Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จูฬวคฺคปาฬิ • Cūḷavaggapāḷi |
๗. สงฺฆเภทกกฺขนฺธกํ
7. Saṅghabhedakakkhandhakaṃ
๑. ปฐมภาณวาโร
1. Paṭhamabhāṇavāro
ฉสกฺยปพฺพชฺชากถา
Chasakyapabbajjākathā
๓๓๐. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา อนุปิยายํ วิหรติ, อนุปิยํ นาม มลฺลานํ นิคโมฯ เตน โข ปน สมเยน อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา สกฺยกุมารา ภควนฺตํ ปพฺพชิตํ อนุปพฺพชนฺติฯ เตน โข ปน สมเยน มหานาโม จ สโกฺก อนุรุโทฺธ จ สโกฺก เทฺวภาติกา โหนฺติฯ อนุรุโทฺธ สโกฺก สุขุมาโล โหติฯ ตสฺส ตโย ปาสาทา โหนฺติ – เอโก เหมนฺติโก, เอโก คิมฺหิโก, เอโก วสฺสิโกฯ โส วสฺสิเก ปาสาเท จตฺตาโร มาเส 1 นิปฺปุริเสหิ ตูริเยหิ ปริจารยมาโน 2 น เหฎฺฐาปาสาทํ โอโรหติฯ อถ โข มหานามสฺส สกฺกสฺส เอตทโหสิ – ‘‘เอตรหิ โข อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา สกฺยกุมารา ภควนฺตํ ปพฺพชิตํ อนุปพฺพชนฺติฯ อมฺหากญฺจ ปน กุลา นตฺถิ โกจิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ ยํนูนาหํ วา ปพฺพเชยฺยํ, อนุรุโทฺธ วา’’ติฯ อถ โข มหานาโม สโกฺก เยน อนุรุโทฺธ สโกฺก เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อนุรุทฺธํ สกฺกํ เอตทโวจ – ‘‘เอตรหิ, ตาต อนุรุทฺธ, อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา สกฺยกุมารา ภควนฺตํ ปพฺพชิตํ อนุปพฺพชนฺติฯ อมฺหากญฺจ ปน กุลา นตฺถิ โกจิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ เตน หิ ตฺวํ วา ปพฺพช, อหํ วา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อหํ โข สุขุมาโล, นาหํ สโกฺกมิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํฯ ตฺวํ ปพฺพชาหี’’ติฯ ‘‘เอหิ โข เต, ตาต อนุรุทฺธ, ฆราวาสตฺถํ อนุสาสิสฺสามิฯ ปฐมํ เขตฺตํ กสาเปตพฺพํฯ กสาเปตฺวา วปาเปตพฺพํฯ วปาเปตฺวา อุทกํ อภิเนตพฺพํฯ อุทกํ อภิเนตฺวา อุทกํ นิเนฺนตพฺพํฯ อุทกํ นิเนฺนตฺวา นิทฺธาเปตพฺพํฯ นิทฺธาเปตฺวา 3 ลวาเปตพฺพํฯ ลวาเปตฺวา อุพฺพาหาเปตพฺพํฯ อุพฺพาหาเปตฺวา ปุญฺชํ การาเปตพฺพํฯ ปุญฺชํ การาเปตฺวา มทฺทาเปตพฺพํฯ มทฺทาเปตฺวา ปลาลานิ อุทฺธราเปตพฺพานิฯ ปลาลานิ อุทฺธราเปตฺวา ภุสิกา อุทฺธราเปตพฺพาฯ ภุสิกํ อุทฺธราเปตฺวา โอปุนาเปตพฺพํ 4ฯ โอปุนาเปตฺวา อติหราเปตพฺพํฯ อติหราเปตฺวา อายติมฺปิ วสฺสํ เอวเมว กาตพฺพํ, อายติมฺปิ วสฺสํ เอวเมว กาตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘น กมฺมา ขียนฺติ? น กมฺมานํ อโนฺต ปญฺญายติ? กทา กมฺมา ขียิสฺสนฺติ? กทา กมฺมานํ อโนฺต ปญฺญายิสฺสติ? กทา มยํ อโปฺปสฺสุกฺกา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตา สมงฺคีภูตา ปริจาเรสฺสามา’’ติ? ‘‘น หิ, ตาต อนุรุทฺธ, กมฺมา ขียนฺติฯ น กมฺมานํ อโนฺต ปญฺญายติฯ อขีเณว กเมฺม ปิตโร จ ปิตามหา จ กาลงฺกตา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ตฺวเญฺญว ฆราวาสเตฺถน อุปชานาหิฯ อหํ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ
330. Tena samayena buddho bhagavā anupiyāyaṃ viharati, anupiyaṃ nāma mallānaṃ nigamo. Tena kho pana samayena abhiññātā abhiññātā sakyakumārā bhagavantaṃ pabbajitaṃ anupabbajanti. Tena kho pana samayena mahānāmo ca sakko anuruddho ca sakko dvebhātikā honti. Anuruddho sakko sukhumālo hoti. Tassa tayo pāsādā honti – eko hemantiko, eko gimhiko, eko vassiko. So vassike pāsāde cattāro māse 5 nippurisehi tūriyehi paricārayamāno 6 na heṭṭhāpāsādaṃ orohati. Atha kho mahānāmassa sakkassa etadahosi – ‘‘etarahi kho abhiññātā abhiññātā sakyakumārā bhagavantaṃ pabbajitaṃ anupabbajanti. Amhākañca pana kulā natthi koci agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Yaṃnūnāhaṃ vā pabbajeyyaṃ, anuruddho vā’’ti. Atha kho mahānāmo sakko yena anuruddho sakko tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā anuruddhaṃ sakkaṃ etadavoca – ‘‘etarahi, tāta anuruddha, abhiññātā abhiññātā sakyakumārā bhagavantaṃ pabbajitaṃ anupabbajanti. Amhākañca pana kulā natthi koci agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Tena hi tvaṃ vā pabbaja, ahaṃ vā pabbajissāmī’’ti. ‘‘Ahaṃ kho sukhumālo, nāhaṃ sakkomi agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ. Tvaṃ pabbajāhī’’ti. ‘‘Ehi kho te, tāta anuruddha, gharāvāsatthaṃ anusāsissāmi. Paṭhamaṃ khettaṃ kasāpetabbaṃ. Kasāpetvā vapāpetabbaṃ. Vapāpetvā udakaṃ abhinetabbaṃ. Udakaṃ abhinetvā udakaṃ ninnetabbaṃ. Udakaṃ ninnetvā niddhāpetabbaṃ. Niddhāpetvā 7 lavāpetabbaṃ. Lavāpetvā ubbāhāpetabbaṃ. Ubbāhāpetvā puñjaṃ kārāpetabbaṃ. Puñjaṃ kārāpetvā maddāpetabbaṃ. Maddāpetvā palālāni uddharāpetabbāni. Palālāni uddharāpetvā bhusikā uddharāpetabbā. Bhusikaṃ uddharāpetvā opunāpetabbaṃ 8. Opunāpetvā atiharāpetabbaṃ. Atiharāpetvā āyatimpi vassaṃ evameva kātabbaṃ, āyatimpi vassaṃ evameva kātabba’’nti. ‘‘Na kammā khīyanti? Na kammānaṃ anto paññāyati? Kadā kammā khīyissanti? Kadā kammānaṃ anto paññāyissati? Kadā mayaṃ appossukkā pañcahi kāmaguṇehi samappitā samaṅgībhūtā paricāressāmā’’ti? ‘‘Na hi, tāta anuruddha, kammā khīyanti. Na kammānaṃ anto paññāyati. Akhīṇeva kamme pitaro ca pitāmahā ca kālaṅkatā’’ti. ‘‘Tena hi tvaññeva gharāvāsatthena upajānāhi. Ahaṃ agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmī’’ti.
อถ โข อนุรุโทฺธ สโกฺก เยน มาตา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา มาตรํ เอตทโวจ – ‘‘อิจฺฉามหํ, อมฺม, อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํฯ อนุชานาหิ มํ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชายา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต อนุรุทฺธสฺส สกฺกสฺส มาตา อนุรุทฺธํ สกฺกํ เอตทโวจ – ‘‘ตุเมฺห โข เม, ตาต อนุรุทฺธ, เทฺว ปุตฺตา ปิยา มนาปา อปฺปฎิกูลาฯ มรเณนปิ โว อกามกา วินา ภวิสฺสามิฯ กิํ ปนาหํ ตุเมฺห ชีวเนฺต อนุชานิสฺสามิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชายา’’ติ? ทุติยมฺปิ โข…เป.… ตติยมฺปิ โข อนุรุโทฺธ สโกฺก มาตรํ เอตทโวจ – ‘‘อิจฺฉามหํ, อมฺม, อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํฯ อนุชานาหิ มํ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชายา’’ติ 9ฯ เตน โข ปน สมเยน ภทฺทิโย สกฺยราชา สกฺยานํ รชฺชํ กาเรติฯ โส จ อนุรุทฺธสฺส สกฺกสฺส สหาโย โหติฯ อถ โข อนุรุทฺธสฺส สกฺกสฺส มาตา – ‘อยํ โข ภทฺทิโย สกฺยราชา สกฺยานํ รชฺชํ กาเรติ; อนุรุทฺธสฺส สกฺกสฺส สหาโย; โส น อุสฺสหติ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุ’นฺติ – อนุรุทฺธํ สกฺกํ เอตทโวจ – ‘‘สเจ, ตาต อนุรุทฺธ, ภทฺทิโย สกฺยราชา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติ, เอวํ ตฺวมฺปิ ปพฺพชาหี’’ติฯ อถ โข อนุรุโทฺธ สโกฺก เยน ภทฺทิโย สกฺยราชา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภทฺทิยํ สกฺยราชานํ เอตทโวจ – ‘‘มม โข, สมฺม, ปพฺพชฺชา ตว ปฎิพทฺธา’’ติฯ ‘‘สเจ เต, สมฺม, ปพฺพชฺชา มม ปฎิพทฺธา วา อปฺปฎิพทฺธา วา สา โหตุ, อหํ ตยา; ยถา สุขํ ปพฺพชาหี’’ติฯ ‘‘เอหิ, สมฺม, อุโภ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ ‘‘นาหํ, สมฺม, สโกฺกมิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุนฺติ ฯ ยํ เต สกฺกา อญฺญํ มยา กาตุํ, กฺยาหํ 10 กริสฺสามิฯ ตฺวํ ปพฺพชาหี’’ติฯ ‘‘มาตา โข มํ, สมฺม, เอวมาห – ‘สเจ, ตาต อนุรุทฺธ, ภทฺทิโย สกฺยราชา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติ, เอวํ ตฺวมฺปิ ปพฺพชาหี’’’ติฯ ‘‘ภาสิตา โข ปน เต, สมฺม, เอสา วาจาฯ สเจ เต, สมฺม, ปพฺพชฺชา มม ปฎิพทฺธา วา, อปฺปฎิพทฺธา วา สา โหตุ, อหํ ตยา; ยถา สุขํ ปพฺพชาหี’’ติฯ ‘‘เอหิ, สมฺม, อุโภ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ
Atha kho anuruddho sakko yena mātā tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā mātaraṃ etadavoca – ‘‘icchāmahaṃ, amma, agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ. Anujānāhi maṃ agārasmā anagāriyaṃ pabbajjāyā’’ti. Evaṃ vutte anuruddhassa sakkassa mātā anuruddhaṃ sakkaṃ etadavoca – ‘‘tumhe kho me, tāta anuruddha, dve puttā piyā manāpā appaṭikūlā. Maraṇenapi vo akāmakā vinā bhavissāmi. Kiṃ panāhaṃ tumhe jīvante anujānissāmi agārasmā anagāriyaṃ pabbajjāyā’’ti? Dutiyampi kho…pe… tatiyampi kho anuruddho sakko mātaraṃ etadavoca – ‘‘icchāmahaṃ, amma, agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ. Anujānāhi maṃ agārasmā anagāriyaṃ pabbajjāyā’’ti 11. Tena kho pana samayena bhaddiyo sakyarājā sakyānaṃ rajjaṃ kāreti. So ca anuruddhassa sakkassa sahāyo hoti. Atha kho anuruddhassa sakkassa mātā – ‘ayaṃ kho bhaddiyo sakyarājā sakyānaṃ rajjaṃ kāreti; anuruddhassa sakkassa sahāyo; so na ussahati agārasmā anagāriyaṃ pabbajitu’nti – anuruddhaṃ sakkaṃ etadavoca – ‘‘sace, tāta anuruddha, bhaddiyo sakyarājā agārasmā anagāriyaṃ pabbajati, evaṃ tvampi pabbajāhī’’ti. Atha kho anuruddho sakko yena bhaddiyo sakyarājā tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā bhaddiyaṃ sakyarājānaṃ etadavoca – ‘‘mama kho, samma, pabbajjā tava paṭibaddhā’’ti. ‘‘Sace te, samma, pabbajjā mama paṭibaddhā vā appaṭibaddhā vā sā hotu, ahaṃ tayā; yathā sukhaṃ pabbajāhī’’ti. ‘‘Ehi, samma, ubho agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmā’’ti. ‘‘Nāhaṃ, samma, sakkomi agārasmā anagāriyaṃ pabbajitunti . Yaṃ te sakkā aññaṃ mayā kātuṃ, kyāhaṃ 12 karissāmi. Tvaṃ pabbajāhī’’ti. ‘‘Mātā kho maṃ, samma, evamāha – ‘sace, tāta anuruddha, bhaddiyo sakyarājā agārasmā anagāriyaṃ pabbajati, evaṃ tvampi pabbajāhī’’’ti. ‘‘Bhāsitā kho pana te, samma, esā vācā. Sace te, samma, pabbajjā mama paṭibaddhā vā, appaṭibaddhā vā sā hotu, ahaṃ tayā; yathā sukhaṃ pabbajāhī’’ti. ‘‘Ehi, samma, ubho agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmā’’ti.
เตน โข ปน สมเยน มนุสฺสา สจฺจวาทิโน โหนฺติ, สจฺจปฎิญฺญาฯ อถ โข ภทฺทิโย สกฺยราชา อนุรุทฺธํ สกฺกํ เอตทโวจ – ‘‘อาคเมหิ, สมฺม, สตฺตวสฺสานิฯ สตฺตนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน อุโภ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อติจิรํ, สมฺม, สตฺตวสฺสานิฯ นาหํ สโกฺกมิ สตฺตวสฺสานิ อาคเมตุ’’นฺติฯ ‘‘อาคเมหิ, สมฺม, ฉวสฺสานิ…เป.… ปญฺจวสฺสานิ… จตฺตาริ วสฺสานิ… ตีณิ วสฺสานิ… เทฺว วสฺสานิ… เอกํ วสฺสํฯ เอกสฺส วสฺสสฺส อจฺจเยน อุโภ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อติจิรํ, สมฺม, เอกวสฺสํฯ นาหํ สโกฺกมิ เอกํ วสฺสํ อาคเมตุ’’นฺติฯ ‘‘อาคเมหิ, สมฺม, สตฺตมาเสฯ สตฺตนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน อุโภปิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อติจิรํ, สมฺม, สตฺตมาสาฯ นาหํ สโกฺกมิ สตฺตมาเส อาคเมตุ’’นฺติฯ ‘‘อาคเมหิ, สมฺม, ฉ มาเส…เป.… ปญฺจ มาเส… จตฺตาโร มาเส… ตโย มาเส… เทฺว มาเส… เอกํ มาสํ… อฑฺฒมาสํฯ อฑฺฒมาสสฺส อจฺจเยน อุโภปิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อติจิรํ, สมฺม, อฑฺฒมาโสฯ นาหํ สโกฺกมิ อฑฺฒมาสํ อาคเมตุ’’นฺติฯ ‘‘อาคเมหิ, สมฺม, สตฺตาหํ ยาวาหํ ปุเตฺต จ ภาตโร จ รชฺชํ นิยฺยาเทมี’’ติฯ ‘‘น จิรํ, สมฺม, สตฺตาโห, อาคเมสฺสามี’’ติฯ
Tena kho pana samayena manussā saccavādino honti, saccapaṭiññā. Atha kho bhaddiyo sakyarājā anuruddhaṃ sakkaṃ etadavoca – ‘‘āgamehi, samma, sattavassāni. Sattannaṃ vassānaṃ accayena ubho agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmā’’ti. ‘‘Aticiraṃ, samma, sattavassāni. Nāhaṃ sakkomi sattavassāni āgametu’’nti. ‘‘Āgamehi, samma, chavassāni…pe… pañcavassāni… cattāri vassāni… tīṇi vassāni… dve vassāni… ekaṃ vassaṃ. Ekassa vassassa accayena ubho agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmā’’ti. ‘‘Aticiraṃ, samma, ekavassaṃ. Nāhaṃ sakkomi ekaṃ vassaṃ āgametu’’nti. ‘‘Āgamehi, samma, sattamāse. Sattannaṃ māsānaṃ accayena ubhopi agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmā’’ti. ‘‘Aticiraṃ, samma, sattamāsā. Nāhaṃ sakkomi sattamāse āgametu’’nti. ‘‘Āgamehi, samma, cha māse…pe… pañca māse… cattāro māse… tayo māse… dve māse… ekaṃ māsaṃ… aḍḍhamāsaṃ. Aḍḍhamāsassa accayena ubhopi agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmā’’ti. ‘‘Aticiraṃ, samma, aḍḍhamāso. Nāhaṃ sakkomi aḍḍhamāsaṃ āgametu’’nti. ‘‘Āgamehi, samma, sattāhaṃ yāvāhaṃ putte ca bhātaro ca rajjaṃ niyyādemī’’ti. ‘‘Na ciraṃ, samma, sattāho, āgamessāmī’’ti.
๓๓๑. อถ โข ภทฺทิโย จ สกฺยราชา อนุรุโทฺธ จ อานโนฺท จ ภคุ จ กิมิโล จ เทวทโตฺต จ, อุปาลิกปฺปเกน สตฺตมา, ยถา ปุเร จตุรงฺคินิยา เสนาย อุยฺยานภูมิํ นิยฺยนฺติ, เอวเมว จตุรงฺคินิยา เสนาย นิยฺยิํสุฯ เต ทูรํ คนฺตฺวา เสนํ นิวตฺตาเปตฺวา ปรวิสยํ โอกฺกมิตฺวา อาภรณํ โอมุญฺจิตฺวา อุตฺตราสเงฺคน ภณฺฑิกํ พนฺธิตฺวา อุปาลิํ กปฺปกํ เอตทโวจุํ – ‘‘หนฺท, ภเณ อุปาลิ, นิวตฺตสฺสุ; อลํ เต เอตฺตกํ ชีวิกายา’’ติฯ อถ โข อุปาลิสฺส กปฺปกสฺส นิวตฺตนฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘จณฺฑา โข สากิยา; อิมินา กุมารา นิปฺปาติตาติ ฆาตาเปยฺยุมฺปิ มํฯ อิเม หิ นาม สกฺยกุมารา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสนฺติฯ กิมงฺค 13 ปนาห’’นฺติฯ ภณฺฑิกํ มุญฺจิตฺวา ตํ ภณฺฑํ รุเกฺข อาลเคฺคตฺวา ‘โย ปสฺสติ, ทินฺนํเยว หรตู’ติ วตฺวา เยน เต สกฺยกุมารา เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสาสุํ โข เต สกฺยกุมารา อุปาลิํ กปฺปกํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อุปาลิํ กปฺปกํ เอตทโวจุํ – ‘‘กิสฺส, ภเณ อุปาลิ, นิวเตฺตสี’’ติ? ‘‘อิธ เม, อยฺยปุตฺตา, นิวตฺตนฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘จณฺฑา โข สากิยา; อิมินา กุมารา นิปฺปาติตาติ ฆาตาเปยฺยุมฺปิ มํฯ อิเม หิ นาม สกฺยกุมารา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสนฺติฯ กิมงฺค ปนาห’นฺติฯ โส โข อหํ, อยฺยปุตฺตา, ภณฺฑิกํ มุญฺจิตฺวา ตํ ภณฺฑํ รุเกฺข อาลเคฺคตฺวา ‘โย ปสฺสติ, ทินฺนเญฺญว หรตู’ติ วตฺวา ตโตมฺหิ ปฎินิวโตฺต’’ติฯ ‘‘สุฎฺฐุ, ภเณ อุปาลิ, อกาสิ ยมฺปิ น นิวโตฺต 14ฯ จณฺฑา โข สากิยา; อิมินา กุมารา นิปฺปาติตาติ ฆาตาเปยฺยุมฺปิ ต’’นฺติฯ
331. Atha kho bhaddiyo ca sakyarājā anuruddho ca ānando ca bhagu ca kimilo ca devadatto ca, upālikappakena sattamā, yathā pure caturaṅginiyā senāya uyyānabhūmiṃ niyyanti, evameva caturaṅginiyā senāya niyyiṃsu. Te dūraṃ gantvā senaṃ nivattāpetvā paravisayaṃ okkamitvā ābharaṇaṃ omuñcitvā uttarāsaṅgena bhaṇḍikaṃ bandhitvā upāliṃ kappakaṃ etadavocuṃ – ‘‘handa, bhaṇe upāli, nivattassu; alaṃ te ettakaṃ jīvikāyā’’ti. Atha kho upālissa kappakassa nivattantassa etadahosi – ‘‘caṇḍā kho sākiyā; iminā kumārā nippātitāti ghātāpeyyumpi maṃ. Ime hi nāma sakyakumārā agārasmā anagāriyaṃ pabbajissanti. Kimaṅga 15 panāha’’nti. Bhaṇḍikaṃ muñcitvā taṃ bhaṇḍaṃ rukkhe ālaggetvā ‘yo passati, dinnaṃyeva haratū’ti vatvā yena te sakyakumārā tenupasaṅkami. Addasāsuṃ kho te sakyakumārā upāliṃ kappakaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna upāliṃ kappakaṃ etadavocuṃ – ‘‘kissa, bhaṇe upāli, nivattesī’’ti? ‘‘Idha me, ayyaputtā, nivattantassa etadahosi – ‘caṇḍā kho sākiyā; iminā kumārā nippātitāti ghātāpeyyumpi maṃ. Ime hi nāma sakyakumārā agārasmā anagāriyaṃ pabbajissanti. Kimaṅga panāha’nti. So kho ahaṃ, ayyaputtā, bhaṇḍikaṃ muñcitvā taṃ bhaṇḍaṃ rukkhe ālaggetvā ‘yo passati, dinnaññeva haratū’ti vatvā tatomhi paṭinivatto’’ti. ‘‘Suṭṭhu, bhaṇe upāli, akāsi yampi na nivatto 16. Caṇḍā kho sākiyā; iminā kumārā nippātitāti ghātāpeyyumpi ta’’nti.
อถ โข สกฺยกุมารา อุปาลิํ กปฺปกํ อาทาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต สกฺยกุมารา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘มยํ, ภเนฺต, สากิยา นาม มานสฺสิโนฯ อยํ , ภเนฺต, อุปาลิ กปฺปโก อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ ปริจารโกฯ อิมํ ภควา ปฐมํ ปพฺพาเชตุฯ อิมสฺส มยํ อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานอญฺชลิกมฺมสามีจิกมฺมํ กริสฺสามฯ เอวํ อมฺหากํ สากิยานํ สากิยมาโน นิมฺมานายิสฺสตี’’ติ 17ฯ
Atha kho sakyakumārā upāliṃ kappakaṃ ādāya yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu, upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinnā kho te sakyakumārā bhagavantaṃ etadavocuṃ – ‘‘mayaṃ, bhante, sākiyā nāma mānassino. Ayaṃ , bhante, upāli kappako amhākaṃ dīgharattaṃ paricārako. Imaṃ bhagavā paṭhamaṃ pabbājetu. Imassa mayaṃ abhivādanapaccuṭṭhānaañjalikammasāmīcikammaṃ karissāma. Evaṃ amhākaṃ sākiyānaṃ sākiyamāno nimmānāyissatī’’ti 18.
อถ โข ภควา อุปาลิํ กปฺปกํ ปฐมํ ปพฺพาเชสิ, ปจฺฉา เต สกฺยกุมาเรฯ อถ โข อายสฺมา ภทฺทิโย เตเนว อนฺตรวเสฺสน ติโสฺส วิชฺชา สจฺฉากาสิฯ อายสฺมา อนุรุโทฺธ ทิพฺพจกฺขุํ อุปฺปาเทสิฯ อายสฺมา อานโนฺท โสตาปตฺติผลํ สจฺฉากาสิฯ เทวทโตฺต โปถุชฺชนิกํ อิทฺธิํ อภินิปฺผาเทสิฯ
Atha kho bhagavā upāliṃ kappakaṃ paṭhamaṃ pabbājesi, pacchā te sakyakumāre. Atha kho āyasmā bhaddiyo teneva antaravassena tisso vijjā sacchākāsi. Āyasmā anuruddho dibbacakkhuṃ uppādesi. Āyasmā ānando sotāpattiphalaṃ sacchākāsi. Devadatto pothujjanikaṃ iddhiṃ abhinipphādesi.
๓๓๒. เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา ภทฺทิโย อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อภิกฺขณํ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘‘อโห สุขํ, อโห สุข’’นฺติฯ อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘อายสฺมา, ภเนฺต, ภทฺทิโย อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อภิกฺขณํ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘อโห สุขํ, อโห สุข’นฺติฯ นิสฺสํสยํ โข, ภเนฺต, อายสฺมา ภทฺทิโย อนภิรโตว พฺรหฺมจริยํ จรติฯ ตํเยว วา ปุริมํ รชฺชสุขํ สมนุสฺสรโนฺต อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อภิกฺขณํ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘อโห สุขํ, อโห สุข’’’นฺติฯ
332. Tena kho pana samayena āyasmā bhaddiyo araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi abhikkhaṇaṃ udānaṃ udānesi – ‘‘aho sukhaṃ, aho sukha’’nti. Atha kho sambahulā bhikkhū yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu, upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinnā kho te bhikkhū bhagavantaṃ etadavocuṃ – ‘‘āyasmā, bhante, bhaddiyo araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi abhikkhaṇaṃ udānaṃ udānesi – ‘aho sukhaṃ, aho sukha’nti. Nissaṃsayaṃ kho, bhante, āyasmā bhaddiyo anabhiratova brahmacariyaṃ carati. Taṃyeva vā purimaṃ rajjasukhaṃ samanussaranto araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi abhikkhaṇaṃ udānaṃ udānesi – ‘aho sukhaṃ, aho sukha’’’nti.
อถ โข ภควา อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, มม วจเนน ภทฺทิยํ ภิกฺขุํ อามเนฺตหิ – ‘สตฺถา ตํ, อาวุโส ภทฺทิย, อามเนฺตตี’’’ติ ฯ ‘‘เอวํ ภเนฺต’’ติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ปฎิสฺสุตฺวา เยนายสฺมา ภทฺทิโย เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ ภทฺทิยํ เอตทโวจ – ‘‘สตฺถา ตํ, อาวุโส ภทฺทิย, อามเนฺตตี’’ติฯ ‘‘เอวมาวุโส’’ติ โข อายสฺมา ภทฺทิโย ตสฺส ภิกฺขุโน ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ ภทฺทิยํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภทฺทิย, อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อภิกฺขณํ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘อโห สุขํ, อโห สุข’’’นฺติ? ‘‘เอวํ ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ, ภทฺทิย, อตฺถวสํ สมฺปสฺสมาโน อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อภิกฺขณํ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘อโห สุขํ อโห สุข’’’นฺติ? ‘‘ปุเพฺพ เม, ภเนฺต, รโญฺญ สโตปิ อโนฺตปิ อเนฺตปุเร รกฺขา สุสํวิหิตา โหติ, พหิปิ อเนฺตปุเร รกฺขา สุสํวิหิตา โหติ, อโนฺตปิ นคเร รกฺขา สุสํวิหิตา โหติ, พหิปิ นคเร รกฺขา สุสํวิหิตา โหติ, อโนฺตปิ ชนปเท รกฺขา สุสํวิหิตา โหติ, พหิปิ ชนปเท รกฺขา สุสํวิหิตา โหติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, เอวํ รกฺขิโตปิ โคปิโตปิ สโนฺต ภีโต อุพฺพิโคฺค อุสฺสงฺกี อุตฺรโสฺต วิหรามิฯ เอตรหิ โข ปน อหํ เอโก, ภเนฺต, อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อภีโต อนุพฺพิโคฺค อนุสฺสงฺกี อนุตฺรโสฺต อโปฺปสฺสุโกฺก ปนฺนโลโม ปรทตฺตวุโตฺต มิคภูเตน เจตสา วิหรามีติฯ อิมํ โข อหํ, ภเนฺต, อตฺถวสํ สมฺปสฺสมาโน อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อภิกฺขณํ อุทานํ อุทาเนมิ – ‘อโห สุขํ, อโห สุข’’’นฺติฯ อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –
Atha kho bhagavā aññataraṃ bhikkhuṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, bhikkhu, mama vacanena bhaddiyaṃ bhikkhuṃ āmantehi – ‘satthā taṃ, āvuso bhaddiya, āmantetī’’’ti . ‘‘Evaṃ bhante’’ti kho so bhikkhu bhagavato paṭissutvā yenāyasmā bhaddiyo tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ bhaddiyaṃ etadavoca – ‘‘satthā taṃ, āvuso bhaddiya, āmantetī’’ti. ‘‘Evamāvuso’’ti kho āyasmā bhaddiyo tassa bhikkhuno paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ bhaddiyaṃ bhagavā etadavoca – ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhaddiya, araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi abhikkhaṇaṃ udānaṃ udānesi – ‘aho sukhaṃ, aho sukha’’’nti? ‘‘Evaṃ bhante’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ, bhaddiya, atthavasaṃ sampassamāno araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi abhikkhaṇaṃ udānaṃ udānesi – ‘aho sukhaṃ aho sukha’’’nti? ‘‘Pubbe me, bhante, rañño satopi antopi antepure rakkhā susaṃvihitā hoti, bahipi antepure rakkhā susaṃvihitā hoti, antopi nagare rakkhā susaṃvihitā hoti, bahipi nagare rakkhā susaṃvihitā hoti, antopi janapade rakkhā susaṃvihitā hoti, bahipi janapade rakkhā susaṃvihitā hoti. So kho ahaṃ, bhante, evaṃ rakkhitopi gopitopi santo bhīto ubbiggo ussaṅkī utrasto viharāmi. Etarahi kho pana ahaṃ eko, bhante, araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi abhīto anubbiggo anussaṅkī anutrasto appossukko pannalomo paradattavutto migabhūtena cetasā viharāmīti. Imaṃ kho ahaṃ, bhante, atthavasaṃ sampassamāno araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi abhikkhaṇaṃ udānaṃ udānemi – ‘aho sukhaṃ, aho sukha’’’nti. Atha kho bhagavā etamatthaṃ viditvā tāyaṃ velāyaṃ imaṃ udānaṃ udānesi –
19 ‘‘ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา, อิติ ภวาภวตญฺจ วีติวโตฺต;
20 ‘‘Yassantarato na santi kopā, iti bhavābhavatañca vītivatto;
ตํ วิคตภยํ สุขิํ อโสกํ, เทวา นานุภวนฺติ ทสฺสนายา’’ติฯ
Taṃ vigatabhayaṃ sukhiṃ asokaṃ, devā nānubhavanti dassanāyā’’ti.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / จูฬวคฺค-อฎฺฐกถา • Cūḷavagga-aṭṭhakathā / ฉสกฺยปพฺพชฺชากถา • Chasakyapabbajjākathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ฉสกฺยปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Chasakyapabbajjākathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ฉสกฺยปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Chasakyapabbajjākathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ฉสกฺยปพฺพชฺชากถาทิวณฺณนา • Chasakyapabbajjākathādivaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ฉสกฺยปพฺพชฺชากถา • Chasakyapabbajjākathā