Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๒. ฉพฺพิโสธนสุตฺตวณฺณนา
2. Chabbisodhanasuttavaṇṇanā
๙๘. เอวํ เม สุตนฺติ ฉพฺพิโสธนสุตฺตํฯ ตตฺถ ขีณา ชาตีติอาทีสุ เอเกนาปิ ปเทน อญฺญา พฺยากตาว โหติ, ทฺวีหิปิฯ อิธ ปน จตูหิ ปเทหิ อญฺญพฺยากรณํ อาคตํฯ ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐวาทิตาติอาทีสุ ยาย เจตนาย ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐํ เมติ วทติ, สา ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐวาทิตา นามฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อยมนุธโมฺมติ อยํ สภาโวฯ อภินนฺทิตพฺพนฺติ น เกวลํ อภินนฺทิตพฺพํ, ปรินิพฺพุตสฺส ปนสฺส สโพฺพปิ ขีณาสวสฺส สกฺกาโร กาตโพฺพฯ อุตฺตริํ ปโญฺหติ สเจ ปนสฺส เวยฺยากรเณน อสนฺตุฎฺฐา โหถ, อุตฺตริมฺปิ อยํ ปโญฺห ปุจฺฉิตโพฺพติ ทเสฺสติฯ อิโต ปเรสุปิ ตีสุ วาเรสุ อยเมว นโยฯ
98.Evaṃme sutanti chabbisodhanasuttaṃ. Tattha khīṇā jātītiādīsu ekenāpi padena aññā byākatāva hoti, dvīhipi. Idha pana catūhi padehi aññabyākaraṇaṃ āgataṃ. Diṭṭhe diṭṭhavāditātiādīsu yāya cetanāya diṭṭhe diṭṭhaṃ meti vadati, sā diṭṭhe diṭṭhavāditā nāma. Sesapadesupi eseva nayo. Ayamanudhammoti ayaṃ sabhāvo. Abhinanditabbanti na kevalaṃ abhinanditabbaṃ, parinibbutassa panassa sabbopi khīṇāsavassa sakkāro kātabbo. Uttariṃ pañhoti sace panassa veyyākaraṇena asantuṭṭhā hotha, uttarimpi ayaṃ pañho pucchitabboti dasseti. Ito paresupi tīsu vāresu ayameva nayo.
๙๙. อพลนฺติ ทุพฺพลํฯ วิราคุนนฺติ วิคจฺฉนสภาวํฯ อนสฺสาสิกนฺติ อสฺสาสวิรหิตํฯ อุปายูปาทานาติ ตณฺหาทิฎฺฐีนเมตํ อธิวจนํฯ ตณฺหาทิฎฺฐิโย หิ เตภูมกธเมฺม อุเปนฺตีติ อุปายา, อุปาทิยนฺตีติ อุปาทานาฯ เจตโส อทิฎฺฐานาภินิเวสานุสยาติปิ ตาสํเยว นามํฯ จิตฺตญฺหิ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ สกฺกายธเมฺมสุ ติฎฺฐติ อธิติฎฺฐตีติ ตณฺหาทิฎฺฐิโย เจตโส อธิฎฺฐานา, ตาหิ ตํ อภินิวิสตีติ อภินิเวสา, ตาหิเยว ตํ อนุเสตีติ อนุสยาติ วุจฺจนฺติฯ ขยา วิราคาติอาทีสุ ขเยน วิราเคนาติ อโตฺถฯ สพฺพานิ เจตานิ อญฺญมญฺญเววจนาเนวฯ
99.Abalanti dubbalaṃ. Virāgunanti vigacchanasabhāvaṃ. Anassāsikanti assāsavirahitaṃ. Upāyūpādānāti taṇhādiṭṭhīnametaṃ adhivacanaṃ. Taṇhādiṭṭhiyo hi tebhūmakadhamme upentīti upāyā, upādiyantīti upādānā. Cetaso adiṭṭhānābhinivesānusayātipi tāsaṃyeva nāmaṃ. Cittañhi taṇhādiṭṭhīhi sakkāyadhammesu tiṭṭhati adhitiṭṭhatīti taṇhādiṭṭhiyo cetaso adhiṭṭhānā, tāhi taṃ abhinivisatīti abhinivesā, tāhiyeva taṃ anusetīti anusayāti vuccanti. Khayāvirāgātiādīsu khayena virāgenāti attho. Sabbāni cetāni aññamaññavevacanāneva.
๑๐๐. ปถวีธาตูติ ปติฎฺฐานธาตุฯ อาโปธาตูติ อาพนฺธนธาตุฯ เตโชธาตูติ ปริปาจนธาตุฯ วาโยธาตูติ วิตฺถมฺภนธาตุฯ อากาสธาตูติ อสมฺผุฎฺฐธาตุฯ วิญฺญาณธาตูติ วิชานนธาตุฯ น อนตฺตโต อุปคจฺฉินฺติ อหํ อตฺตาติ อตฺตโกฎฺฐาเสน น อุปคมิํฯ น จ ปถวีธาตุนิสฺสิตนฺติ ปถวีธาตุนิสฺสิตา เสสธาตุโย จ อุปาทารูปญฺจ อรูปกฺขนฺธา จฯ เตปิ หิ นิสฺสิตวตฺถุรูปานํ ปถวีธาตุนิสฺสิตตฺตา เอเกน ปริยาเยน ปถวีธาตุนิสฺสิตาวฯ ตสฺมา ‘‘น จ ปถวีธาตุนิสฺสิต’’นฺติ วทโนฺต เสสรูปารูปธเมฺมปิ อตฺตโต น อุปคจฺฉินฺติ วทติฯ อากาสธาตุนิสฺสิตปเท ปน อวินิโพฺภควเสน สพฺพมฺปิ ภูตุปาทารูปํ อากาสธาตุนิสฺสิตํ นาม , ตถา ตํนิสฺสิตรูปวตฺถุกา อรูปกฺขนฺธาฯ เอวํ อิธาปิ รูปารูปํ คหิตเมว โหติฯ วิญฺญาณธาตุนิสฺสิตปเท ปน สหชาตา ตโย ขนฺธา จิตฺตสมุฎฺฐานรูปญฺจ วิญฺญาณธาตุนิสฺสิตนฺติ รูปารูปํ คหิตเมว โหติฯ
100.Pathavīdhātūti patiṭṭhānadhātu. Āpodhātūti ābandhanadhātu. Tejodhātūti paripācanadhātu. Vāyodhātūti vitthambhanadhātu. Ākāsadhātūti asamphuṭṭhadhātu. Viññāṇadhātūti vijānanadhātu. Na anattato upagacchinti ahaṃ attāti attakoṭṭhāsena na upagamiṃ. Na ca pathavīdhātunissitanti pathavīdhātunissitā sesadhātuyo ca upādārūpañca arūpakkhandhā ca. Tepi hi nissitavatthurūpānaṃ pathavīdhātunissitattā ekena pariyāyena pathavīdhātunissitāva. Tasmā ‘‘na ca pathavīdhātunissita’’nti vadanto sesarūpārūpadhammepi attato na upagacchinti vadati. Ākāsadhātunissitapade pana avinibbhogavasena sabbampi bhūtupādārūpaṃ ākāsadhātunissitaṃ nāma , tathā taṃnissitarūpavatthukā arūpakkhandhā. Evaṃ idhāpi rūpārūpaṃ gahitameva hoti. Viññāṇadhātunissitapade pana sahajātā tayo khandhā cittasamuṭṭhānarūpañca viññāṇadhātunissitanti rūpārūpaṃ gahitameva hoti.
๑๐๑. รูเป จกฺขุวิญฺญาเณ จกฺขุวิญฺญาณวิญฺญาตเพฺพสุ ธเมฺมสูติ เอตฺถ ยํ อตีเต จกฺขุทฺวารสฺส อาปาถํ อาคนฺตฺวา นิรุทฺธํ, ยญฺจ อนาคเต อาปาถํ อาคนฺตฺวา นิรุชฺฌิสฺสติ, ยมฺปิ เอตรหิ อาคนฺตฺวา นิรุทฺธํ, ตํ สพฺพํ รูปํ นามฯ ยํ ปน อตีเตปิ อาปาถํ อนาคนฺตฺวา นิรุทฺธํ, อนาคเตปิ อนาคนฺตฺวา นิรุชฺฌิสฺสติ, เอตรหิปิ อนาคนฺตฺวา นิรุทฺธํ, ตํ จกฺขุวิญฺญาณวิญฺญาตพฺพธเมฺมสุ สงฺคหิตนฺติ วุเตฺต ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโร อาห – ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน ทฺวิธา กโรถ, อุปริ ฉโนฺทวาเร กินฺติ กริสฺสถ, นยิทํ ลพฺภตี’’ติฯ ตสฺมา ตีสุ กาเลสุ อาปาถํ อาคตํ วา อนาคตํ วา สพฺพมฺปิ ตํ รูปเมว, จกฺขุวิญฺญาณสมฺปยุตฺตา ปน ตโย ขนฺธา จกฺขุวิญฺญาณวิญฺญาตพฺพธมฺมาติ เวทิตพฺพาฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ ‘‘จกฺขุวิญฺญาเณน สทฺธิํ วิญฺญาตเพฺพสุ ธเมฺมสู’’ติฯ ฉโนฺทติ ตณฺหาฉโนฺทฯ ราโคติ เสฺวว รชฺชนวเสน ราโคฯ นนฺทีติ เสฺวว อภินนฺทนวเสน นนฺทีฯ ตณฺหาติ เสฺวว ตณฺหายนวเสน ตณฺหาฯ เสสทฺวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ
101.Rūpe cakkhuviññāṇe cakkhuviññāṇaviññātabbesu dhammesūti ettha yaṃ atīte cakkhudvārassa āpāthaṃ āgantvā niruddhaṃ, yañca anāgate āpāthaṃ āgantvā nirujjhissati, yampi etarahi āgantvā niruddhaṃ, taṃ sabbaṃ rūpaṃ nāma. Yaṃ pana atītepi āpāthaṃ anāgantvā niruddhaṃ, anāgatepi anāgantvā nirujjhissati, etarahipi anāgantvā niruddhaṃ, taṃ cakkhuviññāṇaviññātabbadhammesu saṅgahitanti vutte tipiṭakacūḷābhayatthero āha – ‘‘imasmiṃ ṭhāne dvidhā karotha, upari chandovāre kinti karissatha, nayidaṃ labbhatī’’ti. Tasmā tīsu kālesu āpāthaṃ āgataṃ vā anāgataṃ vā sabbampi taṃ rūpameva, cakkhuviññāṇasampayuttā pana tayo khandhā cakkhuviññāṇaviññātabbadhammāti veditabbā. Ayañhettha attho ‘‘cakkhuviññāṇena saddhiṃ viññātabbesu dhammesū’’ti. Chandoti taṇhāchando. Rāgoti sveva rajjanavasena rāgo. Nandīti sveva abhinandanavasena nandī. Taṇhāti sveva taṇhāyanavasena taṇhā. Sesadvāresupi eseva nayo.
๑๐๒. อหงฺการมมงฺการมานานุสยาติ เอตฺถ อหงฺกาโร มาโน, มมงฺกาโร ตณฺหา, เสฺวว มานานุสโยฯ อาสวานํ ขยญาณายาติ อิทํ ปุเพฺพนิวาสํ ทิพฺพจกฺขุญฺจ อวตฺวา กสฺมา วุตฺตํ? ภิกฺขู โลกิยธมฺมํ น ปุจฺฉนฺติ, โลกุตฺตรเมว ปุจฺฉนฺติ, ตสฺมา ปุจฺฉิตปญฺหํเยว กเถโนฺต เอวมาหฯ เอกวิสฺสชฺชิตสุตฺตํ นาเมตํ, ฉพฺพิโสธนนฺติปิสฺส นามํฯ เอตฺถ หิ จตฺตาโร โวหารา ปญฺจ ขนฺธา ฉ ธาตุโย ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรานิ อายตนานิ อตฺตโน สวิญฺญาณกกาโย ปเรสํ สวิญฺญาณกกาโยติ อิเม ฉ โกฎฺฐาสา วิสุทฺธา, ตสฺมา ‘‘ฉพฺพิโสธนิย’’นฺติ วุตฺตํฯ ปรสมุทฺทวาสิเตฺถรา ปน อตฺตโน จ ปรสฺส จ วิญฺญาณกกายํ เอกเมว กตฺวา จตูหิ อาหาเรหิ สทฺธินฺติ ฉ โกฎฺฐาเส วทนฺติฯ
102.Ahaṅkāramamaṅkāramānānusayāti ettha ahaṅkāro māno, mamaṅkāro taṇhā, sveva mānānusayo. Āsavānaṃ khayañāṇāyāti idaṃ pubbenivāsaṃ dibbacakkhuñca avatvā kasmā vuttaṃ? Bhikkhū lokiyadhammaṃ na pucchanti, lokuttarameva pucchanti, tasmā pucchitapañhaṃyeva kathento evamāha. Ekavissajjitasuttaṃ nāmetaṃ, chabbisodhanantipissa nāmaṃ. Ettha hi cattāro vohārā pañca khandhā cha dhātuyo cha ajjhattikabāhirāni āyatanāni attano saviññāṇakakāyo paresaṃ saviññāṇakakāyoti ime cha koṭṭhāsā visuddhā, tasmā ‘‘chabbisodhaniya’’nti vuttaṃ. Parasamuddavāsittherā pana attano ca parassa ca viññāṇakakāyaṃ ekameva katvā catūhi āhārehi saddhinti cha koṭṭhāse vadanti.
อิเม ปน ฉ โกฎฺฐาสา ‘‘กิํ เต อธิคตํ, กินฺติ เต อธิคตํ, กทา เต อธิคตํ, กตฺถ เต อธิคตํ, กตเม เต กิเลสา ปหีนา, กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภี’’ติ (ปารา. ๑๙๘) เอวํ วินยนิเทฺทสปริยาเยน โสเธตพฺพาฯ
Ime pana cha koṭṭhāsā ‘‘kiṃ te adhigataṃ, kinti te adhigataṃ, kadā te adhigataṃ, kattha te adhigataṃ, katame te kilesā pahīnā, katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhī’’ti (pārā. 198) evaṃ vinayaniddesapariyāyena sodhetabbā.
เอตฺถ หิ กิํ เต อธิคตนฺติ อธิคมปุจฺฉา, ฌานวิโมกฺขาทีสุ โสตาปตฺติมคฺคาทีสุ วา กิํ ตยา อธิคตํฯ กินฺติ เต อธิคตนฺติ อุปายปุจฺฉาฯ อยญฺหิ เอตฺถาธิปฺปาโย – กิํ ตยา อนิจฺจลกฺขณํ ธุรํ กตฺวา อธิคตํ, ทุกฺขานตฺตลกฺขเณสุ อญฺญตรํ วา, กิํ วา สมาธิวเสน อภินิวิสิตฺวา , อุทาหุ วิปสฺสนาวเสน, ตถา กิํ รูเป อภินิวิสิตฺวา, อุทาหุ อรูเป, กิํ วา อชฺฌตฺตํ อภินิวิสิตฺวา, อุทาหุ พหิทฺธาติฯ กทา เต อธิคตนฺติ กาลปุจฺฉา, ปุพฺพณฺหมชฺฌนฺหิกาทีสุ กตรสฺมิํ กาเลติ วุตฺตํ โหติฯ
Ettha hi kiṃ te adhigatanti adhigamapucchā, jhānavimokkhādīsu sotāpattimaggādīsu vā kiṃ tayā adhigataṃ. Kinti te adhigatanti upāyapucchā. Ayañhi etthādhippāyo – kiṃ tayā aniccalakkhaṇaṃ dhuraṃ katvā adhigataṃ, dukkhānattalakkhaṇesu aññataraṃ vā, kiṃ vā samādhivasena abhinivisitvā , udāhu vipassanāvasena, tathā kiṃ rūpe abhinivisitvā, udāhu arūpe, kiṃ vā ajjhattaṃ abhinivisitvā, udāhu bahiddhāti. Kadā te adhigatanti kālapucchā, pubbaṇhamajjhanhikādīsu katarasmiṃ kāleti vuttaṃ hoti.
กตฺถ เต อธิคตนฺติ โอกาสปุจฺฉา, กิสฺมิํ โอกาเส, กิํ รตฺติฎฺฐาเน ทิวาฎฺฐาเน รุกฺขมูเล มณฺฑเป กตรสฺมิํ วา วิหาเรติ วุตฺตํ โหติฯ กตเม เต กิเลสา ปหีนาติ ปหีนกิเลเส ปุจฺฉติ, กตรมคฺควชฺฌา ตว กิเลสา ปหีนาติ วุตฺตํ โหติฯ
Kattha te adhigatanti okāsapucchā, kismiṃ okāse, kiṃ rattiṭṭhāne divāṭṭhāne rukkhamūle maṇḍape katarasmiṃ vā vihāreti vuttaṃ hoti. Katame te kilesā pahīnāti pahīnakilese pucchati, kataramaggavajjhā tava kilesā pahīnāti vuttaṃ hoti.
กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภีติ ปฎิลทฺธธมฺมปุจฺฉา, ปฐมมคฺคาทีสุ กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภีติ วุตฺตํ โหติฯ
Katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhīti paṭiladdhadhammapucchā, paṭhamamaggādīsu katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhīti vuttaṃ hoti.
ตสฺมา อิทานิ เจปิ โกจิ ภิกฺขุ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาธิคมํ พฺยากเรยฺย, น โส เอตฺตาวตาว สกฺกาตโพฺพฯ อิเมสุ ปน ฉสุ ฐาเนสุ โสธนตฺถํ วตฺตโพฺพ ‘‘กิํ เต อธิคตํ, กิํ ฌานํ อุทาหุ วิโมกฺขาทีสุ อญฺญตร’’นฺติ? โย หิ เยน อธิคโต ธโมฺม, โส ตสฺส ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อิทํ นาม เม อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กินฺติ เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพฯ อนิจฺจลกฺขณาทีสุ กิํ ธุรํ กตฺวา, อฎฺฐติํสาย วา อารมฺมเณสุ รูปารูปอชฺฌตฺตพหิทฺธาทิเภเทสุ วา ธเมฺมสุ เกน มุเขน อภินิวิสิตฺวาติ? โย หิ ยสฺสาภินิเวโส, โส ตสฺส ปากโฎ โหติฯ
Tasmā idāni cepi koci bhikkhu uttarimanussadhammādhigamaṃ byākareyya, na so ettāvatāva sakkātabbo. Imesu pana chasu ṭhānesu sodhanatthaṃ vattabbo ‘‘kiṃ te adhigataṃ, kiṃ jhānaṃ udāhu vimokkhādīsu aññatara’’nti? Yo hi yena adhigato dhammo, so tassa pākaṭo hoti. Sace ‘‘idaṃ nāma me adhigata’’nti vadati, tato ‘‘kinti te adhigata’’nti pucchitabbo. Aniccalakkhaṇādīsu kiṃ dhuraṃ katvā, aṭṭhatiṃsāya vā ārammaṇesu rūpārūpaajjhattabahiddhādibhedesu vā dhammesu kena mukhena abhinivisitvāti? Yo hi yassābhiniveso, so tassa pākaṭo hoti.
สเจ ปน ‘‘อยํ นาม เม อภินิเวโส, เอวํ มยา อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กทา เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ปุพฺพเณฺห, อุทาหุ มชฺฌนฺหิกาทีสุ อญฺญตรสฺมิํ กาเล’’ติ ? สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตกาโล ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อมุกสฺมิํ นาม เม กาเล อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กตฺถ เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ทิวาฎฺฐาเน, อุทาหุ รตฺติฎฺฐานาทีสุ อญฺญตรสฺมิํ โอกาเส’’ติ? สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคโตกาโส ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อมุกสฺมิํ นาม เม โอกาเส อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กตเม เต กิเลสา ปหีนา’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ปฐมมคฺควชฺฌา, อุทาหุ ทุติยาทิมคฺควชฺฌา’’ติ? สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตมเคฺคน ปหีนกิเลสา ปากฎา โหนฺติฯ
Sace pana ‘‘ayaṃ nāma me abhiniveso, evaṃ mayā adhigata’’nti vadati, tato ‘‘kadā te adhigata’’nti pucchitabbo, ‘‘kiṃ pubbaṇhe, udāhu majjhanhikādīsu aññatarasmiṃ kāle’’ti ? Sabbesañhi attanā adhigatakālo pākaṭo hoti. Sace ‘‘amukasmiṃ nāma me kāle adhigata’’nti vadati, tato ‘‘kattha te adhigata’’nti pucchitabbo, ‘‘kiṃ divāṭṭhāne, udāhu rattiṭṭhānādīsu aññatarasmiṃ okāse’’ti? Sabbesañhi attanā adhigatokāso pākaṭo hoti. Sace ‘‘amukasmiṃ nāma me okāse adhigata’’nti vadati, tato ‘‘katame te kilesā pahīnā’’ti pucchitabbo, ‘‘kiṃ paṭhamamaggavajjhā, udāhu dutiyādimaggavajjhā’’ti? Sabbesañhi attanā adhigatamaggena pahīnakilesā pākaṭā honti.
สเจ ‘‘อิเม นาม เม กิเลสา ปหีนา’’ติ วทติ, ตโต ‘‘กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภี’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ โสตาปตฺติมคฺคสฺส, อุทาหุ สกทาคามิมคฺคาทีสุ อญฺญตรสฺสา’’ติ? สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตธโมฺม ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อิเมสํ นามาหํ ธมฺมานํ ลาภี’’ติ วทติ, เอตฺตาวตาปิสฺส วจนํ น สทฺธาตพฺพํฯ พหุสฺสุตา หิ อุคฺคหปริปุจฺฉากุสลา ภิกฺขู อิมานิ ฉ ฐานานิ โสเธตุํ สโกฺกนฺติฯ อิมสฺส ภิกฺขุโน อาคมนปฎิปทา โสเธตพฺพา, ยทิ อาคมนปฎิปทา น สุชฺฌติ, ‘‘อิมาย ปฎิปทาย โลกุตฺตรธมฺมา นาม น ลพฺภนฺตี’’ติ อปเนตโพฺพฯ
Sace ‘‘ime nāma me kilesā pahīnā’’ti vadati, tato ‘‘katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhī’’ti pucchitabbo, ‘‘kiṃ sotāpattimaggassa, udāhu sakadāgāmimaggādīsu aññatarassā’’ti? Sabbesañhi attanā adhigatadhammo pākaṭo hoti. Sace ‘‘imesaṃ nāmāhaṃ dhammānaṃ lābhī’’ti vadati, ettāvatāpissa vacanaṃ na saddhātabbaṃ. Bahussutā hi uggahaparipucchākusalā bhikkhū imāni cha ṭhānāni sodhetuṃ sakkonti. Imassa bhikkhuno āgamanapaṭipadā sodhetabbā, yadi āgamanapaṭipadā na sujjhati, ‘‘imāya paṭipadāya lokuttaradhammā nāma na labbhantī’’ti apanetabbo.
ยทิ ปนสฺส อาคมนปฎิปทา สุชฺฌติ, ‘‘ทีฆรตฺตํ ตีสุ สิกฺขาสุ อปฺปมโตฺต ชาคริยมนุยุโตฺต จตูสุ ปจฺจเยสุ อลโคฺค อากาเส ปาณิสเมน เจตสา วิหรตี’’ติ ปญฺญายติ, ตสฺส ภิกฺขุโน พฺยากรณํ ปฎิปทาย สทฺธิํ สํสนฺทติ สเมติฯ ‘‘เสยฺยถาปิ นาม คโงฺคทกํ ยมุโนทเกน สทฺธิํ สํสนฺทติ สเมติ, เอวเมว สุปญฺญตฺตา เตน ภควตา สาวกานํ นิพฺพานคามินี ปฎิปทา สํสนฺทติ สเมติ นิพฺพานญฺจ ปฎิปทา จา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๙๖) วุตฺตสทิสํ โหติฯ
Yadi panassa āgamanapaṭipadā sujjhati, ‘‘dīgharattaṃ tīsu sikkhāsu appamatto jāgariyamanuyutto catūsu paccayesu alaggo ākāse pāṇisamena cetasā viharatī’’ti paññāyati, tassa bhikkhuno byākaraṇaṃ paṭipadāya saddhiṃ saṃsandati sameti. ‘‘Seyyathāpi nāma gaṅgodakaṃ yamunodakena saddhiṃ saṃsandati sameti, evameva supaññattā tena bhagavatā sāvakānaṃ nibbānagāminī paṭipadā saṃsandati sameti nibbānañca paṭipadā cā’’ti (dī. ni. 2.296) vuttasadisaṃ hoti.
อปิจ โข เอตฺตเกนาปิ สกฺกาโร น กาตโพฺพฯ กสฺมา? เอกจฺจสฺส หิ ปุถุชฺชนสฺสาปิ สโต ขีณาสวปฎิปตฺติสทิสา ปฎิปทา โหติฯ ตสฺมา โส ภิกฺขุ เตหิ เตหิ อุปาเยหิ อุตฺตาเสตโพฺพฯ ขีณาสวสฺส นาม อสนิยาปิ มตฺถเก ปตมานาย ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา โลมหํโส วา น โหติ, ปุถุชฺชนสฺส อปฺปมตฺตเกนาปิ โหติฯ
Apica kho ettakenāpi sakkāro na kātabbo. Kasmā? Ekaccassa hi puthujjanassāpi sato khīṇāsavapaṭipattisadisā paṭipadā hoti. Tasmā so bhikkhu tehi tehi upāyehi uttāsetabbo. Khīṇāsavassa nāma asaniyāpi matthake patamānāya bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā lomahaṃso vā na hoti, puthujjanassa appamattakenāpi hoti.
ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – ทีฆภาณกอภยเตฺถโร กิร เอกํ ปิณฺฑปาติกํ ปริคฺคเหตุํ อสโกฺกโนฺต ทหรสฺส สญฺญํ อทาสิฯ โส ตํ นฺหายมานํ กลฺยาณีนทีมุขทฺวาเร นิมุชฺชิตฺวา ปาเท อคฺคเหสิฯ ปิณฺฑปาติโก กุมฺภีโลติ สญฺญาย มหาสทฺทมกาสิ, ตทา นํ ปุถุชฺชโนติ สญฺชานิํสุฯ จนฺทมุขติสฺสราชกาเล ปน มหาวิหาเร สงฺฆเตฺถโร ขีณาสโว ทุพฺพลจกฺขุโก วิหาเรเยว อจฺฉิฯ ราชา เถรํ ปริคฺคณฺหิสฺสามีติ ภิกฺขูสุ ภิกฺขาจารํ คเตสุ อปฺปสโทฺท อุปสงฺกมิตฺวา สโปฺป วิย ปาเท อคฺคเหสิฯ เถโร สิลาถโมฺภ วิย นิจฺจโล หุตฺวา โก เอตฺถาติ อาห ? อหํ, ภเนฺต, ติโสฺสติฯ สุคนฺธํ วายสิ โน ติสฺสาติ? เอวํ ขีณาสวสฺส ภยํ นาม นตฺถีติฯ
Tatrimāni vatthūni – dīghabhāṇakaabhayatthero kira ekaṃ piṇḍapātikaṃ pariggahetuṃ asakkonto daharassa saññaṃ adāsi. So taṃ nhāyamānaṃ kalyāṇīnadīmukhadvāre nimujjitvā pāde aggahesi. Piṇḍapātiko kumbhīloti saññāya mahāsaddamakāsi, tadā naṃ puthujjanoti sañjāniṃsu. Candamukhatissarājakāle pana mahāvihāre saṅghatthero khīṇāsavo dubbalacakkhuko vihāreyeva acchi. Rājā theraṃ pariggaṇhissāmīti bhikkhūsu bhikkhācāraṃ gatesu appasaddo upasaṅkamitvā sappo viya pāde aggahesi. Thero silāthambho viya niccalo hutvā ko etthāti āha ? Ahaṃ, bhante, tissoti. Sugandhaṃ vāyasi no tissāti? Evaṃ khīṇāsavassa bhayaṃ nāma natthīti.
เอกโจฺจ ปน ปุถุชฺชโนปิ อติสูโร โหติ นิพฺภโยฯ โส รญฺชนีเยน อารมฺมเณน ปริคฺคณฺหิตโพฺพฯ วสภราชาปิ หิ เอกํ เถรํ ปริคฺคณฺหมาโน ฆเร นิสีทาเปตฺวา ตสฺส สนฺติเก พทรสาฬวํ มทฺทมาโน นิสีทิฯ มหาเถรสฺส เขโฬ จลิ, ตโต เถรสฺส ปุถุชฺชนภาโว อาวิภูโตฯ ขีณาสวสฺส หิ รสตณฺหา นาม สุปฺปหีนา, ทิเพฺพสุปิ รเสสุ นิกนฺติ นาม น โหติฯ ตสฺมา อิเมหิ อุปาเยหิ ปริคฺคเหตฺวา สจสฺส ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา โลมหํโส วา รสตณฺหา วา อุปฺปชฺชติ, น ตฺวํ อรหาติ อปเนตโพฺพฯ สเจ ปน อภีรู อจฺฉมฺภี อนุตฺราสี หุตฺวา สีโห วิย นิสีทติ, ทิพฺพารมฺมเณปิ นิกนฺติํ น ชเนติฯ อยํ ภิกฺขุ สมฺปนฺนเวยฺยากรโณ สมนฺตา ราชราชมหามตฺตาทีหิ เปสิตํ สกฺการํ อรหตีติฯ
Ekacco pana puthujjanopi atisūro hoti nibbhayo. So rañjanīyena ārammaṇena pariggaṇhitabbo. Vasabharājāpi hi ekaṃ theraṃ pariggaṇhamāno ghare nisīdāpetvā tassa santike badarasāḷavaṃ maddamāno nisīdi. Mahātherassa kheḷo cali, tato therassa puthujjanabhāvo āvibhūto. Khīṇāsavassa hi rasataṇhā nāma suppahīnā, dibbesupi rasesu nikanti nāma na hoti. Tasmā imehi upāyehi pariggahetvā sacassa bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā lomahaṃso vā rasataṇhā vā uppajjati, na tvaṃ arahāti apanetabbo. Sace pana abhīrū acchambhī anutrāsī hutvā sīho viya nisīdati, dibbārammaṇepi nikantiṃ na janeti. Ayaṃ bhikkhu sampannaveyyākaraṇo samantā rājarājamahāmattādīhi pesitaṃ sakkāraṃ arahatīti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
ฉพฺพิโสธนสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Chabbisodhanasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. ฉพฺพิโสธนสุตฺตํ • 2. Chabbisodhanasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. ฉพฺพิโสธนสุตฺตวณฺณนา • 2. Chabbisodhanasuttavaṇṇanā