Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๐๙] ๙. ฉวชาตกวณฺณนา
[309] 9. Chavajātakavaṇṇanā
สพฺพมิทํ จริมํ กตนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ วินเย (ปาจิ. ๖๔๖) วิตฺถารโต อาคตเมวฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – สตฺถา ฉพฺพคฺคิเย ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห, ภิกฺขเว, นีเจ อาสเน นิสีทิตฺวา อุเจฺจ อาสเน นิสินฺนสฺส ธมฺมํ เทเสถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต เต ภิกฺขู ครหิตฺวา ‘‘อยุตฺตํ, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ มม ธเมฺม อคารวกรณํ, โปราณกปณฺฑิตา หิ นีเจ อาสเน นิสีทิตฺวา พาหิรกมเนฺตปิ วาเจเนฺต ครหิํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Sabbamidaṃcarimaṃ katanti idaṃ satthā jetavane viharanto chabbaggiye bhikkhū ārabbha kathesi. Vatthu vinaye (pāci. 646) vitthārato āgatameva. Ayaṃ panettha saṅkhepo – satthā chabbaggiye pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tumhe, bhikkhave, nīce āsane nisīditvā ucce āsane nisinnassa dhammaṃ desethā’’ti pucchitvā ‘‘evaṃ, bhante’’ti vutte te bhikkhū garahitvā ‘‘ayuttaṃ, bhikkhave, tumhākaṃ mama dhamme agāravakaraṇaṃ, porāṇakapaṇḍitā hi nīce āsane nisīditvā bāhirakamantepi vācente garahiṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต จณฺฑาลกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต กุฎุมฺพํ สณฺฐเปสิฯ ตสฺส ภริยา อมฺพโทหฬินี หุตฺวา ตํ อาห ‘‘สามิ, อิจฺฉามหํ อมฺพํ ขาทิตุ’’นฺติฯ ‘‘ภเทฺท, อิมสฺมิํ กาเล อมฺพํ นตฺถิ, อญฺญํ กิญฺจิ อมฺพิลผลํ อาหริสฺสามี’’ติฯ ‘‘สามิ, อมฺพผลํ ลภมานาว ชีวิสฺสามิ, อลภมานาย เม ชีวิตํ นตฺถี’’ติฯ โส ตสฺสา ปฎิพทฺธจิโตฺต ‘‘กหํ นุ โข อมฺพผลํ ลภิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ เตน โข ปน สมเยน พาราณสิรโญฺญ อุยฺยาเน อโมฺพ ธุวผโล โหติฯ โส ‘‘ตโต อมฺพปกฺกํ อาหริตฺวา อิมิสฺสา โทหฬํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภสฺสามี’’ติ รตฺติภาเค อุยฺยานํ คนฺตฺวา อมฺพํ อภิรุหิตฺวา นิลีโน สาขาย สาขํ อมฺพํ โอโลเกโนฺต วิจริฯ ตสฺส ตถา กโรนฺตเสฺสว รตฺติ วิภายิฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘สเจ อิทานิ โอตริตฺวา คมิสฺสามิ, ทิสฺวา มํ ‘โจโร’ติ คณฺหิสฺสนฺติ, รตฺติภาเค คมิสฺสามี’’ติฯ อเถกํ วิฎปํ อภิรุหิตฺวา นิลีโน อจฺฉิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto caṇḍālakule nibbattitvā vayappatto kuṭumbaṃ saṇṭhapesi. Tassa bhariyā ambadohaḷinī hutvā taṃ āha ‘‘sāmi, icchāmahaṃ ambaṃ khāditu’’nti. ‘‘Bhadde, imasmiṃ kāle ambaṃ natthi, aññaṃ kiñci ambilaphalaṃ āharissāmī’’ti. ‘‘Sāmi, ambaphalaṃ labhamānāva jīvissāmi, alabhamānāya me jīvitaṃ natthī’’ti. So tassā paṭibaddhacitto ‘‘kahaṃ nu kho ambaphalaṃ labhissāmī’’ti cintesi. Tena kho pana samayena bārāṇasirañño uyyāne ambo dhuvaphalo hoti. So ‘‘tato ambapakkaṃ āharitvā imissā dohaḷaṃ paṭippassambhessāmī’’ti rattibhāge uyyānaṃ gantvā ambaṃ abhiruhitvā nilīno sākhāya sākhaṃ ambaṃ olokento vicari. Tassa tathā karontasseva ratti vibhāyi. So cintesi ‘‘sace idāni otaritvā gamissāmi, disvā maṃ ‘coro’ti gaṇhissanti, rattibhāge gamissāmī’’ti. Athekaṃ viṭapaṃ abhiruhitvā nilīno acchi.
ตทา พาราณสิราชา ‘‘ปุโรหิตสฺส สนฺติเก มเนฺต อุคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา อมฺพรุกฺขมูเล อุเจฺจ อาสเน นิสีทิตฺวา อาจริยํ นีเจ อาสเน นิสีทาเปตฺวา มเนฺต อุคฺคณฺหิฯ โพธิสโตฺต อุปริ นิลีโน จิเนฺตสิ – ‘‘ยาว อธมฺมิโก อยํ ราชา, โย อุจฺจาสเน นิสีทิตฺวา มเนฺต อุคฺคณฺหาติฯ อยํ พฺราหฺมโณปิ อธมฺมิโก, โย นีจาสเน นิสีทิตฺวา มเนฺต วาเจติฯ อหมฺปิ อธมฺมิโก, โย มาตุคามสฺส วสํ คนฺตฺวา มม ชีวิตํ อคเณตฺวา อมฺพํ อาหรามี’’ติฯ โส รุกฺขโต โอตรโนฺต เอกํ โอลมฺพนสาขํ คเหตฺวา เตสํ อุภินฺนมฺปิ อนฺตเร ปติฎฺฐาย ‘‘มหาราช, อหํ นโฎฺฐ, ตฺวํ มูโฬฺห, ปุโรหิโต มโต’’ติ อาหฯ โส รญฺญา ‘‘กิํการณา’’ติ ปุโฎฺฐ ปฐมํ คาถมาห –
Tadā bārāṇasirājā ‘‘purohitassa santike mante uggaṇhissāmī’’ti uyyānaṃ pavisitvā ambarukkhamūle ucce āsane nisīditvā ācariyaṃ nīce āsane nisīdāpetvā mante uggaṇhi. Bodhisatto upari nilīno cintesi – ‘‘yāva adhammiko ayaṃ rājā, yo uccāsane nisīditvā mante uggaṇhāti. Ayaṃ brāhmaṇopi adhammiko, yo nīcāsane nisīditvā mante vāceti. Ahampi adhammiko, yo mātugāmassa vasaṃ gantvā mama jīvitaṃ agaṇetvā ambaṃ āharāmī’’ti. So rukkhato otaranto ekaṃ olambanasākhaṃ gahetvā tesaṃ ubhinnampi antare patiṭṭhāya ‘‘mahārāja, ahaṃ naṭṭho, tvaṃ mūḷho, purohito mato’’ti āha. So raññā ‘‘kiṃkāraṇā’’ti puṭṭho paṭhamaṃ gāthamāha –
๓๓.
33.
‘‘สพฺพมิทํ จริมํ กตํ, อุโภ ธมฺมํ น ปสฺสเร;
‘‘Sabbamidaṃ carimaṃ kataṃ, ubho dhammaṃ na passare;
อุโภ ปกติยา จุตา, โย จายํ มเนฺตชฺฌาเปติ;
Ubho pakatiyā cutā, yo cāyaṃ mantejjhāpeti;
โย จ มนฺตํ อธียตี’’ติฯ
Yo ca mantaṃ adhīyatī’’ti.
ตตฺถ สพฺพมิทํ จริมํ กตนฺติ ยํ อเมฺหหิ ตีหิ ชเนหิ กตํ, สพฺพํ อิทํ กิจฺจํ ลามกํ นิมฺมริยาทํ อธมฺมิกํฯ เอวํ อตฺตโน โจรภาวํ เตสญฺจ มเนฺตสุ อคารวํ ครหิตฺวา ปุน อิตเร เทฺวเยว ครหโนฺต ‘‘อุโภ ธมฺมํ น ปสฺสเร’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุโภติ อิเม เทฺวปิ ชนา ครุการารหํ โปราณกธมฺมํ น ปสฺสนฺติ, ตโต ธมฺมปกติโต จุตาฯ ธโมฺม หิ ปฐมุปฺปตฺติวเสน ปกติ นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Tattha sabbamidaṃ carimaṃ katanti yaṃ amhehi tīhi janehi kataṃ, sabbaṃ idaṃ kiccaṃ lāmakaṃ nimmariyādaṃ adhammikaṃ. Evaṃ attano corabhāvaṃ tesañca mantesu agāravaṃ garahitvā puna itare dveyeva garahanto ‘‘ubhodhammaṃ na passare’’tiādimāha. Tattha ubhoti ime dvepi janā garukārārahaṃ porāṇakadhammaṃ na passanti, tato dhammapakatito cutā. Dhammo hi paṭhamuppattivasena pakati nāma. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ธโมฺม หเว ปาตุรโหสิ ปุเพฺพ;
‘‘Dhammo have pāturahosi pubbe;
ปจฺฉา อธโมฺม อุทปาทิ โลเก’’ติฯ (ชา. ๑.๑๑.๒๘);
Pacchā adhammo udapādi loke’’ti. (jā. 1.11.28);
โย จายนฺติ โย จ อยํ นีจาสเน นิสีทิตฺวา มเนฺต อชฺฌาเปติ, โย จ อุเจฺจ อาสเน นิสีทิตฺวา อธียตีติฯ
Yo cāyanti yo ca ayaṃ nīcāsane nisīditvā mante ajjhāpeti, yo ca ucce āsane nisīditvā adhīyatīti.
ตํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā brāhmaṇo dutiyaṃ gāthamāha –
๓๔.
34.
‘‘สาลีนํ โอทนํ ภุเญฺช, สุจิํ มํสูปเสจนํ;
‘‘Sālīnaṃ odanaṃ bhuñje, suciṃ maṃsūpasecanaṃ;
ตสฺมา เอตํ น เสวามิ, ธมฺมํ อิสีหิ เสวิต’’นฺติฯ
Tasmā etaṃ na sevāmi, dhammaṃ isīhi sevita’’nti.
ตสฺสโตฺถ – อหญฺหิ โภ อิมสฺส รโญฺญ สนฺตกํ สาลีนํ โอทนํ สุจิํ ปณฺฑรํ นานปฺปการาย มํสวิกติยา สิตฺตํ มํสูปเสจนํ ภุญฺชามิ, ตสฺมา อุทเร พโทฺธ หุตฺวา เอตํ เอสิตคุเณหิ อิสีหิ เสวิตํ ธมฺมํ น เสวามีติฯ
Tassattho – ahañhi bho imassa rañño santakaṃ sālīnaṃ odanaṃ suciṃ paṇḍaraṃ nānappakārāya maṃsavikatiyā sittaṃ maṃsūpasecanaṃ bhuñjāmi, tasmā udare baddho hutvā etaṃ esitaguṇehi isīhi sevitaṃ dhammaṃ na sevāmīti.
ตํ สุตฺวา อิตโร เทฺว คาถา อภาสิ –
Taṃ sutvā itaro dve gāthā abhāsi –
๓๕.
35.
‘‘ปริพฺพช มหา โลโก, ปจนฺตเญฺญปิ ปาณิโน;
‘‘Paribbaja mahā loko, pacantaññepi pāṇino;
มา ตํ อธโมฺม อาจริโต, อสฺมา กุมฺภมิวาภิทาฯ
Mā taṃ adhammo ācarito, asmā kumbhamivābhidā.
๓๖.
36.
‘‘ธิรตฺถุ ตํ ยสลาภํ, ธนลาภญฺจ พฺราหฺมณ;
‘‘Dhiratthu taṃ yasalābhaṃ, dhanalābhañca brāhmaṇa;
ยา วุตฺติ วินิปาเตน, อธมฺมจรเณน วา’’ติฯ
Yā vutti vinipātena, adhammacaraṇena vā’’ti.
ตตฺถ ปริพฺพชาติ อิโต อญฺญตฺถ คจฺฉฯ มหาติ อยํ โลโก นาม มหาฯ ปจนฺตเญฺญปิ ปาณิโนติ อิมสฺมิํ ชมฺพุทีเป อเญฺญปิ ปาณิโน ปจนฺติ, นายเมเวโก ราชาฯ อสฺมา กุมฺภมิวาภิทาติ ปาสาโณ ฆฎํ วิยฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ ตฺวํ อญฺญตฺถ อคนฺตฺวา อิธ วสโนฺต อธมฺมํ อาจรสิ, โส อธโมฺม เอวํ อาจริโต ปาสาโณ ฆฎํ วิย มา ตํ ภินฺทิฯ
Tattha paribbajāti ito aññattha gaccha. Mahāti ayaṃ loko nāma mahā. Pacantaññepi pāṇinoti imasmiṃ jambudīpe aññepi pāṇino pacanti, nāyameveko rājā. Asmā kumbhamivābhidāti pāsāṇo ghaṭaṃ viya. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ tvaṃ aññattha agantvā idha vasanto adhammaṃ ācarasi, so adhammo evaṃ ācarito pāsāṇo ghaṭaṃ viya mā taṃ bhindi.
‘‘ธิรตฺถู’’ติ คาถาย อยํ สเงฺขปโตฺถ – พฺราหฺมณ โย เอส เอวํ ตว ยสลาโภ จ ธนลาโภ จ ธิรตฺถุ, ตํ ครหาม มยํฯ กสฺมา? ยสฺมา อยํ ตยา ลทฺธลาโภ อายติํ อปาเยสุ วินิปาตนเหตุนา สมฺปติ จ อธมฺมจรเณน ชีวิตวุตฺติ นาม โหติ, ยา เจสา วุตฺติ อิมินา อายติํ วินิปาเตน อิธ อธมฺมจรเณน วา นิปฺปชฺชติ, กิํ ตาย, เตน ตํ เอวํ วทามีติฯ
‘‘Dhiratthū’’ti gāthāya ayaṃ saṅkhepattho – brāhmaṇa yo esa evaṃ tava yasalābho ca dhanalābho ca dhiratthu, taṃ garahāma mayaṃ. Kasmā? Yasmā ayaṃ tayā laddhalābho āyatiṃ apāyesu vinipātanahetunā sampati ca adhammacaraṇena jīvitavutti nāma hoti, yā cesā vutti iminā āyatiṃ vinipātena idha adhammacaraṇena vā nippajjati, kiṃ tāya, tena taṃ evaṃ vadāmīti.
อถสฺส ธมฺมกถาย ราชา ปสีทิตฺวา ‘‘โภ, ปุริส, กิํชาติโกสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘จณฺฑาโล อหํ, เทวา’’ติฯ โภ ‘‘สเจ ตฺวํ ชาติสมฺปโนฺน อภวิสฺสฺส, รชฺชํ เต อหํ อทสฺสํ, อิโต ปฎฺฐาย ปน อหํ ทิวา ราชา ภวิสฺสามิ, ตฺวํ รตฺติํ ราชา โหหี’’ติ อตฺตโน กเณฺฐ ปิฬนฺธนํ ปุปฺผทามํ ตสฺส คีวายํ ปิฬนฺธาเปตฺวา ตํ นครคุตฺติกํ อกาสิฯ อยํ นครคุตฺติกานํ กเณฺฐ รตฺตปุปฺผทามปิฬนฺธนวํโสฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน ราชา ตโสฺสวาเท ฐตฺวา อาจริเย คารวํ กริตฺวา นีเจ อาสเน นิสิโนฺน มเนฺต อุคฺคณฺหีติฯ
Athassa dhammakathāya rājā pasīditvā ‘‘bho, purisa, kiṃjātikosī’’ti pucchi. ‘‘Caṇḍālo ahaṃ, devā’’ti. Bho ‘‘sace tvaṃ jātisampanno abhavisssa, rajjaṃ te ahaṃ adassaṃ, ito paṭṭhāya pana ahaṃ divā rājā bhavissāmi, tvaṃ rattiṃ rājā hohī’’ti attano kaṇṭhe piḷandhanaṃ pupphadāmaṃ tassa gīvāyaṃ piḷandhāpetvā taṃ nagaraguttikaṃ akāsi. Ayaṃ nagaraguttikānaṃ kaṇṭhe rattapupphadāmapiḷandhanavaṃso. Tato paṭṭhāya pana rājā tassovāde ṭhatvā ācariye gāravaṃ karitvā nīce āsane nisinno mante uggaṇhīti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, จณฺฑาลปุโตฺต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā rājā ānando ahosi, caṇḍālaputto pana ahameva ahosi’’nti.
ฉวชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Chavajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๐๙. ฉวกชาตกํ • 309. Chavakajātakaṃ