Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā

    ๔. จตุตฺถปาราชิกวณฺณนา

    4. Catutthapārājikavaṇṇanā

    อนภิชานนฺติ น อภิชานํฯ เยน หิ โย ธโมฺม อธิคโต, โส ตสฺส ปากโฎ โหตีติ อาห ‘‘สกสนฺตาเน’’ติอาทิฯ อุตฺตริมนุสฺสานนฺติ ปกติมนุเสฺสหิ อุตฺตริตรานํ มนุสฺสานํ, อุกฺกฎฺฐมนุสฺสานนฺติ อโตฺถฯ ธมฺมนฺติ มหคฺคตโลกุตฺตรภูตํ อธิคตธมฺมํฯ อถ วา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาติ อุตฺตริมนุสฺสธโมฺมฯ มนุสฺสธโมฺม นาม วินา ภาวนามนสิกาเรน ปกติยา มนุเสฺสหิ นิพฺพเตฺตตโพฺพ ทสกุสลกมฺมปถธโมฺมฯ โส หิ มนุสฺสานํ จิตฺตาธิฎฺฐานมเตฺตน อิชฺฌนโต เตสํ โส ภาวิตธโมฺม วิย ฐิโตติ ตถา วุโตฺต, มนุสฺสคฺคหณเญฺจตฺถ เตสุ พหุลํ ปวตฺตนโตฯ ฌานาทิกํ ปน ตพฺพิธุรนฺติ ตตุตฺตริ, อิติ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมาติ อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม, ตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมนฺติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ สมุทาจรโนฺตติ อาโรเจโนฺตฯ

    Anabhijānanti na abhijānaṃ. Yena hi yo dhammo adhigato, so tassa pākaṭo hotīti āha ‘‘sakasantāne’’tiādi. Uttarimanussānanti pakatimanussehi uttaritarānaṃ manussānaṃ, ukkaṭṭhamanussānanti attho. Dhammanti mahaggatalokuttarabhūtaṃ adhigatadhammaṃ. Atha vā uttarimanussadhammāti uttarimanussadhammo. Manussadhammo nāma vinā bhāvanāmanasikārena pakatiyā manussehi nibbattetabbo dasakusalakammapathadhammo. So hi manussānaṃ cittādhiṭṭhānamattena ijjhanato tesaṃ so bhāvitadhammo viya ṭhitoti tathā vutto, manussaggahaṇañcettha tesu bahulaṃ pavattanato. Jhānādikaṃ pana tabbidhuranti tatuttari, iti uttari manussadhammāti uttarimanussadhammo, taṃ uttarimanussadhammanti evampettha attho daṭṭhabbo. Samudācarantoti ārocento.

    กิญฺจาปิ โลกิยโลกุตฺตรา สพฺพาว ปญฺญา ‘‘ญาณ’’นฺติ วุจฺจติ, อิธ ปน มหคฺคตโลกุตฺตราว เวทิตพฺพาติ อาห ‘‘มหคฺคตโลกุตฺตรปญฺญา ชานนเฎฺฐน ญาณ’’นฺติฯ กิเลเสหิ อารกตฺตา ปริสุทฺธเฎฺฐน อริยนฺติ อาห ‘‘อริยํ วิสุทฺธํ อุตฺตม’’นฺติฯ อริยสโทฺท เจตฺถ วิสุทฺธปริยาโย, น โลกุตฺตรปริยาโยฯ ฌานาทิเภเทติ อาทิสเทฺทน ‘‘วิโมโกฺข, สมาธิ, สมาปตฺติ, ญาณทสฺสนํ, มคฺคภาวนา, ผลสจฺฉิกิริยา, กิเลสปฺปหานํ, วินีวรณตา จิตฺตสฺส, สุญฺญาคาเร อภิรตี’’ติ (ปารา. ๑๙๘) อิเม สงฺคณฺหาติฯ วิญฺญุสฺส มนุสฺสชาติกสฺสาติ อาโรเจตพฺพปุคฺคลนิทสฺสนํฯ เอตสฺส หิ อาโรจิเต อาโรจิตํ โหติ, น เทวพฺรหฺมานํ, นาปิ เปตยกฺขติรจฺฉานคตานนฺติฯ อาโรเจยฺยาติ วเทยฺย, วิญฺญาเปยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ วินา อญฺญาปเทเสนาติ ‘‘โย เต วิหาเร วสติ, โส ภิกฺขุ ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี’’ติอาทินา (ปารา. ๒๒๐) นเยน อญฺญาปเทสํ วินาติ อโตฺถฯ อิเธวาติ ‘‘อิติ ชานามิ, อิติ ปสฺสามี’’ติ อิมสฺมิํเยว ปเทฯ ‘‘เตน วุตฺต’’นฺติอาทิ นิคมนํฯ

    Kiñcāpi lokiyalokuttarā sabbāva paññā ‘‘ñāṇa’’nti vuccati, idha pana mahaggatalokuttarāva veditabbāti āha ‘‘mahaggatalokuttarapaññā jānanaṭṭhena ñāṇa’’nti. Kilesehi ārakattā parisuddhaṭṭhena ariyanti āha ‘‘ariyaṃ visuddhaṃ uttama’’nti. Ariyasaddo cettha visuddhapariyāyo, na lokuttarapariyāyo. Jhānādibhedeti ādisaddena ‘‘vimokkho, samādhi, samāpatti, ñāṇadassanaṃ, maggabhāvanā, phalasacchikiriyā, kilesappahānaṃ, vinīvaraṇatā cittassa, suññāgāre abhiratī’’ti (pārā. 198) ime saṅgaṇhāti. Viññussa manussajātikassāti ārocetabbapuggalanidassanaṃ. Etassa hi ārocite ārocitaṃ hoti, na devabrahmānaṃ, nāpi petayakkhatiracchānagatānanti. Āroceyyāti vadeyya, viññāpeyyāti vuttaṃ hoti. Vinā aññāpadesenāti ‘‘yo te vihāre vasati, so bhikkhu paṭhamassa jhānassa lābhī’’tiādinā (pārā. 220) nayena aññāpadesaṃ vināti attho. Idhevāti ‘‘iti jānāmi, iti passāmī’’ti imasmiṃyeva pade. ‘‘Tena vutta’’ntiādi nigamanaṃ.

    สมนุคฺคาหียมาโนติ โจทิยมาโน, ยํ วตฺถุ อาโรจิตํ โหติ, ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ‘‘กิํ เต อธิคตํ, กินฺติ เต อธิคตํ, กทา เต อธิคตํ, กตฺถ เต อธิคตํ, กตเม เต กิเลสา ปหีนา, กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภี’ติ เกนจิ วุจฺจมาโน’’ติ วุตฺตํ โหติฯ อสมนุคฺคาหียมาโนติ น เกนจิ วุจฺจมาโนฯ

    Samanuggāhīyamānoti codiyamāno, yaṃ vatthu ārocitaṃ hoti, tasmiṃ vatthusmiṃ ‘‘kiṃ te adhigataṃ, kinti te adhigataṃ, kadā te adhigataṃ, kattha te adhigataṃ, katame te kilesā pahīnā, katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhī’ti kenaci vuccamāno’’ti vuttaṃ hoti. Asamanuggāhīyamānoti na kenaci vuccamāno.

    ‘‘ภิกฺขุภาเว ฐตฺวา อภโพฺพ ฌานาทีนิ อธิคนฺตุ’’นฺติ สิกฺขาปทาติกฺกมสฺส อนฺตรายกรตฺตา วุตฺตํฯ ภิกฺขุภาโว หิสฺส สคฺคนฺตราโย เจว โหติ มคฺคนฺตราโย จ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๙๘)ฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘สามญฺญํ ทุปฺปรามฎฺฐํ, นิรยายุปกฑฺฒตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๘๙; ธ. ป. ๓๑๑)ฯ อปรมฺปิ วุตฺตํ ‘‘สิถิโล หิ ปริพฺพาโช, ภิโยฺย อากิรเต รช’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๘๙; ธ. ป. ๓๑๓)ฯ ภิกฺขุภาโวติ ปาราชิกํ อาปชฺชิตฺวา ‘‘สมโณ อห’’นฺติ ปฎิชานนโต โวหารมตฺตสิโทฺธ ภิกฺขุภาโวฯ ทานาทีหีติ ทานสรณสีลสํวราทีหิฯ

    ‘‘Bhikkhubhāve ṭhatvā abhabbo jhānādīni adhigantu’’nti sikkhāpadātikkamassa antarāyakarattā vuttaṃ. Bhikkhubhāvo hissa saggantarāyo ceva hoti maggantarāyo ca (pārā. aṭṭha. 2.198). Vuttañhetaṃ ‘‘sāmaññaṃ dupparāmaṭṭhaṃ, nirayāyupakaḍḍhatī’’ti (saṃ. ni. 1.89; dha. pa. 311). Aparampi vuttaṃ ‘‘sithilo hi paribbājo, bhiyyo ākirate raja’’nti (saṃ. ni. 1.89; dha. pa. 313). Bhikkhubhāvoti pārājikaṃ āpajjitvā ‘‘samaṇo aha’’nti paṭijānanato vohāramattasiddho bhikkhubhāvo. Dānādīhīti dānasaraṇasīlasaṃvarādīhi.

    อชานเมวาติ เอตฺถ เอวาติ อวธารณเตฺถ นิปาโตฯ ‘‘อชานเมว’’นฺติปิ ปฐนฺติฯ ตตฺถ ปน ‘‘เอวํ ชานามิ, เอวํ ปสฺสามี’’ติ อวจนฺติ โยเชตพฺพํฯ วจนตฺถวิรหโตติ ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชิ’’นฺติ อาทิวจนสฺส (ปารา. ๒๐๙) อตฺถภูเตน ฌานาทินา วชฺชิตตฺตา ตุจฺฉํ อุทกาทิสุญฺญํ ภาชนํ วิยฯ มุสาติ วิสํวาทนปุเรกฺขารสฺส ปรวิสํวาทโก วจีปโยโค, กายปโยโค วาฯ เตนาห ‘‘วญฺจนาธิปฺปายโต มุสา’’ติฯ มุสา จ วญฺจนาธิปฺปาโย จ ปุพฺพภาคกฺขเณ, ตงฺขเณ จฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ปุเพฺพ วาสฺส โหติ ‘มุสา ภณิสฺส’นฺติ, ภณนฺตสฺส โหติ ‘มุสา ภณามี’’’ติ (ปารา. ๒๐๐)ฯ เอตญฺหิ ทฺวยํ องฺคภูตํ, อิตรํ ปน โหตุ วา, มา วา, อการณเมตํฯ อภณินฺติ วิญฺญาปนํ อกาสิํฯ

    Ajānamevāti ettha evāti avadhāraṇatthe nipāto. ‘‘Ajānameva’’ntipi paṭhanti. Tattha pana ‘‘evaṃ jānāmi, evaṃ passāmī’’ti avacanti yojetabbaṃ. Vacanatthavirahatoti ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajji’’nti ādivacanassa (pārā. 209) atthabhūtena jhānādinā vajjitattā tucchaṃ udakādisuññaṃ bhājanaṃ viya. Musāti visaṃvādanapurekkhārassa paravisaṃvādako vacīpayogo, kāyapayogo vā. Tenāha ‘‘vañcanādhippāyato musā’’ti. Musā ca vañcanādhippāyo ca pubbabhāgakkhaṇe, taṅkhaṇe ca. Vuttañhi ‘‘pubbe vāssa hoti ‘musā bhaṇissa’nti, bhaṇantassa hoti ‘musā bhaṇāmī’’’ti (pārā. 200). Etañhi dvayaṃ aṅgabhūtaṃ, itaraṃ pana hotu vā, mā vā, akāraṇametaṃ. Abhaṇinti viññāpanaṃ akāsiṃ.

    อญฺญตฺร อธิมานาติ อธิคโต มาโน, อธิโก วา มาโน อธิมาโน, ถทฺธมาโนติ อโตฺถ, ตํ วินาติ อโตฺถฯ กสฺส ปนายํ อธิมาโน อุปฺปชฺชติ, กสฺส นุปฺปชฺชติ? อริยสาวกสฺส ตาว นุปฺปชฺชติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๙๖)ฯ โส หิ มคฺคผลนิพฺพานปหีนกิเลสาวสิฎฺฐกิเลสปจฺจเวกฺขเณน สญฺชาตโสมนโสฺส อริยคุณปฺปฎิเวเธ นิกฺกโงฺข, ตสฺมา โสตาปนฺนาทีนํ ‘‘อหํ สกทาคามี’’ติอาทิวเสน มาโน นุปฺปชฺชติฯ ทุสฺสีลสฺส นุปฺปชฺชติฯ โส หิ อริยคุณาธิคเม นิราโสวฯ สีลวโตปิ ปริจฺจตฺตกมฺมฎฺฐานสฺส นิทฺทารามตาทิมนุยุตฺตสฺส นุปฺปชฺชติ, สุปริสุทฺธสีลสฺส ปน กมฺมฎฺฐาเน อปฺปมตฺตสฺส นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา ปจฺจยปริคฺคเหน วิติณฺณกงฺขสฺส ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา สงฺขาเร สมฺมสนฺตสฺส อารทฺธวิปสฺสกสฺส อุปฺปชฺชติฯ เตนาห ‘‘ยฺวาย’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวาติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๑๙๖) กลาปสมฺมสนวเสน อนิจฺจาทิลกฺขณตฺตยํ อาโรเปตฺวาฯ สมฺมสนฺตสฺสาติ วิปสฺสนฺตสฺสฯ อารทฺธวิปสฺสกสฺสาติ อุทยพฺพยานุปสฺสนาย อารทฺธวิปสฺสกสฺสฯ อปเตฺตติ อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปตฺติวเสน อปเตฺต, อนธิคเตติ วุตฺตํ โหติฯ ปตฺตสญฺญิตาสงฺขาโตติ ‘‘ปโตฺต มยา อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม’’ติ เอวํสญฺญิตาสงฺขาโต อธิมาโน อุปฺปชฺชติฯ อุปฺปโนฺน จ สุทฺธสมถลาภิํ วา สุทฺธวิปสฺสนาลาภิํ วา อนฺตรา ฐเปติฯ โส หิ ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ วสฺสานิ กิเลสสมุทาจารํ อปสฺสโนฺต ‘‘อหํ โสตาปโนฺน’’ติ วา ‘‘สกทาคามี’’ติ วา ‘‘อนาคามี’’ติ วา มญฺญติฯ สมถวิปสฺสนาลาภิํ ปน อรหเตฺตเยว ฐเปติฯ ตสฺส หิ สมาธิพเลน กิเลสา วิกฺขมฺภิตา, วิปสฺสนาพเลน สงฺขารา สุปริคฺคหิตา, ตสฺมา สฎฺฐิมฺปิ วสฺสานิ, อสีติมฺปิ วสฺสานิ, วสฺสสตมฺปิ กิเลสา น สมุทาจรนฺติ, ขีณาสวเสฺสว จิตฺตาจาโร โหติฯ โส เอวํ ทีฆรตฺตํ กิเลสสมุทาจารํ อปสฺสโนฺต อนฺตรา อฎฺฐตฺวาว ‘‘อรหา อห’’นฺติ มญฺญตีติฯ ‘‘ตํ อธิมานํ ฐเปตฺวา’’ติ อิมินา ‘‘อญฺญตฺรา’’ติ ปทํ อเปกฺขิตฺวา ‘‘อธิมานา’’ติ อุปโยคเตฺถ นิสฺสกฺกวจนนฺติ ทเสฺสติฯ

    Aññatra adhimānāti adhigato māno, adhiko vā māno adhimāno, thaddhamānoti attho, taṃ vināti attho. Kassa panāyaṃ adhimāno uppajjati, kassa nuppajjati? Ariyasāvakassa tāva nuppajjati (pārā. aṭṭha. 2.196). So hi maggaphalanibbānapahīnakilesāvasiṭṭhakilesapaccavekkhaṇena sañjātasomanasso ariyaguṇappaṭivedhe nikkaṅkho, tasmā sotāpannādīnaṃ ‘‘ahaṃ sakadāgāmī’’tiādivasena māno nuppajjati. Dussīlassa nuppajjati. So hi ariyaguṇādhigame nirāsova. Sīlavatopi pariccattakammaṭṭhānassa niddārāmatādimanuyuttassa nuppajjati, suparisuddhasīlassa pana kammaṭṭhāne appamattassa nāmarūpaṃ vavatthapetvā paccayapariggahena vitiṇṇakaṅkhassa tilakkhaṇaṃ āropetvā saṅkhāre sammasantassa āraddhavipassakassa uppajjati. Tenāha ‘‘yvāya’’ntiādi. Tattha tilakkhaṇaṃ āropetvāti (sārattha. ṭī. 2.196) kalāpasammasanavasena aniccādilakkhaṇattayaṃ āropetvā. Sammasantassāti vipassantassa. Āraddhavipassakassāti udayabbayānupassanāya āraddhavipassakassa. Apatteti attano santāne uppattivasena apatte, anadhigateti vuttaṃ hoti. Pattasaññitāsaṅkhātoti ‘‘patto mayā uttarimanussadhammo’’ti evaṃsaññitāsaṅkhāto adhimāno uppajjati. Uppanno ca suddhasamathalābhiṃ vā suddhavipassanālābhiṃ vā antarā ṭhapeti. So hi dasapi vīsampi tiṃsampi vassāni kilesasamudācāraṃ apassanto ‘‘ahaṃ sotāpanno’’ti vā ‘‘sakadāgāmī’’ti vā ‘‘anāgāmī’’ti vā maññati. Samathavipassanālābhiṃ pana arahatteyeva ṭhapeti. Tassa hi samādhibalena kilesā vikkhambhitā, vipassanābalena saṅkhārā supariggahitā, tasmā saṭṭhimpi vassāni, asītimpi vassāni, vassasatampi kilesā na samudācaranti, khīṇāsavasseva cittācāro hoti. So evaṃ dīgharattaṃ kilesasamudācāraṃ apassanto antarā aṭṭhatvāva ‘‘arahā aha’’nti maññatīti. ‘‘Taṃ adhimānaṃ ṭhapetvā’’ti iminā ‘‘aññatrā’’ti padaṃ apekkhitvā ‘‘adhimānā’’ti upayogatthe nissakkavacananti dasseti.

    ปาปิจฺฉตายาติ ปาปา อิจฺฉา เอตสฺสาติ ปาปิโจฺฉ, ตสฺส ภาโว ปาปิจฺฉตา, ตาย, ปาปิกาย อิจฺฉายาติ อโตฺถฯ ยา สา ‘‘อิเธกโจฺจ ทุสฺสีโลว สมาโน ‘สีลวา’ติ มํ ชโน ชานาตู’’ติอาทินา (วิภ. ๘๕๑) นเยน วุตฺตา, ตาย อสนฺตคุณสมฺภาวนิจฺฉายาติ วุตฺตํ โหติฯ อิมินา ปน มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา สมุทาจรนฺตสฺส อนาปตฺตีติ ทเสฺสติฯ อยมฺปีติ ปิ-สเทฺทน น เกวลํ ปุริมา ตโยวาติ ทเสฺสติฯ

    Pāpicchatāyāti pāpā icchā etassāti pāpiccho, tassa bhāvo pāpicchatā, tāya, pāpikāya icchāyāti attho. Yā sā ‘‘idhekacco dussīlova samāno ‘sīlavā’ti maṃ jano jānātū’’tiādinā (vibha. 851) nayena vuttā, tāya asantaguṇasambhāvanicchāyāti vuttaṃ hoti. Iminā pana mandattā momūhattā samudācarantassa anāpattīti dasseti. Ayampīti pi-saddena na kevalaṃ purimā tayovāti dasseti.

    อสนฺตนฺติ อภูตํฯ ฌานาทิธมฺมนฺติ ฌานํ, วิโมโกฺข, สมาธิ, สมาปตฺติ, ญาณทสฺสนํ, มคฺคภาวนา, ผลสจฺฉิกิริยา, กิเลสปฺปหานํ, วินีวรณตา จิตฺตสฺส, สุญฺญาคาเร อภิรตี’’ติ (ปารา. ๑๙๘) เอวํ วุตฺตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํฯ ยสฺส อาโรเจตีติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๑๕) วาจาย วา หตฺถวิการาทีหิ วา องฺคปจฺจงฺคโจปเนหิ วิญฺญตฺติปเถ ฐิตสฺส ยสฺส ปุคฺคลสฺส อาโรเจติฯ วิญฺญตฺติปถํ ปน อติกฺกมิตฺวา ฐิโต โกจิ เจ ทิเพฺพน จกฺขุนา (สารตฺถ. ฎี. ๒.๒๑๕), ทิพฺพาย จ โสตธาตุยา ทิสฺวา จ สุตฺวา จ ชานาติ, น ปาราชิกํฯ โยปิ ‘‘กิํ อยํ ภณตี’’ติ สํสยํ วา อาปชฺชติ, จิรํ วีมํสิตฺวา วา ปจฺฉา ชานาติ, ‘‘อวิชานโนฺต’’อิเจฺจว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ โย ปน ฌานาทีนิ อตฺตโน อธิคมวเสน วา อุคฺคหปริปุจฺฉาทิวเสน วา น ชานาติ, เกวลํ ‘‘ฌาน’’นฺติ วา ‘‘วิโมโกฺข’’ติ วา วจนมตฺตเมว สุตํ โหติ, โสปิ เตน วุเตฺต ‘‘ฌานํ กิร สมาปชฺชี’’ติ เอส วทตีติ ยทิ เอตฺตกมตฺตมฺปิ ชานาติ, ‘‘ชานาติ’’เจฺจว สงฺขฺยํ คจฺฉติ, ตสฺส วุเตฺต ปาราชิกเมวฯ เสโส ปน เอกสฺส วา ทฺวินฺนํ วา พหูนํ วา นิยมิตานิยมิตวเสน วิเสโส สโพฺพ สิกฺขาปจฺจกฺขานกถายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ ปริยายภาสเน ปน ‘‘อห’’นฺติ อวุตฺตตฺตา ปฎิวิชานนฺตสฺส วุเตฺตปิ ถุลฺลจฺจยํฯ วิสํวาทนาธิปฺปาเยน มุสาวาทปโยคสฺส กตตฺตา อปฺปฎิวิชานนฺตสฺสาปิ ทุกฺกฎนฺติ อาห ‘‘โย เต วิหาเร วสติ…เป.… ทุกฺกฎ’’นฺติฯ อนุลฺลปนาธิปฺปายสฺสาติ อุลฺลปนาธิปฺปายวิรหิตสฺส, อภูตาโรจนาธิปฺปายวิรหิตสฺสาติ อโตฺถฯ อุมฺมตฺตกาทโย ปุเพฺพ วุตฺตนยา เอวฯ อิธ ปน อาทิกมฺมิกา วคฺคุมุทาตีริยภิกฺขู, เตสํ อนาปตฺติฯ

    Asantanti abhūtaṃ. Jhānādidhammanti jhānaṃ, vimokkho, samādhi, samāpatti, ñāṇadassanaṃ, maggabhāvanā, phalasacchikiriyā, kilesappahānaṃ, vinīvaraṇatā cittassa, suññāgāre abhiratī’’ti (pārā. 198) evaṃ vuttaṃ uttarimanussadhammaṃ. Yassa ārocetīti (pārā. aṭṭha. 2.215) vācāya vā hatthavikārādīhi vā aṅgapaccaṅgacopanehi viññattipathe ṭhitassa yassa puggalassa āroceti. Viññattipathaṃ pana atikkamitvā ṭhito koci ce dibbena cakkhunā (sārattha. ṭī. 2.215), dibbāya ca sotadhātuyā disvā ca sutvā ca jānāti, na pārājikaṃ. Yopi ‘‘kiṃ ayaṃ bhaṇatī’’ti saṃsayaṃ vā āpajjati, ciraṃ vīmaṃsitvā vā pacchā jānāti, ‘‘avijānanto’’icceva saṅkhyaṃ gacchati. Yo pana jhānādīni attano adhigamavasena vā uggahaparipucchādivasena vā na jānāti, kevalaṃ ‘‘jhāna’’nti vā ‘‘vimokkho’’ti vā vacanamattameva sutaṃ hoti, sopi tena vutte ‘‘jhānaṃ kira samāpajjī’’ti esa vadatīti yadi ettakamattampi jānāti, ‘‘jānāti’’cceva saṅkhyaṃ gacchati, tassa vutte pārājikameva. Seso pana ekassa vā dvinnaṃ vā bahūnaṃ vā niyamitāniyamitavasena viseso sabbo sikkhāpaccakkhānakathāyaṃ vuttanayeneva veditabbo. Pariyāyabhāsane pana ‘‘aha’’nti avuttattā paṭivijānantassa vuttepi thullaccayaṃ. Visaṃvādanādhippāyena musāvādapayogassa katattā appaṭivijānantassāpi dukkaṭanti āha ‘‘yo te vihāre vasati…pe… dukkaṭa’’nti. Anullapanādhippāyassāti ullapanādhippāyavirahitassa, abhūtārocanādhippāyavirahitassāti attho. Ummattakādayo pubbe vuttanayā eva. Idha pana ādikammikā vaggumudātīriyabhikkhū, tesaṃ anāpatti.

    จตุตฺถปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Catutthapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact