Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๑. จีวรสุตฺตวณฺณนา

    11. Cīvarasuttavaṇṇanā

    ๑๕๔. เอกาทสเม ทกฺขิณาคิริสฺมินฺติ ราชคหํ ปริวาเรตฺวา ฐิตสฺส คิริโน ทกฺขิณภาเค ชนปโท ทกฺขิณาคิริ นาม, ตสฺมิํ จาริกํ จรตีติ อโตฺถฯ จาริกา จ นาม ทุวิธา โหติ ตุริตจาริกา จ อตุริตจาริกา จฯ ตตฺถ ยํ เอกโจฺจ เอกํ กาสาวํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ปตฺตจีวรํ อํเส ลเคฺคตฺวา ฉตฺตํ อาทาย สรีรโต เสเทหิ ปคฺฆรเนฺตหิ ทิวเสน สตฺตฎฺฐโยชนานิ คจฺฉติ, ยํ วา ปน พุทฺธา กิญฺจิเทว โพธเนยฺยสตฺตํ ทิสฺวา โยชนสตมฺปิ โยชนสหสฺสมฺปิ ขเณน คจฺฉนฺติ, เอสา ตุริตจาริกา นามฯ เทวสิกํ ปน คาวุตํ อฑฺฒโยชนํ ติคาวุตํ โยชนนฺติ เอตฺตกํ อทฺธานํ อชฺชตนาย นิมนฺตนํ อธิวาสยโต ชนสงฺคหํ กโรโต คมนํ, เอสา อตุริตจาริกา นามฯ อยํ อิธ อธิเปฺปตาฯ

    154. Ekādasame dakkhiṇāgirisminti rājagahaṃ parivāretvā ṭhitassa girino dakkhiṇabhāge janapado dakkhiṇāgiri nāma, tasmiṃ cārikaṃ caratīti attho. Cārikā ca nāma duvidhā hoti turitacārikā ca aturitacārikā ca. Tattha yaṃ ekacco ekaṃ kāsāvaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā pattacīvaraṃ aṃse laggetvā chattaṃ ādāya sarīrato sedehi paggharantehi divasena sattaṭṭhayojanāni gacchati, yaṃ vā pana buddhā kiñcideva bodhaneyyasattaṃ disvā yojanasatampi yojanasahassampi khaṇena gacchanti, esā turitacārikā nāma. Devasikaṃ pana gāvutaṃ aḍḍhayojanaṃ tigāvutaṃ yojananti ettakaṃ addhānaṃ ajjatanāya nimantanaṃ adhivāsayato janasaṅgahaṃ karoto gamanaṃ, esā aturitacārikā nāma. Ayaṃ idha adhippetā.

    นนุ จ เถโร ปญฺจวีสติ วสฺสานิ ฉายา วิย ทสพลสฺส ปจฺฉโต ปจฺฉโต คจฺฉโนฺตว อโหสิ, ‘‘กหํ อานโนฺท’’ติ วจนสฺส โอกาสเมว น อทาสิ, โส กิสฺมิํ กาเล ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ จาริกํ จริตุํ โอกาสํ ลภตีติ? สตฺถุ ปรินิพฺพานสํวจฺฉเรฯ ปรินิพฺพุเต กิร สตฺถริ มหากสฺสปเตฺถโร สตฺถุ ปรินิพฺพาเน สนฺนิปติตสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มเชฺฌ นิสีทิตฺวา ธมฺมวินยสงฺคายนตฺถํ ปญฺจสเต ภิกฺขู อุจฺจินิตฺวา, ‘‘อาวุโส, มยํ ราชคเห วสฺสํ วสนฺตา ธมฺมวินยํ สงฺคายิสฺสาม, ตุเมฺห ปุเร วสฺสูปนายิกาย อตฺตโน ปลิโพธํ อุจฺฉินฺทิตฺวา ราชคเห สนฺนิปตถา’’ติ วตฺวา อตฺตนา ราชคหํ คโตฯ อานนฺทเตฺถโรปิ ภควโต ปตฺตจีวรํ อาทาย มหาชนํ สญฺญาเปโนฺต สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ตโต นิกฺขมฺม ราชคหํ คจฺฉโนฺต ทกฺขิณาคิริสฺมิํ จาริกํ จริฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    Nanu ca thero pañcavīsati vassāni chāyā viya dasabalassa pacchato pacchato gacchantova ahosi, ‘‘kahaṃ ānando’’ti vacanassa okāsameva na adāsi, so kismiṃ kāle bhikkhusaṅghena saddhiṃ cārikaṃ carituṃ okāsaṃ labhatīti? Satthu parinibbānasaṃvacchare. Parinibbute kira satthari mahākassapatthero satthu parinibbāne sannipatitassa bhikkhusaṅghassa majjhe nisīditvā dhammavinayasaṅgāyanatthaṃ pañcasate bhikkhū uccinitvā, ‘‘āvuso, mayaṃ rājagahe vassaṃ vasantā dhammavinayaṃ saṅgāyissāma, tumhe pure vassūpanāyikāya attano palibodhaṃ ucchinditvā rājagahe sannipatathā’’ti vatvā attanā rājagahaṃ gato. Ānandattheropi bhagavato pattacīvaraṃ ādāya mahājanaṃ saññāpento sāvatthiṃ gantvā tato nikkhamma rājagahaṃ gacchanto dakkhiṇāgirismiṃ cārikaṃ cari. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    เยภุเยฺยน กุมารภูตาติ เย เต หีนายาวตฺตา นาม, เต เยภุเยฺยน กุมารกา ทหรา ตรุณา เอกวสฺสิกเทฺววสฺสิกา ภิกฺขู เจว อนุปสมฺปนฺนกุมารกา จฯ กสฺมา ปเนเต ปพฺพชิตา, กสฺมา หีนายาวตฺตาติ? เตสํ กิร มาตาปิตโร จิเนฺตสุํ – ‘‘อานนฺทเตฺถโร สตฺถุ วิสฺสาสิโก อฎฺฐ วเร ยาจิตฺวา อุปฎฺฐหติ, อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐานํ สตฺถารํ คเหตฺวา คนฺตุํ สโกฺกติ, อมฺหากํ ทารเก เอตสฺส สนฺติเก ปพฺพาเชม, โส สตฺถารํ คเหตฺวา อาคมิสฺสติ, ตสฺมิํ อาคเต มยํ มหาสกฺการํ กาตุํ ลภิสฺสามา’’ติฯ อิมินา ตาว การเณน เนสํ ญาตกา เต ปพฺพาเชสุํฯ สตฺถริ ปน ปรินิพฺพุเต เตสํ สา ปตฺถนา อุปจฺฉินฺนา, อถ เต เอกทิวเสเนว อุปฺปพฺพาเชสุํฯ

    Yebhuyyenakumārabhūtāti ye te hīnāyāvattā nāma, te yebhuyyena kumārakā daharā taruṇā ekavassikadvevassikā bhikkhū ceva anupasampannakumārakā ca. Kasmā panete pabbajitā, kasmā hīnāyāvattāti? Tesaṃ kira mātāpitaro cintesuṃ – ‘‘ānandatthero satthu vissāsiko aṭṭha vare yācitvā upaṭṭhahati, icchiticchitaṭṭhānaṃ satthāraṃ gahetvā gantuṃ sakkoti, amhākaṃ dārake etassa santike pabbājema, so satthāraṃ gahetvā āgamissati, tasmiṃ āgate mayaṃ mahāsakkāraṃ kātuṃ labhissāmā’’ti. Iminā tāva kāraṇena nesaṃ ñātakā te pabbājesuṃ. Satthari pana parinibbute tesaṃ sā patthanā upacchinnā, atha te ekadivaseneva uppabbājesuṃ.

    ยถาภิรนฺตนฺติ ยถารุจิยา ยถาอชฺฌาสเยนฯ ติกโภชนํ ปญฺญตฺตนฺติ, อิทํ ‘‘คณโภชเน อญฺญตฺร สมยา ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๒๑๑)ฯ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตตฺถ หิ ติณฺณํ ชนานํ อกปฺปิยนิมนฺตนํ สาทิยิตฺวา เอกโต ปฎิคฺคณฺหนฺตานมฺปิ อนาปตฺติ, ตสฺมา ‘‘ติกโภชน’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Yathābhirantanti yathāruciyā yathāajjhāsayena. Tikabhojanaṃ paññattanti, idaṃ ‘‘gaṇabhojane aññatra samayā pācittiya’’nti (pāci. 211). Idaṃ sandhāya vuttaṃ. Tattha hi tiṇṇaṃ janānaṃ akappiyanimantanaṃ sādiyitvā ekato paṭiggaṇhantānampi anāpatti, tasmā ‘‘tikabhojana’’nti vuttaṃ.

    ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายาติ ทุสฺสีลปุคฺคลานํ นิคฺคณฺหนตฺถํฯ เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหารายาติ ทุมฺมงฺกูนํ นิคฺคเหเนว เปสลานํ อุโปสถปวารณา วตฺตนฺติ, สมคฺควาโส โหติ, อยํ เตสํ ผาสุวิหาโร โหติ, อิมสฺส ผาสุวิหารสฺส อตฺถายฯ มา ปาปิจฺฉา ปกฺขํ นิสฺสาย สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยุนฺติ ยถา เทวทโตฺต สปริโส กุเลสุ วิญฺญาเปตฺวา ภุญฺชโนฺต ปาปิเจฺฉ นิสฺสาย สงฺฆํ ภินฺทิ, เอวํ อเญฺญปิ ปาปิจฺฉา คณพเนฺธน กุเลสุ วิญฺญาเปตฺวา ภุญฺชมานา คณํ วเฑฺฒตฺวา ตํ ปกฺขํ นิสฺสาย มา สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยุนฺติ, อิติ อิมินา การเณน ปญฺญตฺตนฺติ อโตฺถฯ กุลานุทฺทยตาย จาติ ภิกฺขุสเงฺฆ อุโปสถปวารณํ กตฺวา สมคฺควาสํ วสเนฺต มนุสฺสา สลากภตฺตาทีนิ ทตฺวา สคฺคปรายณา ภวนฺติ, อิติ อิมาย กุลานุทฺทยตาย จ ปญฺญตฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyāti dussīlapuggalānaṃ niggaṇhanatthaṃ. Pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāyāti dummaṅkūnaṃ niggaheneva pesalānaṃ uposathapavāraṇā vattanti, samaggavāso hoti, ayaṃ tesaṃ phāsuvihāro hoti, imassa phāsuvihārassa atthāya. Mā pāpicchā pakkhaṃ nissāya saṅghaṃ bhindeyyunti yathā devadatto sapariso kulesu viññāpetvā bhuñjanto pāpicche nissāya saṅghaṃ bhindi, evaṃ aññepi pāpicchā gaṇabandhena kulesu viññāpetvā bhuñjamānā gaṇaṃ vaḍḍhetvā taṃ pakkhaṃ nissāya mā saṅghaṃ bhindeyyunti, iti iminā kāraṇena paññattanti attho. Kulānuddayatāya cāti bhikkhusaṅghe uposathapavāraṇaṃ katvā samaggavāsaṃ vasante manussā salākabhattādīni datvā saggaparāyaṇā bhavanti, iti imāya kulānuddayatāya ca paññattanti attho.

    สสฺสฆาตํ มเญฺญ จรสีติ สสฺสํ ฆาเตโนฺต วิย อาหิณฺฑสิฯ กุลูปฆาตํ มเญฺญ จรสีติ กุลานิ อุปฆาเตโนฺต วิย หนโนฺต วิย อาหิณฺฑสิฯ โอลุชฺชตีติ วิเสเสน ปลุชฺชติ ภิชฺชติฯ ปลุชฺชนฺติ โข เต, อาวุโส, นวปฺปายาติ, อาวุโส, เอเต ตุยฺหํ ปาเยน เยภุเยฺยน นวกา เอกวสฺสิกทุวสฺสิกา ทหรา เจว สามเณรา จ ปลุชฺชนฺติ ภิชฺชนฺติฯ น วายํ กุมารโก มตฺตมญฺญาสีติ อยํ กุมารโก อตฺตโน ปมาณํ น ชานาตีติ เถรํ ตเชฺชโนฺต อาหฯ

    Sassaghātaṃ maññe carasīti sassaṃ ghātento viya āhiṇḍasi. Kulūpaghātaṃ maññe carasīti kulāni upaghātento viya hananto viya āhiṇḍasi. Olujjatīti visesena palujjati bhijjati. Palujjanti kho te, āvuso, navappāyāti, āvuso, ete tuyhaṃ pāyena yebhuyyena navakā ekavassikaduvassikā daharā ceva sāmaṇerā ca palujjanti bhijjanti. Na vāyaṃ kumārako mattamaññāsīti ayaṃ kumārako attano pamāṇaṃ na jānātīti theraṃ tajjento āha.

    กุมารกวาทา น มุจฺจามาติ กุมารกวาทโต น มุจฺจาม ฯ ตถา หิ ปน ตฺวนฺติ อิทมสฺส เอวํ วตฺตพฺพตาย การณทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – ยสฺมา ตฺวํ อิเมหิ นเวหิ ภิกฺขูหิ อินฺทฺริยสํวรรหิเตหิ สทฺธิํ วิจรสิ, ตสฺมา กุมารเกหิ สทฺธิํ วิจรโนฺต กุมารโกติ วตฺตพฺพตํ อรหสีติฯ

    Kumārakavādāna muccāmāti kumārakavādato na muccāma . Tathā hi pana tvanti idamassa evaṃ vattabbatāya kāraṇadassanatthaṃ vuttaṃ. Ayañhettha adhippāyo – yasmā tvaṃ imehi navehi bhikkhūhi indriyasaṃvararahitehi saddhiṃ vicarasi, tasmā kumārakehi saddhiṃ vicaranto kumārakoti vattabbataṃ arahasīti.

    อญฺญติตฺถิยปุโพฺพ สมาโนติ อิทํ ยสฺมา เถรสฺส อิมสฺมิํ สาสเน เนว อาจริโย น อุปชฺฌาโย ปญฺญายติ, สยํ กาสายานิ คเหตฺวา นิกฺขโนฺต, ตสฺมา อนตฺตมนตาย อญฺญติตฺถิยปุพฺพตํ อาโรปยมานา อาหฯ

    Aññatitthiyapubbo samānoti idaṃ yasmā therassa imasmiṃ sāsane neva ācariyo na upajjhāyo paññāyati, sayaṃ kāsāyāni gahetvā nikkhanto, tasmā anattamanatāya aññatitthiyapubbataṃ āropayamānā āha.

    สหสาติ เอตฺถ ราคโมหจาโรปิ สหสาจาโร, อิทํ ปน โทสจารวเสน วุตฺตํฯ อปฺปฎิสงฺขาติ อปฺปจฺจเวกฺขิตฺวา, อิทานิ อตฺตโน ปพฺพชฺชํ โสเธโนฺต ยตฺวาหํ, อาวุโสติอาทิมาหฯ ตตฺถ อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิสิตุนฺติ ฐเปตฺวา ภควนฺตํ อญฺญํ มยฺหํ สตฺถาติ เอวํ อุทฺทิสิตุํ น ชานามิฯ สมฺพาโธ ฆราวาโสติอาทีสุ สเจปิ สฎฺฐิหเตฺถ ฆเร โยชนสตนฺตเรปิ วา เทฺว ชายมฺปติกา วสนฺติ, ตถาปิ เตสํ สกิญฺจนสปลิโพธเฎฺฐน ฆราวาโส สมฺพาโธเยวฯ รชาปโถติ ราครชาทีนํ อุฎฺฐานฎฺฐานนฺติ มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ‘‘อาคมนปโถ’’ติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อลคฺคนเฎฺฐน อโพฺภกาโส วิยาติ อโพฺภกาโสฯ ปพฺพชิโต หิ กูฎาคารรตนมยปาสาทเทววิมานาทีสุ ปิหิตทฺวารวาตปาเนสุ ปฎิจฺฉเนฺนสุ วสโนฺตปิ เนว ลคฺคติ น สชฺชติ น พชฺฌติ, เตน วุตฺตํ ‘‘อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชา’’ติฯ อปิจ สมฺพาโธ ฆราวาโส กุสลกิริยาย โอกาสาภาวโต รชาปโถ อสํวุตสงฺการฎฺฐานํ วิย รชานํ, กิเลสรชานํ สนฺนิปาตฎฺฐานโต, อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชา กุสลกิริยาย ยถา สุขํ โอกาสสพฺภาวโตฯ

    Sahasāti ettha rāgamohacāropi sahasācāro, idaṃ pana dosacāravasena vuttaṃ. Appaṭisaṅkhāti appaccavekkhitvā, idāni attano pabbajjaṃ sodhento yatvāhaṃ, āvusotiādimāha. Tattha aññaṃ satthāraṃ uddisitunti ṭhapetvā bhagavantaṃ aññaṃ mayhaṃ satthāti evaṃ uddisituṃ na jānāmi. Sambādho gharāvāsotiādīsu sacepi saṭṭhihatthe ghare yojanasatantarepi vā dve jāyampatikā vasanti, tathāpi tesaṃ sakiñcanasapalibodhaṭṭhena gharāvāso sambādhoyeva. Rajāpathoti rāgarajādīnaṃ uṭṭhānaṭṭhānanti mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. ‘‘Āgamanapatho’’tipi vattuṃ vaṭṭati. Alagganaṭṭhena abbhokāso viyāti abbhokāso. Pabbajito hi kūṭāgāraratanamayapāsādadevavimānādīsu pihitadvāravātapānesu paṭicchannesu vasantopi neva laggati na sajjati na bajjhati, tena vuttaṃ ‘‘abbhokāso pabbajjā’’ti. Apica sambādho gharāvāso kusalakiriyāya okāsābhāvato rajāpatho asaṃvutasaṅkāraṭṭhānaṃ viya rajānaṃ, kilesarajānaṃ sannipātaṭṭhānato, abbhokāso pabbajjā kusalakiriyāya yathā sukhaṃ okāsasabbhāvato.

    นยิทํ สุกรํ…เป.… ปพฺพเชยฺยนฺติ เอตฺถ อยํ สเงฺขปกถา – ยเทตํ สิกฺขตฺตยพฺรหฺมจริยํ เอกมฺปิ ทิวสํ อขณฺฑํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริปุณฺณํ จริตพฺพํ, เอกทิวสมฺปิ จ กิเลสมเลน อมลีนํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริสุทฺธํ, สงฺขลิขิตํ ลิขิตสงฺขสทิสํ โธตสงฺขสปฺปฎิภาคํ จริตพฺพํ, อิทํ น สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา อคารมเชฺฌ วสเนฺตน เอกนฺตปริปุณฺณํ…เป.… จริตุํ, ยํนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กสายรสปีตตาย กาสายานิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตานํ อนุจฺฉวิกานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา ปริทหิตฺวา อคารสฺมา นิกฺขมิตฺวา อนคาริยํ ปพฺพเชฺชยฺยนฺติฯ เอตฺถ จ ยสฺมา อคารสฺส หิตํ กสิวณิชฺชาทิกมฺมํ อคาริยนฺติ วุจฺจติ, ตํ ปพฺพชฺชาย นตฺถิ, ตสฺมา ปพฺพชฺชา อนคาริยาติ ญาตพฺพา, ตํ อนคาริยํฯ ปพฺพเชยฺยนฺติ ปฎิปเชฺชยฺยํฯ

    Nayidaṃ sukaraṃ…pe… pabbajeyyanti ettha ayaṃ saṅkhepakathā – yadetaṃ sikkhattayabrahmacariyaṃ ekampi divasaṃ akhaṇḍaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparipuṇṇaṃ caritabbaṃ, ekadivasampi ca kilesamalena amalīnaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparisuddhaṃ, saṅkhalikhitaṃ likhitasaṅkhasadisaṃ dhotasaṅkhasappaṭibhāgaṃ caritabbaṃ, idaṃ na sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā agāramajjhe vasantena ekantaparipuṇṇaṃ…pe… carituṃ, yaṃnūnāhaṃ kesamassuṃ ohāretvā kasāyarasapītatāya kāsāyāni brahmacariyaṃ carantānaṃ anucchavikāni vatthāni acchādetvā paridahitvā agārasmā nikkhamitvā anagāriyaṃ pabbajjeyyanti. Ettha ca yasmā agārassa hitaṃ kasivaṇijjādikammaṃ agāriyanti vuccati, taṃ pabbajjāya natthi, tasmā pabbajjā anagāriyāti ñātabbā, taṃ anagāriyaṃ. Pabbajeyyanti paṭipajjeyyaṃ.

    ปฎปิโลติกานนฺติ ชิณฺณปิโลติกานํ เตรสหโตฺถปิ หิ นวสาฎโก ทสานํ ฉินฺนกาลโต ปฎฺฐาย ปิโลติกาติ วุจฺจติฯ อิติ มหารหานิ วตฺถานิ ฉินฺทิตฺวา กตํ สงฺฆาฎิํ สนฺธาย ‘‘ปฎปิโลติกานํ สงฺฆาฎิ’’นฺติ วุตฺตํฯ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺนติ อฑฺฒโยชนโต ปฎฺฐาย มโคฺค อทฺธานนฺติ วุจฺจติ, ตํ อทฺธานมคฺคํ ปฎิปโนฺน, ทีฆมคฺคํ ปฎิปโนฺนติ อโตฺถฯ

    Paṭapilotikānanti jiṇṇapilotikānaṃ terasahatthopi hi navasāṭako dasānaṃ chinnakālato paṭṭhāya pilotikāti vuccati. Iti mahārahāni vatthāni chinditvā kataṃ saṅghāṭiṃ sandhāya ‘‘paṭapilotikānaṃ saṅghāṭi’’nti vuttaṃ. Addhānamaggappaṭipannoti aḍḍhayojanato paṭṭhāya maggo addhānanti vuccati, taṃ addhānamaggaṃ paṭipanno, dīghamaggaṃ paṭipannoti attho.

    อิทานิ ยถา เอส ปพฺพชิโต, ยถา จ อทฺธานมคฺคํ ปฎิปโนฺน, อิมสฺสตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ อภินีหารโต ปฎฺฐาย อนุปุพฺพิกถา กเถตพฺพา – อตีเต กิร กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก ปทุมุตฺตโร นาม สตฺถา อุทปาทิ, ตสฺมิํ หํสวตีนครํ อุปนิสฺสาย เขเม มิคทาเย วิหรเนฺต เวเทโห นาม กุฎุมฺพิโก อสีติโกฎิธนวิภโว ปาโตว สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย คนฺธปุปฺผาทีนิ คเหตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ สตฺถา มหานิสภเตฺถรํ นาม ตติยสาวกํ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธุตวาทานํ ยทิทํ นิสโภ’’ติ เอตทเคฺค ฐเปสิฯ อุปาสโก ตํ สุตฺวา ปสโนฺน ธมฺมกถาวสาเน มหาชเน อุฎฺฐาย คเต สตฺถารํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ อธิวาเสถา’’ติ อาหฯ มหา โข, อุปาสก, ภิกฺขุสโงฺฆติฯ กิตฺตโก ภควาติฯ อฎฺฐสฎฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสนฺติฯ ภเนฺต, เอกํ สามเณรมฺปิ วิหาเร อเสเสตฺวา ภิกฺขํ อธิวาเสถาติฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ อุปาสโก สตฺถุ อธิวาสนํ วิทิตฺวา เคหํ คนฺตฺวา มหาทานํ สเชฺชตฺวา ปุนทิวเส สตฺถุ กาลํ อาโรจาเปสิฯ สตฺถา ปตฺตจีวรมาทาย ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อุปาสกสฺส ฆรํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสิโนฺน ทกฺขิโณทกาวสาเน ยาคุภตฺตาทีนิ สมฺปฎิจฺฉโนฺต ภตฺตวิสฺสคฺคํ อกาสิฯ อุปาสโกปิ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิฯ

    Idāni yathā esa pabbajito, yathā ca addhānamaggaṃ paṭipanno, imassatthassa āvibhāvatthaṃ abhinīhārato paṭṭhāya anupubbikathā kathetabbā – atīte kira kappasatasahassamatthake padumuttaro nāma satthā udapādi, tasmiṃ haṃsavatīnagaraṃ upanissāya kheme migadāye viharante vedeho nāma kuṭumbiko asītikoṭidhanavibhavo pātova subhojanaṃ bhuñjitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya gandhapupphādīni gahetvā vihāraṃ gantvā satthāraṃ pūjetvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Tasmiṃ khaṇe satthā mahānisabhattheraṃ nāma tatiyasāvakaṃ ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhutavādānaṃ yadidaṃ nisabho’’ti etadagge ṭhapesi. Upāsako taṃ sutvā pasanno dhammakathāvasāne mahājane uṭṭhāya gate satthāraṃ vanditvā, ‘‘bhante, sve mayhaṃ bhikkhaṃ adhivāsethā’’ti āha. Mahā kho, upāsaka, bhikkhusaṅghoti. Kittako bhagavāti. Aṭṭhasaṭṭhibhikkhusatasahassanti. Bhante, ekaṃ sāmaṇerampi vihāre asesetvā bhikkhaṃ adhivāsethāti. Satthā adhivāsesi. Upāsako satthu adhivāsanaṃ viditvā gehaṃ gantvā mahādānaṃ sajjetvā punadivase satthu kālaṃ ārocāpesi. Satthā pattacīvaramādāya bhikkhusaṅghaparivuto upāsakassa gharaṃ gantvā paññattāsane nisinno dakkhiṇodakāvasāne yāgubhattādīni sampaṭicchanto bhattavissaggaṃ akāsi. Upāsakopi satthu santike nisīdi.

    ตสฺมิํ อนฺตเร มหานิสภเตฺถโร ปิณฺฑาย จรโนฺต ตเมว วีถิํ ปฎิปชฺชิฯ อุปาสโก ทิสฺวา อุฎฺฐาย คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ปตฺตํ, ภเนฺต, โน เทถา’’ติ อาหฯ เถโร ปตฺตํ อทาสิฯ ภเนฺต, อิเธว ปวิสถ, สตฺถาปิ เคเห นิสิโนฺนติฯ น วฎฺฎิสฺสติ อุปาสกาติฯ อุปาสโก เถรสฺส ปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑปาตสฺส ปูเรตฺวา นีหริตฺวา อทาสิฯ ตโต เถรํ อนุคนฺตฺวา นิวโตฺต สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิตฺวา เอวมาห – ‘‘ภเนฺต, มหานิสภเตฺถโร ‘สตฺถา เคเห นิสิโนฺน’ติ วุเตฺตปิ ปวิสิตุํ น อิจฺฉิ, อตฺถิ นุ โข เอตสฺส ตุมฺหากํ คุเณหิ อติเรโก คุโณ’’ติฯ พุทฺธานญฺจ วณฺณมเจฺฉรํ นาม นตฺถิฯ อถ สตฺถา เอวมาห – ‘‘อุปาสก, มยํ ภิกฺขํ อาคมยมานา เคเห นิสีทาม, โส ภิกฺขุ น เอวํ นิสีทิตฺวา ภิกฺขํ อุทิกฺขติฯ มยํ คามนฺตเสนาสเน วสาม, โส อรญฺญสฺมิํเยว วสติฯ มยํ ฉเนฺน วสาม, โส อโพฺภกาสมฺหิเยว วสติฯ อิติ ตสฺส อยญฺจ อยญฺจ คุโณ’’ติ มหาสมุทฺทํ ปูรยมาโนว กเถสิฯ อุปาสโก ปกติยาปิ ชลมานทีโป เตเลน อาสิโตฺต วิย สุฎฺฐุตรํ ปสโนฺน หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ มยฺหํ อญฺญาย สมฺปตฺติยา, อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก ธุตวาทานํ อคฺคภาวตฺถาย ปตฺถนํ กริสฺสามี’’ติ?

    Tasmiṃ antare mahānisabhatthero piṇḍāya caranto tameva vīthiṃ paṭipajji. Upāsako disvā uṭṭhāya gantvā theraṃ vanditvā ‘‘pattaṃ, bhante, no dethā’’ti āha. Thero pattaṃ adāsi. Bhante, idheva pavisatha, satthāpi gehe nisinnoti. Na vaṭṭissati upāsakāti. Upāsako therassa pattaṃ gahetvā piṇḍapātassa pūretvā nīharitvā adāsi. Tato theraṃ anugantvā nivatto satthu santike nisīditvā evamāha – ‘‘bhante, mahānisabhatthero ‘satthā gehe nisinno’ti vuttepi pavisituṃ na icchi, atthi nu kho etassa tumhākaṃ guṇehi atireko guṇo’’ti. Buddhānañca vaṇṇamaccheraṃ nāma natthi. Atha satthā evamāha – ‘‘upāsaka, mayaṃ bhikkhaṃ āgamayamānā gehe nisīdāma, so bhikkhu na evaṃ nisīditvā bhikkhaṃ udikkhati. Mayaṃ gāmantasenāsane vasāma, so araññasmiṃyeva vasati. Mayaṃ channe vasāma, so abbhokāsamhiyeva vasati. Iti tassa ayañca ayañca guṇo’’ti mahāsamuddaṃ pūrayamānova kathesi. Upāsako pakatiyāpi jalamānadīpo telena āsitto viya suṭṭhutaraṃ pasanno hutvā cintesi – ‘‘kiṃ mayhaṃ aññāya sampattiyā, anāgate ekassa buddhassa santike dhutavādānaṃ aggabhāvatthāya patthanaṃ karissāmī’’ti?

    โส ปุนปิ สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา เตเนว นิยาเมน สตฺต ทิวสานิ ทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส อฎฺฐสฎฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสสฺส ติจีวรานิ ทตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา เอวมาห – ‘‘ยํ เม, ภเนฺต, สตฺต ทิวสานิ ทานํ เทนฺตสฺส เมตฺตํ กายกมฺมํ เมตฺตํ วจีกมฺมํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ, อิมินาหํ น อญฺญํ เทวสมฺปตฺติํ วา สกฺกมารพฺรหฺมสมฺปตฺติํ วา ปเตฺถมิ, อิทํ ปน เม กมฺมํ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก มหานิสภเตฺถเรน ปตฺตฎฺฐานนฺตรํ ปาปุณนตฺถาย เตรสธุตงฺคธรานํ อคฺคภาวสฺส ปจฺจโย โหตู’’ติฯ สตฺถา ‘‘มหนฺตํ ฐานํ อิมินา ปตฺถิตํ, สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข’’ติ โอโลเกโนฺต สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา อาห – ‘‘มนาปํ เต ฐานํ ปตฺถิตํ, อนาคเต สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส ตฺวํ ตติยสาวโก มหากสฺสปเตฺถโร นาม ภวิสฺสสี’’ติฯ ตํ สุตฺวา อุปาสโก ‘‘พุทฺธานํ เทฺว กถา นาม นตฺถี’’ติ ปุนทิวเส ปตฺตพฺพํ วิย ตํ สมฺปตฺติํ อมญฺญิตฺถฯ โส ยาวตายุกํ สีลํ รกฺขิตฺวา ตตฺถ กาลงฺกโต สเคฺค นิพฺพตฺติฯ

    So punapi satthāraṃ nimantetvā teneva niyāmena satta divasāni dānaṃ datvā sattame divase aṭṭhasaṭṭhibhikkhusatasahassassa ticīvarāni datvā satthu pādamūle nipajjitvā evamāha – ‘‘yaṃ me, bhante, satta divasāni dānaṃ dentassa mettaṃ kāyakammaṃ mettaṃ vacīkammaṃ mettaṃ manokammaṃ, imināhaṃ na aññaṃ devasampattiṃ vā sakkamārabrahmasampattiṃ vā patthemi, idaṃ pana me kammaṃ anāgate ekassa buddhassa santike mahānisabhattherena pattaṭṭhānantaraṃ pāpuṇanatthāya terasadhutaṅgadharānaṃ aggabhāvassa paccayo hotū’’ti. Satthā ‘‘mahantaṃ ṭhānaṃ iminā patthitaṃ, samijjhissati nu kho’’ti olokento samijjhanabhāvaṃ disvā āha – ‘‘manāpaṃ te ṭhānaṃ patthitaṃ, anāgate satasahassakappamatthake gotamo nāma buddho uppajjissati, tassa tvaṃ tatiyasāvako mahākassapatthero nāma bhavissasī’’ti. Taṃ sutvā upāsako ‘‘buddhānaṃ dve kathā nāma natthī’’ti punadivase pattabbaṃ viya taṃ sampattiṃ amaññittha. So yāvatāyukaṃ sīlaṃ rakkhitvā tattha kālaṅkato sagge nibbatti.

    ตโต ปฎฺฐาย เทวมนุเสฺสสุ สมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต อิโต เอกนวุติกเปฺป วิปสฺสิมฺหิ สมฺมาสมฺพุเทฺธ พนฺธุมตีนครํ นิสฺสาย เขเม มิคทาเย วิหรเนฺต เทวโลกา จวิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ ปริชิเณฺณ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺมิญฺจ กาเล ‘‘วิปสฺสี ภควา สตฺตเม สตฺตเม สํวจฺฉเร ธมฺมํ กเถตี’’ติ มหนฺตํ โกลาหลํ โหติฯ สกลชมฺพุทีเป เทวตา ‘‘สตฺถา ธมฺมํ กเถสฺสตี’’ติ อาโรเจนฺติ, พฺราหฺมโณ ตํ สาสนํ อโสฺสสิฯ ตสฺส จ นิวาสนสาฎโก เอโก โหติ, ตถา พฺราหฺมณิยา, ปารุปนํ ปน ทฺวินฺนมฺปิ เอกเมวฯ สกลนคเร ‘‘เอกสาฎกพฺราหฺมโณ’’ติ ปญฺญายติฯ พฺราหฺมณานํ เกนจิเทว กิเจฺจน สนฺนิปาเต สติ พฺราหฺมณิํ เคเห ฐเปตฺวา สยํ คจฺฉติ , พฺราหฺมณีนํ สนฺนิปาเต สติ สยํ เคเห ติฎฺฐติ, พฺราหฺมณี ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา คจฺฉติฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิํ อาห – ‘‘โภติ, กิํ รตฺติํ ธมฺมสฺสวนํ สุณิสฺสสิ ทิวา’’ติ? ‘‘มยํ มาตุคามชาติกา นาม รตฺติํ โสตุํ น สโกฺกม, ทิวา โสสฺสามี’’ติ พฺราหฺมณํ เคเห ฐเปตฺวา วตฺถํ ปารุปิตฺวา อุปาสิกาหิ สทฺธิํ ทิวา คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมเนฺต นิสินฺนา ธมฺมํ สุตฺวา อุปาสิกาหิเยว สทฺธิํ อาคมาสิฯ อถ พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิํ เคเห ฐเปตฺวา วตฺถํ ปารุปิตฺวา วิหารํ คโตฯ

    Tato paṭṭhāya devamanussesu sampattiṃ anubhavanto ito ekanavutikappe vipassimhi sammāsambuddhe bandhumatīnagaraṃ nissāya kheme migadāye viharante devalokā cavitvā aññatarasmiṃ parijiṇṇe brāhmaṇakule nibbatti. Tasmiñca kāle ‘‘vipassī bhagavā sattame sattame saṃvacchare dhammaṃ kathetī’’ti mahantaṃ kolāhalaṃ hoti. Sakalajambudīpe devatā ‘‘satthā dhammaṃ kathessatī’’ti ārocenti, brāhmaṇo taṃ sāsanaṃ assosi. Tassa ca nivāsanasāṭako eko hoti, tathā brāhmaṇiyā, pārupanaṃ pana dvinnampi ekameva. Sakalanagare ‘‘ekasāṭakabrāhmaṇo’’ti paññāyati. Brāhmaṇānaṃ kenacideva kiccena sannipāte sati brāhmaṇiṃ gehe ṭhapetvā sayaṃ gacchati , brāhmaṇīnaṃ sannipāte sati sayaṃ gehe tiṭṭhati, brāhmaṇī taṃ vatthaṃ pārupitvā gacchati. Tasmiṃ pana divase brāhmaṇo brāhmaṇiṃ āha – ‘‘bhoti, kiṃ rattiṃ dhammassavanaṃ suṇissasi divā’’ti? ‘‘Mayaṃ mātugāmajātikā nāma rattiṃ sotuṃ na sakkoma, divā sossāmī’’ti brāhmaṇaṃ gehe ṭhapetvā vatthaṃ pārupitvā upāsikāhi saddhiṃ divā gantvā satthāraṃ vanditvā ekamante nisinnā dhammaṃ sutvā upāsikāhiyeva saddhiṃ āgamāsi. Atha brāhmaṇo brāhmaṇiṃ gehe ṭhapetvā vatthaṃ pārupitvā vihāraṃ gato.

    ตสฺมิํ จ สมเย สตฺถา ปริสมเชฺฌ อลงฺกตธมฺมาสเน สนฺนิสิโนฺน จิตฺตพีชนิํ อาทาย อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย สิเนรุํ มตฺถํ กตฺวา สาครํ นิมฺมเถโนฺต วิย ธมฺมกถํ กเถติฯ พฺราหฺมณสฺส ปริสเนฺต นิสินฺนสฺส ธมฺมํ สุณนฺตสฺส ปฐมยามสฺมิํเยว สกลสรีรํ ปูรยมานา ปญฺจวณฺณา ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ปารุตวตฺถํ สงฺฆริตฺวา ‘‘ทสพลสฺส ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ อถสฺส อาทีนวสหสฺสํ ทสฺสยมานํ มเจฺฉรํ อุปฺปชฺชิ, โส ‘‘พฺราหฺมณิยา จ มยฺหญฺจ เอกเมว วตฺถํ, อญฺญํ กิญฺจิ ปารุปนํ นตฺถิ, อปารุปิตฺวา จ นาม พหิ จริตุํ น สกฺกา’’ติ สพฺพถาปิ อทาตุกาโม อโหสิฯ อถสฺส นิกฺขเนฺต ปฐมยาเม มชฺฌิมยาเมปิ ตเถว ปีติ อุปฺปชฺชิ, โส ตเถว จ จิเนฺตตฺวา ตเถว อทาตุกาโม อโหสิฯ อถสฺส มชฺฌิมยาเม นิกฺขเนฺต ปจฺฉิมยาเมปิ ตเถว ปีติ อุปฺปชฺชิ, โส ‘‘ตรณํ วา โหตุ มรณํ วา, ปจฺฉาปิ ชานิสฺสามี’’ติ วตฺถํ สงฺฆริตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล ฐเปสิฯ ตโต วามหตฺถํ อาภุชิตฺวา ทกฺขิเณน หเตฺถน ติกฺขตฺตุํ อโปฺผเฎตฺวา ‘‘ชิตํ เม ชิตํ เม’’ติ ตโย วาเร นทิฯ

    Tasmiṃ ca samaye satthā parisamajjhe alaṅkatadhammāsane sannisinno cittabījaniṃ ādāya ākāsagaṅgaṃ otārento viya sineruṃ matthaṃ katvā sāgaraṃ nimmathento viya dhammakathaṃ katheti. Brāhmaṇassa parisante nisinnassa dhammaṃ suṇantassa paṭhamayāmasmiṃyeva sakalasarīraṃ pūrayamānā pañcavaṇṇā pīti uppajji. So pārutavatthaṃ saṅgharitvā ‘‘dasabalassa dassāmī’’ti cintesi. Athassa ādīnavasahassaṃ dassayamānaṃ maccheraṃ uppajji, so ‘‘brāhmaṇiyā ca mayhañca ekameva vatthaṃ, aññaṃ kiñci pārupanaṃ natthi, apārupitvā ca nāma bahi carituṃ na sakkā’’ti sabbathāpi adātukāmo ahosi. Athassa nikkhante paṭhamayāme majjhimayāmepi tatheva pīti uppajji, so tatheva ca cintetvā tatheva adātukāmo ahosi. Athassa majjhimayāme nikkhante pacchimayāmepi tatheva pīti uppajji, so ‘‘taraṇaṃ vā hotu maraṇaṃ vā, pacchāpi jānissāmī’’ti vatthaṃ saṅgharitvā satthu pādamūle ṭhapesi. Tato vāmahatthaṃ ābhujitvā dakkhiṇena hatthena tikkhattuṃ apphoṭetvā ‘‘jitaṃ me jitaṃ me’’ti tayo vāre nadi.

    ตสฺมิญฺจ สมเย พนฺธุมราชา ธมฺมาสนสฺส ปจฺฉโต อโนฺตสาณิยํ นิสิโนฺน ธมฺมํ สุณาติฯ รโญฺญ จ นาม ‘‘ชิตํ เม’’ติ สโทฺท อมนาโป โหติฯ โส ปุริสํ เปเสสิ ‘‘คจฺฉ เอตํ ปุจฺฉ กิํ วเทสี’’ติ? โส เตน คนฺตฺวา ปุจฺฉิโต อาห – ‘‘อวเสสา หตฺถิยานาทีนิ อารุยฺห อสิจมฺมาทีนิ คเหตฺวา ปรเสนํ ชินนฺติ, น ตํ อจฺฉริยํ, อหํ ปน ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตสฺส กูฎโคณสฺส มุคฺคเรน สีสํ ภินฺทิตฺวา ตํ ปลาเปโนฺต วิย มเจฺฉรจิตฺตํ มทฺทิตฺวา ปารุตวตฺถํ ทสพลสฺส อทาสิํ, ตํ เม มจฺฉริยํ ชิต’’นฺติ อาหฯ ปุริโส คนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา อาห – ‘‘อเมฺห ภเณ ทสพลสฺส อนุรูปํ น ชานิมฺหา, พฺราหฺมโณ ปน ชานี’’ติ วตฺถยุคมฺปิ เปเสสิฯ ตํ ทิสฺวา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ มยฺหํ ตุณฺหี นิสินฺนสฺส ปฐมํ กิญฺจิ อทตฺวา สตฺถุ คุเณ กเถนฺตสฺส อทาสิ, สตฺถุ คุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปเนฺนน มยฺหํ โก อโตฺถ’’ติ ตมฺปิ วตฺถยุคํ ทสพลเสฺสว อทาสิฯ ราชา ‘‘กิํ พฺราหฺมเณน กต’’นฺติ? ปุจฺฉิตฺวา, ‘‘ตมฺปิ เตน วตฺถยุคํ ตถาคตเสฺสว ทินฺน’’นฺติ สุตฺวา อญฺญานิ เทฺว วตฺถยุคานิ เปเสสิฯ โส ตานิปิ อทาสิฯ ราชา อญฺญานิปิ จตฺตารีติ เอวํ ยาว ทฺวตฺติํส วตฺถยุคานิ เปเสสิฯ อถ พฺราหฺมโณ ‘‘อิทํ วเฑฺฒตฺวา คหณํ วิย โหตี’’ติ อตฺตโน อตฺถาย เอกํ พฺราหฺมณิยา อตฺถาย เอกนฺติ เทฺว วตฺถยุคานิ คเหตฺวา ติํส ยุคานิ ตถาคตเสฺสว อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จ สตฺถุ วิสฺสาสิโก ชาโตฯ

    Tasmiñca samaye bandhumarājā dhammāsanassa pacchato antosāṇiyaṃ nisinno dhammaṃ suṇāti. Rañño ca nāma ‘‘jitaṃ me’’ti saddo amanāpo hoti. So purisaṃ pesesi ‘‘gaccha etaṃ puccha kiṃ vadesī’’ti? So tena gantvā pucchito āha – ‘‘avasesā hatthiyānādīni āruyha asicammādīni gahetvā parasenaṃ jinanti, na taṃ acchariyaṃ, ahaṃ pana pacchato āgacchantassa kūṭagoṇassa muggarena sīsaṃ bhinditvā taṃ palāpento viya maccheracittaṃ madditvā pārutavatthaṃ dasabalassa adāsiṃ, taṃ me macchariyaṃ jita’’nti āha. Puriso gantvā taṃ pavattiṃ rañño ārocesi. Rājā āha – ‘‘amhe bhaṇe dasabalassa anurūpaṃ na jānimhā, brāhmaṇo pana jānī’’ti vatthayugampi pesesi. Taṃ disvā brāhmaṇo cintesi – ‘‘ayaṃ mayhaṃ tuṇhī nisinnassa paṭhamaṃ kiñci adatvā satthu guṇe kathentassa adāsi, satthu guṇe paṭicca uppannena mayhaṃ ko attho’’ti tampi vatthayugaṃ dasabalasseva adāsi. Rājā ‘‘kiṃ brāhmaṇena kata’’nti? Pucchitvā, ‘‘tampi tena vatthayugaṃ tathāgatasseva dinna’’nti sutvā aññāni dve vatthayugāni pesesi. So tānipi adāsi. Rājā aññānipi cattārīti evaṃ yāva dvattiṃsa vatthayugāni pesesi. Atha brāhmaṇo ‘‘idaṃ vaḍḍhetvā gahaṇaṃ viya hotī’’ti attano atthāya ekaṃ brāhmaṇiyā atthāya ekanti dve vatthayugāni gahetvā tiṃsa yugāni tathāgatasseva adāsi. Tato paṭṭhāya ca satthu vissāsiko jāto.

    อถ นํ ราชา เอกทิวสํ สีตสมเย สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณนฺตํ ทิสฺวา สตสหสฺสคฺฆนิกํ อตฺตโน ปารุตํ รตฺตกมฺพลํ ทตฺวา อาห – ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อิทํ ปารุปิตฺวา ธมฺมํ สุณาหี’’ติฯ โส ‘‘กิํ เม อิมินา กมฺพเลน อิมสฺมิํ ปูติกาเย อุปนีเตนา’’ติ? จิเนฺตตฺวา, อโนฺตคนฺธกุฎิยํ ตถาคตมญฺจสฺส อุปริ วิตานํ กตฺวา อคมาสิฯ อถ เอกทิวสํ ราชา ปาโตว วิหารํ คนฺตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ฉพฺพณฺณา พุทฺธรสฺมิโย กมฺพลํ ปฎิหญฺญนฺติ, กมฺพโล อติวิย วิโรจติฯ ราชา อุทฺธํ โอโลเกโนฺต สญฺชานิตฺวา อาห – ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ เอส กมฺพโล, อเมฺหหิ เอกสาฎกพฺราหฺมณสฺส ทิโนฺน’’ติฯ ตุเมฺหหิ, มหาราช, พฺราหฺมโณ ปูชิโต, พฺราหฺมเณน อหํ ปูชิโตติฯ ราชา ‘‘พฺราหฺมโณ ยุตฺตกํ อญฺญาสิ, น มย’’นฺติ ปสีทิตฺวา ยํ มนุสฺสานํ อุปการภูตํ, ตํ สพฺพํ อฎฺฐฎฺฐกํ กตฺวา สพฺพฎฺฐกํ นาม ทานํ ทตฺวา ปุโรหิตฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โสปิ ‘‘อฎฺฐฎฺฐกํ นาม จตุสฎฺฐิ โหตี’’ติ จตุสฎฺฐิ สลากภตฺตานิ อุปนิพนฺธาเปตฺวา ยาวชีวํ ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา ตโต จุโต สเคฺค นิพฺพตฺติฯ

    Atha naṃ rājā ekadivasaṃ sītasamaye satthu santike dhammaṃ suṇantaṃ disvā satasahassagghanikaṃ attano pārutaṃ rattakambalaṃ datvā āha – ‘‘ito paṭṭhāya idaṃ pārupitvā dhammaṃ suṇāhī’’ti. So ‘‘kiṃ me iminā kambalena imasmiṃ pūtikāye upanītenā’’ti? Cintetvā, antogandhakuṭiyaṃ tathāgatamañcassa upari vitānaṃ katvā agamāsi. Atha ekadivasaṃ rājā pātova vihāraṃ gantvā antogandhakuṭiyaṃ satthu santike nisīdi. Tasmiñca samaye chabbaṇṇā buddharasmiyo kambalaṃ paṭihaññanti, kambalo ativiya virocati. Rājā uddhaṃ olokento sañjānitvā āha – ‘‘bhante, amhākaṃ esa kambalo, amhehi ekasāṭakabrāhmaṇassa dinno’’ti. Tumhehi, mahārāja, brāhmaṇo pūjito, brāhmaṇena ahaṃ pūjitoti. Rājā ‘‘brāhmaṇo yuttakaṃ aññāsi, na maya’’nti pasīditvā yaṃ manussānaṃ upakārabhūtaṃ, taṃ sabbaṃ aṭṭhaṭṭhakaṃ katvā sabbaṭṭhakaṃ nāma dānaṃ datvā purohitaṭṭhāne ṭhapesi. Sopi ‘‘aṭṭhaṭṭhakaṃ nāma catusaṭṭhi hotī’’ti catusaṭṭhi salākabhattāni upanibandhāpetvā yāvajīvaṃ dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā tato cuto sagge nibbatti.

    ปุน ตโต จุโต อิมสฺมิํ กเปฺป โกณาคมนสฺส จ ภควโต กสฺสปทสพลสฺส จาติ ทฺวินฺนํ พุทฺธานํ อนฺตเร พาราณสิยํ กุฎุมฺพิยฆเร นิพฺพโตฺต, โส วุทฺธิมนฺวาย ฆราวาสํ วสโนฺต เอกทิวสํ อรเญฺญ ชงฺฆวิหารํ จรติฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ปเจฺจกพุโทฺธ นทีตีเร จีวรกมฺมํ กโรโนฺต อนุวาเต อปฺปโหเนฺต สงฺฆริตฺวา ฐเปตุํ อารโทฺธฯ โส ทิสฺวา, ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, สงฺฆริตฺวา ฐเปถา’’ติ? อาหฯ อนุวาโต นปฺปโหตีติฯ ‘‘อิมินา, ภเนฺต, กโรถา’’ติ สาฎกํ ทตฺวา, ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม เกนจิ ปริหานิ มา โหตู’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ ฆเรปิสฺส ภคินิยา สทฺธิํ ภริยาย กลหํ กโรนฺติยา ปเจฺจกพุโทฺธ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ

    Puna tato cuto imasmiṃ kappe koṇāgamanassa ca bhagavato kassapadasabalassa cāti dvinnaṃ buddhānaṃ antare bārāṇasiyaṃ kuṭumbiyaghare nibbatto, so vuddhimanvāya gharāvāsaṃ vasanto ekadivasaṃ araññe jaṅghavihāraṃ carati. Tasmiñca samaye paccekabuddho nadītīre cīvarakammaṃ karonto anuvāte appahonte saṅgharitvā ṭhapetuṃ āraddho. So disvā, ‘‘kasmā, bhante, saṅgharitvā ṭhapethā’’ti? Āha. Anuvāto nappahotīti. ‘‘Iminā, bhante, karothā’’ti sāṭakaṃ datvā, ‘‘nibbattanibbattaṭṭhāne me kenaci parihāni mā hotū’’ti patthanaṃ paṭṭhapesi. Gharepissa bhaginiyā saddhiṃ bhariyāya kalahaṃ karontiyā paccekabuddho piṇḍāya pāvisi.

    อถสฺส ภคินี ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา ตสฺส ภริยํ สนฺธาย ‘‘เอวรูปํ พาลํ โยชนสเตน ปริวเชฺชยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ สา เคหทฺวาเร ฐิตา ตํ สุตฺวา, ‘‘อิมาย ทินฺนํ ภตฺตํ เอส มา ภุญฺชตู’’ติ ปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑปาตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลสฺส ปูเรตฺวา อทาสิฯ อิตรา ทิสฺวา, ‘‘พาเล มํ ตาว อโกฺกส วา ปหร วาฯ เอวรูปสฺส ปน เทฺว อสเงฺขยฺยานิ ปูริตปารมิสฺส ปตฺตโต ภตฺตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลํ ทาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ อาหฯ อถสฺส ภริยาย ปฎิสงฺขานํ อุปฺปชฺชิฯ สา ‘‘ติฎฺฐถ, ภเนฺต’’ติ กลลํ ฉเฑฺฑตฺวา ปตฺตํ โธวิตฺวา คนฺธจุเณฺณน อุพฺพเฎฺฎตฺวา ปวรสฺส จตุมธุรสฺส ปูเรตฺวา อุปริ อาสิเตฺตน ปทุมคพฺภวเณฺณน สปฺปินา วิโชฺชตมานํ ปเจฺจกพุทฺธสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา, ‘‘ยถา อยํ ปิณฺฑปาโต โอภาสชาโต, เอวํ โอภาสชาตํ เม สรีรํ โหตู’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ อนุโมทิตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ เตปิ ชายมฺปติกา ยาวตายุกํ กุสลํ กตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ปุน ตโต จวิตฺวา อุปาสโก พาราณสิยํ อสีติโกฎิวิภวสฺส เสฎฺฐิโน ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, อิตรา ตาทิสเสฺสว ธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Athassa bhaginī paccekabuddhassa piṇḍapātaṃ datvā tassa bhariyaṃ sandhāya ‘‘evarūpaṃ bālaṃ yojanasatena parivajjeyya’’nti patthanaṃ paṭṭhapesi. Sā gehadvāre ṭhitā taṃ sutvā, ‘‘imāya dinnaṃ bhattaṃ esa mā bhuñjatū’’ti pattaṃ gahetvā piṇḍapātaṃ chaḍḍetvā kalalassa pūretvā adāsi. Itarā disvā, ‘‘bāle maṃ tāva akkosa vā pahara vā. Evarūpassa pana dve asaṅkheyyāni pūritapāramissa pattato bhattaṃ chaḍḍetvā kalalaṃ dātuṃ na yutta’’nti āha. Athassa bhariyāya paṭisaṅkhānaṃ uppajji. Sā ‘‘tiṭṭhatha, bhante’’ti kalalaṃ chaḍḍetvā pattaṃ dhovitvā gandhacuṇṇena ubbaṭṭetvā pavarassa catumadhurassa pūretvā upari āsittena padumagabbhavaṇṇena sappinā vijjotamānaṃ paccekabuddhassa hatthe ṭhapetvā, ‘‘yathā ayaṃ piṇḍapāto obhāsajāto, evaṃ obhāsajātaṃ me sarīraṃ hotū’’ti patthanaṃ paṭṭhapesi. Paccekabuddho anumoditvā ākāsaṃ pakkhandi. Tepi jāyampatikā yāvatāyukaṃ kusalaṃ katvā sagge nibbattitvā puna tato cavitvā upāsako bārāṇasiyaṃ asītikoṭivibhavassa seṭṭhino putto hutvā nibbatti, itarā tādisasseva dhītā hutvā nibbatti.

    ตสฺส วุทฺธิปฺปตฺตสฺส ตเมว เสฎฺฐิธีตรํ อานยิํสุฯ ตสฺสา ปุเพฺพ อทินฺนวิปากสฺส ตสฺส กมฺมสฺส อานุภาเวน ปติกุลํ ปวิฎฺฐมตฺตาย อุมฺมารพฺภนฺตเร สกลสรีรํ อุคฺฆาฎิตวจฺจกุฎิ วิย ทุคฺคนฺธํ ชาตํฯ เสฎฺฐิกุมาโร ‘‘กสฺสายํ คโนฺธ’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เสฎฺฐิกญฺญายา’’ติ สุตฺวา ‘‘นีหรถ นีหรถา’’ติ อาภตนิยาเมเนว กุลฆรํ เปเสสิฯ สา เอเตเนว นีหาเรน สตฺตสุ ฐาเนสุ ปฎินิวตฺติตา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ สตฺตสุ ฐาเนสุ ปฎินิวตฺตาฯ กิํ เม ชีวิเตนา’’ติ? อตฺตโน อาภรณภณฺฑํ ภญฺชาเปตฺวา สุวณฺณิฎฺฐกํ กาเรสิ รตนายตํ วิทตฺถิวิตฺถตํ จตุรงฺคุลุเพฺพธํฯ ตโต หริตาลมโนสิลาปิณฺฑํ คเหตฺวา อฎฺฐ อุปฺปลหตฺถเก อาทาย กสฺสปทสพลสฺส เจติยกรณฎฺฐานํ คตาฯ ตสฺมิญฺจ ขเณ เอกา อิฎฺฐกปนฺติ ปริกฺขิปิตฺวา อาคจฺฉมานา ฆฎนิฎฺฐกาย อูนา โหติฯ เสฎฺฐิธีตา วฑฺฒกิํ อาห – ‘‘อิมํ อิฎฺฐกํ เอตฺถ ฐเปถา’’ติฯ อมฺม, ภทฺทเก กาเล อาคตาสิ, สยเมว ฐเปหีติฯ สา อารุยฺห เตเลน หริตาลมโนสิลํ โยเชตฺวา เตน พนฺธเนน อิฎฺฐกํ ปติฎฺฐเปตฺวา อุปริ อฎฺฐหิ อุปฺปลหตฺถเกหิ ปูชํ กตฺวา วนฺทิตฺวา, ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม กายโต จนฺทนคโนฺธ วายตุ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา, เจติยํ วนฺทิตฺวา, ปทกฺขิณํ กตฺวา อคมาสิฯ

    Tassa vuddhippattassa tameva seṭṭhidhītaraṃ ānayiṃsu. Tassā pubbe adinnavipākassa tassa kammassa ānubhāvena patikulaṃ paviṭṭhamattāya ummārabbhantare sakalasarīraṃ ugghāṭitavaccakuṭi viya duggandhaṃ jātaṃ. Seṭṭhikumāro ‘‘kassāyaṃ gandho’’ti pucchitvā ‘‘seṭṭhikaññāyā’’ti sutvā ‘‘nīharatha nīharathā’’ti ābhataniyāmeneva kulagharaṃ pesesi. Sā eteneva nīhārena sattasu ṭhānesu paṭinivattitā cintesi – ‘‘ahaṃ sattasu ṭhānesu paṭinivattā. Kiṃ me jīvitenā’’ti? Attano ābharaṇabhaṇḍaṃ bhañjāpetvā suvaṇṇiṭṭhakaṃ kāresi ratanāyataṃ vidatthivitthataṃ caturaṅgulubbedhaṃ. Tato haritālamanosilāpiṇḍaṃ gahetvā aṭṭha uppalahatthake ādāya kassapadasabalassa cetiyakaraṇaṭṭhānaṃ gatā. Tasmiñca khaṇe ekā iṭṭhakapanti parikkhipitvā āgacchamānā ghaṭaniṭṭhakāya ūnā hoti. Seṭṭhidhītā vaḍḍhakiṃ āha – ‘‘imaṃ iṭṭhakaṃ ettha ṭhapethā’’ti. Amma, bhaddake kāle āgatāsi, sayameva ṭhapehīti. Sā āruyha telena haritālamanosilaṃ yojetvā tena bandhanena iṭṭhakaṃ patiṭṭhapetvā upari aṭṭhahi uppalahatthakehi pūjaṃ katvā vanditvā, ‘‘nibbattanibbattaṭṭhāne me kāyato candanagandho vāyatu, mukhato uppalagandho’’ti patthanaṃ katvā, cetiyaṃ vanditvā, padakkhiṇaṃ katvā agamāsi.

    อถ ตสฺมิํเยว ขเณ ยสฺส เสฎฺฐิปุตฺตสฺส ปฐมํ เคหํ นีตา, ตสฺส ตํ อารพฺภ สติ อุทปาทิ ฯ นคเรปิ นกฺขตฺตํ สํฆุฎฺฐํ โหติฯ โส อุปฎฺฐาเก อาห – ‘‘ตทา อิธ อานีตา เสฎฺฐิธีตา อตฺถิ, กหํ สา’’ติ? ‘‘กุลเคเห สามี’’ติฯ ‘‘อาเนถ นํ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามา’’ติฯ เต คนฺตฺวา, ตํ วนฺทิตฺวา ฐิตา ‘‘กิํ, ตาตา, อาคตตฺถา’’ติ? ตาย ปุฎฺฐา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิํสุฯ ‘‘ตาตา, มยา อาภรณภเณฺฑน เจติยํ ปูชิตํ, อาภรณํ เม นตฺถี’’ติฯ เต คนฺตฺวา เสฎฺฐิปุตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ ‘‘อาเนถ นํ, ปิฬนฺธนํ ลภิสฺสามา’’ติฯ เต อานยิํสุฯ ตสฺสา สห ฆรปฺปเวเสน สกลเคหํ จนฺทนคนฺธเญฺจว นีลุปฺปลคนฺธญฺจ วายิฯ

    Atha tasmiṃyeva khaṇe yassa seṭṭhiputtassa paṭhamaṃ gehaṃ nītā, tassa taṃ ārabbha sati udapādi . Nagarepi nakkhattaṃ saṃghuṭṭhaṃ hoti. So upaṭṭhāke āha – ‘‘tadā idha ānītā seṭṭhidhītā atthi, kahaṃ sā’’ti? ‘‘Kulagehe sāmī’’ti. ‘‘Ānetha naṃ, nakkhattaṃ kīḷissāmā’’ti. Te gantvā, taṃ vanditvā ṭhitā ‘‘kiṃ, tātā, āgatatthā’’ti? Tāya puṭṭhā taṃ pavattiṃ ācikkhiṃsu. ‘‘Tātā, mayā ābharaṇabhaṇḍena cetiyaṃ pūjitaṃ, ābharaṇaṃ me natthī’’ti. Te gantvā seṭṭhiputtassa ārocesuṃ. ‘‘Ānetha naṃ, piḷandhanaṃ labhissāmā’’ti. Te ānayiṃsu. Tassā saha gharappavesena sakalagehaṃ candanagandhañceva nīluppalagandhañca vāyi.

    เสฎฺฐิปุโตฺต ตํ ปุจฺฉิ – ‘‘ปฐมํ ตว สรีรโต ทุคฺคโนฺธ วายิ, อิทานิ ปน เต สรีรโต จนฺทนคโนฺธ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ วายติฯ กิํ เอต’’นฺติ? สา อาทิโต ปฎฺฐาย อตฺตโน กตกมฺมํ อาโรเจสิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ‘‘นิยฺยานิกํ วต พุทฺธานํ สาสน’’นฺติ ปสีทิตฺวา โยชนิกํ สุวณฺณเจติยํ กมฺพลกญฺจุเกน ปริกฺขิปิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ รถจกฺกปฺปมาเณหิ สุวณฺณปทุเมหิ อลงฺกริฯ เตสํ ทฺวาทสหตฺถา โอลมฺพกา โหนฺติฯ โส ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต พาราณสิโต โยชนมเตฺต ฐาเน อญฺญตรสฺมิํ อมจฺจกุเล นิพฺพตฺติฯ เสฎฺฐิกญฺญา เทวโลกโต จวิตฺวา ราชกุเล เชฎฺฐธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Seṭṭhiputto taṃ pucchi – ‘‘paṭhamaṃ tava sarīrato duggandho vāyi, idāni pana te sarīrato candanagandho, mukhato uppalagandho vāyati. Kiṃ eta’’nti? Sā ādito paṭṭhāya attano katakammaṃ ārocesi. Seṭṭhiputto ‘‘niyyānikaṃ vata buddhānaṃ sāsana’’nti pasīditvā yojanikaṃ suvaṇṇacetiyaṃ kambalakañcukena parikkhipitvā tattha tattha rathacakkappamāṇehi suvaṇṇapadumehi alaṅkari. Tesaṃ dvādasahatthā olambakā honti. So tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā sagge nibbattitvā tato cuto bārāṇasito yojanamatte ṭhāne aññatarasmiṃ amaccakule nibbatti. Seṭṭhikaññā devalokato cavitvā rājakule jeṭṭhadhītā hutvā nibbatti.

    เตสุ วยปฺปเตฺตสุ กุมารสฺส วสนคาเม นกฺขตฺตํ สํฆุฎฺฐํ, โส มาตรํ อาห – ‘‘สาฎกํ เม อมฺม เทหิ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติฯ สา โธตวตฺถํ นีหริตฺวา อทาสิฯ ‘‘อมฺม ถูลํ อิท’’นฺติฯ อญฺญํ นีหริตฺวา อทาสิ, ตมฺปิ ปฎิกฺขิปิฯ อญฺญํ นีหริตฺวา อทาสิ, ตมฺปิ ปฎิกฺขิปิฯ อถ นํ มาตา อาห – ‘‘ตาต, ยาทิเส เคเห มยํ ชาตา, นตฺถิ โน อิโต สุขุมตรสฺส ปฎิลาภาย ปุญฺญ’’นฺติฯ ‘‘ลภนฎฺฐานํ คจฺฉามิ อมฺมา’’ติฯ ‘‘ปุตฺต อหํ อเชฺชว ตุยฺหํ พาราณสินคเร รชฺชปฎิลาภมฺปิ อิจฺฉามี’’ติฯ โส มาตรํ วนฺทิตฺวา อาห – ‘‘คจฺฉามิ อมฺมา’’ติฯ ‘‘คจฺฉ, ตาตา’’ติฯ เอวํ กิรสฺสา จิตฺตํ อโหสิ – ‘‘กหํ คมิสฺสติ, อิธ วา เอตฺถ วา เคเห นิสีทิสฺสตี’’ติ? โส ปน ปุญฺญนิยาเมน นิกฺขมิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา อุยฺยาเน มงฺคลสิลาปเฎฺฎ สสีสํ ปารุปิตฺวา นิปชฺชิฯ โส จา พาราณสิรโญฺญ กาลงฺกตสฺส สตฺตโม ทิวโส โหติฯ

    Tesu vayappattesu kumārassa vasanagāme nakkhattaṃ saṃghuṭṭhaṃ, so mātaraṃ āha – ‘‘sāṭakaṃ me amma dehi, nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti. Sā dhotavatthaṃ nīharitvā adāsi. ‘‘Amma thūlaṃ ida’’nti. Aññaṃ nīharitvā adāsi, tampi paṭikkhipi. Aññaṃ nīharitvā adāsi, tampi paṭikkhipi. Atha naṃ mātā āha – ‘‘tāta, yādise gehe mayaṃ jātā, natthi no ito sukhumatarassa paṭilābhāya puñña’’nti. ‘‘Labhanaṭṭhānaṃ gacchāmi ammā’’ti. ‘‘Putta ahaṃ ajjeva tuyhaṃ bārāṇasinagare rajjapaṭilābhampi icchāmī’’ti. So mātaraṃ vanditvā āha – ‘‘gacchāmi ammā’’ti. ‘‘Gaccha, tātā’’ti. Evaṃ kirassā cittaṃ ahosi – ‘‘kahaṃ gamissati, idha vā ettha vā gehe nisīdissatī’’ti? So pana puññaniyāmena nikkhamitvā bārāṇasiṃ gantvā uyyāne maṅgalasilāpaṭṭe sasīsaṃ pārupitvā nipajji. So cā bārāṇasirañño kālaṅkatassa sattamo divaso hoti.

    อมจฺจา รโญฺญ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ราชงฺคเณ นิสีทิตฺวา มนฺตยิํสุ – ‘‘รโญฺญ เอกา ธีตาว อตฺถิ, ปุโตฺต นตฺถิฯ อราชกํ รชฺชํ น ติฎฺฐติฯ โก ราชา โหตี’’ติ มเนฺตตฺวา, ‘‘ตฺวํ โหหิ, ตฺวํ โหหี’’ติฯ ปุโรหิโต อาห – ‘‘พหุํ โอโลเกตุํ น วฎฺฎติ, ผุสฺสรถํ วิสฺสเชฺชมา’’ติฯ เต กุมุทวเณฺณ จตฺตาโร สินฺธเว โยเชตฺวา, ปญฺจวิธํ ราชกกุธภณฺฑํ เสตจฺฉตฺตญฺจ รถสฺมิํเยว ฐเปตฺวา รถํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปจฺฉโต ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสุํฯ รโถ ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานาภิมุโข อโหสิ, ‘‘ปริจเยน อุยฺยานาภิมุโข คจฺฉติ, นิวเตฺตมา’’ติ เกจิ อาหํสุฯ ปุโรหิโต ‘‘มา นิวตฺตยิตฺถา’’ติ อาหฯ รโถ กุมารํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อาโรหนสโชฺช หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ปุโรหิโต ปารุปนกณฺณํ อปเนตฺวา ปาทตลานิ โอโลเกโนฺต ‘‘ติฎฺฐตุ อยํ ทีโป, ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ ทีเปสุ เอส รชฺชํ กาตุํ ยุโตฺต’’ติ วตฺวา, ‘‘ปุนปิ ตูริยานิ ปคฺคณฺหาถ ปุนปิ ปคฺคณฺหาถา’’ติ ติกฺขตฺตุํ ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสิฯ

    Amaccā rañño sarīrakiccaṃ katvā rājaṅgaṇe nisīditvā mantayiṃsu – ‘‘rañño ekā dhītāva atthi, putto natthi. Arājakaṃ rajjaṃ na tiṭṭhati. Ko rājā hotī’’ti mantetvā, ‘‘tvaṃ hohi, tvaṃ hohī’’ti. Purohito āha – ‘‘bahuṃ oloketuṃ na vaṭṭati, phussarathaṃ vissajjemā’’ti. Te kumudavaṇṇe cattāro sindhave yojetvā, pañcavidhaṃ rājakakudhabhaṇḍaṃ setacchattañca rathasmiṃyeva ṭhapetvā rathaṃ vissajjetvā pacchato tūriyāni paggaṇhāpesuṃ. Ratho pācīnadvārena nikkhamitvā uyyānābhimukho ahosi, ‘‘paricayena uyyānābhimukho gacchati, nivattemā’’ti keci āhaṃsu. Purohito ‘‘mā nivattayitthā’’ti āha. Ratho kumāraṃ padakkhiṇaṃ katvā ārohanasajjo hutvā aṭṭhāsi. Purohito pārupanakaṇṇaṃ apanetvā pādatalāni olokento ‘‘tiṭṭhatu ayaṃ dīpo, dvisahassadīpaparivāresu catūsu dīpesu esa rajjaṃ kātuṃ yutto’’ti vatvā, ‘‘punapi tūriyāni paggaṇhātha punapi paggaṇhāthā’’ti tikkhattuṃ tūriyāni paggaṇhāpesi.

    อถ กุมาโร มุขํ วิวริตฺวา โอโลเกตฺวา, ‘‘เกน กเมฺมน อาคตตฺถา’’ติ? อาหฯ ‘‘เทว, ตุมฺหากํ รชฺชํ ปาปุณาตี’’ติฯ ‘‘ราชา กห’’นฺติฯ ‘‘เทวตฺตํ คโต สามี’’ติฯ ‘‘กติ ทิวสา อติกฺกนฺตา’’ติ? ‘‘อชฺช สตฺตโม ทิวโส’’ติฯ ‘‘ปุโตฺต วา ธีตา วา นตฺถี’’ติฯ ‘‘ธีตา อตฺถิ เทว, ปุโตฺต นตฺถี’’ติฯ ‘‘เตน หิ กริสฺสามิ รชฺช’’นฺติฯ เต ตาวเทว อภิเสกมณฺฑปํ กตฺวา ราชธีตรํ สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา อุยฺยานํ อาเนตฺวา กุมารสฺส อภิเสกํ อกํสุฯ

    Atha kumāro mukhaṃ vivaritvā oloketvā, ‘‘kena kammena āgatatthā’’ti? Āha. ‘‘Deva, tumhākaṃ rajjaṃ pāpuṇātī’’ti. ‘‘Rājā kaha’’nti. ‘‘Devattaṃ gato sāmī’’ti. ‘‘Kati divasā atikkantā’’ti? ‘‘Ajja sattamo divaso’’ti. ‘‘Putto vā dhītā vā natthī’’ti. ‘‘Dhītā atthi deva, putto natthī’’ti. ‘‘Tena hi karissāmi rajja’’nti. Te tāvadeva abhisekamaṇḍapaṃ katvā rājadhītaraṃ sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā uyyānaṃ ānetvā kumārassa abhisekaṃ akaṃsu.

    อถสฺส กตาภิเสกสฺส สตสหสฺสคฺฆนิกํ วตฺถํ อุปหริํสุฯ โส ‘‘กิมิทํ, ตาตา’’ติ? อาหฯ ‘‘นิวาสนวตฺถํ เทวา’’ติฯ ‘‘นนุ, ตาตา, ถูล’’นฺติฯ ‘‘มนุสฺสานํ ปริโภควเตฺถสุ อิโต สุขุมตรํ นตฺถิ เทวา’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ ราชา เอวรูปํ นิวาเสสี’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘น มเญฺญ ปุญฺญวา ตุมฺหากํ ราชา, สุวณฺณภิงฺคารํ อาหรถ, ลภิสฺสาม วตฺถ’’นฺติฯ สุวณฺณภิงฺคารํ อาหริํสุฯ โส อุฎฺฐาย หเตฺถ โธวิตฺวา, มุขํ วิกฺขาเลตฺวา, หเตฺถน อุทกํ อาทาย, ปุรตฺถิมทิสาย อพฺภุกฺกิริ, ฆนปถวิํ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐ กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ ปุน อุทกํ คเหตฺวา ทกฺขิณํ ปจฺฉิมํ อุตฺตรนฺติ เอวํ จตโสฺส ทิสา อพฺภุกฺกิริ, สพฺพทิสาสุ อฎฺฐ อฎฺฐ กตฺวา ทฺวตฺติํส กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ โส เอกํ ทิพฺพทุสฺสํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ‘‘นนฺทรโญฺญ วิชิเต สุตฺตกนฺติกา อิตฺถิโย มา สุตฺตํ กนฺติํสูติ เอวํ เภริํ จาราเปถา’’ติ วตฺวา, ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา, อลงฺกตปฎิยโตฺต หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นครํ ปวิสิตฺวา, ปาสาทํ อารุยฺห มหาสมฺปตฺติํ อนุภวิฯ

    Athassa katābhisekassa satasahassagghanikaṃ vatthaṃ upahariṃsu. So ‘‘kimidaṃ, tātā’’ti? Āha. ‘‘Nivāsanavatthaṃ devā’’ti. ‘‘Nanu, tātā, thūla’’nti. ‘‘Manussānaṃ paribhogavatthesu ito sukhumataraṃ natthi devā’’ti. ‘‘Tumhākaṃ rājā evarūpaṃ nivāsesī’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Na maññe puññavā tumhākaṃ rājā, suvaṇṇabhiṅgāraṃ āharatha, labhissāma vattha’’nti. Suvaṇṇabhiṅgāraṃ āhariṃsu. So uṭṭhāya hatthe dhovitvā, mukhaṃ vikkhāletvā, hatthena udakaṃ ādāya, puratthimadisāya abbhukkiri, ghanapathaviṃ bhinditvā aṭṭha kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. Puna udakaṃ gahetvā dakkhiṇaṃ pacchimaṃ uttaranti evaṃ catasso disā abbhukkiri, sabbadisāsu aṭṭha aṭṭha katvā dvattiṃsa kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. So ekaṃ dibbadussaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ‘‘nandarañño vijite suttakantikā itthiyo mā suttaṃ kantiṃsūti evaṃ bheriṃ cārāpethā’’ti vatvā, chattaṃ ussāpetvā, alaṅkatapaṭiyatto hatthikkhandhavaragato nagaraṃ pavisitvā, pāsādaṃ āruyha mahāsampattiṃ anubhavi.

    เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต เอกทิวสํ เทวี รโญฺญ สมฺปตฺติํ ทิสฺวา, ‘‘อโห ตปสฺสี’’ติ การุญฺญาการํ ทเสฺสสิฯ ‘‘กิมิทํ เทวี’’ติ? จ ปุฎฺฐา, ‘‘อติมหตี, เทว, สมฺปตฺติ, อตีเต พุทฺธานํ สทฺทหิตฺวา กลฺยาณํ อกตฺถ, อิทานิ อนาคตสฺส ปจฺจยํ กุสลํ น กโรถา’’ติ? อาหฯ ‘‘กสฺส ทสฺสามิ? สีลวโนฺต นตฺถี’’ติฯ ‘‘อสุโญฺญ, เทว, ชมฺพุทีโป อรหเนฺตหิ, ตุเมฺห ทานเมว สเชฺชถ, อหํ อรหเนฺต ลจฺฉามี’’ติ อาหฯ ราชา ปุนทิวเส ปาจีนทฺวาเร ทานํ สชฺชาเปสิฯ เทวี ปาโตว อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย อุปริปาสาเท ปุรตฺถาภิมุขา อุเรน นิปชฺชิตฺวา – ‘‘สเจ เอติสฺสา ทิสาย อรหโนฺต อตฺถิ, อาคจฺฉนฺตุ อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ อาหฯ ตสฺสํ ทิสายํ อรหโนฺต นาเหสุํฯ ตํ สกฺการํ กปณทฺธิกยาจกานํ อทํสุฯ

    Evaṃ kāle gacchante ekadivasaṃ devī rañño sampattiṃ disvā, ‘‘aho tapassī’’ti kāruññākāraṃ dassesi. ‘‘Kimidaṃ devī’’ti? Ca puṭṭhā, ‘‘atimahatī, deva, sampatti, atīte buddhānaṃ saddahitvā kalyāṇaṃ akattha, idāni anāgatassa paccayaṃ kusalaṃ na karothā’’ti? Āha. ‘‘Kassa dassāmi? Sīlavanto natthī’’ti. ‘‘Asuñño, deva, jambudīpo arahantehi, tumhe dānameva sajjetha, ahaṃ arahante lacchāmī’’ti āha. Rājā punadivase pācīnadvāre dānaṃ sajjāpesi. Devī pātova uposathaṅgāni adhiṭṭhāya uparipāsāde puratthābhimukhā urena nipajjitvā – ‘‘sace etissā disāya arahanto atthi, āgacchantu amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti āha. Tassaṃ disāyaṃ arahanto nāhesuṃ. Taṃ sakkāraṃ kapaṇaddhikayācakānaṃ adaṃsu.

    ปุนทิวเส ทกฺขิณทฺวาเร ทานํ สเชฺชตฺวา ตเถว อกาสิ, ปุนทิวเส ปจฺฉิมทฺวาเรฯ อุตฺตรทฺวาเร สชฺชิตทิวเส ปน เทวิยา ตเถว นิมเนฺตนฺติยา หิมวเนฺต วสนฺตานํ ปทุมวติยา ปุตฺตานํ ปญฺจสตานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ เชฎฺฐโก มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ภาติเก อามเนฺตสิ ‘‘มาริสา, นนฺทราชา ตุเมฺห นิมเนฺตติ, อธิวาเสถ ตสฺสา’’ติฯ เต อธิวาเสตฺวา ปุนทิวเส อโนตตฺตทเห มุขํ โธวิตฺวา อากาเสน อาคนฺตฺวา อุตฺตรทฺวาเร โอตริํสุฯ มนุสฺสา คนฺตฺวา ‘‘ปญฺจสตา, เทว, ปเจฺจกพุทฺธา อาคตา’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา สทฺธิํ เทวิยา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา เตสํ ทานํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจาวสาเน ราชา สงฺฆเถรสฺส, เทวี สงฺฆนวกสฺส ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา, ‘‘อยฺยา ปจฺจเยหิ น กิลมิสฺสนฺติ, มยํ ปุเญฺญน น หายิสฺสาม, อมฺหากํ ยาวชีวํ อิธ นิวาสาย ปฎิญฺญํ เทถา’’ติ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา อุยฺยาเน ปญฺจ ปณฺณสาลาสตานิ ปญฺจ จงฺกมนสตานีติ สพฺพากาเรน นิวาสฎฺฐานํ สมฺปาเทตฺวา ตตฺถ วสาเปสุํฯ

    Punadivase dakkhiṇadvāre dānaṃ sajjetvā tatheva akāsi, punadivase pacchimadvāre. Uttaradvāre sajjitadivase pana deviyā tatheva nimantentiyā himavante vasantānaṃ padumavatiyā puttānaṃ pañcasatānaṃ paccekabuddhānaṃ jeṭṭhako mahāpadumapaccekabuddho bhātike āmantesi ‘‘mārisā, nandarājā tumhe nimanteti, adhivāsetha tassā’’ti. Te adhivāsetvā punadivase anotattadahe mukhaṃ dhovitvā ākāsena āgantvā uttaradvāre otariṃsu. Manussā gantvā ‘‘pañcasatā, deva, paccekabuddhā āgatā’’ti rañño ārocesuṃ. Rājā saddhiṃ deviyā gantvā vanditvā pattaṃ gahetvā paccekabuddhe pāsādaṃ āropetvā tesaṃ dānaṃ datvā bhattakiccāvasāne rājā saṅghatherassa, devī saṅghanavakassa pādamūle nipajjitvā, ‘‘ayyā paccayehi na kilamissanti, mayaṃ puññena na hāyissāma, amhākaṃ yāvajīvaṃ idha nivāsāya paṭiññaṃ dethā’’ti paṭiññaṃ kāretvā uyyāne pañca paṇṇasālāsatāni pañca caṅkamanasatānīti sabbākārena nivāsaṭṭhānaṃ sampādetvā tattha vasāpesuṃ.

    เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต รโญฺญ ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ ‘‘อหํ ปจฺจนฺตํ วูปสเมตุํ คจฺฉามิ, ตฺวํ ปเจฺจกพุเทฺธสุ มา ปมชฺชี’’ติ เทวิํ โอวทิตฺวา คโตฯ ตสฺมิํ อนาคเตเยว ปเจฺจกพุทฺธานํ อายุสงฺขารา ขีณาฯ มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ติยามรตฺติํ ฌานกีฬํ กีฬิตฺวา อรุณุคฺคมเน อาลมฺพนผลกํ อาลมฺพิตฺวา ฐิตโกว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิ, เอเตนุปาเยน เสสาปีติ สเพฺพปิ ปรินิพฺพุตาฯ ปุนทิวเส เทวี ปเจฺจกพุทฺธานํ นิสีทนฎฺฐานํ หริตูปลิตฺตํ กาเรตฺวา ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา ธูปํ ทตฺวา เตสํ อาคมนํ โอโลกยนฺตี นิสินฺนา อาคมนํ อปสฺสนฺตี ปุริสํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ, ตาต, ชานาหิ, กิํ อยฺยานํ กิญฺจิ อผาสุก’’นฺติ? โส คนฺตฺวา มหาปทุมสฺส ปณฺณสาลาย ทฺวารํ วิวริตฺวา ตตฺถ อปสฺสโนฺต จงฺกมนํ คนฺตฺวา อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ฐิตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา, ‘‘กาโล, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ปรินิพฺพุตสรีรํ กิํ กเถสฺสติ? โส ‘‘นิทฺทายติ มเญฺญ’’ติ คนฺตฺวา ปิฎฺฐิปาเท หเตฺถน ปรามสิฯ ปาทานํ สีตลตาย เจว ถทฺธตาย จ ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา ทุติยสฺส สนฺติกํ อคมาสิ, เอวํ ตติยสฺสาติ สเพฺพสํ ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา ราชกุลํ คโตฯ ‘‘กหํ, ตาต, ปเจฺจกพุทฺธา’’ติ? ปุโฎฺฐ ‘‘ปรินิพฺพุตา, เทวี’’ติ อาหฯ เทวี กนฺทนฺตี โรทนฺตี นิกฺขมิตฺวา นาคเรหิ สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา สาธุกีฬิตํ กาเรตฺวา ปเจฺจกพุทฺธานํ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ธาตุโย คเหตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปสิฯ

    Evaṃ kāle gacchante rañño paccanto kupito. ‘‘Ahaṃ paccantaṃ vūpasametuṃ gacchāmi, tvaṃ paccekabuddhesu mā pamajjī’’ti deviṃ ovaditvā gato. Tasmiṃ anāgateyeva paccekabuddhānaṃ āyusaṅkhārā khīṇā. Mahāpadumapaccekabuddho tiyāmarattiṃ jhānakīḷaṃ kīḷitvā aruṇuggamane ālambanaphalakaṃ ālambitvā ṭhitakova anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi, etenupāyena sesāpīti sabbepi parinibbutā. Punadivase devī paccekabuddhānaṃ nisīdanaṭṭhānaṃ haritūpalittaṃ kāretvā pupphāni vikiritvā dhūpaṃ datvā tesaṃ āgamanaṃ olokayantī nisinnā āgamanaṃ apassantī purisaṃ pesesi – ‘‘gaccha, tāta, jānāhi, kiṃ ayyānaṃ kiñci aphāsuka’’nti? So gantvā mahāpadumassa paṇṇasālāya dvāraṃ vivaritvā tattha apassanto caṅkamanaṃ gantvā ālambanaphalakaṃ nissāya ṭhitaṃ disvā vanditvā, ‘‘kālo, bhante’’ti āha. Parinibbutasarīraṃ kiṃ kathessati? So ‘‘niddāyati maññe’’ti gantvā piṭṭhipāde hatthena parāmasi. Pādānaṃ sītalatāya ceva thaddhatāya ca parinibbutabhāvaṃ ñatvā dutiyassa santikaṃ agamāsi, evaṃ tatiyassāti sabbesaṃ parinibbutabhāvaṃ ñatvā rājakulaṃ gato. ‘‘Kahaṃ, tāta, paccekabuddhā’’ti? Puṭṭho ‘‘parinibbutā, devī’’ti āha. Devī kandantī rodantī nikkhamitvā nāgarehi saddhiṃ tattha gantvā sādhukīḷitaṃ kāretvā paccekabuddhānaṃ sarīrakiccaṃ katvā dhātuyo gahetvā cetiyaṃ patiṭṭhāpesi.

    ราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา อาคโต ปจฺจุคฺคมนํ อาคตํ เทวิํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, ภเทฺท, ปเจฺจกพุเทฺธสุ นปฺปมชฺชิ, นิโรคา อยฺยา’’ติ? ‘‘ปรินิพฺพุตา เทวา’’ติฯ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘เอวรูปานมฺปิ ปณฺฑิตานํ มรณํ อุปฺปชฺชติ, อมฺหากํ กุโต โมโกฺข’’ติ? โส นครํ อคนฺตฺวา อุยฺยานเมว ปวิสิตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตสฺส รชฺชํ ปฎิยาเทตฺวา สยํ สมณกปพฺพชฺชํ ปพฺพชิ, เทวีปิ ‘‘อิมสฺมิํ ปพฺพชิเต อหํ กิํ กริสฺสามี’’ติ? ตเตฺถว อุยฺยาเน ปพฺพชิตาฯ เทฺวปิ ฌานํ ภาเวตฺวา ตโต จุตา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ

    Rājā paccantaṃ vūpasametvā āgato paccuggamanaṃ āgataṃ deviṃ pucchi ‘‘kiṃ, bhadde, paccekabuddhesu nappamajji, nirogā ayyā’’ti? ‘‘Parinibbutā devā’’ti. Rājā cintesi – ‘‘evarūpānampi paṇḍitānaṃ maraṇaṃ uppajjati, amhākaṃ kuto mokkho’’ti? So nagaraṃ agantvā uyyānameva pavisitvā jeṭṭhaputtaṃ pakkosāpetvā tassa rajjaṃ paṭiyādetvā sayaṃ samaṇakapabbajjaṃ pabbaji, devīpi ‘‘imasmiṃ pabbajite ahaṃ kiṃ karissāmī’’ti? Tattheva uyyāne pabbajitā. Dvepi jhānaṃ bhāvetvā tato cutā brahmaloke nibbattiṃsu.

    เตสุ ตเตฺถว วสเนฺตสุ อมฺหากํ สตฺถา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน ราชคหํ ปาวิสิฯ อยํ ปิปฺปลิมาณโว มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถพฺราหฺมณคาเม กปิลพฺราหฺมณสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺต, อยํ ภทฺทา กาปิลานี มทฺทรเฎฺฐ สาคลนคเร โกสิยโคตฺตพฺราหฺมณสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺตาฯ เตสํ โข อนุกฺกเมน วฑฺฒมานานํ ปิปฺปลิมาณวสฺส วีสติเม วเสฺส ภทฺทาย โสฬสเม วเสฺส สมฺปเตฺต มาตาปิตโร ปุตฺตํ โอโลเกตฺวา, ‘‘ตาต, ตฺวํ วยปฺปโตฺต, กุลวํโส นาม ปติฎฺฐเปตโพฺพ’’ติ อติวิย นิปฺปีฬยิํสุฯ มาณโว อาห – ‘‘มยฺหํ โสตปเถ เอวรูปํ กถํ มา กเถถฯ อหํ ยาว ตุเมฺห ธรถ, ตาว ปฎิชคฺคิสฺสามิ, ตุมฺหากํ ปจฺฉโต นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เต กติปาหํ อติกฺกมิตฺวา ปุน กถยิํสุ, โสปิ ตเถว ปฎิกฺขิปิฯ ปุน กถยิํสุ, ปุนปิ ปฎิกฺขิปิฯ ตโต ปฎฺฐาย มาตา นิรนฺตรํ กเถติเยวฯ

    Tesu tattheva vasantesu amhākaṃ satthā loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko anupubbena rājagahaṃ pāvisi. Ayaṃ pippalimāṇavo magadharaṭṭhe mahātitthabrāhmaṇagāme kapilabrāhmaṇassa aggamahesiyā kucchimhi nibbatto, ayaṃ bhaddā kāpilānī maddaraṭṭhe sāgalanagare kosiyagottabrāhmaṇassa aggamahesiyā kucchismiṃ nibbattā. Tesaṃ kho anukkamena vaḍḍhamānānaṃ pippalimāṇavassa vīsatime vasse bhaddāya soḷasame vasse sampatte mātāpitaro puttaṃ oloketvā, ‘‘tāta, tvaṃ vayappatto, kulavaṃso nāma patiṭṭhapetabbo’’ti ativiya nippīḷayiṃsu. Māṇavo āha – ‘‘mayhaṃ sotapathe evarūpaṃ kathaṃ mā kathetha. Ahaṃ yāva tumhe dharatha, tāva paṭijaggissāmi, tumhākaṃ pacchato nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti. Te katipāhaṃ atikkamitvā puna kathayiṃsu, sopi tatheva paṭikkhipi. Puna kathayiṃsu, punapi paṭikkhipi. Tato paṭṭhāya mātā nirantaraṃ kathetiyeva.

    มาณโว ‘‘มม มาตรํ สญฺญาเปสฺสามี’’ติ รตฺตสุวณฺณสฺส นิกฺขสหสฺสํ ทตฺวา สุวณฺณกาเรหิ เอกํ อิตฺถิรูปํ การาเปตฺวา ตสฺส มชฺชนฆฎฺฎนาทิกมฺมปริโยสาเน ตํ รตฺตวตฺถํ นิวาสาเปตฺวา วณฺณสมฺปเนฺนหิ ปุเปฺผหิ เจว นานาอลงฺกาเรหิ จ อลงฺการาเปตฺวา มาตรํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘อมฺม เอวรูปํ อารมฺมณํ ลภโนฺต เคเห วสามิ, อลภโนฺต น วสามี’’ติฯ ปณฺฑิตา พฺราหฺมณี จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต ปุญฺญวา ทินฺนทาโน กตาภินีหาโร, ปุญฺญํ กโรโนฺต น เอกโกว อกาสิ, อทฺธา เอเตน สห กตปุญฺญา สุวณฺณรูปกปฎิภาคา ภวิสฺสตี’’ติ อฎฺฐ พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา สพฺพกาเมหิ สนฺตเปฺปตฺวา สุวณฺณรูปกํ รถํ อาโรเปตฺวา, ‘‘คจฺฉถ, ตาตา, ยตฺถ อมฺหากํ ชาติโคตฺตโภเคหิ สมานกุเล เอวรูปํ ทาริกํ ปสฺสถ, อิมเมว สุวณฺณรูปกํ, ปณฺณาการํ กตฺวา เทถา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ

    Māṇavo ‘‘mama mātaraṃ saññāpessāmī’’ti rattasuvaṇṇassa nikkhasahassaṃ datvā suvaṇṇakārehi ekaṃ itthirūpaṃ kārāpetvā tassa majjanaghaṭṭanādikammapariyosāne taṃ rattavatthaṃ nivāsāpetvā vaṇṇasampannehi pupphehi ceva nānāalaṅkārehi ca alaṅkārāpetvā mātaraṃ pakkosāpetvā āha – ‘‘amma evarūpaṃ ārammaṇaṃ labhanto gehe vasāmi, alabhanto na vasāmī’’ti. Paṇḍitā brāhmaṇī cintesi – ‘‘mayhaṃ putto puññavā dinnadāno katābhinīhāro, puññaṃ karonto na ekakova akāsi, addhā etena saha katapuññā suvaṇṇarūpakapaṭibhāgā bhavissatī’’ti aṭṭha brāhmaṇe pakkosāpetvā sabbakāmehi santappetvā suvaṇṇarūpakaṃ rathaṃ āropetvā, ‘‘gacchatha, tātā, yattha amhākaṃ jātigottabhogehi samānakule evarūpaṃ dārikaṃ passatha, imameva suvaṇṇarūpakaṃ, paṇṇākāraṃ katvā dethā’’ti uyyojesi.

    เต ‘‘อมฺหากํ นาม เอตํ กมฺม’’นฺติ นิกฺขมิตฺวา, ‘‘กตฺถ คมิสฺสามา’’ติ? จิเนฺตตฺวา, ‘‘มทฺทรฎฺฐํ นาม อิตฺถากโร, มทฺทรฎฺฐํ คมิสฺสามา’’ติ มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครํ อคมิํสุฯ ตตฺถ ตํ สุวณฺณรูปกํ นฺหานติเตฺถ ฐเปตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อถ ภทฺทาย ธาตี ภทฺทํ นฺหาเปตฺวา อลงฺกริตฺวา สิริคเพฺภ นิสีทาเปตฺวา นฺหายิตุํ อาคจฺฉนฺตี ตํ รูปกํ ทิสฺวา, ‘‘อยฺยธีตา เม อิธาคตา’’ติ สญฺญาย ตเชฺชตฺวา ‘‘ทุพฺพินิเต, กิํ ตฺวํ อิธาคตา’’ติ? ตลสตฺติกํ อุคฺคิริตฺวา, ‘‘คจฺฉ สีฆ’’นฺติ คณฺฑปเสฺส ปหริฯ หโตฺถ ปาสาเณ ปฎิหโต วิย กมฺปิตฺถฯ สา ปฎิกฺกมิตฺวา ‘‘เอวํ ถทฺธํ นาม มหาคีวํ ทิสฺวา, ‘อยฺยธีตา เม’ติ สญฺญํ อุปฺปาเทสิํ, อยฺยธีตาย หิ เม อยํ นิวาสนปฎิคฺคาหิกาปิ อยุตฺตา’’ติ อาหฯ อถ นํ เต มนุสฺสา ปริวาเรตฺวา ‘‘เอวรูปา เต สามิธีตา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘กิํ เอสา, อิมาย สตคุเณน สหสฺสคุเณน มยฺหํ อยฺยา อภิรูปตรา, ทฺวาทสหเตฺถ คเพฺภ นิสินฺนาย ปทีปกิจฺจํ นตฺถิ, สรีโรภาเสเนว ตมํ วิธมตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ อาคจฺฉา’’ติ ตํ ขุชฺชํ คเหตฺวา สุวณฺณรูปกํ รถํ อาโรเปตฺวา โกสิยโคตฺตสฺส ฆรทฺวาเร ฐตฺวา อาคมนํ นิเวทยิํสุฯ

    Te ‘‘amhākaṃ nāma etaṃ kamma’’nti nikkhamitvā, ‘‘kattha gamissāmā’’ti? Cintetvā, ‘‘maddaraṭṭhaṃ nāma itthākaro, maddaraṭṭhaṃ gamissāmā’’ti maddaraṭṭhe sāgalanagaraṃ agamiṃsu. Tattha taṃ suvaṇṇarūpakaṃ nhānatitthe ṭhapetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Atha bhaddāya dhātī bhaddaṃ nhāpetvā alaṅkaritvā sirigabbhe nisīdāpetvā nhāyituṃ āgacchantī taṃ rūpakaṃ disvā, ‘‘ayyadhītā me idhāgatā’’ti saññāya tajjetvā ‘‘dubbinite, kiṃ tvaṃ idhāgatā’’ti? Talasattikaṃ uggiritvā, ‘‘gaccha sīgha’’nti gaṇḍapasse pahari. Hattho pāsāṇe paṭihato viya kampittha. Sā paṭikkamitvā ‘‘evaṃ thaddhaṃ nāma mahāgīvaṃ disvā, ‘ayyadhītā me’ti saññaṃ uppādesiṃ, ayyadhītāya hi me ayaṃ nivāsanapaṭiggāhikāpi ayuttā’’ti āha. Atha naṃ te manussā parivāretvā ‘‘evarūpā te sāmidhītā’’ti pucchiṃsu. ‘‘Kiṃ esā, imāya sataguṇena sahassaguṇena mayhaṃ ayyā abhirūpatarā, dvādasahatthe gabbhe nisinnāya padīpakiccaṃ natthi, sarīrobhāseneva tamaṃ vidhamatī’’ti. ‘‘Tena hi āgacchā’’ti taṃ khujjaṃ gahetvā suvaṇṇarūpakaṃ rathaṃ āropetvā kosiyagottassa gharadvāre ṭhatvā āgamanaṃ nivedayiṃsu.

    พฺราหฺมโณ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา, ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ? ปุจฺฉิฯ ‘‘มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถคาเม กปิลพฺราหฺมณสฺส ฆรโต’’ติฯ ‘‘กิํ การณา อาคตา’’ติฯ ‘‘อิมินา นาม การเณนา’’ติฯ ‘‘กลฺยาณํ, ตาตา, สมชาติโคตฺตวิภโว อมฺหากํ พฺราหฺมโณ, ทสฺสามิ ทาริก’’นฺติ ปณฺณาการํ คณฺหิฯ เต กปิลพฺราหฺมณสฺส สาสนํ ปหิณิํสุ – ‘‘ลทฺธา ทาริกา, กตฺตพฺพํ กโรถา’’ติฯ ตํ สาสนํ สุตฺวา ปิปฺปลิมาณวสฺส อาโรจยิํสุ – ‘‘ลทฺธา กิร ทาริกา’’ติฯ มาณโว ‘‘อหํ น ลภิสฺสามีติ จิเนฺตสิํ, อิเม ลทฺธาติ จ วทนฺติ, อนตฺถิโก หุตฺวา ปณฺณํ เปสิสฺสามี’’ติ รโหคโต ปณฺณํ ลิขิ, ‘‘ภทฺทา อตฺตโน ชาติโคตฺตโภคานุรูปํ ฆราวาสํ ลภตุ, อหํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามิ, มา ปจฺฉา วิปฺปฎิสารินี อโหสี’’ติฯ ภทฺทาปิ ‘‘อสุกสฺส กิร มํ ทาตุกามา’’ติ สุตฺวา รโหคตา ปณฺณํ ลิขิ, ‘‘อยฺยปุโตฺต อตฺตโน ชาติโคตฺตโภคานุรูปํ ฆราวาสํ ลภตุฯ อหํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามิ, มา ปจฺฉา วิปฺปฎิสารี อโหสี’’ติฯ เทฺวปิ ปณฺณานิ อนฺตรามเคฺค สมาคจฺฉิํสุฯ ‘‘อิทํ กสฺส ปณฺณ’’นฺติ? ปิปฺปลิมาณเวน ภทฺทาย ปหิตนฺติฯ ‘‘อิทํ กสฺส ปณฺณ’’นฺติ? ภทฺทาย ปิปฺปลิมาณวสฺส ปหิตนฺติ จ วุเตฺต เทฺวปิ วาเจตฺวา, ‘‘ปสฺสถ ทารกานํ กมฺม’’นฺติ ผาเลตฺวา อรเญฺญ ฉเฑฺฑตฺวา สมานปณฺณํ ลิขิตฺวา อิโต จ เอโตฺต จ เปเสสุํฯ อิติ เตสํ อนิจฺฉมานานํเยว สมาคโม อโหสิฯ

    Brāhmaṇo paṭisanthāraṃ katvā, ‘‘kuto āgatatthā’’ti? Pucchi. ‘‘Magadharaṭṭhe mahātitthagāme kapilabrāhmaṇassa gharato’’ti. ‘‘Kiṃ kāraṇā āgatā’’ti. ‘‘Iminā nāma kāraṇenā’’ti. ‘‘Kalyāṇaṃ, tātā, samajātigottavibhavo amhākaṃ brāhmaṇo, dassāmi dārika’’nti paṇṇākāraṃ gaṇhi. Te kapilabrāhmaṇassa sāsanaṃ pahiṇiṃsu – ‘‘laddhā dārikā, kattabbaṃ karothā’’ti. Taṃ sāsanaṃ sutvā pippalimāṇavassa ārocayiṃsu – ‘‘laddhā kira dārikā’’ti. Māṇavo ‘‘ahaṃ na labhissāmīti cintesiṃ, ime laddhāti ca vadanti, anatthiko hutvā paṇṇaṃ pesissāmī’’ti rahogato paṇṇaṃ likhi, ‘‘bhaddā attano jātigottabhogānurūpaṃ gharāvāsaṃ labhatu, ahaṃ nikkhamitvā pabbajissāmi, mā pacchā vippaṭisārinī ahosī’’ti. Bhaddāpi ‘‘asukassa kira maṃ dātukāmā’’ti sutvā rahogatā paṇṇaṃ likhi, ‘‘ayyaputto attano jātigottabhogānurūpaṃ gharāvāsaṃ labhatu. Ahaṃ nikkhamitvā pabbajissāmi, mā pacchā vippaṭisārī ahosī’’ti. Dvepi paṇṇāni antarāmagge samāgacchiṃsu. ‘‘Idaṃ kassa paṇṇa’’nti? Pippalimāṇavena bhaddāya pahitanti. ‘‘Idaṃ kassa paṇṇa’’nti? Bhaddāya pippalimāṇavassa pahitanti ca vutte dvepi vācetvā, ‘‘passatha dārakānaṃ kamma’’nti phāletvā araññe chaḍḍetvā samānapaṇṇaṃ likhitvā ito ca etto ca pesesuṃ. Iti tesaṃ anicchamānānaṃyeva samāgamo ahosi.

    ตํทิวสํเยว จ มาณโวปิ เอกํ ปุปฺผทามํ คนฺถาเปสิ, ภทฺทาปิ เอกํ คนฺถาเปสิฯ ตานิ อาสนมเชฺฌ ฐเปตฺวา ภุตฺตสายมาสา อุโภปิ ‘‘สยนํ อารุหิสฺสามา’’ติ สมาคนฺตฺวา มาณโว ทกฺขิณปเสฺสน สยนํ อารุหิฯ ภทฺทา วามปเสฺสน อารุหิตฺวา อาห – ‘‘ยสฺส ปเสฺส ปุปฺผานิ มิลายนฺติ, ตสฺส ราคจิตฺตํ อุปฺปนฺนนฺติ วิชานิสฺสาม, อิมํ ปุปฺผทามํ น อลฺลียิตพฺพ’’นฺติฯ เต ปน อญฺญมญฺญสฺส สรีรสมฺผสฺสภเยน ติยามรตฺติํ นิทฺทํ อโนกฺกมนฺตาว วีตินาเมนฺติ, ทิวา ปน หสิตมตฺตมฺปิ น โหติฯ เต โลกามิเสน อสํสฎฺฐา ยาว มาตาปิตโร ธรนฺติ, ตาว กุฎุมฺพํ อวิจาเรตฺวา เตสุ กาลงฺกเตสุ วิจารยิํสุฯ มหตี มาณวสฺส สมฺปตฺติ, เอกทิวสํ สรีรํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ฉเฑฺฑตพฺพํ สุวณฺณจุณฺณเมว มคธนาฬิยา ทฺวาทสนาฬิมตฺตํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ ยนฺตพทฺธานิ สฎฺฐิ มหาตฬากานิ, กมฺมโนฺต ทฺวาทสโยชนิโก, อนุราธปุรปฺปมาณา จุทฺทส ทาสคามา, จุทฺทส หตฺถานีกา, จุทฺทส อสฺสานีกา, จุทฺทส รถานีกาฯ

    Taṃdivasaṃyeva ca māṇavopi ekaṃ pupphadāmaṃ ganthāpesi, bhaddāpi ekaṃ ganthāpesi. Tāni āsanamajjhe ṭhapetvā bhuttasāyamāsā ubhopi ‘‘sayanaṃ āruhissāmā’’ti samāgantvā māṇavo dakkhiṇapassena sayanaṃ āruhi. Bhaddā vāmapassena āruhitvā āha – ‘‘yassa passe pupphāni milāyanti, tassa rāgacittaṃ uppannanti vijānissāma, imaṃ pupphadāmaṃ na allīyitabba’’nti. Te pana aññamaññassa sarīrasamphassabhayena tiyāmarattiṃ niddaṃ anokkamantāva vītināmenti, divā pana hasitamattampi na hoti. Te lokāmisena asaṃsaṭṭhā yāva mātāpitaro dharanti, tāva kuṭumbaṃ avicāretvā tesu kālaṅkatesu vicārayiṃsu. Mahatī māṇavassa sampatti, ekadivasaṃ sarīraṃ ubbaṭṭetvā chaḍḍetabbaṃ suvaṇṇacuṇṇameva magadhanāḷiyā dvādasanāḷimattaṃ laddhuṃ vaṭṭati. Yantabaddhāni saṭṭhi mahātaḷākāni, kammanto dvādasayojaniko, anurādhapurappamāṇā cuddasa dāsagāmā, cuddasa hatthānīkā, cuddasa assānīkā, cuddasa rathānīkā.

    โส เอกทิวสํ อลงฺกตํ อสฺสํ อารุยฺห มหาชนปริวุโต กมฺมนฺตํ คนฺตฺวา เขตฺตโกฎิยํ ฐิโต นงฺคเลหิ ภินฺนฎฺฐานโต กากาทโย สกุเณ คณฺฑุปฺปาทกาทิปาเณ อุทฺธริตฺวา ขาทเนฺต ทิสฺวา, ‘‘ตาตา, อิเม กิํ ขาทนฺตี’’ติ ปุจฺฉิ? ‘‘คณฺฑุปฺปาทเก อยฺยา’’ติฯ ‘‘เอเตหิ กตํ ปาปํ กสฺส โหตี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ, อยฺยา’’ติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ เอเตหิ กตํ ปาปํ มยฺหํ โหติ, กิํ เม กริสฺสติ สตฺตอสีติโกฎิธนํ? กิํ ทฺวาทสโยชโน กมฺมโนฺต, กิํ ยนฺตพทฺธานิ สฎฺฐิ มหาตฬากานิ, กิํ จุทฺทส คามา? สพฺพเมตํ ภทฺทาย กาปิลานิยา นิยฺยาเตตฺวา นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    So ekadivasaṃ alaṅkataṃ assaṃ āruyha mahājanaparivuto kammantaṃ gantvā khettakoṭiyaṃ ṭhito naṅgalehi bhinnaṭṭhānato kākādayo sakuṇe gaṇḍuppādakādipāṇe uddharitvā khādante disvā, ‘‘tātā, ime kiṃ khādantī’’ti pucchi? ‘‘Gaṇḍuppādake ayyā’’ti. ‘‘Etehi kataṃ pāpaṃ kassa hotī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ, ayyā’’ti. So cintesi – ‘‘sace etehi kataṃ pāpaṃ mayhaṃ hoti, kiṃ me karissati sattaasītikoṭidhanaṃ? Kiṃ dvādasayojano kammanto, kiṃ yantabaddhāni saṭṭhi mahātaḷākāni, kiṃ cuddasa gāmā? Sabbametaṃ bhaddāya kāpilāniyā niyyātetvā nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti.

    ภทฺทาปิ กาปิลานี ตสฺมิํ ขเณ อพฺภนฺตรวตฺถุมฺหิ ตโย ติลกุเมฺภ ปตฺถราเปตฺวา ธาตีหิ ปริวุตา นิสินฺนา กาเก ติลปาณเก ขาทมาเน ทิสฺวา, ‘‘อมฺมา กิํ อิเม ขาทนฺตี’’ติ? ปุจฺฉิฯ ‘‘ปาณเก อเยฺย’’ติฯ ‘‘อกุสลํ กสฺส โหตี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ อเยฺย’’ติฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ จตุหตฺถวตฺถํ นาฬิโกทนมตฺตญฺจ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, ยทิ จ ปเนตํ เอตฺตเกน ชเนน กตํ อกุสลํ มยฺหํ โหติ, ภวสหเสฺสนปิ วฎฺฎโต สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สกฺกา , อยฺยปุเตฺต อาคตมเตฺตเยว สพฺพํ ตสฺส นิยฺยาเตตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Bhaddāpi kāpilānī tasmiṃ khaṇe abbhantaravatthumhi tayo tilakumbhe pattharāpetvā dhātīhi parivutā nisinnā kāke tilapāṇake khādamāne disvā, ‘‘ammā kiṃ ime khādantī’’ti? Pucchi. ‘‘Pāṇake ayye’’ti. ‘‘Akusalaṃ kassa hotī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ ayye’’ti. Sā cintesi – ‘‘mayhaṃ catuhatthavatthaṃ nāḷikodanamattañca laddhuṃ vaṭṭati, yadi ca panetaṃ ettakena janena kataṃ akusalaṃ mayhaṃ hoti, bhavasahassenapi vaṭṭato sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkā , ayyaputte āgatamatteyeva sabbaṃ tassa niyyātetvā nikkhamma pabbajissāmī’’ti.

    มาณโว อาคนฺตฺวา นฺหตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทิ, อถสฺส จกฺกวตฺติโน อนุจฺฉวิกํ โภชนํ สชฺชยิํสุฯ เทฺวปิ ภุญฺชิตฺวา ปริชเน นิกฺขเนฺต รโหคตา ผาสุกฎฺฐาเน นิสีทิํสุฯ ตโต มาณโว ภทฺทํ อาห – ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ อิมํ ฆรํ อาคจฺฉนฺตี กิตฺตกํ ธนํ อาหรี’’ติ? ‘‘ปญฺจปณฺณาส สกฎสหสฺสานิ อยฺยา’’ติฯ ‘‘เอตํ สพฺพํ, ยา จ อิมสฺมิํ ฆเร สตฺตอสีติโกฎิโย, ยนฺตพทฺธา สฎฺฐิตฬากาทิเภทา สมฺปตฺติ อตฺถิ, สพฺพํ ตุยฺหํเยว นิยฺยาเตมี’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห ปน อยฺยา’’ติฯ ‘‘อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อยฺยา อหมฺปิ ตุมฺหากํเยว อาคมนํ โอโลกยมานา นิสินฺนา, อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เตสํ อาทิตฺตปณฺณกุฎิ วิย ตโย ภวา อุปฎฺฐหิํสุฯ เต ‘‘ปพฺพชิสฺสามา’’ติ วตฺวา อนฺตราปณโต กสายรสปีตานิ วตฺถานิ มตฺติกาปเตฺต จ อาหราเปตฺวา อญฺญมญฺญํ เกเส โอหาเรตฺวา, ‘‘เย โลเก อรหโนฺต, เต อุทฺทิสฺส อมฺหากํ ปพฺพชฺชา’’ติ ปพฺพชิตฺวา ถวิกาสุ ปเตฺต โอสาเปตฺวา อํเส ลเคฺคตฺวา ปาสาทโต โอตริํสุฯ เคเห ทาเสสุ จ กมฺมกาเรสุ จ น โกจิ สญฺชานิฯ

    Māṇavo āgantvā nhatvā pāsādaṃ āruyha mahārahe pallaṅke nisīdi, athassa cakkavattino anucchavikaṃ bhojanaṃ sajjayiṃsu. Dvepi bhuñjitvā parijane nikkhante rahogatā phāsukaṭṭhāne nisīdiṃsu. Tato māṇavo bhaddaṃ āha – ‘‘bhadde, tvaṃ imaṃ gharaṃ āgacchantī kittakaṃ dhanaṃ āharī’’ti? ‘‘Pañcapaṇṇāsa sakaṭasahassāni ayyā’’ti. ‘‘Etaṃ sabbaṃ, yā ca imasmiṃ ghare sattaasītikoṭiyo, yantabaddhā saṭṭhitaḷākādibhedā sampatti atthi, sabbaṃ tuyhaṃyeva niyyātemī’’ti. ‘‘Tumhe pana ayyā’’ti. ‘‘Ahaṃ pabbajissāmī’’ti. ‘‘Ayyā ahampi tumhākaṃyeva āgamanaṃ olokayamānā nisinnā, ahampi pabbajissāmī’’ti. Tesaṃ ādittapaṇṇakuṭi viya tayo bhavā upaṭṭhahiṃsu. Te ‘‘pabbajissāmā’’ti vatvā antarāpaṇato kasāyarasapītāni vatthāni mattikāpatte ca āharāpetvā aññamaññaṃ kese ohāretvā, ‘‘ye loke arahanto, te uddissa amhākaṃ pabbajjā’’ti pabbajitvā thavikāsu patte osāpetvā aṃse laggetvā pāsādato otariṃsu. Gehe dāsesu ca kammakāresu ca na koci sañjāni.

    อถ เน พฺราหฺมณคามโต นิกฺขมฺม ทาสคามทฺวาเรน คจฺฉเนฺต อากปฺปกุตฺตวเสน ทาสคามวาสิโน สญฺชานิํสุฯ เต รุทนฺตา ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘กิํ อเมฺห อนาเถ กโรถ อยฺยา’’ติ? อาหํสุฯ ‘‘มยํ, ภเณ ‘อาทิตฺตปณฺณสาลา วิย ตโย ภวา’ติ ปพฺพชิมฺหา, สเจ ตุเมฺหสุ เอเกกํ ภุชิสฺสํ กโรม, วสฺสสตมฺปิ นปฺปโหติ, ตุเมฺหว ตุมฺหากํ สีสํ โธวิตฺวา ภุชิสฺสา หุตฺวา ชีวถา’’ติ วตฺวา เตสํ โรทนฺตานํเยว ปกฺกมิํสุฯ เถโร ปุรโต คจฺฉโนฺต นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ภทฺทา กาปิลานี สกลชมฺพุทีปคฺฆนิกา อิตฺถี มยฺหํ ปจฺฉโต อาคจฺฉติฯ ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โกจิเทว เอวํ จิเนฺตยฺย ‘อิเม ปพฺพชิตฺวาปิ วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺติ, อนนุจฺฉวิกํ กโรนฺตี’’ติฯ ‘‘โกจิ วา ปน มนํ ปทูเสตฺวา อปายปูรโก ภเวยฺยฯ อิมํ ปหาย มยา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ

    Atha ne brāhmaṇagāmato nikkhamma dāsagāmadvārena gacchante ākappakuttavasena dāsagāmavāsino sañjāniṃsu. Te rudantā pādesu nipatitvā ‘‘kiṃ amhe anāthe karotha ayyā’’ti? Āhaṃsu. ‘‘Mayaṃ, bhaṇe ‘ādittapaṇṇasālā viya tayo bhavā’ti pabbajimhā, sace tumhesu ekekaṃ bhujissaṃ karoma, vassasatampi nappahoti, tumheva tumhākaṃ sīsaṃ dhovitvā bhujissā hutvā jīvathā’’ti vatvā tesaṃ rodantānaṃyeva pakkamiṃsu. Thero purato gacchanto nivattitvā olokento cintesi – ‘‘ayaṃ bhaddā kāpilānī sakalajambudīpagghanikā itthī mayhaṃ pacchato āgacchati. Ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yaṃ kocideva evaṃ cinteyya ‘ime pabbajitvāpi vinā bhavituṃ na sakkonti, ananucchavikaṃ karontī’’ti. ‘‘Koci vā pana manaṃ padūsetvā apāyapūrako bhaveyya. Imaṃ pahāya mayā gantuṃ vaṭṭatī’’ti cittaṃ uppādesi.

    โส ปุรโต คจฺฉโนฺต เทฺวธาปถํ ทิสฺวา ตสฺส มตฺถเก อฎฺฐาสิฯ ภทฺทาปิ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ อาห – ‘‘ภเทฺท, ตาทิสิํ อิตฺถิํ มม ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺติํ ทิสฺวา, ‘อิเม ปพฺพชิตฺวาปิ วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺตี’ติ จิเนฺตตฺวา อเมฺหสุ ปทุฎฺฐจิโตฺต มหาชโน อปายปูรโก ภเวยฺยฯ อิมสฺมิํ เทฺวธาปเถ ตฺวํ เอกํ คณฺห, อหํ เอเกน คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อาม, อยฺย, ปพฺพชิตานํ มาตุคาโม นาม มลํ, ‘ปพฺพชิตฺวาปิ วินา น ภวนฺตี’ติ อมฺหากํ โทสํ ปสฺสนฺติ, ตุเมฺห เอกํ มคฺคํ คณฺหถ, วินา ภวิสฺสามา’’ติ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห, ‘‘สตสหสฺสกปฺปปฺปมาเณ อทฺธาเน กโต มิตฺตสนฺถโว อชฺช ภิชฺชตี’’ติ วตฺวา, ‘‘ตุเมฺห ทกฺขิณชาติกา นาม, ตุมฺหากํ ทกฺขิณมโคฺค วฎฺฎติ, มยํ มาตุคามา นาม วามชาติกา, อมฺหากํ วามมโคฺค วฎฺฎตี’’ติ วนฺทิตฺวา มคฺคํ ปฎิปนฺนาฯ เตสํ เทฺวธาภูตกาเล อยํ มหาปถวี ‘‘อหํ จกฺกวาฬคิริสิเนรุปพฺพเต ธาเรตุํ สโกฺกนฺตีปิ ตุมฺหากํ คุเณ ธาเรตุํ น สโกฺกมี’’ติ วทนฺตี วิย วิรวมานา อกมฺปิ, อากาเส อสนิสโทฺท วิย ปวตฺติ, จกฺกวาฬปพฺพโต อุนฺนทิฯ

    So purato gacchanto dvedhāpathaṃ disvā tassa matthake aṭṭhāsi. Bhaddāpi āgantvā vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ āha – ‘‘bhadde, tādisiṃ itthiṃ mama pacchato āgacchantiṃ disvā, ‘ime pabbajitvāpi vinā bhavituṃ na sakkontī’ti cintetvā amhesu paduṭṭhacitto mahājano apāyapūrako bhaveyya. Imasmiṃ dvedhāpathe tvaṃ ekaṃ gaṇha, ahaṃ ekena gamissāmī’’ti. ‘‘Āma, ayya, pabbajitānaṃ mātugāmo nāma malaṃ, ‘pabbajitvāpi vinā na bhavantī’ti amhākaṃ dosaṃ passanti, tumhe ekaṃ maggaṃ gaṇhatha, vinā bhavissāmā’’ti tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu pañcapatiṭṭhitena vanditvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ paggayha, ‘‘satasahassakappappamāṇe addhāne kato mittasanthavo ajja bhijjatī’’ti vatvā, ‘‘tumhe dakkhiṇajātikā nāma, tumhākaṃ dakkhiṇamaggo vaṭṭati, mayaṃ mātugāmā nāma vāmajātikā, amhākaṃ vāmamaggo vaṭṭatī’’ti vanditvā maggaṃ paṭipannā. Tesaṃ dvedhābhūtakāle ayaṃ mahāpathavī ‘‘ahaṃ cakkavāḷagirisinerupabbate dhāretuṃ sakkontīpi tumhākaṃ guṇe dhāretuṃ na sakkomī’’ti vadantī viya viravamānā akampi, ākāse asanisaddo viya pavatti, cakkavāḷapabbato unnadi.

    สมฺมาสมฺพุโทฺธ เวฬุวนมหาวิหาเร คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺน ปถวีกมฺปนสทฺทํ สุตฺวา, ‘‘กสฺส นุ โข ปถวี กมฺปตี’’ติ? อาวเชฺชโนฺต ‘‘ปิปฺปลิมาณโว จ ภทฺทา จ กาปิลานี มํ อุทฺทิสฺส อปฺปเมยฺยํ สมฺปตฺติํ ปหาย ปพฺพชิตา, เตสํ วิโยคฎฺฐาเน อุภินฺนมฺปิ คุณพเลน อยํ ปถวีกโมฺป ชาโต, มยาปิ เอเตสํ สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม สยเมว ปตฺตจีวรํ อาทาย, อสีติมหาเถเรสุ กญฺจิ อนามเนฺตตฺวา ติคาวุตํ มคฺคํ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ราชคหสฺส จ นาฬนฺทาย จ อนฺตเร พหุปุตฺตกนิโคฺรธรุกฺขมูเล ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ นิสีทโนฺต ปน อญฺญตโร ปํสุกูลิโก วิย อนิสีทิตฺวา พุทฺธเวสํ คเหตฺวา อสีติหตฺถา ฆนพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชโนฺต นิสีทิฯ อิติ ตสฺมิํ ขเณ ปณฺณฉตฺตสกฎจกฺกกูฎาคาราทิปฺปมาณา พุทฺธรสฺมิโย อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทนฺติโย วิธาวนฺติโย จนฺทิมสหสฺสสูริยสหสฺสอุคฺคมนกาโล วิย กุรุมานา ตํ วนนฺตรํ เอโกภาสํ อกํสุฯ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณานํ สิริยา สมุชฺชลิตตาราคณํ วิย คคนํ, สุปุปฺผิตกมลกุวลยํ วิย สลิลํ, วนนฺตรํ วิโรจิตฺถฯ นิโคฺรธรุกฺขสฺส นาม ขโนฺธ เสโต โหติ, ปตฺตานิ นีลานิ ปกฺกานิ รตฺตานิฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส สตสาโข นิโคฺรธรุโกฺข สุวณฺณวโณฺณ อโหสิฯ

    Sammāsambuddho veḷuvanamahāvihāre gandhakuṭiyaṃ nisinno pathavīkampanasaddaṃ sutvā, ‘‘kassa nu kho pathavī kampatī’’ti? Āvajjento ‘‘pippalimāṇavo ca bhaddā ca kāpilānī maṃ uddissa appameyyaṃ sampattiṃ pahāya pabbajitā, tesaṃ viyogaṭṭhāne ubhinnampi guṇabalena ayaṃ pathavīkampo jāto, mayāpi etesaṃ saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti gandhakuṭito nikkhamma sayameva pattacīvaraṃ ādāya, asītimahātheresu kañci anāmantetvā tigāvutaṃ maggaṃ paccuggamanaṃ katvā rājagahassa ca nāḷandāya ca antare bahuputtakanigrodharukkhamūle pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi. Nisīdanto pana aññataro paṃsukūliko viya anisīditvā buddhavesaṃ gahetvā asītihatthā ghanabuddharasmiyo vissajjento nisīdi. Iti tasmiṃ khaṇe paṇṇachattasakaṭacakkakūṭāgārādippamāṇā buddharasmiyo ito cito ca vipphandantiyo vidhāvantiyo candimasahassasūriyasahassauggamanakālo viya kurumānā taṃ vanantaraṃ ekobhāsaṃ akaṃsu. Dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇānaṃ siriyā samujjalitatārāgaṇaṃ viya gaganaṃ, supupphitakamalakuvalayaṃ viya salilaṃ, vanantaraṃ virocittha. Nigrodharukkhassa nāma khandho seto hoti, pattāni nīlāni pakkāni rattāni. Tasmiṃ pana divase satasākho nigrodharukkho suvaṇṇavaṇṇo ahosi.

    อิติ ยา สา อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺนติ ปทสฺส อตฺถํ วตฺวา, ‘‘อิทานิ ยถา เอส ปพฺพชิโต, ยถา จ อทฺธานมคฺคํ ปฎิปโนฺนฯ อิมสฺส อตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ อภินีหารโต ปฎฺฐาย อยํ อนุปุพฺพิกถา กเถตพฺพา’’ติ วุตฺตา, สา เอวํ เวทิตพฺพาฯ

    Iti yā sā addhānamaggappaṭipannoti padassa atthaṃ vatvā, ‘‘idāni yathā esa pabbajito, yathā ca addhānamaggaṃ paṭipanno. Imassa atthassa āvibhāvatthaṃ abhinīhārato paṭṭhāya ayaṃ anupubbikathā kathetabbā’’ti vuttā, sā evaṃ veditabbā.

    อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทนฺติ ราชคหสฺส จ นาฬนฺทาย จ อนฺตเรฯ สตฺถารญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยนฺติ สเจ อหํ สตฺถารํ ปเสฺสยฺยํ, อิมํเยว ภควนฺตํ ปเสฺสยฺยํฯ น หิ เม อิโต อเญฺญน สตฺถารา ภวิตุํ สกฺกาติฯ สุคตญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยนฺติ สเจ อหํ สมฺมาปฎิปตฺติยา สุฎฺฐุ คตตฺตา สุคตํ นาม ปเสฺสยฺยํ, อิมํเยว ภควนฺตํ ปเสฺสยฺยํฯ น หิ เม อิโต อเญฺญน สุคเตน ภวิตุํ สกฺกาติฯ สมฺมาสมฺพุทฺธญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยนฺติ สเจ อหํ สมฺมา สามญฺจ สจฺจานิ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุทฺธํ นาม ปเสฺสยฺยํ, อิมํเยว ภควนฺตํ ปเสฺสยฺยํฯ น หิ เม อิโต อเญฺญน สมฺมาสมฺพุเทฺธน ภวิตุํ สกฺกาติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ เอวํ ทสฺสเนเนว ‘‘ภควติ ‘อยํ สตฺถา, อยํ สุคโต, อยํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’ติ นิกฺกโงฺข อหํ, อาวุโส, อโหสิ’’นฺติ ทีเปติฯ สตฺถา เม, ภเนฺตติ อิทํ กิญฺจาปิ เทฺว วาเร อาคตํ, ติกฺขตฺตุํ ปน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิมินา หิ โส ‘‘เอวํ ติกฺขตฺตุํ สาวกตฺตํ สาเวสิํ, อาวุโส’’ติ ทีเปติฯ

    Antarā ca rājagahaṃ antarā ca nāḷandanti rājagahassa ca nāḷandāya ca antare. Satthārañca vatāhaṃ passeyyaṃ bhagavantameva passeyyanti sace ahaṃ satthāraṃ passeyyaṃ, imaṃyeva bhagavantaṃ passeyyaṃ. Na hi me ito aññena satthārā bhavituṃ sakkāti. Sugatañca vatāhaṃ passeyyaṃ bhagavantameva passeyyanti sace ahaṃ sammāpaṭipattiyā suṭṭhu gatattā sugataṃ nāma passeyyaṃ, imaṃyeva bhagavantaṃ passeyyaṃ. Na hi me ito aññena sugatena bhavituṃ sakkāti. Sammāsambuddhañca vatāhaṃ passeyyaṃ bhagavantameva passeyyanti sace ahaṃ sammā sāmañca saccāni buddhattā sammāsambuddhaṃ nāma passeyyaṃ, imaṃyeva bhagavantaṃ passeyyaṃ. Na hi me ito aññena sammāsambuddhena bhavituṃ sakkāti ayamettha adhippāyo. Evaṃ dassaneneva ‘‘bhagavati ‘ayaṃ satthā, ayaṃ sugato, ayaṃ sammāsambuddho’ti nikkaṅkho ahaṃ, āvuso, ahosi’’nti dīpeti. Satthā me, bhanteti idaṃ kiñcāpi dve vāre āgataṃ, tikkhattuṃ pana vuttanti veditabbaṃ. Iminā hi so ‘‘evaṃ tikkhattuṃ sāvakattaṃ sāvesiṃ, āvuso’’ti dīpeti.

    อชานเญฺญวาติ อชานมาโนวฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ มุทฺธาปิ ตสฺส วิปเตยฺยาติ ยสฺส อญฺญสฺส ‘‘อชานํเยว ชานามี’’ติ ปฎิญฺญสฺส พาหิรกสฺส สตฺถุโน เอวํ สพฺพเจตสา สมนฺนาคโต ปสนฺนจิโตฺต สาวโก เอวรูปํ ปรมนิปจฺจการํ กเรยฺย, ตสฺส วณฺฎฉินฺนตาลปกฺกํ วิย คีวโต มุทฺธาปิ วิปเตยฺย, สตฺตธา ปน ผเลยฺยาติ อโตฺถฯ กิํ วา เอเตน, สเจ มหากสฺสปเตฺถโร อิมินา จิตฺตปฺปสาเทน อิมํ ปรมนิปจฺจการํ มหาสมุทฺทสฺส กเรยฺย, ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตอุทกพินฺทุ วิย วิลยํ คเจฺฉยฺยฯ สเจ จกฺกวาฬสฺส กเรยฺย, ถุสมุฎฺฐิ วิย วิกิเรยฺยฯ สเจ สิเนรุปพฺพตสฺส กเรยฺย, กากตุเณฺฑน ปหฎปิฎฺฐมุฎฺฐิ วิย วิทฺธํเสยฺย ฯ สเจ มหาปถวิยา กเรยฺย, วาตาหตภสฺมปุโญฺช วิย วิกิเรยฺยฯ เอวรูโปปิ ปน เถรสฺส นิปจฺจากาโร สตฺถุ สุวณฺณวเณฺณ ปาทปิเฎฺฐ โลมมตฺตมฺปิ วิโกเปตุํ นาสกฺขิฯ ติฎฺฐตุ จ มหากสฺสโป, มหากสฺสปสทิสานํ ภิกฺขูนํ สหสฺสมฺปิ สตสหสฺสมฺปิ นิปจฺจาการทสฺสเนน เนว ทสพลสฺส ปาทปิเฎฺฐ โลมมตฺตมฺปิ วิโกเปตุํ ปํสุกูลจีวเร วา อํสุมตฺตมฺปิ จาเลตุํ สโกฺกติฯ เอวํ มหานุภาโว หิ สตฺถาฯ

    Ajānaññevāti ajānamānova. Dutiyapadepi eseva nayo. Muddhāpi tassa vipateyyāti yassa aññassa ‘‘ajānaṃyeva jānāmī’’ti paṭiññassa bāhirakassa satthuno evaṃ sabbacetasā samannāgato pasannacitto sāvako evarūpaṃ paramanipaccakāraṃ kareyya, tassa vaṇṭachinnatālapakkaṃ viya gīvato muddhāpi vipateyya, sattadhā pana phaleyyāti attho. Kiṃ vā etena, sace mahākassapatthero iminā cittappasādena imaṃ paramanipaccakāraṃ mahāsamuddassa kareyya, tattakapāle pakkhittaudakabindu viya vilayaṃ gaccheyya. Sace cakkavāḷassa kareyya, thusamuṭṭhi viya vikireyya. Sace sinerupabbatassa kareyya, kākatuṇḍena pahaṭapiṭṭhamuṭṭhi viya viddhaṃseyya . Sace mahāpathaviyā kareyya, vātāhatabhasmapuñjo viya vikireyya. Evarūpopi pana therassa nipaccākāro satthu suvaṇṇavaṇṇe pādapiṭṭhe lomamattampi vikopetuṃ nāsakkhi. Tiṭṭhatu ca mahākassapo, mahākassapasadisānaṃ bhikkhūnaṃ sahassampi satasahassampi nipaccākāradassanena neva dasabalassa pādapiṭṭhe lomamattampi vikopetuṃ paṃsukūlacīvare vā aṃsumattampi cāletuṃ sakkoti. Evaṃ mahānubhāvo hi satthā.

    ตสฺมาติห เต กสฺสปาติ ยสฺมา อหํ ชานโนฺต เอว ‘‘ชานามี’’ติ, ปสฺสโนฺต เอว จ ‘‘ปสฺสามี’’ติ วทามิ, ตสฺมา, กสฺสป, ตยา เอวํ สิกฺขิตพฺพํฯ ติพฺพนฺติ พหลํ มหนฺตํฯ หิโรตฺตปฺปนฺติ หิรี จ โอตฺตปฺปญฺจฯ ปจฺจุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสตีติ ปฐมตรเมว อุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสติฯ โย หิ เถราทีสุ หิโรตฺตปฺปํ อุปฎฺฐเปตฺวา อุปสงฺกมติ เถราทโยปิ ตํ สหิริกา สโอตฺตปฺปา จ หุตฺวา อุปสงฺกมนฺตีติ อยเมตฺถ อานิสํโสฯ กุสลูปสํหิตนฺติ กุสลสนฺนิสฺสิตํฯ อฎฺฐิํ กตฺวาติ อตฺตานํ เตน ธเมฺมน อฎฺฐิกํ กตฺวา, ตํ วา ธมฺมํ ‘‘เอส มยฺหํ อโตฺถ’’ติ อฎฺฐิํ กตฺวาฯ มนสิ กตฺวาติ จิเตฺต ฐเปตฺวาฯ สพฺพเจตสา สมนฺนาหริตฺวาติ จิตฺตสฺส โถกมฺปิ พหิ คนฺตุํ อเทโนฺต สเพฺพน สมนฺนาหารจิเตฺตน สมนฺนาหริตฺวาฯ โอหิตโสโตติ ฐปิตโสโต, ญาณโสตญฺจ ปสาทโสตญฺจ โอทหิตฺวา มยา เทสิตํ ธมฺมํ สกฺกจฺจเมว สุณิสฺสามีติ เอวญฺหิ เต สิกฺขิตพฺพํฯ สาตสหคตา จ เม กายคตาสตีติ อสุเภสุ เจว อานาปาเน จ ปฐมชฺฌานวเสน สุขสมฺปยุตฺตา กายคตาสติฯ โย จ ปนายํ ติวิโธ โอวาโท, เถรสฺส อยเมว ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ อโหสิฯ

    Tasmātiha te kassapāti yasmā ahaṃ jānanto eva ‘‘jānāmī’’ti, passanto eva ca ‘‘passāmī’’ti vadāmi, tasmā, kassapa, tayā evaṃ sikkhitabbaṃ. Tibbanti bahalaṃ mahantaṃ. Hirottappanti hirī ca ottappañca. Paccupaṭṭhitaṃ bhavissatīti paṭhamatarameva upaṭṭhitaṃ bhavissati. Yo hi therādīsu hirottappaṃ upaṭṭhapetvā upasaṅkamati therādayopi taṃ sahirikā saottappā ca hutvā upasaṅkamantīti ayamettha ānisaṃso. Kusalūpasaṃhitanti kusalasannissitaṃ. Aṭṭhiṃ katvāti attānaṃ tena dhammena aṭṭhikaṃ katvā, taṃ vā dhammaṃ ‘‘esa mayhaṃ attho’’ti aṭṭhiṃ katvā. Manasi katvāti citte ṭhapetvā. Sabbacetasā samannāharitvāti cittassa thokampi bahi gantuṃ adento sabbena samannāhāracittena samannāharitvā. Ohitasototi ṭhapitasoto, ñāṇasotañca pasādasotañca odahitvā mayā desitaṃ dhammaṃ sakkaccameva suṇissāmīti evañhi te sikkhitabbaṃ. Sātasahagatā ca me kāyagatāsatīti asubhesu ceva ānāpāne ca paṭhamajjhānavasena sukhasampayuttā kāyagatāsati. Yo ca panāyaṃ tividho ovādo, therassa ayameva pabbajjā ca upasampadā ca ahosi.

    สรโณติ สกิเลโส สอิโณ หุตฺวาฯ รฎฺฐปิณฺฑํ ภุญฺชินฺติ สทฺธาเทยฺยํ ภุญฺชิํฯ จตฺตาโร หิ ปริโภคา เถยฺยปริโภโค อิณปริโภโค ทายชฺชปริโภโค สามิปริโภโคติฯ ตตฺถ ทุสฺสีลสฺส สงฺฆมเชฺฌ นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺตสฺสาปิ ปริโภโค เถยฺยปริโภโค นามฯ กสฺมา? จตูสุ ปจฺจเยสุ อนิสฺสรตายฯ สีลวโต อปจฺจเวกฺขิตปริโภโค อิณปริโภโค นามฯ สตฺตนฺนํ เสขานํ ปริโภโค ทายชฺชปริโภโค นามฯ ขีณาสวสฺส ปริโภโค สามิปริโภโค นามฯ อิติ ขีณาสโวว สามี หุตฺวา อนโณ ปริภุญฺชติฯ เถโร อตฺตนา ปุถุชฺชเนน หุตฺวา ปริภุตฺตปริโภคํ อิณปริโภคํเยว กโรโนฺต เอวมาหฯ อฎฺฐมิยา อญฺญา อุทปาทีติ อฎฺฐเม ทิวเส อรหตฺตผลํ อุปฺปชฺชิฯ

    Saraṇoti sakileso saiṇo hutvā. Raṭṭhapiṇḍaṃ bhuñjinti saddhādeyyaṃ bhuñjiṃ. Cattāro hi paribhogā theyyaparibhogo iṇaparibhogo dāyajjaparibhogo sāmiparibhogoti. Tattha dussīlassa saṅghamajjhe nisīditvā bhuñjantassāpi paribhogo theyyaparibhogo nāma. Kasmā? Catūsu paccayesu anissaratāya. Sīlavato apaccavekkhitaparibhogo iṇaparibhogo nāma. Sattannaṃ sekhānaṃ paribhogo dāyajjaparibhogo nāma. Khīṇāsavassa paribhogo sāmiparibhogo nāma. Iti khīṇāsavova sāmī hutvā anaṇo paribhuñjati. Thero attanā puthujjanena hutvā paribhuttaparibhogaṃ iṇaparibhogaṃyeva karonto evamāha. Aṭṭhamiyā aññā udapādīti aṭṭhame divase arahattaphalaṃ uppajji.

    อถ โข, อาวุโส, ภควา มคฺคา โอกฺกมฺมาติ มคฺคโต โอกฺกมนํ ปฐมตรํ ตํทิวเสเยว อโหสิ, อรหตฺตาธิคโม ปจฺฉาฯ เทสนาวารสฺส ปน เอวํ อาคตตฺตา อรหตฺตาธิคโม ปฐมํ ทีปิโตฯ กสฺมา ปน ภควา มคฺคา โอกฺกโนฺตติ? เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘อิมํ ภิกฺขุํ ชาติอารญฺญิกํ ชาติปํสุกูลิกํ ชาติเอกาสนิกํ กริสฺสามี’’ติฯ ตสฺมา โอกฺกมิฯ

    Atha kho, āvuso, bhagavā maggā okkammāti maggato okkamanaṃ paṭhamataraṃ taṃdivaseyeva ahosi, arahattādhigamo pacchā. Desanāvārassa pana evaṃ āgatattā arahattādhigamo paṭhamaṃ dīpito. Kasmā pana bhagavā maggā okkantoti? Evaṃ kirassa ahosi ‘‘imaṃ bhikkhuṃ jātiāraññikaṃ jātipaṃsukūlikaṃ jātiekāsanikaṃ karissāmī’’ti. Tasmā okkami.

    มุทุกา โข ตฺยายนฺติ มุทุกา โข เต อยํฯ อิมญฺจ ปน วาจํ ภควา ตํ จีวรํ ปทุมปุปฺผวเณฺณน ปาณินา อนฺตเนฺตน ปรามสโนฺต อาหฯ กสฺมา เอวมาหาติ? เถเรน สห จีวรํ ปริวเตฺตตุกามตายฯ กสฺมา ปริวเตฺตตุกาโม ชาโตติ? เถรํ อตฺตโน ฐาเน ฐเปตุกามตายฯ เถโร ปน ยสฺมา จีวรสฺส วา ปตฺตสฺส วา วเณฺณ กถิเต ‘‘อิมํ ตุมฺหากํ คณฺหถา’’ติวจนํ จาริตฺตเมว, ตสฺมา ‘‘ปฎิคฺคณฺหาตุ เม, ภเนฺต, ภควา’’ติ อาหฯ ธาเรสฺสสิ ปน เม ตฺวํ, กสฺสป, สาณานิ ปํสุกูลานิ นิพฺพสนานีติ, กสฺสป, ตฺวํ อิมานิ ปริโภคชิณฺณานิ ปํสุกูลานิ ปารุปิตุํ สกฺขิสฺสสีติ วทติฯ ตญฺจ โข น กายพลํ สนฺธาย, ปฎิปตฺติปูรณํ ปน สนฺธาย เอวมาหฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – อหํ อิมํ จีวรํ ปุณฺณํ นาม ทาสิํ ปารุปิตฺวา อามกสุสาเน ฉฑฺฑิตํ ตํ สุสานํ ปวิสิตฺวา ตุมฺพมเตฺตหิ ปาณเกหิ สมฺปริกิณฺณํ เต ปาณเก วิธุนิตฺวา มหาอริยวํเส ฐตฺวา อคฺคเหสิํ, ตสฺส เม อิมํ จีวรํ คหิตทิวเส ทสสหสฺสจกฺกวาเฬ มหาปถวี มหาวิรวํ วิรวมานา กมฺปิตฺถ, อากาโส ตฎตฎายิ, จกฺกวาฬเทวตา สาธุการมทํสุ, ‘‘อิมํ จีวรํ คณฺหเนฺตน ภิกฺขุนา ชาติปํสุกูลิเกน ชาติอารญฺญิเกน ชาติเอกาสนิเกน ชาติสปทานจาริเกน ภวิตุํ วฎฺฎติ, ตฺวํ อิมสฺส จีวรสฺส อนุจฺฉวิกํ กาตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติฯ เถโรปิ อตฺตนา ปญฺจนฺนํ หตฺถีนํ พลํ ธาเรติ, โส ตํ อตกฺกยิตฺวา ‘‘อหเมตํ ปฎิปตฺติํ ปูเรสฺสามี’’ติ อุสฺสาเหน สุคตจีวรสฺส อนุจฺฉวิกํ กาตุกาโม ‘‘ธาเรสฺสามหํ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ปฎิปชฺชินฺติ ปฎิปโนฺนสฺมิฯ เอวํ ปน จีวรปริวตฺตนํ กตฺวา จ เถเรน ปารุตจีวรํ ภควา ปารุปิ, สตฺถุ จีวรํ เถโรฯ ตสฺมิํ สมเย มหาปถวี อุทกปริยนฺตํ กตฺวา อุนฺนทนฺตี กมฺปิตฺถฯ

    Mudukā kho tyāyanti mudukā kho te ayaṃ. Imañca pana vācaṃ bhagavā taṃ cīvaraṃ padumapupphavaṇṇena pāṇinā antantena parāmasanto āha. Kasmā evamāhāti? Therena saha cīvaraṃ parivattetukāmatāya. Kasmā parivattetukāmo jātoti? Theraṃ attano ṭhāne ṭhapetukāmatāya. Thero pana yasmā cīvarassa vā pattassa vā vaṇṇe kathite ‘‘imaṃ tumhākaṃ gaṇhathā’’tivacanaṃ cārittameva, tasmā ‘‘paṭiggaṇhātu me, bhante, bhagavā’’ti āha. Dhāressasi pana me tvaṃ, kassapa, sāṇāni paṃsukūlāni nibbasanānīti, kassapa, tvaṃ imāni paribhogajiṇṇāni paṃsukūlāni pārupituṃ sakkhissasīti vadati. Tañca kho na kāyabalaṃ sandhāya, paṭipattipūraṇaṃ pana sandhāya evamāha. Ayañhettha adhippāyo – ahaṃ imaṃ cīvaraṃ puṇṇaṃ nāma dāsiṃ pārupitvā āmakasusāne chaḍḍitaṃ taṃ susānaṃ pavisitvā tumbamattehi pāṇakehi samparikiṇṇaṃ te pāṇake vidhunitvā mahāariyavaṃse ṭhatvā aggahesiṃ, tassa me imaṃ cīvaraṃ gahitadivase dasasahassacakkavāḷe mahāpathavī mahāviravaṃ viravamānā kampittha, ākāso taṭataṭāyi, cakkavāḷadevatā sādhukāramadaṃsu, ‘‘imaṃ cīvaraṃ gaṇhantena bhikkhunā jātipaṃsukūlikena jātiāraññikena jātiekāsanikena jātisapadānacārikena bhavituṃ vaṭṭati, tvaṃ imassa cīvarassa anucchavikaṃ kātuṃ sakkhissasī’’ti. Theropi attanā pañcannaṃ hatthīnaṃ balaṃ dhāreti, so taṃ atakkayitvā ‘‘ahametaṃ paṭipattiṃ pūressāmī’’ti ussāhena sugatacīvarassa anucchavikaṃ kātukāmo ‘‘dhāressāmahaṃ, bhante’’ti āha. Paṭipajjinti paṭipannosmi. Evaṃ pana cīvaraparivattanaṃ katvā ca therena pārutacīvaraṃ bhagavā pārupi, satthu cīvaraṃ thero. Tasmiṃ samaye mahāpathavī udakapariyantaṃ katvā unnadantī kampittha.

    ภควโต ปุโตฺตติอาทีสุ เถโร ภควนฺตํ นิสฺสาย อริยาย ชาติยา ชาโตติ ภควโต ปุโตฺตฯ อุเรน วสิตฺวา มุขโต นิกฺขนฺตโอวาทวเสน ปพฺพชฺชาย เจว อุปสมฺปทาย จ ปติฎฺฐิตตฺตา โอรโส มุขโต ชาโตฯ โอวาทธมฺมโต ชาตตฺตา โอวาทธเมฺมน จ นิมฺมิตตฺตา ธมฺมโช ธมฺมนิมฺมิโตฯ โอวาทธมฺมทายาทํ นวโลกุตฺตรธมฺมทายาทเมว วา อรหตีติ ธมฺมทายาโท ฯ ปฎิคฺคหิตานิ สาณานิ ปํสุกูลานีติ สตฺถารา ปารุตํ ปํสุกูลจีวรํ ปารุปนตฺถาย ปฎิคฺคหิตํฯ

    Bhagavato puttotiādīsu thero bhagavantaṃ nissāya ariyāya jātiyā jātoti bhagavato putto. Urena vasitvā mukhato nikkhantaovādavasena pabbajjāya ceva upasampadāya ca patiṭṭhitattā oraso mukhato jāto. Ovādadhammato jātattā ovādadhammena ca nimmitattā dhammajo dhammanimmito. Ovādadhammadāyādaṃ navalokuttaradhammadāyādameva vā arahatīti dhammadāyādo. Paṭiggahitāni sāṇāni paṃsukūlānīti satthārā pārutaṃ paṃsukūlacīvaraṃ pārupanatthāya paṭiggahitaṃ.

    สมฺมา วทมาโน วเทยฺยาติ ยํ ปุคฺคลํ ‘‘ภควโต ปุโตฺต’’ติอาทีหิ คุเณหิ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย, มมํ ตํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย, อหํ เอวรูโปติฯ เอตฺตาวตา เถเรน ปพฺพชฺชา จ ปริโสธิตา โหติฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – อาวุโส, ยสฺส น อุปชฺฌาโย ปญฺญายติ, น อาจริโย, กิํ โส อนุปชฺฌาโย อนาจริโย นฺหาปิตมุณฺฑโก สยํคหิตกาสาโว ‘‘ติตฺถิยปกฺกนฺตโก’’ติ สงฺขํ คโต เอวํ ติคาวุตํ มคฺคํ ปจฺจุคฺคมนํ ลภติ, ตีหิ โอวาเทหิ ปพฺพชฺชํ วา อุปสมฺปทํ วา ลภติ, กาเยน กายํ จีวรปริวตฺตนํ ลภติ? ปสฺส ยาว ทุพฺภาสิตํ วจนํ ถุลฺลนนฺทาย ภิกฺขุนิยาติฯ เอวํ ปพฺพชฺชํ โสเธตฺวา อิทานิ ฉหิ อภิญฺญาหิ สีหนาทํ นทิตุํ อหํ โข, อาวุโสติอาทิมาหฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอกาทสมํฯ

    Sammā vadamāno vadeyyāti yaṃ puggalaṃ ‘‘bhagavato putto’’tiādīhi guṇehi sammā vadamāno vadeyya, mamaṃ taṃ sammā vadamāno vadeyya, ahaṃ evarūpoti. Ettāvatā therena pabbajjā ca parisodhitā hoti. Ayañhettha adhippāyo – āvuso, yassa na upajjhāyo paññāyati, na ācariyo, kiṃ so anupajjhāyo anācariyo nhāpitamuṇḍako sayaṃgahitakāsāvo ‘‘titthiyapakkantako’’ti saṅkhaṃ gato evaṃ tigāvutaṃ maggaṃ paccuggamanaṃ labhati, tīhi ovādehi pabbajjaṃ vā upasampadaṃ vā labhati, kāyena kāyaṃ cīvaraparivattanaṃ labhati? Passa yāva dubbhāsitaṃ vacanaṃ thullanandāya bhikkhuniyāti. Evaṃ pabbajjaṃ sodhetvā idāni chahi abhiññāhi sīhanādaṃ nadituṃ ahaṃ kho, āvusotiādimāha. Sesaṃ purimanayeneva veditabbaṃ. Ekādasamaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑๑. จีวรสุตฺตํ • 11. Cīvarasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๑. จีวรสุตฺตวณฺณนา • 11. Cīvarasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact