākaṭo hoti. Sace ‘‘ayaṃ nāma me abhiniveso evaṃ mayā adhigata’’nti vadati, tato ‘‘kadā te adhigata’’nti pucchitabbo, ‘‘kiṃ pubbaṇhe, udāhu majjhanhikādīsu aññatarasmiṃ kāle’’ti sabbesañhi attanā adhigatakālo pākaṭo hoti. Sace ‘‘asukasmiṃ nāma kāle adhigatanti vadati, tato ‘‘kattha te adhigata’’nti pucchitabbo, ‘‘kiṃ divāṭṭhāne, udāhu rattiṭṭhānādīsu aññatarasmiṃ okāse’’ti sabbesañhi attanā adhigatokāso pākaṭo hoti. Sace ‘‘asukasmiṃ nāma me okāse adhigata’’nti vadati, tato ‘‘katame te kilesā pahīnā’’ti pucchitabbo, ‘‘kiṃ paṭhamamaggavajjhā, udāhu dutiyādimaggavajjhā’’ti sabbesañhi attanā adhigatamaggena pahīnakilesā pākaṭā honti. Sace ‘‘ime nāma me kilesā pahīnā’’ti vadati, tato ‘‘katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhī’’ti pucchitabbo , ‘‘kiṃ sotāpattimaggassa, udāhu sakadāgāmimaggādīsu aññatarassā’’ti sabbesaṃ hi attanā adhigatadhammā pākaṭā honti. Sace ‘‘imesaṃ nāmāhaṃ dhammānaṃ lābhī’’ti vadati, ettāvatāpissa vacanaṃ na saddhātabbaṃ, bahussutā hi uggahaparipucchākusalā bhikkhū imāni cha ṭhānāni sodhetuṃ sakkonti.

    อิมสฺส ปน ภิกฺขุโน อาคมนปฎิปทา โสเธตพฺพาฯ ยทิ อาคมนปฎิปทา น สุชฺฌติ, ‘‘อิมาย ปฎิปทาย โลกุตฺตรธโมฺม นาม น ลพฺภตี’’ติ อปเนตโพฺพฯ ยทิ ปนสฺส อาคมนปฎิปทา สุชฺฌติ, ‘‘ทีฆรตฺตํ ตีสุ สิกฺขาสุ อปฺปมโตฺต ชาคริยมนุยุโตฺต จตูสุ ปจฺจเยสุ อลโคฺค อากาเส ปาณิสเมน เจตสา วิหรตี’’ติ ปญฺญายติ, ตสฺส ภิกฺขุโน พฺยากรณํ ปฎิปทาย สทฺธิํ สํสนฺทติฯ ‘‘เสยฺยถาปิ นาม คโงฺคทกํ ยมุโนทเกน สทฺธิํ สํสนฺทติ สเมติ; เอวเมว สุปญฺญตฺตา เตน ภควตา สาวกานํ นิพฺพานคามินี ปฎิปทา สํสนฺทติ นิพฺพานญฺจ ปฎิปทา จา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๙๖) วุตฺตสทิสํ โหติฯ

    Imassa pana bhikkhuno āgamanapaṭipadā sodhetabbā. Yadi āgamanapaṭipadā na sujjhati, ‘‘imāya paṭipadāya lokuttaradhammo nāma na labbhatī’’ti apanetabbo. Yadi panassa āgamanapaṭipadā sujjhati, ‘‘dīgharattaṃ tīsu sikkhāsu appamatto jāgariyamanuyutto catūsu paccayesu alaggo ākāse pāṇisamena cetasā viharatī’’ti paññāyati, tassa bhikkhuno byākaraṇaṃ paṭipadāya saddhiṃ saṃsandati. ‘‘Seyyathāpi nāma gaṅgodakaṃ yamunodakena saddhiṃ saṃsandati sameti; evameva supaññattā tena bhagavatā sāvakānaṃ nibbānagāminī paṭipadā saṃsandati nibbānañca paṭipadā cā’’ti (dī. ni. 2.296) vuttasadisaṃ hoti.

    อปิจ โข น เอตฺตเกนาปิ สกฺกาโร กาตโพฺพฯ กสฺมา? เอกจฺจสฺส หิ ปุถุชฺชนสฺสาปิ สโต ขีณาสวปฎิปตฺติสทิสา ปฎิปทา โหติ, ตสฺมา โส ภิกฺขุ เตหิ เตหิ อุปาเยหิ อุตฺตาเสตโพฺพฯ ขีณาสวสฺส นาม อสนิยาปิ มตฺถเก ปตมานาย ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา โลมหํโส วา น โหติฯ สจสฺส ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา โลมหํโส วา อุปฺปชฺชติ, ‘‘น ตฺวํ อรหา’’ติ อปเนตโพฺพฯ สเจ ปน อภีรู อจฺฉมฺภี อนุตฺราสี หุตฺวา สีโห วิย นิสีทติ, อยํ ภิกฺขุ สมฺปนฺนเวยฺยากรโณ สมนฺตา ราชราชมหามตฺตาทีหิ เปสิตํ สกฺการํ อรหตีติฯ

    Apica kho na ettakenāpi sakkāro kātabbo. Kasmā? Ekaccassa hi puthujjanassāpi sato khīṇāsavapaṭipattisadisā paṭipadā hoti, tasmā so bhikkhu tehi tehi upāyehi uttāsetabbo. Khīṇāsavassa nāma asaniyāpi matthake patamānāya bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā lomahaṃso vā na hoti. Sacassa bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā lomahaṃso vā uppajjati, ‘‘na tvaṃ arahā’’ti apanetabbo. Sace pana abhīrū acchambhī anutrāsī hutvā sīho viya nisīdati, ayaṃ bhikkhu sampannaveyyākaraṇo samantā rājarājamahāmattādīhi pesitaṃ sakkāraṃ arahatīti.

    ปาปิโจฺฉติ ยา สา ‘‘อิเธกโจฺจ ทุสฺสีโลว สมาโน สีลวาติ มํ ชโน ชานาตูติ อิจฺฉตี’’ติอาทินา (วิภ. ๘๕๑) นเยน วุตฺตา ปาปิจฺฉา ตาย สมนฺนาคโตฯ อิจฺฉาปกโตติ ตาย ปาปิกาย อิจฺฉาย อปกโต อภิภูโต ปาราชิโก หุตฺวาฯ

    Pāpicchoti yā sā ‘‘idhekacco dussīlova samāno sīlavāti maṃ jano jānātūti icchatī’’tiādinā (vibha. 851) nayena vuttā pāpicchā tāya samannāgato. Icchāpakatoti tāya pāpikāya icchāya apakato abhibhūto pārājiko hutvā.

    วิสุทฺธาเปโกฺขติ อตฺตโน วิสุทฺธิํ อเปกฺขมาโน อิจฺฉมาโน ปตฺถยมาโนฯ อยญฺหิ ยสฺมา ปาราชิกํ อาปโนฺน, ตสฺมา ภิกฺขุภาเว ฐตฺวา อภโพฺพ ฌานาทีนิ อธิคนฺตุํ, ภิกฺขุภาโว หิสฺส สคฺคนฺตราโย เจว โหติ มคฺคนฺตราโย จฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สามญฺญํ ทุปฺปรามฎฺฐํ นิรยายุปกฑฺฒตี’’ติ (ธ. ป. ๓๑๑)ฯ อปรมฺปิ วุตฺตํ – ‘‘สิถิโล หิ ปริพฺพาโช, ภิโยฺย อากิรเต รช’’นฺติ (ธ. ป. ๓๑๓)ฯ อิจฺจสฺส ภิกฺขุภาโว วิสุทฺธิ นาม น โหติ ฯ ยสฺมา ปน คิหี วา อุปาสโก วา อารามิโก วา สามเณโร วา หุตฺวา ทานสรณสีลสํวราทีหิ สคฺคมคฺคํ วา ฌานวิโมกฺขาทีหิ โมกฺขมคฺคํ วา อาราเธตุํ ภโพฺพ โหติ, ตสฺมาสฺส คิหิอาทิภาโว วิสุทฺธิ นาม โหติ, ตสฺมา ตํ วิสุทฺธิํ อเปกฺขนโต ‘‘วิสุทฺธาเปโกฺข’’ติ วุจฺจติฯ เตเนว จสฺส ปทภาชเน ‘‘คิหี วา โหตุกาโม’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Visuddhāpekkhoti attano visuddhiṃ apekkhamāno icchamāno patthayamāno. Ayañhi yasmā pārājikaṃ āpanno, tasmā bhikkhubhāve ṭhatvā abhabbo jhānādīni adhigantuṃ, bhikkhubhāvo hissa saggantarāyo ceva hoti maggantarāyo ca. Vuttañhetaṃ – ‘‘sāmaññaṃ dupparāmaṭṭhaṃ nirayāyupakaḍḍhatī’’ti (dha. pa. 311). Aparampi vuttaṃ – ‘‘sithilo hi paribbājo, bhiyyo ākirate raja’’nti (dha. pa. 313). Iccassa bhikkhubhāvo visuddhi nāma na hoti . Yasmā pana gihī vā upāsako vā ārāmiko vā sāmaṇero vā hutvā dānasaraṇasīlasaṃvarādīhi saggamaggaṃ vā jhānavimokkhādīhi mokkhamaggaṃ vā ārādhetuṃ bhabbo hoti, tasmāssa gihiādibhāvo visuddhi nāma hoti, tasmā taṃ visuddhiṃ apekkhanato ‘‘visuddhāpekkho’’ti vuccati. Teneva cassa padabhājane ‘‘gihī vā hotukāmo’’tiādi vuttaṃ.

    เอวํ วเทยฺยาติ เอวํ ภเณยฺยฯ กถํ? ‘‘อชานเมวํ อาวุโส อวจํ ชานามิ, อปสฺสํ ปสฺสามี’’ติฯ ปทภาชเน ปน ‘‘เอวํ วเทยฺยา’’ติ อิทํ ปทํ อนุทฺธริตฺวาว ยถา วทโนฺต ‘‘อชานเมวํ อาวุโส อวจํ ชานามิ, อปสฺสํ ปสฺสามี’’ติ วทติ นามาติ วุจฺจติ, ตํ อาการํ ทเสฺสตุํ ‘‘นาหํ เอเต ธเมฺม ชานามี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตุจฺฉํ มุสา วิลปินฺติ อหํ วจนตฺถวิรหโต ตุจฺฉํ วญฺจนาธิปฺปายโต มุสา วิลปิํ, อภณินฺติ วุตฺตํ โหติฯ ปทภาชเน ปนสฺส อเญฺญน ปทพฺยญฺชเนน อตฺถมตฺตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตุจฺฉกํ มยา ภณิต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Evaṃ vadeyyāti evaṃ bhaṇeyya. Kathaṃ? ‘‘Ajānamevaṃ āvuso avacaṃ jānāmi, apassaṃ passāmī’’ti. Padabhājane pana ‘‘evaṃ vadeyyā’’ti idaṃ padaṃ anuddharitvāva yathā vadanto ‘‘ajānamevaṃ āvuso avacaṃ jānāmi, apassaṃ passāmī’’ti vadati nāmāti vuccati, taṃ ākāraṃ dassetuṃ ‘‘nāhaṃ ete dhamme jānāmī’’tiādi vuttaṃ. Tucchaṃ musā vilapinti ahaṃ vacanatthavirahato tucchaṃ vañcanādhippāyato musā vilapiṃ, abhaṇinti vuttaṃ hoti. Padabhājane panassa aññena padabyañjanena atthamattaṃ dassetuṃ ‘‘tucchakaṃ mayā bhaṇita’’ntiādi vuttaṃ.

    ปุริเม อุปาทายาติ ปุริมานิ ตีณิ ปาราชิกานิ อาปเนฺน ปุคฺคเล อุปาทายฯ เสสํ ปุเพฺพ วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถตฺตา จ ปากฎเมวาติฯ

    Purime upādāyāti purimāni tīṇi pārājikāni āpanne puggale upādāya. Sesaṃ pubbe vuttanayattā uttānatthattā ca pākaṭamevāti.

    ปทภาชนียวณฺณนา

    Padabhājanīyavaṇṇanā

    ๑๙๙. เอวํ อุทฺทิฎฺฐสิกฺขาปทํ ปทานุกฺกเมน วิภชิตฺวา อิทานิ ยสฺมา เหฎฺฐา ปทภาชนียมฺหิ ‘‘ฌานํ วิโมกฺขํ สมาธิ สมาปตฺติ ญาณทสฺสนํ…เป.… สุญฺญาคาเร อภิรตี’’ติ เอวํ สํขิเตฺตเนว อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม ทสฺสิโต, น วิตฺถาเรน อาปตฺติํ อาโรเปตฺวา ตนฺติ ฐปิตาฯ สเงฺขปทสฺสิเต จ อเตฺถ น สเพฺพ สพฺพากาเรน นยํ คเหตุํ สโกฺกนฺติ, ตสฺมา สพฺพากาเรน นยคฺคหณตฺถํ ปุน ตเทว ปทภาชนํ มาติกาฐาเน ฐเปตฺวา วิตฺถารโต อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ ทเสฺสตฺวา อาปตฺติเภทํ ทเสฺสตุกาโม ‘‘ฌานนฺติ ปฐมํ ฌานํ, ทุติยํ ฌาน’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปฐมชฺฌานาทีหิ เมตฺตาฌานาทีนิปิ อสุภชฺฌานาทีนิปิ อานาปานสฺสติสมาธิชฺฌานมฺปิ โลกิยชฺฌานมฺปิ โลกุตฺตรชฺฌานมฺปิ สงฺคหิตเมวฯ ตสฺมา ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชินฺติปิ…เป.… จตุตฺถํ ชฺฌานํ, เมตฺตาฌานํ, อุเปกฺขาฌานํ อสุภชฺฌานํ อานาปานสฺสติสมาธิชฺฌานํ , โลกิยชฺฌานํ, โลกุตฺตรชฺฌานํ สมาปชฺชิ’’นฺติปิ ภณโนฺต ปาราชิโกว โหตีติ เวทิตโพฺพฯ

    199. Evaṃ uddiṭṭhasikkhāpadaṃ padānukkamena vibhajitvā idāni yasmā heṭṭhā padabhājanīyamhi ‘‘jhānaṃ vimokkhaṃ samādhi samāpatti ñāṇadassanaṃ…pe… suññāgāre abhiratī’’ti evaṃ saṃkhitteneva uttarimanussadhammo dassito, na vitthārena āpattiṃ āropetvā tanti ṭhapitā. Saṅkhepadassite ca atthe na sabbe sabbākārena nayaṃ gahetuṃ sakkonti, tasmā sabbākārena nayaggahaṇatthaṃ puna tadeva padabhājanaṃ mātikāṭhāne ṭhapetvā vitthārato uttarimanussadhammaṃ dassetvā āpattibhedaṃ dassetukāmo ‘‘jhānanti paṭhamaṃ jhānaṃ, dutiyaṃ jhāna’’ntiādimāha. Tattha paṭhamajjhānādīhi mettājhānādīnipi asubhajjhānādīnipi ānāpānassatisamādhijjhānampi lokiyajjhānampi lokuttarajjhānampi saṅgahitameva. Tasmā ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajjintipi…pe… catutthaṃ jjhānaṃ, mettājhānaṃ, upekkhājhānaṃ asubhajjhānaṃ ānāpānassatisamādhijjhānaṃ , lokiyajjhānaṃ, lokuttarajjhānaṃ samāpajji’’ntipi bhaṇanto pārājikova hotīti veditabbo.

    สุฎฺฐุ มุโตฺต วิวิเธหิ วา กิเลเสหิ มุโตฺตติ วิโมโกฺขฯ โส ปนายํ ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตฺตา สุญฺญโตฯ ราคโทสโมหนิมิเตฺตหิ อนิมิตฺตตฺตา อนิมิโตฺตฯ ราคโทสโมหปณิธีนํ อภาวโต อปฺปณิหิโตติ วุจฺจติฯ จิตฺตํ สมํ อาทหติ อารมฺมเณ ฐเปตีติ สมาธิฯ อริเยหิ สมาปชฺชิตพฺพโต สมาปตฺติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ เอตฺถ จ วิโมกฺขตฺติเกน จ สมาธิตฺติเกน จ อริยมโคฺคว วุโตฺตฯ สมาปตฺติตฺติเกน ปน ผลสมาปตฺติฯ เตสุ ยํกิญฺจิ เอกมฺปิ ปทํ คเหตฺวา ‘‘อหํ อิมสฺส ลาภีมฺหี’’ติ ภณโนฺต ปาราชิโกว โหติฯ

    Suṭṭhu mutto vividhehi vā kilesehi muttoti vimokkho. So panāyaṃ rāgadosamohehi suññattā suññato. Rāgadosamohanimittehi animittattā animitto. Rāgadosamohapaṇidhīnaṃ abhāvato appaṇihitoti vuccati. Cittaṃ samaṃ ādahati ārammaṇe ṭhapetīti samādhi. Ariyehi samāpajjitabbato samāpatti. Sesamettha vuttanayameva. Ettha ca vimokkhattikena ca samādhittikena ca ariyamaggova vutto. Samāpattittikena pana phalasamāpatti. Tesu yaṃkiñci ekampi padaṃ gahetvā ‘‘ahaṃ imassa lābhīmhī’’ti bhaṇanto pārājikova hoti.

    ติโสฺส วิชฺชาติ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติ, ทิพฺพจกฺขุ, อาสวานํ ขเย ญาณนฺติฯ ตตฺถ เอกิสฺสาปิ นามํ คเหตฺวา ‘‘อหํ อิมิสฺสา วิชฺชาย ลาภีมฺหี’’ติ ภณโนฺต ปาราชิโก โหติฯ สเงฺขปฎฺฐกถายํ ปน ‘‘วิชฺชานํ ลาภีมฺหี’ติ ภณโนฺตปิ ‘ติสฺสนฺนํ วิชฺชานํ ลาภีมฺหี’ติ ภณโนฺตปิ ปาราชิโก วา’’ติ วุตฺตํฯ มคฺคภาวนาปทภาชเน วุตฺตา สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธมฺมา มคฺคสมฺปยุตฺตา โลกุตฺตราว อิธาธิเปฺปตาฯ ตสฺมา โลกุตฺตรานํ สติปฎฺฐานานํ สมฺมปฺปธานานํ อิทฺธิปาทานํ อินฺทฺริยานํ พลานํ โพชฺฌงฺคานํ อริยสฺส อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส ลาภีมฺหีติ วทโต ปาราชิกนฺติ มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ มหาปจฺจริยาทีสุ ปน ‘‘สติปฎฺฐานานํ ลาภีมฺหี’ติ เอวํ เอเกกโกฎฺฐาสวเสนาปิ ‘กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานสฺส ลาภีมฺหี’ติ เอวํ ตตฺถ เอเกกธมฺมวเสนาปิ วทโต ปาราชิกเมวา’’ติ วุตฺตํ ตมฺปิ สเมติฯ กสฺมา? มคฺคกฺขณุปฺปเนฺนเยว สนฺธาย วุตฺตตฺตาฯ ผลสจฺฉิกิริยายปิ เอเกกผลวเสน ปาราชิกํ เวทิตพฺพํฯ

    Tisso vijjāti pubbenivāsānussati, dibbacakkhu, āsavānaṃ khaye ñāṇanti. Tattha ekissāpi nāmaṃ gahetvā ‘‘ahaṃ imissā vijjāya lābhīmhī’’ti bhaṇanto pārājiko hoti. Saṅkhepaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘vijjānaṃ lābhīmhī’ti bhaṇantopi ‘tissannaṃ vijjānaṃ lābhīmhī’ti bhaṇantopi pārājiko vā’’ti vuttaṃ. Maggabhāvanāpadabhājane vuttā sattatiṃsabodhipakkhiyadhammā maggasampayuttā lokuttarāva idhādhippetā. Tasmā lokuttarānaṃ satipaṭṭhānānaṃ sammappadhānānaṃ iddhipādānaṃ indriyānaṃ balānaṃ bojjhaṅgānaṃ ariyassa aṭṭhaṅgikassa maggassa lābhīmhīti vadato pārājikanti mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Mahāpaccariyādīsu pana ‘‘satipaṭṭhānānaṃ lābhīmhī’ti evaṃ ekekakoṭṭhāsavasenāpi ‘kāyānupassanāsatipaṭṭhānassa lābhīmhī’ti evaṃ tattha ekekadhammavasenāpi vadato pārājikamevā’’ti vuttaṃ tampi sameti. Kasmā? Maggakkhaṇuppanneyeva sandhāya vuttattā. Phalasacchikiriyāyapi ekekaphalavasena pārājikaṃ veditabbaṃ.

    ราคสฺส ปหานนฺติอาทิตฺติเก กิเลสปฺปหานเมว วุตฺตํฯ ตํ ปน ยสฺมา มเคฺคน วินา นตฺถิ, ตติยมเคฺคน หิ กามราคโทสานํ ปหานํ, จตุเตฺถน โมหสฺส, ตสฺมา ‘‘ราโค เม ปหีโน’’ติอาทีนิ วทโตปิ ปาราชิกํ วุตฺตํฯ

    Rāgassa pahānantiādittike kilesappahānameva vuttaṃ. Taṃ pana yasmā maggena vinā natthi, tatiyamaggena hi kāmarāgadosānaṃ pahānaṃ, catutthena mohassa, tasmā ‘‘rāgo me pahīno’’tiādīni vadatopi pārājikaṃ vuttaṃ.

    ราคา จิตฺตํ วินีวรณตาติอาทิตฺติเก โลกุตฺตรจิตฺตเมว วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘ราคา เม จิตฺตํ วินีวรณ’’นฺติอาทีนิ วทโตปิ ปาราชิกเมวฯ

    Rāgā cittaṃ vinīvaraṇatātiādittike lokuttaracittameva vuttaṃ. Tasmā ‘‘rāgā me cittaṃ vinīvaraṇa’’ntiādīni vadatopi pārājikameva.

    สุญฺญาคารปทภาชเน ปน ยสฺมา ฌาเนน อฆเฎตฺวา ‘‘สุญฺญาคาเร อภิรมามี’’ติ วจนมเตฺตน ปาราชิกํ นาธิเปฺปตํ, ตสฺมา ‘‘ปฐเมน ฌาเนน สุญฺญาคาเร อภิรตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺมา โย ฌาเนน ฆเฎตฺวา ‘‘อิมินา นาม ฌาเนน สุญฺญาคาเร อภิรมามี’’ติ วทติ, อยเมว ปาราชิโก โหตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Suññāgārapadabhājane pana yasmā jhānena aghaṭetvā ‘‘suññāgāre abhiramāmī’’ti vacanamattena pārājikaṃ nādhippetaṃ, tasmā ‘‘paṭhamena jhānena suññāgāre abhiratī’’tiādi vuttaṃ. Tasmā yo jhānena ghaṭetvā ‘‘iminā nāma jhānena suññāgāre abhiramāmī’’ti vadati, ayameva pārājiko hotīti veditabbo.

    ยา จ ‘‘ญาณ’’นฺติ อิมสฺส ปทภาชเน อมฺพฎฺฐสุตฺตาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๕๔ อาทโย) วุตฺตาสุ อฎฺฐสุ วิชฺชาสุ วิปสฺสนาญาณมโนมยิทฺธิอิทฺธิวิธทิพฺพโสตเจโตปริยญาณเภทา ปญฺจ วิชฺชา น อาคตา, ตาสุ เอกา วิปสฺสนาว ปาราชิกวตฺถุ น โหติ, เสสา โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ ตสฺมา ‘‘วิปสฺสนาย ลาภีมฺหี’’ติปิ ‘‘วิปสฺสนาญาณสฺส ลาภีมฺหี’’ติปิ วทโต ปาราชิกํ นตฺถิฯ ผุสฺสเทวเตฺถโร ปน ภณติ – ‘‘อิตราปิ จตโสฺส วิชฺชา ญาเณน อฆฎิตา ปาราชิกวตฺถู น โหนฺติฯ ตสฺมา ‘มโนมยสฺส ลาภีมฺหิ, อิทฺธิวิธสฺส, ทิพฺพาย โสตธาตุยา, เจโตปริยสฺส ลาภีมฺหี’ติ วทโตปิ ปาราชิกํ นตฺถี’’ติฯ ตํ ตสฺส อเนฺตวาสิเกเหว ปฎิกฺขิตฺตํ – ‘‘อาจริโย น อาภิธมฺมิโก ภุมฺมนฺตรํ น ชานาติ, อภิญฺญา นาม จตุตฺถชฺฌานปาทโกว มหคฺคตธโมฺม, ฌาเนเนว อิชฺฌติฯ ตสฺมา มโนมยสฺส ลาภีมฺหี’ติ วา ‘มโนมยญาณสฺส ลาภีมฺหี’ติ วา ยถา วา ตถา วา วทตุ ปาราชิกเมวา’’ติฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ นิพฺพานํ ปาฬิยา อนาคตํ, อถ โข ‘‘นิพฺพานํ เม ปตฺต’’นฺติ วา ‘‘สจฺฉิกต’’นฺติ วา วทโต ปาราชิกเมวฯ กสฺมา? นิพฺพานสฺส นิพฺพตฺติตโลกุตฺตรตฺตาฯ ตถา ‘‘จตฺตาริ สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌิํ ปฎิวิทฺธานิ มยา’’ติ วทโตปิ ปาราชิกเมวฯ กสฺมา? สจฺจปฺปฎิเวโธติ หิ มคฺคสฺส ปริยายวจนํฯ ยสฺมา ปน ‘‘ติโสฺส ปฎิสมฺภิทา กามาวจรกุสลโต จตูสุ ญาณสมฺปยุเตฺตสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชนฺติ, กฺริยโต จตูสุ ญาณสมฺปยุเตฺตสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชนฺติ, อตฺถปฎิสมฺภิทา เอเตสุ เจว อุปฺปชฺชติ, จตูสุ มเคฺคสุ จตูสุ ผเลสุ จ อุปฺปชฺชตี’’ติ วิภเงฺค (วิภ. ๗๔๖) วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘ธมฺมปฎิสมฺภิทาย ลาภีมฺหี’’ติ วา, ‘‘นิรุตฺติ…เป.… ปฎิภานปฎิสมฺภิทาย ลาภีมฺหี’’ติ วา ‘‘โลกิยอตฺถปฎิสมฺภิทาย ลาภีมฺหี’’ติ วา วุเตฺตปิ ปาราชิกํ นตฺถิฯ ‘‘ปฎิสมฺภิทานํ ลาภีมฺหี’’ติ วุเตฺต น ตาว สีสํ โอตรติฯ ‘‘โลกุตฺตรอตฺถปฎิสมฺภิทาย ลาภีมฺหี’’ติ วุเตฺต ปน ปาราชิกํ โหติฯ สเงฺขปฎฺฐกถายํ ปน อตฺถปฎิสมฺภิทาปฺปโตฺตมฺหีติ อวิเสเสนาปิ วทโต ปาราชิกํ วุตฺตํฯ กุรุนฺทิยมฺปิ ‘‘น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน ‘‘เอตฺตาวตา ปาราชิกํ นตฺถิ, เอตฺตาวตา สีสํ น โอตรติ, เอตฺตาวตา น ปาราชิก’’นฺติ วิจาริตตฺตา น สกฺกา อญฺญํ ปมาณํ กาตุนฺติฯ

    ca ‘‘ñāṇa’’nti imassa padabhājane ambaṭṭhasuttādīsu (dī. ni. 1.254 ādayo) vuttāsu aṭṭhasu vijjāsu vipassanāñāṇamanomayiddhiiddhividhadibbasotacetopariyañāṇabhedā pañca vijjā na āgatā, tāsu ekā vipassanāva pārājikavatthu na hoti, sesā hontīti veditabbā. Tasmā ‘‘vipassanāya lābhīmhī’’tipi ‘‘vipassanāñāṇassa lābhīmhī’’tipi vadato pārājikaṃ natthi. Phussadevatthero pana bhaṇati – ‘‘itarāpi catasso vijjā ñāṇena aghaṭitā pārājikavatthū na honti. Tasmā ‘manomayassa lābhīmhi, iddhividhassa, dibbāya sotadhātuyā, cetopariyassa lābhīmhī’ti vadatopi pārājikaṃ natthī’’ti. Taṃ tassa antevāsikeheva paṭikkhittaṃ – ‘‘ācariyo na ābhidhammiko bhummantaraṃ na jānāti, abhiññā nāma catutthajjhānapādakova mahaggatadhammo, jhāneneva ijjhati. Tasmā manomayassa lābhīmhī’ti vā ‘manomayañāṇassa lābhīmhī’ti vā yathā vā tathā vā vadatu pārājikamevā’’ti. Ettha ca kiñcāpi nibbānaṃ pāḷiyā anāgataṃ, atha kho ‘‘nibbānaṃ me patta’’nti vā ‘‘sacchikata’’nti vā vadato pārājikameva. Kasmā? Nibbānassa nibbattitalokuttarattā. Tathā ‘‘cattāri saccāni paṭivijjhiṃ paṭividdhāni mayā’’ti vadatopi pārājikameva. Kasmā? Saccappaṭivedhoti hi maggassa pariyāyavacanaṃ. Yasmā pana ‘‘tisso paṭisambhidā kāmāvacarakusalato catūsu ñāṇasampayuttesu cittuppādesu uppajjanti, kriyato catūsu ñāṇasampayuttesu cittuppādesu uppajjanti, atthapaṭisambhidā etesu ceva uppajjati, catūsu maggesu catūsu phalesu ca uppajjatī’’ti vibhaṅge (vibha. 746) vuttaṃ. Tasmā ‘‘dhammapaṭisambhidāya lābhīmhī’’ti vā, ‘‘nirutti…pe… paṭibhānapaṭisambhidāya lābhīmhī’’ti vā ‘‘lokiyaatthapaṭisambhidāya lābhīmhī’’ti vā vuttepi pārājikaṃ natthi. ‘‘Paṭisambhidānaṃ lābhīmhī’’ti vutte na tāva sīsaṃ otarati. ‘‘Lokuttaraatthapaṭisambhidāya lābhīmhī’’ti vutte pana pārājikaṃ hoti. Saṅkhepaṭṭhakathāyaṃ pana atthapaṭisambhidāppattomhīti avisesenāpi vadato pārājikaṃ vuttaṃ. Kurundiyampi ‘‘na muccatī’’ti vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘ettāvatā pārājikaṃ natthi, ettāvatā sīsaṃ na otarati, ettāvatā na pārājika’’nti vicāritattā na sakkā aññaṃ pamāṇaṃ kātunti.

    ‘‘นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชามี’’ติ วา ‘‘ลาภีมฺหาหํ ตสฺสา’’ติ วา วทโตปิ ปาราชิกํ นตฺถิฯ กสฺมา? นิโรธสมาปตฺติยา เนว โลกิยตฺตา น โลกุตฺตรตฺตาติฯ สเจ ปนสฺส เอวํ โหติ – ‘‘นิโรธํ นาม อนาคามี วา ขีณาสโว วา สมาปชฺชติ, เตสํ มํ อญฺญตโรติ ชานิสฺสตี’’ติ พฺยากโรติ, โส จ นํ ตถา ชานาติ, ปาราชิกนฺติ มหาปจฺจริสเงฺขปฎฺฐกถาสุ วุตฺตํฯ ตํ วีมํสิตฺวา คเหตพฺพํฯ

    ‘‘Nirodhasamāpattiṃ samāpajjāmī’’ti vā ‘‘lābhīmhāhaṃ tassā’’ti vā vadatopi pārājikaṃ natthi. Kasmā? Nirodhasamāpattiyā neva lokiyattā na lokuttarattāti. Sace panassa evaṃ hoti – ‘‘nirodhaṃ nāma anāgāmī vā khīṇāsavo vā samāpajjati, tesaṃ maṃ aññataroti jānissatī’’ti byākaroti, so ca naṃ tathā jānāti, pārājikanti mahāpaccarisaṅkhepaṭṭhakathāsu vuttaṃ. Taṃ vīmaṃsitvā gahetabbaṃ.

    ‘‘อตีตภเว กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล โสตาปโนฺนมฺหี’’ติ วทโตปิ ปาราชิกํ นตฺถิฯ อตีตกฺขนฺธานญฺหิ ปรามฎฺฐตฺตา สีสํ น โอตรตีติฯ สเงฺขปฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อตีเต อฎฺฐสมาปตฺติลาภีมฺหี’’ติ วทโต ปาราชิกํ นตฺถิ, กุปฺปธมฺมตฺตา อิธ ปน ‘‘อตฺถิ อกุปฺปธมฺมตฺตาติ เกจิ วทนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ตมฺปิ ตเตฺถว ‘‘อตีตตฺตภาวํ สนฺธาย กเถนฺตสฺส ปาราชิกํ น โหติ, ปจฺจุปฺปนฺนตฺตภาวํ สนฺธาย กเถนฺตเสฺสว โหตี’’ติ ปฎิกฺขิตฺตํฯ

    ‘‘Atītabhave kassapasammāsambuddhakāle sotāpannomhī’’ti vadatopi pārājikaṃ natthi. Atītakkhandhānañhi parāmaṭṭhattā sīsaṃ na otaratīti. Saṅkhepaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘atīte aṭṭhasamāpattilābhīmhī’’ti vadato pārājikaṃ natthi, kuppadhammattā idha pana ‘‘atthi akuppadhammattāti keci vadantī’’ti vuttaṃ. Tampi tattheva ‘‘atītattabhāvaṃ sandhāya kathentassa pārājikaṃ na hoti, paccuppannattabhāvaṃ sandhāya kathentasseva hotī’’ti paṭikkhittaṃ.

    สุทฺธิกวารกถาวณฺณนา

    Suddhikavārakathāvaṇṇanā

    ๒๐๐. เอวํ ฌานาทีนิ ทส มาติกาปทานิ วิตฺถาเรตฺวา อิทานิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อุลฺลปโนฺต ยํ สมฺปชานมุสาวาทํ ภณติ, ตสฺส องฺคํ ทเสฺสตฺวา ตเสฺสว วิตฺถารสฺส วเสน จกฺกเปยฺยาลํ พนฺธโนฺต อุลฺลปนาการญฺจ อาปตฺติเภทญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘ตีหากาเรหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุทฺธิกวาโร วตฺตุกามวาโร ปจฺจยปฎิสํยุตฺตวาโรติ ตโย มหาวาราฯ เตสุ สุทฺธิกวาเร ปฐมชฺฌานํ อาทิํ กตฺวา ยาว โมหา จิตฺตํ วินีวรณปทํ, ตาว เอกเมกสฺมิํ ปเท สมาปชฺชิํ, สมาปชฺชามิ, สมาปโนฺน, ลาภีมฺหิ, วสีมฺหิ, สจฺฉิกตํ มยาติ อิเมสุ ฉสุ ปเทสุ เอกเมกํ ปทํ ตีหากาเรหิ, จตูหิ, ปญฺจหิ, ฉหิ, สตฺตหากาเรหีติ เอวํ ปญฺจกฺขตฺตุํ โยเชตฺวา สุทฺธิกนโย นาม วุโตฺตฯ ตโต ปฐมญฺจ ฌานํ, ทุติยญฺจ ฌานนฺติ เอวํ ปฐมชฺฌาเนน สทฺธิํ เอกเมกํ ปทํ ฆเฎเนฺตน สพฺพปทานิ ฆเฎตฺวา เตเนว วิตฺถาเรน ขณฺฑจกฺกํ นาม วุตฺตํฯ ตญฺหิ ปุน อาเนตฺวา ปฐมชฺฌานาทีหิ น โยชิตํ, ตสฺมา ‘‘ขณฺฑจกฺก’’นฺติ วุจฺจติฯ ตโต ทุติยญฺจ ฌานํ, ตติยญฺจ ฌานนฺติ เอวํ ทุติยชฺฌาเนน สทฺธิํ เอกเมกํ ปทํ ฆเฎตฺวา ปุน อาเนตฺวา ปฐมชฺฌาเนน สทฺธิํ สมฺพนฺธิตฺวา เตเนว วิตฺถาเรน พทฺธจกฺกํ นาม วุตฺตํฯ ตโต ยถา ทุติยชฺฌาเนน สทฺธิํ, เอวํ ตติยชฺฌานาทีหิปิ สทฺธิํ, เอกเมกํ ปทํ ฆเฎตฺวา ปุน อาเนตฺวา ทุติยชฺฌานาทีหิ สทฺธิํ สมฺพนฺธิตฺวา เตเนว วิตฺถาเรน อญฺญานิปิ เอกูนติํส พทฺธจกฺกานิ วตฺวา เอกมูลกนโย นิฎฺฐาปิโตฯ ปาโฐ ปน สเงฺขเปน ทสฺสิโต, โส อสมฺมุยฺหเนฺตน วิตฺถารโต เวทิตโพฺพฯ

    200. Evaṃ jhānādīni dasa mātikāpadāni vitthāretvā idāni uttarimanussadhammaṃ ullapanto yaṃ sampajānamusāvādaṃ bhaṇati, tassa aṅgaṃ dassetvā tasseva vitthārassa vasena cakkapeyyālaṃ bandhanto ullapanākārañca āpattibhedañca dassetuṃ ‘‘tīhākārehī’’tiādimāha. Tattha suddhikavāro vattukāmavāro paccayapaṭisaṃyuttavāroti tayo mahāvārā. Tesu suddhikavāre paṭhamajjhānaṃ ādiṃ katvā yāva mohā cittaṃ vinīvaraṇapadaṃ, tāva ekamekasmiṃ pade samāpajjiṃ, samāpajjāmi, samāpanno, lābhīmhi, vasīmhi, sacchikataṃ mayāti imesu chasu padesu ekamekaṃ padaṃ tīhākārehi, catūhi, pañcahi, chahi, sattahākārehīti evaṃ pañcakkhattuṃ yojetvā suddhikanayo nāma vutto. Tato paṭhamañca jhānaṃ, dutiyañca jhānanti evaṃ paṭhamajjhānena saddhiṃ ekamekaṃ padaṃ ghaṭentena sabbapadāni ghaṭetvā teneva vitthārena khaṇḍacakkaṃ nāma vuttaṃ. Tañhi puna ānetvā paṭhamajjhānādīhi na yojitaṃ, tasmā ‘‘khaṇḍacakka’’nti vuccati. Tato dutiyañca jhānaṃ, tatiyañca jhānanti evaṃ dutiyajjhānena saddhiṃ ekamekaṃ padaṃ ghaṭetvā puna ānetvā paṭhamajjhānena saddhiṃ sambandhitvā teneva vitthārena baddhacakkaṃ nāma vuttaṃ. Tato yathā dutiyajjhānena saddhiṃ, evaṃ tatiyajjhānādīhipi saddhiṃ, ekamekaṃ padaṃ ghaṭetvā puna ānetvā dutiyajjhānādīhi saddhiṃ sambandhitvā teneva vitthārena aññānipi ekūnatiṃsa baddhacakkāni vatvā ekamūlakanayo niṭṭhāpito. Pāṭho pana saṅkhepena dassito, so asammuyhantena vitthārato veditabbo.

    ยถา จ เอกมูลโก, เอวํ ทุมูลกาทโยปิ สพฺพมูลกปริโยสานา จตุนฺนํ สตานํ อุปริ ปญฺจติํส นยา วุตฺตาฯ เสยฺยถิทํ – ทฺวิมูลกา เอกูนติํส, ติมูลกา อฎฺฐวีส, จตุมูลกา สตฺตวีส; เอวํ ปญฺจมูลกาทโยปิ เอเกกํ อูนํ กตฺวา ยาว ติํสมูลกา, ตาว เวทิตพฺพาฯ ปาเฐ ปน เตสํ นามมฺปิ สงฺขิปิตฺวา ‘‘อิทํ สพฺพมูลก’’นฺติ ติํสมูลกนโย เอโก ทสฺสิโตฯ ยสฺมา จ สุญฺญาคารปทํ ฌาเนน อฆฎิตํ สีสํ น โอตรติ, ตสฺมา ตํ อนามสิตฺวา โมหา จิตฺตํ วินีวรณปทปริโยสานาเยว สพฺพตฺถ โยชนา ทสฺสิตาติ เวทิตพฺพาฯ เอวํ ปฐมชฺฌานาทีนิ ปฎิปาฎิยา วา อุปฺปฎิปาฎิยา วา ทุติยชฺฌานาทีหิ ฆเฎตฺวา วา อฆเฎตฺวา วา สมาปชฺชินฺติอาทินา นเยน อุลฺลปโต โมโกฺข นตฺถิ, ปาราชิกํ อาปชฺชติเยวาติฯ

    Yathā ca ekamūlako, evaṃ dumūlakādayopi sabbamūlakapariyosānā catunnaṃ satānaṃ upari pañcatiṃsa nayā vuttā. Seyyathidaṃ – dvimūlakā ekūnatiṃsa, timūlakā aṭṭhavīsa, catumūlakā sattavīsa; evaṃ pañcamūlakādayopi ekekaṃ ūnaṃ katvā yāva tiṃsamūlakā, tāva veditabbā. Pāṭhe pana tesaṃ nāmampi saṅkhipitvā ‘‘idaṃ sabbamūlaka’’nti tiṃsamūlakanayo eko dassito. Yasmā ca suññāgārapadaṃ jhānena aghaṭitaṃ sīsaṃ na otarati, tasmā taṃ anāmasitvā mohā cittaṃ vinīvaraṇapadapariyosānāyeva sabbattha yojanā dassitāti veditabbā. Evaṃ paṭhamajjhānādīni paṭipāṭiyā vā uppaṭipāṭiyā vā dutiyajjhānādīhi ghaṭetvā vā aghaṭetvā vā samāpajjintiādinā nayena ullapato mokkho natthi, pārājikaṃ āpajjatiyevāti.

    อิมสฺส อตฺถสฺส ทสฺสนวเสน วุเตฺต จ ปเนตสฺมิํ สุทฺธิกมหาวาเร อยํ สเงฺขปโต อตฺถวณฺณนา – ตีหากาเรหีติ สมฺปชานมุสาวาทสฺส องฺคภูเตหิ ตีหิ การเณหิฯ ปุเพฺพวสฺส โหตีติ ปุพฺพภาเคเยว อสฺส ปุคฺคลสฺส เอวํ โหติ ‘‘มุสา ภณิสฺส’’นฺติฯ ภณนฺตสฺส โหตีติ ภณมานสฺส โหติฯ ภณิตสฺส โหตีติ ภณิเต อสฺส โหติ, ยํ วตฺตพฺพํ ตสฺมิํ วุเตฺต โหตีติ อโตฺถฯ อถ วา ภณิตสฺสาติ วุตฺตวโต นิฎฺฐิตวจนสฺส โหตีติฯ โย เอวํ ปุพฺพภาเคปิ ชานาติ, ภณโนฺตปิ ชานาติ, ปจฺฉาปิ ชานาติ, ‘‘มุสา มยา ภณิต’’นฺติ โส ‘‘ปฐมชฺฌานํ สมาปชฺชิ’’นฺติ ภณโนฺต ปาราชิกํ อาปชฺชตีติ อยเมตฺถ อโตฺถ ทสฺสิโตฯ กิญฺจาปิ ทสฺสิโต, อถ โข อยเมตฺถ วิเสโส – ปุจฺฉา ตาว โหติ ‘‘‘มุสา ภณิสฺส’นฺติ ปุพฺพภาโค อตฺถิ, ‘มุสา มยา ภณิต’นฺติ ปจฺฉาภาโค นตฺถิ, วุตฺตมตฺตเมว หิ โกจิ ปมุสฺสติ, กิํ ตสฺส ปาราชิกํ โหติ, น โหตี’’ติ? สา เอวํ อฎฺฐกถาสุ วิสฺสชฺชิตา – ปุพฺพภาเค ‘‘มุสา ภณิสฺส’’นฺติ จ ภณนฺตสฺส ‘‘มุสา ภณามี’’ติ จ ชานโต ปจฺฉาภาเค ‘‘มุสา มยา ภณิต’’นฺติ น สกฺกา น ภวิตุํฯ สเจปิ น โหติ ปาราชิกเมวฯ ปุริมเมว หิ องฺคทฺวยํ ปมาณํฯ ยสฺสาปิ ปุพฺพภาเค ‘‘มุสา ภณิสฺส’’นฺติ อาโภโค นตฺถิ, ภณโนฺต ปน ‘‘มุสา ภณามี’’ติ ชานาติ, ภณิเตปิ ‘‘มุสา มยา ภณิต’’นฺติ ชานาติ, โส อาปตฺติยา น กาเรตโพฺพฯ ปุพฺพภาโค หิ ปมาณตโรฯ ตสฺมิํ อสติ ทวา ภณิตํ วา รวา ภณิตํ วา โหตี’’ติฯ

    Imassa atthassa dassanavasena vutte ca panetasmiṃ suddhikamahāvāre ayaṃ saṅkhepato atthavaṇṇanā – tīhākārehīti sampajānamusāvādassa aṅgabhūtehi tīhi kāraṇehi. Pubbevassa hotīti pubbabhāgeyeva assa puggalassa evaṃ hoti ‘‘musā bhaṇissa’’nti. Bhaṇantassa hotīti bhaṇamānassa hoti. Bhaṇitassa hotīti bhaṇite assa hoti, yaṃ vattabbaṃ tasmiṃ vutte hotīti attho. Atha vā bhaṇitassāti vuttavato niṭṭhitavacanassa hotīti. Yo evaṃ pubbabhāgepi jānāti, bhaṇantopi jānāti, pacchāpi jānāti, ‘‘musā mayā bhaṇita’’nti so ‘‘paṭhamajjhānaṃ samāpajji’’nti bhaṇanto pārājikaṃ āpajjatīti ayamettha attho dassito. Kiñcāpi dassito, atha kho ayamettha viseso – pucchā tāva hoti ‘‘‘musā bhaṇissa’nti pubbabhāgo atthi, ‘musā mayā bhaṇita’nti pacchābhāgo natthi, vuttamattameva hi koci pamussati, kiṃ tassa pārājikaṃ hoti, na hotī’’ti? Sā evaṃ aṭṭhakathāsu vissajjitā – pubbabhāge ‘‘musā bhaṇissa’’nti ca bhaṇantassa ‘‘musā bhaṇāmī’’ti ca jānato pacchābhāge ‘‘musā mayā bhaṇita’’nti na sakkā na bhavituṃ. Sacepi na hoti pārājikameva. Purimameva hi aṅgadvayaṃ pamāṇaṃ. Yassāpi pubbabhāge ‘‘musā bhaṇissa’’nti ābhogo natthi, bhaṇanto pana ‘‘musā bhaṇāmī’’ti jānāti, bhaṇitepi ‘‘musā mayā bhaṇita’’nti jānāti, so āpattiyā na kāretabbo. Pubbabhāgo hi pamāṇataro. Tasmiṃ asati davā bhaṇitaṃ vā ravā bhaṇitaṃ vā hotī’’ti.

    เอตฺถ จ ตํญาณตา จ ญาณสโมธานญฺจ ปริจฺจชิตพฺพํฯ ตํญาณตา ปริจฺจชิตพฺพาติ เยน จิเตฺตน ‘‘มุสา ภณิสฺส’’นฺติ ชานาติ, เตเนว ‘‘มุสา ภณามี’’ติ จ ‘‘มุสา มยา ภณิต’’นฺติ จ ชานาตีติ เอวํ เอกจิเตฺตเนว ตีสุ ขเณสุ ชานาตีติ อยํ ตํญฺญณตา ปริจฺจชิตพฺพา, น หิ สกฺกา เตเนว จิเตฺตน ตํ จิตฺตํ ชานิตุํ ยถา น สกฺกา เตเนว อสินา โส อสิ ฉินฺทิตุนฺติฯ ปุริมํ ปุริมํ ปน จิตฺตํ ปจฺฉิมสฺส ปจฺฉิมสฺส จิตฺตสฺส ตถา อุปฺปตฺติยา ปจฺจโย หุตฺวา นิรุชฺฌติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Ettha ca taṃñāṇatā ca ñāṇasamodhānañca pariccajitabbaṃ. Taṃñāṇatā pariccajitabbāti yena cittena ‘‘musā bhaṇissa’’nti jānāti, teneva ‘‘musā bhaṇāmī’’ti ca ‘‘musā mayā bhaṇita’’nti ca jānātīti evaṃ ekacitteneva tīsu khaṇesu jānātīti ayaṃ taṃññaṇatā pariccajitabbā, na hi sakkā teneva cittena taṃ cittaṃ jānituṃ yathā na sakkā teneva asinā so asi chinditunti. Purimaṃ purimaṃ pana cittaṃ pacchimassa pacchimassa cittassa tathā uppattiyā paccayo hutvā nirujjhati. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘ปมาณํ ปุพฺพภาโคว, ตสฺมิํ สติ น เหสฺสติ;

    ‘‘Pamāṇaṃ pubbabhāgova, tasmiṃ sati na hessati;

    เสสทฺวยนฺติ นเตฺถต, มิติ วาจา ติวงฺคิกา’’ติฯ

    Sesadvayanti nattheta, miti vācā tivaṅgikā’’ti.

    ‘‘ญาณสโมธานํ ปริจฺจชิตพฺพ’’นฺติ เอตานิ ตีณิ จิตฺตานิ เอกกฺขเณ อุปฺปชฺชนฺตีติ น คเหตพฺพานิฯ อิทญฺหิ จิตฺตํ นาม –

    ‘‘Ñāṇasamodhānaṃ pariccajitabba’’nti etāni tīṇi cittāni ekakkhaṇe uppajjantīti na gahetabbāni. Idañhi cittaṃ nāma –

    อนิรุทฺธมฺหิ ปฐเม, น อุปฺปชฺชติ ปจฺฉิมํ;

    Aniruddhamhi paṭhame, na uppajjati pacchimaṃ;

    นิรนฺตรุปฺปชฺชนโต, เอกํ วิย ปกาสติฯ

    Nirantaruppajjanato, ekaṃ viya pakāsati.

    อิโต ปรํ ปน ยฺวายํ ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชิ’’นฺติ สมฺปชานมุสา ภณติ, ยสฺมา โส ‘‘นตฺถิ เม ปฐมํ ฌาน’’นฺติ เอวํทิฎฺฐิโก โหติ, ตสฺส หิ อเตฺถวายํ ลทฺธิฯ ตถา ‘‘นตฺถิ เม ปฐมํ ฌาน’’นฺติ เอวมสฺส ขมติ เจว รุจฺจติ จฯ เอวํสภาวเมว จสฺส จิตฺตํ ‘‘นตฺถิ เม ปฐมํ ฌาน’’นฺติฯ ยทา ปน มุสา วตฺตุกาโม โหติ, ตทา ตํ ทิฎฺฐิํ วา ทิฎฺฐิยา สห ขนฺติํ วา ทิฎฺฐิขนฺตีหิ สทฺธิํ รุจิํ วา, ทิฎฺฐิขนฺติรุจีหิ สทฺธิํ ภาวํ วา วินิธาย นิกฺขิปิตฺวา ปฎิจฺฉาเทตฺวา อภูตํ กตฺวา ภณติ, ตสฺมา เตสมฺปิ วเสน องฺคเภทํ ทเสฺสตุํ ‘‘จตูหากาเรหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปริวาเร จ ‘‘อฎฺฐงฺคิโก มุสาวาโท’’ติ (ปฎิ. ๓๒๘) วุตฺตตฺตา ตตฺถ อธิเปฺปตาย สญฺญาย สทฺธิํ อโญฺญปิ อิธ ‘‘อฎฺฐหากาเรหี’’ติ เอโก นโย โยเชตโพฺพฯ

    Ito paraṃ pana yvāyaṃ ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajji’’nti sampajānamusā bhaṇati, yasmā so ‘‘natthi me paṭhamaṃ jhāna’’nti evaṃdiṭṭhiko hoti, tassa hi atthevāyaṃ laddhi. Tathā ‘‘natthi me paṭhamaṃ jhāna’’nti evamassa khamati ceva ruccati ca. Evaṃsabhāvameva cassa cittaṃ ‘‘natthi me paṭhamaṃ jhāna’’nti. Yadā pana musā vattukāmo hoti, tadā taṃ diṭṭhiṃ vā diṭṭhiyā saha khantiṃ vā diṭṭhikhantīhi saddhiṃ ruciṃ vā, diṭṭhikhantirucīhi saddhiṃ bhāvaṃ vā vinidhāya nikkhipitvā paṭicchādetvā abhūtaṃ katvā bhaṇati, tasmā tesampi vasena aṅgabhedaṃ dassetuṃ ‘‘catūhākārehī’’tiādi vuttaṃ. Parivāre ca ‘‘aṭṭhaṅgiko musāvādo’’ti (paṭi. 328) vuttattā tattha adhippetāya saññāya saddhiṃ aññopi idha ‘‘aṭṭhahākārehī’’ti eko nayo yojetabbo.

    เอตฺถ จ วินิธาย ทิฎฺฐินฺติ พลวธมฺมวินิธานวเสเนตํ วุตฺตํฯ วินิธาย ขนฺตินฺติอาทีนิ ตโต ทุพฺพลทุพฺพลานํ วินิธานวเสนฯ วินิธาย สญฺญนฺติ อิทํ ปเนตฺถ สพฺพทุพฺพลธมฺมวินิธานํฯ สญฺญามตฺตมฺปิ นาม อวินิธาย สมฺปชานมุสา ภาสิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ยสฺมา ปน ‘‘สมาปชฺชิสฺสามี’’ติอาทินา อนาคตวจเนน ปาราชิกํ น โหติ, ตสฺมา ‘‘สมาปชฺชิ’’นฺติอาทีนิ อตีตวตฺตมานปทาเนว ปาเฐ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ

    Ettha ca vinidhāya diṭṭhinti balavadhammavinidhānavasenetaṃ vuttaṃ. Vinidhāya khantintiādīni tato dubbaladubbalānaṃ vinidhānavasena. Vinidhāya saññanti idaṃ panettha sabbadubbaladhammavinidhānaṃ. Saññāmattampi nāma avinidhāya sampajānamusā bhāsissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Yasmā pana ‘‘samāpajjissāmī’’tiādinā anāgatavacanena pārājikaṃ na hoti, tasmā ‘‘samāpajji’’ntiādīni atītavattamānapadāneva pāṭhe vuttānīti veditabbāni.

    ๒๐๗. อิโต ปรํ สพฺพมฺปิ อิมสฺมิํ สุทฺธิกมหาวาเร อุตฺตานตฺถเมวฯ น เหตฺถ ตํ อตฺถิ – ยํ อิมินา วินิจฺฉเยน น สกฺกา ภเวยฺย วิญฺญาตุํ, ฐเปตฺวา กิเลสปฺปหานปทสฺส ปทภาชเน ‘‘ราโค เม จโตฺต วโนฺต’’ติอาทีนํ ปทานํ อตฺถํฯ สฺวายํ วุจฺจติ – เอตฺถ หิ จโตฺตติ อิทํ สกภาวปริจฺจชนวเสน วุตฺตํฯ วโนฺตติ อิทํ ปุน อนาทิยนภาวทสฺสนวเสนฯ มุโตฺตติ อิทํ สนฺตติโต วิโมจนวเสนฯ ปหีโนติ อิทํ มุตฺตสฺสาปิ กฺวจิ อนวฎฺฐานทสฺสนวเสนฯ ปฎินิสฺสโฎฺฐติ อิทํ ปุเพฺพ อาทินฺนปุพฺพสฺส ปฎินิสฺสคฺคทสฺสนวเสนฯ อุเกฺขฎิโตติ อิทํ อริยมเคฺคน อุตฺตาสิตตฺตา ปุน อนลฺลียนภาวทสฺสนวเสนฯ สฺวายมโตฺถ สทฺทสตฺถโต ปริเยสิตโพฺพ ฯ สมุเกฺขฎิโตติ อิทํ สุฎฺฐุ อุตฺตาเสตฺวา อณุสหคตสฺสาปิ ปุน อนลฺลียนภาวทสฺสนวเสน วุตฺตนฺติฯ

    207. Ito paraṃ sabbampi imasmiṃ suddhikamahāvāre uttānatthameva. Na hettha taṃ atthi – yaṃ iminā vinicchayena na sakkā bhaveyya viññātuṃ, ṭhapetvā kilesappahānapadassa padabhājane ‘‘rāgo me catto vanto’’tiādīnaṃ padānaṃ atthaṃ. Svāyaṃ vuccati – ettha hi cattoti idaṃ sakabhāvapariccajanavasena vuttaṃ. Vantoti idaṃ puna anādiyanabhāvadassanavasena. Muttoti idaṃ santatito vimocanavasena. Pahīnoti idaṃ muttassāpi kvaci anavaṭṭhānadassanavasena. Paṭinissaṭṭhoti idaṃ pubbe ādinnapubbassa paṭinissaggadassanavasena. Ukkheṭitoti idaṃ ariyamaggena uttāsitattā puna anallīyanabhāvadassanavasena. Svāyamattho saddasatthato pariyesitabbo . Samukkheṭitoti idaṃ suṭṭhu uttāsetvā aṇusahagatassāpi puna anallīyanabhāvadassanavasena vuttanti.

    สุทฺธิกวารกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Suddhikavārakathā niṭṭhitā.

    วตฺตุกามวารกถา

    Vattukāmavārakathā

    ๒๑๕. วตฺตุกามวาเรปิ ‘‘ตีหากาเรหี’’ติอาทีนํ อโตฺถ, วารเปยฺยาลปฺปเภโท จ สโพฺพ อิธ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ เกวลญฺหิ ยํ ‘‘มยา วิรชฺฌิตฺวา อญฺญํ วตฺตุกาเมน อญฺญํ วุตฺตํ, ตสฺมา นตฺถิ มยฺหํ อาปตฺตี’’ติ เอวํ โอกาสคเวสกานํ ปาปปุคฺคลานํ โอกาสนิเสธนตฺถํ วุโตฺตฯ ยเถว หิ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วตฺตุกาโม ‘‘ธมฺมํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทีสุ สิกฺขาปจฺจกฺขานปเทสุ ยํ วา ตํ วา วทโนฺตปิ เขเตฺต โอติณฺณตฺตา สิกฺขาปจฺจกฺขาตโกว โหติ; เอวํ ปฐมชฺฌานาทีสุ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมปเทสุ ยํกิญฺจิ เอกํ วตฺตุกาโม ตโต อญฺญํ ยํ วา ตํ วา วทโนฺตปิ เขเตฺต โอติณฺณตฺตา ปาราชิโกว โหติฯ สเจ ยสฺส วทติ, โส ตมตฺถํ ตงฺขณเญฺญว ชานาติฯ ชานนลกฺขณเญฺจตฺถ สิกฺขาปจฺจกฺขาเน วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    215. Vattukāmavārepi ‘‘tīhākārehī’’tiādīnaṃ attho, vārapeyyālappabhedo ca sabbo idha vuttanayeneva veditabbo. Kevalañhi yaṃ ‘‘mayā virajjhitvā aññaṃ vattukāmena aññaṃ vuttaṃ, tasmā natthi mayhaṃ āpattī’’ti evaṃ okāsagavesakānaṃ pāpapuggalānaṃ okāsanisedhanatthaṃ vutto. Yatheva hi ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti vattukāmo ‘‘dhammaṃ paccakkhāmī’’tiādīsu sikkhāpaccakkhānapadesu yaṃ vā taṃ vā vadantopi khette otiṇṇattā sikkhāpaccakkhātakova hoti; evaṃ paṭhamajjhānādīsu uttarimanussadhammapadesu yaṃkiñci ekaṃ vattukāmo tato aññaṃ yaṃ vā taṃ vā vadantopi khette otiṇṇattā pārājikova hoti. Sace yassa vadati, so tamatthaṃ taṅkhaṇaññeva jānāti. Jānanalakkhaṇañcettha sikkhāpaccakkhāne vuttanayeneva veditabbaṃ.

    อยํ ปน วิเสโส – สิกฺขาปจฺจกฺขานํ หตฺถมุทฺทาย สีสํ น โอตรติฯ อิทํ อภูตาโรจนํ หตฺถมุทฺทายปิ โอตรติฯ โย หิ หตฺถวิการาทีหิปิ องฺคปจฺจงฺคโจปเนหิ อภูตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ วิญฺญตฺติปเถ ฐิตสฺส ปุคฺคลสฺส อาโรเจติ, โส จ ตมตฺถํ ชานาติ, ปาราชิโกว โหติฯ อถ ปน ยสฺส อาโรเจติ, โส น ชานาติ ‘‘กิ อยํ ภณตี’’ติ, สํสยํ วา อาปชฺชติ, จิรํ วีมํสิตฺวา วา ปจฺฉา ชานาติ, อปฺปฎิวิชานโนฺต อิเจฺจว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ เอวํ อปฺปฎิวิชานนฺตสฺส วุเตฺต ถุลฺลจฺจยํ โหติฯ โย ปน ฌานาทีนิ อตฺตโน อธิคมวเสน วา อุคฺคหปริปุจฺฉาทิวเสน วา น ชานาติ, เกวลํ ฌานนฺติ วา วิโมโกฺขติ วา วจนมตฺตเมว สุตํ โหติ, โสปิ เตน วุเตฺต ‘‘ฌานํ กิร สมาปชฺชินฺติ เอส วทตี’’ติ ยทิ เอตฺตกมตฺตมฺปิ ชานาติ, ชานาติเจฺจว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ ตสฺส วุเตฺต ปาราชิกเมวฯ เสโส เอกสฺส วา ทฺวินฺนํ วา พหูนํ วา นิยมิตานิยมิตวเสน วิเสโส สโพฺพ สิกฺขาปจฺจกฺขานกถายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพติฯ

    Ayaṃ pana viseso – sikkhāpaccakkhānaṃ hatthamuddāya sīsaṃ na otarati. Idaṃ abhūtārocanaṃ hatthamuddāyapi otarati. Yo hi hatthavikārādīhipi aṅgapaccaṅgacopanehi abhūtaṃ uttarimanussadhammaṃ viññattipathe ṭhitassa puggalassa āroceti, so ca tamatthaṃ jānāti, pārājikova hoti. Atha pana yassa āroceti, so na jānāti ‘‘ki ayaṃ bhaṇatī’’ti, saṃsayaṃ vā āpajjati, ciraṃ vīmaṃsitvā vā pacchā jānāti, appaṭivijānanto icceva saṅkhyaṃ gacchati. Evaṃ appaṭivijānantassa vutte thullaccayaṃ hoti. Yo pana jhānādīni attano adhigamavasena vā uggahaparipucchādivasena vā na jānāti, kevalaṃ jhānanti vā vimokkhoti vā vacanamattameva sutaṃ hoti, sopi tena vutte ‘‘jhānaṃ kira samāpajjinti esa vadatī’’ti yadi ettakamattampi jānāti, jānāticceva saṅkhyaṃ gacchati. Tassa vutte pārājikameva. Seso ekassa vā dvinnaṃ vā bahūnaṃ vā niyamitāniyamitavasena viseso sabbo sikkhāpaccakkhānakathāyaṃ vuttanayeneva veditabboti.

    วตฺตุกามวารกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Vattukāmavārakathā niṭṭhitā.

    ปจฺจยปฎิสํยุตฺตวารกถา

    Paccayapaṭisaṃyuttavārakathā

    ๒๒๐. ปจฺจยปฎิสํยุตฺตวาเรปิ – สพฺพํ วารเปยฺยาลเภทํ ปุเพฺพ อาคตปทานญฺจ อตฺถํ วุตฺตนเยเนว ญตฺวา ปาฬิกฺกโม ตาว เอวํ ชานิตโพฺพฯ เอตฺถ หิ ‘‘โย เต วิหาเร วสิ, โย เต จีวรํ ปริภุญฺชิ, โย เต ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิ, โย เต เสนาสนํ ปริภุญฺชิ, โย เต คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ ปริภุญฺชี’’ติ อิเม ปญฺจ ปจฺจตฺตวจนวารา, ‘‘เยน เต วิหาโร ปริภุโตฺต’’ติอาทโย ปญฺจ กรณวจนวารา, ‘‘ยํ ตฺวํ อาคมฺม วิหารํ อทาสี’’ติอาทโย ปญฺจ อุปโยควจนวารา วุตฺตา , เตสํ วเสน อิธ วุเตฺตน สุญฺญาคารปเทน สทฺธิํ ปุเพฺพ วุเตฺตสุ ปฐมชฺฌานาทีสุ สพฺพปเทสุ วารเปยฺยาลเภโท เวทิตโพฺพฯ ‘‘โย เต วิหาเร, เยน เต วิหาโร, ยํ ตฺวํ อาคมฺม วิหาร’’นฺติ เอวํ ปริยาเยน วุตฺตตฺตา ปน ‘‘อห’’นฺติ จ อวุตฺตตฺตา ปฎิวิชานนฺตสฺส วุเตฺตปิ อิธ ถุลฺลจฺจยํ, อปฎิวิชานนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ อยเมตฺถ วินิจฺฉโยฯ

    220. Paccayapaṭisaṃyuttavārepi – sabbaṃ vārapeyyālabhedaṃ pubbe āgatapadānañca atthaṃ vuttanayeneva ñatvā pāḷikkamo tāva evaṃ jānitabbo. Ettha hi ‘‘yo te vihāre vasi, yo te cīvaraṃ paribhuñji, yo te piṇḍapātaṃ paribhuñji, yo te senāsanaṃ paribhuñji, yo te gilānapaccayabhesajjaparikkhāraṃ paribhuñjī’’ti ime pañca paccattavacanavārā, ‘‘yena te vihāro paribhutto’’tiādayo pañca karaṇavacanavārā, ‘‘yaṃ tvaṃ āgamma vihāraṃ adāsī’’tiādayo pañca upayogavacanavārā vuttā , tesaṃ vasena idha vuttena suññāgārapadena saddhiṃ pubbe vuttesu paṭhamajjhānādīsu sabbapadesu vārapeyyālabhedo veditabbo. ‘‘Yo te vihāre, yena te vihāro, yaṃ tvaṃ āgamma vihāra’’nti evaṃ pariyāyena vuttattā pana ‘‘aha’’nti ca avuttattā paṭivijānantassa vuttepi idha thullaccayaṃ, apaṭivijānantassa dukkaṭanti ayamettha vinicchayo.

    อนาปตฺติเภทกถา

    Anāpattibhedakathā

    เอวํ วิตฺถารวเสน อาปตฺติเภทํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อนาปตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนาปตฺติ อธิมาเนนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อธิมาเนนาติ อธิคตมาเนน สมุทาจรนฺตสฺส อนาปตฺติฯ อนุลฺลปนาธิปฺปายสฺสาติ โกหเญฺญ อิจฺฉาจาเร อฐตฺวา อนุลฺลปนาธิปฺปายสฺส สพฺรหฺมจารีนํ สนฺติเก อญฺญํ พฺยากโรนฺตสฺส อนาปตฺติฯ อุมฺมตฺตกาทโย ปุเพฺพ วุตฺตนยาเอวฯ อิธ ปน อาทิกมฺมิกา วคฺคุมุทาตีริยา ภิกฺขูฯ เตสํ อนาปตฺตีติฯ

    Evaṃ vitthāravasena āpattibhedaṃ dassetvā idāni anāpattiṃ dassento ‘‘anāpatti adhimānenā’’tiādimāha. Tattha adhimānenāti adhigatamānena samudācarantassa anāpatti. Anullapanādhippāyassāti kohaññe icchācāre aṭhatvā anullapanādhippāyassa sabrahmacārīnaṃ santike aññaṃ byākarontassa anāpatti. Ummattakādayo pubbe vuttanayāeva. Idha pana ādikammikā vaggumudātīriyā bhikkhū. Tesaṃ anāpattīti.

    ปทภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Padabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    สมุฎฺฐานาทีสุ อิทํ สิกฺขาปทํ ติสมุฎฺฐานํ – หตฺถมุทฺทาย อาโรเจนฺตสฺส กายจิตฺตโต, วจีเภเทน อาโรเจนฺตสฺส วาจาจิตฺตโต, อุภยํ กโรนฺตสฺส กายวาจาจิตฺตโต สมุฎฺฐาติฯ กิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ติเวทนํ หสโนฺตปิ หิ โสมนสฺสิโก อุลฺลปติ ภายโนฺตปิ มชฺฌโตฺตปีติฯ

    Samuṭṭhānādīsu idaṃ sikkhāpadaṃ tisamuṭṭhānaṃ – hatthamuddāya ārocentassa kāyacittato, vacībhedena ārocentassa vācācittato, ubhayaṃ karontassa kāyavācācittato samuṭṭhāti. Kiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, tivedanaṃ hasantopi hi somanassiko ullapati bhāyantopi majjhattopīti.

    วินีตวตฺถุวณฺณนา

    Vinītavatthuvaṇṇanā

    ๒๒๓. วินีตวตฺถูสุ – อธิมานวตฺถุ อนุปญฺญตฺติยํ วุตฺตนยเมวฯ

    223. Vinītavatthūsu – adhimānavatthu anupaññattiyaṃ vuttanayameva.

    ทุติยวตฺถุสฺมิํ – ปณิธายาติ ปตฺถนํ กตฺวาฯ เอวํ มํ ชโน สมฺภาเวสฺสตีติ เอวํ อรเญฺญ วสนฺตํ มํ ชโน อรหเตฺต วา เสกฺขภูมิยํ วา สมฺภาเวสฺสติ, ตโต โลกสฺส สกฺกโต ภวิสฺสามิ ครุกโต มานิโต ปูชิโตติฯ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ เอวํ ปณิธาย ‘‘อรเญฺญ วสิสฺสามี’’ติ คจฺฉนฺตสฺส ปทวาเร ปทวาเร ทุกฺกฎํฯ ตถา อรเญฺญ กุฎิกรณจงฺกมนนิสีทนนิวาสนปาวุรณาทีสุ สพฺพกิเจฺจสุ ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ ตสฺมา เอวํ อรเญฺญ น วสิตพฺพํฯ เอวํ วสโนฺต หิ สมฺภาวนํ ลภตุ วา มา วา ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ โย ปน สมาทินฺนธุตโงฺค ‘‘ธุตงฺคํ รกฺขิสฺสามี’’ติ วา ‘‘คามเนฺต เม วสโต จิตฺตํ วิกฺขิปติ, อรญฺญํ สปฺปาย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา วา ‘‘อทฺธา อรเญฺญ ติณฺณํ วิเวกานํ อญฺญตรํ ปาปุณิสฺสามี’’ติ วา ‘‘อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อรหตฺตํ อปาปุณิตฺวา น นิกฺขมิสฺสามี’’ติ วา ‘‘อรญฺญวาโส นาม ภควตา ปสโตฺถ, มยิ จ อรเญฺญ วสเนฺต พหู สพฺรหฺมจาริโน คามนฺตํ หิตฺวา อารญฺญกา ภวิสฺสนฺตี’’ติ วา เอวํ อนวชฺชวาสํ วสิตุกาโม โหติ, เตน วสิตพฺพํฯ

    Dutiyavatthusmiṃ – paṇidhāyāti patthanaṃ katvā. Evaṃ maṃ jano sambhāvessatīti evaṃ araññe vasantaṃ maṃ jano arahatte vā sekkhabhūmiyaṃ vā sambhāvessati, tato lokassa sakkato bhavissāmi garukato mānito pūjitoti. Āpatti dukkaṭassāti evaṃ paṇidhāya ‘‘araññe vasissāmī’’ti gacchantassa padavāre padavāre dukkaṭaṃ. Tathā araññe kuṭikaraṇacaṅkamananisīdananivāsanapāvuraṇādīsu sabbakiccesu payoge payoge dukkaṭaṃ. Tasmā evaṃ araññe na vasitabbaṃ. Evaṃ vasanto hi sambhāvanaṃ labhatu vā mā vā dukkaṭaṃ āpajjati. Yo pana samādinnadhutaṅgo ‘‘dhutaṅgaṃ rakkhissāmī’’ti vā ‘‘gāmante me vasato cittaṃ vikkhipati, araññaṃ sappāya’’nti cintetvā vā ‘‘addhā araññe tiṇṇaṃ vivekānaṃ aññataraṃ pāpuṇissāmī’’ti vā ‘‘araññaṃ pavisitvā arahattaṃ apāpuṇitvā na nikkhamissāmī’’ti vā ‘‘araññavāso nāma bhagavatā pasattho, mayi ca araññe vasante bahū sabrahmacārino gāmantaṃ hitvā āraññakā bhavissantī’’ti vā evaṃ anavajjavāsaṃ vasitukāmo hoti, tena vasitabbaṃ.

    ตติยวตฺถุสฺมิมฺปิ – ‘‘อภิกฺกนฺตาทีนิ สณฺฐเปตฺวา ปิณฺฑาย จริสฺสามี’’ติ นิวาสนปารุปนกิจฺจโต ปภุติ ยาว โภชนปริโยสานํ ตาว ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ สมฺภาวนํ ลภตุ วา มา วา ทุกฺกฎเมวฯ ขนฺธกวตฺตเสขิยวตฺตปริปูรณตฺถํ ปน สพฺรหฺมจารีนํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชนตฺถํ วา ปาสาทิเกหิ อภิกฺกมปฎิกฺกมาทีหิ ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต อนุปวโชฺช วิญฺญูนนฺติฯ

    Tatiyavatthusmimpi – ‘‘abhikkantādīni saṇṭhapetvā piṇḍāya carissāmī’’ti nivāsanapārupanakiccato pabhuti yāva bhojanapariyosānaṃ tāva payoge payoge dukkaṭaṃ. Sambhāvanaṃ labhatu vā mā vā dukkaṭameva. Khandhakavattasekhiyavattaparipūraṇatthaṃ pana sabrahmacārīnaṃ diṭṭhānugatiāpajjanatthaṃ vā pāsādikehi abhikkamapaṭikkamādīhi piṇḍāya pavisanto anupavajjo viññūnanti.

    จตุตฺถปญฺจมวตฺถูสุ – ‘‘โย เต วิหาเร วสี’’ติ เอตฺถ วุตฺตนเยเนว ‘‘อห’’นฺติ อวุตฺตตฺตา ปาราชิกํ นตฺถิฯ อตฺตุปนายิกเมว หิ สมุทาจรนฺตสฺส ปาราชิกํ วุตฺตํฯ

    Catutthapañcamavatthūsu – ‘‘yo te vihāre vasī’’ti ettha vuttanayeneva ‘‘aha’’nti avuttattā pārājikaṃ natthi. Attupanāyikameva hi samudācarantassa pārājikaṃ vuttaṃ.

    ปณิธาย จงฺกมีติอาทีนิ เหฎฺฐา วุตฺตนยาเนวฯ

    Paṇidhāya caṅkamītiādīni heṭṭhā vuttanayāneva.

    สํโยชนวตฺถุสฺมิํ – สํโยชนา ปหีนาติปิ ‘‘ทส สํโยชนา ปหีนา’’ติปิ ‘‘เอกํ สํโยชนํ ปหีน’’นฺติปิ วทโต กิเลสปฺปหานเมว อาโรจิตํ โหติ, ตสฺมา ปาราชิกํฯ

    Saṃyojanavatthusmiṃ – saṃyojanā pahīnātipi ‘‘dasa saṃyojanā pahīnā’’tipi ‘‘ekaṃ saṃyojanaṃ pahīna’’ntipi vadato kilesappahānameva ārocitaṃ hoti, tasmā pārājikaṃ.

    ๒๒๔. รโหวตฺถูสุ – รโห อุลฺลปตีติ ‘‘รโหคโต อรหา อห’’นฺติ วทติ, น มนสา จินฺติตเมว กโรติฯ เตเนตฺถ ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ

    224. Rahovatthūsu – raho ullapatīti ‘‘rahogato arahā aha’’nti vadati, na manasā cintitameva karoti. Tenettha dukkaṭaṃ vuttaṃ.

    วิหารวตฺถุ อุปฎฺฐานวตฺถุ จ วุตฺตนยเมวฯ

    Vihāravatthuupaṭṭhānavatthu ca vuttanayameva.

    ๒๒๕. น ทุกฺกรวตฺถุสฺมิํ – ตสฺส ภิกฺขุโน อยํ ลทฺธิ – ‘‘อริยปุคฺคลาว ภควโต สาวกา’’ติฯ เตนาห – ‘‘เย โข เต ภควโต สาวกา เต เอวํ วเทยฺยุ’’นฺติฯ ยสฺมา จสฺส อยมธิปฺปาโย – ‘‘สีลวตา อารทฺธวิปสฺสเกน น ทุกฺกรํ อญฺญํ พฺยากาตุํ, ปฎิพโล โส อรหตฺตํ ปาปุณิตุ’’นฺติฯ ตสฺมา ‘‘อนุลฺลปนาธิปฺปาโย อห’’นฺติ อาหฯ

    225. Na dukkaravatthusmiṃ – tassa bhikkhuno ayaṃ laddhi – ‘‘ariyapuggalāva bhagavato sāvakā’’ti. Tenāha – ‘‘ye kho te bhagavato sāvakā te evaṃ vadeyyu’’nti. Yasmā cassa ayamadhippāyo – ‘‘sīlavatā āraddhavipassakena na dukkaraṃ aññaṃ byākātuṃ, paṭibalo so arahattaṃ pāpuṇitu’’nti. Tasmā ‘‘anullapanādhippāyo aha’’nti āha.

    วีริยวตฺถุสฺมิํ อาราธนีโยติ สกฺกา อาราเธตุํ สมฺปาเทตุํ นิพฺพเตฺตตุนฺติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Vīriyavatthusmiṃ ārādhanīyoti sakkā ārādhetuṃ sampādetuṃ nibbattetunti attho. Sesaṃ vuttanayameva.

    มจฺจุวตฺถุสฺมิํ โส ภิกฺขุ ‘‘ยสฺส วิปฺปฎิสาโร อุปฺปชฺชติ, โส ภาเยยฺยฯ มยฺหํ ปน อวิปฺปฎิสารวตฺถุกานิ ปริสุทฺธานิ สีลานิ, สฺวาหํ กิํ มรณสฺส ภายิสฺสามี’’ติ เอตมตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘‘นาหํ อาวุโส มจฺจุโน ภายามี’’ติ อาหฯ เตนสฺส อนาปตฺติฯ

    Maccuvatthusmiṃ so bhikkhu ‘‘yassa vippaṭisāro uppajjati, so bhāyeyya. Mayhaṃ pana avippaṭisāravatthukāni parisuddhāni sīlāni, svāhaṃ kiṃ maraṇassa bhāyissāmī’’ti etamatthavasaṃ paṭicca ‘‘nāhaṃ āvuso maccuno bhāyāmī’’ti āha. Tenassa anāpatti.

    วิปฺปฎิสารวตฺถุสฺมิมฺปิ เอเสว นโยฯ ตโต ปรานิ ตีณิ วตฺถูนิ วีริยวตฺถุสทิสาเนวฯ

    Vippaṭisāravatthusmimpi eseva nayo. Tato parāni tīṇi vatthūni vīriyavatthusadisāneva.

    เวทนาวตฺถูสุปฐมสฺมิํ ตาว โส ภิกฺขุ ปฎิสงฺขานพเลน อธิวาสนขนฺติยํ ฐตฺวา ‘‘นาวุโส สกฺกา เยน วา เตน วา อธิวาเสตุ’’นฺติ อาหฯ เตนสฺส อนาปตฺติฯ

    Vedanāvatthūsupaṭhamasmiṃ tāva so bhikkhu paṭisaṅkhānabalena adhivāsanakhantiyaṃ ṭhatvā ‘‘nāvuso sakkā yena vā tena vā adhivāsetu’’nti āha. Tenassa anāpatti.

    ทุติเย ปน อตฺตุปนายิกํ อกตฺวา ‘‘นาวุโส สกฺกา ปุถุชฺชเนนา’’ติ ปริยาเยน วุตฺตตฺตา ถุลฺลจฺจยํฯ

    Dutiye pana attupanāyikaṃ akatvā ‘‘nāvuso sakkā puthujjanenā’’ti pariyāyena vuttattā thullaccayaṃ.

    ๒๒๖. พฺราหฺมณวตฺถูสุโส กิร พฺราหฺมโณ น เกวลํ ‘‘อายนฺตุ โภโนฺต อรหโนฺต’’ติ อาหฯ ยํ ยํ ปนสฺส วจนํ มุขโต นิคฺคจฺฉติ, สพฺพํ ‘‘อรหนฺตานํ อาสนานิ ปญฺญเปถ, ปาโททกํ เทถ, อรหโนฺต ปาเท โธวนฺตู’’ติ อรหนฺตวาทปฎิสํยุตฺตํเยวฯ ตํ ปนสฺส ปสาทภญฺญํ สทฺธาจริตตฺตา อตฺตโน สทฺธาพเลน สมุสฺสาหิตสฺส วจนํฯ ตสฺมา ภควา ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขเว, ปสาทภเญฺญ’’ติ อาหฯ เอวํ วุจฺจมาเนน ปน ภิกฺขุนา น หฎฺฐตุเฎฺฐเนว ปจฺจยา ปริภุญฺชิตพฺพา, ‘‘อรหตฺตสมฺปาปิกํ ปฎิปทํ ปริปูเรสฺสามี’’ติ เอวํ โยโค กรณีโยติฯ

    226.Brāhmaṇavatthūsuso kira brāhmaṇo na kevalaṃ ‘‘āyantu bhonto arahanto’’ti āha. Yaṃ yaṃ panassa vacanaṃ mukhato niggacchati, sabbaṃ ‘‘arahantānaṃ āsanāni paññapetha, pādodakaṃ detha, arahanto pāde dhovantū’’ti arahantavādapaṭisaṃyuttaṃyeva. Taṃ panassa pasādabhaññaṃ saddhācaritattā attano saddhābalena samussāhitassa vacanaṃ. Tasmā bhagavā ‘‘anāpatti, bhikkhave, pasādabhaññe’’ti āha. Evaṃ vuccamānena pana bhikkhunā na haṭṭhatuṭṭheneva paccayā paribhuñjitabbā, ‘‘arahattasampāpikaṃ paṭipadaṃ paripūressāmī’’ti evaṃ yogo karaṇīyoti.

    อญฺญพฺยากรณวตฺถูนิสํโยชนวตฺถุสทิสาเนวฯ อคารวตฺถุสฺมิํ โส ภิกฺขุ คิหิภาเว อนตฺถิกตาย อนเปกฺขตาย ‘‘อภโพฺพ โข อาวุโส มาทิโส’’ติ อาห, น อุลฺลปนาธิปฺปาเยนฯ เตนสฺส อนาปตฺติฯ

    Aññabyākaraṇavatthūnisaṃyojanavatthusadisāneva. Agāravatthusmiṃ so bhikkhu gihibhāve anatthikatāya anapekkhatāya ‘‘abhabbo kho āvuso mādiso’’ti āha, na ullapanādhippāyena. Tenassa anāpatti.

    ๒๒๗. อาวฎกามวตฺถุสฺมิํ โส ภิกฺขุ วตฺถุกาเมสุ จ กิเลสกาเมสุ จ โลกิเยเนว อาทีนวทสฺสเนน นิรเปโกฺขฯ ตสฺมา ‘‘อาวฎา เม อาวุโส กามา’’ติ อาหฯ เตนสฺส อนาปตฺติฯ เอตฺถ จ อาวฎาติ อาวาริตา นิวาริตา, ปฎิกฺขิตฺตาติ อโตฺถฯ

    227.Āvaṭakāmavatthusmiṃ so bhikkhu vatthukāmesu ca kilesakāmesu ca lokiyeneva ādīnavadassanena nirapekkho. Tasmā ‘‘āvaṭā me āvuso kāmā’’ti āha. Tenassa anāpatti. Ettha ca āvaṭāti āvāritā nivāritā, paṭikkhittāti attho.

    อภิรติวตฺถุสฺมิํ โส ภิกฺขุ สาสเน อนุกฺกณฺฐิตภาเวน อุเทฺทสปริปุจฺฉาทีสุ จ อภิรตภาเวน ‘‘อภิรโต อหํ อาวุโส ปรมาย อภิรติยา’’ติ อาห, น อุลฺลปนาธิปฺปาเยนฯ เตนสฺส อนาปตฺติฯ

    Abhirativatthusmiṃ so bhikkhu sāsane anukkaṇṭhitabhāvena uddesaparipucchādīsu ca abhiratabhāvena ‘‘abhirato ahaṃ āvuso paramāya abhiratiyā’’ti āha, na ullapanādhippāyena. Tenassa anāpatti.

    ปกฺกมนวตฺถุสฺมิํ โย อิมมฺหา อาวาสา ปฐมํ ปกฺกมิสฺสตีติ เอวํ อาวาสํ วา มณฺฑปํ วา สีมํ วา ยํกิญฺจิ ฐานํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา กตาย กติกาย โย ‘‘มํ อรหาติ ชานนฺตู’’ติ ตมฺหา ฐานา ปฐมํ ปกฺกมติ, ปาราชิโก โหติฯ โย ปน อาจริยุปชฺฌายานํ วา กิเจฺจน มาตาปิตูนํ วา เกนจิเทว กรณีเยน ภิกฺขาจารตฺถํ วา อุเทฺทสปริปุจฺฉานํ วา อตฺถาย อเญฺญน วา ตาทิเสน กรณีเยน ตํ ฐานํ อติกฺกมิตฺวา คจฺฉติ, อนาปตฺติฯ สเจปิสฺส เอวํ คตสฺส ปจฺฉา อิจฺฉาจาโร อุปฺปชฺชติ ‘‘น ทานาหํ ตตฺถ คมิสฺสามิ เอวํ มํ อรหาติ สมฺภาเวสฺสนฺตี’’ติ อนาปตฺติเยวฯ

    Pakkamanavatthusmiṃ yo imamhā āvāsā paṭhamaṃ pakkamissatīti evaṃ āvāsaṃ vā maṇḍapaṃ vā sīmaṃ vā yaṃkiñci ṭhānaṃ paricchinditvā katāya katikāya yo ‘‘maṃ arahāti jānantū’’ti tamhā ṭhānā paṭhamaṃ pakkamati, pārājiko hoti. Yo pana ācariyupajjhāyānaṃ vā kiccena mātāpitūnaṃ vā kenacideva karaṇīyena bhikkhācāratthaṃ vā uddesaparipucchānaṃ vā atthāya aññena vā tādisena karaṇīyena taṃ ṭhānaṃ atikkamitvā gacchati, anāpatti. Sacepissa evaṃ gatassa pacchā icchācāro uppajjati ‘‘na dānāhaṃ tattha gamissāmi evaṃ maṃ arahāti sambhāvessantī’’ti anāpattiyeva.

    โยปิ เกนจิเทว กรณีเยน ตํ ฐานํ ปตฺวา สชฺฌายมนสิการาทิวเสน อญฺญวิหิโต วา หุตฺวา โจราทีหิ วา อนุพโทฺธ เมฆํ วา อุฎฺฐิตํ ทิสฺวา อโนวสฺสกํ ปวิสิตุกาโม ตํ ฐานํ อติกฺกมติ, อนาปตฺติฯ ยาเนน วา อิทฺธิยา วา คจฺฉโนฺตปิ ปาราชิกํ นาปชฺชติ, ปทคมเนเนว อาปชฺชติฯ ตมฺปิ เยหิ สห กติกา กตา, เตหิ สทฺธิํ อปุพฺพํอจริมํ คจฺฉโนฺต นาปชฺชติฯ เอวํ คจฺฉนฺตา หิ สเพฺพปิ อญฺญมญฺญํ รกฺขนฺติฯ สเจปิ มณฺฑปรุกฺขมูลาทีสุ กิญฺจิ ฐานํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘โย เอตฺถ นิสีทติ วา จงฺกมติ วา, ตํ อรหาติ ชานิสฺสาม’’ ปุปฺผานิ วา ฐเปตฺวา ‘‘โย อิมานิ คเหตฺวา ปูชํ กริสฺสติ, ตํ อรหาติ ชานิสฺสามา’’ติอาทินา นเยน กติกา กตา โหติ, ตตฺราปิ อิจฺฉาจารวเสน ตถา กโรนฺตสฺส ปาราชิกเมวฯ สเจปิ อุปาสเกน อนฺตรามเคฺค วิหาโร วา กโต โหติ, จีวราทีนิ วา ฐปิตานิ โหนฺติ, ‘‘เย อรหโนฺต เต อิมสฺมิํ วิหาเร วสนฺตุ, จีวราทีนิ จ คณฺหนฺตู’’ติฯ ตตฺราปิ อิจฺฉาจารวเสน วสนฺตสฺส วา จีวราทีนิ วา คณฺหนฺตสฺส ปาราชิกเมว ฯ เอตํ ปน อธมฺมิกกติกวตฺตํ , ตสฺมา น กาตพฺพํ, อญฺญํ วา เอวรูปํ ‘‘อิมสฺมิํ เตมาสพฺภนฺตเร สเพฺพว อารญฺญกา โหนฺตุ, ปิณฺฑปาติกงฺคาทิอวเสสธุตงฺคธรา วา อถ วา สเพฺพว ขีณาสวา โหนฺตู’’ติ เอวมาทิฯ นานาเวรชฺชกา หิ ภิกฺขู สนฺนิปตนฺติฯ ตตฺถ เกจิ ทุพฺพลา อปฺปถามา เอวรูปํ วตฺตํ อนุปาเลตุํ น สโกฺกนฺติฯ ตสฺมา เอวรูปมฺปิ วตฺตํ น กาตพฺพํฯ ‘‘อิมํ เตมาสํ สเพฺพเหว น อุทฺทิสิตพฺพํ, น ปริปุจฺฉิตพฺพํ, น ปพฺพาเชตพฺพํ, มูคพฺพตํ คณฺหิตพฺพํ, พหิ สีมฎฺฐสฺสาปิ สงฺฆลาโภ ทาตโพฺพ’’ติ เอวมาทิกํ ปน น กาตพฺพเมวฯ

    Yopi kenacideva karaṇīyena taṃ ṭhānaṃ patvā sajjhāyamanasikārādivasena aññavihito vā hutvā corādīhi vā anubaddho meghaṃ vā uṭṭhitaṃ disvā anovassakaṃ pavisitukāmo taṃ ṭhānaṃ atikkamati, anāpatti. Yānena vā iddhiyā vā gacchantopi pārājikaṃ nāpajjati, padagamaneneva āpajjati. Tampi yehi saha katikā katā, tehi saddhiṃ apubbaṃacarimaṃ gacchanto nāpajjati. Evaṃ gacchantā hi sabbepi aññamaññaṃ rakkhanti. Sacepi maṇḍaparukkhamūlādīsu kiñci ṭhānaṃ paricchinditvā ‘‘yo ettha nisīdati vā caṅkamati vā, taṃ arahāti jānissāma’’ pupphāni vā ṭhapetvā ‘‘yo imāni gahetvā pūjaṃ karissati, taṃ arahāti jānissāmā’’tiādinā nayena katikā katā hoti, tatrāpi icchācāravasena tathā karontassa pārājikameva. Sacepi upāsakena antarāmagge vihāro vā kato hoti, cīvarādīni vā ṭhapitāni honti, ‘‘ye arahanto te imasmiṃ vihāre vasantu, cīvarādīni ca gaṇhantū’’ti. Tatrāpi icchācāravasena vasantassa vā cīvarādīni vā gaṇhantassa pārājikameva . Etaṃ pana adhammikakatikavattaṃ , tasmā na kātabbaṃ, aññaṃ vā evarūpaṃ ‘‘imasmiṃ temāsabbhantare sabbeva āraññakā hontu, piṇḍapātikaṅgādiavasesadhutaṅgadharā vā atha vā sabbeva khīṇāsavā hontū’’ti evamādi. Nānāverajjakā hi bhikkhū sannipatanti. Tattha keci dubbalā appathāmā evarūpaṃ vattaṃ anupāletuṃ na sakkonti. Tasmā evarūpampi vattaṃ na kātabbaṃ. ‘‘Imaṃ temāsaṃ sabbeheva na uddisitabbaṃ, na paripucchitabbaṃ, na pabbājetabbaṃ, mūgabbataṃ gaṇhitabbaṃ, bahi sīmaṭṭhassāpi saṅghalābho dātabbo’’ti evamādikaṃ pana na kātabbameva.

    ๒๒๘. ลกฺขณสํยุเตฺต ยฺวายํ อายสฺมา จ ลกฺขโณติ ลกฺขณเตฺถโร วุโตฺต, เอส ชฎิลสหสฺสสฺส อพฺภนฺตเร เอหิภิกฺขูปสมฺปทาย อุปสมฺปโนฺน อาทิตฺตปริยายาวสาเน อรหตฺตปฺปโตฺต เอโก มหาสาวโกติ เวทิตโพฺพฯ ยสฺมา ปเนส ลกฺขณสมฺปเนฺนน สพฺพาการปริปูเรน พฺรหฺมสเมน อตฺตภาเวน สมนฺนาคโต, ตสฺมา ลกฺขโณติ สงฺขํ คโตฯ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร ปน ปพฺพชิตทิวสโต สตฺตเม ทิวเส อรหตฺตปฺปโตฺต ทุติโย อคฺคสาวโกฯ

    228.Lakkhaṇasaṃyutte yvāyaṃ āyasmā ca lakkhaṇoti lakkhaṇatthero vutto, esa jaṭilasahassassa abbhantare ehibhikkhūpasampadāya upasampanno ādittapariyāyāvasāne arahattappatto eko mahāsāvakoti veditabbo. Yasmā panesa lakkhaṇasampannena sabbākāraparipūrena brahmasamena attabhāvena samannāgato, tasmā lakkhaṇoti saṅkhaṃ gato. Mahāmoggallānatthero pana pabbajitadivasato sattame divase arahattappatto dutiyo aggasāvako.

    สิตํ ปาตฺวากาสีติ มนฺทหสิตํ ปาตุอกาสิ, ปกาสยิ ทเสฺสสีติ วุตฺตํ โหติฯ กิํ ปน ทิสฺวา เถโร สิตํ ปาตฺวากาสีติ? อุปริ ปาฬิยํ อาคตํ อฎฺฐิกสงฺขลิกํ เอกํ เปตโลเก นิพฺพตฺตํ สตฺตํ ทิสฺวา, ตญฺจ โข ทิเพฺพน จกฺขุนา, น ปสาทจกฺขุนาฯ ปสาทจกฺขุสฺส หิ เอเต อตฺตภาวา น อาปาถํ อาคจฺฉนฺติฯ เอวรูปํ ปน อตฺตภาวํ ทิสฺวา การุเญฺญ กาตเพฺพ กสฺมา สิตํ ปาตฺวากาสีติ? อตฺตโน จ พุทฺธญาณสฺส จ สมฺปตฺติสมนุสฺสรณโตฯ ตญฺหิ ทิสฺวา เถโร ‘‘อทิฎฺฐสเจฺจน นาม ปุคฺคเลน ปฎิลภิตพฺพา เอวรูปา อตฺตภาวา มุโตฺต อหํ, ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม’’ติ อตฺตโน จ สมฺปตฺติํ อนุสฺสริตฺวา ‘‘อโห พุทฺธสฺส ภควโต ญาณสมฺปตฺติ, โย ‘กมฺมวิปาโก, ภิกฺขเว, อจิเนฺตโยฺย; น จิเนฺตตโพฺพ’ติ (อ. นิ. ๔.๗๗) เทเสสิ, ปจฺจกฺขํ วต กตฺวา พุทฺธา เทเสนฺติ, สุปฺปฎิวิทฺธา พุทฺธานํ ธมฺมธาตู’’ติ เอวํ พุทฺธญาณสมฺปตฺติญฺจ สริตฺวา สิตํ ปาตฺวากาสีติฯ ยสฺมา ปน ขีณาสวา นาม น อการณา สิตํ ปาตุกโรนฺติ, ตสฺมา ตํ ลกฺขณเตฺถโร ปุจฺฉิ – ‘‘โก นุ โข อาวุโส โมคฺคลฺลาน เหตุ, โก ปจฺจโย สิตสฺส ปาตุกมฺมายา’’ติฯ เถโร ปน ยสฺมา เยหิ อยํ อุปปตฺติ สามํ อทิฎฺฐา, เต ทุสฺสทฺธาปยา โหนฺติ, ตสฺมา ภควนฺตํ สกฺขิํ กตฺวา พฺยากาตุกามตาย ‘‘อกาโล โข, อาวุโส’’ติอาทิมาห ฯ ตโต ภควโต สนฺติเก ปุโฎฺฐ ‘‘อิธาหํ อาวุโส’’ติอาทินา นเยน พฺยากาสิฯ

    Sitaṃ pātvākāsīti mandahasitaṃ pātuakāsi, pakāsayi dassesīti vuttaṃ hoti. Kiṃ pana disvā thero sitaṃ pātvākāsīti? Upari pāḷiyaṃ āgataṃ aṭṭhikasaṅkhalikaṃ ekaṃ petaloke nibbattaṃ sattaṃ disvā, tañca kho dibbena cakkhunā, na pasādacakkhunā. Pasādacakkhussa hi ete attabhāvā na āpāthaṃ āgacchanti. Evarūpaṃ pana attabhāvaṃ disvā kāruññe kātabbe kasmā sitaṃ pātvākāsīti? Attano ca buddhañāṇassa ca sampattisamanussaraṇato. Tañhi disvā thero ‘‘adiṭṭhasaccena nāma puggalena paṭilabhitabbā evarūpā attabhāvā mutto ahaṃ, lābhā vata me, suladdhaṃ vata me’’ti attano ca sampattiṃ anussaritvā ‘‘aho buddhassa bhagavato ñāṇasampatti, yo ‘kammavipāko, bhikkhave, acinteyyo; na cintetabbo’ti (a. ni. 4.77) desesi, paccakkhaṃ vata katvā buddhā desenti, suppaṭividdhā buddhānaṃ dhammadhātū’’ti evaṃ buddhañāṇasampattiñca saritvā sitaṃ pātvākāsīti. Yasmā pana khīṇāsavā nāma na akāraṇā sitaṃ pātukaronti, tasmā taṃ lakkhaṇatthero pucchi – ‘‘ko nu kho āvuso moggallāna hetu, ko paccayo sitassa pātukammāyā’’ti. Thero pana yasmā yehi ayaṃ upapatti sāmaṃ adiṭṭhā, te dussaddhāpayā honti, tasmā bhagavantaṃ sakkhiṃ katvā byākātukāmatāya ‘‘akālo kho, āvuso’’tiādimāha . Tato bhagavato santike puṭṭho ‘‘idhāhaṃ āvuso’’tiādinā nayena byākāsi.

    ตตฺถ อฎฺฐิกสงฺขลิกนฺติ เสตํ นิมฺมํสโลหิตํ อฎฺฐิสงฺฆาตํฯ คิชฺฌาปิ กากาปิ กุลลาปีติ เอเตปิ ยกฺขคิชฺฌา เจว ยกฺขกากา จ ยกฺขกุลลา จ ปเจฺจตพฺพาฯ ปากติกานํ ปน คิชฺฌาทีนํ อาปาถมฺปิ เอตํ รูปํ นาคจฺฉติฯ อนุปติตฺวา อนุปติตฺวาติ อนุพนฺธิตฺวา อนุพนฺธิตฺวาฯ วิตุเฑนฺตีติ วินิวิชฺฌิตฺวา คจฺฉนฺติฯ วิตุเทนฺตีติ วา ปาโฐ, อสิธารูปเมหิ ติขิเณหิ โลหตุเณฺฑหิ วิชฺฌนฺตีติ อโตฺถฯ สา สุทํ อฎฺฎสฺสรํ กโรตีติ เอตฺถ สุทนฺติ นิปาโต, สา อฎฺฐิกสงฺขลิกา อฎฺฎสฺสรํ อาตุรสฺสรํ กโรตีติ อโตฺถฯ อกุสลวิปากานุภวนตฺถํ กิร โยชนปฺปมาณาปิ ตาทิสา อตฺตภาวา นิพฺพตฺตนฺติ, ปสาทุสฺสทา จ โหนฺติ ปกฺกคณฺฑสทิสา; ตสฺมา สา อฎฺฐิกสงฺขลิกา พลวเวทนาตุรา ตาทิสํ สรมกาสีติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ‘‘วฎฺฎคามิกสตฺตา นาม เอวรูปา อตฺตภาวา น มุจฺจนฺตี’’ติ สเตฺตสุ การุญฺญํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนํ ธมฺมสํเวคํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตสฺส มยฺหํ อาวุโส เอตทโหสิ; อจฺฉริยํ วต โภ’’ติอาทิมาหฯ

    Tattha aṭṭhikasaṅkhalikanti setaṃ nimmaṃsalohitaṃ aṭṭhisaṅghātaṃ. Gijjhāpi kākāpi kulalāpīti etepi yakkhagijjhā ceva yakkhakākā ca yakkhakulalā ca paccetabbā. Pākatikānaṃ pana gijjhādīnaṃ āpāthampi etaṃ rūpaṃ nāgacchati. Anupatitvā anupatitvāti anubandhitvā anubandhitvā. Vituḍentīti vinivijjhitvā gacchanti. Vitudentīti vā pāṭho, asidhārūpamehi tikhiṇehi lohatuṇḍehi vijjhantīti attho. Sā sudaṃ aṭṭassaraṃ karotīti ettha sudanti nipāto, sā aṭṭhikasaṅkhalikā aṭṭassaraṃ āturassaraṃ karotīti attho. Akusalavipākānubhavanatthaṃ kira yojanappamāṇāpi tādisā attabhāvā nibbattanti, pasādussadā ca honti pakkagaṇḍasadisā; tasmā sā aṭṭhikasaṅkhalikā balavavedanāturā tādisaṃ saramakāsīti. Evañca pana vatvā puna āyasmā mahāmoggallāno ‘‘vaṭṭagāmikasattā nāma evarūpā attabhāvā na muccantī’’ti sattesu kāruññaṃ paṭicca uppannaṃ dhammasaṃvegaṃ dassento ‘‘tassa mayhaṃ āvuso etadahosi; acchariyaṃ vata bho’’tiādimāha.

    ภิกฺขู อุชฺฌายนฺตีติ เยสํ สา เปตูปปตฺติ อปฺปจฺจกฺขา, เต อุชฺฌายนฺติ ฯ ภควา ปน เถรสฺสานุภาวํ ปกาเสโนฺต ‘‘จกฺขุภูตา วต ภิกฺขเว สาวกา วิหรนฺตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ จกฺขุ ภูตํ ชาตํ อุปฺปนฺนํ เตสนฺติ จกฺขุภูตา; ภูตจกฺขุกา อุปฺปนฺนจกฺขุกา, จกฺขุํ อุปฺปาเทตฺวา, วิหรนฺตีติ อโตฺถฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ ยตฺร หิ นามาติ เอตฺถ ยตฺราติ การณวจนํฯ ตตฺรายมตฺถโยชนา; ยสฺมา นาม สาวโกปิ เอวรูปํ ญสฺสติ วา ทกฺขติ วา สกฺขิํ วา กริสฺสติ, ตสฺมา อโวจุมฺห – ‘‘จกฺขุภูตา วต ภิกฺขเว สาวกา วิหรนฺติ, ญาณภูตา วต ภิกฺขเว สาวกา วิหรนฺตี’’ติฯ

    Bhikkhū ujjhāyantīti yesaṃ sā petūpapatti appaccakkhā, te ujjhāyanti . Bhagavā pana therassānubhāvaṃ pakāsento ‘‘cakkhubhūtā vata bhikkhave sāvakā viharantī’’tiādimāha. Tattha cakkhu bhūtaṃ jātaṃ uppannaṃ tesanti cakkhubhūtā; bhūtacakkhukā uppannacakkhukā, cakkhuṃ uppādetvā, viharantīti attho. Dutiyapadepi eseva nayo. Yatra hi nāmāti ettha yatrāti kāraṇavacanaṃ. Tatrāyamatthayojanā; yasmā nāma sāvakopi evarūpaṃ ñassati vā dakkhati vā sakkhiṃ vā karissati, tasmā avocumha – ‘‘cakkhubhūtā vata bhikkhave sāvakā viharanti, ñāṇabhūtā vata bhikkhave sāvakā viharantī’’ti.

    ปุเพฺพว เม โส ภิกฺขเว สโตฺต ทิโฎฺฐติ โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตญาณปฺปฎิเวเธน อปฺปมาเณสุ จกฺกวาเฬสุ อปฺปมาเณ สตฺตนิกาเย ภวคติโยนิฐิตินิวาเส จ ปจฺจกฺขํ กโรเนฺตน มยา ปุเพฺพว โส สโตฺต ทิโฎฺฐติ วทติฯ

    Pubbeva me so bhikkhave satto diṭṭhoti bodhimaṇḍe sabbaññutañāṇappaṭivedhena appamāṇesu cakkavāḷesu appamāṇe sattanikāye bhavagatiyoniṭhitinivāse ca paccakkhaṃ karontena mayā pubbeva so satto diṭṭhoti vadati.

    โคฆาตโกติ คาโว วธิตฺวา วธิตฺวา อฎฺฐิโต มํสํ โมเจตฺวา วิกฺกิณิตฺวา ชีวิกกปฺปนกสโตฺตฯ ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสนาติ ตสฺส นานาเจตนาหิ อายูหิตสฺส อปราปริยกมฺมสฺสฯ ตตฺร หิ ยาย เจตนาย นรเก ปฎิสนฺธิ ชนิตา, ตสฺสา วิปาเก ปริกฺขีเณ อวเสสกมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา อารมฺมณํ กตฺวา ปุน เปตาทีสุ ปฎิสนฺธิ นิพฺพตฺตติ, ตสฺมา สา ปฎิสนฺธิ กมฺมสภาคตาย วา อารมฺมณสภาคตาย วา ‘‘ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสโส’’ติ วุจฺจติฯ อยญฺจ สโตฺต เอวํ อุปปโนฺนฯ เตนาห – ‘‘ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสนา’’ติฯ ตสฺส กิร นรกา จวนกาเล นิมฺมํสกตานํ คุนฺนํ อฎฺฐิราสิ เอว นิมิตฺตํ อโหสิฯ โส ปฎิจฺฉนฺนมฺปิ ตํ กมฺมํ วิญฺญูนํ ปากฎํ วิย กโรโนฺต อฎฺฐิสงฺขลิกเปโต ชาโตฯ

    Goghātakoti gāvo vadhitvā vadhitvā aṭṭhito maṃsaṃ mocetvā vikkiṇitvā jīvikakappanakasatto. Tasseva kammassa vipākāvasesenāti tassa nānācetanāhi āyūhitassa aparāpariyakammassa. Tatra hi yāya cetanāya narake paṭisandhi janitā, tassā vipāke parikkhīṇe avasesakammaṃ vā kammanimittaṃ vā ārammaṇaṃ katvā puna petādīsu paṭisandhi nibbattati, tasmā sā paṭisandhi kammasabhāgatāya vā ārammaṇasabhāgatāya vā ‘‘tasseva kammassa vipākāvaseso’’ti vuccati. Ayañca satto evaṃ upapanno. Tenāha – ‘‘tasseva kammassa vipākāvasesenā’’ti. Tassa kira narakā cavanakāle nimmaṃsakatānaṃ gunnaṃ aṭṭhirāsi eva nimittaṃ ahosi. So paṭicchannampi taṃ kammaṃ viññūnaṃ pākaṭaṃ viya karonto aṭṭhisaṅkhalikapeto jāto.

    ๒๒๙. มํสเปสิวตฺถุสฺมิํ โคฆาตโกติ โคมํสเปสิโย กตฺวา สุกฺขาเปตฺวา วลฺลูรวิกฺกเยน อเนกานิ วสฺสานิ ชีวิกํ กเปฺปสิฯ เตนสฺส นรกา จวนกาเล มํสเปสิเยว นิมิตฺตํ อโหสิฯ โส มํสเปสิเปโต ชาโตฯ

    229. Maṃsapesivatthusmiṃ goghātakoti gomaṃsapesiyo katvā sukkhāpetvā vallūravikkayena anekāni vassāni jīvikaṃ kappesi. Tenassa narakā cavanakāle maṃsapesiyeva nimittaṃ ahosi. So maṃsapesipeto jāto.

    มํสปิณฺฑวตฺถุสฺมิํ โส สากุณิโก สกุเณ คเหตฺวา วิกฺกิณนกาเล นิปฺปกฺขจเมฺม มํสปิณฺฑมเตฺต กตฺวา วิกฺกิณโนฺต ชีวิกํ กเปฺปสิฯ เตนสฺส นรกา จวนกาเล มํสปิโณฺฑว นิมิตฺตํ อโหสิฯ โส มํสปิณฺฑเปโต ชาโตฯ

    Maṃsapiṇḍavatthusmiṃ so sākuṇiko sakuṇe gahetvā vikkiṇanakāle nippakkhacamme maṃsapiṇḍamatte katvā vikkiṇanto jīvikaṃ kappesi. Tenassa narakā cavanakāle maṃsapiṇḍova nimittaṃ ahosi. So maṃsapiṇḍapeto jāto.

    นิจฺฉวิวตฺถุสฺมิํ ตสฺส โอรพฺภิกสฺส เอฬเก วธิตฺวา นิจฺจเมฺม กตฺวา กปฺปิตชีวิกสฺส ปุริมนเยเนว นิจฺจมฺมํ เอฬกสรีรํ นิมิตฺตมโหสิฯ โส นิจฺฉวิเปโต ชาโตฯ

    Nicchavivatthusmiṃ tassa orabbhikassa eḷake vadhitvā niccamme katvā kappitajīvikassa purimanayeneva niccammaṃ eḷakasarīraṃ nimittamahosi. So nicchavipeto jāto.

    อสิโลมวตฺถุสฺมิํ โส สูกริโก ทีฆรตฺตํ นิวาปปุเฎฺฐ สูกเร อสินา วธิตฺวา วธิตฺวา ทีฆรตฺตํ ชีวิกํ กเปฺปสิฯ เตนสฺส อุกฺขิตฺตาสิกภาโวว นิมิตฺตํ อโหสิฯ ตสฺมา อสิโลมเปโต ชาโตฯ

    Asilomavatthusmiṃ so sūkariko dīgharattaṃ nivāpapuṭṭhe sūkare asinā vadhitvā vadhitvā dīgharattaṃ jīvikaṃ kappesi. Tenassa ukkhittāsikabhāvova nimittaṃ ahosi. Tasmā asilomapeto jāto.

    สตฺติโลมวตฺถุสฺมิํ โส มาควิโก เอกํ มิคญฺจ สตฺติญฺจ คเหตฺวา วนํ คนฺตฺวา ตสฺส มิคสฺส สมีปํ อาคตาคเต มิเค สตฺติยา วิชฺฌิตฺวา มาเรสิ, ตสฺส สตฺติยา วิชฺฌนกภาโวเยว นิมิตฺตํ อโหสิฯ ตสฺมา สตฺติโลมเปโต ชาโตฯ

    Sattilomavatthusmiṃ so māgaviko ekaṃ migañca sattiñca gahetvā vanaṃ gantvā tassa migassa samīpaṃ āgatāgate mige sattiyā vijjhitvā māresi, tassa sattiyā vijjhanakabhāvoyeva nimittaṃ ahosi. Tasmā sattilomapeto jāto.

    อุสุโลมวตฺถุสฺมิํ การณิโกติ ราชาปราธิเก อเนกาหิ การณาหิ ปีเฬตฺวา อวสาเน กเณฺฑน วิชฺฌิตฺวา มารณกปุริโสฯ โส กิร อสุกสฺมิํ ปเทเส วิโทฺธ มรตีติ ญตฺวาว วิชฺฌติฯ ตเสฺสวํ ชีวิกํ กเปฺปตฺวา นรเก อุปฺปนฺนสฺส ตโต ปกฺกาวเสเสน อิธูปปตฺติกาเล อุสุนา วิชฺฌนภาโวเยว นิมิตฺตํ อโหสิฯ ตสฺมา อุสุโลมเปโต ชาโตฯ

    Usulomavatthusmiṃ kāraṇikoti rājāparādhike anekāhi kāraṇāhi pīḷetvā avasāne kaṇḍena vijjhitvā māraṇakapuriso. So kira asukasmiṃ padese viddho maratīti ñatvāva vijjhati. Tassevaṃ jīvikaṃ kappetvā narake uppannassa tato pakkāvasesena idhūpapattikāle usunā vijjhanabhāvoyeva nimittaṃ ahosi. Tasmā usulomapeto jāto.

    สูจิโลมวตฺถุสฺมิํ สารถีติ อสฺสทมโกฯ โคทมโกติปิ กุรุนฺทฎฺฐกถายํวุตฺตํฯ ตสฺส ปโตทสูจิยา วิชฺฌนภาโวเยว นิมิตฺตํ อโหสิฯ ตสฺมา สูจิโลมเปโต ชาโตฯ

    Sūcilomavatthusmiṃ sārathīti assadamako. Godamakotipi kurundaṭṭhakathāyaṃvuttaṃ. Tassa patodasūciyā vijjhanabhāvoyeva nimittaṃ ahosi. Tasmā sūcilomapeto jāto.

    ทุติยสูจิโลมวตฺถุสฺมิํ สูจโกติ เปสุญฺญการโก ฯ โส กิร มนุเสฺส อญฺญมญฺญญฺจ ภินฺทิฯ ราชกุเล จ ‘‘อิมสฺส อิมํ นาม อตฺถิ, อิมินา อิทํ นาม กต’’นฺติ สูเจตฺวา สูเจตฺวา อนยพฺยสนํ ปาเปสิฯ ตสฺมา ยถาเนน สูเจตฺวา มนุสฺสา ภินฺนา, ตถา สูจีหิ เภทนทุกฺขํ ปจฺจนุโภตุํ กมฺมเมว นิมิตฺตํ กตฺวา สูจิโลมเปโต ชาโตฯ

    Dutiyasūcilomavatthusmiṃ sūcakoti pesuññakārako . So kira manusse aññamaññañca bhindi. Rājakule ca ‘‘imassa imaṃ nāma atthi, iminā idaṃ nāma kata’’nti sūcetvā sūcetvā anayabyasanaṃ pāpesi. Tasmā yathānena sūcetvā manussā bhinnā, tathā sūcīhi bhedanadukkhaṃ paccanubhotuṃ kammameva nimittaṃ katvā sūcilomapeto jāto.

    อณฺฑภาริตวตฺถุสฺมิํ คามกูโฎติ วินิจฺฉยามโจฺจฯ ตสฺส กมฺมสภาคตาย กุมฺภมตฺตา มหาฆฎปฺปมาณา อณฺฑา อเหสุํฯ โส หิ ยสฺมา รโห ปฎิจฺฉนฺน ฐาเน ลญฺชํ คเหตฺวา กูฎวินิจฺฉเยน ปากฎํ โทสํ กโรโนฺต สามิเก อสฺสามิเก อกาสิฯ ตสฺมาสฺส รหสฺสํ องฺคํ ปากฎํ นิพฺพตฺตํฯ ยสฺมา ทณฺฑํ ปฎฺฐเปโนฺต ปเรสํ อสยฺหํ ภารํ อาโรเปสิ, ตสฺมาสฺส รหสฺสงฺคํ อสยฺหภาโร หุตฺวา นิพฺพตฺตํฯ ยสฺมา ยสฺมิํ ฐาเน ฐิเตน สเมน ภวิตพฺพํ, ตสฺมิํ ฐตฺวา วิสโม อโหสิ, ตสฺมาสฺส รหสฺสเงฺค วิสมา นิสชฺชา อโหสีติฯ

    Aṇḍabhāritavatthusmiṃ gāmakūṭoti vinicchayāmacco. Tassa kammasabhāgatāya kumbhamattā mahāghaṭappamāṇā aṇḍā ahesuṃ. So hi yasmā raho paṭicchanna ṭhāne lañjaṃ gahetvā kūṭavinicchayena pākaṭaṃ dosaṃ karonto sāmike assāmike akāsi. Tasmāssa rahassaṃ aṅgaṃ pākaṭaṃ nibbattaṃ. Yasmā daṇḍaṃ paṭṭhapento paresaṃ asayhaṃ bhāraṃ āropesi, tasmāssa rahassaṅgaṃ asayhabhāro hutvā nibbattaṃ. Yasmā yasmiṃ ṭhāne ṭhitena samena bhavitabbaṃ, tasmiṃ ṭhatvā visamo ahosi, tasmāssa rahassaṅge visamā nisajjā ahosīti.

    ปารทาริกวตฺถุสฺมิํ โส สโตฺต ปรสฺส รกฺขิตํ โคปิตํ สสฺสามิกํ ผสฺสํ ผุสโนฺต มีฬฺหสุเขน กามสุเขน จิตฺตํ รมยิตฺวา กมฺมสภาคตาย คูถผสฺสํ ผุสโนฺต ทุกฺขมนุภวิตุํ ตตฺถ นิพฺพโตฺตฯ ทุฎฺฐพฺราหฺมณวตฺถุ ปากฎเมวฯ

    Pāradārikavatthusmiṃ so satto parassa rakkhitaṃ gopitaṃ sassāmikaṃ phassaṃ phusanto mīḷhasukhena kāmasukhena cittaṃ ramayitvā kammasabhāgatāya gūthaphassaṃ phusanto dukkhamanubhavituṃ tattha nibbatto. Duṭṭhabrāhmaṇavatthu pākaṭameva.

    ๒๓๐. นิจฺฉวิตฺถิวตฺถุสฺมิํ ยสฺมา มาตุคาโม นาม อตฺตโน ผเสฺส อนิสฺสโร, สา จ ตํ สามิกสฺส สนฺตกํ ผสฺสํ เถเนตฺวา ปเรสํ อภิรติํ อุปฺปาเทสิ, ตสฺมา กมฺมสภาคตาย สุขสมฺผสฺสา ธํสิตฺวา ทุกฺขสมฺผสฺสํ อนุภวิตุํ นิจฺฉวิตฺถี หุตฺวา อุปปนฺนาฯ

    230.Nicchavitthivatthusmiṃ yasmā mātugāmo nāma attano phasse anissaro, sā ca taṃ sāmikassa santakaṃ phassaṃ thenetvā paresaṃ abhiratiṃ uppādesi, tasmā kammasabhāgatāya sukhasamphassā dhaṃsitvā dukkhasamphassaṃ anubhavituṃ nicchavitthī hutvā upapannā.

    มงฺคุลิตฺถิวตฺถุสฺมิํ มงฺคุลินฺติ วิรูปํ ทุทฺทสิกํ พีภจฺฉํ, สา กิร อิกฺขณิกากมฺมํ ยกฺขทาสิกมฺมํ กโรนฺตี ‘‘อิมินา จ อิมินา จ เอวํ พลิกเมฺม กเต อยํ นาม ตุมฺหากํ วฑฺฒิ ภวิสฺสตี’’ติ มหาชนสฺส คนฺธปุปฺผาทีนิ วญฺจนาย คเหตฺวา มหาชนํ ทุทฺทิฎฺฐิํ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ คณฺหาเปสิ, ตสฺมา ตาย กมฺมสภาคตาย คนฺธปุปฺผาทีนํ เถนิตตฺตา ทุคฺคนฺธา ทุทฺทสฺสนสฺส คาหิตตฺตา ทุทฺทสิกา วิรูปา พีภจฺฉา หุตฺวา นิพฺพตฺตาฯ

    Maṅgulitthivatthusmiṃ maṅgulinti virūpaṃ duddasikaṃ bībhacchaṃ, sā kira ikkhaṇikākammaṃ yakkhadāsikammaṃ karontī ‘‘iminā ca iminā ca evaṃ balikamme kate ayaṃ nāma tumhākaṃ vaḍḍhi bhavissatī’’ti mahājanassa gandhapupphādīni vañcanāya gahetvā mahājanaṃ duddiṭṭhiṃ micchādiṭṭhiṃ gaṇhāpesi, tasmā tāya kammasabhāgatāya gandhapupphādīnaṃ thenitattā duggandhā duddassanassa gāhitattā duddasikā virūpā bībhacchā hutvā nibbattā.

    โอกิลินิวตฺถุสฺมิํ อุปฺปกฺกํ โอกิลินิํ โอกิรินินฺติ สา กิร องฺคารจิตเก นิปนฺนา วิปฺผนฺทมานา วิปริวตฺตมานา ปจฺจติ, ตสฺมา อุปฺปกฺกา เจว โหติ ขเรน อคฺคินา ปกฺกสรีรา; โอกิลินี จ กิลินฺนสรีรา พินฺทุพินฺทูนิ หิสฺสา สรีรโต ปคฺฆรนฺติฯ โอกิรินี จ องฺคารสมฺปริกิณฺณา, ตสฺสา หิ เหฎฺฐโตปิ กิํสุกปุปฺผวณฺณา องฺคารา, อุภยปเสฺสสุปิ , อากาสโตปิสฺสา อุปริ องฺคารา ปตนฺติ, เตน วุตฺตํ – ‘‘อุปฺปกฺกํ โอกิลินิํ โอกิรินิ’’นฺติฯ สา อิสฺสาปกตา สปตฺติํ องฺคารกฎาเหน โอกิรีติ ตสฺสา กิร กลิงฺครโญฺญ เอกา นาฎกินี องฺคารกฎาหํ สมีเป ฐเปตฺวา คตฺตโต อุทกญฺจ ปุญฺฉติ, ปาณินา จ เสทํ กโรติฯ ราชาปิ ตาย สทฺธิํ กถญฺจ กโรติ, ปริตุฎฺฐาการญฺจ ทเสฺสติฯ อคฺคมเหสี ตํ อสหมานา อิสฺสาปกตา หุตฺวา อจิรปกฺกนฺตสฺส รโญฺญ ตํ องฺคารกฎาหํ คเหตฺวา ตสฺสา อุปริ องฺคาเร โอกิริฯ สา ตํ กมฺมํ กตฺวา ตาทิสํเยว วิปากํ ปจฺจนุภวิตุํ เปตโลเก นิพฺพตฺตาฯ

    Okilinivatthusmiṃ uppakkaṃ okiliniṃ okirininti sā kira aṅgāracitake nipannā vipphandamānā viparivattamānā paccati, tasmā uppakkā ceva hoti kharena agginā pakkasarīrā; okilinī ca kilinnasarīrā bindubindūni hissā sarīrato paggharanti. Okirinī ca aṅgārasamparikiṇṇā, tassā hi heṭṭhatopi kiṃsukapupphavaṇṇā aṅgārā, ubhayapassesupi , ākāsatopissā upari aṅgārā patanti, tena vuttaṃ – ‘‘uppakkaṃ okiliniṃ okirini’’nti. Sā issāpakatā sapattiṃ aṅgārakaṭāhena okirīti tassā kira kaliṅgarañño ekā nāṭakinī aṅgārakaṭāhaṃ samīpe ṭhapetvā gattato udakañca puñchati, pāṇinā ca sedaṃ karoti. Rājāpi tāya saddhiṃ kathañca karoti, parituṭṭhākārañca dasseti. Aggamahesī taṃ asahamānā issāpakatā hutvā acirapakkantassa rañño taṃ aṅgārakaṭāhaṃ gahetvā tassā upari aṅgāre okiri. Sā taṃ kammaṃ katvā tādisaṃyeva vipākaṃ paccanubhavituṃ petaloke nibbattā.

    โจรฆาตกวตฺถุสฺมิํ โส รโญฺญ อาณาย ทีฆรตฺตํ โจรานํ สีสานิ ฉินฺทิตฺวา เปตโลเก นิพฺพตฺตโนฺต อสีสกํ กพนฺธํ หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Coraghātakavatthusmiṃ so rañño āṇāya dīgharattaṃ corānaṃ sīsāni chinditvā petaloke nibbattanto asīsakaṃ kabandhaṃ hutvā nibbatti.

    ภิกฺขุวตฺถุสฺมิํ ปาปภิกฺขูติ ลามกภิกฺขุฯ โส กิร โลกสฺส สทฺธาเทเยฺย จตฺตาโร ปจฺจเย ปริภุญฺชิตฺวา กายวจีทฺวาเรหิ อสํ ยโต ภินฺนาชีโว จิตฺตเกฬิํ กีฬโนฺต วิจริฯ ตโต เอกํ พุทฺธนฺตรํ นิรเย ปจฺจิตฺวา เปตโลเก นิพฺพตฺตโนฺต ภิกฺขุสทิเสเนว อตฺตภาเวน นิพฺพตฺติฯ ภิกฺขุนี-สิกฺขมานา-สามเณร-สามเณรีวตฺถูสุปิ อยเมว วินิจฺฉโยฯ

    Bhikkhuvatthusmiṃ pāpabhikkhūti lāmakabhikkhu. So kira lokassa saddhādeyye cattāro paccaye paribhuñjitvā kāyavacīdvārehi asaṃ yato bhinnājīvo cittakeḷiṃ kīḷanto vicari. Tato ekaṃ buddhantaraṃ niraye paccitvā petaloke nibbattanto bhikkhusadiseneva attabhāvena nibbatti. Bhikkhunī-sikkhamānā-sāmaṇera-sāmaṇerīvatthūsupi ayameva vinicchayo.

    ๒๓๑. ตโปทาวตฺถุสฺมิํ อโจฺฉทโกติ ปสโนฺนทโกฯ สีโตทโกติ สีตลอุทโกฯ สาโตทโกติ มธุโรทโกฯ เสตโกติ ปริสุโทฺธ นิเสฺสวาลปณกกทฺทโมฯ สุปฺปติโตฺถติ สุนฺทเรหิ ติเตฺถหิ อุปปโนฺนฯ รมณีโยติ รติชนโกฯ จกฺกมตฺตานีติ รถจกฺกปฺปมาณานิฯ กุถิตา สนฺทตีติ ตตฺรา สนฺตตฺตา หุตฺวา สนฺทติฯ ยตายํ ภิกฺขเวติ ยโต อยํ ภิกฺขเวฯ โส ทโหติ โส รหโทฯ กุโต ปนายํ สนฺทตีติ? เวภารปพฺพตสฺส กิร เหฎฺฐา ภุมฺมฎฺฐกนาคานํ ปญฺจโยชนสติกํ นาคภวนํ เทวโลกสทิสํ มณิมเยน ตเลน อารามุยฺยาเนหิ จ สมนฺนาคตํ; ตตฺถ นาคานํ กีฬนฎฺฐาเน โส อุทกทโห, ตโต อยํ ตโปทา สนฺทติฯ ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกาย อาคจฺฉตีติ ราชคหนครํ กิร อาวิเญฺชตฺวา มหาเปตโลโก, ตตฺถ ทฺวินฺนํ มหาโลหกุมฺภินิรยานํ อนฺตเรน อยํ ตโปทา อาคจฺฉติ, ตสฺมา กุถิตา สนฺทตีติฯ

    231. Tapodāvatthusmiṃ acchodakoti pasannodako. Sītodakoti sītalaudako. Sātodakoti madhurodako. Setakoti parisuddho nissevālapaṇakakaddamo. Suppatitthoti sundarehi titthehi upapanno. Ramaṇīyoti ratijanako. Cakkamattānīti rathacakkappamāṇāni. Kuthitā sandatīti tatrā santattā hutvā sandati. Yatāyaṃ bhikkhaveti yato ayaṃ bhikkhave. So dahoti so rahado. Kuto panāyaṃ sandatīti? Vebhārapabbatassa kira heṭṭhā bhummaṭṭhakanāgānaṃ pañcayojanasatikaṃ nāgabhavanaṃ devalokasadisaṃ maṇimayena talena ārāmuyyānehi ca samannāgataṃ; tattha nāgānaṃ kīḷanaṭṭhāne so udakadaho, tato ayaṃ tapodā sandati. Dvinnaṃ mahānirayānaṃ antarikāya āgacchatīti rājagahanagaraṃ kira āviñjetvā mahāpetaloko, tattha dvinnaṃ mahālohakumbhinirayānaṃ antarena ayaṃ tapodā āgacchati, tasmā kuthitā sandatīti.

    ยุทฺธวตฺถุสฺมิํ นนฺที จรตีติ วิชยเภรี อาหิณฺฑติฯ ราชา อาวุโส ลิจฺฉวีหีติ เถโร กิร อตฺตโน ทิวาฎฺฐาเน จ รตฺติฎฺฐาเน จ นิสีทิตฺวา ‘‘ลิจฺฉวโย กตหตฺถา กตูปาสนา, ราชา จ เตหิ สทฺธิํ สมฺปหารํ เทตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ทิเพฺพน จกฺขุนา ราชานํ ปราชิตํ ปลายมานํ อทฺทสฯ ตโต ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘ราชา อาวุโส ตุมฺหากํ อุปฎฺฐาโก ลิจฺฉวีหิ ปภโคฺค’’ติ อาหฯ สจฺจํ, ภิกฺขเว, โมคฺคลฺลาโน อาหาติ ปราชิกกาเล อาวชฺชิตฺวา ยํ ทิฎฺฐํ ตํ ภณโนฺต สจฺจํ อาหฯ

    Yuddhavatthusmiṃ nandī caratīti vijayabherī āhiṇḍati. Rājā āvuso licchavīhīti thero kira attano divāṭṭhāne ca rattiṭṭhāne ca nisīditvā ‘‘licchavayo katahatthā katūpāsanā, rājā ca tehi saddhiṃ sampahāraṃ detī’’ti āvajjento dibbena cakkhunā rājānaṃ parājitaṃ palāyamānaṃ addasa. Tato bhikkhū āmantetvā ‘‘rājā āvuso tumhākaṃ upaṭṭhāko licchavīhi pabhaggo’’ti āha. Saccaṃ, bhikkhave, moggallāno āhāti parājikakāle āvajjitvā yaṃ diṭṭhaṃ taṃ bhaṇanto saccaṃ āha.

    ๒๓๒. นาโคคาหวตฺถุสฺมิํ สปฺปินิกายาติ เอวํนามิกายฯ อาเนญฺชํ สมาธินฺติ อเนชํ อจลํ กายวาจาวิปฺผนฺทวิรหิตํ จตุตฺถชฺฌานสมาธิํฯ นาคานนฺติ หตฺถีนํฯ โอคยฺห อุตฺตรนฺตานนฺติ โอคยฺห โอคาเหตฺวา ปุน อุตฺตรนฺตานํฯ เต กิร คมฺภีรํ อุทกํ โอตริตฺวา ตตฺถ นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ โสณฺฑาย อุทกํ คเหตฺวา อญฺญมญฺญํ อาโลเลนฺตา อุตฺตรนฺติ, เตสํ เอวํ โอคยฺห อุตฺตรนฺตานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โกญฺจํ กโรนฺตานนฺติ นทีตีเร ฐตฺวา โสณฺฑํ มุเข ปกฺขิปิตฺวา โกญฺจนาทํ กโรนฺตานํฯ สทฺทํ อโสฺสสินฺติ ตํ โกญฺจนาทสทฺทํ อโสฺสสิํฯ อเตฺถโส, ภิกฺขเว, สมาธิ โส จ โข อปริสุโทฺธติ อตฺถิ เอโส สมาธิ โมคฺคลฺลานสฺส, โส จ โข ปริสุโทฺธ น โหติฯ เถโร กิร ปพฺพชิตโต สตฺตเม ทิวเส ตทหุอรหตฺตปฺปโตฺต อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ ปญฺจหากาเรหิ อนาจิณฺณวสีภาโว สมาธิปริปนฺถเก ธเมฺม น สุฎฺฐุ ปริโสเธตฺวา อาวชฺชนสมาปชฺชนาธิฎฺฐานวุฎฺฐานปจฺจเวกฺขณานํ สญฺญามตฺตกเมว กตฺวา จตุตฺถชฺฌานํ อเปฺปตฺวา นิสิโนฺน, ฌานเงฺคหิ วุฎฺฐาย นาคานํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อโนฺตสมาปตฺติยํ อโสฺสสิ’’นฺติ เอวํสญฺญี อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อเตฺถโส, ภิกฺขเว, สมาธิ; โส จ โข อปริสุโทฺธ’’ติฯ

    232. Nāgogāhavatthusmiṃ sappinikāyāti evaṃnāmikāya. Āneñjaṃ samādhinti anejaṃ acalaṃ kāyavācāvipphandavirahitaṃ catutthajjhānasamādhiṃ. Nāgānanti hatthīnaṃ. Ogayha uttarantānanti ogayha ogāhetvā puna uttarantānaṃ. Te kira gambhīraṃ udakaṃ otaritvā tattha nhatvā ca pivitvā ca soṇḍāya udakaṃ gahetvā aññamaññaṃ ālolentā uttaranti, tesaṃ evaṃ ogayha uttarantānanti vuttaṃ hoti. Koñcaṃ karontānanti nadītīre ṭhatvā soṇḍaṃ mukhe pakkhipitvā koñcanādaṃ karontānaṃ. Saddaṃ assosinti taṃ koñcanādasaddaṃ assosiṃ. Attheso, bhikkhave, samādhi so ca kho aparisuddhoti atthi eso samādhi moggallānassa, so ca kho parisuddho na hoti. Thero kira pabbajitato sattame divase tadahuarahattappatto aṭṭhasu samāpattīsu pañcahākārehi anāciṇṇavasībhāvo samādhiparipanthake dhamme na suṭṭhu parisodhetvā āvajjanasamāpajjanādhiṭṭhānavuṭṭhānapaccavekkhaṇānaṃ saññāmattakameva katvā catutthajjhānaṃ appetvā nisinno, jhānaṅgehi vuṭṭhāya nāgānaṃ saddaṃ sutvā ‘‘antosamāpattiyaṃ assosi’’nti evaṃsaññī ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘attheso, bhikkhave, samādhi; so ca kho aparisuddho’’ti.

    โสภิตวตฺถุสฺมิํ อหํ, อาวุโส, ปญฺจ กปฺปสตานิ อนุสฺสรามีติ เอกาวชฺชเนน อนุสฺสรามีติ อาหฯ อิตรถา หิ อนจฺฉริยํ อริยสาวกานํ ปฎิปาฎิยา นานาวชฺชเนน ตสฺส ตสฺส อตีเต นิวาสสฺส อนุสฺสรณนฺติ น ภิกฺขู อุชฺฌาเยยฺยุํฯ ยสฺมา ปเนส ‘‘เอกาวชฺชเนน อนุสฺสรามี’’ติ อาห, ตสฺมา ภิกฺขู อุชฺฌายิํสุฯ อเตฺถสา, ภิกฺขเว, โสภิตสฺส, สา จ โข เอกาเยว ชาตีติ ยํ โสภิโต ชาติํ อนุสฺสรามีติ อาห, อเตฺถสา ชาติ โสภิตสฺส, สา จ โข เอกาเยว อนนฺตรา น อุปฺปฎิปาฎิยา อนุสฺสริตาติ อธิปฺปาโยฯ

    Sobhitavatthusmiṃ ahaṃ, āvuso, pañca kappasatāni anussarāmīti ekāvajjanena anussarāmīti āha. Itarathā hi anacchariyaṃ ariyasāvakānaṃ paṭipāṭiyā nānāvajjanena tassa tassa atīte nivāsassa anussaraṇanti na bhikkhū ujjhāyeyyuṃ. Yasmā panesa ‘‘ekāvajjanena anussarāmī’’ti āha, tasmā bhikkhū ujjhāyiṃsu. Atthesā, bhikkhave, sobhitassa, sā ca kho ekāyeva jātīti yaṃ sobhito jātiṃ anussarāmīti āha, atthesā jāti sobhitassa, sā ca kho ekāyeva anantarā na uppaṭipāṭiyā anussaritāti adhippāyo.

    กถํ ปนายํ เอตํ อนุสฺสรีติ? อยํ กิร ปญฺจนฺนํ กปฺปสตานํ อุปริ ติตฺถายตเน

    Kathaṃ panāyaṃ etaṃ anussarīti? Ayaṃ kira pañcannaṃ kappasatānaṃ upari titthāyatane

    ปพฺพชิตฺวา อสญฺญสมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌาโน กาลํ กตฺวา อสญฺญภเว นิพฺพตฺติฯ ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา อวสาเน มนุสฺสโลเก อุปฺปโนฺน สาสเน ปพฺพชิตฺวา ติโสฺส วิชฺชา สจฺฉากาสิฯ โส ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรมาโน อิมสฺมิํ อตฺตภาเว ปฎิสนฺธิํ ทิสฺวา ตโต ปรํ ตติเย อตฺตภาเว จุติเมว อทฺทสฯ อถ อุภินฺนมนฺตรา อจิตฺตกํ อตฺตภาวํ อนุสฺสริตุํ อสโกฺกโนฺต นยโต สลฺลเกฺขสิ – ‘‘อทฺธาอหํ อสญฺญภเว นิพฺพโตฺต’’ติฯ เอวํ สลฺลเกฺขเนฺตน ปนาเนน ทุกฺกรํ กตํ, สตธา ภินฺนสฺส วาลสฺส โกฎิยา โกฎิ ปฎิวิทฺธา, อากาเส ปทํ ทสฺสิตํฯ ตสฺมา นํ ภควา อิมสฺมิํเยว วตฺถุสฺมิํ เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺตานํ ยทิทํ โสภิโต’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙, ๒๒๗)ฯ

    Pabbajitvā asaññasamāpattiṃ nibbattetvā aparihīnajjhāno kālaṃ katvā asaññabhave nibbatti. Tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā avasāne manussaloke uppanno sāsane pabbajitvā tisso vijjā sacchākāsi. So pubbenivāsaṃ anussaramāno imasmiṃ attabhāve paṭisandhiṃ disvā tato paraṃ tatiye attabhāve cutimeva addasa. Atha ubhinnamantarā acittakaṃ attabhāvaṃ anussarituṃ asakkonto nayato sallakkhesi – ‘‘addhāahaṃ asaññabhave nibbatto’’ti. Evaṃ sallakkhentena panānena dukkaraṃ kataṃ, satadhā bhinnassa vālassa koṭiyā koṭi paṭividdhā, ākāse padaṃ dassitaṃ. Tasmā naṃ bhagavā imasmiṃyeva vatthusmiṃ etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ pubbenivāsaṃ anussarantānaṃ yadidaṃ sobhito’’ti (a. ni. 1.219, 227).

    วินีตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vinītavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิคมนวณฺณนา

    Nigamanavaṇṇanā

    ๒๓๓. อุทฺทิฎฺฐา โข อายสฺมโนฺต จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมาติ อิทํ อิธ อุทฺทิฎฺฐปาราชิกปริทีปนเมวฯ สโมธาเนตฺวา ปน สพฺพาเนว จตุวีสติ ปาราชิกานิ เวทิตพฺพานิฯ กตมานิ จตุวีสติ? ปาฬิยํ อาคตานิ ตาว ภิกฺขูนํ จตฺตาริ, ภิกฺขุนีนํ อสาธารณานิ จตฺตารีติ อฎฺฐฯ เอกาทส อภพฺพปุคฺคลา, เตสุ ปณฺฑกติรจฺฉานคตอุภโตพฺยญฺชนกา, ตโย วตฺถุวิปนฺนา อเหตุกปฎิสนฺธิกา, เตสํ สโคฺค อวาริโต มโคฺค ปน วาริโต, อภพฺพา หิ เต มคฺคปฺปฎิลาภาย วตฺถุวิปนฺนตฺตาติฯ ปพฺพชฺชาปิ เนสํ ปฎิกฺขิตฺตา, ตสฺมา เตปิ ปาราชิกาฯ เถยฺยสํวาสโก, ติตฺถิยปกฺกนฺตโก, มาตุฆาตโก, ปิตุฆาตโก, อรหนฺตฆาตโก, ภิกฺขุนีทูสโก, โลหิตุปฺปาทโก, สงฺฆเภทโกติ อิเม อฎฺฐ อตฺตโน กิริยาย วิปนฺนตฺตา อภพฺพฎฺฐานํ ปตฺตาติ ปาราชิกาวฯ เตสุ เถยฺยสํวาสโก, ติตฺถิยปกฺกนฺตโก, ภิกฺขุนีทูสโกติ อิเมสํ ติณฺณํ สโคฺค อวาริโต มโคฺค ปน วาริโตวฯ อิตเรสํ ปญฺจนฺนํ อุภยมฺปิ วาริตํฯ เต หิ อนนฺตรภเว นรเก นิพฺพตฺตนกสตฺตาฯ อิติ อิเม จ เอกาทส, ปุริมา จ อฎฺฐาติ เอกูนวีสติฯ เต คิหิลิเงฺค รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา คิหินิวาสนนิวตฺถาย ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ วีสติฯ สา หิ อชฺฌาจารวีติกฺกมํ อกตฺวาปิ เอตฺตาวตาว อสฺสมณีติ อิมานิ ตาว วีสติ ปาราชิกานิฯ

    233.Uddiṭṭhākho āyasmanto cattāro pārājikā dhammāti idaṃ idha uddiṭṭhapārājikaparidīpanameva. Samodhānetvā pana sabbāneva catuvīsati pārājikāni veditabbāni. Katamāni catuvīsati? Pāḷiyaṃ āgatāni tāva bhikkhūnaṃ cattāri, bhikkhunīnaṃ asādhāraṇāni cattārīti aṭṭha. Ekādasa abhabbapuggalā, tesu paṇḍakatiracchānagataubhatobyañjanakā, tayo vatthuvipannā ahetukapaṭisandhikā, tesaṃ saggo avārito maggo pana vārito, abhabbā hi te maggappaṭilābhāya vatthuvipannattāti. Pabbajjāpi nesaṃ paṭikkhittā, tasmā tepi pārājikā. Theyyasaṃvāsako, titthiyapakkantako, mātughātako, pitughātako, arahantaghātako, bhikkhunīdūsako, lohituppādako, saṅghabhedakoti ime aṭṭha attano kiriyāya vipannattā abhabbaṭṭhānaṃ pattāti pārājikāva. Tesu theyyasaṃvāsako, titthiyapakkantako, bhikkhunīdūsakoti imesaṃ tiṇṇaṃ saggo avārito maggo pana vāritova. Itaresaṃ pañcannaṃ ubhayampi vāritaṃ. Te hi anantarabhave narake nibbattanakasattā. Iti ime ca ekādasa, purimā ca aṭṭhāti ekūnavīsati. Te gihiliṅge ruciṃ uppādetvā gihinivāsananivatthāya bhikkhuniyā saddhiṃ vīsati. Sā hi ajjhācāravītikkamaṃ akatvāpi ettāvatāva assamaṇīti imāni tāva vīsati pārājikāni.

    อปรานิปิ – ลมฺพี, มุทุปิฎฺฐิโก, ปรสฺส องฺคชาตํ มุเขน คณฺหาติ, ปรสฺส องฺคชาเต อภินิสีทตีติ อิเมสํ จตุนฺนํ วเสน จตฺตาริ อนุโลมปาราชิกานีติ วทนฺติฯ เอตานิ หิ ยสฺมา อุภินฺนํ ราควเสน สทิสภาวูปคตานํ ธโมฺม ‘‘เมถุนธโมฺม’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมา เอเตน ปริยาเยน เมถุนธมฺมํ อปฺปฎิเสวิตฺวาเยว เกวลํ มเคฺคน มคฺคปฺปเวสนวเสน อาปชฺชิตพฺพตฺตา เมถุนธมฺมปาราชิกสฺส อนุโลเมนฺตีติ อนุโลมปาราชิกานีติ วุจฺจนฺติฯ อิติ อิมานิ จ จตฺตาริ ปุริมานิ จ วีสตีติ สโมธาเนตฺวา สพฺพาเนว จตุวีสติ ปาราชิกานิ เวทิตพฺพานิฯ

    Aparānipi – lambī, mudupiṭṭhiko, parassa aṅgajātaṃ mukhena gaṇhāti, parassa aṅgajāte abhinisīdatīti imesaṃ catunnaṃ vasena cattāri anulomapārājikānīti vadanti. Etāni hi yasmā ubhinnaṃ rāgavasena sadisabhāvūpagatānaṃ dhammo ‘‘methunadhammo’’ti vuccati. Tasmā etena pariyāyena methunadhammaṃ appaṭisevitvāyeva kevalaṃ maggena maggappavesanavasena āpajjitabbattā methunadhammapārājikassa anulomentīti anulomapārājikānīti vuccanti. Iti imāni ca cattāri purimāni ca vīsatīti samodhānetvā sabbāneva catuvīsati pārājikāni veditabbāni.

    น ลภติ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สํวาสนฺติ อุโปสถ-ปวารณ-ปาติโมกฺขุเทฺทส-สงฺฆกมฺมปฺปเภทํ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สํวาสํ น ลภติฯ ยถา ปุเร ตถา ปจฺฉาติ ยถา ปุเพฺพ คิหิกาเล อนุปสมฺปนฺนกาเล จ ปจฺฉา ปาราชิกํ อาปโนฺนปิ ตเถว อสํวาโส โหติฯ นตฺถิ ตสฺส ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อุโปสถปวารณปาติโมกฺขุเทฺทสสงฺฆกมฺมปฺปเภโท สํวาโสติ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สํวาสํ น ลภติฯ ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามีติ เตสุ จตูสุ ปาราชิเกสุ อายสฺมเนฺต ‘‘กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา’’ติ ปุจฺฉามิฯ กจฺจิตฺถาติ กจฺจิ เอตฺถ; เอเตสุ จตูสุ ปาราชิเกสุ กจฺจิ ปริสุทฺธาติ อโตฺถฯ อถ วา กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธาติ กจฺจิ ปริสุทฺธา อตฺถ, ภวถาติ อโตฺถฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Na labhati bhikkhūhi saddhiṃ saṃvāsanti uposatha-pavāraṇa-pātimokkhuddesa-saṅghakammappabhedaṃ bhikkhūhi saddhiṃ saṃvāsaṃ na labhati. Yathā pure tathā pacchāti yathā pubbe gihikāle anupasampannakāle ca pacchā pārājikaṃ āpannopi tatheva asaṃvāso hoti. Natthi tassa bhikkhūhi saddhiṃ uposathapavāraṇapātimokkhuddesasaṅghakammappabhedo saṃvāsoti bhikkhūhi saddhiṃ saṃvāsaṃ na labhati. Tatthāyasmante pucchāmīti tesu catūsu pārājikesu āyasmante ‘‘kaccittha parisuddhā’’ti pucchāmi. Kaccitthāti kacci ettha; etesu catūsu pārājikesu kacci parisuddhāti attho. Atha vā kaccittha parisuddhāti kacci parisuddhā attha, bhavathāti attho. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    สมนฺตปาสาทิกาย วินยสํวณฺณนาย

    Samantapāsādikāya vinayasaṃvaṇṇanāya

    จตุตฺถปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Catutthapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๔. จตุตฺถปาราชิกํ • 4. Catutthapārājikaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact