Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๘. ฉนฺนสุตฺตวณฺณนา
8. Channasuttavaṇṇanā
๙๐. อฎฺฐเม อายสฺมา ฉโนฺนติ ตถาคเตน สทฺธิํ เอกทิวเส ชาโต มหาภินิกฺขมนทิวเส สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา ปุน อปรภาเค สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ‘‘อมฺหากํ พุโทฺธ อมฺหากํ ธโมฺม’’ติ เอวํ มกฺขี เจว ปฬาสี จ หุตฺวา สพฺรหฺมจารีนํ ผรุสวาจาย สงฺฆฎฺฎนํ กโรโนฺต เถโรฯ อวาปุรณํ อาทายาติ กุญฺจิกํ คเหตฺวาฯ วิหาเรน วิหารํ อุปสงฺกมิตฺวาติ เอกํ วิหารํ ปวิสิตฺวา ตโต อญฺญํ, ตโต อญฺญนฺติ เอวํ เตน เตน วิหาเรน ตํ ตํ วิหารํ อุปสงฺกมิตฺวาฯ เอตทโวจ โอวทนฺตุ มนฺติ กสฺมา เอวํ มหเนฺตน อุสฺสาเหน ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา เอตํ อโวจาติ? อุปฺปนฺนสํเวคตายฯ ตสฺส หิ ปรินิพฺพุเต สตฺถริ ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ เปสิโต อายสฺมา อานโนฺท โกสมฺพิํ คนฺตฺวา พฺรหฺมทณฺฑํ อทาสิฯ โส ทิเนฺน พฺรหฺมทเณฺฑ สญฺชาตปริฬาโห วิสญฺญีภูโต ปติตฺวา ปุน สญฺญํ ลภิตฺวา วุฎฺฐาย เอกสฺส ภิกฺขุโน สนฺติกํ คโต, โส เตน สทฺธิํ กิญฺจิ น กเถสิฯ อญฺญสฺส สนฺติกํ อคมาสิ, โสปิ น กเถสีติ เอวํ สกลวิหารํ วิจริตฺวา นิพฺพิโนฺน ปตฺตจีวรํ อาทาย พาราณสิํ คนฺตฺวา อุปฺปนฺนสํเวโค ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา เอวํ อโวจฯ
90. Aṭṭhame āyasmā channoti tathāgatena saddhiṃ ekadivase jāto mahābhinikkhamanadivase saddhiṃ nikkhamitvā puna aparabhāge satthu santike pabbajitvā ‘‘amhākaṃ buddho amhākaṃ dhammo’’ti evaṃ makkhī ceva paḷāsī ca hutvā sabrahmacārīnaṃ pharusavācāya saṅghaṭṭanaṃ karonto thero. Avāpuraṇaṃ ādāyāti kuñcikaṃ gahetvā. Vihārena vihāraṃ upasaṅkamitvāti ekaṃ vihāraṃ pavisitvā tato aññaṃ, tato aññanti evaṃ tena tena vihārena taṃ taṃ vihāraṃ upasaṅkamitvā. Etadavoca ovadantu manti kasmā evaṃ mahantena ussāhena tattha tattha gantvā etaṃ avocāti? Uppannasaṃvegatāya. Tassa hi parinibbute satthari dhammasaṅgāhakattherehi pesito āyasmā ānando kosambiṃ gantvā brahmadaṇḍaṃ adāsi. So dinne brahmadaṇḍe sañjātapariḷāho visaññībhūto patitvā puna saññaṃ labhitvā vuṭṭhāya ekassa bhikkhuno santikaṃ gato, so tena saddhiṃ kiñci na kathesi. Aññassa santikaṃ agamāsi, sopi na kathesīti evaṃ sakalavihāraṃ vicaritvā nibbinno pattacīvaraṃ ādāya bārāṇasiṃ gantvā uppannasaṃvego tattha tattha gantvā evaṃ avoca.
สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจาติ สเพฺพ เตภูมกสงฺขารา อนิจฺจาฯ สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตาติ สเพฺพ จตุภูมกธมฺมา อนตฺตาฯ อิติ สเพฺพปิ เต ภิกฺขู เถรํ โอวทนฺตา อนิจฺจลกฺขณํ อนตฺตลกฺขณนฺติ เทฺวว ลกฺขณานิ กเถตฺวา ทุกฺขลกฺขณํ น กถยิํสุฯ กสฺมา? เอวํ กิร เนสํ อโหสิ – ‘‘อยํ ภิกฺขุ วาที ทุกฺขลกฺขเณ ปญฺญาปิยมาเน รูปํ ทุกฺขํ…เป.… วิญฺญาณํ ทุกฺขํ, มโคฺค ทุโกฺข, ผลํ ทุกฺขนฺติ ‘ตุเมฺห ทุกฺขปฺปตฺตา ภิกฺขู นามา’ติ คหณํ คเณฺหยฺย, ยถา คหณํ คเหตุํ น สโกฺกติ, เอวํ นิโทฺทสเมวสฺส กตฺวา กเถสฺสามา’’ติ เทฺวว ลกฺขณานิ กถยิํสุฯ
Sabbe saṅkhārā aniccāti sabbe tebhūmakasaṅkhārā aniccā. Sabbe dhammā anattāti sabbe catubhūmakadhammā anattā. Iti sabbepi te bhikkhū theraṃ ovadantā aniccalakkhaṇaṃ anattalakkhaṇanti dveva lakkhaṇāni kathetvā dukkhalakkhaṇaṃ na kathayiṃsu. Kasmā? Evaṃ kira nesaṃ ahosi – ‘‘ayaṃ bhikkhu vādī dukkhalakkhaṇe paññāpiyamāne rūpaṃ dukkhaṃ…pe… viññāṇaṃ dukkhaṃ, maggo dukkho, phalaṃ dukkhanti ‘tumhe dukkhappattā bhikkhū nāmā’ti gahaṇaṃ gaṇheyya, yathā gahaṇaṃ gahetuṃ na sakkoti, evaṃ niddosamevassa katvā kathessāmā’’ti dveva lakkhaṇāni kathayiṃsu.
ปริตสฺสนา อุปาทานํ อุปฺปชฺชตีติ ปริตสฺสนา จ อุปาทานญฺจ อุปฺปชฺชติฯ ปจฺจุทาวตฺตติ มานสํ, อถ โก จรหิ เม อตฺตาติ ยทิ รูปาทีสุ เอโกปิ อนตฺตา, อถ โก นาม เม อตฺตาติ เอวํ ปฎินิวตฺตติ ‘‘มยฺหํ มานส’’นฺติฯ อยํ กิร เถโร ปจฺจเย อปริคฺคเหตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปสิ, สาสฺส ทุพฺพลวิปสฺสนา อตฺตคาหํ ปริยาทาตุํ อสกฺกุณนฺตี สงฺขาเรสุ สุญฺญโต อุปฎฺฐหเนฺตสุ ‘‘อุจฺฉิชฺชิสฺสามิ วินสฺสิสฺสามี’’ติ อุเจฺฉททิฎฺฐิยา เจว ปริตสฺสนาย จ ปจฺจโย อโหสิฯ โส จ อตฺตานํ ปาปเต ปปตนฺตํ วิย ทิสฺวา, ‘‘ปริตสฺสนา อุปาทานํ อุปฺปชฺชติ, ปจฺจุทาวตฺตติ มานสํ, อถ โก จรหิ เม อตฺตา’’ติ อาหฯ น โข ปเนวํ ธมฺมํ ปสฺสโต โหตีติ จตุสจฺจธมฺมํ ปสฺสนฺตสฺส เอวํ น โหติฯ ตาวติกา วิสฺสฎฺฐีติ ตตฺตโก วิสฺสาโสฯ สมฺมุขา เมตนฺติ เถโร ตสฺส วจนํ สุตฺวา, ‘‘กีทิสา นุ โข อิมสฺส ธมฺมเทสนา สปฺปายา’’ติ? จิเนฺตโนฺต เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ วิจินิตฺวา กจฺจานสุตฺตํ (สํ. นิ. ๒.๑๕) อทฺทส ‘‘อิทํ อาทิโตว ทิฎฺฐิวินิเวฐนํ กตฺวา มเชฺฌ พุทฺธพลํ ทีเปตฺวา สณฺหสุขุมปจฺจยาการํ ปกาสยมานํ คตํ, อิทมสฺส เทเสสฺสามี’’ติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สมฺมุขา เมต’’นฺติอาทิมาหฯ อฎฺฐมํฯ
Paritassanā upādānaṃ uppajjatīti paritassanā ca upādānañca uppajjati. Paccudāvattati mānasaṃ, atha ko carahi me attāti yadi rūpādīsu ekopi anattā, atha ko nāma me attāti evaṃ paṭinivattati ‘‘mayhaṃ mānasa’’nti. Ayaṃ kira thero paccaye apariggahetvā vipassanaṃ paṭṭhapesi, sāssa dubbalavipassanā attagāhaṃ pariyādātuṃ asakkuṇantī saṅkhāresu suññato upaṭṭhahantesu ‘‘ucchijjissāmi vinassissāmī’’ti ucchedadiṭṭhiyā ceva paritassanāya ca paccayo ahosi. So ca attānaṃ pāpate papatantaṃ viya disvā, ‘‘paritassanā upādānaṃ uppajjati, paccudāvattati mānasaṃ, atha ko carahi me attā’’ti āha. Na kho panevaṃ dhammaṃ passato hotīti catusaccadhammaṃ passantassa evaṃ na hoti. Tāvatikā vissaṭṭhīti tattako vissāso. Sammukhā metanti thero tassa vacanaṃ sutvā, ‘‘kīdisā nu kho imassa dhammadesanā sappāyā’’ti? Cintento tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ vicinitvā kaccānasuttaṃ (saṃ. ni. 2.15) addasa ‘‘idaṃ āditova diṭṭhiviniveṭhanaṃ katvā majjhe buddhabalaṃ dīpetvā saṇhasukhumapaccayākāraṃ pakāsayamānaṃ gataṃ, idamassa desessāmī’’ti dassento ‘‘sammukhā meta’’ntiādimāha. Aṭṭhamaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๘. ฉนฺนสุตฺตํ • 8. Channasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๘. ฉนฺนสุตฺตวณฺณนา • 8. Channasuttavaṇṇanā