Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๕๑๔] ๔. ฉทฺทนฺตชาตกวณฺณนา
[514] 4. Chaddantajātakavaṇṇanā
กิํ นุ โสจสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ ทหรภิกฺขุนิํ อารพฺภ กเถสิฯ สา กิร สาวตฺถิยํ กุลธีตา ฆราวาเส อาทีนวํ ทิสฺวา สาสเน ปพฺพชิตฺวา เอกทิวสํ ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ ธมฺมสวนาย คนฺตฺวา อลงฺกตธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส ทสพลสฺส อปริมาณปุญฺญปภาวาภินิพฺพตฺตํ อุตฺตมรูปสมฺปตฺติยุตฺตํ อตฺตภาวํ โอโลเกตฺวา ‘‘ปริจิณฺณปุพฺพา นุ โข เม ภวสฺมิํ วิจรนฺติยา อิมสฺส มหาปุริสสฺส ปาทปริจาริกา’’ติ จิเนฺตสิฯ อถสฺสา ตงฺขณเญฺญว ชาติสฺสรญาณํ อุปฺปชฺชิ – ‘‘ฉทฺทนฺตวารณกาเล อหํ อิมสฺส มหาปุริสสฺส ปาทปริจาริกา ภูตปุพฺพา’’ติฯ อถสฺสา สรนฺติยา มหนฺตํ ปีติปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชิฯ สา ปีติเวเคน มหาหสิตํ หสิตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘ปาทปริจาริกา นาม สามิกานํ หิตชฺฌาสยา อปฺปกา, อหิตชฺฌาสยาว พหุตรา, หิตชฺฌาสยา นุ โข อหํ อิมสฺส มหาปุริสสฺส อโหสิํ, อหิตชฺฌาสยา’’ติฯ สา อนุสฺสรมานา ‘‘อหํ อปฺปมตฺตกํ โทสํ หทเย ฐเปตฺวา วีสรตนสติกํ ฉทฺทนฺตมหาคชิสฺสรํ โสนุตฺตรํ นาม เนสาทํ เปเสตฺวา วิสปีตสเลฺลน วิชฺฌาเปตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิ’’นฺติ อทฺทสฯ อถสฺสา โสโก อุทปาทิ, หทยํ อุณฺหํ อโหสิ, โสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี อสฺสสิตฺวา ปสฺสสิตฺวา มหาสเทฺทน ปโรทิฯ ตํ ทิสฺวา สตฺถา สิตํ ปาตุ กริตฺวา ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย สิตสฺส ปาตุกมฺมายา’’ติ ภิกฺขุสเงฺฆน ปุโฎฺฐ ‘‘ภิกฺขเว, อยํ ทหรภิกฺขุนี ปุเพฺพ มยิ กตํ อปราธํ สริตฺวา โรทตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Kiṃ nu socasīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ daharabhikkhuniṃ ārabbha kathesi. Sā kira sāvatthiyaṃ kuladhītā gharāvāse ādīnavaṃ disvā sāsane pabbajitvā ekadivasaṃ bhikkhunīhi saddhiṃ dhammasavanāya gantvā alaṅkatadhammāsane nisīditvā dhammaṃ desentassa dasabalassa aparimāṇapuññapabhāvābhinibbattaṃ uttamarūpasampattiyuttaṃ attabhāvaṃ oloketvā ‘‘pariciṇṇapubbā nu kho me bhavasmiṃ vicarantiyā imassa mahāpurisassa pādaparicārikā’’ti cintesi. Athassā taṅkhaṇaññeva jātissarañāṇaṃ uppajji – ‘‘chaddantavāraṇakāle ahaṃ imassa mahāpurisassa pādaparicārikā bhūtapubbā’’ti. Athassā sarantiyā mahantaṃ pītipāmojjaṃ uppajji. Sā pītivegena mahāhasitaṃ hasitvā puna cintesi – ‘‘pādaparicārikā nāma sāmikānaṃ hitajjhāsayā appakā, ahitajjhāsayāva bahutarā, hitajjhāsayā nu kho ahaṃ imassa mahāpurisassa ahosiṃ, ahitajjhāsayā’’ti. Sā anussaramānā ‘‘ahaṃ appamattakaṃ dosaṃ hadaye ṭhapetvā vīsaratanasatikaṃ chaddantamahāgajissaraṃ sonuttaraṃ nāma nesādaṃ pesetvā visapītasallena vijjhāpetvā jīvitakkhayaṃ pāpesi’’nti addasa. Athassā soko udapādi, hadayaṃ uṇhaṃ ahosi, sokaṃ sandhāretuṃ asakkontī assasitvā passasitvā mahāsaddena parodi. Taṃ disvā satthā sitaṃ pātu karitvā ‘‘ko nu kho, bhante, hetu, ko paccayo sitassa pātukammāyā’’ti bhikkhusaṅghena puṭṭho ‘‘bhikkhave, ayaṃ daharabhikkhunī pubbe mayi kataṃ aparādhaṃ saritvā rodatī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต หิมวนฺตปเทเส ฉทฺทนฺตทหํ อุปนิสฺสาย อฎฺฐสหสฺสา หตฺถินาคา วสิํสุ อิทฺธิมนฺตา เวหาสงฺคมาฯ ตทา โพธิสโตฺต เชฎฺฐกวารณสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, โส สพฺพเสโต อโหสิ รตฺตมุขปาโทฯ โส อปรภาเค วุทฺธิปฺปโตฺต อฎฺฐาสีติหตฺถุเพฺพโธ อโหสิ วีสรตนสตายาโมฯ อฎฺฐปณฺณาสหตฺถาย รชตทามสทิสาย โสณฺฑาย สมนฺนาคโตฯ ทนฺตา ปนสฺส ปริเกฺขปโต ปนฺนรสหตฺถา อเหสุํ ทีฆโต ติํสหตฺถา ฉพฺพณฺณรํสีหิ สมนฺนาคตาฯ โส อฎฺฐนฺนํ นาคสหสฺสานํ เชฎฺฐโก อโหสิ, ปญฺจสเต ปเจฺจกพุเทฺธ ปูเชสิฯ ตสฺส เทฺว อคฺคมเหสิโย อเหสุํ – จูฬสุภทฺทา, มหาสุภทฺทา จาติฯ นาคราชา อฎฺฐนาคสหสฺสปริวาโร กญฺจนคุหายํ วสติฯ โส ปน ฉทฺทนฺตทโห อายามโต จ วิตฺถารโต จ ปณฺณาสโยชโน โหติฯ ตสฺส มเชฺฌ ทฺวาทสโยชนปฺปมาเณ ฐาเน เสวาโล วา ปณกํ วา นตฺถิ, มณิกฺขนฺธวณฺณอุทกเมว สนฺติฎฺฐติ, ตทนนฺตรํ โยชนวิตฺถตํ สุทฺธํ กลฺลหารวนํ, ตํ อุทกํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํ, ตทนนฺตรํ โยชนวิตฺถตเมว สุทฺธํ นีลุปฺปลวนํ ตํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํ, ตโต โยชนโยชนวิตฺถตาเนว รตฺตุปฺปลเสตุปฺปลรตฺตปทุมเสตปทุมกุมุทวนานิ ปุริมํ ปุริมํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตานิฯ อิเมสํ ปน สตฺตนฺนํ วนานํ อนนฺตรํ สเพฺพสมฺปิ เตสํ กลฺลหาราทิวนานํ วเสน โอมิสฺสกวนํ โยชนวิตฺถตเมว ตานิ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํฯ ตทนนฺตรํ นาคานํ กฎิปฺปมาเณ อุทเก โยชนวิตฺถตเมว รตฺตสาลิวนํ, ตทนนฺตรํ อุทกปริยเนฺต โยชนวิตฺถตเมว นีลปีตโลหิตโอทาตสุรภิสุขุมกุสุมสมากิณฺณํ ขุทฺทกคจฺฉวนํ, อิติ อิมานิ ทส วนานิ โยชนวิตฺถตาเนวฯ ตโต ขุทฺทกราชมาสมหาราชมาสมุคฺควนํ, ตทนนฺตรํ ติปุสเอลาลุกลาพุกุมฺภณฺฑวลฺลิวนานิ, ตโต ปูครุกฺขปฺปมาณํ อุจฺฉุวนํ, ตโต หตฺถิทนฺตปฺปมาณผลํ กทลิวนํ , ตโต สาลวนํ, ตทนนฺตรํ จาฎิปฺปมาณผลํ ปนสวนํ, ตโต มธุรผลํ จิญฺจวนํ, ตโต อมฺพวนํ, ตโต กปิฎฺฐวนํ, ตโต โอมิสฺสโก มหาวนสโณฺฑ, ตโต เวฬุวนํ, อยมสฺส ตสฺมิํ กาเล สมฺปตฺติฯ สํยุตฺตฎฺฐกถายํ ปน อิทานิ ปวตฺตมานสมฺปตฺติเยว กถิตาฯ
Atīte himavantapadese chaddantadahaṃ upanissāya aṭṭhasahassā hatthināgā vasiṃsu iddhimantā vehāsaṅgamā. Tadā bodhisatto jeṭṭhakavāraṇassa putto hutvā nibbatti, so sabbaseto ahosi rattamukhapādo. So aparabhāge vuddhippatto aṭṭhāsītihatthubbedho ahosi vīsaratanasatāyāmo. Aṭṭhapaṇṇāsahatthāya rajatadāmasadisāya soṇḍāya samannāgato. Dantā panassa parikkhepato pannarasahatthā ahesuṃ dīghato tiṃsahatthā chabbaṇṇaraṃsīhi samannāgatā. So aṭṭhannaṃ nāgasahassānaṃ jeṭṭhako ahosi, pañcasate paccekabuddhe pūjesi. Tassa dve aggamahesiyo ahesuṃ – cūḷasubhaddā, mahāsubhaddā cāti. Nāgarājā aṭṭhanāgasahassaparivāro kañcanaguhāyaṃ vasati. So pana chaddantadaho āyāmato ca vitthārato ca paṇṇāsayojano hoti. Tassa majjhe dvādasayojanappamāṇe ṭhāne sevālo vā paṇakaṃ vā natthi, maṇikkhandhavaṇṇaudakameva santiṭṭhati, tadanantaraṃ yojanavitthataṃ suddhaṃ kallahāravanaṃ, taṃ udakaṃ parikkhipitvā ṭhitaṃ, tadanantaraṃ yojanavitthatameva suddhaṃ nīluppalavanaṃ taṃ parikkhipitvā ṭhitaṃ, tato yojanayojanavitthatāneva rattuppalasetuppalarattapadumasetapadumakumudavanāni purimaṃ purimaṃ parikkhipitvā ṭhitāni. Imesaṃ pana sattannaṃ vanānaṃ anantaraṃ sabbesampi tesaṃ kallahārādivanānaṃ vasena omissakavanaṃ yojanavitthatameva tāni parikkhipitvā ṭhitaṃ. Tadanantaraṃ nāgānaṃ kaṭippamāṇe udake yojanavitthatameva rattasālivanaṃ, tadanantaraṃ udakapariyante yojanavitthatameva nīlapītalohitaodātasurabhisukhumakusumasamākiṇṇaṃ khuddakagacchavanaṃ, iti imāni dasa vanāni yojanavitthatāneva. Tato khuddakarājamāsamahārājamāsamuggavanaṃ, tadanantaraṃ tipusaelālukalābukumbhaṇḍavallivanāni, tato pūgarukkhappamāṇaṃ ucchuvanaṃ, tato hatthidantappamāṇaphalaṃ kadalivanaṃ , tato sālavanaṃ, tadanantaraṃ cāṭippamāṇaphalaṃ panasavanaṃ, tato madhuraphalaṃ ciñcavanaṃ, tato ambavanaṃ, tato kapiṭṭhavanaṃ, tato omissako mahāvanasaṇḍo, tato veḷuvanaṃ, ayamassa tasmiṃ kāle sampatti. Saṃyuttaṭṭhakathāyaṃ pana idāni pavattamānasampattiyeva kathitā.
เวฬุวนํ ปน ปริกฺขิปิตฺวา สตฺต ปพฺพตา ฐิตาฯ เตสํ พาหิรนฺตโต ปฎฺฐาย ปฐโม จูฬกาฬปพฺพโต นาม, ทุติโย มหากาฬปพฺพโต นาม, ตโต อุทกปพฺพโต นาม, ตโต จนฺทิมปสฺสปพฺพโต นาม, ตโต สูริยปสฺสปพฺพโต นาม, ตโต มณิปสฺสปพฺพโต นาม, สตฺตโม สุวณฺณปสฺสปพฺพโต นามฯ โส อุเพฺพธโต สตฺตโยชนิโก ฉทฺทนฺตทหํ ปริกฺขิปิตฺวา ปตฺตสฺส มุขวฎฺฎิ วิย ฐิโตฯ ตสฺส อพฺภนฺตริมํ ปสฺสํ สุวณฺณวณฺณํ, ตโต นิกฺขเนฺตน โอภาเสน ฉทฺทนฺตทโห สมุคฺคตพาลสูริโย วิย โหติฯ พาหิรปพฺพเตสุ ปน เอโก อุเพฺพธโต ฉโยชนิโก, เอโก ปญฺจ, เอโก จตฺตาริ, เอโก ตีณิ, เอโก เทฺว, เอโก โยชนิโก, เอวํ สตฺตปพฺพตปริกฺขิตฺตสฺส ปน ตสฺส ทหสฺส ปุพฺพุตฺตรกเณฺณ อุทกวาตปฺปหรโณกาเส มหานิโคฺรธรุโกฺข อตฺถิฯ ตสฺส ขโนฺธ ปริเกฺขปโต ปญฺจโยชนิโก, อุเพฺพธโต สตฺตโยชนิโก, จตูสุ ทิสาสุ จตโสฺส สาขา ฉโยชนิกา, อุทฺธํ อุคฺคตสาขาปิ ฉโยชนิกาว, อิติ โส มูลโต ปฎฺฐาย อุเพฺพเธน เตรสโยชนิโก, สาขานํ โอริมนฺตโต ยาว ปาริมนฺตา ทฺวาทสโยชนิโก, อฎฺฐหิ ปาโรหสหเสฺสหิ ปฎิมณฺฑิโต มุณฺฑมณิปพฺพโต วิย วิลาสมาโน ติฎฺฐติฯ ฉทฺทนฺตทหสฺส ปน ปจฺฉิมทิสาภาเค สุวณฺณปสฺสปพฺพเต ทฺวาทสโยชนิกา กญฺจนคุหา ติฎฺฐติฯ ฉทฺทโนฺต นาม นาคราชา วสฺสารเตฺต เหมเนฺต อฎฺฐสหสฺสนาคปริวุโต กญฺจนคุหายํ วสติฯ คิมฺหกาเล อุทกวาตํ สมฺปฎิจฺฉมาโน มหานิโคฺรธมูเล ปาโรหนฺตเร ติฎฺฐตีฯ
Veḷuvanaṃ pana parikkhipitvā satta pabbatā ṭhitā. Tesaṃ bāhirantato paṭṭhāya paṭhamo cūḷakāḷapabbato nāma, dutiyo mahākāḷapabbato nāma, tato udakapabbato nāma, tato candimapassapabbato nāma, tato sūriyapassapabbato nāma, tato maṇipassapabbato nāma, sattamo suvaṇṇapassapabbato nāma. So ubbedhato sattayojaniko chaddantadahaṃ parikkhipitvā pattassa mukhavaṭṭi viya ṭhito. Tassa abbhantarimaṃ passaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ, tato nikkhantena obhāsena chaddantadaho samuggatabālasūriyo viya hoti. Bāhirapabbatesu pana eko ubbedhato chayojaniko, eko pañca, eko cattāri, eko tīṇi, eko dve, eko yojaniko, evaṃ sattapabbataparikkhittassa pana tassa dahassa pubbuttarakaṇṇe udakavātappaharaṇokāse mahānigrodharukkho atthi. Tassa khandho parikkhepato pañcayojaniko, ubbedhato sattayojaniko, catūsu disāsu catasso sākhā chayojanikā, uddhaṃ uggatasākhāpi chayojanikāva, iti so mūlato paṭṭhāya ubbedhena terasayojaniko, sākhānaṃ orimantato yāva pārimantā dvādasayojaniko, aṭṭhahi pārohasahassehi paṭimaṇḍito muṇḍamaṇipabbato viya vilāsamāno tiṭṭhati. Chaddantadahassa pana pacchimadisābhāge suvaṇṇapassapabbate dvādasayojanikā kañcanaguhā tiṭṭhati. Chaddanto nāma nāgarājā vassāratte hemante aṭṭhasahassanāgaparivuto kañcanaguhāyaṃ vasati. Gimhakāle udakavātaṃ sampaṭicchamāno mahānigrodhamūle pārohantare tiṭṭhatī.
อถสฺส เอกทิวสํ ‘‘มหาสาลวนํ ปุปฺผิต’’นฺติ ตรุณนาคา อาคนฺตฺวา อาโรจยิํสุฯ โส สปริวาโร ‘‘สาลกีฬํ กีฬิสฺสามี’’ติ สาลวนํ คนฺตฺวา เอกํ สุปุปฺผิตํ สาลรุกฺขํ กุเมฺภน ปหริฯ ตทา จูฬสุภทฺทา ปฎิวาตปเสฺส ฐิตา, ตสฺสา สรีเร สุกฺขทณฺฑกมิสฺสกานิ ปุราณปณฺณานิ เจว ตมฺพกิปิลฺลิกานิ จ ปติํสุฯ มหาสุภทฺทา อโธวาตปเสฺส ฐิตา, ตสฺสา สรีเร ปุปฺผเรณุกิญฺชกฺขปตฺตานิ ปติํสุฯ จูฬสุภทฺทา ‘‘อยํ นาคราชา อตฺตโน ปิยภริยาย อุปริ ปุปฺผเรณุกิญฺชกฺขปตฺตานิ ปาเตสิ, มม สรีเร สุกฺขทณฺฑกมิสฺสานิ ปุราณปณฺณานิ เจว ตมฺพกิปิลฺลิกานิ จ ปาเตสิ, โหตุ, กาตพฺพํ ชานิสฺสามี’’ติ มหาสเตฺต เวรํ พนฺธิฯ
Athassa ekadivasaṃ ‘‘mahāsālavanaṃ pupphita’’nti taruṇanāgā āgantvā ārocayiṃsu. So saparivāro ‘‘sālakīḷaṃ kīḷissāmī’’ti sālavanaṃ gantvā ekaṃ supupphitaṃ sālarukkhaṃ kumbhena pahari. Tadā cūḷasubhaddā paṭivātapasse ṭhitā, tassā sarīre sukkhadaṇḍakamissakāni purāṇapaṇṇāni ceva tambakipillikāni ca patiṃsu. Mahāsubhaddā adhovātapasse ṭhitā, tassā sarīre pupphareṇukiñjakkhapattāni patiṃsu. Cūḷasubhaddā ‘‘ayaṃ nāgarājā attano piyabhariyāya upari pupphareṇukiñjakkhapattāni pātesi, mama sarīre sukkhadaṇḍakamissāni purāṇapaṇṇāni ceva tambakipillikāni ca pātesi, hotu, kātabbaṃ jānissāmī’’ti mahāsatte veraṃ bandhi.
อปรมฺปิ ทิวสํ นาคราชา สปริวาโร นฺหานตฺถาย ฉทฺทนฺตทหํ โอตริฯ อถ เทฺว ตรุณนาคา โสณฺฑาหิ อุสิรกลาเป คเหตฺวา เกลาสกูฎํ มชฺชนฺตา วิย นฺหาเปสุํฯ ตสฺมิํ นฺหตฺวา อุตฺติเณฺณ เทฺว กเรณุโย นฺหาเปสุํฯ ตาปิ อุตฺตริตฺวา มหาสตฺตสฺส สนฺติเก อฎฺฐํสุฯ ตโต อฎฺฐสหสฺสนาคาสรํ โอตริตฺวา อุทกกีฬํ กีฬิตฺวา สรโต นานาปุปฺผานิ อาหริตฺวา รชตถูปํ อลงฺกโรนฺตา วิย มหาสตฺตํ อลงฺกริตฺวา ปจฺฉา เทฺว กเรณุโย อลงฺกริํสุฯ อเถโก หตฺถี สเร วิจรโนฺต สตฺตุทฺทยํ นาม มหาปทุมํ ลภิตฺวา อาหริตฺวา มหาสตฺตสฺส อทาสิฯ โส ตํ โสณฺฑาย คเหตฺวา เรณุํ กุเมฺภ โอกิริตฺวา เชฎฺฐกาย มหาสุภทฺทาย อทาสิฯ ตํ ทิสฺวา อิตรา ‘‘อิทมฺปิ สตฺตุทฺทยํ มหาปทุมํ อตฺตโน ปิยภริยาย เอว อทาสิ, น มยฺห’’นฺติ ปุนปิ ตสฺมิํ เวรํ พนฺธิฯ
Aparampi divasaṃ nāgarājā saparivāro nhānatthāya chaddantadahaṃ otari. Atha dve taruṇanāgā soṇḍāhi usirakalāpe gahetvā kelāsakūṭaṃ majjantā viya nhāpesuṃ. Tasmiṃ nhatvā uttiṇṇe dve kareṇuyo nhāpesuṃ. Tāpi uttaritvā mahāsattassa santike aṭṭhaṃsu. Tato aṭṭhasahassanāgāsaraṃ otaritvā udakakīḷaṃ kīḷitvā sarato nānāpupphāni āharitvā rajatathūpaṃ alaṅkarontā viya mahāsattaṃ alaṅkaritvā pacchā dve kareṇuyo alaṅkariṃsu. Atheko hatthī sare vicaranto sattuddayaṃ nāma mahāpadumaṃ labhitvā āharitvā mahāsattassa adāsi. So taṃ soṇḍāya gahetvā reṇuṃ kumbhe okiritvā jeṭṭhakāya mahāsubhaddāya adāsi. Taṃ disvā itarā ‘‘idampi sattuddayaṃ mahāpadumaṃ attano piyabhariyāya eva adāsi, na mayha’’nti punapi tasmiṃ veraṃ bandhi.
อเถกทิวสํ โพธิสเตฺต มธุรผลานิ เจว ภิสมุฬาลานิ จ โปกฺขรมธุนา โยเชตฺวา ปญฺจสเต ปเจฺจกพุเทฺธ โภเชเนฺต จูฬสุภทฺทา อตฺตนา ลทฺธผลาผลํ ปเจฺจกพุทฺธานํ ทตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิโต จวิตฺวา มทฺทราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา สุภทฺทา นาม ราชกญฺญา หุตฺวา วยปฺปตฺตา พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิภาวํ ปตฺวา ตสฺส ปิยา มนาปา ตํ อตฺตโน รุจิํ กาเรตุํ สมตฺถา หุตฺวา ตสฺส อาจิกฺขิตฺวา เอกํ ลุทฺทกํ เปเสตฺวา อิมํ หตฺถิํ วิสปีเตน สเลฺลน วิชฺฌาเปตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ฉพฺพณฺณรํสิํ วิสฺสเชฺชเนฺต ยมกทเนฺต อาหราเปตุํ สมตฺถา โหมี’’ติ ปตฺถนํ ฐเปสิฯ สา ตโต ปฎฺฐาย โคจรํ อคฺคเหตฺวา สุสฺสิตฺวา นจิรเสฺสว กาลํ กตฺวา มทฺทรเฎฺฐ ราชอคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, สุภทฺทาติสฺสา นามํ กริํสุฯ อถ นํ วยปฺปตฺตํ พาราณสิรโญฺญ อทํสุฯ สา ตสฺส ปิยา อโหสิ มนาปา, โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ เชฎฺฐิกา หุตฺวา ชาติสฺสรญาณญฺจ ปฎิลภิฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘สมิทฺธา เม ปตฺถนา, อิทานิ ตสฺส นาคสฺส ยมกทเนฺต อาหราเปสฺสามี’’ติฯ ตโต สรีรํ เตเลน มเกฺขตฺวา กิลิฎฺฐวตฺถํ นิวาเสตฺวา คิลานาการํ ทเสฺสตฺวา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา มญฺจเก นิปชฺชิฯ ราชา ‘‘กุหิํ สุภทฺทา’’ติ วตฺวา ‘‘คิลานา’’ติ สุตฺวา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา มญฺจเก นิสีทิตฺวา ตสฺสา ปิฎฺฐิํ ปริมชฺชโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Athekadivasaṃ bodhisatte madhuraphalāni ceva bhisamuḷālāni ca pokkharamadhunā yojetvā pañcasate paccekabuddhe bhojente cūḷasubhaddā attanā laddhaphalāphalaṃ paccekabuddhānaṃ datvā ‘‘bhante, ito cavitvā maddarājakule nibbattitvā subhaddā nāma rājakaññā hutvā vayappattā bārāṇasirañño aggamahesibhāvaṃ patvā tassa piyā manāpā taṃ attano ruciṃ kāretuṃ samatthā hutvā tassa ācikkhitvā ekaṃ luddakaṃ pesetvā imaṃ hatthiṃ visapītena sallena vijjhāpetvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā chabbaṇṇaraṃsiṃ vissajjente yamakadante āharāpetuṃ samatthā homī’’ti patthanaṃ ṭhapesi. Sā tato paṭṭhāya gocaraṃ aggahetvā sussitvā nacirasseva kālaṃ katvā maddaraṭṭhe rājaaggamahesiyā kucchimhi nibbatti, subhaddātissā nāmaṃ kariṃsu. Atha naṃ vayappattaṃ bārāṇasirañño adaṃsu. Sā tassa piyā ahosi manāpā, soḷasannaṃ itthisahassānaṃ jeṭṭhikā hutvā jātissarañāṇañca paṭilabhi. Sā cintesi – ‘‘samiddhā me patthanā, idāni tassa nāgassa yamakadante āharāpessāmī’’ti. Tato sarīraṃ telena makkhetvā kiliṭṭhavatthaṃ nivāsetvā gilānākāraṃ dassetvā sirigabbhaṃ pavisitvā mañcake nipajji. Rājā ‘‘kuhiṃ subhaddā’’ti vatvā ‘‘gilānā’’ti sutvā sirigabbhaṃ pavisitvā mañcake nisīditvā tassā piṭṭhiṃ parimajjanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๙๗.
97.
‘‘กิํ นุ โสจสินุจฺจงฺคิ, ปณฺฑูสิ วรวณฺณินิ;
‘‘Kiṃ nu socasinuccaṅgi, paṇḍūsi varavaṇṇini;
มิลายสิ วิสาลกฺขิ, มาลาว ปริมทฺทิตา’’ติฯ
Milāyasi visālakkhi, mālāva parimadditā’’ti.
ตตฺถ อนุจฺจงฺคีติ กญฺจนสนฺนิภสรีเรฯ มาลาว ปริมทฺทิตาติ หเตฺถหิ ปริมทฺทิตา ปทุมมาลา วิยฯ
Tattha anuccaṅgīti kañcanasannibhasarīre. Mālāva parimadditāti hatthehi parimadditā padumamālā viya.
ตํ สุตฺวา สา อิตรํ คาถมาห –
Taṃ sutvā sā itaraṃ gāthamāha –
๙๘.
98.
‘‘โทหโฬ เม มหาราช, สุปินเนฺตนุปชฺฌคา;
‘‘Dohaḷo me mahārāja, supinantenupajjhagā;
น โส สุลภรูโปว, ยาทิโส มม โทหโฬ’’ติฯ
Na so sulabharūpova, yādiso mama dohaḷo’’ti.
ตตฺถ น โสติ ยาทิโส มม สุปินเนฺตนุปชฺฌคา สุปิเน ปสฺสนฺติยา มยา ทิโฎฺฐ โทหโฬ, โส สุลภรูโป วิย น โหติ, ทุลฺลโภ โส, มยฺหํ ปน ตํ อลภนฺติยา ชีวิตํ นตฺถีติ อวจฯ
Tattha na soti yādiso mama supinantenupajjhagā supine passantiyā mayā diṭṭho dohaḷo, so sulabharūpo viya na hoti, dullabho so, mayhaṃ pana taṃ alabhantiyā jīvitaṃ natthīti avaca.
ตํ สุตฺวา ราชา คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā gāthamāha –
๙๙.
99.
‘‘เย เกจิ มานุสา กามา, อิธ โลกมฺหิ นนฺทเน;
‘‘Ye keci mānusā kāmā, idha lokamhi nandane;
สเพฺพ เต ปจุรา มยฺหํ, อหํ เต ทมฺมิ โทหฬ’’นฺติฯ
Sabbe te pacurā mayhaṃ, ahaṃ te dammi dohaḷa’’nti.
ตตฺถ ปจุราติ พหู สุลภาฯ
Tattha pacurāti bahū sulabhā.
ตํ สุตฺวา เทวี, ‘‘มหาราช, ทุลฺลโภ มม โทหโฬ, น ตํ อิทานิ กเถมิ, ยาวตฺตกา ปน เต วิชิเต ลุทฺทา, เต สเพฺพ สนฺนิปาเตถ , เตสํ มเชฺฌ กเถสฺสามี’’ติ ทีเปนฺตี อนนฺตรํ คาถมาห –
Taṃ sutvā devī, ‘‘mahārāja, dullabho mama dohaḷo, na taṃ idāni kathemi, yāvattakā pana te vijite luddā, te sabbe sannipātetha , tesaṃ majjhe kathessāmī’’ti dīpentī anantaraṃ gāthamāha –
๑๐๐.
100.
‘‘ลุทฺทา เทว สมายนฺตุ, เย เกจิ วิชิเต ตว;
‘‘Luddā deva samāyantu, ye keci vijite tava;
เอเตสํ อหมกฺขิสฺสํ, ยาทิโส มม โทหโฬ’’ติฯ
Etesaṃ ahamakkhissaṃ, yādiso mama dohaḷo’’ti.
ราชา ‘‘สาธู’’ติ สิริคพฺภา นิกฺขมิตฺวา ‘‘ยาวติกา ติโยชนสติเก กาสิกรเฎฺฐ ลุทฺทา, เตสํ สนฺนิปาตตฺถาย เภริํ จราเปถา’’ติ อมเจฺจ อาณาเปสิฯ เต ตถา อกํสุฯ นจิรเสฺสว กาสิรฎฺฐวาสิโน ลุทฺทา ยถาพลํ ปณฺณาการํ คเหตฺวา อาคนฺตฺวา อาคตภาวํ รโญฺญ อาโรจาเปสุํ ฯ เต สเพฺพปิ สฎฺฐิสหสฺสมตฺตา อเหสุํฯ ราชา เตสํ อาคตภาวํ ญตฺวา วาตปาเน ฐิโต หตฺถํ ปสาเรตฺวา เตสํ อาคตภาวํ เทวิยา กเถโนฺต อาห –
Rājā ‘‘sādhū’’ti sirigabbhā nikkhamitvā ‘‘yāvatikā tiyojanasatike kāsikaraṭṭhe luddā, tesaṃ sannipātatthāya bheriṃ carāpethā’’ti amacce āṇāpesi. Te tathā akaṃsu. Nacirasseva kāsiraṭṭhavāsino luddā yathābalaṃ paṇṇākāraṃ gahetvā āgantvā āgatabhāvaṃ rañño ārocāpesuṃ . Te sabbepi saṭṭhisahassamattā ahesuṃ. Rājā tesaṃ āgatabhāvaṃ ñatvā vātapāne ṭhito hatthaṃ pasāretvā tesaṃ āgatabhāvaṃ deviyā kathento āha –
๑๐๑.
101.
‘‘อิเม เต ลุทฺทกา เทวิ, กตหตฺถา วิสารทา;
‘‘Ime te luddakā devi, katahatthā visāradā;
วนญฺญู จ มิคญฺญู จ, มมเตฺถ จตฺตชีวิตา’’ติฯ
Vanaññū ca migaññū ca, mamatthe cattajīvitā’’ti.
ตตฺถ อิเม เตติ เย ตฺวํ สนฺนิปาตาเปสิ, อิเม เตฯ กตหตฺถาติ วิชฺฌนเฉทเนสุ กตหตฺถา กุสลา สุสิกฺขิตาฯ วิสารทาติ นิพฺภยาฯ วนญฺญู จ มิคญฺญู จาติ วนานิ จ มิเค จ ชานนฺติฯ มมเตฺถติ สเพฺพปิ เจเต มมเตฺถ จตฺตชีวิตา, ยมหํ อิจฺฉามิ, ตํ กโรนฺตีติฯ
Tattha ime teti ye tvaṃ sannipātāpesi, ime te. Katahatthāti vijjhanachedanesu katahatthā kusalā susikkhitā. Visāradāti nibbhayā. Vanaññū ca migaññū cāti vanāni ca mige ca jānanti. Mamattheti sabbepi cete mamatthe cattajīvitā, yamahaṃ icchāmi, taṃ karontīti.
ตํ สุตฺวา เทวี เต อามเนฺตตฺวา อิตรํ คาถมาห –
Taṃ sutvā devī te āmantetvā itaraṃ gāthamāha –
๑๐๒.
102.
‘‘ลุทฺทปุตฺตา นิสาเมถ, ยาวเนฺตตฺถ สมาคตา;
‘‘Luddaputtā nisāmetha, yāvantettha samāgatā;
ฉพฺพิสาณํ คชํ เสตํ, อทฺทสํ สุปิเน อหํ;
Chabbisāṇaṃ gajaṃ setaṃ, addasaṃ supine ahaṃ;
ตสฺส ทเนฺตหิ เม อโตฺถ, อลาเภ นตฺถิ ชีวิต’’นฺติฯ
Tassa dantehi me attho, alābhe natthi jīvita’’nti.
ตตฺถ นิสาเมถาติ สุณาถฯ ฉพฺพิสาณนฺติ ฉพฺพณฺณวิสาณํฯ
Tattha nisāmethāti suṇātha. Chabbisāṇanti chabbaṇṇavisāṇaṃ.
ตํ สุตฺวา ลุทฺทปุตฺตา อาหํสุ –
Taṃ sutvā luddaputtā āhaṃsu –
๑๐๓.
103.
‘‘น โน ปิตูนํ น ปิตามหานํ, ทิโฎฺฐ สุโต กุญฺชโร ฉพฺพิสาโณ;
‘‘Na no pitūnaṃ na pitāmahānaṃ, diṭṭho suto kuñjaro chabbisāṇo;
ยมทฺทสา สุปิเน ราชปุตฺตี, อกฺขาหิ โน ยาทิโส หตฺถินาโค’’ติฯ
Yamaddasā supine rājaputtī, akkhāhi no yādiso hatthināgo’’ti.
ตตฺถ ปิตูนนฺติ กรณเตฺถ สามิวจนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เทวิ เนว อมฺหากํ ปิตูหิ, น ปิตามเหหิ เอวรูโป กุญฺชโร ทิฎฺฐปุโพฺพ, ปเคว อเมฺหหิ, ตสฺมา อตฺตนา ทิฎฺฐลกฺขณวเสน อกฺขาหิ โน, ยาทิโส ตยา ทิโฎฺฐ หตฺถินาโคติฯ
Tattha pitūnanti karaṇatthe sāmivacanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – devi neva amhākaṃ pitūhi, na pitāmahehi evarūpo kuñjaro diṭṭhapubbo, pageva amhehi, tasmā attanā diṭṭhalakkhaṇavasena akkhāhi no, yādiso tayā diṭṭho hatthināgoti.
อนนฺตรคาถาปิ เตเหว วุตฺตา –
Anantaragāthāpi teheva vuttā –
๑๐๔.
104.
‘‘ทิสา จตโสฺส วิทิสา จตโสฺส, อุทฺธํ อโธ ทส ทิสา อิมาโย;
‘‘Disā catasso vidisā catasso, uddhaṃ adho dasa disā imāyo;
กตมํ ทิสํ ติฎฺฐติ นาคราชา, ยมทฺทสา สุปิเน ฉพฺพิสาณ’’นฺติฯ
Katamaṃ disaṃ tiṭṭhati nāgarājā, yamaddasā supine chabbisāṇa’’nti.
ตตฺถ ทิสาติ ทิสาสุฯ กตมนฺติ เอตาสุ ทิสาสุ กตมาย ทิสายาติฯ
Tattha disāti disāsu. Katamanti etāsu disāsu katamāya disāyāti.
เอวํ วุเตฺต สุภทฺทา สเพฺพ ลุเทฺท โอโลเกตฺวา เตสํ อนฺตเร ปตฺถฎปาทํ ภตฺตปุฎสทิสชงฺฆํ มหาชาณุกํ มหาผาสุกํ พหลมสฺสุตมฺพทาฐิกํ นิพฺพิทฺธปิงฺคลํ ทุสฺสณฺฐานํ พีภจฺฉํ สเพฺพสํ มตฺถกมตฺถเกน ปญฺญายมานํ มหาสตฺตสฺส ปุพฺพเวริํ โสนุตฺตรํ นาม เนสาทํ ทิสฺวา ‘‘เอส มม วจนํ กาตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ ราชานํ อนุชานาเปตฺวา ตํ อาทาย สตฺตภูมิกปาสาทสฺส อุปริมตลํ อารุยฺห อุตฺตรสีหปญฺชรํ วิวริตฺวา อุตฺตรหิมวนฺตาภิมุขํ หตฺถํ ปสาเรตฺวา จตโสฺส คาถา อภาสิ –
Evaṃ vutte subhaddā sabbe ludde oloketvā tesaṃ antare patthaṭapādaṃ bhattapuṭasadisajaṅghaṃ mahājāṇukaṃ mahāphāsukaṃ bahalamassutambadāṭhikaṃ nibbiddhapiṅgalaṃ dussaṇṭhānaṃ bībhacchaṃ sabbesaṃ matthakamatthakena paññāyamānaṃ mahāsattassa pubbaveriṃ sonuttaraṃ nāma nesādaṃ disvā ‘‘esa mama vacanaṃ kātuṃ sakkhissatī’’ti rājānaṃ anujānāpetvā taṃ ādāya sattabhūmikapāsādassa uparimatalaṃ āruyha uttarasīhapañjaraṃ vivaritvā uttarahimavantābhimukhaṃ hatthaṃ pasāretvā catasso gāthā abhāsi –
๑๐๕.
105.
‘‘อิโต อุชุํ อุตฺตริยํ ทิสายํ, อติกฺกมฺม โส สตฺต คิรี พฺรหฺมเนฺต;
‘‘Ito ujuṃ uttariyaṃ disāyaṃ, atikkamma so satta girī brahmante;
สุวณฺณปโสฺส นาม คิรี อุฬาโร, สุปุปฺผิโต กิมฺปุริสานุจิโณฺณฯ
Suvaṇṇapasso nāma girī uḷāro, supupphito kimpurisānuciṇṇo.
๑๐๖.
106.
‘‘อารุยฺห เสลํ ภวนํ กินฺนรานํ, โอโลกย ปพฺพตปาทมูลํ;
‘‘Āruyha selaṃ bhavanaṃ kinnarānaṃ, olokaya pabbatapādamūlaṃ;
อถ ทกฺขสี เมฆสมานวณฺณํ, นิโคฺรธราชํ อฎฺฐสหสฺสปาทํฯ
Atha dakkhasī meghasamānavaṇṇaṃ, nigrodharājaṃ aṭṭhasahassapādaṃ.
๑๐๗.
107.
‘‘ตตฺถจฺฉตี กุญฺชโร ฉพฺพิสาโณ, สพฺพเสโต ทุปฺปสโห ปเรภิ;
‘‘Tatthacchatī kuñjaro chabbisāṇo, sabbaseto duppasaho parebhi;
รกฺขนฺติ นํ อฎฺฐสหสฺสนาคา, อีสาทนฺตา วาตชวปฺปหาริโนฯ
Rakkhanti naṃ aṭṭhasahassanāgā, īsādantā vātajavappahārino.
๑๐๘.
108.
‘‘ติฎฺฐนฺติ เต ตุมูลํ ปสฺสสนฺตา, กุปฺปนฺติ วาตสฺสปิ เอริตสฺส;
‘‘Tiṭṭhanti te tumūlaṃ passasantā, kuppanti vātassapi eritassa;
มนุสฺสภูตํ ปน ตตฺถ ทิสฺวา, ภสฺมํ กเรยฺยุํ นาสฺส รโชปิ ตสฺสา’’ติฯ
Manussabhūtaṃ pana tattha disvā, bhasmaṃ kareyyuṃ nāssa rajopi tassā’’ti.
ตตฺถ อิโตติ อิมมฺหา ฐานาฯ อุตฺตริยนฺติ อุตฺตรายฯ อุฬาโรติ มหา อิตเรหิ ฉหิ ปพฺพเตหิ อุจฺจตโรฯ โอโลกยาติ อาโลเกยฺยาสิฯ ตตฺถจฺฉตีติ ตสฺมิํ นิโคฺรธมูเล คิมฺหสมเย อุทกวาตํ สมฺปฎิจฺฉโนฺต ติฎฺฐติฯ ทุปฺปสโหติ อเญฺญ ตํ อุปคนฺตฺวา ปสยฺหการํ กาตุํ สมตฺถา นาม นตฺถีติ ทุปฺปสโห ปเรภิฯ อีสาทนฺตาติ รถีสาย สมานทนฺตาฯ วาตชวปฺปหาริโนติ วาตชเวน คนฺตฺวา ปจฺจามิเตฺต ปหรณสีลา เอวรูปา อฎฺฐสหสฺสนาคา นาคราชานํ รกฺขนฺติฯ ตุมูลนฺติ ภิํสนกํ มหาสทฺทานุพนฺธํ อสฺสาสํ มุญฺจนฺตา ติฎฺฐนฺติฯ เอริตสฺสาติ วาตปหริตสฺส ยํ สทฺทานุพนฺธํ เอริตํ จลนํ กมฺปนํ, ตสฺสปิ กุปฺปนฺติ, เอวํผรุสา เต นาคาฯ นาสฺสาติ ตสฺส นาสวาเตน วิทฺธํเสตฺวา ภสฺมํ กตสฺส ตสฺส รโชปิ น ภเวยฺยาติฯ
Tattha itoti imamhā ṭhānā. Uttariyanti uttarāya. Uḷāroti mahā itarehi chahi pabbatehi uccataro. Olokayāti ālokeyyāsi. Tatthacchatīti tasmiṃ nigrodhamūle gimhasamaye udakavātaṃ sampaṭicchanto tiṭṭhati. Duppasahoti aññe taṃ upagantvā pasayhakāraṃ kātuṃ samatthā nāma natthīti duppasaho parebhi. Īsādantāti rathīsāya samānadantā. Vātajavappahārinoti vātajavena gantvā paccāmitte paharaṇasīlā evarūpā aṭṭhasahassanāgā nāgarājānaṃ rakkhanti. Tumūlanti bhiṃsanakaṃ mahāsaddānubandhaṃ assāsaṃ muñcantā tiṭṭhanti. Eritassāti vātapaharitassa yaṃ saddānubandhaṃ eritaṃ calanaṃ kampanaṃ, tassapi kuppanti, evaṃpharusā te nāgā. Nāssāti tassa nāsavātena viddhaṃsetvā bhasmaṃ katassa tassa rajopi na bhaveyyāti.
ตํ สุตฺวา โสนุตฺตโร มรณภยภีโต อาห –
Taṃ sutvā sonuttaro maraṇabhayabhīto āha –
๑๐๙.
109.
‘‘พหู หิเม ราชกุลมฺหิ สนฺติ, ปิฬนฺธนา ชาตรูปสฺส เทวิ;
‘‘Bahū hime rājakulamhi santi, piḷandhanā jātarūpassa devi;
มุตฺตา มณี เวฬุริยามยา จ, กิํ กาหสิ ทนฺตปิฬนฺธเนน;
Muttā maṇī veḷuriyāmayā ca, kiṃ kāhasi dantapiḷandhanena;
มาเรตุกามา กุญฺชรํ ฉพฺพิสาณํ, อุทาหุ ฆาเตสฺสสิ ลุทฺทปุเตฺต’’ติฯ
Māretukāmā kuñjaraṃ chabbisāṇaṃ, udāhu ghātessasi luddaputte’’ti.
ตตฺถ ปิฬนฺธนาติ อาภรณานิฯ เวฬุริยามยาติ เวฬุริยมยานิฯ ฆาเตสฺสสีติ อุทาหุ ปิฬนฺธนาปเทเสน ลุทฺทปุเตฺต ฆาตาเปตุกามาสีติ ปุจฺฉติฯ
Tattha piḷandhanāti ābharaṇāni. Veḷuriyāmayāti veḷuriyamayāni. Ghātessasīti udāhu piḷandhanāpadesena luddaputte ghātāpetukāmāsīti pucchati.
ตโต เทวี คาถมาห –
Tato devī gāthamāha –
๑๑๐.
110.
‘‘สา อิสฺสิตา ทุกฺขิตา จสฺมิ ลุทฺท, อุทฺธญฺจ สุสฺสามิ อนุสฺสรนฺตี;
‘‘Sā issitā dukkhitā casmi ludda, uddhañca sussāmi anussarantī;
กโรหิ เม ลุทฺทก เอตมตฺถํ, ทสฺสามิ เต คามวรานิ ปญฺจา’’ติฯ
Karohi me luddaka etamatthaṃ, dassāmi te gāmavarāni pañcā’’ti.
ตตฺถ สาติ สา อหํฯ อนุสฺสรนฺตีติ เตน วารเณน ปุเร มยิ กตํ เวรํ อนุสฺสรมานาฯ ทสฺสามิ เตติ เอตสฺมิํ เต อเตฺถ นิปฺผาทิเต สํวจฺฉเร สตสหสฺสุฎฺฐานเก ปญฺจ คามวเร ททามีติฯ
Tattha sāti sā ahaṃ. Anussarantīti tena vāraṇena pure mayi kataṃ veraṃ anussaramānā. Dassāmi teti etasmiṃ te atthe nipphādite saṃvacchare satasahassuṭṭhānake pañca gāmavare dadāmīti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘สมฺม ลุทฺทปุตฺต อหํ ‘เอตํ ฉทฺทนฺตหตฺถิํ มาราเปตฺวา ยมกทเนฺต อาหราเปตุํ สมตฺถา โหมี’ติ ปุเพฺพ ปเจฺจกพุทฺธานํ ทานํ ทตฺวา ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิํ, มยา สุปินเนฺตน ทิฎฺฐํ นาม นตฺถิ, สา ปน มยา ปตฺถิตปตฺถนา สมิชฺฌิสฺสติ, ตฺวํ คจฺฉโนฺต มา ภายี’’ติ ตํ สมสฺสาเสตฺวา เปเสสิฯ โส ‘‘สาธุ, อเยฺย’’ติ ตสฺสา วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘เตน หิ เม ปากฎํ กตฺวา ตสฺส วสนฎฺฐานํ กเถหี’’ติ ปุจฺฉโนฺต อิมํ คาถมาห –
Evañca pana vatvā ‘‘samma luddaputta ahaṃ ‘etaṃ chaddantahatthiṃ mārāpetvā yamakadante āharāpetuṃ samatthā homī’ti pubbe paccekabuddhānaṃ dānaṃ datvā patthanaṃ paṭṭhapesiṃ, mayā supinantena diṭṭhaṃ nāma natthi, sā pana mayā patthitapatthanā samijjhissati, tvaṃ gacchanto mā bhāyī’’ti taṃ samassāsetvā pesesi. So ‘‘sādhu, ayye’’ti tassā vacanaṃ sampaṭicchitvā ‘‘tena hi me pākaṭaṃ katvā tassa vasanaṭṭhānaṃ kathehī’’ti pucchanto imaṃ gāthamāha –
๑๑๑.
111.
‘‘กตฺถจฺฉตี กตฺถ มุเปติ ฐานํ, วีถิสฺส กา นฺหานคตสฺส โหติ;
‘‘Katthacchatī kattha mupeti ṭhānaṃ, vīthissa kā nhānagatassa hoti;
กถญฺหิ โส นฺหายติ นาคราชา, กถํ วิชาเนมุ คติํ คชสฺสา’’ติฯ
Kathañhi so nhāyati nāgarājā, kathaṃ vijānemu gatiṃ gajassā’’ti.
ตตฺถ กตฺถจฺฉตีติ กตฺถ วสติฯ กตฺถ มุเปตีติ กตฺถ อุเปติ, กตฺถ ติฎฺฐตีติ อโตฺถฯ วีถิสฺส กาติ ตสฺส นฺหานคตสฺส กา วีถิ โหติ, กตรมเคฺคน โส คจฺฉติฯ กถํ วิชาเนมุ คตินฺติ ตยา อกถิเต มยํ กถํ ตสฺส นาคราชสฺส คติํ วิชานิสฺสาม, ตสฺมา กเถหิ โนติ อโตฺถฯ
Tattha katthacchatīti kattha vasati. Kattha mupetīti kattha upeti, kattha tiṭṭhatīti attho. Vīthissa kāti tassa nhānagatassa kā vīthi hoti, kataramaggena so gacchati. Kathaṃ vijānemu gatinti tayā akathite mayaṃ kathaṃ tassa nāgarājassa gatiṃ vijānissāma, tasmā kathehi noti attho.
ตโต สา ชาติสฺสรญาเณน ปจฺจกฺขโต ทิฎฺฐฎฺฐานํ ตสฺส อาจิกฺขนฺตี เทฺว คาถา อภาสิ –
Tato sā jātissarañāṇena paccakkhato diṭṭhaṭṭhānaṃ tassa ācikkhantī dve gāthā abhāsi –
๑๑๒.
112.
‘‘ตเตฺถว สา โปกฺขรณี อทูเร, รมฺมา สุติตฺถา จ มโหทิกา จ;
‘‘Tattheva sā pokkharaṇī adūre, rammā sutitthā ca mahodikā ca;
สมฺปุปฺผิตา ภมรคณานุจิณฺณา, เอตฺถ หิ โส นฺหายติ นาคราชาฯ
Sampupphitā bhamaragaṇānuciṇṇā, ettha hi so nhāyati nāgarājā.
๑๑๓.
113.
‘‘สีสํ นหาตุปฺปลมาลภารี, สพฺพเสโต ปุณฺฑรีกตฺตจงฺคี;
‘‘Sīsaṃ nahātuppalamālabhārī, sabbaseto puṇḍarīkattacaṅgī;
อาโมทมาโน คจฺฉติ สนฺนิเกตํ, ปุรกฺขตฺวา มเหสิํ สพฺพภทฺท’’นฺติฯ
Āmodamāno gacchati sanniketaṃ, purakkhatvā mahesiṃ sabbabhadda’’nti.
ตตฺถ ตเตฺถวาติ ตสฺส วสนฎฺฐาเนเยวฯ โปกฺขรณีติ ฉทฺทนฺตทหํ สนฺธายาหฯ สมฺปุปฺผิตาติ ทุวิเธหิ กุมุเทหิ ติวิเธหิ อุปฺปเลหิ ปญฺจวเณฺณหิ จ ปทุเมหิ สมนฺตโต ปุปฺผิตาฯ เอตฺถ หิ โสติ โส นาคราชา เอตฺถ ฉทฺทนฺตทเห นฺหายติฯ อุปฺปลมาลภารีติ อุปฺปลาทีนํ ชลชถลชานํ ปุปฺผานํ มาลํ ธาเรโนฺตฯ ปุณฺฑรีกตฺตจงฺคีติ ปุณฺฑรีกสทิสตเจน โอทาเตน อเงฺคน สมนฺนาคโตฯ อาโมทมาโนติ อาโมทิตปโมทิโตฯ สนฺนิเกตนฺติ อตฺตโน วสนฎฺฐานํฯ ปุรกฺขตฺวาติ สพฺพภทฺทํ นาม มเหสิํ ปุรโต กตฺวา อฎฺฐหิ นาคสหเสฺสหิ ปริวุโต อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คจฺฉตีติฯ
Tattha tatthevāti tassa vasanaṭṭhāneyeva. Pokkharaṇīti chaddantadahaṃ sandhāyāha. Sampupphitāti duvidhehi kumudehi tividhehi uppalehi pañcavaṇṇehi ca padumehi samantato pupphitā. Ettha hi soti so nāgarājā ettha chaddantadahe nhāyati. Uppalamālabhārīti uppalādīnaṃ jalajathalajānaṃ pupphānaṃ mālaṃ dhārento. Puṇḍarīkattacaṅgīti puṇḍarīkasadisatacena odātena aṅgena samannāgato. Āmodamānoti āmoditapamodito. Sanniketanti attano vasanaṭṭhānaṃ. Purakkhatvāti sabbabhaddaṃ nāma mahesiṃ purato katvā aṭṭhahi nāgasahassehi parivuto attano vasanaṭṭhānaṃ gacchatīti.
ตํ สุตฺวา โสนุตฺตโร ‘‘สาธุ อเยฺย, อหํ ตํ วารณํ มาเรตฺวา ตสฺส ทเนฺต อาหริสฺสามี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ อถสฺส สา ตุฎฺฐา สหสฺสํ ทตฺวา ‘‘เคหํ ตาว คจฺฉ, อิโต สตฺตาหจฺจเยน ตตฺถ คมิสฺสสี’’ติ ตํ อุโยฺยเชตฺวา กมฺมาเร ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาตา อมฺหากํ วาสิผรสุ-กุทฺทาล-นิขาทน-มุฎฺฐิกเวฬุคุมฺพเจฺฉทน-สตฺถ-ติณลายน-อสิโลหทณฺฑกกจขาณุก- อยสิงฺฆาฎเกหิ อโตฺถ, สพฺพํ สีฆํ กตฺวา อาหรถา’’ติ อาณาเปตฺวา จมฺมกาเร ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาตา อมฺหากํ กุมฺภภารคาหิตํ จมฺมภสฺตํ กาตุํ วฎฺฎติ, จมฺมโยตฺตวรตฺตหตฺถิปาทอุปาหนจมฺมฉเตฺตหิปิ โน อโตฺถ, สพฺพํ สีฆํ กตฺวา อาหรถา’’ติ อาณาเปสิฯ เต อุโภปิ สพฺพานิ ตานิ สีฆํ กตฺวา อาหริตฺวา อทํสุฯ สา ตสฺส ปาเถยฺยํ สํวิทหิตฺวา อรณิสหิตํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ อุปกรณญฺจ พทฺธสตฺตุมาทิํ กตฺวา ปาเถยฺยญฺจ จมฺมภสฺตายํ ปกฺขิปิ, ตํ สพฺพมฺปิ กุมฺภภารมตฺตํ อโหสิฯ
Taṃ sutvā sonuttaro ‘‘sādhu ayye, ahaṃ taṃ vāraṇaṃ māretvā tassa dante āharissāmī’’ti sampaṭicchi. Athassa sā tuṭṭhā sahassaṃ datvā ‘‘gehaṃ tāva gaccha, ito sattāhaccayena tattha gamissasī’’ti taṃ uyyojetvā kammāre pakkosāpetvā ‘‘tātā amhākaṃ vāsipharasu-kuddāla-nikhādana-muṭṭhikaveḷugumbacchedana-sattha-tiṇalāyana-asilohadaṇḍakakacakhāṇuka- ayasiṅghāṭakehi attho, sabbaṃ sīghaṃ katvā āharathā’’ti āṇāpetvā cammakāre pakkosāpetvā ‘‘tātā amhākaṃ kumbhabhāragāhitaṃ cammabhastaṃ kātuṃ vaṭṭati, cammayottavarattahatthipādaupāhanacammachattehipi no attho, sabbaṃ sīghaṃ katvā āharathā’’ti āṇāpesi. Te ubhopi sabbāni tāni sīghaṃ katvā āharitvā adaṃsu. Sā tassa pātheyyaṃ saṃvidahitvā araṇisahitaṃ ādiṃ katvā sabbaṃ upakaraṇañca baddhasattumādiṃ katvā pātheyyañca cammabhastāyaṃ pakkhipi, taṃ sabbampi kumbhabhāramattaṃ ahosi.
โสนุตฺตโรปิ อตฺตโน ปริวจฺฉํ กตฺวา สตฺตเม ทิวเส อาคนฺตฺวา เทวิํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ สา ‘‘นิฎฺฐิตํ เต สมฺม สพฺพูปกรณํ, อิมํ ตาว ปสิพฺพกํ คณฺหา’’ติ อาหฯ โส ปน มหาถาโม ปญฺจนฺนํ หตฺถีนํ พลํ ธาเรติ, ตสฺมา ตมฺพูลปสิพฺพกํ วิย อุกฺขิปิตฺวา อุปกจฺฉนฺตเร ฐเปตฺวา ริตฺตหโตฺถ วิย อฎฺฐาสิฯ สุภทฺทา ลุทฺทสฺส ปุตฺตทารานํ ปริพฺพยํ ทตฺวา รโญฺญ อาจิกฺขิตฺวา โสนุตฺตรํ อุโยฺยเชสิฯ โสปิ ราชานญฺจ เทวิญฺจ วนฺทิตฺวา ราชนิเวสนา โอรุยฺห รเถ ฐตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน นครา นิกฺขมิตฺวา คามนิคมชนปทปรมฺปราย ปจฺจนฺตํ ปตฺวา ชานปเท นิวเตฺตตฺวา ปจฺจนฺตวาสีหิ สทฺธิํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มนุสฺสปถํ อติกฺกมฺม ปจฺจนฺตวาสิโนปิ นิวเตฺตตฺวา เอกโกว คจฺฉโนฺต ติํสโยชนํ ปตฺวา ปฐมํ ทพฺพคหนํ กาสคหนํ ติณคหนํ ตุลสิคหนํ สรคหนํ ติริวจฺฉคหนนฺติ ฉ คหนานิ, กณฺฎกเวฬุคุมฺพคหนานิ เวตฺตคหนํ โอมิสฺสกคหนํ นฬคหนํ สรคหนสทิสํ อุรเคนปิ ทุพฺพินิวิชฺฌํ ฆนวนคหนํ รุกฺขคหนํ เวฬุคหนํ อปรมฺปิ เวฬุคุมฺพคหนํ กลลคหนํ อุทกคหนํ ปพฺพตคหนนฺติ อฎฺฐารส คหนานิ ปฎิปาฎิยา ปตฺวา ทพฺพคหนาทีนิ อสิเตน ลายิตฺวา ตุลสิคหนาทีนิ เวฬุคุมฺพเจฺฉทนสเตฺถน ฉินฺทิตฺวา รุเกฺข ผรสุนา โกเฎฺฎตฺวา อติมหเนฺต รุเกฺข นิขาทเนน วิชฺฌิตฺวา มคฺคํ กโรโนฺต เวฬุวเน นิเสฺสณิํ กตฺวา เวฬุคุมฺพํ อารุยฺห เวฬุํ ฉินฺทิตฺวา อปรสฺส เวฬุคุมฺพสฺส อุปริ ปาเตตฺวา เวฬุคุมฺพมตฺถเกน คนฺตฺวา กลลคหเน สุกฺขรุกฺขปทรํ อตฺถริตฺวา เตน คนฺตฺวา อปรํ อตฺถริตฺวา อิตรํ อุกฺขิปิตฺวา ปุน ปุรโต อตฺถรโนฺต ตํ อติกฺกมิตฺวา อุทกคหเน โทณิํ กตฺวา ตาย อุทกคหนํ ตริตฺวา ปพฺพตปาเท ฐตฺวา อยสิงฺฆาฎกํ โยเตฺตน พนฺธิตฺวา อุทฺธํ ขิปิตฺวา ปพฺพเต ลคฺคาเปตฺวา โยเตฺตนารุยฺห วชิรเคฺคน โลหทเณฺฑน ปพฺพตํ วิชฺฌิตฺวา ขาณุกํ โกเฎฺฎตฺวา ตตฺถ ฐตฺวา สิงฺฆาฎกํ อากฑฺฒิตฺวา ปุน อุปริ ลคฺคาเปตฺวา ตตฺถ ฐิโต จมฺมโยตฺตํ โอลเมฺพตฺวา ตํ อาทาย โอตริตฺวา เหฎฺฐิมขาณุเก พนฺธิตฺวา วามหเตฺถน โยตฺตํ คเหตฺวา ทกฺขิณหเตฺถน มุคฺครํ อาทาย โยตฺตํ ปหริตฺวา ขาณุกํ นีหริตฺวา ปุน อภิรุหติฯ เอเตนุปาเยน ปพฺพตมตฺถกํ อภิรุยฺห ปรโต โอตรโนฺต ปุริมนเยเนว ปฐมํ ปพฺพตมตฺถเก ขาณุกํ โกเฎฺฎตฺวา จมฺมปสิพฺพเก โยตฺตํ พนฺธิตฺวา ขาณุเก เวเฐตฺวา สยํ อโนฺตปสิพฺพเก นิสีทิตฺวา มกฺกฎกานํ มกฺกฎสุตฺตวิสฺสชฺชนากาเรน โยตฺตํ วินิเวเฐโนฺต โอตรติฯ จมฺมฉเตฺตน วาตํ คาหาเปตฺวา สกุโณ วิย โอตรตีติปิ วทนฺติเยวฯ
Sonuttaropi attano parivacchaṃ katvā sattame divase āgantvā deviṃ vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ sā ‘‘niṭṭhitaṃ te samma sabbūpakaraṇaṃ, imaṃ tāva pasibbakaṃ gaṇhā’’ti āha. So pana mahāthāmo pañcannaṃ hatthīnaṃ balaṃ dhāreti, tasmā tambūlapasibbakaṃ viya ukkhipitvā upakacchantare ṭhapetvā rittahattho viya aṭṭhāsi. Subhaddā luddassa puttadārānaṃ paribbayaṃ datvā rañño ācikkhitvā sonuttaraṃ uyyojesi. Sopi rājānañca deviñca vanditvā rājanivesanā oruyha rathe ṭhatvā mahantena parivārena nagarā nikkhamitvā gāmanigamajanapadaparamparāya paccantaṃ patvā jānapade nivattetvā paccantavāsīhi saddhiṃ araññaṃ pavisitvā manussapathaṃ atikkamma paccantavāsinopi nivattetvā ekakova gacchanto tiṃsayojanaṃ patvā paṭhamaṃ dabbagahanaṃ kāsagahanaṃ tiṇagahanaṃ tulasigahanaṃ saragahanaṃ tirivacchagahananti cha gahanāni, kaṇṭakaveḷugumbagahanāni vettagahanaṃ omissakagahanaṃ naḷagahanaṃ saragahanasadisaṃ uragenapi dubbinivijjhaṃ ghanavanagahanaṃ rukkhagahanaṃ veḷugahanaṃ aparampi veḷugumbagahanaṃ kalalagahanaṃ udakagahanaṃ pabbatagahananti aṭṭhārasa gahanāni paṭipāṭiyā patvā dabbagahanādīni asitena lāyitvā tulasigahanādīni veḷugumbacchedanasatthena chinditvā rukkhe pharasunā koṭṭetvā atimahante rukkhe nikhādanena vijjhitvā maggaṃ karonto veḷuvane nisseṇiṃ katvā veḷugumbaṃ āruyha veḷuṃ chinditvā aparassa veḷugumbassa upari pātetvā veḷugumbamatthakena gantvā kalalagahane sukkharukkhapadaraṃ attharitvā tena gantvā aparaṃ attharitvā itaraṃ ukkhipitvā puna purato attharanto taṃ atikkamitvā udakagahane doṇiṃ katvā tāya udakagahanaṃ taritvā pabbatapāde ṭhatvā ayasiṅghāṭakaṃ yottena bandhitvā uddhaṃ khipitvā pabbate laggāpetvā yottenāruyha vajiraggena lohadaṇḍena pabbataṃ vijjhitvā khāṇukaṃ koṭṭetvā tattha ṭhatvā siṅghāṭakaṃ ākaḍḍhitvā puna upari laggāpetvā tattha ṭhito cammayottaṃ olambetvā taṃ ādāya otaritvā heṭṭhimakhāṇuke bandhitvā vāmahatthena yottaṃ gahetvā dakkhiṇahatthena muggaraṃ ādāya yottaṃ paharitvā khāṇukaṃ nīharitvā puna abhiruhati. Etenupāyena pabbatamatthakaṃ abhiruyha parato otaranto purimanayeneva paṭhamaṃ pabbatamatthake khāṇukaṃ koṭṭetvā cammapasibbake yottaṃ bandhitvā khāṇuke veṭhetvā sayaṃ antopasibbake nisīditvā makkaṭakānaṃ makkaṭasuttavissajjanākārena yottaṃ viniveṭhento otarati. Cammachattena vātaṃ gāhāpetvā sakuṇo viya otaratītipi vadantiyeva.
เอวํ ตสฺส สุภทฺทาย วจนํ อาทาย นครา นิกฺขมิตฺวา สตฺตรส คหนานิ อติกฺกมิตฺวา ปพฺพตคหนํ ปตฺวา ตตฺราปิ ฉ ปพฺพเต อติกฺกมิตฺวา สุวณฺณปสฺสปพฺพตมตฺถกํ อารุฬฺหภาวํ อาวิกโรโนฺต สตฺถา อาห –
Evaṃ tassa subhaddāya vacanaṃ ādāya nagarā nikkhamitvā sattarasa gahanāni atikkamitvā pabbatagahanaṃ patvā tatrāpi cha pabbate atikkamitvā suvaṇṇapassapabbatamatthakaṃ āruḷhabhāvaṃ āvikaronto satthā āha –
๑๑๔.
114.
‘‘ตเตฺถว โส อุคฺคเหตฺวาน วากฺยํ, อาทาย ตูณิญฺจ ธนุญฺจ ลุโทฺท;
‘‘Tattheva so uggahetvāna vākyaṃ, ādāya tūṇiñca dhanuñca luddo;
วิตุริยติ สตฺต คิรี พฺรหเนฺต, สุวณฺณปสฺสํ นาม คิริํ อุฬารํฯ
Vituriyati satta girī brahante, suvaṇṇapassaṃ nāma giriṃ uḷāraṃ.
๑๑๕.
115.
‘‘อารุยฺห เสลํ ภวนํ กินฺนรานํ, โอโลกยี ปพฺพตปาทมูลํ;
‘‘Āruyha selaṃ bhavanaṃ kinnarānaṃ, olokayī pabbatapādamūlaṃ;
ตตฺถทฺทสา เมฆสมานวณฺณํ, นิโคฺรธราชํ อฎฺฐสหสฺสปาทํฯ
Tatthaddasā meghasamānavaṇṇaṃ, nigrodharājaṃ aṭṭhasahassapādaṃ.
๑๑๖.
116.
‘‘ตตฺถทฺทสา กุญฺชรํ ฉพฺพิสาณํ, สพฺพเสตํ ทุปฺปสหํ ปเรภิ;
‘‘Tatthaddasā kuñjaraṃ chabbisāṇaṃ, sabbasetaṃ duppasahaṃ parebhi;
รกฺขนฺติ นํ อฎฺฐสหสฺสนาคา, อีสาทนฺตา วาตชวปฺปหาริโนฯ
Rakkhanti naṃ aṭṭhasahassanāgā, īsādantā vātajavappahārino.
๑๑๗.
117.
‘‘ตตฺถทฺทสา โปกฺขรณิํ อทูเร, รมฺมํ สุติตฺถญฺจ มโหทิกญฺจ;
‘‘Tatthaddasā pokkharaṇiṃ adūre, rammaṃ sutitthañca mahodikañca;
สมฺปุปฺผิตํ ภมรคณานุจิณฺณํ, ยตฺถ หิ โส นฺหายติ นาคราชาฯ
Sampupphitaṃ bhamaragaṇānuciṇṇaṃ, yattha hi so nhāyati nāgarājā.
๑๑๘.
118.
‘‘ทิสฺวาน นาคสฺส คติํ ฐิติญฺจ, วีถิสฺสยา นฺหานคตสฺส โหติ;
‘‘Disvāna nāgassa gatiṃ ṭhitiñca, vīthissayā nhānagatassa hoti;
โอปาตมาคจฺฉิ อนริยรูโป, ปโยชิโต จิตฺตวสานุคายา’’ติฯ
Opātamāgacchi anariyarūpo, payojito cittavasānugāyā’’ti.
ตตฺถ โสติ, ภิกฺขเว, โส ลุโทฺท ตเตฺถว สตฺตภูมิกปาสาทตเล ฐิตาย ตสฺสา สุภทฺทาย วจนํ อุคฺคเหตฺวา สรตูณิญฺจ มหาธนุญฺจ อาทาย ปพฺพตคหนํ ปตฺวา ‘‘กตโร นุ โข สุวณฺณปสฺสปพฺพโต นามา’’ติ สตฺต มหาปพฺพเต วิตุริยติ, ตสฺมิํ กาเล ตุเลติ ตีเรติฯ โส เอวํ ตีเรโนฺต สุวณฺณปสฺสํ นาม คิริํ อุฬารํ ทิสฺวา ‘‘อยํ โส ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ โอโลกยีติ ตํ กินฺนรานํ ภวนภูตํ ปพฺพตํ อารุยฺห สุภทฺทาย ทินฺนสญฺญาวเสน เหฎฺฐา โอโลเกสิฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ปพฺพตปาทมูเล อวิทูเรเยว ตํ นิโคฺรธํ อทฺทสฯ
Tattha soti, bhikkhave, so luddo tattheva sattabhūmikapāsādatale ṭhitāya tassā subhaddāya vacanaṃ uggahetvā saratūṇiñca mahādhanuñca ādāya pabbatagahanaṃ patvā ‘‘kataro nu kho suvaṇṇapassapabbato nāmā’’ti satta mahāpabbate vituriyati, tasmiṃ kāle tuleti tīreti. So evaṃ tīrento suvaṇṇapassaṃ nāma giriṃ uḷāraṃ disvā ‘‘ayaṃ so bhavissatī’’ti cintesi. Olokayīti taṃ kinnarānaṃ bhavanabhūtaṃ pabbataṃ āruyha subhaddāya dinnasaññāvasena heṭṭhā olokesi. Tatthāti tasmiṃ pabbatapādamūle avidūreyeva taṃ nigrodhaṃ addasa.
ตตฺถาติ ตสฺมิํ นิโคฺรธรุกฺขมูเล ฐิตํฯ ตตฺถาติ ตเตฺถว อโนฺตปพฺพเต ตสฺส นิโคฺรธสฺสาวิทูเร ยตฺถ โส นฺหายติ, ตํ โปกฺขรณิํ อทฺทสฯ ทิสฺวานาติ สุวณฺณปสฺสปพฺพตา โอรุยฺห หตฺถีนํ คตกาเล หตฺถิปาทอุปาหนํ อารุยฺห ตสฺส นาครโญฺญ คตฎฺฐานํ นิพทฺธวสนฎฺฐานํ อุปธาเรโนฺต ‘‘อิมินา มเคฺคน คจฺฉติ, อิธ นฺหายติ, นฺหตฺวา อุตฺติโณฺณ, อิธ ติฎฺฐตี’’ติ สพฺพํ ทิสฺวา อหิริกภาเวน อนริยรูโป ตาย จิตฺตวสานุคาย ปโยชิโต, ตสฺมา โอปาตํ อาคจฺฉิ ปฎิปชฺชิ, อาวาฎํ ขณีติ อโตฺถฯ
Tatthāti tasmiṃ nigrodharukkhamūle ṭhitaṃ. Tatthāti tattheva antopabbate tassa nigrodhassāvidūre yattha so nhāyati, taṃ pokkharaṇiṃ addasa. Disvānāti suvaṇṇapassapabbatā oruyha hatthīnaṃ gatakāle hatthipādaupāhanaṃ āruyha tassa nāgarañño gataṭṭhānaṃ nibaddhavasanaṭṭhānaṃ upadhārento ‘‘iminā maggena gacchati, idha nhāyati, nhatvā uttiṇṇo, idha tiṭṭhatī’’ti sabbaṃ disvā ahirikabhāvena anariyarūpo tāya cittavasānugāya payojito, tasmā opātaṃ āgacchi paṭipajji, āvāṭaṃ khaṇīti attho.
ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – ‘‘โส กิร มหาสตฺตสฺส วสโนกาสํ สตฺตมาสาธิเกหิ สตฺตหิ สํวจฺฉเรหิ สตฺตหิ จ ทิวเสหิ ปตฺวา วุตฺตนเยเนว ตสฺส วสโนกาสํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘อิธ อาวาฎํ ขณิตฺวา ตสฺมิํ ฐิโต วารณาธิปติํ วิสปีเตน สเลฺลน วิชฺฌิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสามี’’ติ ววตฺถเปตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ถมฺภาทีนํ อตฺถาย รุเกฺข ฉินฺทิตฺวา ทพฺพสมฺภาเร สเชฺชตฺวา หตฺถีสุ นฺหานตฺถาย คเตสุ ตสฺส วสโนกาเส มหากุทฺทาเลน จตุรสฺสํ อาวาฎํ ขณิตฺวา อุทฺธตปํสุํ พีชํ วปโนฺต วิย อุทเกน วิกิริตฺวา อุทุกฺขลปาสาณานํ อุปริ ถเมฺภ ปติฎฺฐเปตฺวา ตุลา จ กาเช จ ทตฺวา ปทรานิ อตฺถริตฺวา กณฺฑปฺปมาณํ ฉิทฺทํ กตฺวา อุปริ ปํสุญฺจ กจวรญฺจ ปกฺขิปิตฺวา เอเกน ปเสฺสน อตฺตโน ปวิสนฎฺฐานํ กตฺวา เอวํ นิฎฺฐิเต อาวาเฎ ปจฺจูสกาเลเยว ปติสีสกํ ปฎิมุญฺจิตฺวา กาสายานิ ปริทหิตฺวา สทฺธิํ วิสปีเตน สเลฺลน ธนุํ อาทาย อาวาฎํ โอตริตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Tatrāyaṃ anupubbikathā – ‘‘so kira mahāsattassa vasanokāsaṃ sattamāsādhikehi sattahi saṃvaccharehi sattahi ca divasehi patvā vuttanayeneva tassa vasanokāsaṃ sallakkhetvā ‘‘idha āvāṭaṃ khaṇitvā tasmiṃ ṭhito vāraṇādhipatiṃ visapītena sallena vijjhitvā jīvitakkhayaṃ pāpessāmī’’ti vavatthapetvā araññaṃ pavisitvā thambhādīnaṃ atthāya rukkhe chinditvā dabbasambhāre sajjetvā hatthīsu nhānatthāya gatesu tassa vasanokāse mahākuddālena caturassaṃ āvāṭaṃ khaṇitvā uddhatapaṃsuṃ bījaṃ vapanto viya udakena vikiritvā udukkhalapāsāṇānaṃ upari thambhe patiṭṭhapetvā tulā ca kāje ca datvā padarāni attharitvā kaṇḍappamāṇaṃ chiddaṃ katvā upari paṃsuñca kacavarañca pakkhipitvā ekena passena attano pavisanaṭṭhānaṃ katvā evaṃ niṭṭhite āvāṭe paccūsakāleyeva patisīsakaṃ paṭimuñcitvā kāsāyāni paridahitvā saddhiṃ visapītena sallena dhanuṃ ādāya āvāṭaṃ otaritvā aṭṭhāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๑๑๙.
119.
‘‘ขณิตฺวาน กาสุํ ผลเกหิ ฉาทยิ, อตฺตานโมธาย ธนุญฺจ ลุโทฺท;
‘‘Khaṇitvāna kāsuṃ phalakehi chādayi, attānamodhāya dhanuñca luddo;
ปสฺสาคตํ ปุถุสเลฺลน นาคํ, สมปฺปยี ทุกฺกฎกมฺมการีฯ
Passāgataṃ puthusallena nāgaṃ, samappayī dukkaṭakammakārī.
๑๒๐.
120.
‘‘วิโทฺธ จ นาโค โกญฺจมนาทิ โฆรํ, สเพฺพ จ นาคา นินฺนทุํ โฆรรูปํ;
‘‘Viddho ca nāgo koñcamanādi ghoraṃ, sabbe ca nāgā ninnaduṃ ghorarūpaṃ;
ติณญฺจ กฎฺฐญฺจ รณํ กโรนฺตา, ธาวิํสุ เต อฎฺฐ ทิสา สมนฺตโตฯ
Tiṇañca kaṭṭhañca raṇaṃ karontā, dhāviṃsu te aṭṭha disā samantato.
๑๒๑.
121.
‘‘วธิสฺสเมตนฺติ ปรามสโนฺต, กาสาวมทฺทกฺขิ ธชํ อิสีนํ;
‘‘Vadhissametanti parāmasanto, kāsāvamaddakkhi dhajaṃ isīnaṃ;
ทุเกฺขน ผุฎฺฐสฺสุทปาทิ สญฺญา, อรหทฺธโช สพฺภิ อวชฺฌรูโป’’ติฯ
Dukkhena phuṭṭhassudapādi saññā, arahaddhajo sabbhi avajjharūpo’’ti.
ตตฺถ โอธายาติ โอทหิตฺวา ปเวเสตฺวาฯ ปสฺสาคตนฺติ อตฺตโน อาวาฎสฺส ปสฺสํ อาคตํฯ โส กิร ทุติยทิวเส อาคนฺตฺวา นฺหตฺวา อุตฺติโณฺณ ตสฺมิํ มหาวิสาลมาลเก นาม ปเทเส อฎฺฐาสิฯ อถสฺส สรีรโต อุทกํ นาภิปเทเสน โอคลิตฺวา เตน ฉิเทฺทน ลุทฺทสฺส สรีเร ปติฯ ตาย สญฺญาย โส มหาสตฺตสฺส อาคนฺตฺวา ฐิตภาวํ ญตฺวา ตํ ปสฺสาคตํ ปุถุนา สเลฺลน สมปฺปยิ วิชฺฌิฯ ทุกฺกฎกมฺมการีติ ตสฺส มหาสตฺตสฺส กายิกเจตสิกสฺส ทุกฺขสฺส อุปฺปาทเนน ทุกฺกฎสฺส กมฺมสฺส การโกฯ
Tattha odhāyāti odahitvā pavesetvā. Passāgatanti attano āvāṭassa passaṃ āgataṃ. So kira dutiyadivase āgantvā nhatvā uttiṇṇo tasmiṃ mahāvisālamālake nāma padese aṭṭhāsi. Athassa sarīrato udakaṃ nābhipadesena ogalitvā tena chiddena luddassa sarīre pati. Tāya saññāya so mahāsattassa āgantvā ṭhitabhāvaṃ ñatvā taṃ passāgataṃ puthunā sallena samappayi vijjhi. Dukkaṭakammakārīti tassa mahāsattassa kāyikacetasikassa dukkhassa uppādanena dukkaṭassa kammassa kārako.
โกญฺจมนาทีติ โกญฺจนาทํ อกริฯ ตสฺส กิร ตํ สลฺลํ นาภิยํ ปวิสิตฺวา ปิหกาทีนิ สญฺจุเณฺณตฺวา อนฺตานิ ฉินฺทิตฺวา ปิฎฺฐิภาคํ ผรสุนา ปทาเลนฺตํ วิย อุคฺคนฺตฺวา อากาเส ปกฺขนฺทิฯ ภินฺนรชตกุมฺภโต รชนํ วิย ปหารมุเขน โลหิตํ ปคฺฆริ, พลวเวทนา อุปฺปชฺชิฯ โส เวทนํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต เวทนาปฺปโตฺต สกลปพฺพตํ เอกนินฺนาทํ กโรโนฺต ติกฺขตฺตุํ มหนฺตํ โกญฺจนาทํ นทิฯ สเพฺพ จาติ เตปิ สเพฺพ อฎฺฐสหสฺสนาคา ตํ สทฺทํ สุตฺวา มรณภยภีตา โฆรรูปํ นินฺนทุํ อนุรวํ กริํสุฯ รณํ กโรนฺตาติ เตน สเทฺทน คนฺตฺวา ฉทฺทนฺตวารณํ เวทนาปฺปตฺตํ ทิสฺวา ‘‘ปจฺจามิตฺตํ คณฺหิสฺสามา’’ติ ติณญฺจ กฎฺฐญฺจ จุณฺณวิจุณฺณํ กโรนฺตา สมนฺตา ธาวิํสุฯ
Koñcamanādīti koñcanādaṃ akari. Tassa kira taṃ sallaṃ nābhiyaṃ pavisitvā pihakādīni sañcuṇṇetvā antāni chinditvā piṭṭhibhāgaṃ pharasunā padālentaṃ viya uggantvā ākāse pakkhandi. Bhinnarajatakumbhato rajanaṃ viya pahāramukhena lohitaṃ pagghari, balavavedanā uppajji. So vedanaṃ adhivāsetuṃ asakkonto vedanāppatto sakalapabbataṃ ekaninnādaṃ karonto tikkhattuṃ mahantaṃ koñcanādaṃ nadi. Sabbe cāti tepi sabbe aṭṭhasahassanāgā taṃ saddaṃ sutvā maraṇabhayabhītā ghorarūpaṃ ninnaduṃ anuravaṃ kariṃsu. Raṇaṃ karontāti tena saddena gantvā chaddantavāraṇaṃ vedanāppattaṃ disvā ‘‘paccāmittaṃ gaṇhissāmā’’ti tiṇañca kaṭṭhañca cuṇṇavicuṇṇaṃ karontā samantā dhāviṃsu.
วธิสฺสเมตนฺติ ‘‘ภิกฺขเว, โส ฉทฺทนฺตวารโณ ทิสา ปกฺกเนฺตสุ นาเคสุ สุภทฺทาย กเรณุยา ปเสฺส ฐตฺวา สนฺธาเรตฺวา สมสฺสาสยมานาย เวทนํ อธิวาเสตฺวา กณฺฑสฺส อาคตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขโนฺต ‘สเจ อิทํ ปุรตฺถิมทิสาทีหิ อาคตํ อภวิสฺส, กุมฺภาทีหิ ปวิสิตฺวา ปจฺฉิมกายีทีหิ นิกฺขมิสฺส, อิทํ ปน นาภิยา ปวิสิตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิ, ตสฺมา ปถวิยํ ฐิเตน วิสฺสฎฺฐํ ภวิสฺสตี’ติ อุปธาเรตฺวา ฐิตฎฺฐานํ อุปปริกฺขิตุกาโม ‘‘โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสติ, สุภทฺทํ อปเนตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, อฎฺฐสหสฺสนาคา มม ปจฺจามิตฺตํ ปริเยสนฺตา ทิสา ปกฺขนฺทา, ตฺวํ อิธ กิํ กโรสี’’ติ วตฺวา, ‘‘เทว, อหํ ตุเมฺห สนฺธาเรตฺวา สมสฺสาเสนฺตี ฐิตา, ขมถ เม’’ติ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา ตาย อากาสํ ปกฺขนฺทาย นาคราชา ภูมิํ ปาทนเขน ปหริ, ปทรํ อุปฺปติตฺวา คตํฯ โส ฉิเทฺทน โอโลเกโนฺต โสนุตฺตรํ ทิสฺวา ‘‘วธิสฺสามิ น’’นฺติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา รชตทามวณฺณโสณฺฑํ ปเวเสตฺวา ปรามสโนฺต พุทฺธานํ อิสีนํ ธชํ กาสาวํ อทฺทกฺขิฯ ลุโทฺท กาสาวํ มหาสตฺตสฺส หเตฺถ ฐเปสิฯ โส ตํ อุกฺขิปิตฺวา ปุรโต ฐเปสิฯ อถสฺส เตน ตถารูเปนปิ ทุเกฺขน ผุฎฺฐสฺส ‘‘อรหทฺธโช นาม สพฺภิ ปณฺฑิเตหิ อวชฺฌรูโป, อญฺญทตฺถุ สกฺกาตโพฺพ ครุกาตโพฺพเยวา’’ติ อยํ สญฺญา อุทปาทิฯ
Vadhissametanti ‘‘bhikkhave, so chaddantavāraṇo disā pakkantesu nāgesu subhaddāya kareṇuyā passe ṭhatvā sandhāretvā samassāsayamānāya vedanaṃ adhivāsetvā kaṇḍassa āgataṭṭhānaṃ sallakkhento ‘sace idaṃ puratthimadisādīhi āgataṃ abhavissa, kumbhādīhi pavisitvā pacchimakāyīdīhi nikkhamissa, idaṃ pana nābhiyā pavisitvā ākāsaṃ pakkhandi, tasmā pathaviyaṃ ṭhitena vissaṭṭhaṃ bhavissatī’ti upadhāretvā ṭhitaṭṭhānaṃ upaparikkhitukāmo ‘‘ko jānāti, kiṃ bhavissati, subhaddaṃ apanetuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā ‘‘bhadde, aṭṭhasahassanāgā mama paccāmittaṃ pariyesantā disā pakkhandā, tvaṃ idha kiṃ karosī’’ti vatvā, ‘‘deva, ahaṃ tumhe sandhāretvā samassāsentī ṭhitā, khamatha me’’ti tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditvā tāya ākāsaṃ pakkhandāya nāgarājā bhūmiṃ pādanakhena pahari, padaraṃ uppatitvā gataṃ. So chiddena olokento sonuttaraṃ disvā ‘‘vadhissāmi na’’nti cittaṃ uppādetvā rajatadāmavaṇṇasoṇḍaṃ pavesetvā parāmasanto buddhānaṃ isīnaṃ dhajaṃ kāsāvaṃ addakkhi. Luddo kāsāvaṃ mahāsattassa hatthe ṭhapesi. So taṃ ukkhipitvā purato ṭhapesi. Athassa tena tathārūpenapi dukkhena phuṭṭhassa ‘‘arahaddhajo nāma sabbhi paṇḍitehi avajjharūpo, aññadatthu sakkātabbo garukātabboyevā’’ti ayaṃ saññā udapādi.
โส เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต คาถาทฺวยมาห –
So tena saddhiṃ sallapanto gāthādvayamāha –
๑๒๒.
122.
‘‘อนิกฺกสาโว กาสาวํ, โย วตฺถํ ปริทหิสฺสติ;
‘‘Anikkasāvo kāsāvaṃ, yo vatthaṃ paridahissati;
อเปโต ทมสเจฺจน, น โส กาสาวมรหติฯ
Apeto damasaccena, na so kāsāvamarahati.
๑๒๓.
123.
‘‘โย จ วนฺตกสาวสฺส, สีเลสุ สุสมาหิโต;
‘‘Yo ca vantakasāvassa, sīlesu susamāhito;
อุเปโต ทมสเจฺจน, ส เว กาสาวมรหตี’’ติฯ
Upeto damasaccena, sa ve kāsāvamarahatī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – สมฺม ลุทฺทปุตฺต โย ปุริโส ราคาทีหิ กสาเวหิ อนิกฺกสาโว อินฺทฺริยทเมน เจว วจีสเจฺจน จ อเปโต อนุปคโต เตหิ คุเณหิ กสาวรสปีตํ กาสาววตฺถํ ปริทหติ, โส ตํ กาสาวํ นารหติ, นานุจฺฉวิโก โส ตสฺส วตฺถสฺสฯ โย ปน เตสํ กสาวานํ วนฺตตฺตา วนฺตกสาโว อสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต สุปติฎฺฐิโต ปริปุณฺณสีลาจาโร, โส ตํ กาสาวํ อรหติ นามาติฯ
Tassattho – samma luddaputta yo puriso rāgādīhi kasāvehi anikkasāvo indriyadamena ceva vacīsaccena ca apeto anupagato tehi guṇehi kasāvarasapītaṃ kāsāvavatthaṃ paridahati, so taṃ kāsāvaṃ nārahati, nānucchaviko so tassa vatthassa. Yo pana tesaṃ kasāvānaṃ vantattā vantakasāvo assa sīlesu susamāhito supatiṭṭhito paripuṇṇasīlācāro, so taṃ kāsāvaṃ arahati nāmāti.
เอวํ วตฺวา มหาสโตฺต ตสฺมิํ จิตฺตํ นิพฺพาเปตฺวา ‘‘สมฺม กิมตฺถํ ตฺวํ มํ วิชฺฌสิ, กิํ อตฺตโน อตฺถาย, อุทาหุ อเญฺญน ปโยชิโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ตมตฺถํ อาวีกโรโนฺต สตฺถา อาห –
Evaṃ vatvā mahāsatto tasmiṃ cittaṃ nibbāpetvā ‘‘samma kimatthaṃ tvaṃ maṃ vijjhasi, kiṃ attano atthāya, udāhu aññena payojitosī’’ti pucchi. Tamatthaṃ āvīkaronto satthā āha –
๑๒๔.
124.
‘‘สมปฺปิโต ปุถุสเลฺลน นาโค, อทุฎฺฐจิโตฺต ลุทฺทกมชฺฌภาสิ;
‘‘Samappito puthusallena nāgo, aduṭṭhacitto luddakamajjhabhāsi;
กิมตฺถยํ กิสฺส วา สมฺม เหตุ, มมํ วธี กสฺส วายํ ปโยโค’’ติฯ
Kimatthayaṃ kissa vā samma hetu, mamaṃ vadhī kassa vāyaṃ payogo’’ti.
ตตฺถ กิมตฺถยนฺติ อายติํ กิํ ปเตฺถโนฺตฯ กิสฺส วาติ กิสฺส เหตุ เกน การเณน, กิํ นาม ตว มยา สทฺธิํ เวรนฺติ อธิปฺปาโยฯ กสฺส วาติ กสฺส วา อญฺญสฺส อยํ ปโยโค, เกน ปโยชิโต มํ อวธีติ อโตฺถฯ
Tattha kimatthayanti āyatiṃ kiṃ patthento. Kissa vāti kissa hetu kena kāraṇena, kiṃ nāma tava mayā saddhiṃ veranti adhippāyo. Kassa vāti kassa vā aññassa ayaṃ payogo, kena payojito maṃ avadhīti attho.
อถสฺส อาจิกฺขโนฺต ลุโทฺท คาถมาห –
Athassa ācikkhanto luddo gāthamāha –
๑๒๕.
125.
‘‘กาสิสฺส รโญฺญ มเหสี ภทเนฺต, สา ปูชิตา ราชกุเล สุภทฺทา;
‘‘Kāsissa rañño mahesī bhadante, sā pūjitā rājakule subhaddā;
ตํ อทฺทสา สา จ มมํ อสํสิ, ทเนฺตหิ อโตฺถติ จ มํ อโวจา’’ติฯ
Taṃ addasā sā ca mamaṃ asaṃsi, dantehi atthoti ca maṃ avocā’’ti.
ตตฺถ ปูชิตาติ อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปูชิตาฯ อทฺทสาติ สา กิร ตํ สุปินเนฺต อทฺทสฯ อสํสีติ สา จ มม สกฺการํ กาเรตฺวา ‘‘หิมวนฺตปเทเส เอวรูโป นาม นาโค อสุกสฺมิํ นาม ฐาเน วสตี’’ติ มมํ อาจิกฺขิฯ ทเนฺตหีติ ตสฺส นาคสฺส ฉพฺพณฺณรํสิสมุชฺชลา ทนฺตา, เตหิ มม อโตฺถ, ปิฬนฺธนํ กาเรตุกามามฺหิ, เต เม อาหราติ มํ อโวจาติฯ
Tattha pūjitāti aggamahesiṭṭhāne ṭhapetvā pūjitā. Addasāti sā kira taṃ supinante addasa. Asaṃsīti sā ca mama sakkāraṃ kāretvā ‘‘himavantapadese evarūpo nāma nāgo asukasmiṃ nāma ṭhāne vasatī’’ti mamaṃ ācikkhi. Dantehīti tassa nāgassa chabbaṇṇaraṃsisamujjalā dantā, tehi mama attho, piḷandhanaṃ kāretukāmāmhi, te me āharāti maṃ avocāti.
ตํ สุตฺวา ‘‘อิทํ จูฬสุภทฺทาย กมฺม’’นฺติ ญตฺวา มหาสโตฺต เวทนํ อธิวาเสตฺวา ‘‘ตสฺสา มม ทเนฺตหิ อโตฺถ นตฺถิ, มํ มาเรตุกามตาย ปน ปหิณี’’ติ ทีเปโนฺต คาถาทฺวยมาห –
Taṃ sutvā ‘‘idaṃ cūḷasubhaddāya kamma’’nti ñatvā mahāsatto vedanaṃ adhivāsetvā ‘‘tassā mama dantehi attho natthi, maṃ māretukāmatāya pana pahiṇī’’ti dīpento gāthādvayamāha –
๑๒๖.
126.
‘‘พหู หิเม ทนฺตยุคา อุฬารา, เย เม ปิตูนญฺจ ปิตามหานํ;
‘‘Bahū hime dantayugā uḷārā, ye me pitūnañca pitāmahānaṃ;
ชานาติ สา โกธนา ราชปุตฺตี, วธตฺถิกา เวรมกาสิ พาลาฯ
Jānāti sā kodhanā rājaputtī, vadhatthikā veramakāsi bālā.
๑๒๗.
127.
‘‘อุเฎฺฐหิ ตฺวํ ลุทฺท ขรํ คเหตฺวา, ทเนฺต อิเม ฉินฺท ปุรา มรามิ;
‘‘Uṭṭhehi tvaṃ ludda kharaṃ gahetvā, dante ime chinda purā marāmi;
วชฺชาสิ ตํ โกธนํ ราชปุตฺติํ, นาโค หโต หนฺท อิมสฺส ทนฺตา’’ติฯ
Vajjāsi taṃ kodhanaṃ rājaputtiṃ, nāgo hato handa imassa dantā’’ti.
ตตฺถ อิเมติ ตสฺส กิร ปิตุ ปิตามหานํ ทนฺตา มา วินสฺสนฺตูติ คุหายํ สนฺนิจิตา, เต สนฺธาย เอวมาหฯ ชานาตีติ พหูนํ วารณานํ อิธ สนฺนิจิเห ทเนฺต ชานาติฯ วธตฺถิกาติ เกวลํ ปน สา มํ มาเรตุกามา อปฺปมตฺตกํ โทสํ หทเย ฐเปตฺวา อตฺตโน เวรํ อกาสิ, เอวรูเปน ผรุสกเมฺมน มตฺถกํ ปาเปสิฯ ขรนฺติ กกจํฯ ปุรา มรามีติ ยาว น มรามิฯ วชฺชสีติ วเทยฺยาสิฯ หนฺท อิมสฺส ทนฺตาติ หโต โส มยา นาโค, มโนรโถ เต มตฺถกปฺปโตฺต, คณฺห, อิเม ตสฺส ทนฺตาติฯ
Tattha imeti tassa kira pitu pitāmahānaṃ dantā mā vinassantūti guhāyaṃ sannicitā, te sandhāya evamāha. Jānātīti bahūnaṃ vāraṇānaṃ idha sannicihe dante jānāti. Vadhatthikāti kevalaṃ pana sā maṃ māretukāmā appamattakaṃ dosaṃ hadaye ṭhapetvā attano veraṃ akāsi, evarūpena pharusakammena matthakaṃ pāpesi. Kharanti kakacaṃ. Purā marāmīti yāva na marāmi. Vajjasīti vadeyyāsi. Handa imassa dantāti hato so mayā nāgo, manoratho te matthakappatto, gaṇha, ime tassa dantāti.
โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา นิสีทนฎฺฐานา วุฎฺฐาย กกจํ อาทาย ‘‘ทเนฺต ฉินฺทิสฺสามี’’ติ ตสฺส สนฺติกํ อุปคโตฯ โส ปน อุเพฺพธโต อฎฺฐาสีติหโตฺถ รชตปพฺพโต วิย ฐิโต, เตนสฺส โส ทนฺตฎฺฐานํ น ปาปุณิฯ อถ มหาสโตฺต กายํ อุปนาเมโนฺต เหฎฺฐาสีสโก นิปชฺชิฯ ตทา เนสาโท มหาสตฺตสฺส รชตทามสทิสํ โสณฺฑํ มทฺทโนฺต อภิรุหิตฺวา เกลาสกูเฎ วิย กุเมฺภ ฐตฺวา มุขโกฎิมํสํ ธนุเกน ปหริตฺวา อโนฺต ปกฺขิปิตฺวา กุมฺภโต โอรุยฺห กกจํ อโนฺตมุเข ปเวเสสิ, อุโภหิ หเตฺถหิ ทฬฺหํ อปราปรํ กฑฺฒิฯ มหาสตฺตสฺส พลวเวทนา อุปฺปชฺชิ, มุขํ โลหิเตน ปูริฯ เนสาโท อิโต จิโต จ สญฺจาเรโนฺต กกเจน ฉินฺทิตุํ นาสกฺขิฯ อถ นํ มหาสโตฺต มุขโต โลหิตํ ฉเฑฺฑตฺวา เวทนํ อธิวาเสตฺวา ‘‘กิํ สมฺม ฉินฺทิตุํ น สโกฺกสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, สามี’’ติฯ มหาสโตฺต สติํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา ‘‘เตน หิ สมฺม มม โสณฺฑํ อุกฺขิปิตฺวา กกจโกฎิํ คณฺหาเปหิ, มม สยํ โสณฺฑํ อุกฺขิปิตุํ พลํ นตฺถี’’ติ อาหฯ เนสาโท ตถา อกาสิฯ
So tassa vacanaṃ sutvā nisīdanaṭṭhānā vuṭṭhāya kakacaṃ ādāya ‘‘dante chindissāmī’’ti tassa santikaṃ upagato. So pana ubbedhato aṭṭhāsītihattho rajatapabbato viya ṭhito, tenassa so dantaṭṭhānaṃ na pāpuṇi. Atha mahāsatto kāyaṃ upanāmento heṭṭhāsīsako nipajji. Tadā nesādo mahāsattassa rajatadāmasadisaṃ soṇḍaṃ maddanto abhiruhitvā kelāsakūṭe viya kumbhe ṭhatvā mukhakoṭimaṃsaṃ dhanukena paharitvā anto pakkhipitvā kumbhato oruyha kakacaṃ antomukhe pavesesi, ubhohi hatthehi daḷhaṃ aparāparaṃ kaḍḍhi. Mahāsattassa balavavedanā uppajji, mukhaṃ lohitena pūri. Nesādo ito cito ca sañcārento kakacena chindituṃ nāsakkhi. Atha naṃ mahāsatto mukhato lohitaṃ chaḍḍetvā vedanaṃ adhivāsetvā ‘‘kiṃ samma chindituṃ na sakkosī’’ti pucchi. ‘‘Āma, sāmī’’ti. Mahāsatto satiṃ paccupaṭṭhapetvā ‘‘tena hi samma mama soṇḍaṃ ukkhipitvā kakacakoṭiṃ gaṇhāpehi, mama sayaṃ soṇḍaṃ ukkhipituṃ balaṃ natthī’’ti āha. Nesādo tathā akāsi.
มหาสโตฺต โสณฺฑาย กกจํ คเหตฺวา อปราปรํ จาเรสิ, ทนฺตา กฬีรา วิย ฉิชฺชิํสุฯ อถ นํ เต อาหราเปตฺวา คณฺหิตฺวา ‘‘สมฺม ลุทฺทปุตฺต อหํ อิเม ทเนฺต ตุยฺหํ ททมาโน เนว ‘มยฺหํ อปฺปิยา’ติ ทมฺมิ, น สกฺกตฺตมารตฺตพฺรหฺมตฺตานิ ปเตฺถโนฺต, อิเมหิ ปน เม ทเนฺตหิ สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณทนฺตาว ปิยตรา, สพฺพญฺญุตญฺญาณปฺปฎิเวธาย เม อิทํ ปุญฺญํ ปจฺจโย โหตู’’ติ ทเนฺต ทตฺวา ‘‘สมฺม อิทํ ฐานํ กิตฺตเกน กาเลน อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สตฺตมาสสตฺตทิวสาธิเกหิ สตฺตหิ สํวจฺฉเรหี’’ติ วุเตฺต – ‘‘คจฺฉ อิเมสํ ทนฺตานํ อานุภาเวน สตฺตทิวสพฺภนฺตเรเยว พาราณสิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติ วตฺวา ตสฺส ปริตฺตํ กตฺวา ตํ อุโยฺยเชสิ ฯ อุโยฺยเชตฺวา จ ปน อนาคเตสุเยว เตสุ นาเคสุ สุภทฺทาย จ อนาคตาย กาลมกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Mahāsatto soṇḍāya kakacaṃ gahetvā aparāparaṃ cāresi, dantā kaḷīrā viya chijjiṃsu. Atha naṃ te āharāpetvā gaṇhitvā ‘‘samma luddaputta ahaṃ ime dante tuyhaṃ dadamāno neva ‘mayhaṃ appiyā’ti dammi, na sakkattamārattabrahmattāni patthento, imehi pana me dantehi sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena sabbaññutaññāṇadantāva piyatarā, sabbaññutaññāṇappaṭivedhāya me idaṃ puññaṃ paccayo hotū’’ti dante datvā ‘‘samma idaṃ ṭhānaṃ kittakena kālena āgatosī’’ti pucchitvā ‘‘sattamāsasattadivasādhikehi sattahi saṃvaccharehī’’ti vutte – ‘‘gaccha imesaṃ dantānaṃ ānubhāvena sattadivasabbhantareyeva bārāṇasiṃ pāpuṇissasī’’ti vatvā tassa parittaṃ katvā taṃ uyyojesi . Uyyojetvā ca pana anāgatesuyeva tesu nāgesu subhaddāya ca anāgatāya kālamakāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๑๒๘.
128.
‘‘อุฎฺฐาย โส ลุโทฺท ขรํ คเหตฺวา, เฉตฺวาน ทนฺตานิ คชุตฺตมสฺส;
‘‘Uṭṭhāya so luddo kharaṃ gahetvā, chetvāna dantāni gajuttamassa;
วคฺคู สุเภ อปฺปฎิเม ปถพฺยา, อาทาย ปกฺกามิ ตโต หิ ขิปฺป’’นฺติฯ
Vaggū subhe appaṭime pathabyā, ādāya pakkāmi tato hi khippa’’nti.
ตตฺถ วคฺคูติ วิลาสวเนฺตฯ สุเภติ สุนฺทเรฯ อปฺปฎิเมติ อิมิสฺสํ ปถวิยํ อเญฺญหิ ทเนฺตหิ อสทิเสติฯ
Tattha vaggūti vilāsavante. Subheti sundare. Appaṭimeti imissaṃ pathaviyaṃ aññehi dantehi asadiseti.
ตสฺมิํ ปกฺกเนฺต เต นาคา ปจฺจามิตฺตํ อทิสฺวา อาคมิํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Tasmiṃ pakkante te nāgā paccāmittaṃ adisvā āgamiṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๑๒๙.
129.
‘‘ภยฎฺฎิตา นาควเธน อฎฺฎา, เย เต นาคา อฎฺฐ ทิสา วิธาวุํ;
‘‘Bhayaṭṭitā nāgavadhena aṭṭā, ye te nāgā aṭṭha disā vidhāvuṃ;
อทิสฺวาน โปสํ คชปจฺจมิตฺตํ, ปจฺจาคมุํ เยน โส นาคราชา’’ติฯ
Adisvāna posaṃ gajapaccamittaṃ, paccāgamuṃ yena so nāgarājā’’ti.
ตตฺถ ภยฎฺฎิตาติ มรณภเยน อุปทฺทุตาฯ อฎฺฎาติ ทุกฺขิตาฯ คชปจฺจมิตฺตนฺติ คชสฺส ปจฺจามิตฺตํฯ เยน โสติ ยตฺถ วิสาลมาลเก โส นาคราชา กาลํ กตฺวา เกลาสปพฺพโต วิย ปติโต, ตํ ฐานํ ปจฺจาคมุนฺติ อโตฺถฯ
Tattha bhayaṭṭitāti maraṇabhayena upaddutā. Aṭṭāti dukkhitā. Gajapaccamittanti gajassa paccāmittaṃ. Yena soti yattha visālamālake so nāgarājā kālaṃ katvā kelāsapabbato viya patito, taṃ ṭhānaṃ paccāgamunti attho.
เตหิ ปน สทฺธิํ มหาสุภทฺทาปิ อาคตาฯ เต สเพฺพปิ อฎฺฐสหสฺสนาคา ตตฺถ โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา มหาสตฺตสฺส กุลุปกานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปจฺจยทายโก วิสปีเตน สเลฺลน วิโทฺธ กาลกโต, สีวถิกทสฺสนมสฺส อาคจฺฉถา’’ติ วทิํสุฯ ปญฺจสตา ปเจฺจกพุทฺธาปิ อากาเสนาคนฺตฺวา วิสาลมาลเก โอตริํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ เทฺว ตรุณนาคา นาครโญฺญ สรีรํ ทเนฺตหิ อุกฺขิปิตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ วนฺทาเปตฺวา จิตกํ อาโรเปตฺวา ฌาปยิํสุฯ ปเจฺจกพุทฺธา สพฺพรตฺติํ อาฬาหเน ธมฺมสชฺฌายมกํสุฯ อฎฺฐสหสฺสนาคา อาฬาหนํ นิพฺพาเปตฺวา วนฺทิตฺวา นฺหตฺวา มหาสุภทฺทํ ปุรโต กตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ อคมํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Tehi pana saddhiṃ mahāsubhaddāpi āgatā. Te sabbepi aṭṭhasahassanāgā tattha roditvā kanditvā mahāsattassa kulupakānaṃ paccekabuddhānaṃ santikaṃ gantvā, ‘‘bhante, tumhākaṃ paccayadāyako visapītena sallena viddho kālakato, sīvathikadassanamassa āgacchathā’’ti vadiṃsu. Pañcasatā paccekabuddhāpi ākāsenāgantvā visālamālake otariṃsu. Tasmiṃ khaṇe dve taruṇanāgā nāgarañño sarīraṃ dantehi ukkhipitvā paccekabuddhe vandāpetvā citakaṃ āropetvā jhāpayiṃsu. Paccekabuddhā sabbarattiṃ āḷāhane dhammasajjhāyamakaṃsu. Aṭṭhasahassanāgā āḷāhanaṃ nibbāpetvā vanditvā nhatvā mahāsubhaddaṃ purato katvā attano vasanaṭṭhānaṃ agamaṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๑๓๐.
130.
‘‘เต ตตฺถ กนฺทิตฺวา โรทิตฺวาน นาคา, สีเส สเก ปํสุกํ โอกิริตฺวา;
‘‘Te tattha kanditvā roditvāna nāgā, sīse sake paṃsukaṃ okiritvā;
อคมํสุ เต สเพฺพ สกํ นิเกตํ, ปุรกฺขตฺวา มเหสิํ สพฺพภทฺท’’นฺติฯ
Agamaṃsu te sabbe sakaṃ niketaṃ, purakkhatvā mahesiṃ sabbabhadda’’nti.
ตตฺถ ปํสุกนฺติ อาฬาหนปํสุกํฯ
Tattha paṃsukanti āḷāhanapaṃsukaṃ.
โสนุตฺตโรปิ อปฺปเตฺตเยว สตฺตเม ทิวเส ทเนฺต อาทาย พาราณสิํ สมฺปาปุณิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Sonuttaropi appatteyeva sattame divase dante ādāya bārāṇasiṃ sampāpuṇi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๑๓๑.
131.
‘‘อาทาย ทนฺตานิ คชุตฺตมสฺส, วคฺคู สุเภ อปฺปฎิเม ปถพฺยา;
‘‘Ādāya dantāni gajuttamassa, vaggū subhe appaṭime pathabyā;
สุวณฺณราชีหิ สมนฺตโมทเร, โส ลุทฺทโก กาสิปุรํ อุปาคมิ;
Suvaṇṇarājīhi samantamodare, so luddako kāsipuraṃ upāgami;
อุปเนสิ โส ราชกญฺญาย ทเนฺต, นาโค หโต หนฺท อิมสฺส ทนฺตา’’ติฯ
Upanesi so rājakaññāya dante, nāgo hato handa imassa dantā’’ti.
ตตฺถ สุวณฺณราชีหีติ สุวณฺณราชิรํสีหิฯ สมนฺตโมทเรติ สมนฺตโต โอภาสเนฺต สกลวนสณฺฑํ สุวณฺณวณฺณํ วิย กโรเนฺตฯ อุปเนสีติ อหํ ฉทฺทนฺตวารณสฺส ฉพฺพณฺณรํสิวิสฺสชฺชเน ยมกทเนฺต อาทาย อาคจฺฉามิ, นครํ อลงฺการาเปถาติ เทวิยา สาสนํ เปเสตฺวา ตาย รโญฺญ อาโรจาเปตฺวา เทวนครํ วิย นคเร อลงฺการาปิเต โสนุตฺตโรปิ นครํ ปวิสิตฺวา ปาสาทํ อารุหิตฺวา ทเนฺต อุปเนสิ, อุปเนตฺวา จ ปน, ‘‘อเยฺย, ยสฺส กิร ตุเมฺห อปฺปมตฺตกํ โทสํ หทเย กริตฺถ, โส นาโค มยา หโต มโต, ‘มตภาวํ เม อาโรเจยฺยาสี’ติ อาห, ตสฺส มตภาวํ ตุเมฺห ชานาถ, คณฺหถ, อิเม ตสฺส ทนฺตา’’ติ ทเนฺต อทาสิฯ
Tattha suvaṇṇarājīhīti suvaṇṇarājiraṃsīhi. Samantamodareti samantato obhāsante sakalavanasaṇḍaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ viya karonte. Upanesīti ahaṃ chaddantavāraṇassa chabbaṇṇaraṃsivissajjane yamakadante ādāya āgacchāmi, nagaraṃ alaṅkārāpethāti deviyā sāsanaṃ pesetvā tāya rañño ārocāpetvā devanagaraṃ viya nagare alaṅkārāpite sonuttaropi nagaraṃ pavisitvā pāsādaṃ āruhitvā dante upanesi, upanetvā ca pana, ‘‘ayye, yassa kira tumhe appamattakaṃ dosaṃ hadaye karittha, so nāgo mayā hato mato, ‘matabhāvaṃ me āroceyyāsī’ti āha, tassa matabhāvaṃ tumhe jānātha, gaṇhatha, ime tassa dantā’’ti dante adāsi.
สา มหาสตฺตสฺส ฉพฺพณฺณรํสิวิจิตฺตทเนฺต มณิตาลวเณฺฎน คเหตฺวา อูรูสุ ฐเปตฺวา ปุริมภเว อตฺตโน ปิรสามิกสฺส ทเนฺต โอโลเกนฺตี ‘‘เอวรูปํ โสภคฺคปฺปตฺตํ วารณํ วิสปีเตน สเลฺลน ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา อิเม ทเนฺต ฉินฺทิตฺวา โสนุตฺตโร อาคโต’’ติ มหาสตฺตํ อนุสฺสรนฺตี โสกํ อุปฺปาเทตฺวา อธิวาเสตุํ นาสกฺขิฯ อถสฺสา ตเตฺถว หทยํ ผลิ, ตํ ทิวสเมว กาลมกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Sā mahāsattassa chabbaṇṇaraṃsivicittadante maṇitālavaṇṭena gahetvā ūrūsu ṭhapetvā purimabhave attano pirasāmikassa dante olokentī ‘‘evarūpaṃ sobhaggappattaṃ vāraṇaṃ visapītena sallena jīvitakkhayaṃ pāpetvā ime dante chinditvā sonuttaro āgato’’ti mahāsattaṃ anussarantī sokaṃ uppādetvā adhivāsetuṃ nāsakkhi. Athassā tattheva hadayaṃ phali, taṃ divasameva kālamakāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๑๓๒.
132.
‘‘ทิสฺวาน ทนฺตานิ คชุตฺตมสฺส, ภตฺตุปฺปิยสฺส ปุริมาย ชาติยา;
‘‘Disvāna dantāni gajuttamassa, bhattuppiyassa purimāya jātiyā;
ตเตฺถว ตสฺสา หทยํ อผาลิ, เตเนว สา กาลมกาสิ พาลา’’ติฯ
Tattheva tassā hadayaṃ aphāli, teneva sā kālamakāsi bālā’’ti.
๑๓๓.
133.
‘‘สโมฺพธิปโตฺต ส มหานุภาโว, สิตํ อกาสี ปริสาย มเชฺฌ;
‘‘Sambodhipatto sa mahānubhāvo, sitaṃ akāsī parisāya majjhe;
ปุจฺฉิํสุ ภิกฺขู สุวิมุตฺตจิตฺตา, นาการเณ ปาตุกโรนฺติ พุทฺธาฯ
Pucchiṃsu bhikkhū suvimuttacittā, nākāraṇe pātukaronti buddhā.
๑๓๔.
134.
‘‘ยมทฺทสาถ ทหริํ กุมาริํ, กาสายวตฺถํ อนคาริยํ จรนฺติํ;
‘‘Yamaddasātha dahariṃ kumāriṃ, kāsāyavatthaṃ anagāriyaṃ carantiṃ;
สา โข ตทา ราชกญฺญา อโหสิ, อหํ ตทา นาคราชา อโหสิํฯ
Sā kho tadā rājakaññā ahosi, ahaṃ tadā nāgarājā ahosiṃ.
๑๓๕.
135.
‘‘อาทาย ทนฺตานิ คชุตฺตมสฺส, วคฺคู สุเภ อปฺปฎิเม ปถพฺยา;
‘‘Ādāya dantāni gajuttamassa, vaggū subhe appaṭime pathabyā;
โย ลุทฺทโก กาสิปุรํ อุปาคมิ, โส โข ตทา เทวทโตฺต อโหสิฯ
Yo luddako kāsipuraṃ upāgami, so kho tadā devadatto ahosi.
๑๓๖.
136.
‘‘อนาวสูรํ จิรรตฺตสํสิตํ, อุจฺจาวจํ จริตมิทํ ปุราณํ;
‘‘Anāvasūraṃ cirarattasaṃsitaṃ, uccāvacaṃ caritamidaṃ purāṇaṃ;
วีตทฺทโร วีตโสโก วิสโลฺล, สยํ อภิญฺญาย อภาสิ พุโทฺธฯ
Vītaddaro vītasoko visallo, sayaṃ abhiññāya abhāsi buddho.
๑๓๗.
137.
‘‘อหํ โว เตน กาเลน, อโหสิํ ตตฺถ ภิกฺขโว;
‘‘Ahaṃ vo tena kālena, ahosiṃ tattha bhikkhavo;
นาคราชา ตทา โหมิ, เอวํ ธาเรถ ชาตก’’นฺติฯ –
Nāgarājā tadā homi, evaṃ dhāretha jātaka’’nti. –
อิมา คาถา ทสพลสฺส คุเณ วเณฺณเนฺตหิ ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ ฐปิตาฯ
Imā gāthā dasabalassa guṇe vaṇṇentehi dhammasaṅgāhakattherehi ṭhapitā.
ตตฺถ สิตํ อกาสีติ โส สโมฺพธิปฺปโตฺต สตฺถา มหานุภาโว อลงฺกตธมฺมสภายํ อลงฺกตธมฺมาสเน ปริสมเชฺฌ นิสิโนฺน เอกทิวสํ สิตํ อกาสิฯ นาการเณติ ‘‘ภเนฺต, พุทฺธา นาม อการเณ สิตํ น กโรนฺติ, ตุเมฺหหิ จ สิตํ กตํ, เกน นุ โข การเณน สิตํ กต’’นฺติ มหาขีณาสวา ภิกฺขู ปุจฺฉิํสุฯ ยมทฺทสาถาติ เอวํ ปุโฎฺฐ, อาวุโส, สตฺถา อตฺตโน สิตการณํ อาจิกฺขโนฺต เอกํ ทหรภิกฺขุนิํ ทเสฺสตฺวา เอวมาห – ‘‘ภิกฺขเว, ยํ เอกํ ทหรํ โยพฺพนปฺปตฺตํ กุมาริํ กาสายวตฺถํ อนคาริยํ อุเปตํ ปพฺพชิตฺวา อิมสฺมิํ สาสเน จรนฺติํ อทฺทสาถ ปสฺสถ, สา ตทา ‘วิสปีเตน สเลฺลน นาคราชํ วิชฺฌิตฺวา วเธหี’’’ติ โสนุตฺตรสฺส เปเสตา ราชกญฺญา อโหสิฯ เตน คนฺตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาปิโต อหํ ตทา โส นาคราชา อโหสินฺติ อโตฺถฯ เทวทโตฺตติ, ภิกฺขเว, อิทานิ เทวทโตฺต ตทา โส ลุทฺทโก อโหสิฯ
Tattha sitaṃ akāsīti so sambodhippatto satthā mahānubhāvo alaṅkatadhammasabhāyaṃ alaṅkatadhammāsane parisamajjhe nisinno ekadivasaṃ sitaṃ akāsi. Nākāraṇeti ‘‘bhante, buddhā nāma akāraṇe sitaṃ na karonti, tumhehi ca sitaṃ kataṃ, kena nu kho kāraṇena sitaṃ kata’’nti mahākhīṇāsavā bhikkhū pucchiṃsu. Yamaddasāthāti evaṃ puṭṭho, āvuso, satthā attano sitakāraṇaṃ ācikkhanto ekaṃ daharabhikkhuniṃ dassetvā evamāha – ‘‘bhikkhave, yaṃ ekaṃ daharaṃ yobbanappattaṃ kumāriṃ kāsāyavatthaṃ anagāriyaṃ upetaṃ pabbajitvā imasmiṃ sāsane carantiṃ addasātha passatha, sā tadā ‘visapītena sallena nāgarājaṃ vijjhitvā vadhehī’’’ti sonuttarassa pesetā rājakaññā ahosi. Tena gantvā jīvitakkhayaṃ pāpito ahaṃ tadā so nāgarājā ahosinti attho. Devadattoti, bhikkhave, idāni devadatto tadā so luddako ahosi.
อนาวสูรนฺติ น อวสูรํ, อนตฺถงฺคตสูริยนฺติ อโตฺถฯ จิรรตฺตสํสิตนฺติ อิโต จิรรเตฺต อเนกวสฺสโกฎิมตฺถเก สํสิตํ สํสริตํ อนุจิณฺณํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อาวุโส, อิโต อเนกวสฺสโกฎิมตฺถเก สํสริตมฺปิ ปุพฺพเณฺห กตํ ตํ ทิวสเมว สายเนฺห สรโนฺต วิย อตฺตโน จริตวเสน อุจฺจตฺตา ตาย ราชธีตาย จ โสนุตฺตรสฺส จ จริตวเสน นีจตฺตา อุจฺจานีจํ จริตํ อิทํ ปุราณํ ราคาทีนํ ทรานํ วิคตตาย วีตทฺทโร, ญาติธนโสกาทีนํ อภาเวน วีตโสโก, ราคสลฺลาทีนํ วิคตตฺตา วิสโลฺล อตฺตนาว ชานิตฺวา พุโทฺธ อภาสีติฯ อหํ โวติ เอตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํ, ภิกฺขเว, อหํ เตน กาเลน ตตฺถ ฉทฺทนฺตทเห อโหสินฺติ อโตฺถฯ นาคราชาติ โหโนฺต จ ปน น อโญฺญ โกจิ ตทา โหมิ, อถ โข นาคราชา โหมีติ อโตฺถฯ เอวํ จาเรถาติ ตุเมฺห ตํ ชาตกํ เอวํ ธาเรถ อุคฺคณฺหาถ ปริยาปุณาถาติฯ
Anāvasūranti na avasūraṃ, anatthaṅgatasūriyanti attho. Cirarattasaṃsitanti ito ciraratte anekavassakoṭimatthake saṃsitaṃ saṃsaritaṃ anuciṇṇaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – āvuso, ito anekavassakoṭimatthake saṃsaritampi pubbaṇhe kataṃ taṃ divasameva sāyanhe saranto viya attano caritavasena uccattā tāya rājadhītāya ca sonuttarassa ca caritavasena nīcattā uccānīcaṃ caritaṃ idaṃ purāṇaṃ rāgādīnaṃ darānaṃ vigatatāya vītaddaro, ñātidhanasokādīnaṃ abhāvena vītasoko, rāgasallādīnaṃ vigatattā visallo attanāva jānitvā buddho abhāsīti. Ahaṃ voti ettha voti nipātamattaṃ, bhikkhave, ahaṃ tena kālena tattha chaddantadahe ahosinti attho. Nāgarājāti honto ca pana na añño koci tadā homi, atha kho nāgarājā homīti attho. Evaṃ cārethāti tumhe taṃ jātakaṃ evaṃ dhāretha uggaṇhātha pariyāpuṇāthāti.
อิมญฺจ ปน ธมฺมเทสนํ สุตฺวา พหู โสตาปนฺนาทโย อเหสุํฯ สา ปน ภิกฺขุนี ปจฺฉา วิปสฺสิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺตาติฯ
Imañca pana dhammadesanaṃ sutvā bahū sotāpannādayo ahesuṃ. Sā pana bhikkhunī pacchā vipassitvā arahattaṃ pattāti.
ฉทฺทนฺตชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ
Chaddantajātakavaṇṇanā catutthā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๑๔. ฉทฺทนฺตชาตกํ • 514. Chaddantajātakaṃ