Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. เจติยสุตฺตวณฺณนา
10. Cetiyasuttavaṇṇanā
๘๒๒. ทสเม นิสีทนนฺติ จมฺมขณฺฑํ อธิเปฺปตํฯ อุเทนํ เจติยนฺติ อุเทนยกฺขสฺส เจติยฎฺฐาเน กตวิหาโร วุจฺจติฯ โคตมกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ภาวิตาติ วฑฺฒิตาฯ พหุลีกตาติ ปุนปฺปุนํ กตาฯ ยานีกตาติ ยุตฺตยานํ วิย กตาฯ วตฺถุกตาติ ปติฎฺฐานเฎฺฐน วตฺถุ วิย กตาฯ อนุฎฺฐิตาติ อธิฎฺฐิตาฯ ปริจิตาติ สมนฺตโต จิตา สุวฑฺฒิตาฯ สุสมารทฺธาติ สุฎฺฐุ สมารทฺธาฯ
822. Dasame nisīdananti cammakhaṇḍaṃ adhippetaṃ. Udenaṃ cetiyanti udenayakkhassa cetiyaṭṭhāne katavihāro vuccati. Gotamakādīsupi eseva nayo. Bhāvitāti vaḍḍhitā. Bahulīkatāti punappunaṃ katā. Yānīkatāti yuttayānaṃ viya katā. Vatthukatāti patiṭṭhānaṭṭhena vatthu viya katā. Anuṭṭhitāti adhiṭṭhitā. Paricitāti samantato citā suvaḍḍhitā. Susamāraddhāti suṭṭhu samāraddhā.
อิติ อนิยเมน กเถตฺวา ปุน นิยเมตฺวา ทเสฺสโนฺต ตถาคตสฺส โขติอาทิมาหฯ เอตฺถ จ กปฺปนฺติ อายุกปฺปํ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ กาเล ยํ มนุสฺสานํ อายุปฺปมาณํ, ตํ ปริปุณฺณํ กโรโนฺต ติเฎฺฐยฺยฯ กปฺปาวเสสํ วาติ ‘‘อปฺปํ วา ภิโยฺย’’ติ วุตฺตวสฺสสตโต อติเรกํ วาฯ มหาสีวเตฺถโร ปนาห ‘‘พุทฺธานํ อฎฺฐาเน คชฺชิตํ นาม นตฺถิฯ ยเถว หิ เวฬุวคามเก อุปฺปนฺนํ มารณนฺติกเวทนํ ทส มาเส วิกฺขเมฺภสิ, เอวํ ปุนปฺปุนํ ตํ สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ทส ทส มาเสปิ วิกฺขเมฺภโนฺต อิมํ ภทฺทกปฺปเมว ติเฎฺฐยฺยา’’ติฯ
Iti aniyamena kathetvā puna niyametvā dassento tathāgatassa khotiādimāha. Ettha ca kappanti āyukappaṃ, tasmiṃ tasmiṃ kāle yaṃ manussānaṃ āyuppamāṇaṃ, taṃ paripuṇṇaṃ karonto tiṭṭheyya. Kappāvasesaṃ vāti ‘‘appaṃ vā bhiyyo’’ti vuttavassasatato atirekaṃ vā. Mahāsīvatthero panāha ‘‘buddhānaṃ aṭṭhāne gajjitaṃ nāma natthi. Yatheva hi veḷuvagāmake uppannaṃ māraṇantikavedanaṃ dasa māse vikkhambhesi, evaṃ punappunaṃ taṃ samāpattiṃ samāpajjitvā dasa dasa māsepi vikkhambhento imaṃ bhaddakappameva tiṭṭheyyā’’ti.
กสฺมา ปน น ฐิโตติ? อุปาทิณฺณกสรีรํ นาม ขณฺฑิจฺจาทีหิ อภิภุยฺยติ, พุทฺธา นาม ขณฺฑิจฺจาทิภาวํ อปตฺวาว ปญฺจเม อายุโกฎฺฐาเส พหุชนสฺส ปิยมนาปกาเลเยว ปรินิพฺพายนฺติฯ พุทฺธานุพุเทฺธสุ จ มหาสาวเกสุ ปรินิพฺพุเตสุ เอกเกน ขาณุเกน วิย ฐาตพฺพํ โหติ, ทหรสามเณรปริวาริเตน วา, ตโต – ‘‘อโห พุทฺธานํ ปริสา’’ติ หีเฬตพฺพตํ อาปเชฺชยฺย, ตสฺมา น ฐิโตติฯ เอวํ วุเตฺตปิ โส ปน น รุจฺจติ, ‘‘อายุกโปฺป’’ติ อิทเมว อฎฺฐกถายํ นิยมิตํฯ
Kasmā pana na ṭhitoti? Upādiṇṇakasarīraṃ nāma khaṇḍiccādīhi abhibhuyyati, buddhā nāma khaṇḍiccādibhāvaṃ apatvāva pañcame āyukoṭṭhāse bahujanassa piyamanāpakāleyeva parinibbāyanti. Buddhānubuddhesu ca mahāsāvakesu parinibbutesu ekakena khāṇukena viya ṭhātabbaṃ hoti, daharasāmaṇeraparivāritena vā, tato – ‘‘aho buddhānaṃ parisā’’ti hīḷetabbataṃ āpajjeyya, tasmā na ṭhitoti. Evaṃ vuttepi so pana na ruccati, ‘‘āyukappo’’ti idameva aṭṭhakathāyaṃ niyamitaṃ.
ยถา ตํ มาเรน ปริยุฎฺฐิตจิโตฺตติ เอตฺถ ตนฺติ นิปาตมตฺตํฯ ยถา มาเรน ปริยุฎฺฐิตจิโตฺต อโชฺฌตฺถฎจิโตฺต อโญฺญปิ โกจิ ปุถุชฺชโน ปฎิวิชฺฌิตุํ น สกฺกุเณยฺย, เอวเมว นาสกฺขิ ปฎิวิชฺฌิตุนฺติ อโตฺถฯ มาโร หิ ยสฺส สเพฺพน สพฺพํ ทฺวาทส วิปลฺลาสา อปฺปหีนา, ตสฺส จิตฺตํ ปริยุฎฺฐาติฯ เถรสฺส จ จตฺตาโร วิปลฺลาสา อปฺปหีนา, เตนสฺส มาโร จิตฺตํ ปริยุฎฺฐาสิฯ โส ปน จิตฺตปริยุฎฺฐานํ กโรโนฺต กิํ กโรตีติ? เภรวํ รูปารมฺมณํ วา ทเสฺสติ, สทฺทารมฺมณํ วา สาเวติ, ตโต สตฺตา ตํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา สติํ วิสฺสเชฺชตฺวา วิวฎมุขา โหนฺติ, เตสํ มุเขน หตฺถํ ปเวเสตฺวา หทยํ มทฺทติ, เต วิสญฺญี หุตฺวา ติฎฺฐนฺติฯ เถรสฺส ปเนส มุเข หตฺถํ ปเวเสตุํ กิํ สกฺขิสฺสติ? เภรวารมฺมณํ ปน ทเสฺสติ, ตํ ทิสฺวา เถโร นิมิโตฺตภาสํ น ปฎิวิชฺฌิฯ ชานโนฺตเยว ภควา กิมตฺถํ ยาวตติยกํ อามเนฺตสีติฯ ปรโต ‘‘ติฎฺฐตุ, ภเนฺต, ภควา’’ติ ยาจิเต ‘‘ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฎํ, ตุเยฺหเวตํ อปรทฺธ’’นฺติ โทสาโรปเนน โสกตนุกรณตฺถํฯ
Yathā taṃ mārena pariyuṭṭhitacittoti ettha tanti nipātamattaṃ. Yathā mārena pariyuṭṭhitacitto ajjhotthaṭacitto aññopi koci puthujjano paṭivijjhituṃ na sakkuṇeyya, evameva nāsakkhi paṭivijjhitunti attho. Māro hi yassa sabbena sabbaṃ dvādasa vipallāsā appahīnā, tassa cittaṃ pariyuṭṭhāti. Therassa ca cattāro vipallāsā appahīnā, tenassa māro cittaṃ pariyuṭṭhāsi. So pana cittapariyuṭṭhānaṃ karonto kiṃ karotīti? Bheravaṃ rūpārammaṇaṃ vā dasseti, saddārammaṇaṃ vā sāveti, tato sattā taṃ disvā vā sutvā vā satiṃ vissajjetvā vivaṭamukhā honti, tesaṃ mukhena hatthaṃ pavesetvā hadayaṃ maddati, te visaññī hutvā tiṭṭhanti. Therassa panesa mukhe hatthaṃ pavesetuṃ kiṃ sakkhissati? Bheravārammaṇaṃ pana dasseti, taṃ disvā thero nimittobhāsaṃ na paṭivijjhi. Jānantoyeva bhagavā kimatthaṃ yāvatatiyakaṃ āmantesīti. Parato ‘‘tiṭṭhatu, bhante, bhagavā’’ti yācite ‘‘tuyhevetaṃ dukkaṭaṃ, tuyhevetaṃ aparaddha’’nti dosāropanena sokatanukaraṇatthaṃ.
มาโร ปาปิมาติ เอตฺถ สเตฺต อนเตฺถ นิโยเชโนฺต มาเรตีติ มาโรฯ ปาปิมาติ ตเสฺสว เววจนํฯ โส หิ ปาปธมฺมสมนฺนาคตตฺตา ‘‘ปาปิมา’’ติ วุจฺจติฯ กโณฺห, อนฺตโก, นมุจิ, ปมตฺตพนฺธูติปิ ตเสฺสว นามานิฯ ภาสิตา โข ปเนสาติ อยญฺหิ ภควโต สโมฺพธิปตฺติยา อฎฺฐเม สตฺตาเห โพธิมณฺฑํเยว อาคนฺตฺวา – ‘‘ภควา ยทตฺถํ ตุเมฺหหิ ปารมิโย ปูริตา, โส โว อโตฺถ อนุปฺปโตฺต, ปฎิวิทฺธํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, กิํ โว โลกวิจรเณนา’’ติ วตฺวา ยถา อชฺช, เอวเมว – ‘‘ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภเนฺต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ, สุคโต,’’ติ ยาจิฯ ภควา จสฺส ‘‘น ตาวาห’’นฺติอาทีนิ วตฺวา ปฎิกฺขิปิฯ ตํ สนฺธาย ‘‘ภาสิตา โข ปเนสา, ภเนฺต,’’ติอาทิมาหฯ
Māro pāpimāti ettha satte anatthe niyojento māretīti māro. Pāpimāti tasseva vevacanaṃ. So hi pāpadhammasamannāgatattā ‘‘pāpimā’’ti vuccati. Kaṇho, antako, namuci, pamattabandhūtipi tasseva nāmāni. Bhāsitā kho panesāti ayañhi bhagavato sambodhipattiyā aṭṭhame sattāhe bodhimaṇḍaṃyeva āgantvā – ‘‘bhagavā yadatthaṃ tumhehi pāramiyo pūritā, so vo attho anuppatto, paṭividdhaṃ sabbaññutaññāṇaṃ, kiṃ vo lokavicaraṇenā’’ti vatvā yathā ajja, evameva – ‘‘parinibbātu dāni, bhante, bhagavā, parinibbātu, sugato,’’ti yāci. Bhagavā cassa ‘‘na tāvāha’’ntiādīni vatvā paṭikkhipi. Taṃ sandhāya ‘‘bhāsitā kho panesā, bhante,’’tiādimāha.
ตตฺถ วิยตฺตาติ มคฺควเสน พฺยตฺตาฯ ตเถว วินีตาฯ ตถา วิสารทาฯ พหุสฺสุตาติ เตปิฎกวเสน พหุ สุตเมเตสนฺติ พหุสฺสุตาฯ ตเทว ธมฺมํ ธาเรนฺตีติ ธมฺมธราฯ อถ วา ปริยตฺติพหุสฺสุตา เจว ปฎิเวธพหุสฺสุตา จ, ปริยตฺติปฎิเวธธมฺมานํเยว ธารณโต ธมฺมธราติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปนฺนาติ อริยธมฺมสฺส อนุธมฺมภูตํ วิปสฺสนาธมฺมํ ปฎิปนฺนาฯ สามีจิปฺปฎิปนฺนาติ อนุจฺฉวิกปฎิปทํ ปฎิปนฺนาฯ อนุธมฺมจาริโนติ อนุธมฺมจรณสีลาฯ สกํ อาจริยกนฺติ อตฺตโน อาจริยวาทํฯ อาจิกฺขิสฺสนฺตีติอาทีนิ สพฺพานิ อญฺญมญฺญเสฺสว เววจนานิฯ สหธเมฺมนาติ สเหตุเกน สการเณน วจเนนฯ สปฺปาฎิหาริยนฺติ ยาว นิยฺยานิกํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสสฺสนฺติฯ
Tattha viyattāti maggavasena byattā. Tatheva vinītā. Tathā visāradā. Bahussutāti tepiṭakavasena bahu sutametesanti bahussutā. Tadeva dhammaṃ dhārentīti dhammadharā. Atha vā pariyattibahussutā ceva paṭivedhabahussutā ca, pariyattipaṭivedhadhammānaṃyeva dhāraṇato dhammadharāti evamettha attho daṭṭhabbo. Dhammānudhammappaṭipannāti ariyadhammassa anudhammabhūtaṃ vipassanādhammaṃ paṭipannā. Sāmīcippaṭipannāti anucchavikapaṭipadaṃ paṭipannā. Anudhammacārinoti anudhammacaraṇasīlā. Sakaṃ ācariyakanti attano ācariyavādaṃ. Ācikkhissantītiādīni sabbāni aññamaññasseva vevacanāni. Sahadhammenāti sahetukena sakāraṇena vacanena. Sappāṭihāriyanti yāva niyyānikaṃ katvā dhammaṃ desessanti.
พฺรหฺมจริยนฺติ สิกฺขตฺตยสงฺคหิตํ สกลํ สาสนพฺรหฺมจริยํฯ อิทฺธนฺติ สมิทฺธํ ฌานสฺสาทวเสนฯ ผีตนฺติ วุฑฺฒิปตฺตํ สพฺพปาลิผุลฺลํ วิย อภิญฺญาสมฺปตฺติวเสนฯ วิตฺถาริกนฺติ วิตฺถตํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ทิสาภาเค ปติฎฺฐิตวเสนฯ พาหุชญฺญนฺติ พหูหิ ญาตํ ปฎิวิทฺธํ มหาชนาภิสมยวเสนฯ ปุถุภูตนฺติ สพฺพากาเรน ปุถุลภาวปตฺตํฯ กถํ? ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตํ, ยตฺตกา วิญฺญุชาติกา เทวา เจว มนุสฺสา จ อตฺถิ, สเพฺพหิ สุฎฺฐุ ปกาสิตนฺติ อโตฺถฯ
Brahmacariyanti sikkhattayasaṅgahitaṃ sakalaṃ sāsanabrahmacariyaṃ. Iddhanti samiddhaṃ jhānassādavasena. Phītanti vuḍḍhipattaṃ sabbapāliphullaṃ viya abhiññāsampattivasena. Vitthārikanti vitthataṃ tasmiṃ tasmiṃ disābhāge patiṭṭhitavasena. Bāhujaññanti bahūhi ñātaṃ paṭividdhaṃ mahājanābhisamayavasena. Puthubhūtanti sabbākārena puthulabhāvapattaṃ. Kathaṃ? Yāva devamanussehi suppakāsitaṃ, yattakā viññujātikā devā ceva manussā ca atthi, sabbehi suṭṭhu pakāsitanti attho.
อโปฺปสฺสุโกฺกติ นิราลโยฯ ตฺวญฺหิ ปาปิม อฎฺฐมสตฺตาหโต ปฎฺฐาย ‘‘ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภเนฺต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต’’ติ วิรวโนฺต อาหิณฺฑิตฺถ, อชฺช ทานิ ปฎฺฐาย วิคตุสฺสาโห โหหิ, มา มยฺหํ ปรินิพฺพานตฺถํ วายามํ กโรหีติ วทติฯ
Appossukkoti nirālayo. Tvañhi pāpima aṭṭhamasattāhato paṭṭhāya ‘‘parinibbātu dāni, bhante, bhagavā, parinibbātu sugato’’ti viravanto āhiṇḍittha, ajja dāni paṭṭhāya vigatussāho hohi, mā mayhaṃ parinibbānatthaṃ vāyāmaṃ karohīti vadati.
สโต สมฺปชาโน อายุสงฺขารํ โอสฺสชีติ สติํ สูปฎฺฐิตํ กตฺวา ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา อายุสงฺขารํ วิสฺสชิ ปชหิฯ ตตฺถ น ภควา หเตฺถน เลฑฺฑุํ วิย อายุสงฺขารํ โอสฺสชิ, เตมาสมตฺตเมว ปน ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต ปรํ น สมาปชฺชิสฺสามีติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘โอสฺสชี’’ติฯ อุสฺสชีติปิ ปาโฐฯ มหาภูมิจาโลติ มหโนฺต ปถวิกโมฺปฯ ตทา กิร ทสสหสฺสิโลกธาตุ อกมฺปิตฺถฯ ภิํสนโกติ ภยชนโก ฯ เทวทุนฺทุภิโย จ ผลิํสูติ เทวเภริโย ผลิํสุ, เทโว สุกฺขคชฺชิตํ คชฺชิ, อกาลวิชฺชุลตา นิจฺฉริํสุ, ขณิกวสฺสํ วสฺสีติ วุตฺตํ โหติฯ
Satosampajāno āyusaṅkhāraṃ ossajīti satiṃ sūpaṭṭhitaṃ katvā ñāṇena paricchinditvā āyusaṅkhāraṃ vissaji pajahi. Tattha na bhagavā hatthena leḍḍuṃ viya āyusaṅkhāraṃ ossaji, temāsamattameva pana phalasamāpattiṃ samāpajjitvā tato paraṃ na samāpajjissāmīti cittaṃ uppādesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘ossajī’’ti. Ussajītipi pāṭho. Mahābhūmicāloti mahanto pathavikampo. Tadā kira dasasahassilokadhātu akampittha. Bhiṃsanakoti bhayajanako . Devadundubhiyo ca phaliṃsūti devabheriyo phaliṃsu, devo sukkhagajjitaṃ gajji, akālavijjulatā nicchariṃsu, khaṇikavassaṃ vassīti vuttaṃ hoti.
อุทานํ อุทาเนสีติ กสฺมา อุทาเนสิ? โกจิ นาม วเทยฺย ‘‘ภควา ปจฺฉโต ปจฺฉโต อนุพนฺธิตฺวา – ‘ปรินิพฺพายถ, ภเนฺต, ปรินิพฺพายถ, ภเนฺต’ติ อุปทฺทุโต ภเยน อายุสงฺขารํ วิสฺสเชฺชสี’’ติฯ ตโสฺสกาโส มา โหตูติฯ ภีตสฺส หิ อุทานํ นาม นตฺถีติ ปีติเวควิสฺสฎฺฐํ อุทาเนสิฯ
Udānaṃ udānesīti kasmā udānesi? Koci nāma vadeyya ‘‘bhagavā pacchato pacchato anubandhitvā – ‘parinibbāyatha, bhante, parinibbāyatha, bhante’ti upadduto bhayena āyusaṅkhāraṃ vissajjesī’’ti. Tassokāso mā hotūti. Bhītassa hi udānaṃ nāma natthīti pītivegavissaṭṭhaṃ udānesi.
ตตฺถ สเพฺพสํ โสณสิงฺคาลาทีนมฺปิ ปจฺจกฺขภาวโต ตุลิตํ ปริจฺฉินฺนนฺติ ตุลํฯ กิํ ตํ? กามาวจรกมฺมํฯ น ตุลํ, น วา ตุลํ สทิสมสฺส อญฺญํ โลกิยกมฺมํ อตฺถีติ อตุลํฯ กิํ ตํ? มหคฺคตกมฺมํฯ อถ วา กามาวจรํ รูปาวจรญฺจ ตุลํ, อรูปาวจรํ อตุลํฯ อปฺปวิปากํ ตุลํ, พหุวิปากํ อตุลํฯ สมฺภวนฺติ สมฺภวเหตุภูตํ, ปิณฺฑการกํ ราสิการกนฺติ อโตฺถฯ ภวสงฺขารนฺติ ปุนพฺภวสฺส สงฺขารํฯ อวสฺสชีติ วิสฺสเชฺชสิฯ มุนีติ พุทฺธมุนิฯ อชฺฌตฺตรโตติ นิยกชฺฌตฺตรโตฯ สมาหิโตติ อุปจารปฺปนาสมาธิวเสน สมาหิโตฯ อภินฺทิ กวจมิวาติ กวจํ วิย อภินฺทิฯ อตฺตสมฺภวนฺติ อตฺตนิ ชาตกิเลสํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สวิปากเฎฺฐน สมฺภวํ ภวาภิสงฺขณเฎฺฐน ภวสงฺขารนฺติ จ ลทฺธนามํ ตุลาตุลสงฺขาตํ โลกิยกมฺมญฺจ โอสฺสชิ, สงฺคามสีเส มหาโยโธ กวจํ วิย อตฺตสมฺภวํ กิเลสญฺจ อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต หุตฺวา อภินฺทีติฯ
Tattha sabbesaṃ soṇasiṅgālādīnampi paccakkhabhāvato tulitaṃ paricchinnanti tulaṃ. Kiṃ taṃ? Kāmāvacarakammaṃ. Na tulaṃ, na vā tulaṃ sadisamassa aññaṃ lokiyakammaṃ atthīti atulaṃ. Kiṃ taṃ? Mahaggatakammaṃ. Atha vā kāmāvacaraṃ rūpāvacarañca tulaṃ, arūpāvacaraṃ atulaṃ. Appavipākaṃ tulaṃ, bahuvipākaṃ atulaṃ. Sambhavanti sambhavahetubhūtaṃ, piṇḍakārakaṃ rāsikārakanti attho. Bhavasaṅkhāranti punabbhavassa saṅkhāraṃ. Avassajīti vissajjesi. Munīti buddhamuni. Ajjhattaratoti niyakajjhattarato. Samāhitoti upacārappanāsamādhivasena samāhito. Abhindi kavacamivāti kavacaṃ viya abhindi. Attasambhavanti attani jātakilesaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – savipākaṭṭhena sambhavaṃ bhavābhisaṅkhaṇaṭṭhena bhavasaṅkhāranti ca laddhanāmaṃ tulātulasaṅkhātaṃ lokiyakammañca ossaji, saṅgāmasīse mahāyodho kavacaṃ viya attasambhavaṃ kilesañca ajjhattarato samāhito hutvā abhindīti.
อถ วา ตุลนฺติ ตุเลโนฺต ตีเรโนฺตฯ อตุลญฺจ สมฺภวนฺติ นิพฺพานเญฺจว ภวญฺจฯ ภวสงฺขารนฺติ ภวคามิกมฺมํฯ อวสฺสชิ มุนีติ ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา อนิจฺจา, ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิพฺพานํ นิจฺจ’’นฺติอาทินา นเยน ตุลยโนฺต พุทฺธมุนิ ภเว อาทีนวํ นิพฺพาเน จานิสํสํ ทิสฺวา ตํ ขนฺธานํ มูลภูตํ ภวสงฺขารํ ‘‘กมฺมกฺขยาย สํวตฺตตี’’ติ เอวํ วุเตฺตน กมฺมกฺขยกเรน อริยมเคฺคน อวสฺสชิฯ กถํ? อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต อภินฺทิ กวจมิวตฺตสมฺภวํฯ โส หิ วิปสฺสนาวเสน อชฺฌตฺตรโต, สมถวเสน สมาหิโตติ เอวํ ปุพฺพภาคโต ปฎฺฐาย สมถวิปสฺสนาพเลน กวจมิว อตฺตภาวํ ปริโยนนฺธิตฺวา ฐิตํ, อตฺตนิ สมฺภวตฺตา อตฺตสมฺภวนฺติ ลทฺธนามํ สพฺพํ กิเลสชาตํ อภินฺทิฯ กิเลสาภาเวน จ กมฺมํ อปฺปฎิสนฺธิกตฺตา อวสฺสฎฺฐํ นาม โหตีติ เอวํ กิเลสปฺปหาเนน กมฺมํ ชหิฯ ปหีนกิเลสสฺส ภยํ นาม นตฺถิฯ ตสฺมา อภีโตว อายุสงฺขารํ โอสฺสชิฯ อภีตภาวญาปนตฺถญฺจ อุทานํ อุทาเนสีติ เวทิตโพฺพฯ
Atha vā tulanti tulento tīrento. Atulañca sambhavanti nibbānañceva bhavañca. Bhavasaṅkhāranti bhavagāmikammaṃ. Avassaji munīti ‘‘pañcakkhandhā aniccā, pañcannaṃ khandhānaṃ nirodho nibbānaṃ nicca’’ntiādinā nayena tulayanto buddhamuni bhave ādīnavaṃ nibbāne cānisaṃsaṃ disvā taṃ khandhānaṃ mūlabhūtaṃ bhavasaṅkhāraṃ ‘‘kammakkhayāya saṃvattatī’’ti evaṃ vuttena kammakkhayakarena ariyamaggena avassaji. Kathaṃ? Ajjhattarato samāhito abhindi kavacamivattasambhavaṃ. So hi vipassanāvasena ajjhattarato, samathavasena samāhitoti evaṃ pubbabhāgato paṭṭhāya samathavipassanābalena kavacamiva attabhāvaṃ pariyonandhitvā ṭhitaṃ, attani sambhavattā attasambhavanti laddhanāmaṃ sabbaṃ kilesajātaṃ abhindi. Kilesābhāvena ca kammaṃ appaṭisandhikattā avassaṭṭhaṃ nāma hotīti evaṃ kilesappahānena kammaṃ jahi. Pahīnakilesassa bhayaṃ nāma natthi. Tasmā abhītova āyusaṅkhāraṃ ossaji. Abhītabhāvañāpanatthañca udānaṃ udānesīti veditabbo.
จาปาลวโคฺค ปฐโมฯ
Cāpālavaggo paṭhamo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑๐. เจติยสุตฺตํ • 10. Cetiyasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๐. เจติยสุตฺตวณฺณนา • 10. Cetiyasuttavaṇṇanā