Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๙๘] ๒. จิตฺตสมฺภูตชาตกวณฺณนา

    [498] 2. Cittasambhūtajātakavaṇṇanā

    สพฺพํ นรานํ สผลํ สุจิณฺณนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส ปิยสํวาเส เทฺว สทฺธิวิหาริเก ภิกฺขู อารพฺภ กเถสิฯ เต กิร อญฺญมญฺญํ อปฺปฎิวิภตฺตโภคา ปรมวิสฺสาสิกา อเหสุํ, ปิณฺฑาย จรนฺตาปิ เอกโตว คจฺฉนฺติ, เอกโตว อาคจฺฉนฺติ, วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺติฯ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู เตสํเยว วิสฺสาสํ วณฺณยมานา นิสีทิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อนจฺฉริยํ, ภิกฺขเว, อิเมสํ เอกสฺมิํ อตฺตภาเว วิสฺสาสิกตฺตํ, โปราณกปณฺฑิตา ตีณิ จตฺตาริ ภวนฺตรานิ คจฺฉนฺตาปิ มิตฺตภาวํ น วิชหิํสุเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Sabbaṃ narānaṃ saphalaṃ suciṇṇanti idaṃ satthā jetavane viharanto āyasmato mahākassapassa piyasaṃvāse dve saddhivihārike bhikkhū ārabbha kathesi. Te kira aññamaññaṃ appaṭivibhattabhogā paramavissāsikā ahesuṃ, piṇḍāya carantāpi ekatova gacchanti, ekatova āgacchanti, vinā bhavituṃ na sakkonti. Dhammasabhāyaṃ bhikkhū tesaṃyeva vissāsaṃ vaṇṇayamānā nisīdiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘anacchariyaṃ, bhikkhave, imesaṃ ekasmiṃ attabhāve vissāsikattaṃ, porāṇakapaṇḍitā tīṇi cattāri bhavantarāni gacchantāpi mittabhāvaṃ na vijahiṃsuyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต อวนฺติรเฎฺฐ อุเชฺชนิยํ อวนฺติมหาราชา นาม รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา อุเชฺชนิยา พหิ จณฺฑาลคามโก อโหสิฯ มหาสโตฺต ตตฺถ นิพฺพตฺติ, อปโรปิ สโตฺต ตเสฺสว มาตุจฺฉาปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เตสุ เอโก จิโตฺต นาม อโหสิ, เอโก สมฺภูโต นามฯ เต อุโภปิ วยปฺปตฺตา จณฺฑาลวํสโธวนํ นาม สิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา เอกทิวสํ ‘‘อุเชฺชนีนครทฺวาเร สิปฺปํ ทเสฺสสฺสามา’’ติ เอโก อุตฺตรทฺวาเร สิปฺปํ ทเสฺสสิ, เอโก ปาจีนทฺวาเรฯ ตสฺมิญฺจ นคเร เทฺว ทิฎฺฐมงฺคลิกาโย อเหสุํ, เอกา เสฎฺฐิธีตา, เอกา ปุโรหิตธีตาฯ ตา พหุขาทนียโภชนียมาลาคนฺธาทีนิ คาหาเปตฺวา ‘‘อุยฺยานกีฬํ กีฬิสฺสามา’’ติ เอกา อุตฺตรทฺวาเรน นิกฺขมิ, เอกา ปาจีนทฺวาเรนฯ ตา เต จณฺฑาลปุเตฺต สิปฺปํ ทเสฺสเนฺต ทิสฺวา ‘‘เก เอเต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘จณฺฑาลปุตฺตา’’ติ สุตฺวา ‘‘อปสฺสิตพฺพยุตฺตกํ วต ปสฺสิมฺหา’’ติ คโนฺธทเกน อกฺขีนิ โธวิตฺวา นิวตฺติํสุฯ มหาชโน ‘‘อเร ทุฎฺฐจณฺฑาล, ตุเมฺห นิสฺสาย มยํ อมูลกานิ สุราภตฺตาทีนิ น ลภิมฺหา’’ติ เต อุโภปิ ภาติเก โปเถตฺวา อนยพฺยสนํ ปาเปสิฯ

    Atīte avantiraṭṭhe ujjeniyaṃ avantimahārājā nāma rajjaṃ kāresi. Tadā ujjeniyā bahi caṇḍālagāmako ahosi. Mahāsatto tattha nibbatti, aparopi satto tasseva mātucchāputto hutvā nibbatti. Tesu eko citto nāma ahosi, eko sambhūto nāma. Te ubhopi vayappattā caṇḍālavaṃsadhovanaṃ nāma sippaṃ uggaṇhitvā ekadivasaṃ ‘‘ujjenīnagaradvāre sippaṃ dassessāmā’’ti eko uttaradvāre sippaṃ dassesi, eko pācīnadvāre. Tasmiñca nagare dve diṭṭhamaṅgalikāyo ahesuṃ, ekā seṭṭhidhītā, ekā purohitadhītā. Tā bahukhādanīyabhojanīyamālāgandhādīni gāhāpetvā ‘‘uyyānakīḷaṃ kīḷissāmā’’ti ekā uttaradvārena nikkhami, ekā pācīnadvārena. Tā te caṇḍālaputte sippaṃ dassente disvā ‘‘ke ete’’ti pucchitvā ‘‘caṇḍālaputtā’’ti sutvā ‘‘apassitabbayuttakaṃ vata passimhā’’ti gandhodakena akkhīni dhovitvā nivattiṃsu. Mahājano ‘‘are duṭṭhacaṇḍāla, tumhe nissāya mayaṃ amūlakāni surābhattādīni na labhimhā’’ti te ubhopi bhātike pothetvā anayabyasanaṃ pāpesi.

    เต ปฎิลทฺธสญฺญา อุฎฺฐาย อญฺญมญฺญสฺส สนฺติกํ คจฺฉนฺตา เอกสฺมิํ ฐาเน สมาคนฺตฺวา อญฺญมญฺญสฺส ตํ ทุกฺขุปฺปตฺติํ อาโรเจตฺวา โรทิตฺวา ปริเทวิตฺวา ‘‘กินฺติ กริสฺสามา’’ติ มเนฺตตฺวา ‘‘อิมํ อมฺหากํ ชาติํ นิสฺสาย ทุกฺขํ อุปฺปนฺนํ, จณฺฑาลกมฺมํ กาตุํ น สกฺขิสฺสาม, ชาติํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา พฺราหฺมณมาณววเณฺณน ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา สิปฺปํ อุคฺคณฺหิสฺสามา’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา ธมฺมเนฺตวาสิกา หุตฺวา ทิสาปาโมกฺขาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปํ ปฎฺฐเปสุํฯ ชมฺพุทีปตเล ‘‘เทฺว กิร จณฺฑาลา ชาติํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา สิปฺปํ อุคฺคณฺหนฺตี’’ติ สูยิตฺถฯ เตสุ จิตฺตปณฺฑิตสฺส สิปฺปํ นิฎฺฐิตํ, สมฺภูตสฺส น ตาว นิฎฺฐาติฯ

    Te paṭiladdhasaññā uṭṭhāya aññamaññassa santikaṃ gacchantā ekasmiṃ ṭhāne samāgantvā aññamaññassa taṃ dukkhuppattiṃ ārocetvā roditvā paridevitvā ‘‘kinti karissāmā’’ti mantetvā ‘‘imaṃ amhākaṃ jātiṃ nissāya dukkhaṃ uppannaṃ, caṇḍālakammaṃ kātuṃ na sakkhissāma, jātiṃ paṭicchādetvā brāhmaṇamāṇavavaṇṇena takkasilaṃ gantvā sippaṃ uggaṇhissāmā’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā tattha gantvā dhammantevāsikā hutvā disāpāmokkhācariyassa santike sippaṃ paṭṭhapesuṃ. Jambudīpatale ‘‘dve kira caṇḍālā jātiṃ paṭicchādetvā sippaṃ uggaṇhantī’’ti sūyittha. Tesu cittapaṇḍitassa sippaṃ niṭṭhitaṃ, sambhūtassa na tāva niṭṭhāti.

    อเถกทิวสํ เอโก คามวาสี ‘‘พฺราหฺมณวาจนกํ กริสฺสามี’’ติ อาจริยํ นิมเนฺตสิฯ ตเมว รตฺติํ เทโว วสฺสิตฺวา มเคฺค กนฺทราทีนิ ปูเรสิฯ อาจริโย ปาโตว จิตฺตปณฺฑิตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, อหํ คนฺตุํ น สกฺขิสฺสามิ, ตฺวํ มาณเวหิ สทฺธิํ คนฺตา มงฺคลํ วตฺวา ตุเมฺหหิ ลทฺธํ ภุญฺชิตฺวา อเมฺหหิ ลทฺธํ อาหรา’’ติ เปเสสิฯ โส ‘‘สาธู’’ติ มาณวเก คเหตฺวา คโตฯ ยาว มาณวา นฺหายนฺติ เจว มุขานิ จ โธวนฺติ, ตาว มนุสฺสา ปายาสํ วเฑฺฒตฺวา นิพฺพาตูติ ฐเปสุํฯ มาณวา ตสฺมิํ อนิพฺพุเตเยว อาคนฺตฺวา นิสีทิํสุฯ มนุสฺสา ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา เตสํ ปุรโต ปาติโย ฐเปสุํฯ สมฺภูโต ลุทฺธธาตุโก วิย หุตฺวา ‘‘สีตโล’’ติ สญฺญาย ปายาสปิณฺฑํ อุกฺขิปิตฺวา มุเข ฐเปสิ, โส ตสฺส อาทิตฺตอโยคุโฬ วิย มุขํ ทหิฯ โส กมฺปมาโน สติํ อนุปฎฺฐาเปตฺวา จิตฺตปณฺฑิตํ โอโลเกตฺวา จณฺฑาลภาสาย เอว ‘‘ขฬุ ขฬู’’ติ อาห ฯ โสปิ ตเถว สติํ อนุปฎฺฐาเปตฺวา จณฺฑาลภาสาย เอว ‘‘นิคฺคล นิคฺคลา’’ติ อาหฯ มาณวา อญฺญมญฺญํ โอโลเกตฺวา ‘‘กิํ ภาสา นาเมสา’’ติ วทิํสุฯ จิตฺตปณฺฑิโต มงฺคลํ อภาสิฯ มาณวา พหิ นิกฺขมิตฺวา วคฺควคฺคา หุตฺวา ตตฺถ ตตฺถ นิสีทิตฺวา ภาสํ โสเธนฺตา ‘‘จณฺฑาลภาสา’’ติ ญตฺวา ‘‘อเร ทุฎฺฐจณฺฑาลา, เอตฺตกํ กาลํ ‘พฺราหฺมณามฺหา’ติ วตฺวา วญฺจยิตฺถา’’ติ อุโภปิ เต โปถยิํสุฯ อเถโก สปฺปุริโส ‘‘อเปถา’’ติ วาเรตฺวา ‘‘อยํ ตุมฺหากํ ชาติยา โทโส, คจฺฉถ กตฺถจิ เทเสว ปพฺพชิตฺวา ชีวถา’’ติ เต อุโภ อุโยฺยเชสิฯ มาณวา เตสํ จณฺฑาลภาวํ อาจริยสฺส อาโรเจสุํฯ

    Athekadivasaṃ eko gāmavāsī ‘‘brāhmaṇavācanakaṃ karissāmī’’ti ācariyaṃ nimantesi. Tameva rattiṃ devo vassitvā magge kandarādīni pūresi. Ācariyo pātova cittapaṇḍitaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, ahaṃ gantuṃ na sakkhissāmi, tvaṃ māṇavehi saddhiṃ gantā maṅgalaṃ vatvā tumhehi laddhaṃ bhuñjitvā amhehi laddhaṃ āharā’’ti pesesi. So ‘‘sādhū’’ti māṇavake gahetvā gato. Yāva māṇavā nhāyanti ceva mukhāni ca dhovanti, tāva manussā pāyāsaṃ vaḍḍhetvā nibbātūti ṭhapesuṃ. Māṇavā tasmiṃ anibbuteyeva āgantvā nisīdiṃsu. Manussā dakkhiṇodakaṃ datvā tesaṃ purato pātiyo ṭhapesuṃ. Sambhūto luddhadhātuko viya hutvā ‘‘sītalo’’ti saññāya pāyāsapiṇḍaṃ ukkhipitvā mukhe ṭhapesi, so tassa ādittaayoguḷo viya mukhaṃ dahi. So kampamāno satiṃ anupaṭṭhāpetvā cittapaṇḍitaṃ oloketvā caṇḍālabhāsāya eva ‘‘khaḷu khaḷū’’ti āha . Sopi tatheva satiṃ anupaṭṭhāpetvā caṇḍālabhāsāya eva ‘‘niggala niggalā’’ti āha. Māṇavā aññamaññaṃ oloketvā ‘‘kiṃ bhāsā nāmesā’’ti vadiṃsu. Cittapaṇḍito maṅgalaṃ abhāsi. Māṇavā bahi nikkhamitvā vaggavaggā hutvā tattha tattha nisīditvā bhāsaṃ sodhentā ‘‘caṇḍālabhāsā’’ti ñatvā ‘‘are duṭṭhacaṇḍālā, ettakaṃ kālaṃ ‘brāhmaṇāmhā’ti vatvā vañcayitthā’’ti ubhopi te pothayiṃsu. Atheko sappuriso ‘‘apethā’’ti vāretvā ‘‘ayaṃ tumhākaṃ jātiyā doso, gacchatha katthaci deseva pabbajitvā jīvathā’’ti te ubho uyyojesi. Māṇavā tesaṃ caṇḍālabhāvaṃ ācariyassa ārocesuṃ.

    เตปิ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา น จิรเสฺสว ตโต จวิตฺวา เนรญฺชราย ตีเร มิคิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติํสุฯ เต มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตกาลโต ปฎฺฐาย เอกโตว วิจรนฺติ, วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺติฯ เต เอกทิวสํ โคจรํ คเหตฺวา เอกสฺมิํ รุกฺขมูเล สีเสน สีสํ, สิเงฺคน สิงฺคํ, ตุเณฺฑน ตุณฺฑํ อลฺลียาเปตฺวา โรมนฺถยมาเน ฐิเต ทิสฺวา เอโก ลุทฺทโก สตฺติํ ขิปิตฺวา เอกปฺปหาเรเนว ชีวิตา โวโรเปสิฯ ตโต จวิตฺวา นมฺมทานทีตีเร อุกฺกุสโยนิยํ นิพฺพตฺติํสุฯ ตตฺราปิ วุทฺธิปฺปเตฺต โคจรํ คเหตฺวา สีเสน สีสํ, ตุเณฺฑน ตุณฺฑํ อลฺลียาเปตฺวา ฐิเต ทิสฺวา เอโก ยฎฺฐิลุทฺทโก เอกปฺปหาเรเนว พนฺธิตฺวา วธิฯ ตโต ปน จวิตฺวา จิตฺตปณฺฑิโต โกสมฺพิยํ ปุโรหิตสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ สมฺภูตปณฺฑิโต อุตฺตรปญฺจาลรโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เต นามคฺคหณทิวสโต ปฎฺฐาย อตฺตโน ชาติํ อนุสฺสริํสุฯ เตสุ สมฺภูตปณฺฑิโต นิรนฺตรํ สริตุํ อสโกฺกโนฺต จตุตฺถํ จณฺฑาลชาติเมว อนุสฺสรติ, จิตฺตปณฺฑิโต ปฎิปาฎิยา จตโสฺสปิ ชาติโยฯ โส โสฬสวสฺสกาเล นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญํ นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานสุเขน วีตินาเมโนฺต วสิฯ สมฺภูตปณฺฑิโตปิ ปิตุ อจฺจเยน ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ฉตฺตมงฺคลทิวเสเยว มหาชนมเชฺฌ มงฺคลคีตํ กตฺวา อุทานวเสน เทฺว คาถา อภาสิฯ ตํ สุตฺวา ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ มงฺคลคีต’’นฺติ โอโรธาปิ คนฺธพฺพาปิ ตเมว คีตํ คายนฺติฯ อนุกฺกเมเนว ‘‘รโญฺญ ปิยคีต’’นฺติ สเพฺพปิ นครวาสิโน มนุสฺสา ตเมว คายนฺติฯ

    Tepi araññaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā na cirasseva tato cavitvā nerañjarāya tīre migiyā kucchismiṃ nibbattiṃsu. Te mātukucchito nikkhantakālato paṭṭhāya ekatova vicaranti, vinā bhavituṃ na sakkonti. Te ekadivasaṃ gocaraṃ gahetvā ekasmiṃ rukkhamūle sīsena sīsaṃ, siṅgena siṅgaṃ, tuṇḍena tuṇḍaṃ allīyāpetvā romanthayamāne ṭhite disvā eko luddako sattiṃ khipitvā ekappahāreneva jīvitā voropesi. Tato cavitvā nammadānadītīre ukkusayoniyaṃ nibbattiṃsu. Tatrāpi vuddhippatte gocaraṃ gahetvā sīsena sīsaṃ, tuṇḍena tuṇḍaṃ allīyāpetvā ṭhite disvā eko yaṭṭhiluddako ekappahāreneva bandhitvā vadhi. Tato pana cavitvā cittapaṇḍito kosambiyaṃ purohitassa putto hutvā nibbatti. Sambhūtapaṇḍito uttarapañcālarañño putto hutvā nibbatti. Te nāmaggahaṇadivasato paṭṭhāya attano jātiṃ anussariṃsu. Tesu sambhūtapaṇḍito nirantaraṃ sarituṃ asakkonto catutthaṃ caṇḍālajātimeva anussarati, cittapaṇḍito paṭipāṭiyā catassopi jātiyo. So soḷasavassakāle nikkhamitvā himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññaṃ nibbattetvā jhānasukhena vītināmento vasi. Sambhūtapaṇḍitopi pitu accayena chattaṃ ussāpetvā chattamaṅgaladivaseyeva mahājanamajjhe maṅgalagītaṃ katvā udānavasena dve gāthā abhāsi. Taṃ sutvā ‘‘amhākaṃ rañño maṅgalagīta’’nti orodhāpi gandhabbāpi tameva gītaṃ gāyanti. Anukkameneva ‘‘rañño piyagīta’’nti sabbepi nagaravāsino manussā tameva gāyanti.

    จิตฺตปณฺฑิโตปิ หิมวนฺตปเทเส วสโนฺตเยว ‘‘กิํ นุ โข มม ภาติเกน สมฺภูเตน ฉตฺตํ ลทฺธํ, อุทาหุ น วา’’ติ อุปธาเรโนฺต ลทฺธภาวํ ญตฺวา ‘‘นวรชฺชํ ตาว อิทานิ คนฺตฺวาปิ โพเธตุํ น สกฺขิสฺสามิ, มหลฺลกกาเล นํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ กเถตฺวา ปพฺพาเชสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปณฺณาส วสฺสานิ อคนฺตฺวา รโญฺญ ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒิตกาเล อิทฺธิยา คนฺตฺวา อุยฺยาเน โอตริตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ สุวณฺณปฎิมา วิย นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ เอโก ทารโก ตํ คีตํ คายโนฺต ทารูนิ อุทฺธรติฯ จิตฺตปณฺฑิโต ตํ ปโกฺกสิฯ โส อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ อาห – ‘‘ตฺวํ ปาโตว ปฎฺฐาย อิมเมว คีตํ คายสิ, กิํ อญฺญํ น ชานาสี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, อญฺญานิปิ พหูนิ ชานามิ, อิมานิ ปน เทฺว รโญฺญ ปิยคีตานิ, ตสฺมา อิมาเนว คายามี’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน รโญฺญ คีตสฺส ปฎิคีตํ คายโนฺต’’ติ? ‘‘นตฺถิ ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สกฺขิสฺสสิ ปน ตฺวํ ปฎิคีตํ คายิตุ’’นฺติ? ‘‘ชานโนฺต สกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ตฺวํ รญฺญา ทฺวีสุ คีเตสุ คายิเตสุ อิทํ ตติยํ กตฺวา คายสฺสู’’ติ คีตํทตฺวา ‘‘คนฺตฺวา รโญฺญ สนฺติเก คายิสฺสสิ, ราชา เต ปสีทิตฺวา มหนฺตํ อิสฺสริยํ ทสฺสตี’’ติ อุโยฺยเชสิฯ

    Cittapaṇḍitopi himavantapadese vasantoyeva ‘‘kiṃ nu kho mama bhātikena sambhūtena chattaṃ laddhaṃ, udāhu na vā’’ti upadhārento laddhabhāvaṃ ñatvā ‘‘navarajjaṃ tāva idāni gantvāpi bodhetuṃ na sakkhissāmi, mahallakakāle naṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ kathetvā pabbājessāmī’’ti cintetvā paṇṇāsa vassāni agantvā rañño puttadhītāhi vaḍḍhitakāle iddhiyā gantvā uyyāne otaritvā maṅgalasilāpaṭṭe suvaṇṇapaṭimā viya nisīdi. Tasmiṃ khaṇe eko dārako taṃ gītaṃ gāyanto dārūni uddharati. Cittapaṇḍito taṃ pakkosi. So āgantvā vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ āha – ‘‘tvaṃ pātova paṭṭhāya imameva gītaṃ gāyasi, kiṃ aññaṃ na jānāsī’’ti. ‘‘Bhante, aññānipi bahūni jānāmi, imāni pana dve rañño piyagītāni, tasmā imāneva gāyāmī’’ti. ‘‘Atthi pana rañño gītassa paṭigītaṃ gāyanto’’ti? ‘‘Natthi bhante’’ti. ‘‘Sakkhissasi pana tvaṃ paṭigītaṃ gāyitu’’nti? ‘‘Jānanto sakkhissāmī’’ti. ‘‘Tena hi tvaṃ raññā dvīsu gītesu gāyitesu idaṃ tatiyaṃ katvā gāyassū’’ti gītaṃdatvā ‘‘gantvā rañño santike gāyissasi, rājā te pasīditvā mahantaṃ issariyaṃ dassatī’’ti uyyojesi.

    โส สีฆํ มาตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา อตฺตานํ อลงฺการาเปตฺวา ราชทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘เอโก กิร ทารโก ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ปฎิคีตํ คายิสฺสตี’’ติ รโญฺญ อาโรจาเปตฺวา ‘‘อาคจฺฉตู’’ติ วุเตฺต คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ตฺวํ กิร, ตาต, ปฎิคีตํ คายิสฺสสี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘อาม, เทว, สพฺพํ ราชปริสํ สนฺนิปาเตถา’’ติ สนฺนิปติตาย ปริสาย ราชานํ อาห ‘‘ตุเมฺห ตาว, เทว, ตุมฺหากํ คีตํ คายถ, อถาหํ ปฎิคีตํ คายิสฺสามี’’ติฯ ราชา คาถาทฺวยมาห –

    So sīghaṃ mātu santikaṃ gantvā attānaṃ alaṅkārāpetvā rājadvāraṃ gantvā ‘‘eko kira dārako tumhehi saddhiṃ paṭigītaṃ gāyissatī’’ti rañño ārocāpetvā ‘‘āgacchatū’’ti vutte gantvā vanditvā ‘‘tvaṃ kira, tāta, paṭigītaṃ gāyissasī’’ti puṭṭho ‘‘āma, deva, sabbaṃ rājaparisaṃ sannipātethā’’ti sannipatitāya parisāya rājānaṃ āha ‘‘tumhe tāva, deva, tumhākaṃ gītaṃ gāyatha, athāhaṃ paṭigītaṃ gāyissāmī’’ti. Rājā gāthādvayamāha –

    ๒๔.

    24.

    ‘‘สพฺพํ นรานํ สผลํ สุจิณฺณํ, น กมฺมุนา กิญฺจน โมฆมตฺถิ;

    ‘‘Sabbaṃ narānaṃ saphalaṃ suciṇṇaṃ, na kammunā kiñcana moghamatthi;

    ปสฺสามิ สมฺภูตํ มหานุภาวํ, สกมฺมุนา ปุญฺญผลูปปนฺนํฯ

    Passāmi sambhūtaṃ mahānubhāvaṃ, sakammunā puññaphalūpapannaṃ.

    ๒๕.

    25.

    ‘‘สพฺพํ นรานํ สผลํ สุจิณฺณํ, น กมฺมุนา กิญฺจน โมฆมตฺถิ;

    ‘‘Sabbaṃ narānaṃ saphalaṃ suciṇṇaṃ, na kammunā kiñcana moghamatthi;

    กจฺจินฺนุ จิตฺตสฺสปิ เอวเมวํ, อิโทฺธ มโน ตสฺส ยถาปิ มยฺห’’นฺติฯ

    Kaccinnu cittassapi evamevaṃ, iddho mano tassa yathāpi mayha’’nti.

    ตตฺถ น กมฺมุนา กิญฺจน โมฆมตฺถีติ สุกตทุกฺกเฎสุ กเมฺมสุ กิญฺจน เอกกมฺมมฺปิ โมฆํ นาม นตฺถิ, นิปฺผลํ น โหติ, วิปากํ ทตฺวาว นสฺสตีติ อปราปริยเวทนียกมฺมํ สนฺธายาหฯ สมฺภูตนฺติ อตฺตานํ วทติ, ปสฺสามหํ อายสฺมนฺตํ สมฺภูตํ สเกน กเมฺมน ปุญฺญผลูปปนฺนํ, สกมฺมํ นิสฺสาย ปุญฺญผเลน อุปปนฺนํ ตํ ปสฺสามีติ อโตฺถฯ กจฺจินฺนุ จิตฺตสฺสปีติ มยญฺหิ เทฺวปิ ชนา เอกโต หุตฺวา น จิรํ สีลํ รกฺขิมฺห, อหํ ตาว ตสฺส ผเลน มหนฺตํ ยสํ ปโตฺต, กจฺจิ นุ โข เม ภาติกสฺส จิตฺตสฺสปิ เอวเมว มโน อิโทฺธ สมิโทฺธติฯ

    Tattha na kammunā kiñcana moghamatthīti sukatadukkaṭesu kammesu kiñcana ekakammampi moghaṃ nāma natthi, nipphalaṃ na hoti, vipākaṃ datvāva nassatīti aparāpariyavedanīyakammaṃ sandhāyāha. Sambhūtanti attānaṃ vadati, passāmahaṃ āyasmantaṃ sambhūtaṃ sakena kammena puññaphalūpapannaṃ, sakammaṃ nissāya puññaphalena upapannaṃ taṃ passāmīti attho. Kaccinnu cittassapīti mayañhi dvepi janā ekato hutvā na ciraṃ sīlaṃ rakkhimha, ahaṃ tāva tassa phalena mahantaṃ yasaṃ patto, kacci nu kho me bhātikassa cittassapi evameva mano iddho samiddhoti.

    ตสฺส คีตาวสาเน ทารโก คายโนฺต ตติยํ คาถมาห –

    Tassa gītāvasāne dārako gāyanto tatiyaṃ gāthamāha –

    ๒๖.

    26.

    ‘‘สพฺพํ นรานํ สผลํ สุจิณฺณํ, น กมฺมุนา กิญฺจน โมฆมตฺถิ;

    ‘‘Sabbaṃ narānaṃ saphalaṃ suciṇṇaṃ, na kammunā kiñcana moghamatthi;

    จิตฺตมฺปิ ชานาหิ ตเถว เทว, อิโทฺธ มโน ตสฺส ยถาปิ ตุยฺห’’นฺติฯ

    Cittampi jānāhi tatheva deva, iddho mano tassa yathāpi tuyha’’nti.

    ตํ สุตฺวา ราชา จตุตฺถํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā catutthaṃ gāthamāha –

    ๒๗.

    27.

    ‘‘ภวํ นุ จิโตฺต สุตมญฺญโต เต, อุทาหุ เต โกจิ นํ เอตทกฺขา;

    ‘‘Bhavaṃ nu citto sutamaññato te, udāhu te koci naṃ etadakkhā;

    คาถา สุคีตา น มมตฺถิ กงฺขา, ททามิ เต คามวรํ สตญฺจา’’ติฯ

    Gāthā sugītā na mamatthi kaṅkhā, dadāmi te gāmavaraṃ satañcā’’ti.

    ตตฺถ สุตมญฺญโต เตติ อหํ สมฺภูตสฺส ภาตา จิโตฺต นามาติ วทนฺตสฺส จิตฺตเสฺสว นุ เต สนฺติกา สุตนฺติ อโตฺถฯ โกจิ นนฺติ อุทาหุ มยา สมฺภูตสฺส รโญฺญ ภาตา จิโตฺต ทิโฎฺฐติ โกจิ เต เอตมตฺถํ อาจิกฺขิฯ สุคีตาติ สพฺพถาปิ อยํ คาถา สุคีตา, นเตฺถตฺถ มม กงฺขาฯ คามวรํ สตญฺจาติ คามวรานํ เต สตํ ททามีติ วทติฯ

    Tattha sutamaññato teti ahaṃ sambhūtassa bhātā citto nāmāti vadantassa cittasseva nu te santikā sutanti attho. Koci nanti udāhu mayā sambhūtassa rañño bhātā citto diṭṭhoti koci te etamatthaṃ ācikkhi. Sugītāti sabbathāpi ayaṃ gāthā sugītā, natthettha mama kaṅkhā. Gāmavaraṃ satañcāti gāmavarānaṃ te sataṃ dadāmīti vadati.

    ตโต ทารโก ปญฺจมํ คาถมาห –

    Tato dārako pañcamaṃ gāthamāha –

    ๒๘.

    28.

    ‘‘น จาหํ จิโตฺต สุตมญฺญโต เม, อิสี จ เม เอตมตฺถํ อสํสิ;

    ‘‘Na cāhaṃ citto sutamaññato me, isī ca me etamatthaṃ asaṃsi;

    คนฺตฺวาน รโญฺญ ปฎิคาหิ คาถํ, อปิ เต วรํ อตฺตมโน ทเทยฺยา’’ติฯ

    Gantvāna rañño paṭigāhi gāthaṃ, api te varaṃ attamano dadeyyā’’ti.

    ตตฺถ เอตมตฺถนฺติ ตุมฺหากํ อุยฺยาเน นิสิโนฺน เอโก อิสิ มยฺหํ เอตมตฺถํ อาจิกฺขิฯ

    Tattha etamatthanti tumhākaṃ uyyāne nisinno eko isi mayhaṃ etamatthaṃ ācikkhi.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘โส มม ภาตา จิโตฺต ภวิสฺสติ, อิทาเนว นํ คนฺตฺวา ปสฺสิสฺสามี’’ติ ปุริเส อาณาเปโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘so mama bhātā citto bhavissati, idāneva naṃ gantvā passissāmī’’ti purise āṇāpento gāthādvayamāha –

    ๒๙.

    29.

    ‘‘โยเชนฺตุ เว ราชรเถ, สุกเต จิตฺตสิพฺพเน;

    ‘‘Yojentu ve rājarathe, sukate cittasibbane;

    กจฺฉํ นาคานํ พนฺธถ, คีเวยฺยํ ปฎิมุญฺจถฯ

    Kacchaṃ nāgānaṃ bandhatha, gīveyyaṃ paṭimuñcatha.

    ๓๐.

    30.

    ‘‘อาหญฺญนฺตุ เภริมุทิงฺคสเงฺข, สีฆานิ ยานานิ จ โยชยนฺตุ;

    ‘‘Āhaññantu bherimudiṅgasaṅkhe, sīghāni yānāni ca yojayantu;

    อเชฺชวหํ อสฺสมํ ตํ คมิสฺสํ, ยเตฺถว ทกฺขิสฺสมิสิํ นิสินฺน’’นฺติฯ

    Ajjevahaṃ assamaṃ taṃ gamissaṃ, yattheva dakkhissamisiṃ nisinna’’nti.

    ตตฺถ อาหญฺญนฺตูติ อาหนนฺตุฯ อสฺสมํ ตนฺติ ตํ อสฺสมํฯ

    Tattha āhaññantūti āhanantu. Assamaṃ tanti taṃ assamaṃ.

    โส เอวํ วตฺวา รถํ อภิรุยฺห สีฆํ คนฺตฺวา อุยฺยานทฺวาเร รถํ ฐเปตฺวา จิตฺตปณฺฑิตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ตุฎฺฐมานโส อฎฺฐมํ คาถมาห –

    So evaṃ vatvā rathaṃ abhiruyha sīghaṃ gantvā uyyānadvāre rathaṃ ṭhapetvā cittapaṇḍitaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisinno tuṭṭhamānaso aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    ๓๑.

    31.

    ‘‘สุลทฺธลาโภ วต เม อโหสิ, คาถา สุคีตา ปริสาย มเชฺฌ;

    ‘‘Suladdhalābho vata me ahosi, gāthā sugītā parisāya majjhe;

    สฺวาหํ อิสิํ สีลวตูปปนฺนํ, ทิสฺวา ปตีโต สุมโนหมสฺมี’’ติฯ

    Svāhaṃ isiṃ sīlavatūpapannaṃ, disvā patīto sumanohamasmī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – สุลทฺธลาโภ วต มยฺหํ ฉตฺตมงฺคลทิวเส ปริสาย มเชฺฌ คีตคาถา สุคีตาว อโหสิ, สฺวาหํ อชฺช สีลวตสมฺปนฺนํ อิสิํ ทิสฺวา ปีติโสมนสฺสปฺปโตฺต ชาโตติฯ

    Tassattho – suladdhalābho vata mayhaṃ chattamaṅgaladivase parisāya majjhe gītagāthā sugītāva ahosi, svāhaṃ ajja sīlavatasampannaṃ isiṃ disvā pītisomanassappatto jātoti.

    โส จิตฺตปณฺฑิตสฺส ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย โสมนสฺสปฺปโตฺต ‘‘ภาติกสฺส เม ปลฺลงฺกํ อตฺถรถา’’ติอาทีนิ อาณาเปโนฺต นวมํ คาถมาห –

    So cittapaṇḍitassa diṭṭhakālato paṭṭhāya somanassappatto ‘‘bhātikassa me pallaṅkaṃ attharathā’’tiādīni āṇāpento navamaṃ gāthamāha –

    ๓๒.

    32.

    ‘‘อาสนํ อุทกํ ปชฺชํ, ปฎิคฺคณฺหาตุ โน ภวํ;

    ‘‘Āsanaṃ udakaṃ pajjaṃ, paṭiggaṇhātu no bhavaṃ;

    อเคฺฆ ภวนฺตํ ปุจฺฉาม, อคฺฆํ กุรุตุ โน ภว’’นฺติฯ

    Agghe bhavantaṃ pucchāma, agghaṃ kurutu no bhava’’nti.

    ตตฺถ อเคฺฆติ อติถิโน ทาตพฺพยุตฺตกสฺมิํ อเคฺฆ ภวนฺตํ อาปุจฺฉามฯ กุรุตุ โนติ อิมํ โน อคฺฆํ ภวํ ปฎิคฺคณฺหาตุฯ

    Tattha aggheti atithino dātabbayuttakasmiṃ agghe bhavantaṃ āpucchāma. Kurutu noti imaṃ no agghaṃ bhavaṃ paṭiggaṇhātu.

    เอวํ มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา รชฺชํ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา เทโนฺต อิตรํ คาถมาห –

    Evaṃ madhurapaṭisanthāraṃ katvā rajjaṃ majjhe bhinditvā dento itaraṃ gāthamāha –

    ๓๓.

    33.

    ‘‘รมฺมญฺจ เต อาวสถํ กโรนฺตุ, นารีคเณหิ ปริจารยสฺสุ;

    ‘‘Rammañca te āvasathaṃ karontu, nārīgaṇehi paricārayassu;

    กโรหิ โอกาสมนุคฺคหาย, อุโภปิมํ อิสฺสริยํ กโรมา’’ติฯ

    Karohi okāsamanuggahāya, ubhopimaṃ issariyaṃ karomā’’ti.

    ตตฺถ อิมํ อิสฺสริยนฺติ กปิลรเฎฺฐ อุตฺตรปญฺจาลนคเร รชฺชํ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา เทฺวปิ ชนา กโรม อนุภวามฯ

    Tattha imaṃ issariyanti kapilaraṭṭhe uttarapañcālanagare rajjaṃ majjhe bhinditvā dvepi janā karoma anubhavāma.

    ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา จิตฺตปณฺฑิโต ธมฺมํ เทเสโนฺต ฉ คาถา อภาสิ –

    Tassa taṃ vacanaṃ sutvā cittapaṇḍito dhammaṃ desento cha gāthā abhāsi –

    ๓๔.

    34.

    ‘‘ทิสฺวา ผลํ ทุจฺจริตสฺส ราช, อโตฺถ สุจิณฺณสฺส มหาวิปากํ;

    ‘‘Disvā phalaṃ duccaritassa rāja, attho suciṇṇassa mahāvipākaṃ;

    อตฺตานเมว ปฎิสํยมิสฺสํ, น ปตฺถเย ปุตฺต ปสุํ ธนํ วาฯ

    Attānameva paṭisaṃyamissaṃ, na patthaye putta pasuṃ dhanaṃ vā.

    ๓๕.

    35.

    ‘‘ทเสวิมา วสฺสทสา, มจฺจานํ อิธ ชีวิตํ;

    ‘‘Dasevimā vassadasā, maccānaṃ idha jīvitaṃ;

    อปตฺตเญฺญว ตํ โอธิํ, นโฬ ฉิโนฺนว สุสฺสติฯ

    Apattaññeva taṃ odhiṃ, naḷo chinnova sussati.

    ๓๖.

    36.

    ‘‘ตตฺถ กา นนฺทิ กา ขิฑฺฑา, กา รตี กา ธเนสนา;

    ‘‘Tattha kā nandi kā khiḍḍā, kā ratī kā dhanesanā;

    กิํ เม ปุเตฺตหิ ทาเรหิ, ราช มุโตฺตสฺมิ พนฺธนาฯ

    Kiṃ me puttehi dārehi, rāja muttosmi bandhanā.

    ๓๗.

    37.

    ‘‘โสหํ เอวํ ปชานามิ, มจฺจุ เม นปฺปมชฺชติ;

    ‘‘Sohaṃ evaṃ pajānāmi, maccu me nappamajjati;

    อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส, กา รตี กา ธเนสนาฯ

    Antakenādhipannassa, kā ratī kā dhanesanā.

    ๓๘.

    38.

    ‘‘ชาติ นรานํ อธมา ชนินฺท, จณฺฑาลโยนิ ทฺวิปทากนิฎฺฐา;

    ‘‘Jāti narānaṃ adhamā janinda, caṇḍālayoni dvipadākaniṭṭhā;

    สเกหิ กเมฺมหิ สุปาปเกหิ, จณฺฑาลคเพฺภ อวสิมฺห ปุเพฺพฯ

    Sakehi kammehi supāpakehi, caṇḍālagabbhe avasimha pubbe.

    ๓๙.

    39.

    ‘‘จณฺฑาลาหุมฺห อวนฺตีสุ, มิคา เนรญฺชรํ ปติ;

    ‘‘Caṇḍālāhumha avantīsu, migā nerañjaraṃ pati;

    อุกฺกุสา นมฺมทาตีเร, ตฺยชฺช พฺราหฺมณขตฺติยา’’ติฯ

    Ukkusā nammadātīre, tyajja brāhmaṇakhattiyā’’ti.

    ตตฺถ ทุจฺจริตสฺสาติ มหาราช, ตฺวํ สุจริตเสฺสว ผลํ ชานาสิ, อหํ ปน ทุจฺจริตสฺสปิ ผลํ ปสฺสามิเยวฯ มยญฺหิ อุโภ ทุจฺจริตสฺส ผเลน อิโต จตุเตฺถ อตฺตภาเว จณฺฑาลโยนิยํ นิพฺพตฺตาฯ ตตฺถ น จิรํ สีลํ รกฺขิตฺวา ตสฺส ผเลน ตฺวํ ขตฺติยกุเล นิพฺพโตฺต, อหํ พฺราหฺมณกุเล, เอวาหํ ทุจฺจริตสฺส จ ผลํ สุจิณฺณสฺส จ มหาวิปากํ ทิสฺวา อตฺตานเมว สีลสํยเมน ปฎิสํยมิสฺสํ, ปุตฺตํ วา ปสุํ วา ธนํ วา น ปเตฺถมิฯ

    Tattha duccaritassāti mahārāja, tvaṃ sucaritasseva phalaṃ jānāsi, ahaṃ pana duccaritassapi phalaṃ passāmiyeva. Mayañhi ubho duccaritassa phalena ito catutthe attabhāve caṇḍālayoniyaṃ nibbattā. Tattha na ciraṃ sīlaṃ rakkhitvā tassa phalena tvaṃ khattiyakule nibbatto, ahaṃ brāhmaṇakule, evāhaṃ duccaritassa ca phalaṃ suciṇṇassa ca mahāvipākaṃ disvā attānameva sīlasaṃyamena paṭisaṃyamissaṃ, puttaṃ vā pasuṃ vā dhanaṃ vā na patthemi.

    ทเสวิมา วสฺสทสาติ มหาราช, มนฺททสกํ ขิฑฺฑาทสกํ วณฺณทสกํ พลทสกํ ปญฺญาทสกํ หานิทสกํ ปพฺภารทสกํ วงฺกทสกํ โมมูหทสกํ สยนทสกนฺติ อิเมสญฺหิ ทสนฺนํ ทสกานํ วเสน ทเสว วสฺสทสา อิเมสํ มจฺจานํ อิธ มนุสฺสโลเก ชีวิตํฯ ตยิทํ น นิยเมน สพฺพา เอว เอตา ทสา ปาปุณาติ, อถ โข อปฺปตฺตเญฺญว ตํ โอธิํ นโฬ ฉิโนฺนว สุสฺสติฯ เยปิ สกลํ วสฺสสตํ ชีวนฺติ, เตสมฺปิ มนฺททสเก ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา วิจฺฉินฺทิตฺวา อาตเป ขิตฺตนโฬ วิย ตเตฺถว สุสฺสนฺติ อนฺตรธายนฺติ, ตํ โอธิํ อติกฺกมิตฺวา ขิฑฺฑาทสกํ น ปาปุณนฺติ, ตถา ขิฎฺฎาทสกาทีสุ ปวตฺตา วณฺณทสกาทีนิฯ

    Dasevimā vassadasāti mahārāja, mandadasakaṃ khiḍḍādasakaṃ vaṇṇadasakaṃ baladasakaṃ paññādasakaṃ hānidasakaṃ pabbhāradasakaṃ vaṅkadasakaṃ momūhadasakaṃ sayanadasakanti imesañhi dasannaṃ dasakānaṃ vasena daseva vassadasā imesaṃ maccānaṃ idha manussaloke jīvitaṃ. Tayidaṃ na niyamena sabbā eva etā dasā pāpuṇāti, atha kho appattaññeva taṃ odhiṃ naḷo chinnova sussati. Yepi sakalaṃ vassasataṃ jīvanti, tesampi mandadasake pavattā rūpārūpadhammā vicchinditvā ātape khittanaḷo viya tattheva sussanti antaradhāyanti, taṃ odhiṃ atikkamitvā khiḍḍādasakaṃ na pāpuṇanti, tathā khiṭṭādasakādīsu pavattā vaṇṇadasakādīni.

    ตตฺถาติ ตสฺมิํ เอวํ สุสฺสมาเน ชีวิเต กา ปญฺจ กามคุเณ นิสฺสาย อภินนฺที, กา กายกีฬาทิวเสน ขิฑฺฑา, กา โสมนสฺสวเสน รติ, กา ธเนสนา, กิํ เม ปุเตฺตหิ, กิํ ทาเรหิ, มุโตฺตสฺมิ ตมฺหา ปุตฺตทารพนฺธนาติ อโตฺถฯ อนฺตเกนาธิปนฺนสฺสาติ ชีวิตนฺตกเรน มจฺจุนา อภิภูตสฺสฯ ทฺวิปทากนิฎฺฐาติ ทฺวิปทานํ อนฺตเร ลามกาฯ อวสิมฺหาติ เทฺวปิ มยํ วสิมฺหฯ

    Tatthāti tasmiṃ evaṃ sussamāne jīvite kā pañca kāmaguṇe nissāya abhinandī, kā kāyakīḷādivasena khiḍḍā, kā somanassavasena rati, kā dhanesanā, kiṃ me puttehi, kiṃ dārehi, muttosmi tamhā puttadārabandhanāti attho. Antakenādhipannassāti jīvitantakarena maccunā abhibhūtassa. Dvipadākaniṭṭhāti dvipadānaṃ antare lāmakā. Avasimhāti dvepi mayaṃ vasimha.

    จณฺฑาลาหุมฺหาติ มหาราช, อิโต ปุเพฺพ จตุตฺถํ ชาติํ อวนฺติรเฎฺฐ อุเชฺชนินคเร จณฺฑาลา อหุมฺห, ตโต จวิตฺวา เนรญฺชราย นทิยา ตีเร อุโภปิ มิคา อหุมฺหฯ ตตฺถ เทฺวปิ อเมฺห เอกสฺมิํ รุกฺขมูเล อญฺญมญฺญํ นิสฺสาย ฐิเต เอโก ลุทฺทโก เอเกเนว สตฺติปหาเรน ชีวิตา โวโรเปสิ, ตโต จวิตฺวา นมฺมทานทีตีเร กุรรา อหุมฺหฯ ตตฺราปิ โน นิสฺสาย ฐิเต เอโก เนสาโท เอกปฺปหาเรเนว พนฺธิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิ, ตโต จวิตฺวา เต มยํ อชฺช พฺราหฺมณขตฺติยา ชาตาฯ อหํ โกสมฺพิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพโตฺต, ตฺวํ อิธ ราชา ชาโตติฯ

    Caṇḍālāhumhāti mahārāja, ito pubbe catutthaṃ jātiṃ avantiraṭṭhe ujjeninagare caṇḍālā ahumha, tato cavitvā nerañjarāya nadiyā tīre ubhopi migā ahumha. Tattha dvepi amhe ekasmiṃ rukkhamūle aññamaññaṃ nissāya ṭhite eko luddako ekeneva sattipahārena jīvitā voropesi, tato cavitvā nammadānadītīre kurarā ahumha. Tatrāpi no nissāya ṭhite eko nesādo ekappahāreneva bandhitvā jīvitakkhayaṃ pāpesi, tato cavitvā te mayaṃ ajja brāhmaṇakhattiyā jātā. Ahaṃ kosambiyaṃ brāhmaṇakule nibbatto, tvaṃ idha rājā jātoti.

    เอวมสฺส อตีเต ลามกชาติโย ปกาเสตฺวา อิทานิ อิมิสฺสาปิ ชาติยา อายุสงฺขารปริตฺตตํ ทเสฺสตฺวา ปุเญฺญสุ อุสฺสาหํ ชเนโนฺต จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Evamassa atīte lāmakajātiyo pakāsetvā idāni imissāpi jātiyā āyusaṅkhāraparittataṃ dassetvā puññesu ussāhaṃ janento catasso gāthā abhāsi –

    ๔๐.

    40.

    ‘‘อุปนียติ ชีวิตมปฺปมายุ, ชรูปนีตสฺส น สนฺติ ตาณา;

    ‘‘Upanīyati jīvitamappamāyu, jarūpanītassa na santi tāṇā;

    กโรหิ ปญฺจาล มเมต วากฺยํ, มากาสิ กมฺมานิ ทุกฺขุทฺรยานิฯ

    Karohi pañcāla mameta vākyaṃ, mākāsi kammāni dukkhudrayāni.

    ๔๑.

    41.

    ‘‘อุปนียติ ชีวิตมปฺปมายุ, ชรูปนีตสฺส น สนฺติ ตาณา;

    ‘‘Upanīyati jīvitamappamāyu, jarūpanītassa na santi tāṇā;

    กโรหิ ปญฺจาล มเมต วากฺยํ, มากาสิ กมฺมานิ ทุกฺขปฺผลานิฯ

    Karohi pañcāla mameta vākyaṃ, mākāsi kammāni dukkhapphalāni.

    ๔๒.

    42.

    ‘‘อุปนียติ ชีวิตมปฺปมายุ, ชรูปนีตสฺส น สนฺติ ตาณา;

    ‘‘Upanīyati jīvitamappamāyu, jarūpanītassa na santi tāṇā;

    กโรหิ ปญฺจาล มเมต วากฺยํ, มากาสิ กมฺมานิ รชสฺสิรานิฯ

    Karohi pañcāla mameta vākyaṃ, mākāsi kammāni rajassirāni.

    ๔๓.

    43.

    ‘‘อุปนียติ ชีวิตมปฺปมายุ, วณฺณํ ชรา หนฺติ นรสฺส ชิยฺยโต;

    ‘‘Upanīyati jīvitamappamāyu, vaṇṇaṃ jarā hanti narassa jiyyato;

    กโรหิ ปญฺจาล มเมต วากฺยํ, มากาสิ กมฺมํ นิรยูปปตฺติยา’’ติฯ

    Karohi pañcāla mameta vākyaṃ, mākāsi kammaṃ nirayūpapattiyā’’ti.

    ตตฺถ อุปนียตีติ มหาราช, อิทํ ชีวิตํ มรณํ อุปคจฺฉติฯ อิทญฺหิ อิเมสํ สตฺตานํ อปฺปมายุ สรสปริตฺตตายปิ ฐิติปริตฺตตายปิ ปริตฺตกํ, สูริยุคฺคมเน ติณเคฺค อุสฺสาวพินฺทุสทิสํฯ น สนฺติ ตาณาติ น หิ ชราย มรณํ อุปนีตสฺส ปุตฺตาทโย ตาณา นาม โหนฺติฯ มเมต วากฺยนฺติ มม เอตํ วจนํฯ มากาสีติ มา รูปาทิกามคุณเหตุ ปมาทํ อาปชฺชิตฺวา นิรยาทีสุ ทุกฺขวฑฺฒนานิ กมฺมานิ กริฯ ทุกฺขปฺผลานีติ ทุกฺขวิปากานิฯ รชสฺสิรานีติ กิเลสรเชน โอกิณฺณสีสานิฯ วณฺณนฺติ ชีรมานสฺส นรสฺส สรีรวณฺณํ ชรา หนฺติฯ นิรยูปปตฺติยาติ นิรสฺสาเท นิรเย อุปฺปชฺชนตฺถายฯ

    Tattha upanīyatīti mahārāja, idaṃ jīvitaṃ maraṇaṃ upagacchati. Idañhi imesaṃ sattānaṃ appamāyu sarasaparittatāyapi ṭhitiparittatāyapi parittakaṃ, sūriyuggamane tiṇagge ussāvabindusadisaṃ. Na santi tāṇāti na hi jarāya maraṇaṃ upanītassa puttādayo tāṇā nāma honti. Mameta vākyanti mama etaṃ vacanaṃ. Mākāsīti mā rūpādikāmaguṇahetu pamādaṃ āpajjitvā nirayādīsu dukkhavaḍḍhanāni kammāni kari. Dukkhapphalānīti dukkhavipākāni. Rajassirānīti kilesarajena okiṇṇasīsāni. Vaṇṇanti jīramānassa narassa sarīravaṇṇaṃ jarā hanti. Nirayūpapattiyāti nirassāde niraye uppajjanatthāya.

    เอวํ มหาสเตฺต กเถเนฺต ราชา ตุสฺสิตฺวา ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Evaṃ mahāsatte kathente rājā tussitvā tisso gāthā abhāsi –

    ๔๔.

    44.

    ‘‘อทฺธา หิ สจฺจํ วจนํ ตเวตํ, ยถา อิสี ภาสสิ เอวเมตํ;

    ‘‘Addhā hi saccaṃ vacanaṃ tavetaṃ, yathā isī bhāsasi evametaṃ;

    กามา จ เม สนฺติ อนปฺปรูปา, เต ทุจฺจชา มาทิสเกน ภิกฺขุฯ

    Kāmā ca me santi anapparūpā, te duccajā mādisakena bhikkhu.

    ๔๕.

    45.

    ‘‘นาโค ยถา ปงฺกมเชฺฌ พฺยสโนฺน, ปสฺสํ ถลํ นาภิสโมฺภติ คนฺตุํ;

    ‘‘Nāgo yathā paṅkamajjhe byasanno, passaṃ thalaṃ nābhisambhoti gantuṃ;

    เอวมฺปหํ กามปเงฺก พฺยสโนฺน, น ภิกฺขุโน มคฺคมนุพฺพชามิฯ

    Evampahaṃ kāmapaṅke byasanno, na bhikkhuno maggamanubbajāmi.

    ๔๖.

    46.

    ‘‘ยถาปิ มาตา จ ปิตา จ ปุตฺตํ, อนุสาสเร กินฺติ สุขี ภเวยฺย;

    ‘‘Yathāpi mātā ca pitā ca puttaṃ, anusāsare kinti sukhī bhaveyya;

    เอวมฺปิ มํ ตฺวํ อนุสาส ภเนฺต, ยถา จิรํ เปจฺจ สุขี ภเวยฺย’’นฺติฯ

    Evampi maṃ tvaṃ anusāsa bhante, yathā ciraṃ pecca sukhī bhaveyya’’nti.

    ตตฺถ อนปฺปรูปาติ อปริตฺตชาติกา พหู อปริมิตาฯ เต ทุจฺจชา มาทิสเกนาติ ภาติก, ตฺวํ กิเลเส ปหาย ฐิโต, อหํ ปน กามปเงฺก นิมุโคฺค, ตสฺมา มาทิสเกน เต กามา ทุจฺจชาฯ ‘‘นาโค ยถา’’ติ อิมินา อตฺตโน กามปเงฺก นิมุคฺคภาวสฺส อุปมํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ พฺยสโนฺนติ วิสโนฺน อนุปวิโฎฺฐ อยเมว วา ปาโฐฯ มคฺคนฺติ ตุมฺหากํ โอวาทานุสาสนีมคฺคํ นานุพฺพชามิ ปพฺพชิตุํ น สโกฺกมิ, อิเธว ปน เม ฐิตสฺส โอวาทํ เทถาติฯ อนุสาสเรติ อนุสาสนฺติฯ

    Tattha anapparūpāti aparittajātikā bahū aparimitā. Te duccajā mādisakenāti bhātika, tvaṃ kilese pahāya ṭhito, ahaṃ pana kāmapaṅke nimuggo, tasmā mādisakena te kāmā duccajā. ‘‘Nāgo yathā’’ti iminā attano kāmapaṅke nimuggabhāvassa upamaṃ dasseti. Tattha byasannoti visanno anupaviṭṭho ayameva vā pāṭho. Magganti tumhākaṃ ovādānusāsanīmaggaṃ nānubbajāmi pabbajituṃ na sakkomi, idheva pana me ṭhitassa ovādaṃ dethāti. Anusāsareti anusāsanti.

    อถ นํ มหาสโตฺต อาห –

    Atha naṃ mahāsatto āha –

    ๔๗.

    47.

    ‘‘โน เจ ตุวํ อุสฺสหเส ชนินฺท, กาเม อิเม มานุสเก ปหาตุํ;

    ‘‘No ce tuvaṃ ussahase janinda, kāme ime mānusake pahātuṃ;

    ธมฺมิํ พลิํ ปฎฺฐปยสฺสุ ราช, อธมฺมกาโร ตว มาหุ รเฎฺฐฯ

    Dhammiṃ baliṃ paṭṭhapayassu rāja, adhammakāro tava māhu raṭṭhe.

    ๔๘.

    48.

    ‘‘ทูตา วิธาวนฺตุ ทิสา จตโสฺส, นิมนฺตกา สมณพฺราหฺมณานํ;

    ‘‘Dūtā vidhāvantu disā catasso, nimantakā samaṇabrāhmaṇānaṃ;

    เต อนฺนปาเนน อุปฎฺฐหสฺสุ, วเตฺถน เสนาสนปจฺจเยน จฯ

    Te annapānena upaṭṭhahassu, vatthena senāsanapaccayena ca.

    ๔๙.

    49.

    ‘‘อเนฺนน ปาเนน ปสนฺนจิโตฺต, สนฺตปฺปย สมณพฺราหฺมเณ จ;

    ‘‘Annena pānena pasannacitto, santappaya samaṇabrāhmaṇe ca;

    ทตฺวา จ ภุตฺวา จ ยถานุภาวํ, อนินฺทิโต สคฺคมุเปหิ ฐานํฯ

    Datvā ca bhutvā ca yathānubhāvaṃ, anindito saggamupehi ṭhānaṃ.

    ๕๐.

    50.

    ‘‘สเจ จ ตํ ราช มโท สเหยฺย, นารีคเณหิ ปริจารยนฺตํ;

    ‘‘Sace ca taṃ rāja mado saheyya, nārīgaṇehi paricārayantaṃ;

    อิมเมว คาถํ มนสี กโรหิ, ภาเสสิ เจนํ ปริสาย มเชฺฌฯ

    Imameva gāthaṃ manasī karohi, bhāsesi cenaṃ parisāya majjhe.

    ๕๑.

    51.

    ‘‘อโพฺภกาสสโย ชนฺตุ, วชนฺตฺยา ขีรปายิโต;

    ‘‘Abbhokāsasayo jantu, vajantyā khīrapāyito;

    ปริกิโณฺณ สุวาเนหิ, สฺวาชฺช ราชาติ วุจฺจตี’’ติฯ

    Parikiṇṇo suvānehi, svājja rājāti vuccatī’’ti.

    ตตฺถ อุสฺสหเสติ อุสฺสหสิฯ ธมฺมิํ พลินฺติ ธเมฺมน สเมน อนติริตฺตํ พลิํ คณฺหาติ อโตฺถฯ อธมฺมกาโรติ โปราณกราชูหิ ฐปิตํ วินิจฺฉยธมฺมํ ภินฺทิตฺวา ปวตฺตา อธมฺมกิริยาฯ นิมนฺตกาติ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมเณ นิมเนฺตตฺวา ปโกฺกสกาฯ ยถานุภาวนฺติ ยถาพลํ ยถาสตฺติํฯ อิมเมว คาถนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สนฺธายาหฯ ตตฺรายํ อธิปฺปาโย – ‘‘มหาราช, สเจ ตํ มโท อภิภเวยฺย, สเจ เต นารีคณปริวุตสฺส รูปาทโย วา กามคุเณ รชฺชสุขํ วา อารพฺภ มาโน อุปฺปเชฺชยฺย, อเถวํ จิเนฺตยฺยาสิ ‘อหํ ปุเร จณฺฑาลโยนิยํ นิพฺพโตฺต ฉนฺนสฺส ติณกุฎิมตฺตสฺสปิ อภาวา อโพฺภกาสสโย อโหสิํ, ตทา หิ เม มาตา จณฺฑาลี อรญฺญํ ทารุปณฺณาทีนํ อตฺถาย คจฺฉนฺตี มํ กุกฺกุรคณสฺส มเชฺฌ อโพฺภกาเส นิปชฺชาเปตฺวา อตฺตโน ขีรํ ปาเยตฺวา คจฺฉติ, โสหํ กุกฺกุเรหิ ปริวาริโต เตหิเยว สทฺธิํ สุนขิยา ขีรํ ปิวิตฺวา วฑฺฒิโต, เอวํ นีจชโจฺจ หุตฺวา อชฺช ราชา นาม ชาโต’ติฯ ‘อิติ โข, ตฺวํ มหาราช, อิมินา อเตฺถน อตฺตานํ โอวทโนฺต โย โส ปุเพฺพ อโพฺภกาสสโย ชนฺตุ อรเญฺญ วชนฺติยา จณฺฑาลิยา อิโต จิโต จ อนุสญฺจรนฺติยา สุนขิยา จ ขีรํ ปายิโต สุนเขหิ ปริกิโณฺณ วฑฺฒิโต, โส อชฺช ราชาติ วุจฺจตี’ติ อิมํ คาถํ ภาเสยฺยาสี’’ติฯ

    Tattha ussahaseti ussahasi. Dhammiṃ balinti dhammena samena anatirittaṃ baliṃ gaṇhāti attho. Adhammakāroti porāṇakarājūhi ṭhapitaṃ vinicchayadhammaṃ bhinditvā pavattā adhammakiriyā. Nimantakāti dhammikasamaṇabrāhmaṇe nimantetvā pakkosakā. Yathānubhāvanti yathābalaṃ yathāsattiṃ. Imameva gāthanti idāni vattabbaṃ sandhāyāha. Tatrāyaṃ adhippāyo – ‘‘mahārāja, sace taṃ mado abhibhaveyya, sace te nārīgaṇaparivutassa rūpādayo vā kāmaguṇe rajjasukhaṃ vā ārabbha māno uppajjeyya, athevaṃ cinteyyāsi ‘ahaṃ pure caṇḍālayoniyaṃ nibbatto channassa tiṇakuṭimattassapi abhāvā abbhokāsasayo ahosiṃ, tadā hi me mātā caṇḍālī araññaṃ dārupaṇṇādīnaṃ atthāya gacchantī maṃ kukkuragaṇassa majjhe abbhokāse nipajjāpetvā attano khīraṃ pāyetvā gacchati, sohaṃ kukkurehi parivārito tehiyeva saddhiṃ sunakhiyā khīraṃ pivitvā vaḍḍhito, evaṃ nīcajacco hutvā ajja rājā nāma jāto’ti. ‘Iti kho, tvaṃ mahārāja, iminā atthena attānaṃ ovadanto yo so pubbe abbhokāsasayo jantu araññe vajantiyā caṇḍāliyā ito cito ca anusañcarantiyā sunakhiyā ca khīraṃ pāyito sunakhehi parikiṇṇo vaḍḍhito, so ajja rājāti vuccatī’ti imaṃ gāthaṃ bhāseyyāsī’’ti.

    เอวํ มหาสโตฺต ตสฺส โอวาทํ ทตฺวา ‘‘ทิโนฺน เต มยา โอวาโท, อิทานิ ตฺวํ ปพฺพช วา มา วา, อตฺตนาว อตฺตโน กมฺมสฺส วิปากํ ปฎิเสวิสฺสตี’’ติ วตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา ตสฺส มตฺถเก ปาทรชํ ปาเตโนฺต หิมวนฺตเมว คโตฯ ราชาปิ ตํ ทิสฺวา อุปฺปนฺนสํเวโค เชฎฺฐปุตฺตสฺส รชฺชํ ทตฺวา พลกายํ นิวเตฺตตฺวา หิมวนฺตาภิมุโข ปายาสิฯ มหาสโตฺต ตสฺสาคมนํ ญตฺวา อิสิคณปริวุโต อาคนฺตฺวา ตํ อาทาย คนฺตฺวา ปพฺพาเชตฺวา กสิณปริกมฺมํ อาจิกฺขิฯ โส ฌานาภิญฺญํ นิพฺพเตฺตสิฯ อิติ เต อุโภปิ พฺรหฺมโลกูปคา อเหสุํฯ

    Evaṃ mahāsatto tassa ovādaṃ datvā ‘‘dinno te mayā ovādo, idāni tvaṃ pabbaja vā mā vā, attanāva attano kammassa vipākaṃ paṭisevissatī’’ti vatvā ākāse uppatitvā tassa matthake pādarajaṃ pātento himavantameva gato. Rājāpi taṃ disvā uppannasaṃvego jeṭṭhaputtassa rajjaṃ datvā balakāyaṃ nivattetvā himavantābhimukho pāyāsi. Mahāsatto tassāgamanaṃ ñatvā isigaṇaparivuto āgantvā taṃ ādāya gantvā pabbājetvā kasiṇaparikammaṃ ācikkhi. So jhānābhiññaṃ nibbattesi. Iti te ubhopi brahmalokūpagā ahesuṃ.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, โปราณกปณฺฑิตา ตีณิ จตฺตาริ ภวนฺตรานิ คจฺฉนฺตาปิ ทฬฺหวิสฺสาสาว อเหสุ’’นฺติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สมฺภูตปณฺฑิโต อานโนฺท อโหสิ, จิตฺตปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, porāṇakapaṇḍitā tīṇi cattāri bhavantarāni gacchantāpi daḷhavissāsāva ahesu’’nti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā sambhūtapaṇḍito ānando ahosi, cittapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.

    จิตฺตสมฺภูตชาตกวณฺณนา ทุติยา

    Cittasambhūtajātakavaṇṇanā dutiyā







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๙๘. จิตฺตสมฺภูตชาตกํ • 498. Cittasambhūtajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact