Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๒๒] ๖. เจติยชาตกวณฺณนา
[422] 6. Cetiyajātakavaṇṇanā
ธโมฺม หเว หโต หนฺตีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตสฺส ปถวิปเวสนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺมิญฺหิ ทิวเส ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต มุสาวาทํ กตฺวา ปถวิํ ปวิโฎฺฐ อวีจิปรายโณ ชาโต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ปถวิํ ปวิโฎฺฐเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Dhammo have hato hantīti idaṃ satthā jetavane viharanto devadattassa pathavipavesanaṃ ārabbha kathesi. Tasmiñhi divase bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, devadatto musāvādaṃ katvā pathaviṃ paviṭṭho avīciparāyaṇo jāto’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi pathaviṃ paviṭṭhoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต ปฐมกเปฺป มหาสมฺมโต นาม ราชา อสเงฺขฺยยฺยายุโก อโหสิฯ ตสฺส ปุโตฺต โรโช นาม, ตสฺส ปุโตฺต วรโรโช นาม, ตสฺส ปุโตฺต กลฺยาโณ นาม, กลฺยาณสฺส ปุโตฺต วรกลฺยาโณ นาม, วรกลฺยาณสฺส ปุโตฺต อุโปสโถ นาม, อุโปสถสฺส ปุโตฺต วรอุโปสโถ นาม, วรอุโปสถสฺส ปุโตฺต มนฺธาตา นาม, มนฺธาตุสฺส ปุโตฺต วรมนฺธาตา นาม, วรมนฺธาตุสฺส ปุโตฺต วโร นาม, วรสฺส ปุโตฺต อุปวโร นาม อโหสิ, อุปริวโรติปิ ตเสฺสว นามํฯ โส เจติยรเฎฺฐ โสตฺถิยนคเร รชฺชํ กาเรสิ, จตูหิ ราชิทฺธีหิ สมนฺนาคโต อโหสิ อุปริจโร อากาสคามี, จตฺตาโร นํ เทวปุตฺตา จตูสุ ทิสาสุ ขคฺคหตฺถา รกฺขนฺติ, กายโต จนฺทนคโนฺธ วายติ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธฯ ตสฺส กปิโล นาม พฺราหฺมโณ ปุโรหิโต อโหสิฯ กปิลพฺราหฺมณสฺส ปน กนิโฎฺฐ โกรกลโมฺพ นาม รญฺญา สทฺธิํ เอกาจริยกุเล อุคฺคหิตสิโปฺป พาลสหาโยฯ โส ตสฺส กุมารกาเลเยว ‘‘อหํ รชฺชํ ปตฺวา ตุยฺหํ ปุโรหิตฎฺฐานํ ทสฺสามี’’ติ ปฎิชานิฯ โส รชฺชํ ปตฺวา ปิตุ ปุโรหิตํ กปิลพฺราหฺมณํ ปุโรหิตฎฺฐานโต จาเวตุํ นาสกฺขิฯ ปุโรหิเต ปน อตฺตโน อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉเนฺต ตสฺมิํ คารเวน อปจิตาการํ ทเสฺสสิฯ พฺราหฺมโณ ตํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘รชฺชํ นาม สมวเยหิ สทฺธิํ สุปริหารํ โหติ, อหํ ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘เทว, อหํ มหลฺลโก, เคเห กุมารโก อตฺถิ, ตํ ปุโรหิตํ กโรหิ, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ ราชานํ อนุชานาเปตฺวา ปุตฺตํ ปุโรหิตฎฺฐาเน ฐปาเปตฺวา ราชุยฺยานํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา ปุตฺตํ นิสฺสาย ตเตฺถว วาสํ กเปฺปสิฯ
Atīte paṭhamakappe mahāsammato nāma rājā asaṅkhyeyyāyuko ahosi. Tassa putto rojo nāma, tassa putto vararojo nāma, tassa putto kalyāṇo nāma, kalyāṇassa putto varakalyāṇo nāma, varakalyāṇassa putto uposatho nāma, uposathassa putto varauposatho nāma, varauposathassa putto mandhātā nāma, mandhātussa putto varamandhātā nāma, varamandhātussa putto varo nāma, varassa putto upavaro nāma ahosi, uparivarotipi tasseva nāmaṃ. So cetiyaraṭṭhe sotthiyanagare rajjaṃ kāresi, catūhi rājiddhīhi samannāgato ahosi uparicaro ākāsagāmī, cattāro naṃ devaputtā catūsu disāsu khaggahatthā rakkhanti, kāyato candanagandho vāyati, mukhato uppalagandho. Tassa kapilo nāma brāhmaṇo purohito ahosi. Kapilabrāhmaṇassa pana kaniṭṭho korakalambo nāma raññā saddhiṃ ekācariyakule uggahitasippo bālasahāyo. So tassa kumārakāleyeva ‘‘ahaṃ rajjaṃ patvā tuyhaṃ purohitaṭṭhānaṃ dassāmī’’ti paṭijāni. So rajjaṃ patvā pitu purohitaṃ kapilabrāhmaṇaṃ purohitaṭṭhānato cāvetuṃ nāsakkhi. Purohite pana attano upaṭṭhānaṃ āgacchante tasmiṃ gāravena apacitākāraṃ dassesi. Brāhmaṇo taṃ sallakkhetvā ‘‘rajjaṃ nāma samavayehi saddhiṃ suparihāraṃ hoti, ahaṃ rājānaṃ āpucchitvā pabbajissāmī’’ti cintetvā ‘‘deva, ahaṃ mahallako, gehe kumārako atthi, taṃ purohitaṃ karohi, ahaṃ pabbajissāmī’’ti rājānaṃ anujānāpetvā puttaṃ purohitaṭṭhāne ṭhapāpetvā rājuyyānaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññāyo nibbattetvā puttaṃ nissāya tattheva vāsaṃ kappesi.
โกรกลโมฺพ ‘‘อยํ ปพฺพชโนฺตปิ น มยฺหํ ฐานนฺตรํ ทาเปสี’’ติ ภาตริ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา เอกทิวสํ สุขกถาย นิสินฺนสมเย รญฺญา ‘‘โกรกลมฺพ กิํ ตฺวํ ปุโรหิตฎฺฐานํ น กโรสี’’ติ วุเตฺต ‘‘อาม, เทว, น กโรมิ, ภาตา เม กโรตี’’ติ อาหฯ ‘‘นนุ เต ภาตา ปพฺพชิโต’’ติ? ‘‘อาม ปพฺพชิโต, ฐานนฺตรํ ปน ปุตฺตสฺส ทาเปสี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ตฺวํ กโรหี’’ติ? ‘‘เทว, ปเวณิยา อาคตํ ฐานนฺตรํ มม ภาตรํ อปเนตฺวา น สกฺกา มยา กาตุ’’นฺติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต อหํ ตํ มหลฺลกํ กตฺวา ภาตรํ เต กนิฎฺฐํ กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘กถํ, เทวา’’ติ? ‘‘มุสาวาทํ กตฺวา’’ติฯ ‘‘กิํ เทว, น ชานาถ, ยทา มม ภาตา มหเนฺตน อพฺภุตธเมฺมน สมนฺนาคโต วิชฺชาธโร, โส อพฺภุตธเมฺมน ตุเมฺห วเญฺจสฺสติ, จตฺตาโร เทวปุเตฺต อนฺตรหิเต วิย กริสฺสติ, กายโต จ มุขโต จ สุคนฺธํ ทุคฺคนฺธํ วิย กริสฺสติ, ตุเมฺห อากาสา โอตาเรตฺวา ภูมิยํ ฐิเต วิย กริสฺสติ, ตุเมฺห ปถวิํ ปวิสนฺตา วิย ภวิสฺสถ, ตทา ตุมฺหากํ กถาย ปติฎฺฐาตุํ น สกฺขิสฺสถา’’ติฯ ‘‘ตฺวํ เอวํ สญฺญํ มา กริ, อหํ กาตุํ สกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘กทา กริสฺสถ, เทวา’’ติ? ‘‘อิโต สตฺตเม ทิวเส’’ติฯ สา กถา สกลนคเร ปากฎา อโหสิฯ ‘‘ราชา กิร มุสาวาทํ กตฺวา มหลฺลกํ ขุทฺทกํ, ขุทฺทกํ มหลฺลกํ กริสฺสติ, ฐานนฺตรํ ขุทฺทกสฺส ทาเปสฺสติ, กีทิโส นุ โข มุสาวาโท นาม, กิํ นีลโก, อุทาหุ ปีตกาทีสุ อญฺญตรวโณฺณ’’ติ เอวํ มหาชนสฺส วิตโกฺก อุทปาทิ ฯ ตทา กิร โลกสฺส สจฺจวาทีกาโล, ‘‘มุสาวาโท นาม เอวรูโป’’ติ น ชานนฺติฯ
Korakalambo ‘‘ayaṃ pabbajantopi na mayhaṃ ṭhānantaraṃ dāpesī’’ti bhātari āghātaṃ bandhitvā ekadivasaṃ sukhakathāya nisinnasamaye raññā ‘‘korakalamba kiṃ tvaṃ purohitaṭṭhānaṃ na karosī’’ti vutte ‘‘āma, deva, na karomi, bhātā me karotī’’ti āha. ‘‘Nanu te bhātā pabbajito’’ti? ‘‘Āma pabbajito, ṭhānantaraṃ pana puttassa dāpesī’’ti. ‘‘Tena hi tvaṃ karohī’’ti? ‘‘Deva, paveṇiyā āgataṃ ṭhānantaraṃ mama bhātaraṃ apanetvā na sakkā mayā kātu’’nti. ‘‘Evaṃ sante ahaṃ taṃ mahallakaṃ katvā bhātaraṃ te kaniṭṭhaṃ karissāmī’’ti. ‘‘Kathaṃ, devā’’ti? ‘‘Musāvādaṃ katvā’’ti. ‘‘Kiṃ deva, na jānātha, yadā mama bhātā mahantena abbhutadhammena samannāgato vijjādharo, so abbhutadhammena tumhe vañcessati, cattāro devaputte antarahite viya karissati, kāyato ca mukhato ca sugandhaṃ duggandhaṃ viya karissati, tumhe ākāsā otāretvā bhūmiyaṃ ṭhite viya karissati, tumhe pathaviṃ pavisantā viya bhavissatha, tadā tumhākaṃ kathāya patiṭṭhātuṃ na sakkhissathā’’ti. ‘‘Tvaṃ evaṃ saññaṃ mā kari, ahaṃ kātuṃ sakkhissāmī’’ti. ‘‘Kadā karissatha, devā’’ti? ‘‘Ito sattame divase’’ti. Sā kathā sakalanagare pākaṭā ahosi. ‘‘Rājā kira musāvādaṃ katvā mahallakaṃ khuddakaṃ, khuddakaṃ mahallakaṃ karissati, ṭhānantaraṃ khuddakassa dāpessati, kīdiso nu kho musāvādo nāma, kiṃ nīlako, udāhu pītakādīsu aññataravaṇṇo’’ti evaṃ mahājanassa vitakko udapādi . Tadā kira lokassa saccavādīkālo, ‘‘musāvādo nāma evarūpo’’ti na jānanti.
ปุโรหิตปุโตฺตปิ ตํ กถํ สุตฺวา ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา กเถสิ ‘‘ตาต, ราชา กิร มุสาวาทํ กตฺวา ตุเมฺห ขุทฺทเก กตฺวา อมฺหากํ ฐานนฺตรํ มม จูฬปิตุสฺส ทสฺสตี’’ติฯ ‘‘ตาต, ราชา มุสาวาทํ กตฺวาปิ อมฺหากํ ฐานนฺตรํ หริตุํ น สกฺขิสฺสติฯ กตรทิวเส ปน กริสฺสตี’’ติ? ‘‘อิโต กิร สตฺตเม ทิวเส’’ติฯ ‘‘เตน หิ ตทา มยฺหํ อาโรเจยฺยาสี’’ติฯ สตฺตเม ทิวเส มหาชนา ‘‘มุสาวาทํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ ราชงฺคเณ สนฺนิปติตฺวา มญฺจาติมเญฺจ พนฺธิตฺวา อฎฺฐํสุฯ กุมาโร คนฺตฺวา ปิตุ อาโรเจสิฯ ราชา อลงฺกตปฎิยโตฺต นิกฺขมฺม มหาชนมเชฺฌ ราชงฺคเณ อากาเส อฎฺฐาสิฯ ตาปโส อากาเสนาคนฺตฺวา รโญฺญ ปุรโต นิสีทนจมฺมํ อตฺถริตฺวา อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ มหาราช, มุสาวาทํ กตฺวา ขุทฺทกํ มหลฺลกํ กตฺวา ตสฺส ฐานนฺตรํ ทาตุกาโมสี’’ติ? ‘‘อาม อาจริย, เอวํ เม กถิต’’นฺติฯ อถ นํ โส โอวทโนฺต ‘‘มหาราช, มุสาวาโท นาม ภาริโย คุณปริธํสโก จตูสุ อปาเยสุ นิพฺพตฺตาเปติฯ ราชา นาม มุสาวาทํ กโรโนฺต ธมฺมํ หนติ, โส ธมฺมํ หนิตฺวา สยเมว หญฺญตี’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Purohitaputtopi taṃ kathaṃ sutvā pitu santikaṃ gantvā kathesi ‘‘tāta, rājā kira musāvādaṃ katvā tumhe khuddake katvā amhākaṃ ṭhānantaraṃ mama cūḷapitussa dassatī’’ti. ‘‘Tāta, rājā musāvādaṃ katvāpi amhākaṃ ṭhānantaraṃ harituṃ na sakkhissati. Kataradivase pana karissatī’’ti? ‘‘Ito kira sattame divase’’ti. ‘‘Tena hi tadā mayhaṃ āroceyyāsī’’ti. Sattame divase mahājanā ‘‘musāvādaṃ passissāmā’’ti rājaṅgaṇe sannipatitvā mañcātimañce bandhitvā aṭṭhaṃsu. Kumāro gantvā pitu ārocesi. Rājā alaṅkatapaṭiyatto nikkhamma mahājanamajjhe rājaṅgaṇe ākāse aṭṭhāsi. Tāpaso ākāsenāgantvā rañño purato nisīdanacammaṃ attharitvā ākāse pallaṅkena nisīditvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ mahārāja, musāvādaṃ katvā khuddakaṃ mahallakaṃ katvā tassa ṭhānantaraṃ dātukāmosī’’ti? ‘‘Āma ācariya, evaṃ me kathita’’nti. Atha naṃ so ovadanto ‘‘mahārāja, musāvādo nāma bhāriyo guṇaparidhaṃsako catūsu apāyesu nibbattāpeti. Rājā nāma musāvādaṃ karonto dhammaṃ hanati, so dhammaṃ hanitvā sayameva haññatī’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๔๕.
45.
‘‘ธโมฺม หเว หโต หนฺติ, นาหโต หนฺติ กิญฺจนํ;
‘‘Dhammo have hato hanti, nāhato hanti kiñcanaṃ;
ตสฺมา หิ ธมฺมํ น หเน, มา ตฺวํ ธโมฺม หโต หนี’’ติฯ
Tasmā hi dhammaṃ na hane, mā tvaṃ dhammo hato hanī’’ti.
ตตฺถ ธโมฺมติ เชฎฺฐาปจายนธโมฺม อิธาธิเปฺปโตฯ
Tattha dhammoti jeṭṭhāpacāyanadhammo idhādhippeto.
อถ นํ อุตฺตริปิ โอวทโนฺต ‘‘สเจ, มหาราช, มุสาวาทํ กริสฺสสิ, จตโสฺส อิทฺธิโย อนฺตรธายิสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Atha naṃ uttaripi ovadanto ‘‘sace, mahārāja, musāvādaṃ karissasi, catasso iddhiyo antaradhāyissantī’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –
๔๖.
46.
‘‘อลิกํ ภาสมานสฺส, อปกฺกมนฺติ เทวตา;
‘‘Alikaṃ bhāsamānassa, apakkamanti devatā;
ปูติกญฺจ มุขํ วาติ, สกฎฺฐานา จ ธํสติ;
Pūtikañca mukhaṃ vāti, sakaṭṭhānā ca dhaṃsati;
โย ชานํ ปุจฺฉิโต ปญฺหํ, อญฺญถา นํ วิยากเร’’ติฯ
Yo jānaṃ pucchito pañhaṃ, aññathā naṃ viyākare’’ti.
ตตฺถ อปกฺกมนฺติ เทวตาติ มหาราช, สเจ อลิกํ ภณิสฺสสิ, จตฺตาโร เทวปุตฺตา อารกฺขํ ฉเฑฺฑตฺวา อนฺตรธายิสฺสนฺตีติ อธิปฺปาเยเนตํ วทติฯ ปูติกญฺจ มุขํ วาตีติ มุขญฺจ เต กาโย จ อุโภ ปูติคนฺธํ วายิสฺสนฺตีติ สนฺธายาหฯ สกฎฺฐานา จ ธํสตีติ อากาสโต ภสฺสิตฺวา ปถวิํ ปวิสิสฺสสีติ ทีเปโนฺต เอวมาหฯ
Tattha apakkamanti devatāti mahārāja, sace alikaṃ bhaṇissasi, cattāro devaputtā ārakkhaṃ chaḍḍetvā antaradhāyissantīti adhippāyenetaṃ vadati. Pūtikañca mukhaṃ vātīti mukhañca te kāyo ca ubho pūtigandhaṃ vāyissantīti sandhāyāha. Sakaṭṭhānā ca dhaṃsatīti ākāsato bhassitvā pathaviṃ pavisissasīti dīpento evamāha.
ตํ สุตฺวา ราชา ภีโต โกรกลมฺพํ โอโลเกสิฯ อถ นํ โส ‘‘มา ภายิ, มหาราช, นนุ มยา ปฐมเมว ตุมฺหากํ เอตํ กถิต’’นฺติ อาหฯ ราชา กปิลสฺส วจนํ สุตฺวาปิ อนาทิยิตฺวา อตฺตนา กถิตเมว ปุรโต กโรโนฺต ‘‘ตฺวํสิ, ภเนฺต, กนิโฎฺฐ, โกรกลโมฺพ เชโฎฺฐ’’ติ อาหฯ อถสฺส สห มุสาวาเทน จตฺตาโร เทวปุตฺตา ‘‘ตาทิสสฺส มุสาวาทิโน อารกฺขํ น คณฺหิสฺสามา’’ติ ขเคฺค ปาทมูเล ฉเฑฺฑตฺวา อนฺตรธายิํสุ, มุขํ ภินฺนกุกฺกุฎณฺฑปูติ วิย, กาโย วิวฎวจฺจกุฎี วิย ทุคฺคนฺธํ วายิ, อากาสโต ภสฺสิตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐหิ, จตโสฺสปิ อิทฺธิโย ปริหายิํสุฯ อถ นํ มหาปุโรหิโต ‘‘มา ภายิ, มหาราช, สเจ สจฺจํ ภณิสฺสสิ, สพฺพํ เต ปากติกํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā bhīto korakalambaṃ olokesi. Atha naṃ so ‘‘mā bhāyi, mahārāja, nanu mayā paṭhamameva tumhākaṃ etaṃ kathita’’nti āha. Rājā kapilassa vacanaṃ sutvāpi anādiyitvā attanā kathitameva purato karonto ‘‘tvaṃsi, bhante, kaniṭṭho, korakalambo jeṭṭho’’ti āha. Athassa saha musāvādena cattāro devaputtā ‘‘tādisassa musāvādino ārakkhaṃ na gaṇhissāmā’’ti khagge pādamūle chaḍḍetvā antaradhāyiṃsu, mukhaṃ bhinnakukkuṭaṇḍapūti viya, kāyo vivaṭavaccakuṭī viya duggandhaṃ vāyi, ākāsato bhassitvā pathaviyaṃ patiṭṭhahi, catassopi iddhiyo parihāyiṃsu. Atha naṃ mahāpurohito ‘‘mā bhāyi, mahārāja, sace saccaṃ bhaṇissasi, sabbaṃ te pākatikaṃ karissāmī’’ti vatvā tatiyaṃ gāthamāha –
๔๗.
47.
‘‘สเจ หิ สจฺจํ ภณสิ, โหหิ ราช ยถา ปุเร;
‘‘Sace hi saccaṃ bhaṇasi, hohi rāja yathā pure;
มุสา เจ ภาสเส ราช, ภูมิยํ ติฎฺฐ เจติยา’’ติฯ
Musā ce bhāsase rāja, bhūmiyaṃ tiṭṭha cetiyā’’ti.
ตตฺถ ภูมิยํ ติฎฺฐาติ ภูมิยํเยว ปติฎฺฐ, ปุน อากาสํ ลงฺฆิตุํ น สกฺขิสฺสสีติ อโตฺถฯ
Tattha bhūmiyaṃ tiṭṭhāti bhūmiyaṃyeva patiṭṭha, puna ākāsaṃ laṅghituṃ na sakkhissasīti attho.
โส ‘‘ปสฺส, มหาราช, ปฐมํ มุสาวาเทเนว เต จตโสฺส อิทฺธิโย อนฺตรหิตา, สลฺลเกฺขหิ, อิทานิปิ สกฺกา ปากติกํ กาตุ’’นฺติ วุโตฺตปิ ‘‘เอวํ วตฺวา ตุเมฺห มํ วเญฺจตุกามา’’ติ ทุติยมฺปิ มุสาวาทํ ภณิตฺวา ยาว โคปฺผกา ปถวิํ ปาวิสิฯ อถ นํ ปุนปิ พฺราหฺมโณ ‘‘สลฺลเกฺขหิ, มหาราช, อิทานิปิ สกฺกา ปากติกํ กาตุ’’นฺติ วตฺวา จตุตฺถํ คาถมาห –
So ‘‘passa, mahārāja, paṭhamaṃ musāvādeneva te catasso iddhiyo antarahitā, sallakkhehi, idānipi sakkā pākatikaṃ kātu’’nti vuttopi ‘‘evaṃ vatvā tumhe maṃ vañcetukāmā’’ti dutiyampi musāvādaṃ bhaṇitvā yāva gopphakā pathaviṃ pāvisi. Atha naṃ punapi brāhmaṇo ‘‘sallakkhehi, mahārāja, idānipi sakkā pākatikaṃ kātu’’nti vatvā catutthaṃ gāthamāha –
๔๘.
48.
‘‘อกาเล วสฺสตี ตสฺส, กาเล ตสฺส น วสฺสติ;
‘‘Akāle vassatī tassa, kāle tassa na vassati;
โย ชานํ ปุจฺฉิโต ปญฺหํ, อญฺญถา นํ วิยากเร’’ติฯ
Yo jānaṃ pucchito pañhaṃ, aññathā naṃ viyākare’’ti.
ตตฺถ ตสฺสาติ โย ชานโนฺต ปุจฺฉิตํ ปญฺหํ มุสาวาทํ กตฺวา อญฺญถา พฺยากโรติ, ตสฺส รโญฺญ วิชิเต เทโว ยุตฺตกาเล อวสฺสิตฺวา อกาเล วสฺสตีติ อโตฺถฯ
Tattha tassāti yo jānanto pucchitaṃ pañhaṃ musāvādaṃ katvā aññathā byākaroti, tassa rañño vijite devo yuttakāle avassitvā akāle vassatīti attho.
อถ นํ ปุนปิ มุสาวาทผเลน ยาว ชงฺฆา ปถวิํ ปวิฎฺฐํ ‘‘สลฺลเกฺขหิ, มหาราชา’’ติ วตฺวา ปญฺจมํ คาถมาห –
Atha naṃ punapi musāvādaphalena yāva jaṅghā pathaviṃ paviṭṭhaṃ ‘‘sallakkhehi, mahārājā’’ti vatvā pañcamaṃ gāthamāha –
๔๙.
49.
‘‘สเจ หิ สจฺจํ ภณสิ, โหหิ ราช ยถา ปุเร;
‘‘Sace hi saccaṃ bhaṇasi, hohi rāja yathā pure;
มุสา เจ ภาสเส ราช, ภูมิํ ปวิส เจติยา’’ติฯ
Musā ce bhāsase rāja, bhūmiṃ pavisa cetiyā’’ti.
โส ตติยมฺปิ ‘‘ตฺวํสิ, ภเนฺต, กนิโฎฺฐ, เชโฎฺฐ โกรกลโมฺพ’’ติ มุสาวาทเมว กตฺวา ยาว ชาณุกา ปถวิํ ปาวิสิฯ อถ นํ ปุนปิ ‘‘สลฺลเกฺขหิ, มหาราชา’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –
So tatiyampi ‘‘tvaṃsi, bhante, kaniṭṭho, jeṭṭho korakalambo’’ti musāvādameva katvā yāva jāṇukā pathaviṃ pāvisi. Atha naṃ punapi ‘‘sallakkhehi, mahārājā’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –
๕๐.
50.
‘‘ชิวฺหา ตสฺส ทฺวิธา โหติ, อุรคเสฺสว ทิสมฺปติ;
‘‘Jivhā tassa dvidhā hoti, uragasseva disampati;
โย ชานํ ปุจฺฉิโต ปญฺหํ, อญฺญถา นํ วิยากเรฯ
Yo jānaṃ pucchito pañhaṃ, aññathā naṃ viyākare.
๕๑.
51.
‘‘สเจ หิ สจฺจํ ภณสิ, โหหิ ราช ยถา ปุเร;
‘‘Sace hi saccaṃ bhaṇasi, hohi rāja yathā pure;
มุสา เจ ภาสเส ราช, ภิโยฺย ปวิส เจติยา’’ติฯ
Musā ce bhāsase rāja, bhiyyo pavisa cetiyā’’ti.
อิมา เทฺว คาถา วตฺวา ‘‘อิทานิ สกฺกา ปากติกํ กาตุ’’นฺติ อาหฯ ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวาปิ อนาทิยิตฺวา ‘‘ตฺวํสิ, ภเนฺต, กนิโฎฺฐ, เชโฎฺฐ โกรกลโมฺพ’’ติ จตุตฺถมฺปิ มุสาวาทํ กตฺวา ยาว กฎิโต ปถวิํ ปาวิสิฯ อถ นํ พฺราหฺมโณ ‘‘สลฺลเกฺขหิ, มหาราชา’’ติ วตฺวา ปุน เทฺว คาถา อภาสิ –
Imā dve gāthā vatvā ‘‘idāni sakkā pākatikaṃ kātu’’nti āha. Rājā tassa vacanaṃ sutvāpi anādiyitvā ‘‘tvaṃsi, bhante, kaniṭṭho, jeṭṭho korakalambo’’ti catutthampi musāvādaṃ katvā yāva kaṭito pathaviṃ pāvisi. Atha naṃ brāhmaṇo ‘‘sallakkhehi, mahārājā’’ti vatvā puna dve gāthā abhāsi –
๕๒.
52.
‘‘ชิวฺหา ตสฺส น ภวติ, มจฺฉเสฺสว ทิสมฺปติ;
‘‘Jivhā tassa na bhavati, macchasseva disampati;
โย ชานํ ปุจฺฉิโต ปญฺหํ, อญฺญถา นํ วิยากเรฯ
Yo jānaṃ pucchito pañhaṃ, aññathā naṃ viyākare.
๕๓.
53.
‘‘สเจ หิ สจฺจํ ภณสิ, โหหิ ราช ยถา ปุเร;
‘‘Sace hi saccaṃ bhaṇasi, hohi rāja yathā pure;
มุสา เจ ภาสเส ราช, ภิโยฺย ปวิส เจติยา’’ติฯ
Musā ce bhāsase rāja, bhiyyo pavisa cetiyā’’ti.
ตตฺถ มจฺฉเสฺสวาติ นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน มุสาวาทิโน มจฺฉสฺส วิย กถนสมตฺถา ชิวฺหา น โหติ, มูโคว โหตีติ อโตฺถฯ
Tattha macchassevāti nibbattanibbattaṭṭhāne musāvādino macchassa viya kathanasamatthā jivhā na hoti, mūgova hotīti attho.
โส ปญฺจมมฺปิ ‘‘ตฺวํสิ กนิโฎฺฐ, เชโฎฺฐ โกรกลโมฺพ’’ติ มุสาวาทํ กตฺวา ยาว นาภิโต ปถวิํ ปาวิสิฯ อถ นํ พฺราหฺมโณ ปุนปิ ‘‘สลฺลเกฺขหิ, มหาราชา’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –
So pañcamampi ‘‘tvaṃsi kaniṭṭho, jeṭṭho korakalambo’’ti musāvādaṃ katvā yāva nābhito pathaviṃ pāvisi. Atha naṃ brāhmaṇo punapi ‘‘sallakkhehi, mahārājā’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –
๕๔.
54.
‘‘ถิโยว ตสฺส ชายนฺติ, น ปุมา ชายเร กุเล;
‘‘Thiyova tassa jāyanti, na pumā jāyare kule;
โย ชานํ ปุจฺฉิโต ปญฺหํ, อญฺญถา นํ วิยากเรฯ
Yo jānaṃ pucchito pañhaṃ, aññathā naṃ viyākare.
๕๕.
55.
‘‘สเจ หิ สจฺจํ ภณสิ, โหหิ ราช ยถา ปุเร;
‘‘Sace hi saccaṃ bhaṇasi, hohi rāja yathā pure;
มุสา เจ ภาสเส ราช, ภิโยฺย ปวิส เจติยา’’ติฯ
Musā ce bhāsase rāja, bhiyyo pavisa cetiyā’’ti.
ตตฺถ ถิโยวาติ นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน มุสาวาทิสฺส ธีตโรว ชายนฺติ, ปุตฺตา น ชายนฺตีติ อโตฺถฯ
Tattha thiyovāti nibbattanibbattaṭṭhāne musāvādissa dhītarova jāyanti, puttā na jāyantīti attho.
ราชา ตสฺส วจนํ อนาทิยิตฺวา ฉฎฺฐมฺปิ ตเถว มุสาวาทํ ภณิตฺวา ยาว ถนา ปถวิํ ปาวิสิฯ อถ นํ ปุนปิ พฺราหฺมโณ ‘‘สลฺลเกฺขหิ, มหาราชา’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –
Rājā tassa vacanaṃ anādiyitvā chaṭṭhampi tatheva musāvādaṃ bhaṇitvā yāva thanā pathaviṃ pāvisi. Atha naṃ punapi brāhmaṇo ‘‘sallakkhehi, mahārājā’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –
๕๖.
56.
‘‘ปุตฺตา ตสฺส น ภวนฺติ, ปกฺกมนฺติ ทิโสทิสํ;
‘‘Puttā tassa na bhavanti, pakkamanti disodisaṃ;
โย ชานํ ปุจฺฉิโต ปญฺหํ, อญฺญถา นํ วิยากเรฯ
Yo jānaṃ pucchito pañhaṃ, aññathā naṃ viyākare.
๕๗.
57.
‘‘สเจ หิ สจฺจํ ภณสิ, โหหิ ราช ยถา ปุเร;
‘‘Sace hi saccaṃ bhaṇasi, hohi rāja yathā pure;
มุสา เจ ภาสเส ราช, ภิโยฺย ปวิส เจติยา’’ติฯ
Musā ce bhāsase rāja, bhiyyo pavisa cetiyā’’ti.
ตตฺถ ปกฺกมนฺตีติ สเจ มุสาวาทิสฺส ปุตฺตา ภวนฺติ, มาตาปิตูนํ อนุปการา หุตฺวา ปลายนฺตีติ อโตฺถฯ
Tattha pakkamantīti sace musāvādissa puttā bhavanti, mātāpitūnaṃ anupakārā hutvā palāyantīti attho.
โส ปาปมิตฺตสํสคฺคโทเสน ตสฺส วจนํ อนาทิยิตฺวา สตฺตมมฺปิ ตเถว มุสาวาทํ อกาสิฯ อถสฺส ปถวี วิวรํ อทาสิ, อวีจิโต ชาลา อุฎฺฐหิตฺวา คณฺหิฯ
So pāpamittasaṃsaggadosena tassa vacanaṃ anādiyitvā sattamampi tatheva musāvādaṃ akāsi. Athassa pathavī vivaraṃ adāsi, avīcito jālā uṭṭhahitvā gaṇhi.
๕๘.
58.
‘‘ส ราชา อิสินา สโตฺต, อนฺตลิกฺขจโร ปุเร;
‘‘Sa rājā isinā satto, antalikkhacaro pure;
ปาเวกฺขิ ปถวิํ เจโจฺจ, หีนโตฺต ปตฺว ปริยายํฯ
Pāvekkhi pathaviṃ cecco, hīnatto patva pariyāyaṃ.
๕๙.
59.
ตสฺมา หิ ฉนฺทาคมนํ, นปฺปสํสนฺติ ปณฺฑิตา;
Tasmā hi chandāgamanaṃ, nappasaṃsanti paṇḍitā;
อทุฎฺฐจิโตฺต ภาเสยฺย, คิรํ สจฺจูปสํหิต’’นฺติฯ –
Aduṭṭhacitto bhāseyya, giraṃ saccūpasaṃhita’’nti. –
อิมา เทฺว อภิสมฺพุทฺธคาถา โหนฺติฯ
Imā dve abhisambuddhagāthā honti.
ตตฺถ ส ราชาติ ภิกฺขเว, โส ราชา เจติโย ปุเพฺพ อนฺตลิกฺขจโร หุตฺวา ปจฺฉา อิสินา อภิสโตฺต ปริหีนสภาโว หุตฺวาฯ ปตฺว ปริยายนฺติ อตฺตโน กาลปริยายํ ปตฺวา ปถวิํ ปาวิสีติ อโตฺถฯ ตสฺมาติ ยสฺมา เจติยราชา ฉนฺทาคมเนน อวีจิปรายโณ ชาโต, ตสฺมาฯ อทุฎฺฐจิโตฺตติ ฉนฺทาทีหิ อทูสิตจิโตฺต หุตฺวา สจฺจเมว ภาเสยฺยฯ
Tattha sa rājāti bhikkhave, so rājā cetiyo pubbe antalikkhacaro hutvā pacchā isinā abhisatto parihīnasabhāvo hutvā. Patva pariyāyanti attano kālapariyāyaṃ patvā pathaviṃ pāvisīti attho. Tasmāti yasmā cetiyarājā chandāgamanena avīciparāyaṇo jāto, tasmā. Aduṭṭhacittoti chandādīhi adūsitacitto hutvā saccameva bhāseyya.
มหาชโน ‘‘เจติยราชา อิสิํ อโกฺกสิตฺวา มุสาวาทํ กตฺวา อวีจิํ ปวิโฎฺฐ’’ติ ภยปฺปโตฺต อโหสิฯ รโญฺญ ปญฺจ ปุตฺตา อาคนฺตฺวา พฺราหฺมณสฺส ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘อมฺหากํ อวสฺสโย โหหี’’ติ วทิํสุฯ พฺราหฺมโณ ‘‘ตาตา, ตุมฺหากํ ปิตา ธมฺมํ นาเสตฺวา มุสาวาทํ กตฺวา อิสิํ อโกฺกสิตฺวา อวีจิํ อุปปโนฺน, ธโมฺม นาเมส หโต หนติ, ตุเมฺหหิ น สกฺกา อิธ วสิตุ’’นฺติ วตฺวา เตสุ สพฺพเชฎฺฐกํ ‘‘เอหิ ตฺวํ, ตาต, ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุชุกํ คจฺฉโนฺต สพฺพเสตํ สตฺตปติฎฺฐํ หตฺถิรตนํ ปสฺสิสฺสสิ, ตาย สญฺญาย ตตฺถ นครํ มาเปตฺวา วส, ตํ นครํ หตฺถิปุรํ นาม ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ ทุติยํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตฺวํ, ตาต, ทกฺขิณทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุชุกเมว คจฺฉโนฺต สพฺพเสตํ อสฺสรตนํ ปสฺสิสฺสสิ, ตาย สญฺญาย ตตฺถ นครํ มาเปตฺวา วส, ตํ นครํ อสฺสปุรํ นาม ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ ตติยํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตฺวํ, ตาต, ปจฺฉิมทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุชุกเมว คจฺฉโนฺต เกสรสีหํ ปสฺสิสฺสสิ, ตาย สญฺญาย ตตฺถ นครํ มาเปตฺวา วส, ตํ นครํ สีหปุรํ นาม ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ จตุตฺถํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตฺวํ, ตาต, อุตฺตรทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุชุกเมว คจฺฉโนฺต สพฺพรตนมยํ จกฺกปญฺชรํ ปสฺสิสฺสสิ, ตาย สญฺญาย ตตฺถ นครํ มาเปตฺวา วส, ตํ นครํ อุตฺตรปญฺจาลํ นาม ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ ปญฺจมํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต, ตยา อิมสฺมิํ ฐาเน วสิตุํ น สกฺกา, อิมสฺมิํ นคเร มหาถูปํ กตฺวา นิกฺขมิตฺวา ปจฺฉิมุตฺตราย ทิสาย อุชุกเมว คจฺฉโนฺต เทฺว ปพฺพเต อญฺญมญฺญํ ปหริตฺวา ปหริตฺวา ททฺทรสทฺทํ กโรเนฺต ปสฺสิสฺสสิ, ตาย สญฺญาย ตตฺถ นครํ มาเปตฺวา วส, ตํ นครํ ททฺทรปุรํ นาม ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ เต ปญฺจปิ ชนา ตาย ตาย สญฺญาย คนฺตฺวา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน นครานิ มาเปตฺวา วสิํสุฯ
Mahājano ‘‘cetiyarājā isiṃ akkositvā musāvādaṃ katvā avīciṃ paviṭṭho’’ti bhayappatto ahosi. Rañño pañca puttā āgantvā brāhmaṇassa pādesu patitvā ‘‘amhākaṃ avassayo hohī’’ti vadiṃsu. Brāhmaṇo ‘‘tātā, tumhākaṃ pitā dhammaṃ nāsetvā musāvādaṃ katvā isiṃ akkositvā avīciṃ upapanno, dhammo nāmesa hato hanati, tumhehi na sakkā idha vasitu’’nti vatvā tesu sabbajeṭṭhakaṃ ‘‘ehi tvaṃ, tāta, pācīnadvārena nikkhamitvā ujukaṃ gacchanto sabbasetaṃ sattapatiṭṭhaṃ hatthiratanaṃ passissasi, tāya saññāya tattha nagaraṃ māpetvā vasa, taṃ nagaraṃ hatthipuraṃ nāma bhavissatī’’ti āha. Dutiyaṃ āmantetvā ‘‘tvaṃ, tāta, dakkhiṇadvārena nikkhamitvā ujukameva gacchanto sabbasetaṃ assaratanaṃ passissasi, tāya saññāya tattha nagaraṃ māpetvā vasa, taṃ nagaraṃ assapuraṃ nāma bhavissatī’’ti āha. Tatiyaṃ āmantetvā ‘‘tvaṃ, tāta, pacchimadvārena nikkhamitvā ujukameva gacchanto kesarasīhaṃ passissasi, tāya saññāya tattha nagaraṃ māpetvā vasa, taṃ nagaraṃ sīhapuraṃ nāma bhavissatī’’ti āha. Catutthaṃ āmantetvā ‘‘tvaṃ, tāta, uttaradvārena nikkhamitvā ujukameva gacchanto sabbaratanamayaṃ cakkapañjaraṃ passissasi, tāya saññāya tattha nagaraṃ māpetvā vasa, taṃ nagaraṃ uttarapañcālaṃ nāma bhavissatī’’ti āha. Pañcamaṃ āmantetvā ‘‘tāta, tayā imasmiṃ ṭhāne vasituṃ na sakkā, imasmiṃ nagare mahāthūpaṃ katvā nikkhamitvā pacchimuttarāya disāya ujukameva gacchanto dve pabbate aññamaññaṃ paharitvā paharitvā daddarasaddaṃ karonte passissasi, tāya saññāya tattha nagaraṃ māpetvā vasa, taṃ nagaraṃ daddarapuraṃ nāma bhavissatī’’ti āha. Te pañcapi janā tāya tāya saññāya gantvā tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne nagarāni māpetvā vasiṃsu.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต มุสาวาทํ กตฺวา ปถวิํ ปวิโฎฺฐ’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา เจติยราชา เทวทโตฺต อโหสิ, กปิลพฺราหฺมโณ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto musāvādaṃ katvā pathaviṃ paviṭṭho’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā cetiyarājā devadatto ahosi, kapilabrāhmaṇo pana ahameva ahosi’’nti.
เจติยชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Cetiyajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๒๒. เจติยชาตกํ • 422. Cetiyajātakaṃ