Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā

    ๓๑. โจทนาทิวินิจฺฉยกถา

    31. Codanādivinicchayakathā

    ๒๓๐. โจทนาทิวินิจฺฉโยติ เอตฺถ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๘๕-๖) ปน โจเทตุํ โก ลภติ, โก น ลภติ? ทุพฺพลโจทกวจนํ ตาว คเหตฺวา โกจิ น ลภติฯ ทุพฺพลโจทโก นาม สมฺพหุเลสุ กถาสลฺลาเปน นิสิเนฺนสุ เอโก เอกํ อารพฺภ อโนทิสฺสกํ กตฺวา ปาราชิกวตฺถุํ กเถติ, อโญฺญ ตํ สุตฺวา อิตรสฺส คนฺตฺวา อาโรเจติ, โส ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตฺวํ กิร มํ อิทญฺจิทญฺจ วทสี’’ติ ภณติ, โส ‘‘นาหํ เอวรูปํ ชานามิ, กถาปวตฺติยํ ปน มยา อโนทิสฺสกํ กตฺวา วุตฺตมตฺถิฯ สเจ อหํ ตว อิมํ ทุกฺขุปฺปตฺติํ ชาเนยฺยํ, เอตฺตกมฺปิ น กเถยฺย’’นฺติฯ อยํ ทุพฺพลโจทโกฯ ตเสฺสตํ กถาสลฺลาปํ คเหตฺวา ตํ ภิกฺขุํ โกจิ โจเทตุํ น ลภติ, เอตํ ปน อคฺคเหตฺวา สีลสมฺปโนฺน ภิกฺขุ ภิกฺขุํ วา ภิกฺขุนิํ วา, สีลสมฺปนฺนา จ ภิกฺขุนี ภิกฺขุนีเมว โจเทตุํ ลภตีติ มหาปทุมเตฺถโร อาหฯ มหาสุมเตฺถโร ปน ‘‘ปญฺจปิ สหธมฺมิกา ลภนฺตี’’ติ อาหฯ โคทตฺตเตฺถโร ‘‘น โกจิ น ลภตี’’ติ วตฺวา ‘‘ภิกฺขุสฺส สุตฺวา โจเทติ, ภิกฺขุนิยา สุตฺวา…เป.… ติตฺถิยสาวกานํ สุตฺวา โจเทตี’’ติ อิทํ สุตฺตํ อาหริฯ ติณฺณมฺปิ เถรานํ วาเท จุทิตกเสฺสว ปฎิญฺญาย กาเรตโพฺพฯ

    230.Codanādivinicchayoti ettha (pārā. aṭṭha. 2.385-6) pana codetuṃ ko labhati, ko na labhati? Dubbalacodakavacanaṃ tāva gahetvā koci na labhati. Dubbalacodako nāma sambahulesu kathāsallāpena nisinnesu eko ekaṃ ārabbha anodissakaṃ katvā pārājikavatthuṃ katheti, añño taṃ sutvā itarassa gantvā āroceti, so taṃ upasaṅkamitvā ‘‘tvaṃ kira maṃ idañcidañca vadasī’’ti bhaṇati, so ‘‘nāhaṃ evarūpaṃ jānāmi, kathāpavattiyaṃ pana mayā anodissakaṃ katvā vuttamatthi. Sace ahaṃ tava imaṃ dukkhuppattiṃ jāneyyaṃ, ettakampi na katheyya’’nti. Ayaṃ dubbalacodako. Tassetaṃ kathāsallāpaṃ gahetvā taṃ bhikkhuṃ koci codetuṃ na labhati, etaṃ pana aggahetvā sīlasampanno bhikkhu bhikkhuṃ vā bhikkhuniṃ vā, sīlasampannā ca bhikkhunī bhikkhunīmeva codetuṃ labhatīti mahāpadumatthero āha. Mahāsumatthero pana ‘‘pañcapi sahadhammikā labhantī’’ti āha. Godattatthero ‘‘na koci na labhatī’’ti vatvā ‘‘bhikkhussa sutvā codeti, bhikkhuniyā sutvā…pe… titthiyasāvakānaṃ sutvā codetī’’ti idaṃ suttaṃ āhari. Tiṇṇampi therānaṃ vāde cuditakasseva paṭiññāya kāretabbo.

    อยํ ปน โจทนา นาม ทิฎฺฐโจทนา สุตโจทนา ปริสงฺกิตโจทนาติ ติวิธา โหติฯ อปราปิ จตุพฺพิธา โหติ สีลวิปตฺติโจทนา อาจารวิปตฺติโจทนา ทิฎฺฐิวิปตฺติโจทนา อาชีววิปตฺติโจทนาติฯ ตตฺถ ครุกานํ ทฺวินฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานํ วเสน สีลวิปตฺติโจทนา เวทิตพฺพา , อวเสสานํ วเสน อาจารวิปตฺติโจทนา, มิจฺฉาทิฎฺฐิอนฺตคฺคาหิกทิฎฺฐิวเสน ทิฎฺฐิวิปตฺติโจทนา, อาชีวเหตุ ปญฺญตฺตานํ ฉนฺนํ สิกฺขาปทานํ วเสน อาชีววิปตฺติโจทนา เวทิตพฺพาฯ

    Ayaṃ pana codanā nāma diṭṭhacodanā sutacodanā parisaṅkitacodanāti tividhā hoti. Aparāpi catubbidhā hoti sīlavipatticodanā ācāravipatticodanā diṭṭhivipatticodanā ājīvavipatticodanāti. Tattha garukānaṃ dvinnaṃ āpattikkhandhānaṃ vasena sīlavipatticodanā veditabbā , avasesānaṃ vasena ācāravipatticodanā, micchādiṭṭhiantaggāhikadiṭṭhivasena diṭṭhivipatticodanā, ājīvahetu paññattānaṃ channaṃ sikkhāpadānaṃ vasena ājīvavipatticodanā veditabbā.

    อปราปิ จตุพฺพิธา โหติ วตฺถุสนฺทสฺสนา อาปตฺติสนฺทสฺสนา สํวาสปฎิเกฺขโป สามีจิปฎิเกฺขโปติฯ ตตฺถ วตฺถุสนฺทสฺสนา นาม ‘‘ตฺวํ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิ, อทินฺนํ อาทิยิ, มนุสฺสํ ฆาตยิตฺถ, อภูตํ อาโรจยิตฺถา’’ติ เอวํ ปวตฺตาฯ อาปตฺติสนฺทสฺสนา นาม ‘‘ตฺวํ เมถุนธมฺมปาราชิกาปตฺติํ อาปโนฺน’’ติเอวมาทินยปฺปวตฺตาฯ สํวาสปฎิเกฺขโป นาม ‘‘นตฺถิ ตยา สทฺธิํ อุโปสโถ วา ปวารณา วา สงฺฆกมฺมํ วา’’ติ เอวํ ปวโตฺตฯ สามีจิปฎิเกฺขโป นาม อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานอญฺชลีกมฺมพีชนาทิกมฺมานํ อกรณํฯ ตํ ปฎิปาฎิยา วนฺทนาทีนิ กโรโนฺต เอกสฺส อกตฺวา เสสานํ กรณกาเล เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตาปิ โจทนา นาม โหติฯ ยาคุภตฺตาทินา ปน ยํ อิจฺฉติ, ตํ อาปุจฺฉติ, น ตาวตา โจทนา โหติฯ

    Aparāpi catubbidhā hoti vatthusandassanā āpattisandassanā saṃvāsapaṭikkhepo sāmīcipaṭikkhepoti. Tattha vatthusandassanā nāma ‘‘tvaṃ methunaṃ dhammaṃ paṭisevi, adinnaṃ ādiyi, manussaṃ ghātayittha, abhūtaṃ ārocayitthā’’ti evaṃ pavattā. Āpattisandassanā nāma ‘‘tvaṃ methunadhammapārājikāpattiṃ āpanno’’tievamādinayappavattā. Saṃvāsapaṭikkhepo nāma ‘‘natthi tayā saddhiṃ uposatho vā pavāraṇā vā saṅghakammaṃ vā’’ti evaṃ pavatto. Sāmīcipaṭikkhepo nāma abhivādanapaccuṭṭhānaañjalīkammabījanādikammānaṃ akaraṇaṃ. Taṃ paṭipāṭiyā vandanādīni karonto ekassa akatvā sesānaṃ karaṇakāle veditabbaṃ. Ettāvatāpi codanā nāma hoti. Yāgubhattādinā pana yaṃ icchati, taṃ āpucchati, na tāvatā codanā hoti.

    อปรา ปาติโมกฺขฎฺฐปนกฺขนฺธเก (จูฬว. ๓๘๗) ‘‘เอกํ, ภิกฺขเว, อธมฺมิกํ ปาติโมกฺขฎฺฐปนํ, เอกํ ธมฺมิก’’นฺติอาทิํ กตฺวา ยาว ทส อธมฺมิกานิ ปาติโมกฺขฎฺฐปนานิ, ทส ธมฺมิกานีติ เอวํ อธมฺมิกา ปญฺจปญฺญาส, ธมฺมิกา ปญฺจปญฺญาสาติ ทสุตฺตรสตํ โจทนา วุตฺตาฯ ตา ทิเฎฺฐน โจเทนฺตสฺส ทสุตฺตรสตํ, สุเตน โจเทนฺตสฺส ทสุตฺตรสตํ, ปริสงฺกาย โจเทนฺตสฺส ทสุตฺตรสตนฺติ ติํสาธิกานิ ตีณิ สตานิ โหนฺติฯ ตานิ กาเยน โจเทนฺตสฺส, วาจาย โจเทนฺตสฺส, กายวาจาย โจเทนฺตสฺสาติ ติคุณานิ กตานิ นวุตาธิกานิ นว สตานิ โหนฺติฯ ตานิ อตฺตนา โจเทนฺตสฺสปิ ปเรน โจทาเปนฺตสฺสปิ ตตฺตกาเนวาติ วีสติอูนานิ เทฺว สหสฺสานิ โหนฺติฯ ปุน ทิฎฺฐาทิเภเท สมูลิกามูลิกวเสน อเนกสหสฺสา โจทนา โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Aparā pātimokkhaṭṭhapanakkhandhake (cūḷava. 387) ‘‘ekaṃ, bhikkhave, adhammikaṃ pātimokkhaṭṭhapanaṃ, ekaṃ dhammika’’ntiādiṃ katvā yāva dasa adhammikāni pātimokkhaṭṭhapanāni, dasa dhammikānīti evaṃ adhammikā pañcapaññāsa, dhammikā pañcapaññāsāti dasuttarasataṃ codanā vuttā. Tā diṭṭhena codentassa dasuttarasataṃ, sutena codentassa dasuttarasataṃ, parisaṅkāya codentassa dasuttarasatanti tiṃsādhikāni tīṇi satāni honti. Tāni kāyena codentassa, vācāya codentassa, kāyavācāya codentassāti tiguṇāni katāni navutādhikāni nava satāni honti. Tāni attanā codentassapi parena codāpentassapi tattakānevāti vīsatiūnāni dve sahassāni honti. Puna diṭṭhādibhede samūlikāmūlikavasena anekasahassā codanā hontīti veditabbā.

    ๒๓๑. วุตฺตปฺปเภทาสุ ปน อิมาสุ โจทนาสุ ยาย กายจิ โจทนาย วเสน สงฺฆมเชฺฌ โอสเฎ วตฺถุสฺมิํ จุทิตกโจทกา วตฺตพฺพา ‘‘ตุเมฺห อมฺหากํ วินิจฺฉเยน ตุฎฺฐา ภวิสฺสถา’’ติฯ สเจ ‘‘ภวิสฺสามา’’ติ วทนฺติ, สเงฺฆน ตํ อธิกรณํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ อถ ปน ‘‘วินิจฺฉินถ ตาว, ภเนฺต, สเจ อมฺหากํ ขมิสฺสติ, คณฺหิสฺสามา’’ติ วทนฺติ, ‘‘เจติยํ ตาว วนฺทถา’’ติอาทีนิ วตฺวา ทีฆสุตฺตํ กตฺวา วิสฺสชฺชิตพฺพํฯ เต เจ จิรรตฺตํ กิลนฺตา ปกฺกนฺตปริสา อุปจฺฉินฺนปกฺขา หุตฺวา ปุน ยาจนฺติ, ยาวตติยํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ยทา นิมฺมทา โหนฺติ, ตทา เนสํ อธิกรณํ วินิจฺฉินิตพฺพํฯ วินิจฺฉินเนฺตหิ จ สเจ อลชฺชุสฺสนฺนา โหติ ปริสา, อุพฺพาหิกาย ตํ อธิกรณํ วินิจฺฉินิตพฺพํฯ สเจ พาลุสฺสนฺนา โหติ ปริสา, ‘‘ตุมฺหากํ สภาเค วินยธเร ปริเยสถา’’ติ วินยธเร ปริเยสาเปตฺวา เยน ธเมฺมน เยน วินเยน เยน สตฺถุสาสเนน ตํ อธิกรณํ วูปสมฺมติ, ตถา ตํ อธิกรณํ วูปสเมตพฺพํฯ

    231. Vuttappabhedāsu pana imāsu codanāsu yāya kāyaci codanāya vasena saṅghamajjhe osaṭe vatthusmiṃ cuditakacodakā vattabbā ‘‘tumhe amhākaṃ vinicchayena tuṭṭhā bhavissathā’’ti. Sace ‘‘bhavissāmā’’ti vadanti, saṅghena taṃ adhikaraṇaṃ sampaṭicchitabbaṃ. Atha pana ‘‘vinicchinatha tāva, bhante, sace amhākaṃ khamissati, gaṇhissāmā’’ti vadanti, ‘‘cetiyaṃ tāva vandathā’’tiādīni vatvā dīghasuttaṃ katvā vissajjitabbaṃ. Te ce cirarattaṃ kilantā pakkantaparisā upacchinnapakkhā hutvā puna yācanti, yāvatatiyaṃ paṭikkhipitvā yadā nimmadā honti, tadā nesaṃ adhikaraṇaṃ vinicchinitabbaṃ. Vinicchinantehi ca sace alajjussannā hoti parisā, ubbāhikāya taṃ adhikaraṇaṃ vinicchinitabbaṃ. Sace bālussannā hoti parisā, ‘‘tumhākaṃ sabhāge vinayadhare pariyesathā’’ti vinayadhare pariyesāpetvā yena dhammena yena vinayena yena satthusāsanena taṃ adhikaraṇaṃ vūpasammati, tathā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasametabbaṃ.

    ตตฺถ จ ธโมฺมติ ภูตํ วตฺถุฯ วินโยติ โจทนา เจว สารณา จฯ สตฺถุสาสนนฺติ ญตฺติสมฺปทา จ อนุสฺสาวนสมฺปทา จฯ ตสฺมา โจทเกน วตฺถุสฺมิํ อาโรจิเต จุทิตโก ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘สนฺตเมตํ, โน’’ติฯ เอวํ วตฺถุํ อุปปริกฺขิตฺวา ภูเตน วตฺถุนา โจเทตฺวา สาเรตฺวา ญตฺติสมฺปทาย จ อนุสฺสาวนสมฺปทาย จ ตํ อธิกรณํ วูปสเมตพฺพํฯ ตตฺร เจ อลชฺชี ลชฺชิํ โจเทติ, โส จ อลชฺชี พาโล โหติ อพฺยโตฺต, นาสฺส นโย ทาตโพฺพ, เอวํ ปน วตฺตโพฺพ ‘‘กิมฺหิ นํ โจเทสี’’ติฯ อทฺธา โส วกฺขติ ‘‘กิมิทํ, ภเนฺต, กิมฺหิ นํ นามา’’ติฯ ‘‘ตฺวํ กิมฺหิ นมฺปิ น ชานาสิ, น ยุตฺตํ ตยา เอวรูเปน พาเลน ปรํ โจเทตุ’’นฺติ อุโยฺยเชตโพฺพ, นาสฺส อนุโยโค ทาตโพฺพฯ สเจ ปน โส อลชฺชี ปณฺฑิโต โหติ พฺยโตฺต, ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา อโชฺฌตฺถริตฺวา สมฺปาเทตุํ สโกฺกติ, เอตสฺส อนุโยคํ ทตฺวา ลชฺชิเสฺสว ปฎิญฺญาย กมฺมํ กาตพฺพํฯ

    Tattha ca dhammoti bhūtaṃ vatthu. Vinayoti codanā ceva sāraṇā ca. Satthusāsananti ñattisampadā ca anussāvanasampadā ca. Tasmā codakena vatthusmiṃ ārocite cuditako pucchitabbo ‘‘santametaṃ, no’’ti. Evaṃ vatthuṃ upaparikkhitvā bhūtena vatthunā codetvā sāretvā ñattisampadāya ca anussāvanasampadāya ca taṃ adhikaraṇaṃ vūpasametabbaṃ. Tatra ce alajjī lajjiṃ codeti, so ca alajjī bālo hoti abyatto, nāssa nayo dātabbo, evaṃ pana vattabbo ‘‘kimhi naṃ codesī’’ti. Addhā so vakkhati ‘‘kimidaṃ, bhante, kimhi naṃ nāmā’’ti. ‘‘Tvaṃ kimhi nampi na jānāsi, na yuttaṃ tayā evarūpena bālena paraṃ codetu’’nti uyyojetabbo, nāssa anuyogo dātabbo. Sace pana so alajjī paṇḍito hoti byatto, diṭṭhena vā sutena vā ajjhottharitvā sampādetuṃ sakkoti, etassa anuyogaṃ datvā lajjisseva paṭiññāya kammaṃ kātabbaṃ.

    สเจ ลชฺชี อลชฺชิํ โจเทติ, โส จ ลชฺชี พาโล โหติ อพฺยโตฺต, น สโกฺกติ อนุโยคํ ทาตุํ, ตสฺส นโย ทาตโพฺพ ‘‘กิมฺหิ นํ โจเทสิ สีลวิปตฺติยา วา อาจารวิปตฺติอาทีสุ วา เอกิสฺสา’’ติฯ กสฺมา ปน อิมเสฺสว เอวํ นโย ทาตโพฺพ, น อิตรสฺสาติ, นนุ น ยุตฺตํ วินยธรานํ อคติคมนนฺติ? น ยุตฺตเมวฯ อิทํ ปน อคติคมนํ น โหติ, ธมฺมานุคฺคโห นาม เอโสฯ อลชฺชินิคฺคหตฺถาย หิ ลชฺชิปคฺคหตฺถาย จ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํฯ ตตฺร อลชฺชี นยํ ลภิตฺวา อโชฺฌตฺถรโนฺต เอหิติ, ลชฺชี ปน นยํ ลภิตฺวา ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐสนฺตาเนน สุเต สุตสนฺตาเนน ปติฎฺฐาย กเถสฺสติ, ตสฺมา ตสฺส ธมฺมานุคฺคโห วฎฺฎติฯ สเจ ปน โส ลชฺชี ปณฺฑิโต โหติ พฺยโตฺต, ปติฎฺฐาย กเถติ, อลชฺชี จ ‘‘เอตมฺปิ นตฺถิ, เอตมฺปิ นตฺถี’’ติ ปฎิญฺญํ น เทติ, อลชฺชิสฺส ปฎิญฺญาย เอว กาตพฺพํฯ

    Sace lajjī alajjiṃ codeti, so ca lajjī bālo hoti abyatto, na sakkoti anuyogaṃ dātuṃ, tassa nayo dātabbo ‘‘kimhi naṃ codesi sīlavipattiyā vā ācāravipattiādīsu vā ekissā’’ti. Kasmā pana imasseva evaṃ nayo dātabbo, na itarassāti, nanu na yuttaṃ vinayadharānaṃ agatigamananti? Na yuttameva. Idaṃ pana agatigamanaṃ na hoti, dhammānuggaho nāma eso. Alajjiniggahatthāya hi lajjipaggahatthāya ca sikkhāpadaṃ paññattaṃ. Tatra alajjī nayaṃ labhitvā ajjhottharanto ehiti, lajjī pana nayaṃ labhitvā diṭṭhe diṭṭhasantānena sute sutasantānena patiṭṭhāya kathessati, tasmā tassa dhammānuggaho vaṭṭati. Sace pana so lajjī paṇḍito hoti byatto, patiṭṭhāya katheti, alajjī ca ‘‘etampi natthi, etampi natthī’’ti paṭiññaṃ na deti, alajjissa paṭiññāya eva kātabbaṃ.

    ตทตฺถทีปนตฺถญฺจ อิทํ วตฺถุ เวทิตพฺพํ – ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโร กิร โลหปาสาทสฺส เหฎฺฐา ภิกฺขูนํ วินยํ กเถตฺวา สายนฺหสมเย วุฎฺฐาติ, ตสฺส วุฎฺฐานสมเย เทฺว อตฺตปจฺจตฺถิกา กถํ ปวเตฺตสุํฯ เอโก ‘‘เอตมฺปิ นตฺถิ, เอตมฺปิ นตฺถี’’ติ ปฎิญฺญํ น เทติ, อถ อปฺปาวเสเส ปฐมยาเม เถรสฺส ตสฺมิํ ปุคฺคเล ‘‘อยํ ปติฎฺฐาย กเถติ, อยํ ปน ปฎิญฺญํ น เทติ, พหูนิ จ วตฺถูนิ โอสฎานิ, อทฺธา เอตํ กตํ ภวิสฺสตี’’ติ อสุทฺธลทฺธิ อุปฺปนฺนาฯ ตโต พีชนีทณฺฑเกน ปาทกถลิกาย สญฺญํ ทตฺวา ‘‘อหํ, อาวุโส, วินิจฺฉินิตุํ อนนุจฺฉวิโก, อเญฺญน วินิจฺฉินาเปหี’’ติ อาหฯ ‘‘กสฺมา, ภเนฺต’’ติ? เถโร ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ จุทิตกปุคฺคลสฺส กาเย ฑาโห อุฎฺฐิโต, ตโต โส เถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, วินิจฺฉินิตุํ อนุรูเปน วินยธเรน นาม ตุมฺหาทิเสเนว ภวิตุํ วฎฺฎติ, โจทเกน จ อีทิเสเนว ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา เสตกานิ นิวาเสตฺวา ‘‘จิรํ กิลมิตาตฺถ มยา’’ติ ขมาเปตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tadatthadīpanatthañca idaṃ vatthu veditabbaṃ – tipiṭakacūḷābhayatthero kira lohapāsādassa heṭṭhā bhikkhūnaṃ vinayaṃ kathetvā sāyanhasamaye vuṭṭhāti, tassa vuṭṭhānasamaye dve attapaccatthikā kathaṃ pavattesuṃ. Eko ‘‘etampi natthi, etampi natthī’’ti paṭiññaṃ na deti, atha appāvasese paṭhamayāme therassa tasmiṃ puggale ‘‘ayaṃ patiṭṭhāya katheti, ayaṃ pana paṭiññaṃ na deti, bahūni ca vatthūni osaṭāni, addhā etaṃ kataṃ bhavissatī’’ti asuddhaladdhi uppannā. Tato bījanīdaṇḍakena pādakathalikāya saññaṃ datvā ‘‘ahaṃ, āvuso, vinicchinituṃ ananucchaviko, aññena vinicchināpehī’’ti āha. ‘‘Kasmā, bhante’’ti? Thero tamatthaṃ ārocesi. Cuditakapuggalassa kāye ḍāho uṭṭhito, tato so theraṃ vanditvā ‘‘bhante, vinicchinituṃ anurūpena vinayadharena nāma tumhādiseneva bhavituṃ vaṭṭati, codakena ca īdiseneva bhavituṃ vaṭṭatī’’ti vatvā setakāni nivāsetvā ‘‘ciraṃ kilamitāttha mayā’’ti khamāpetvā pakkāmi.

    เอวํ ลชฺชินา โจทิยมาโน อลชฺชี พหูสุปิ วตฺถูสุ อุปฺปเนฺนสุ ปฎิญฺญํ น เทติ, โส เนว ‘‘สุโทฺธ’’ติ วตฺตโพฺพ, น ‘‘อสุโทฺธ’’ติ, ชีวมตโก นาม อามกปูติโก นาม เจสฯ สเจ ปนสฺส อญฺญมฺปิ ตาทิสํ วตฺถุ อุปฺปชฺชติ, น วินิจฺฉินิตพฺพํ, ตถา นาสิตโก ภวิสฺสติ ฯ สเจ ปน อลชฺชีเยว อลชฺชิํ โจเทติ, โส วตฺตโพฺพ ‘‘อาวุโส, ตว วจเนนายํ กิํ สกฺกา วตฺตุ’’นฺติฯ อิตรมฺปิ ตเถว วตฺวา ‘‘อุโภปิ เอกสโมฺภคปริโภคา หุตฺวา ชีวถา’’ติ อุโยฺยเชตพฺพาฯ สีลตฺถาย เนสํ วินิจฺฉโย น กาตโพฺพ, ปตฺตจีวรปริเวณาทิอตฺถาย ปน ปติรูปํ สกฺขิํ ลภิตฺวา กาตโพฺพติฯ

    Evaṃ lajjinā codiyamāno alajjī bahūsupi vatthūsu uppannesu paṭiññaṃ na deti, so neva ‘‘suddho’’ti vattabbo, na ‘‘asuddho’’ti, jīvamatako nāma āmakapūtiko nāma cesa. Sace panassa aññampi tādisaṃ vatthu uppajjati, na vinicchinitabbaṃ, tathā nāsitako bhavissati . Sace pana alajjīyeva alajjiṃ codeti, so vattabbo ‘‘āvuso, tava vacanenāyaṃ kiṃ sakkā vattu’’nti. Itarampi tatheva vatvā ‘‘ubhopi ekasambhogaparibhogā hutvā jīvathā’’ti uyyojetabbā. Sīlatthāya nesaṃ vinicchayo na kātabbo, pattacīvarapariveṇādiatthāya pana patirūpaṃ sakkhiṃ labhitvā kātabboti.

    อถ ลชฺชี ลชฺชิํ โจเทติ, วิวาโท จ เนสํ กิสฺมิญฺจิเทว อปฺปมตฺตโก โหติ, สญฺญาเปตฺวา ‘‘มา เอวํ กโรถา’’ติ อจฺจยํ เทสาเปตฺวา อุโยฺยเชตพฺพา ฯ อถ ปเนตฺถ จุทิตเกน สหสา วิรทฺธํ โหติ, อาทิโต ปฎฺฐาย อลชฺชี นาม นตฺถิฯ โส จ ปกฺขานุรกฺขณตฺถาย ปฎิญฺญํ น เทติ, ‘‘มยํ สทฺทหาม, มยํ สทฺทหามา’’ติ พหู อุฎฺฐหนฺติ, โส เตสํ ปฎิญฺญาย เอกวารํ เทฺววารํ สุโทฺธ โหตุ, อถ ปน วิรทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ฐาเน น ติฎฺฐติ, วินิจฺฉโย น ทาตโพฺพฯ

    Atha lajjī lajjiṃ codeti, vivādo ca nesaṃ kismiñcideva appamattako hoti, saññāpetvā ‘‘mā evaṃ karothā’’ti accayaṃ desāpetvā uyyojetabbā . Atha panettha cuditakena sahasā viraddhaṃ hoti, ādito paṭṭhāya alajjī nāma natthi. So ca pakkhānurakkhaṇatthāya paṭiññaṃ na deti, ‘‘mayaṃ saddahāma, mayaṃ saddahāmā’’ti bahū uṭṭhahanti, so tesaṃ paṭiññāya ekavāraṃ dvevāraṃ suddho hotu, atha pana viraddhakālato paṭṭhāya ṭhāne na tiṭṭhati, vinicchayo na dātabbo.

    ๒๓๒. อทินฺนาทานวตฺถุํ วินิจฺฉินเนฺตน (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๒) ปน ปญฺจวีสติ อวหารา สาธุกํ สลฺลเกฺขตพฺพาฯ เตสุ จ กุสเลน วินยธเรน โอติณฺณํ วตฺถุํ สหสา อวินิจฺฉินิตฺวาว ปญฺจ ฐานานิ โอโลเกตพฺพานิ, ยานิ สนฺธาย โปราณา อาหุ –

    232. Adinnādānavatthuṃ vinicchinantena (pārā. aṭṭha. 1.92) pana pañcavīsati avahārā sādhukaṃ sallakkhetabbā. Tesu ca kusalena vinayadharena otiṇṇaṃ vatthuṃ sahasā avinicchinitvāva pañca ṭhānāni oloketabbāni, yāni sandhāya porāṇā āhu –

    ‘‘วตฺถุํ กาลญฺจ เทสญฺจ, อคฺฆํ ปริโภคปญฺจมํ;

    ‘‘Vatthuṃ kālañca desañca, agghaṃ paribhogapañcamaṃ;

    ตุลยิตฺวา ปญฺจ ฐานานิ, ธาเรยฺยตฺถํ วิจกฺขโณ’’ติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๒);

    Tulayitvā pañca ṭhānāni, dhāreyyatthaṃ vicakkhaṇo’’ti. (pārā. aṭṭha. 1.92);

    ตตฺถ วตฺถุนฺติ ภณฺฑํฯ อวหารเกน หิ ‘‘มยา อิทํ นาม อวหฎ’’นฺติ วุเตฺตปิ อาปตฺติํ อนาโรเปตฺวาว ตํ ภณฺฑํ ‘‘สสามิกํ วา อสามิกํ วา’’ติ อุปปริกฺขิตพฺพํฯ สสามิเกปิ สามิกานํ สาลยภาโว วา นิราลยภาโว วา อุปปริกฺขิตโพฺพฯ สเจ เตสํ สาลยกาเล อวหฎํ, ภณฺฑํ อคฺฆาเปตฺวา อาปตฺติ กาตพฺพาฯ สเจ นิราลยกาเล, ปาราชิเกน น กาตพฺพาฯ ภณฺฑสามิเกสุ ปน ภณฺฑํ อาหราเปเนฺตสุ ภณฺฑํ ทาตพฺพํฯ อยเมตฺถ สามีจิฯ

    Tattha vatthunti bhaṇḍaṃ. Avahārakena hi ‘‘mayā idaṃ nāma avahaṭa’’nti vuttepi āpattiṃ anāropetvāva taṃ bhaṇḍaṃ ‘‘sasāmikaṃ vā asāmikaṃ vā’’ti upaparikkhitabbaṃ. Sasāmikepi sāmikānaṃ sālayabhāvo vā nirālayabhāvo vā upaparikkhitabbo. Sace tesaṃ sālayakāle avahaṭaṃ, bhaṇḍaṃ agghāpetvā āpatti kātabbā. Sace nirālayakāle, pārājikena na kātabbā. Bhaṇḍasāmikesu pana bhaṇḍaṃ āharāpentesu bhaṇḍaṃ dātabbaṃ. Ayamettha sāmīci.

    อิมสฺส ปนตฺถสฺส ทีปนตฺถมิทํ วตฺถุ – ภาติยราชกาเล กิร มหาเจติยปูชาย ทกฺขิณทิสโต เอโก ภิกฺขุ สตฺตหตฺถํ ปณฺฑุกาสาวํ อํเส กริตฺวา เจติยงฺคณํ ปาวิสิฯ ตงฺขณเมว จ ราชาปิ เจติยวนฺทนตฺถํ อาคโตฯ ตโต อุสฺสารณาย วตฺตมานาย มหาชนสมฺมโทฺท อโหสิฯ อถ โส ภิกฺขุ ชนสมฺมทฺทปีฬิโต อํสโต ปตนฺตํ กาสาวํ อทิสฺวาว นิกฺขโนฺต, นิกฺขมิตฺวา กาสาวํ อปสฺสโนฺต ‘‘โก อีทิเส ชนสมฺมเทฺท กาสาวํ ลจฺฉติ, น ทานิ ตํ มยฺห’’นฺติ ธุรนิเกฺขปํ กตฺวา คโตฯ อถโญฺญ ภิกฺขุ ปจฺฉา อาคจฺฉโนฺต ตํ กาสาวํ ทิสฺวา เถยฺยจิเตฺตน คเหตฺวา ปุน วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ‘‘อสฺสมโณ ทานิมฺหิ, วิพฺภมิสฺสามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน ‘‘วินยธเร ปุจฺฉิตฺวา ญสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ

    Imassa panatthassa dīpanatthamidaṃ vatthu – bhātiyarājakāle kira mahācetiyapūjāya dakkhiṇadisato eko bhikkhu sattahatthaṃ paṇḍukāsāvaṃ aṃse karitvā cetiyaṅgaṇaṃ pāvisi. Taṅkhaṇameva ca rājāpi cetiyavandanatthaṃ āgato. Tato ussāraṇāya vattamānāya mahājanasammaddo ahosi. Atha so bhikkhu janasammaddapīḷito aṃsato patantaṃ kāsāvaṃ adisvāva nikkhanto, nikkhamitvā kāsāvaṃ apassanto ‘‘ko īdise janasammadde kāsāvaṃ lacchati, na dāni taṃ mayha’’nti dhuranikkhepaṃ katvā gato. Athañño bhikkhu pacchā āgacchanto taṃ kāsāvaṃ disvā theyyacittena gahetvā puna vippaṭisārī hutvā ‘‘assamaṇo dānimhi, vibbhamissāmī’’ti citte uppanne ‘‘vinayadhare pucchitvā ñassāmī’’ti cintesi.

    เตน สมเยน จูฬสุมนเตฺถโร นาม สพฺพปริยตฺติธโร วินยาจริยปาโมโกฺข มหาวิหาเร ปฎิวสติฯ โส ภิกฺขุ เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา โอกาสํ กาเรตฺวา อตฺตโน กุกฺกุจฺจํ ปุจฺฉิฯ เถโร เตน ภเฎฺฐ ชนกาเย ปจฺฉา อาคนฺตฺวา คหิตภาวํ ญตฺวา ‘‘อตฺถิ ทานิ เอตฺถ โอกาโส’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห ‘‘สเจ กาสาวสามิกํ ภิกฺขุํ อาเนยฺยาสิ, สกฺกา ภเวยฺย ตว ปติฎฺฐา กาตุ’’นฺติฯ กถาหํ, ภเนฺต, ตํ ทกฺขิสฺสามีติฯ ตหิํ ตหิํ คนฺตฺวา โอโลเกหีติฯ โส ปญฺจปิ มหาวิหาเร โอโลเกตฺวา เนว อทฺทกฺขิฯ ตโต นํ เถโร ปุจฺฉิ ‘‘กตราย ทิสาย พหู ภิกฺขู อาคจฺฉนฺตี’’ติ? ‘‘ทกฺขิณทิสาย, ภเนฺต’’ติฯ เตน หิ กาสาวํ ทีฆโต จ ติริยญฺจ มินิตฺวา ฐเปหิ, ฐเปตฺวา ทกฺขิณทิสาย วิหารปฎิปาฎิยา วิจินิตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อาเนหีติฯ โส ตถา กตฺวา ตํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา เถรสฺส สนฺติกํ อาเนสิฯ เถโร ปุจฺฉิ ‘‘ตเวทํ กาสาว’’นฺติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ กุหิํ เต ปาติตนฺติ? โส สพฺพํ อาจิกฺขิฯ เถโร เตน กตํ ธุรนิเกฺขปํ สุตฺวา อิตรํ ปุจฺฉิ ‘‘ตยา อิทํ กุหิํ ทิสฺวา คหิต’’นฺติ? โสปิ สพฺพํ อาโรเจสิฯ ตโต ตํ เถโร อาห ‘‘สเจ เต สุทฺธจิเตฺตน คหิตํ อภวิสฺส, อนาปตฺติเยว เต อสฺส, เถยฺยจิเตฺตน ปน คหิตตฺตา ทุกฺกฎํ อาปโนฺนสิ, ตํ เทเสตฺวา อนาปตฺติโก โหติ, อิทญฺจ กาสาวํ อตฺตโน สนฺตกํ กตฺวา เอตเสฺสว ภิกฺขุโน เทหี’’ติฯ โส ภิกฺขุ อมเตเนว อภิสิโตฺต วรมสฺสาสปฺปโตฺต อโหสิฯ เอวํ วตฺถุ โอโลเกตพฺพํฯ

    Tena samayena cūḷasumanatthero nāma sabbapariyattidharo vinayācariyapāmokkho mahāvihāre paṭivasati. So bhikkhu theraṃ upasaṅkamitvā vanditvā okāsaṃ kāretvā attano kukkuccaṃ pucchi. Thero tena bhaṭṭhe janakāye pacchā āgantvā gahitabhāvaṃ ñatvā ‘‘atthi dāni ettha okāso’’ti cintetvā āha ‘‘sace kāsāvasāmikaṃ bhikkhuṃ āneyyāsi, sakkā bhaveyya tava patiṭṭhā kātu’’nti. Kathāhaṃ, bhante, taṃ dakkhissāmīti. Tahiṃ tahiṃ gantvā olokehīti. So pañcapi mahāvihāre oloketvā neva addakkhi. Tato naṃ thero pucchi ‘‘katarāya disāya bahū bhikkhū āgacchantī’’ti? ‘‘Dakkhiṇadisāya, bhante’’ti. Tena hi kāsāvaṃ dīghato ca tiriyañca minitvā ṭhapehi, ṭhapetvā dakkhiṇadisāya vihārapaṭipāṭiyā vicinitvā taṃ bhikkhuṃ ānehīti. So tathā katvā taṃ bhikkhuṃ disvā therassa santikaṃ ānesi. Thero pucchi ‘‘tavedaṃ kāsāva’’nti? ‘‘Āma, bhante’’ti. Kuhiṃ te pātitanti? So sabbaṃ ācikkhi. Thero tena kataṃ dhuranikkhepaṃ sutvā itaraṃ pucchi ‘‘tayā idaṃ kuhiṃ disvā gahita’’nti? Sopi sabbaṃ ārocesi. Tato taṃ thero āha ‘‘sace te suddhacittena gahitaṃ abhavissa, anāpattiyeva te assa, theyyacittena pana gahitattā dukkaṭaṃ āpannosi, taṃ desetvā anāpattiko hoti, idañca kāsāvaṃ attano santakaṃ katvā etasseva bhikkhuno dehī’’ti. So bhikkhu amateneva abhisitto varamassāsappatto ahosi. Evaṃ vatthu oloketabbaṃ.

    กาโลติ อวหารกาโลฯ ตเทว หิ ภณฺฑํ กทาจิ อปฺปคฺฆํ โหติ, กทาจิ มหคฺฆํฯ ตสฺมา ตํ ภณฺฑํ ยสฺมิํ กาเล อวหฎํ, ตสฺมิํเยว กาเล โย ตสฺส อโคฺฆ โหติ, เตน อเคฺฆน อาปตฺติ กาเรตพฺพาฯ เอวํ กาโล โอโลเกตโพฺพฯ

    Kāloti avahārakālo. Tadeva hi bhaṇḍaṃ kadāci appagghaṃ hoti, kadāci mahagghaṃ. Tasmā taṃ bhaṇḍaṃ yasmiṃ kāle avahaṭaṃ, tasmiṃyeva kāle yo tassa aggho hoti, tena agghena āpatti kāretabbā. Evaṃ kālo oloketabbo.

    เทโสติ อวหารเทโสฯ ตญฺหิ ภณฺฑํ ยสฺมิํ เทเส อวหฎํ, ตสฺมิํเยว เทเส โย ตสฺส อโคฺฆ โหติ, เตน อเคฺฆน อาปตฺติ กาเรตพฺพาฯ ภณฺฑุฎฺฐานเทเส หิ ภณฺฑํ อปฺปคฺฆํ โหติ, อญฺญตฺถ มหคฺฆํฯ

    Desoti avahāradeso. Tañhi bhaṇḍaṃ yasmiṃ dese avahaṭaṃ, tasmiṃyeva dese yo tassa aggho hoti, tena agghena āpatti kāretabbā. Bhaṇḍuṭṭhānadese hi bhaṇḍaṃ appagghaṃ hoti, aññattha mahagghaṃ.

    อิมสฺสปิ จ อตฺถสฺส ทีปนตฺถมิทํ วตฺถุ – อนฺตรสมุเทฺท กิร เอโก ภิกฺขุ สุสณฺฐานํ นาฬิเกรํ ลภิตฺวา ภมํ อาโรเปตฺวา สงฺขถาลกสทิสํ มโนรมํ ปานียถาลกํ กตฺวา ตเตฺถว ฐเปตฺวา เจติยคิริํ อคมาสิ ฯ อโญฺญ ภิกฺขุ อนฺตรสมุทฺทํ คนฺตฺวา ตสฺมิํ วิหาเร ปฎิวสโนฺต ตํ ถาลกํ ทิสฺวา เถยฺยจิเตฺตน คเหตฺวา เจติยคิริเมว อาคโตฯ ตสฺส ตตฺถ ยาคุํ ปิวนฺตสฺส ตํ ถาลกํ ทิสฺวา ถาลกสามิโก ภิกฺขุ อาห ‘‘กุโต เต อิทํ ลทฺธ’’นฺติฯ อนฺตรสมุทฺทโต เม อานีตนฺติฯ โส ตํ ‘‘เนตํ ตว สนฺตกํ, เถยฺยาย เต คหิต’’นฺติ สงฺฆมชฺฌํ อากฑฺฒิฯ ตตฺถ จ วินิจฺฉยํ อลภิตฺวา มหาวิหารํ อคมิํสุ, ตตฺถ จ เภริํ ปหราเปตฺวา มหาเจติยสมีเป สนฺนิปาตํ กตฺวา วินิจฺฉยํ อารภิํสุฯ วินยธรเตฺถรา อวหารํ สญฺญาเปสุํฯ

    Imassapi ca atthassa dīpanatthamidaṃ vatthu – antarasamudde kira eko bhikkhu susaṇṭhānaṃ nāḷikeraṃ labhitvā bhamaṃ āropetvā saṅkhathālakasadisaṃ manoramaṃ pānīyathālakaṃ katvā tattheva ṭhapetvā cetiyagiriṃ agamāsi . Añño bhikkhu antarasamuddaṃ gantvā tasmiṃ vihāre paṭivasanto taṃ thālakaṃ disvā theyyacittena gahetvā cetiyagirimeva āgato. Tassa tattha yāguṃ pivantassa taṃ thālakaṃ disvā thālakasāmiko bhikkhu āha ‘‘kuto te idaṃ laddha’’nti. Antarasamuddato me ānītanti. So taṃ ‘‘netaṃ tava santakaṃ, theyyāya te gahita’’nti saṅghamajjhaṃ ākaḍḍhi. Tattha ca vinicchayaṃ alabhitvā mahāvihāraṃ agamiṃsu, tattha ca bheriṃ paharāpetvā mahācetiyasamīpe sannipātaṃ katvā vinicchayaṃ ārabhiṃsu. Vinayadharattherā avahāraṃ saññāpesuṃ.

    ตสฺมิญฺจ สนฺนิปาเต อาภิธมฺมิกโคทตฺตเตฺถโร นาม วินยกุสโล โหติ, โส เอวมาห ‘‘อิมินา อิทํ ถาลกํ กุหิํ อวหฎ’’นฺติ? ‘‘อนฺตรสมุเทฺท อวหฎ’’นฺติฯ ตตฺถ ตํ กิํ อคฺฆตีติฯ น กิญฺจิ อคฺฆติฯ ตตฺร หิ นาฬิเกรํ ภินฺทิตฺวา มิญฺชํ ขาทิตฺวา กปาลํ ฉเฑฺฑติ, ทารุอตฺถํ ปน ผรตีติฯ อิมสฺส ภิกฺขุโน เอตฺถ หตฺถกมฺมํ กิํ อคฺฆตีติ? มาสกํ วา อูนมาสกํ วาติฯ อตฺถิ ปน กตฺถจิ สมฺมาสมฺพุเทฺธน มาสเก วา อูนมาสเก วา ปาราชิกํ ปญฺญตฺตนฺติฯ เอวํ วุเตฺต ‘‘สาธุ สาธุ, สุกถิตํ สุวินิจฺฉิต’’นฺติ เอกสาธุกาโร อโหสิฯ เตน จ สมเยน ภาติยราชาปิ เจติยวนฺทนตฺถํ นครโต นิกฺขโนฺต ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํ อิท’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา สพฺพํ ปฎิปาฎิยา สุตฺวา นคเร เภริํ จราเปสิ ‘‘มยิ สเนฺต ภิกฺขูนมฺปิ ภิกฺขุนีนมฺปิ คิหีนมฺปิ อธิกรณํ อาภิธมฺมิกโคทตฺตเตฺถเรน วินิจฺฉิตํ สุวินิจฺฉิตํ, ตสฺส วินิจฺฉเย อติฎฺฐมานํ ราชาณาย ฐเปมี’’ติฯ เอวํ เทโส โอโลเกตโพฺพฯ

    Tasmiñca sannipāte ābhidhammikagodattatthero nāma vinayakusalo hoti, so evamāha ‘‘iminā idaṃ thālakaṃ kuhiṃ avahaṭa’’nti? ‘‘Antarasamudde avahaṭa’’nti. Tattha taṃ kiṃ agghatīti. Na kiñci agghati. Tatra hi nāḷikeraṃ bhinditvā miñjaṃ khāditvā kapālaṃ chaḍḍeti, dāruatthaṃ pana pharatīti. Imassa bhikkhuno ettha hatthakammaṃ kiṃ agghatīti? Māsakaṃ vā ūnamāsakaṃ vāti. Atthi pana katthaci sammāsambuddhena māsake vā ūnamāsake vā pārājikaṃ paññattanti. Evaṃ vutte ‘‘sādhu sādhu, sukathitaṃ suvinicchita’’nti ekasādhukāro ahosi. Tena ca samayena bhātiyarājāpi cetiyavandanatthaṃ nagarato nikkhanto taṃ saddaṃ sutvā ‘‘kiṃ ida’’nti pucchitvā sabbaṃ paṭipāṭiyā sutvā nagare bheriṃ carāpesi ‘‘mayi sante bhikkhūnampi bhikkhunīnampi gihīnampi adhikaraṇaṃ ābhidhammikagodattattherena vinicchitaṃ suvinicchitaṃ, tassa vinicchaye atiṭṭhamānaṃ rājāṇāya ṭhapemī’’ti. Evaṃ deso oloketabbo.

    อโคฺฆติ ภณฺฑโคฺฆฯ นวภณฺฑสฺส หิ โย อโคฺฆ โหติ, โส ปจฺฉา ปริหายติฯ ยถา นวโธโต ปโตฺต อฎฺฐ วา ทส วา อคฺฆติ, โส ปจฺฉา ภิโนฺน วา ฉิโทฺท วา อาณิคณฺฐิกาหโต วา อปฺปโคฺฆ โหติ, ตสฺมา น สพฺพทา ภณฺฑํ ปกติอเคฺฆเนว กาตพฺพนฺติฯ เอวํ อโคฺฆ โอโลเกตโพฺพฯ

    Agghoti bhaṇḍaggho. Navabhaṇḍassa hi yo aggho hoti, so pacchā parihāyati. Yathā navadhoto patto aṭṭha vā dasa vā agghati, so pacchā bhinno vā chiddo vā āṇigaṇṭhikāhato vā appaggho hoti, tasmā na sabbadā bhaṇḍaṃ pakatiaggheneva kātabbanti. Evaṃ aggho oloketabbo.

    ปริโภโคติ ภณฺฑปริโภโคฯ ปริโภเคนปิ หิ วาสิอาทิภณฺฑสฺส อโคฺฆ ปริหายติฯ ตสฺมา เอวํ อุปปริกฺขิตพฺพํ – สเจ โกจิ กสฺสจิ ปาทคฺฆนกํ วาสิํ หรติ, ตตฺร วาสิสามิโก ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘ตยา อยํ วาสิ กิตฺตเกน กีตา’’ติ? ‘‘ปาเทน, ภเนฺต’’ติฯ กิํ ปน เต กิณิตฺวาว ฐปิตา, อุทาหุ นํ วฬเญฺชสีติ? สเจ วทติ ‘‘เอกทิวสํ เม ทนฺตกฎฺฐํ วา รชนฉลฺลิ วา ปตฺตปจนกทารุ วา ฉินฺนํ, ฆํสิตฺวา วา นิสิตา’’ติ, อถสฺส โปราณโก อโคฺฆ ภโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ ยถา จ วาสิยา, เอวํ อญฺชนิยา วา อญฺชนิสลากาย วา กุญฺจิกาย วา ปลาเลน วา ถุเสหิ วา อิฎฺฐกจุเณฺณน วา เอกวารํ ฆํสิตฺวา โธวิตมเตฺตนปิ อโคฺฆ ภสฺสติฯ ติปุมณฺฑลสฺส มกรทนฺตเจฺฉทเนนปิ ปริมชฺชนมเตฺตนปิ, อุทกสาฎกสฺส สกิํ นิวาสนปารุปเนนปิ ปริโภคสีเสน อํเส วา สีเส วา ฐปนมเตฺตนปิ, ตณฺฑุลาทีนํ ปโปฺผฎเนนปิ ตโต เอกํ วา เทฺว วา อปนยเนนปิ อนฺตมโส เอกํ ปาสาณสกฺขรํ อุทฺธริตฺวา ฉฑฺฑิตมเตฺตนปิ, สปฺปิเตลาทีนํ ภาชนนฺตรปอวตฺตเนนปิ อนฺตมโส ตโต มกฺขิกํ วา กิปิลฺลิกํ วา อุทฺธริตฺวา ฉฑฺฑิตมเตฺตนปิ, คุฬปิณฺฑกสฺส มธุรภาวชานนตฺถํ นเขน วิชฺฌิตฺวา อณุมตฺตํ คหิตมเตฺตนปิ อโคฺฆ ภสฺสติฯ ตสฺมา ยํ กิญฺจิ ปาทคฺฆนกํ วุตฺตนเยเนว สามิเกหิ ปริโภเคน อูนํ กตํ โหติ, น ตํ อวหโฎ ภิกฺขุ ปาราชิเกน กาตโพฺพติฯ เอวํ อโคฺฆ โอโลเกตโพฺพฯ

    Paribhogoti bhaṇḍaparibhogo. Paribhogenapi hi vāsiādibhaṇḍassa aggho parihāyati. Tasmā evaṃ upaparikkhitabbaṃ – sace koci kassaci pādagghanakaṃ vāsiṃ harati, tatra vāsisāmiko pucchitabbo ‘‘tayā ayaṃ vāsi kittakena kītā’’ti? ‘‘Pādena, bhante’’ti. Kiṃ pana te kiṇitvāva ṭhapitā, udāhu naṃ vaḷañjesīti? Sace vadati ‘‘ekadivasaṃ me dantakaṭṭhaṃ vā rajanachalli vā pattapacanakadāru vā chinnaṃ, ghaṃsitvā vā nisitā’’ti, athassa porāṇako aggho bhaṭṭhoti veditabbo. Yathā ca vāsiyā, evaṃ añjaniyā vā añjanisalākāya vā kuñcikāya vā palālena vā thusehi vā iṭṭhakacuṇṇena vā ekavāraṃ ghaṃsitvā dhovitamattenapi aggho bhassati. Tipumaṇḍalassa makaradantacchedanenapi parimajjanamattenapi, udakasāṭakassa sakiṃ nivāsanapārupanenapi paribhogasīsena aṃse vā sīse vā ṭhapanamattenapi, taṇḍulādīnaṃ papphoṭanenapi tato ekaṃ vā dve vā apanayanenapi antamaso ekaṃ pāsāṇasakkharaṃ uddharitvā chaḍḍitamattenapi, sappitelādīnaṃ bhājanantarapaavattanenapi antamaso tato makkhikaṃ vā kipillikaṃ vā uddharitvā chaḍḍitamattenapi, guḷapiṇḍakassa madhurabhāvajānanatthaṃ nakhena vijjhitvā aṇumattaṃ gahitamattenapi aggho bhassati. Tasmā yaṃ kiñci pādagghanakaṃ vuttanayeneva sāmikehi paribhogena ūnaṃ kataṃ hoti, na taṃ avahaṭo bhikkhu pārājikena kātabboti. Evaṃ aggho oloketabbo.

    เอวํ อิมานิ ตุลยิตฺวา ปญฺจ ฐานานิ ธาเรยฺย อตฺถํ วิจกฺขโณ, อาปตฺติํ วา อนาปตฺติํ วา ครุกํ วา ลหุกํ วา อาปตฺติํ ยถาฐาเน ฐเปยฺยาติฯ เตนาหุ อฎฺฐกถาจริยา –

    Evaṃ imāni tulayitvā pañca ṭhānāni dhāreyya atthaṃ vicakkhaṇo, āpattiṃ vā anāpattiṃ vā garukaṃ vā lahukaṃ vā āpattiṃ yathāṭhāne ṭhapeyyāti. Tenāhu aṭṭhakathācariyā –

    ‘‘สิกฺขาปทํ สมํ เตน, อญฺญํ กิญฺจิ น วิชฺชติ;

    ‘‘Sikkhāpadaṃ samaṃ tena, aññaṃ kiñci na vijjati;

    อเนกนยโวกิณฺณํ, คมฺภีรตฺถวินิจฺฉยํฯ

    Anekanayavokiṇṇaṃ, gambhīratthavinicchayaṃ.

    ‘‘ตสฺมา วตฺถุมฺหิ โอติเณฺณ, ภิกฺขุนา วินยญฺญุนา;

    ‘‘Tasmā vatthumhi otiṇṇe, bhikkhunā vinayaññunā;

    วินยานุคฺคเหเนตฺถ, กโรเนฺตน วินิจฺฉยํฯ

    Vinayānuggahenettha, karontena vinicchayaṃ.

    ‘‘ปาฬิํ อฎฺฐกถเญฺจว, สาธิปฺปายมเสสโต;

    ‘‘Pāḷiṃ aṭṭhakathañceva, sādhippāyamasesato;

    โอคยฺห อปฺปมเตฺตน, กรณีโย วินิจฺฉโยฯ

    Ogayha appamattena, karaṇīyo vinicchayo.

    ‘‘อาปตฺติทสฺสนุสฺสาโห, น กตฺตโพฺพ กุทาจนํ;

    ‘‘Āpattidassanussāho, na kattabbo kudācanaṃ;

    ปสฺสิสฺสามิ อนาปตฺติ-มิติ กยิราถ มานสํฯ

    Passissāmi anāpatti-miti kayirātha mānasaṃ.

    ‘‘ปสฺสิตฺวาปิ จ อาปตฺติํ, อวตฺวาว ปุนปฺปุนํ;

    ‘‘Passitvāpi ca āpattiṃ, avatvāva punappunaṃ;

    วีมํสิตฺวาถ วิญฺญูหิ, สํสนฺทิตฺวา จ ตํ วเทฯ

    Vīmaṃsitvātha viññūhi, saṃsanditvā ca taṃ vade.

    ‘‘กปฺปิเยปิ จ วตฺถุสฺมิํ, จิตฺตสฺส ลหุวตฺติโน;

    ‘‘Kappiyepi ca vatthusmiṃ, cittassa lahuvattino;

    วเสน สามญฺญคุณา, จวนฺตีธ ปุถุชฺชนาฯ

    Vasena sāmaññaguṇā, cavantīdha puthujjanā.

    ‘‘ตสฺมา ปรปริกฺขารํ, อาสีวิสมิโวรคํ;

    ‘‘Tasmā paraparikkhāraṃ, āsīvisamivoragaṃ;

    อคฺคิํ วิย จ สมฺปสฺสํ, นามเสยฺย วิจกฺขโณ’’ติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๖๐-๑ ตตฺรายํ อนุสาสนี);

    Aggiṃ viya ca sampassaṃ, nāmaseyya vicakkhaṇo’’ti. (pārā. aṭṭha. 1.160-1 tatrāyaṃ anusāsanī);

    ๒๓๓. อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนํ วินิจฺฉินเนฺตน (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๙๗) ปน ‘‘กิํ เต อธิคตํฯ กินฺติ เต อธิคตํ, กทา เต อธิคตํ, กตฺถ เต อธิคตํ, กตเม เต กิเลสา ปหีนา, กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภี’’ติ อิมานิ ฉ ฐานานิ วิโสเธตพฺพานิฯ สเจ หิ โกจิ ภิกฺขุ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาธิคมํ พฺยากเรยฺย, น โส เอตฺตาวตา สกฺกาโร กาตโพฺพ, อิเมสํ ปน ฉนฺนํ ฐานานํ โสธนตฺถํ เอวํ วตฺตโพฺพ ‘‘กิํ เต อธิคตํ, กิํ ฌานํ อุทาหุ วิโมกฺขาทีสุ อญฺญตร’’นฺติฯ โย หิ เยน อธิคโต ธโมฺม, โส ตสฺส ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อิทํ นาม เม อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กินฺติ เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘อนิจฺจลกฺขณาทีสุ กิํ ธุรํ กตฺวา อฎฺฐติํสาย วา อารมฺมเณสุ รูปารูปอชฺฌตฺตพหิทฺธาทิเภเทสุ วา ธเมฺมสุ เกน มุเขน อภินิวิสิตฺวา’’ติฯ โย หิ ยสฺสาภินิเวโส, โส ตสฺส ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อยํ นาม เม อภินิเวโส, เอวํ มยา อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กทา เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ปุพฺพเณฺห, อุทาหุ มชฺฌนฺหิกาทีสุ อญฺญตรสฺมิํ กาเล’’ติฯ สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตกาโล ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อมุกสฺมิํ นาม กาเล อธิคก’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กตฺถ เต อธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ทิวาฎฺฐาเน, อุทาหุ รตฺติฎฺฐานาทีสุ อญฺญตรสฺมิํ โอกาเส’’ติฯ สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคโตกาโส ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อมุกสฺมิํ นาม เม โอกาเส อธิคต’’นฺติ วทติ, ตโต ‘‘กตเม เต กิเลสา ปหีนา’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ ปฐมมคฺควชฺฌา, อุทาหุ ทุติยาทิมคฺควชฺฌา’’ติฯ สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตมเคฺคน ปหีนา กิเลสา ปากฎา โหนฺติฯ

    233. Uttarimanussadhammārocanaṃ vinicchinantena (pārā. aṭṭha. 2.197) pana ‘‘kiṃ te adhigataṃ. Kinti te adhigataṃ, kadā te adhigataṃ, kattha te adhigataṃ, katame te kilesā pahīnā, katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhī’’ti imāni cha ṭhānāni visodhetabbāni. Sace hi koci bhikkhu uttarimanussadhammādhigamaṃ byākareyya, na so ettāvatā sakkāro kātabbo, imesaṃ pana channaṃ ṭhānānaṃ sodhanatthaṃ evaṃ vattabbo ‘‘kiṃ te adhigataṃ, kiṃ jhānaṃ udāhu vimokkhādīsu aññatara’’nti. Yo hi yena adhigato dhammo, so tassa pākaṭo hoti. Sace ‘‘idaṃ nāma me adhigata’’nti vadati, tato ‘‘kinti te adhigata’’nti pucchitabbo, ‘‘aniccalakkhaṇādīsu kiṃ dhuraṃ katvā aṭṭhatiṃsāya vā ārammaṇesu rūpārūpaajjhattabahiddhādibhedesu vā dhammesu kena mukhena abhinivisitvā’’ti. Yo hi yassābhiniveso, so tassa pākaṭo hoti. Sace ‘‘ayaṃ nāma me abhiniveso, evaṃ mayā adhigata’’nti vadati, tato ‘‘kadā te adhigata’’nti pucchitabbo, ‘‘kiṃ pubbaṇhe, udāhu majjhanhikādīsu aññatarasmiṃ kāle’’ti. Sabbesañhi attanā adhigatakālo pākaṭo hoti. Sace ‘‘amukasmiṃ nāma kāle adhigaka’’nti vadati, tato ‘‘kattha te adhigata’’nti pucchitabbo, ‘‘kiṃ divāṭṭhāne, udāhu rattiṭṭhānādīsu aññatarasmiṃ okāse’’ti. Sabbesañhi attanā adhigatokāso pākaṭo hoti. Sace ‘‘amukasmiṃ nāma me okāse adhigata’’nti vadati, tato ‘‘katame te kilesā pahīnā’’ti pucchitabbo, ‘‘kiṃ paṭhamamaggavajjhā, udāhu dutiyādimaggavajjhā’’ti. Sabbesañhi attanā adhigatamaggena pahīnā kilesā pākaṭā honti.

    สเจ ‘‘อิเม นาม เม กิเลสา ปหีนา’’ติ วทติ, ตโต ‘‘กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภี’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘กิํ โสตาปตฺติมคฺคสฺส, อุทาหุ สกทาคามิมคฺคาทีสุ อญฺญตรสฺสา’’ติฯ สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตธโมฺม ปากโฎ โหติฯ สเจ ‘‘อิเมสํ นามาหํ ธมฺมานํ ลาภี’’ติ วทติ, เอตฺตาวตาปิสฺส วจนํ น สทฺธาตพฺพํฯ พหุสฺสุตา หิ อุคฺคหปริปุจฺฉากุสลา ภิกฺขู อิมานิ ฉ ฐานานิ โสเธตุํ สโกฺกนฺติ, อิมสฺส ปน ภิกฺขุโน อาคมนปฎิปทา โสเธตพฺพาฯ ยทิ อาคมนปฎิปทา น สุชฺฌติ, ‘‘อิมาย ปฎิปทาย โลกุตฺตรธโมฺม นาม น ลพฺภตี’’ติ อปเนตโพฺพฯ ยทิ ปนสฺส อาคมนปฎิปทา สุชฺฌติ, ทีฆรตฺตํ ตีสุ สิกฺขาสุ อปฺปมโตฺต ชาคริยมนุยุโตฺต จตูสุ ปจฺจเยสุ อลโคฺค อากาเส ปาณิสเมน เจตสา วิหรตีติ ปญฺญายติ, ตสฺส ภิกฺขุโน พฺยากรณํ ปฎิปทาย สทฺธิํ สํสนฺทติฯ ‘‘เสยฺยถาปิ นาม คโงฺคทกํ ยมุโนทเกน สํสนฺทติ สเมติ, เอวเมว สุปญฺญตฺตา เตน ภควตา สาวกานํ นิพฺพานคามินี ปฎิปทา, สํสนฺทติ นิพฺพานญฺจ ปฎิปทา จา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๙๖) วุตฺตสทิสํ โหติฯ อปิจ โข น เอตฺตเกนปิ สกฺกาโร กาตโพฺพฯ กสฺมา? เอกจฺจสฺส หิ ปุถุชฺชนสฺสปิ สโต ขีณาสวสฺส ปฎิปตฺติสทิสา ปฎิปตฺติ โหติ, ตสฺมา โส ภิกฺขุ เตหิ เตหิ อุปาเยหิ อุตฺตาเสตโพฺพฯ ขีณาสวสฺส นาม อสนิยาปิ มตฺถเก ปตมานาย ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา โลมหํโส วา น โหติ, ปุถุชฺชนสฺส อปฺปมตฺตเกนปิ โหติฯ

    Sace ‘‘ime nāma me kilesā pahīnā’’ti vadati, tato ‘‘katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhī’’ti pucchitabbo, ‘‘kiṃ sotāpattimaggassa, udāhu sakadāgāmimaggādīsu aññatarassā’’ti. Sabbesañhi attanā adhigatadhammo pākaṭo hoti. Sace ‘‘imesaṃ nāmāhaṃ dhammānaṃ lābhī’’ti vadati, ettāvatāpissa vacanaṃ na saddhātabbaṃ. Bahussutā hi uggahaparipucchākusalā bhikkhū imāni cha ṭhānāni sodhetuṃ sakkonti, imassa pana bhikkhuno āgamanapaṭipadā sodhetabbā. Yadi āgamanapaṭipadā na sujjhati, ‘‘imāya paṭipadāya lokuttaradhammo nāma na labbhatī’’ti apanetabbo. Yadi panassa āgamanapaṭipadā sujjhati, dīgharattaṃ tīsu sikkhāsu appamatto jāgariyamanuyutto catūsu paccayesu alaggo ākāse pāṇisamena cetasā viharatīti paññāyati, tassa bhikkhuno byākaraṇaṃ paṭipadāya saddhiṃ saṃsandati. ‘‘Seyyathāpi nāma gaṅgodakaṃ yamunodakena saṃsandati sameti, evameva supaññattā tena bhagavatā sāvakānaṃ nibbānagāminī paṭipadā, saṃsandati nibbānañca paṭipadā cā’’ti (dī. ni. 2.296) vuttasadisaṃ hoti. Apica kho na ettakenapi sakkāro kātabbo. Kasmā? Ekaccassa hi puthujjanassapi sato khīṇāsavassa paṭipattisadisā paṭipatti hoti, tasmā so bhikkhu tehi tehi upāyehi uttāsetabbo. Khīṇāsavassa nāma asaniyāpi matthake patamānāya bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā lomahaṃso vā na hoti, puthujjanassa appamattakenapi hoti.

    ตตฺริมานิ วตฺถูนิ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๐๒) – ทีฆภาณกอภยเตฺถโร กิร เอกํ ปิณฺฑปาติกํ ปริคฺคเหตุํ อสโกฺกโนฺต ทหรสฺส สญฺญํ อทาสิฯ โส ตํ นหายมานํ กลฺยาณีนทีมุขทฺวาเร นิมุชฺชิตฺวา ปาเท อคฺคเหสิฯ ปิณฺฑปาติโก ‘‘กุมฺภีโล’’ติ สญฺญาย มหาสทฺทมกาสิ, ตทา นํ ‘‘ปุถุชฺชโน’’ติ ชานิํสุฯ

    Tatrimāni vatthūni (ma. ni. aṭṭha. 3.102) – dīghabhāṇakaabhayatthero kira ekaṃ piṇḍapātikaṃ pariggahetuṃ asakkonto daharassa saññaṃ adāsi. So taṃ nahāyamānaṃ kalyāṇīnadīmukhadvāre nimujjitvā pāde aggahesi. Piṇḍapātiko ‘‘kumbhīlo’’ti saññāya mahāsaddamakāsi, tadā naṃ ‘‘puthujjano’’ti jāniṃsu.

    จนฺทมุขติสฺสราชกาเล ปน มหาวิหาเร สงฺฆเตฺถโร ขีณาสโว ทุพฺพลจกฺขุโก วิหาเรเยว อจฺฉติฯ ราชา ‘‘เถรํ ปริคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ ภิกฺขูสุ ภิกฺขาจารํ คเตสุ อปฺปสโทฺท อุปสงฺกมิตฺวา สโปฺป วิย ปาเท อคฺคเหสิฯ เถโร สิลาถโมฺภ วิย นิจฺจโล หุตฺวา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ, ภเนฺต, ติโสฺส’’ติ? ‘‘สุคนฺธํ วายสิ โน ติสฺสา’’ติฯ เอวํ ขีณาสวสฺส ภยํ นาม นตฺถิฯ

    Candamukhatissarājakāle pana mahāvihāre saṅghatthero khīṇāsavo dubbalacakkhuko vihāreyeva acchati. Rājā ‘‘theraṃ pariggaṇhissāmī’’ti bhikkhūsu bhikkhācāraṃ gatesu appasaddo upasaṅkamitvā sappo viya pāde aggahesi. Thero silāthambho viya niccalo hutvā ‘‘ko etthā’’ti āha. ‘‘Ahaṃ, bhante, tisso’’ti? ‘‘Sugandhaṃ vāyasi no tissā’’ti. Evaṃ khīṇāsavassa bhayaṃ nāma natthi.

    เอกโจฺจ ปน ปุถุชฺชโนปิ อติสูโร โหติ นิพฺภโยฯ โส รชนีเยน อารมฺมเณน ปริคฺคณฺหิตโพฺพฯ วสภราชาปิ เอกํ เถรํ ปริคฺคณฺหมาโน ฆเร นิสีทาเปตฺวา ตสฺส สนฺติเก พทรสาฬวํ มทฺทมาโน นิสีทิฯ มหาเถรสฺส เขโฬ จลิโต, เถรสฺส ปุถุชฺชนภาโว อาวิภูโตฯ ขีณาสวสฺส หิ รสตณฺหา นาม สุปฺปหีนา, ทิเพฺพสุปิ รเสสุ นิกนฺติ นาม น โหติ, ตสฺมา อิเมหิ อุปาเยหิ ปริคฺคเหตฺวา สจสฺส ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา รสตณฺหา วา อุปฺปชฺชติ, ‘‘น จ ตฺวํ อรหา’’ติ อปเนตโพฺพฯ สเจ ปน อภีรุ อจฺฉมฺภี อนุตฺราสี หุตฺวา สีโห วิย นิสีทติ, ทิพฺพารมฺมเณปิ นิกนฺติํ น ชเนติ, อยํ ภิกฺขุ สมฺปนฺนเวยฺยากรโณ สมนฺตา ราชราชมหามตฺตาทีหิ เปสิตํ สกฺการํ อรหตีติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ ตาว อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนํ วินิจฺฉินิตพฺพํฯ

    Ekacco pana puthujjanopi atisūro hoti nibbhayo. So rajanīyena ārammaṇena pariggaṇhitabbo. Vasabharājāpi ekaṃ theraṃ pariggaṇhamāno ghare nisīdāpetvā tassa santike badarasāḷavaṃ maddamāno nisīdi. Mahātherassa kheḷo calito, therassa puthujjanabhāvo āvibhūto. Khīṇāsavassa hi rasataṇhā nāma suppahīnā, dibbesupi rasesu nikanti nāma na hoti, tasmā imehi upāyehi pariggahetvā sacassa bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā rasataṇhā vā uppajjati, ‘‘na ca tvaṃ arahā’’ti apanetabbo. Sace pana abhīru acchambhī anutrāsī hutvā sīho viya nisīdati, dibbārammaṇepi nikantiṃ na janeti, ayaṃ bhikkhu sampannaveyyākaraṇo samantā rājarājamahāmattādīhi pesitaṃ sakkāraṃ arahatīti veditabbo. Evaṃ tāva uttarimanussadhammārocanaṃ vinicchinitabbaṃ.

    ๒๓๔. สกเล ปน วินยวินิจฺฉเย (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๔๕) โกสลฺลํ ปตฺถยเนฺตน จตุพฺพิโธ วินโย ชานิตโพฺพฯ

    234. Sakale pana vinayavinicchaye (pārā. aṭṭha. 1.45) kosallaṃ patthayantena catubbidho vinayo jānitabbo.

    จตุพฺพิธญฺหิ วินยํ, มหาเถรา มหิทฺธิกา;

    Catubbidhañhi vinayaṃ, mahātherā mahiddhikā;

    นีหริตฺวา ปกาเสสุํ, ธมฺมสงฺคาหกา ปุราฯ

    Nīharitvā pakāsesuṃ, dhammasaṅgāhakā purā.

    กตมํ จตุพฺพิธํ? สุตฺตํ สุตฺตานุโลมํ อาจริยวาทํ อตฺตโนมตินฺติฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อาหจฺจปเทน โข, มหาราช, รเสน อาจริยวํเสน อธิปฺปายา’’ติ (มิ. ป. ๔.๒.๓)ฯ เอตฺถ หิ อาหจฺจปทนฺติ สุตฺตํ อธิเปฺปตํฯ รโสติ สุตฺตานุโลมํฯ อาจริยวํโสติ อาจริยวาโทฯ อธิปฺปาโยติ อตฺตโนมติฯ

    Katamaṃ catubbidhaṃ? Suttaṃ suttānulomaṃ ācariyavādaṃ attanomatinti. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘āhaccapadena kho, mahārāja, rasena ācariyavaṃsena adhippāyā’’ti (mi. pa. 4.2.3). Ettha hi āhaccapadanti suttaṃ adhippetaṃ. Rasoti suttānulomaṃ. Ācariyavaṃsoti ācariyavādo. Adhippāyoti attanomati.

    ตตฺถ สุตฺตํ นาม สกลวินยปิฎเก ปาฬิฯ

    Tattha suttaṃ nāma sakalavinayapiṭake pāḷi.

    สุตฺตานุโลมํ นาม จตฺตาโร มหาปเทสาฯ เย ภควตา เอวํ วุตฺตา –

    Suttānulomaṃ nāma cattāro mahāpadesā. Ye bhagavatā evaṃ vuttā –

    ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ น กปฺปตี’ติ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ, ตเญฺจ อกปฺปิยํ อนุโลเมติ, กปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว น กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ น กปฺปตี’ติ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ, ตเญฺจ กปฺปิยํ อนุโลเมติ, อกปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ กปฺปตี’ติ อนนุญฺญาตํ, ตํ เจ อกปฺปิยํ อนุโลเมติ, กปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว น กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ กปฺปตี’ติ อนนุญฺญาตํ, ตเญฺจ กปฺปิยํ อนุโลเมติ, อกปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว กปฺปตี’’ติ (มหาว. ๓๐๕)ฯ

    ‘‘Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ na kappatī’ti appaṭikkhittaṃ, tañce akappiyaṃ anulometi, kappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo na kappati. Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ na kappatī’ti appaṭikkhittaṃ, tañce kappiyaṃ anulometi, akappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo kappati. Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ kappatī’ti ananuññātaṃ, taṃ ce akappiyaṃ anulometi, kappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo na kappati. Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ kappatī’ti ananuññātaṃ, tañce kappiyaṃ anulometi, akappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo kappatī’’ti (mahāva. 305).

    อาจริยวาโท นาม ธมฺมสงฺคาหเกหิ ปญฺจหิ อรหนฺตสเตหิ ฐปิตา ปาฬิวินิมุตฺตา โอกฺกนฺตวินิจฺฉยปฺปวตฺตา อฎฺฐกถาตนฺติฯ

    Ācariyavādo nāma dhammasaṅgāhakehi pañcahi arahantasatehi ṭhapitā pāḷivinimuttā okkantavinicchayappavattā aṭṭhakathātanti.

    อตฺตโนมติ นาม สุตฺตสุตฺตานุโลมอาจริยวาเท มุญฺจิตฺวา อนุมาเนน อตฺตโน อนุพุทฺธิยา นยคฺคาเหน อุปฎฺฐิตาการกถนํฯ

    Attanomati nāma suttasuttānulomaācariyavāde muñcitvā anumānena attano anubuddhiyā nayaggāhena upaṭṭhitākārakathanaṃ.

    อปิจ สุตฺตนฺตาภิธมฺมวินยฎฺฐกถาสุ อาคโต สโพฺพปิ เถรวาโท อตฺตโนมติ นามฯ ตํ ปน อตฺตโนมติํ คเหตฺวา กเถเนฺตน น ทฬฺหคฺคาหํ คเหตฺวา โวหริตพฺพํ, การณํ สลฺลเกฺขตฺวา อเตฺถน ปาฬิํ, ปาฬิยา จ อตฺถํ สํสนฺทิตฺวา กเถตพฺพํ, อตฺตโนมติ อาจริยวาเท โอตาเรตพฺพาฯ สเจ ตตฺถ โอตรติ เจว สเมติ จ, คเหตพฺพาฯ สเจ เนว โอตรติ น สเมติ, น คเหตพฺพาฯ อยญฺหิ อตฺตโนมติ นาม สพฺพทุพฺพลา, อตฺตโนมติโต อาจริยวาโท พลวตโรฯ

    Apica suttantābhidhammavinayaṭṭhakathāsu āgato sabbopi theravādo attanomati nāma. Taṃ pana attanomatiṃ gahetvā kathentena na daḷhaggāhaṃ gahetvā voharitabbaṃ, kāraṇaṃ sallakkhetvā atthena pāḷiṃ, pāḷiyā ca atthaṃ saṃsanditvā kathetabbaṃ, attanomati ācariyavāde otāretabbā. Sace tattha otarati ceva sameti ca, gahetabbā. Sace neva otarati na sameti, na gahetabbā. Ayañhi attanomati nāma sabbadubbalā, attanomatito ācariyavādo balavataro.

    อาจริยวาโทปิ สุตฺตานุโลเม โอตาเรตโพฺพฯ ตตฺถ โอตรโนฺต สเมโนฺต เอว คเหตโพฺพ, อิตโร น คเหตโพฺพฯ อาจริยวาทโต หิ สุตฺตานุโลมํ พลวตรํฯ

    Ācariyavādopi suttānulome otāretabbo. Tattha otaranto samento eva gahetabbo, itaro na gahetabbo. Ācariyavādato hi suttānulomaṃ balavataraṃ.

    สุตฺตานุโลมมฺปิ สุเตฺต โอตาเรตพฺพํฯ ตตฺถ โอตรนฺตํ สเมนฺตเมว คเหตพฺพํ, อิตรํ น คเหตพฺพํฯ สุตฺตานุโลมโต หิ สุตฺตเมว พลวตรํฯ สุตฺตญฺหิ อปฺปฎิวตฺติยํ การกสงฺฆสทิสํ พุทฺธานํ ฐิตกาลสทิสํฯ ตสฺมา ยทา เทฺว ภิกฺขู สากจฺฉนฺติ, สกวาที สุตฺตํ คเหตฺวา กเถติ, ปรวาที สุตฺตานุโลมํฯ เตหิ อญฺญมญฺญํ เขปํ วา ครหํ วา อกตฺวา สุตฺตานุโลมํ สุเตฺต โอตาเรตพฺพํฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพํ, โน เจ, น คเหตพฺพํ, สุตฺตสฺมิํเยว ฐาตพฺพํฯ อถายํ สุตฺตํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อาจริยวาทํฯ เตหิปิ อญฺญมญฺญํ เขปํ วา ครหํ วา อกตฺวา อาจริยวาโท สุเตฺต โอตาเรตโพฺพฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตโพฺพฯ อโนตรโนฺต อสเมโนฺต จ คารยฺหาจริยวาโท น คเหตโพฺพ, สุตฺตสฺมิํเยว ฐาตพฺพํฯ อถายํ สุตฺตํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อตฺตโนมติํฯ เตหิปิ อญฺญมญฺญํ เขปํ วา ครหํ วา อกตฺวา อตฺตโนมติ สุเตฺต โอตาเรตพฺพาฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพา, โน เจ, น คเหตพฺพา, สุตฺตสฺมิํเยว ฐาตพฺพํฯ

    Suttānulomampi sutte otāretabbaṃ. Tattha otarantaṃ samentameva gahetabbaṃ, itaraṃ na gahetabbaṃ. Suttānulomato hi suttameva balavataraṃ. Suttañhi appaṭivattiyaṃ kārakasaṅghasadisaṃ buddhānaṃ ṭhitakālasadisaṃ. Tasmā yadā dve bhikkhū sākacchanti, sakavādī suttaṃ gahetvā katheti, paravādī suttānulomaṃ. Tehi aññamaññaṃ khepaṃ vā garahaṃ vā akatvā suttānulomaṃ sutte otāretabbaṃ. Sace otarati sameti, gahetabbaṃ, no ce, na gahetabbaṃ, suttasmiṃyeva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ suttaṃ gahetvā katheti, paro ācariyavādaṃ. Tehipi aññamaññaṃ khepaṃ vā garahaṃ vā akatvā ācariyavādo sutte otāretabbo. Sace otarati sameti, gahetabbo. Anotaranto asamento ca gārayhācariyavādo na gahetabbo, suttasmiṃyeva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ suttaṃ gahetvā katheti, paro attanomatiṃ. Tehipi aññamaññaṃ khepaṃ vā garahaṃ vā akatvā attanomati sutte otāretabbā. Sace otarati sameti, gahetabbā, no ce, na gahetabbā, suttasmiṃyeva ṭhātabbaṃ.

    อถายํ สุตฺตานุโลมํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตํ, สุตฺตานุโลเม โอตาเรตพฺพํฯ สเจ โอตรติ สเมติ, ติโสฺส สงฺคีติโย อารุฬฺหํ ปาฬิอาคตํ ปญฺญายติ, คเหตพฺพํ, โน เจ ตถา ปญฺญายติ, น โอตรติ น สเมติ, พาหิรกสุตฺตํ วา โหติ สิโลโก วา อญฺญํ วา คารยฺหสุตฺตํ คุฬฺหเวสฺสนฺตรคุฬฺหวินยเวทลฺลาทีนํ อญฺญตรโต อาภตํ, น คเหตพฺพํ, สุตฺตานุโลมสฺมิํเยว ฐาตพฺพํฯ อถายํ สุตฺตานุโลมํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อาจริยวาทํฯ อาจริยวาโท สุตฺตานุโลเม โอตาเรตโพฺพฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตโพฺพฯ โน เจ, น คเหตโพฺพ, สุตฺตานุโลเมเยว ฐาตพฺพํฯ อถายํ สุตฺตานุโลมํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อตฺตโนมติํฯ อตฺตโนมติ สุตฺตานุโลเม โอตาเรตพฺพาฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพาฯ โน เจ, น คเหตพฺพา, สุตฺตานุโลเมเยว ฐาตพฺพํฯ

    Athāyaṃ suttānulomaṃ gahetvā katheti, paro suttaṃ, suttānulome otāretabbaṃ. Sace otarati sameti, tisso saṅgītiyo āruḷhaṃ pāḷiāgataṃ paññāyati, gahetabbaṃ, no ce tathā paññāyati, na otarati na sameti, bāhirakasuttaṃ vā hoti siloko vā aññaṃ vā gārayhasuttaṃ guḷhavessantaraguḷhavinayavedallādīnaṃ aññatarato ābhataṃ, na gahetabbaṃ, suttānulomasmiṃyeva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ suttānulomaṃ gahetvā katheti, paro ācariyavādaṃ. Ācariyavādo suttānulome otāretabbo. Sace otarati sameti, gahetabbo. No ce, na gahetabbo, suttānulomeyeva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ suttānulomaṃ gahetvā katheti, paro attanomatiṃ. Attanomati suttānulome otāretabbā. Sace otarati sameti, gahetabbā. No ce, na gahetabbā, suttānulomeyeva ṭhātabbaṃ.

    อถายํ อาจริยวาทํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตํฯ สุตฺตํ อาจริยวาเท โอตาเรตพฺพํฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพํฯ อิตรํ คารยฺหสุตฺตํ น คเหตพฺพํ, อาจริยวาเทเยว ฐาตพฺพํฯ อถายํ อาจริยวาทํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตานุโลมํฯ สุตฺตานุโลมํ อาจริยวาเท โอตาเรตพฺพํฯ โอตรนฺตํ สเมนฺตเมว คเหตพฺพํ, อิตรํ น คเหตพฺพํ, อาจริยวาเทเยว ฐาตพฺพํฯ อถายํ อาจริยวาทํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อตฺตโนมติํฯ อตฺตโนมติ อาจริยวาเท โอตาเรตพฺพาฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพาฯ โน เจ, น คเหตพฺพา, อาจริยวาเทเยว ฐาตพฺพํฯ

    Athāyaṃ ācariyavādaṃ gahetvā katheti, paro suttaṃ. Suttaṃ ācariyavāde otāretabbaṃ. Sace otarati sameti, gahetabbaṃ. Itaraṃ gārayhasuttaṃ na gahetabbaṃ, ācariyavādeyeva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ ācariyavādaṃ gahetvā katheti, paro suttānulomaṃ. Suttānulomaṃ ācariyavāde otāretabbaṃ. Otarantaṃ samentameva gahetabbaṃ, itaraṃ na gahetabbaṃ, ācariyavādeyeva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ ācariyavādaṃ gahetvā katheti, paro attanomatiṃ. Attanomati ācariyavāde otāretabbā. Sace otarati sameti, gahetabbā. No ce, na gahetabbā, ācariyavādeyeva ṭhātabbaṃ.

    อถ ปนายํ อตฺตโนมติํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตํฯ สุตฺตํ อตฺตโนมติยํ โอตาเรตพฺพํฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพํฯ อิตรํ คารยฺหสุตฺตํ น คเหตพฺพํ, อตฺตโนมติยเมว ฐาตพฺพํฯ อถายํ อตฺตโนมติํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตานุโลมํฯ สุตฺตานุโลมํ อตฺตโนมติยํ โอตาเรตพฺพํฯ โอตรนฺตํ สเมนฺตเมว คเหตพฺพํ, อิตรํ น คเหตพฺพํ, อตฺตโนมติยเมว ฐาตพฺพํฯ อถายํ อตฺตโนมติํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อาจริยวาทํฯ อาจริยวาโท อตฺตโนมติยํ โอตาเรตโพฺพฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตโพฺพฯ อิตโร คารยฺหาจริยวาโท น คเหตโพฺพ, อตฺตโนมติยเมว ฐาตพฺพํ, อตฺตโน คหณเมว พลิยํ กาตพฺพํฯ สพฺพฎฺฐาเนสุ จ เขโป วา ครหา วา น กาตพฺพาติฯ

    Atha panāyaṃ attanomatiṃ gahetvā katheti, paro suttaṃ. Suttaṃ attanomatiyaṃ otāretabbaṃ. Sace otarati sameti, gahetabbaṃ. Itaraṃ gārayhasuttaṃ na gahetabbaṃ, attanomatiyameva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ attanomatiṃ gahetvā katheti, paro suttānulomaṃ. Suttānulomaṃ attanomatiyaṃ otāretabbaṃ. Otarantaṃ samentameva gahetabbaṃ, itaraṃ na gahetabbaṃ, attanomatiyameva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ attanomatiṃ gahetvā katheti, paro ācariyavādaṃ. Ācariyavādo attanomatiyaṃ otāretabbo. Sace otarati sameti, gahetabbo. Itaro gārayhācariyavādo na gahetabbo, attanomatiyameva ṭhātabbaṃ, attano gahaṇameva baliyaṃ kātabbaṃ. Sabbaṭṭhānesu ca khepo vā garahā vā na kātabbāti.

    อถ ปนายํ กปฺปิยนฺติ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อกปฺปิยนฺติ, สุเตฺต จ สุตฺตานุโลเม จ โอตาเรตพฺพํฯ สเจ กปฺปิยํ โหติ, กปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ สเจ อกปฺปิยํ, อกปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ อถายํ ตสฺส กปฺปิยภาวสาธกํ สุตฺตโต พหุํ การณญฺจ วินิจฺฉยญฺจ ทเสฺสติ, ปโร การณํ น วินฺทติ, กปฺปิเยว ฐาตพฺพํฯ อถ ปโร ตสฺส อกปฺปิยภาวสาธกํ สุตฺตโต พหุํ การณญฺจ วินิจฺฉยญฺจ ทเสฺสติ, อเนน อตฺตโน คหณนฺติ กตฺวา ทฬฺหํ อาทาย น ฐาตพฺพํ, ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อกปฺปิเย เอว ฐาตพฺพํฯ อถ ทฺวินฺนมฺปิ การณจฺฉายา ทิสฺสติ, ปฎิกฺขิตฺตภาโวเยว สาธุ, อกปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ วินยญฺหิ ปตฺวา กปฺปิยากปฺปิยวิจารณํ อาคมฺม รุนฺธิตพฺพํ, คาฬฺหํ กตฺตพฺพํ, โสตํ ปจฺฉินฺทิตพฺพํ, ครุกภาเวเยว ฐาตพฺพํฯ

    Atha panāyaṃ kappiyanti gahetvā katheti, paro akappiyanti, sutte ca suttānulome ca otāretabbaṃ. Sace kappiyaṃ hoti, kappiye ṭhātabbaṃ. Sace akappiyaṃ, akappiye ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ tassa kappiyabhāvasādhakaṃ suttato bahuṃ kāraṇañca vinicchayañca dasseti, paro kāraṇaṃ na vindati, kappiyeva ṭhātabbaṃ. Atha paro tassa akappiyabhāvasādhakaṃ suttato bahuṃ kāraṇañca vinicchayañca dasseti, anena attano gahaṇanti katvā daḷhaṃ ādāya na ṭhātabbaṃ, ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā akappiye eva ṭhātabbaṃ. Atha dvinnampi kāraṇacchāyā dissati, paṭikkhittabhāvoyeva sādhu, akappiye ṭhātabbaṃ. Vinayañhi patvā kappiyākappiyavicāraṇaṃ āgamma rundhitabbaṃ, gāḷhaṃ kattabbaṃ, sotaṃ pacchinditabbaṃ, garukabhāveyeva ṭhātabbaṃ.

    อถ ปนายํ อกปฺปิยนฺติ คเหตฺวา กเถติ, ปโร กปฺปิยนฺติ, สุเตฺต จ สุตฺตานุโลเม จ โอตาเรตพฺพํฯ สเจ กปฺปิยํ โหติ, กปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ สเจ อกปฺปิยํ, อกปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ อถายํ พหูหิ สุตฺตวินิจฺฉยการเณหิ อกปฺปิยภาวํ ทเสฺสติ, ปโร การณํ น วินฺทติ, อกปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ อถ ปโร พหูหิ สุตฺตวินิจฺฉยการเณหิ กปฺปิยภาวํ ทเสฺสติ, อยํ การณํ น วินฺทติ, กปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ อถ ทฺวินฺนมฺปิ การณจฺฉายา ทิสฺสติ, อตฺตโน คหณํ น วิสฺสเชฺชตพฺพํฯ ยถา จายํ กปฺปิยากปฺปิเย อกปฺปิยกปฺปิเย จ วินิจฺฉโย วุโตฺต, เอวํ อนาปตฺติอาปตฺติวาเท อาปตฺตานาปตฺติวาเท จ, ลหุกครุกาปตฺติวาเท ครุกลหุกาปตฺติวาเท จาปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ นามมเตฺตเยว หิ เอตฺถ นานํ, โยชนานเย นานํ นตฺถิ, ตสฺมา น วิตฺถาริตํฯ

    Atha panāyaṃ akappiyanti gahetvā katheti, paro kappiyanti, sutte ca suttānulome ca otāretabbaṃ. Sace kappiyaṃ hoti, kappiye ṭhātabbaṃ. Sace akappiyaṃ, akappiye ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ bahūhi suttavinicchayakāraṇehi akappiyabhāvaṃ dasseti, paro kāraṇaṃ na vindati, akappiye ṭhātabbaṃ. Atha paro bahūhi suttavinicchayakāraṇehi kappiyabhāvaṃ dasseti, ayaṃ kāraṇaṃ na vindati, kappiye ṭhātabbaṃ. Atha dvinnampi kāraṇacchāyā dissati, attano gahaṇaṃ na vissajjetabbaṃ. Yathā cāyaṃ kappiyākappiye akappiyakappiye ca vinicchayo vutto, evaṃ anāpattiāpattivāde āpattānāpattivāde ca, lahukagarukāpattivāde garukalahukāpattivāde cāpi vinicchayo veditabbo. Nāmamatteyeva hi ettha nānaṃ, yojanānaye nānaṃ natthi, tasmā na vitthāritaṃ.

    เอวํ กปฺปิยากปฺปิยาทิวินิจฺฉเย อุปฺปเนฺน โย สุตฺตสุตฺตานุโลมอาจริยวาทอตฺตโนมตีสุ อติเรกการณํ ลภติ, ตสฺส วาเท ฐาตพฺพํ, สพฺพโส ปน การณวินิจฺฉยํ อลภเนฺตน สุตฺตํ น ชหิตพฺพํ, สุตฺตสฺมิํเยว ฐาตพฺพนฺติฯ เอวํ สกลวินยวินิจฺฉเย โกสลฺลํ ปตฺถยเนฺตน อยํ จตุพฺพิโธ วินโย ชานิตโพฺพฯ

    Evaṃ kappiyākappiyādivinicchaye uppanne yo suttasuttānulomaācariyavādaattanomatīsu atirekakāraṇaṃ labhati, tassa vāde ṭhātabbaṃ, sabbaso pana kāraṇavinicchayaṃ alabhantena suttaṃ na jahitabbaṃ, suttasmiṃyeva ṭhātabbanti. Evaṃ sakalavinayavinicchaye kosallaṃ patthayantena ayaṃ catubbidho vinayo jānitabbo.

    อิมญฺจ ปน จตุพฺพิธํ วินยํ ญตฺวาปิ วินยธเรน ปุคฺคเลน ติลกฺขณสมนฺนาคเตน ภวิตพฺพํฯ ตีณิ หิ วินยธรสฺส ลกฺขณานิ อิจฺฉิตพฺพานิฯ กตมานิ ตีณิ? สุตฺตญฺจสฺส สฺวาคตํ โหติ สุปฺปวตฺติ สุวินิจฺฉิตํ สุตฺตโต อนุพฺยญฺชนโสติ อิทเมกํ ลกฺขณํฯ วินเย โข ปน ฐิโต โหติ อสํหีโรติ อิทํ ทุติยํฯ อาจริยปรมฺปรา โข ปนสฺส สุคฺคหิตา โหติ สุมนสิกตา สูปธาริตาติ อิทํ ตติยํฯ

    Imañca pana catubbidhaṃ vinayaṃ ñatvāpi vinayadharena puggalena tilakkhaṇasamannāgatena bhavitabbaṃ. Tīṇi hi vinayadharassa lakkhaṇāni icchitabbāni. Katamāni tīṇi? Suttañcassa svāgataṃ hoti suppavatti suvinicchitaṃ suttato anubyañjanasoti idamekaṃ lakkhaṇaṃ. Vinaye kho pana ṭhito hoti asaṃhīroti idaṃ dutiyaṃ. Ācariyaparamparā kho panassa suggahitā hoti sumanasikatā sūpadhāritāti idaṃ tatiyaṃ.

    ตตฺถ สุตฺตํ นาม สกลํ วินยปิฎกํฯ ตทสฺส สฺวาคตํ โหตีติ สุฎฺฐุ อาคตํฯ สุปฺปวตฺตีติ สุฎฺฐุ ปวตฺตํ ปคุณํ วาจุคฺคตํฯ สุวินิจฺฉิตํ สุตฺตโส อนุพฺยญฺชนโสติ ปาฬิโต จ ปริปุจฺฉโต จ อฎฺฐกถาโต จ สุวินิจฺฉิตํ โหติ กงฺขาเฉทนํ กตฺวา อุคฺคหิตํฯ วินเย โข ปน ฐิโต โหตีติ วินเย ลชฺชิภาเวน ปติฎฺฐิโต โหติฯ อลชฺชี หิ พหุสฺสุโตปิ สมาโน ลาภครุกตาย ตนฺติํ วิสํวาเทตฺวา อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุสาสนํ ทีเปตฺวา สาสเน มหนฺตํ อุปทฺทวํ กโรติ, สงฺฆเภทมฺปิ สงฺฆราชิมฺปิ อุปฺปาเทติฯ ลชฺชี ปน กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโม ชีวิตเหตุปิ ตนฺติํ อวิสํวาเทตฺวา ธมฺมเมว วินยเมว ทีเปติ, สตฺถุสาสนํ ครุกํ กตฺวา ฐเปติฯ ตถา หิ ปุเพฺพ มหาเถรา ติกฺขตฺตุํ วาจํ นิจฺฉาเรสุํ ‘‘อนาคเต ลชฺชี รกฺขิสฺสติ, ลชฺชี รกฺขิสฺสติ, ลชฺชี รกฺขิสฺสตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๔๕)ฯ เอวํ โย ลชฺชี, โส วินยํ อวิชหโนฺต อโวกฺกมโนฺต ลชฺชิภาเวเนว วินเย ฐิโต โหติ สุปฺปติฎฺฐิโตติฯ

    Tattha suttaṃ nāma sakalaṃ vinayapiṭakaṃ. Tadassa svāgataṃ hotīti suṭṭhu āgataṃ. Suppavattīti suṭṭhu pavattaṃ paguṇaṃ vācuggataṃ. Suvinicchitaṃ suttaso anubyañjanasoti pāḷito ca paripucchato ca aṭṭhakathāto ca suvinicchitaṃ hoti kaṅkhāchedanaṃ katvā uggahitaṃ. Vinaye kho pana ṭhito hotīti vinaye lajjibhāvena patiṭṭhito hoti. Alajjī hi bahussutopi samāno lābhagarukatāya tantiṃ visaṃvādetvā uddhammaṃ ubbinayaṃ satthusāsanaṃ dīpetvā sāsane mahantaṃ upaddavaṃ karoti, saṅghabhedampi saṅgharājimpi uppādeti. Lajjī pana kukkuccako sikkhākāmo jīvitahetupi tantiṃ avisaṃvādetvā dhammameva vinayameva dīpeti, satthusāsanaṃ garukaṃ katvā ṭhapeti. Tathā hi pubbe mahātherā tikkhattuṃ vācaṃ nicchāresuṃ ‘‘anāgate lajjī rakkhissati, lajjīrakkhissati, lajjī rakkhissatī’’ti (pārā. aṭṭha. 1.45). Evaṃ yo lajjī, so vinayaṃ avijahanto avokkamanto lajjibhāveneva vinaye ṭhito hoti suppatiṭṭhitoti.

    อสํหีโรติ สํหีโร นาม โย ปาฬิยํ วา อฎฺฐกถายํ วา เหฎฺฐโต วา อุปริโต วา ปทปฎิปาฎิยา วา ปุจฺฉิยมาโน วิตฺถุนติ วิปฺผนฺทติ สนฺติฎฺฐิตุํ น สโกฺกติ, ยํ ยํ ปเรน วุจฺจติ, ตํ ตํ อนุชานาติ, สกวาทํ ฉเฑฺฑตฺวา ปรวาทํ คณฺหาติฯ โย ปน ปาฬิยํ วา อฎฺฐกถายํ วา เหฎฺฐุปริเยน วา ปทปฎิปาฎิยา วา ปุจฺฉิยมาโน น วิตฺถุนติ น วิปฺผนฺทติ, เอเกกโลมํ สณฺฑาเสน คณฺหโนฺต วิย ‘‘เอวํ มยํ วทาม, เอวํ โน อาจริยา วทนฺตี’’ติ วิสฺสเชฺชติ, ยมฺหิ ปาฬิ จ ปาฬิวินิจฺฉโย จ สุวณฺณภาชเน ปกฺขิตฺตสีหวสา วิย ปริกฺขยํ ปริยาทานํ อคจฺฉโนฺต ติฎฺฐติ, อยํ วุจฺจติ ‘‘อสํหีโร’’ติฯ

    Asaṃhīroti saṃhīro nāma yo pāḷiyaṃ vā aṭṭhakathāyaṃ vā heṭṭhato vā uparito vā padapaṭipāṭiyā vā pucchiyamāno vitthunati vipphandati santiṭṭhituṃ na sakkoti, yaṃ yaṃ parena vuccati, taṃ taṃ anujānāti, sakavādaṃ chaḍḍetvā paravādaṃ gaṇhāti. Yo pana pāḷiyaṃ vā aṭṭhakathāyaṃ vā heṭṭhupariyena vā padapaṭipāṭiyā vā pucchiyamāno na vitthunati na vipphandati, ekekalomaṃ saṇḍāsena gaṇhanto viya ‘‘evaṃ mayaṃ vadāma, evaṃ no ācariyā vadantī’’ti vissajjeti, yamhi pāḷi ca pāḷivinicchayo ca suvaṇṇabhājane pakkhittasīhavasā viya parikkhayaṃ pariyādānaṃ agacchanto tiṭṭhati, ayaṃ vuccati ‘‘asaṃhīro’’ti.

    อาจริยปรมฺปรา โข ปนสฺส สุคฺคหิตา โหตีติ เถรปรมฺปรา วํสปรมฺปรา อสฺส สุฎฺฐุ คหิตา โหติฯ สุมนสิกตาติ สุฎฺฐุ มนสิกตา, อาวชฺชิตมเตฺต อุชฺชลิตปทีโป วิย โหติฯ สูปธาริตาติ สุฎฺฐุ อุปธาริตา ปุพฺพาปรานุสนฺธิโต อตฺถโต การณโต จ อุปธาริตา ฯ อตฺตโนมติํ ปหาย อาจริยสุทฺธิยา วตฺตา โหติ, ‘‘มยฺหํ อาจริโย อสุกาจริยสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหิ, โส อสุกสฺสา’’ติ เอวํ สพฺพํ อาจริยปรมฺปรํ เถรวาทงฺคํ หริตฺวา ยาว อุปาลิเตฺถโร สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหีติ ปาเปตฺวา ฐเปติ, ตโตปิ อาหริตฺวา อุปาลิเตฺถโร สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหิ, ทาสกเตฺถโร อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส อุปาลิเตฺถรสฺส, โสณเตฺถโร อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส ทาสกเตฺถรสฺส, สิคฺควเตฺถโร อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส โสณเตฺถรสฺส, โมคฺคลิปุตฺตติสฺสเตฺถโร อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส สิคฺควเตฺถรสฺส จณฺฑวชฺชิเตฺถรสฺส จาติ เอวํ สพฺพํ อาจริยปรมฺปรํ เถรวาทงฺคํ อาหริตฺวา อตฺตโน อาจริยํ ปาเปตฺวา ฐเปติฯ เอวํ อุคฺคหิตา หิ อาจริยปรมฺปรา สุคฺคหิตา โหติฯ เอวํ อสโกฺกเนฺตน ปน อวสฺสํ เทฺว ตโย ปริวฎฺฎา อุคฺคเหตพฺพาฯ สพฺพปจฺฉิเมน หิ นเยน ยถา อาจริโย อาจริยาจริโย จ ปาฬิญฺจ ปริปุจฺฉญฺจ วทนฺติ, ตถา ญาตุํ วฎฺฎติฯ

    Ācariyaparamparā kho panassa suggahitā hotīti theraparamparā vaṃsaparamparā assa suṭṭhu gahitā hoti. Sumanasikatāti suṭṭhu manasikatā, āvajjitamatte ujjalitapadīpo viya hoti. Sūpadhāritāti suṭṭhu upadhāritā pubbāparānusandhito atthato kāraṇato ca upadhāritā . Attanomatiṃ pahāya ācariyasuddhiyā vattā hoti, ‘‘mayhaṃ ācariyo asukācariyassa santike uggaṇhi, so asukassā’’ti evaṃ sabbaṃ ācariyaparamparaṃ theravādaṅgaṃ haritvā yāva upālitthero sammāsambuddhassa santike uggaṇhīti pāpetvā ṭhapeti, tatopi āharitvā upālitthero sammāsambuddhassa santike uggaṇhi, dāsakatthero attano upajjhāyassa upālittherassa, soṇatthero attano upajjhāyassa dāsakattherassa, siggavatthero attano upajjhāyassa soṇattherassa, moggaliputtatissatthero attano upajjhāyassa siggavattherassa caṇḍavajjittherassa cāti evaṃ sabbaṃ ācariyaparamparaṃ theravādaṅgaṃ āharitvā attano ācariyaṃ pāpetvā ṭhapeti. Evaṃ uggahitā hi ācariyaparamparā suggahitā hoti. Evaṃ asakkontena pana avassaṃ dve tayo parivaṭṭā uggahetabbā. Sabbapacchimena hi nayena yathā ācariyo ācariyācariyo ca pāḷiñca paripucchañca vadanti, tathā ñātuṃ vaṭṭati.

    อิเมหิ จ ปน ตีหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคเตน วินยธเรน วตฺถุวินิจฺฉยตฺถํ สนฺนิปติเต สเงฺฆ โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ โจทเกน จ จุทิตเกน จ วุเตฺต วตฺตเพฺพ สหสา อวินิจฺฉินิตฺวาว ฉ ฐานานิ โอโลเกตพฺพานิฯ กตมานิ ฉ? วตฺถุ โอโลเกตพฺพํ, มาติกา โอโลเกตพฺพา, ปทภาชนียํ โอโลเกตพฺพํ, ติกปริเจฺฉโท โอโลเกตโพฺพ, อนฺตราปตฺติ โอโลเกตพฺพา, อนาปตฺติ โอโลเกตพฺพาติฯ

    Imehi ca pana tīhi lakkhaṇehi samannāgatena vinayadharena vatthuvinicchayatthaṃ sannipatite saṅghe otiṇṇe vatthusmiṃ codakena ca cuditakena ca vutte vattabbe sahasā avinicchinitvāva cha ṭhānāni oloketabbāni. Katamāni cha? Vatthu oloketabbaṃ, mātikā oloketabbā, padabhājanīyaṃ oloketabbaṃ, tikaparicchedo oloketabbo, antarāpatti oloketabbā, anāpatti oloketabbāti.

    วตฺถุํ โอโลเกโนฺตปิ หิ ‘‘ติเณน วา ปเณฺณน วา ปฎิจฺฉาเทตฺวา อาคนฺตพฺพํ, น เตฺวว นเคฺคน อาคนฺตพฺพํ, โย อาคเจฺฉยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๕๑๗) เอวํ เอกจฺจํ อาปตฺติํ ปสฺสติ, โส ตํ สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ

    Vatthuṃ olokentopi hi ‘‘tiṇena vā paṇṇena vā paṭicchādetvā āgantabbaṃ, na tveva naggena āgantabbaṃ, yo āgaccheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 517) evaṃ ekaccaṃ āpattiṃ passati, so taṃ suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.

    มาติกํ โอโลเกโนฺตปิ ‘‘สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติย’’นฺติอาทินา (ปาจิ. ๓) นเยน ปญฺจนฺนํ อาปตฺตีนํ อญฺญตรํ อาปตฺติํ ปสฺสติ, โส ตํ สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ

    Mātikaṃ olokentopi ‘‘sampajānamusāvāde pācittiya’’ntiādinā (pāci. 3) nayena pañcannaṃ āpattīnaṃ aññataraṃ āpattiṃ passati, so taṃ suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.

    ปทภาชนียํ โอโลเกโนฺตปิ ‘‘อกฺขยิเต สรีเร เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ เยภุเยฺยน ขยิเต สรีเร เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติอาทินา (ปารา. ๕๙ อตฺถโต สมานํ) นเยน สตฺตนฺนํ อาปตฺตีนํ อญฺญตรํ อาปตฺติํ ปสฺสติ, โส ปทภาชนียโต สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ

    Padabhājanīyaṃ olokentopi ‘‘akkhayite sarīre methunaṃ dhammaṃ paṭisevati, āpatti pārājikassa. Yebhuyyena khayite sarīre methunaṃ dhammaṃ paṭisevati, āpatti thullaccayassā’’tiādinā (pārā. 59 atthato samānaṃ) nayena sattannaṃ āpattīnaṃ aññataraṃ āpattiṃ passati, so padabhājanīyato suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.

    ติกปริเจฺฉทํ โอโลเกโนฺตปิ ติกสงฺฆาทิเสสํ วา ติกปาจิตฺติยํ วา ติกทุกฺกฎํ วา อญฺญตรํ วา อาปตฺติํ ติกปริเจฺฉเท ปสฺสติ, โส ตโต สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ

    Tikaparicchedaṃ olokentopi tikasaṅghādisesaṃ vā tikapācittiyaṃ vā tikadukkaṭaṃ vā aññataraṃ vā āpattiṃ tikaparicchede passati, so tato suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.

    อนฺตราปตฺติํ โอโลเกโนฺตปิ ‘‘ปฎิลาตํ อุกฺขิปติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๕๕) เอวํ ยา สิกฺขาปทนฺตเรสุ อนฺตราปตฺติ โหติ, ตํ ปสฺสติ, โส ตํ สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ

    Antarāpattiṃ olokentopi ‘‘paṭilātaṃ ukkhipati, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 355) evaṃ yā sikkhāpadantaresu antarāpatti hoti, taṃ passati, so taṃ suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.

    อนาปตฺติํ โอโลเกโนฺตปิ ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ อสาทิยนฺตสฺส, อเถยฺยจิตฺตสฺส, น มรณาธิปฺปายสฺส, อนุลฺลปนาธิปฺปายสฺส, น โมจนาธิปฺปายสฺส อสญฺจิจฺจ อสติยา อชานนฺตสฺสา’’ติ (ปารา. ๗๒, ๑๓๖, ๑๘๐, ๒๒๕, ๒๖๓ โถกํ โถกํ วิสทิสํ) เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเท นิทฺทิฎฺฐํ อนาปตฺติํ ปสฺสติ, โส ตํ สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ

    Anāpattiṃ olokentopi ‘‘anāpatti bhikkhu asādiyantassa, atheyyacittassa, na maraṇādhippāyassa, anullapanādhippāyassa, na mocanādhippāyassa asañcicca asatiyā ajānantassā’’ti (pārā. 72, 136, 180, 225, 263 thokaṃ thokaṃ visadisaṃ) evaṃ tasmiṃ tasmiṃ sikkhāpade niddiṭṭhaṃ anāpattiṃ passati, so taṃ suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.

    โย หิ ภิกฺขุ จตุพฺพิธวินยโกวิโท ติลกฺขณสมฺปโนฺน อิมานิ ฉ ฐานานิ โอโลเกตฺวา อธิกรณํ วูปสเมสฺสติ, ตสฺส วินิจฺฉโย อปฺปฎิวตฺติโย พุเทฺธน สยํ นิสีทิตฺวา วินิจฺฉิตสทิโส โหติฯ ตํ เจ เอวํ วินิจฺฉยกุสลํ ภิกฺขุํ โกจิ กตสิกฺขาปทวีติกฺกโม ภิกฺขุ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน กุกฺกุจฺจํ ปุเจฺฉยฺย, เตน สาธุกํ สลฺลเกฺขตฺวา สเจ อนาปตฺติ โหติ, ‘‘อนาปตฺตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ ปน อาปตฺติ โหติ, สา เทสนาคามินี เจ, ‘‘เทสนาคามินี’’ติ วตฺตพฺพํฯ วุฎฺฐานคามินี เจ, ‘‘วุฎฺฐานคามินี’’ติ วตฺตพฺพํฯ อถสฺส ปาราชิกจฺฉายา ทิสฺสติ, ‘‘ปาราชิกาปตฺตี’’ติ น วตฺตพฺพํฯ กสฺมา? เมถุนธมฺมวีติกฺกโม หิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมวีติกฺกโม จ โอฬาริโก, อทินฺนาทานมนอุสฺสวิคฺคหวีติกฺกมา ปน สุขุมา จิตฺตลหุกาฯ เต สุขุเมเนว อาปชฺชติ, สุขุเมน รกฺขติ, ตสฺมา วิเสเสน ตํวตฺถุกํ กุกฺกุจฺจํ ปุจฺฉิยมาโน ‘‘อาปตฺตี’’ติ อวตฺวา สจสฺส อาจริโย ธรติ, ตโต เตน โส ภิกฺขุ ‘‘อมฺหากํ อาจริยํ ปุจฺฉา’’ติ เปเสตโพฺพฯ สเจ โส ปุน อาคนฺตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ อาจริโย สุตฺตโต นยโต โอโลเกตฺวา ‘สเตกิโจฺฉ’ติ มํ อาหา’’ติ วทติ, ตโต เตน โส ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ ยํ อาจริโย ภณติ, ตํ กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ อถ ปนสฺส อาจริโย นตฺถิ, สทฺธิํ อุคฺคหิตเตฺถโร ปน อตฺถิ, ตสฺส สนฺติกํ เปเสตโพฺพ ‘‘อเมฺหหิ สห อุคฺคหิตเตฺถโร คณปาโมโกฺข, ตํ คนฺตฺวา ปุจฺฉา’’ติฯ เตนปิ ‘‘สเตกิโจฺฉ’’ติ วินิจฺฉิเต ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ ตสฺส วจนํ กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ อถ ตสฺส สทฺธิํ อุคฺคหิตเตฺถโรปิ นตฺถิ, อเนฺตวาสิโก ปณฺฑิโต อตฺถิ, ตสฺส สนฺติกํ เปเสตโพฺพ ‘‘อสุกทหรํ คนฺตฺวา ปุจฺฉา’’ติฯ เตนปิ ‘‘สเตกิโจฺฉ’’ติ วินิจฺฉิเต ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ ตสฺส วจนํ กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ อถ ทหรสฺสปิ ปาราชิกจฺฉายาว อุปฎฺฐาติ, เตนปิ ‘‘ปาราชิโกสี’’ติ น วตฺตโพฺพฯ ทุลฺลโภ หิ พุทฺธุปฺปาโท, ตโต ทุลฺลภตรา ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จฯ เอวํ ปน วตฺตโพฺพ ‘‘วิวิตฺตํ โอกาสํ สมฺมชฺชิตฺวา ทิวาวิหารํ นิสีทิตฺวา สีลานิ วิโสเธตฺวา ทฺวตฺติํสาการํ ตาว มนสิกโรหี’’ติฯ สเจ ตสฺส อโรคํ สีลํ, กมฺมฎฺฐานํ ฆฎยติ, สงฺขารา ปากฎา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, อุปจารปฺปนาปฺปตฺตํ วิย จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, ทิวสํ อติกฺกนฺตมฺปิ น ชานาติ, โส ทิวสาติกฺกเม อุปฎฺฐานํ อาคโต เอวํ วตฺตโพฺพ ‘‘กีทิสา เต จิตฺตปฺปวตฺตี’’ติฯ อาโรจิตาย จ จิตฺตปวตฺติยา วตฺตโพฺพ ‘‘ปพฺพชฺชา นาม จิตฺตวิสุทฺธตฺถาย, อปฺปมโตฺต สมณธมฺมํ กโรหี’’ติฯ

    Yo hi bhikkhu catubbidhavinayakovido tilakkhaṇasampanno imāni cha ṭhānāni oloketvā adhikaraṇaṃ vūpasamessati, tassa vinicchayo appaṭivattiyo buddhena sayaṃ nisīditvā vinicchitasadiso hoti. Taṃ ce evaṃ vinicchayakusalaṃ bhikkhuṃ koci katasikkhāpadavītikkamo bhikkhu upasaṅkamitvā attano kukkuccaṃ puccheyya, tena sādhukaṃ sallakkhetvā sace anāpatti hoti, ‘‘anāpattī’’ti vattabbaṃ. Sace pana āpatti hoti, sā desanāgāminī ce, ‘‘desanāgāminī’’ti vattabbaṃ. Vuṭṭhānagāminī ce, ‘‘vuṭṭhānagāminī’’ti vattabbaṃ. Athassa pārājikacchāyā dissati, ‘‘pārājikāpattī’’ti na vattabbaṃ. Kasmā? Methunadhammavītikkamo hi uttarimanussadhammavītikkamo ca oḷāriko, adinnādānamanaussaviggahavītikkamā pana sukhumā cittalahukā. Te sukhumeneva āpajjati, sukhumena rakkhati, tasmā visesena taṃvatthukaṃ kukkuccaṃ pucchiyamāno ‘‘āpattī’’ti avatvā sacassa ācariyo dharati, tato tena so bhikkhu ‘‘amhākaṃ ācariyaṃ pucchā’’ti pesetabbo. Sace so puna āgantvā ‘‘tumhākaṃ ācariyo suttato nayato oloketvā ‘satekiccho’ti maṃ āhā’’ti vadati, tato tena so ‘‘sādhu suṭṭhu yaṃ ācariyo bhaṇati, taṃ karohī’’ti vattabbo. Atha panassa ācariyo natthi, saddhiṃ uggahitatthero pana atthi, tassa santikaṃ pesetabbo ‘‘amhehi saha uggahitatthero gaṇapāmokkho, taṃ gantvā pucchā’’ti. Tenapi ‘‘satekiccho’’ti vinicchite ‘‘sādhu suṭṭhu tassa vacanaṃ karohī’’ti vattabbo. Atha tassa saddhiṃ uggahitattheropi natthi, antevāsiko paṇḍito atthi, tassa santikaṃ pesetabbo ‘‘asukadaharaṃ gantvā pucchā’’ti. Tenapi ‘‘satekiccho’’ti vinicchite ‘‘sādhu suṭṭhu tassa vacanaṃ karohī’’ti vattabbo. Atha daharassapi pārājikacchāyāva upaṭṭhāti, tenapi ‘‘pārājikosī’’ti na vattabbo. Dullabho hi buddhuppādo, tato dullabhatarā pabbajjā ca upasampadā ca. Evaṃ pana vattabbo ‘‘vivittaṃ okāsaṃ sammajjitvā divāvihāraṃ nisīditvā sīlāni visodhetvā dvattiṃsākāraṃ tāva manasikarohī’’ti. Sace tassa arogaṃ sīlaṃ, kammaṭṭhānaṃ ghaṭayati, saṅkhārā pākaṭā hutvā upaṭṭhahanti, upacārappanāppattaṃ viya cittaṃ ekaggaṃ hoti, divasaṃ atikkantampi na jānāti, so divasātikkame upaṭṭhānaṃ āgato evaṃ vattabbo ‘‘kīdisā te cittappavattī’’ti. Ārocitāya ca cittapavattiyā vattabbo ‘‘pabbajjā nāma cittavisuddhatthāya, appamatto samaṇadhammaṃ karohī’’ti.

    ยสฺส ปน สีลํ ภินฺนํ โหติ, ตสฺส กมฺมฎฺฐานํ น ฆฎยติ, ปโตทาภิตุนฺนํ วิย จิตฺตํ วิกมฺปติ, วิปฺปฎิสารคฺคินา ฑยฺหติ, ตตฺตปาสาเณ นิสิโนฺน วิย ตงฺขเณเยว วุฎฺฐาติฯ โส อาคโต ‘‘กา เต จิตฺตปวตฺตี’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพฯ อาโรจิตาย จิตฺตปวตฺติยา ‘‘นตฺถิ โลเก รโห นาม ปาปกมฺมํ ปกุพฺพโตฯ สพฺพปฐมญฺหิ ปาปํ กโรโนฺต อตฺตนา ชานาติฯ อถสฺส อารกฺขเทวตา ปรจิตฺตวิทู สมณพฺราหฺมณา อญฺญา จ เทวตา ชานนฺติ, ตฺวํเยว ทานิ ตว โสตฺถิํ ปริเยสาหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ เอวํ กตวีติกฺกเมเนว ภิกฺขุนา สยเมว อาคนฺตฺวา อาโรจิเต ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ

    Yassa pana sīlaṃ bhinnaṃ hoti, tassa kammaṭṭhānaṃ na ghaṭayati, patodābhitunnaṃ viya cittaṃ vikampati, vippaṭisāragginā ḍayhati, tattapāsāṇe nisinno viya taṅkhaṇeyeva vuṭṭhāti. So āgato ‘‘kā te cittapavattī’’ti pucchitabbo. Ārocitāya cittapavattiyā ‘‘natthi loke raho nāma pāpakammaṃ pakubbato. Sabbapaṭhamañhi pāpaṃ karonto attanā jānāti. Athassa ārakkhadevatā paracittavidū samaṇabrāhmaṇā aññā ca devatā jānanti, tvaṃyeva dāni tava sotthiṃ pariyesāhī’’ti vattabbo. Evaṃ katavītikkameneva bhikkhunā sayameva āgantvā ārocite paṭipajjitabbaṃ.

    ๒๓๕. อิทานิ ยา สา ปุเพฺพ วุตฺตปฺปเภทา โจทนา, ตสฺสาเยว สมฺปตฺติวิปตฺติชานนตฺถํ อาทิมชฺฌปริโยสานาทีนํ วเสน วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพ ฯ เสยฺยถิทํ, โจทนาย โก อาทิ, กิํ มเชฺฌ, กิํ ปริโยสานํ? โจทนาย ‘‘อหํ ตํ วตฺตุกาโม, กโรตุ เม อายสฺมา โอกาส’’นฺติ เอวํ โอกาสกมฺมํ อาทิฯ โอติเณฺณน วตฺถุนา โจเทตฺวา สาเรตฺวา วินิจฺฉโย มเชฺฌฯ อาปตฺติยํ วา อนาปตฺติยํ วา ปติฎฺฐาปเนน สมโถ ปริโยสานํ

    235. Idāni yā sā pubbe vuttappabhedā codanā, tassāyeva sampattivipattijānanatthaṃ ādimajjhapariyosānādīnaṃ vasena vinicchayo veditabbo . Seyyathidaṃ, codanāya ko ādi, kiṃ majjhe, kiṃ pariyosānaṃ? Codanāya ‘‘ahaṃ taṃ vattukāmo, karotu me āyasmā okāsa’’nti evaṃ okāsakammaṃ ādi. Otiṇṇena vatthunā codetvā sāretvā vinicchayo majjhe. Āpattiyaṃ vā anāpattiyaṃ vā patiṭṭhāpanena samatho pariyosānaṃ.

    โจทนาย กติ มูลานิ, กติ วตฺถูนิ, กติ ภูมิโย? โจทนาย เทฺว มูลานิ สมูลิกา วา อมูลิกา วาฯ ตีณิ วตฺถูนิ ทิฎฺฐํ สุตํ ปริสงฺกิตํฯ ปญฺจ ภูมิโย กาเลน วกฺขามิ, โน อกาเลน, ภูเตน วกฺขามิ, โน อภูเตน, สเณฺหน วกฺขามิ, โน ผรุเสน, อตฺถสํหิเตน วกฺขามิ, โน อนตฺถสํหิเตน, เมตฺตจิโตฺต วกฺขามิ, โน โทสนฺตโรติฯ อิมาย จ ปน โจทนาย โจทเกน ปุคฺคเลน ‘‘ปริสุทฺธกายสมาจาโร นุ โขมฺหี’’ติอาทินา (ปริ. ๔๓๖) นเยน อุปาลิปญฺจเกสุ วุเตฺตสุ ปนฺนรสสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐาตพฺพํฯ จุทิตเกน ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐาตพฺพํ สเจฺจ จ อกุเปฺป จาติฯ

    Codanāya kati mūlāni, kati vatthūni, kati bhūmiyo? Codanāya dve mūlāni samūlikā vā amūlikā vā. Tīṇi vatthūni diṭṭhaṃ sutaṃ parisaṅkitaṃ. Pañca bhūmiyo kālena vakkhāmi, no akālena, bhūtena vakkhāmi, no abhūtena, saṇhena vakkhāmi, no pharusena, atthasaṃhitena vakkhāmi, no anatthasaṃhitena, mettacitto vakkhāmi, no dosantaroti. Imāya ca pana codanāya codakena puggalena ‘‘parisuddhakāyasamācāro nu khomhī’’tiādinā (pari. 436) nayena upālipañcakesu vuttesu pannarasasu dhammesu patiṭṭhātabbaṃ. Cuditakena dvīsu dhammesu patiṭṭhātabbaṃ sacce ca akuppe cāti.

    อนุวิชฺชเกน (ปริ. ๓๖๐) จ โจทโก ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘ยํ โข ตฺวํ, อาวุโส, อิมํ ภิกฺขุํ โจเทสิ, กิมฺหิ นํ โจเทสิ, สีลวิปตฺติยา โจเทสิ, อาจารวิปตฺติยา โจเทสิ, ทิฎฺฐิวิปตฺติยา โจเทสี’’ติฯ โส เจ เอวํ วเทยฺย ‘‘สีลวิปตฺติยา วา โจเทมิ, อาจารวิปตฺติยา วา โจเทมิ, ทิฎฺฐิวิปตฺติยา วา โจเทมี’’ติฯ โส เอวมสฺส วจนีโย ‘‘ชานาสิ ปนายสฺมา สีลวิปตฺติํ, ชานาสิ อาจารวิปตฺติํ, ชานาสิ ทิฎฺฐิวิปตฺติ’’นฺติฯ โส เจ เอวํ วเทยฺย ‘‘ชานามิ โข อหํ, อาวุโส, สีลวิปตฺติํ, ชานามิ อาจารวิปตฺติํ, ชานามิ ทิฎฺฐิวิปตฺติ’’นฺติฯ โส เอวมสฺส วจนีโย ‘‘กตมา ปนาวุโส, สีลวิปตฺติ, กตมา อาจารวิปตฺติ, กตมา ทิฎฺฐิวิปตฺตี’’ติ? โส เจ เอวํ วเทยฺย ‘‘จตฺตาริ ปาราชิกานิ เตรส สงฺฆาทิเสสา, อยํ สีลวิปตฺติฯ ถุลฺลจฺจยํ ปาจิตฺติยํ ปาฎิเทสนียํ ทุกฺกฎํ ทุพฺภาสิตํ, อยํ อาจารวิปตฺติฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิ อนฺตคฺคาหิกา ทิฎฺฐิ, อยํ ทิฎฺฐิวิปตฺตี’’ติฯ

    Anuvijjakena (pari. 360) ca codako pucchitabbo ‘‘yaṃ kho tvaṃ, āvuso, imaṃ bhikkhuṃ codesi, kimhi naṃ codesi, sīlavipattiyā codesi, ācāravipattiyā codesi, diṭṭhivipattiyā codesī’’ti. So ce evaṃ vadeyya ‘‘sīlavipattiyā vā codemi, ācāravipattiyā vā codemi, diṭṭhivipattiyā vā codemī’’ti. So evamassa vacanīyo ‘‘jānāsi panāyasmā sīlavipattiṃ, jānāsi ācāravipattiṃ, jānāsi diṭṭhivipatti’’nti. So ce evaṃ vadeyya ‘‘jānāmi kho ahaṃ, āvuso, sīlavipattiṃ, jānāmi ācāravipattiṃ, jānāmi diṭṭhivipatti’’nti. So evamassa vacanīyo ‘‘katamā panāvuso, sīlavipatti, katamā ācāravipatti, katamā diṭṭhivipattī’’ti? So ce evaṃ vadeyya ‘‘cattāri pārājikāni terasa saṅghādisesā, ayaṃ sīlavipatti. Thullaccayaṃ pācittiyaṃ pāṭidesanīyaṃ dukkaṭaṃ dubbhāsitaṃ, ayaṃ ācāravipatti. Micchādiṭṭhi antaggāhikā diṭṭhi, ayaṃ diṭṭhivipattī’’ti.

    โส เอวมสฺส วจนีโย ‘‘ยํ โข ตฺวํ, อาวุโส, อิมํ ภิกฺขุํ โจเทสิ, ทิเฎฺฐน วา โจเทสิ, สุเตน วา โจเทสิ, ปริสงฺกาย วา โจเทสี’’ติ ฯ โส เจ เอวํ วเทยฺย ‘‘ทิเฎฺฐน วา โจเทมิ, สุเตน วา โจเทมิ, ปริสงฺกาย วา โจเทมี’’ติฯ โส เอวมสฺส วจนีโย ‘‘ยํ โข ตฺวํ, อาวุโส, อิมํ ภิกฺขุํ ทิเฎฺฐน โจเทสิ, กิํ เต ทิฎฺฐํ, กินฺติ เต ทิฎฺฐํ, กทา เต ทิฎฺฐํ, กตฺถ เต ทิฎฺฐํ, ปาราชิกํ อชฺฌาปชฺชโนฺต ทิโฎฺฐ, สงฺฆาทิเสสํ อชฺฌาปชฺชโนฺต ทิโฎฺฐ, ถุลฺลจฺจยํ ปาจิตฺติยํ ปาฎิเทสนียํ ทุกฺกฎํ ทุพฺภาสิตํ อชฺฌาปชฺชโนฺต ทิโฎฺฐ, กตฺถ จายํ ภิกฺขุ อโหสิ, กตฺถ จ ตฺวํ กโรสิ, กิญฺจ ตฺวํ กโรสิ, กิํ อยํ ภิกฺขุ กโรตี’’ติ?

    So evamassa vacanīyo ‘‘yaṃ kho tvaṃ, āvuso, imaṃ bhikkhuṃ codesi, diṭṭhena vā codesi, sutena vā codesi, parisaṅkāya vā codesī’’ti . So ce evaṃ vadeyya ‘‘diṭṭhena vā codemi, sutena vā codemi, parisaṅkāya vā codemī’’ti. So evamassa vacanīyo ‘‘yaṃ kho tvaṃ, āvuso, imaṃ bhikkhuṃ diṭṭhena codesi, kiṃ te diṭṭhaṃ, kinti te diṭṭhaṃ, kadā te diṭṭhaṃ, kattha te diṭṭhaṃ, pārājikaṃ ajjhāpajjanto diṭṭho, saṅghādisesaṃ ajjhāpajjanto diṭṭho, thullaccayaṃ pācittiyaṃ pāṭidesanīyaṃ dukkaṭaṃ dubbhāsitaṃ ajjhāpajjanto diṭṭho, kattha cāyaṃ bhikkhu ahosi, kattha ca tvaṃ karosi, kiñca tvaṃ karosi, kiṃ ayaṃ bhikkhu karotī’’ti?

    โส เจ เอวํ วเทยฺย ‘‘น โข อหํ, อาวุโส, อิมํ ภิกฺขุํ ทิเฎฺฐน โจเทมิ, อปิจ สุเตน โจเทมี’’ติฯ โส เอวมสฺส วจนีโย ‘‘ยํ โข ตฺวํ, อาวุโส, อิมํ ภิกฺขุํ สุเตน โจเทสิ, กิํ เต สุตํ, กินฺติ เต สุตํ, กทา เต สุตํ, กตฺถ เต สุตํ, ปาราชิกํ อชฺฌาปโนฺนติ สุตํ, สงฺฆาทิเสสํ อชฺฌาปโนฺนติ สุตํ, ถุลฺลจฺจยํ ปาจิตฺติยํ ปาฎิเทสนียํ ทุกฺกฎํ ทุพฺภาสิตํ อชฺฌาปโนฺนติ สุตํ, ภิกฺขุสฺส สุตํ, ภิกฺขุนิยา สุตํ, สิกฺขมานาย สุตํ, สามเณรสฺส สุตํ, สามเณริยา สุตํ, อุปาสกสฺส สุตํ, อุปาสิกาย สุตํ, ราชูนํ สุตํ, ราชมหามตฺตานํ สุตํ, ติตฺถิยานํ สุตํ, ติตฺถิยสาวกานํ สุต’’นฺติฯ

    So ce evaṃ vadeyya ‘‘na kho ahaṃ, āvuso, imaṃ bhikkhuṃ diṭṭhena codemi, apica sutena codemī’’ti. So evamassa vacanīyo ‘‘yaṃ kho tvaṃ, āvuso, imaṃ bhikkhuṃ sutena codesi, kiṃ te sutaṃ, kinti te sutaṃ, kadā te sutaṃ, kattha te sutaṃ, pārājikaṃ ajjhāpannoti sutaṃ, saṅghādisesaṃ ajjhāpannoti sutaṃ, thullaccayaṃ pācittiyaṃ pāṭidesanīyaṃ dukkaṭaṃ dubbhāsitaṃ ajjhāpannoti sutaṃ, bhikkhussa sutaṃ, bhikkhuniyā sutaṃ, sikkhamānāya sutaṃ, sāmaṇerassa sutaṃ, sāmaṇeriyā sutaṃ, upāsakassa sutaṃ, upāsikāya sutaṃ, rājūnaṃ sutaṃ, rājamahāmattānaṃ sutaṃ, titthiyānaṃ sutaṃ, titthiyasāvakānaṃ suta’’nti.

    โส เจ เอวํ วเทยฺย ‘‘น โข อหํ, อาวุโส, อิมํ ภิกฺขุํ สุเตน โจเทมิ, อปิจ ปริสงฺกาย โจเทมี’’ติฯ โส เอวมสฺส วจนีโย ‘‘ยํ โข ตฺวํ, อาวุโส, อิมํ ภิกฺขุํ ปริสงฺกาย โจเทสิ, กิํ ปริสงฺกสิ, กินฺติ ปริสงฺกสิ, กทา ปริสงฺกสิ, กตฺถ ปริสงฺกสิ? ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺนติ ปริสงฺกสิ, สงฺฆาทิเสสํ ถุลฺลจฺจยํ ปาจิตฺติยํ ปาฎิเทสนียํ ทุกฺกฎํ ทุพฺภาสิตํ อชฺฌาปโนฺนติ ปริสงฺกสิ, ภิกฺขุสฺส สุตฺวา ปริสงฺกสิ, ภิกฺขุนิยา สุตฺวา…เป.… ติตฺถิยสาวกานํ สุตฺวา ปริสงฺกสี’’ติฯ

    So ce evaṃ vadeyya ‘‘na kho ahaṃ, āvuso, imaṃ bhikkhuṃ sutena codemi, apica parisaṅkāya codemī’’ti. So evamassa vacanīyo ‘‘yaṃ kho tvaṃ, āvuso, imaṃ bhikkhuṃ parisaṅkāya codesi, kiṃ parisaṅkasi, kinti parisaṅkasi, kadā parisaṅkasi, kattha parisaṅkasi? Pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpannoti parisaṅkasi, saṅghādisesaṃ thullaccayaṃ pācittiyaṃ pāṭidesanīyaṃ dukkaṭaṃ dubbhāsitaṃ ajjhāpannoti parisaṅkasi, bhikkhussa sutvā parisaṅkasi, bhikkhuniyā sutvā…pe… titthiyasāvakānaṃ sutvā parisaṅkasī’’ti.

    ทิฎฺฐํ ทิเฎฺฐน สเมติ, ทิเฎฺฐน สํสนฺทเต ทิฎฺฐํ;

    Diṭṭhaṃ diṭṭhena sameti, diṭṭhena saṃsandate diṭṭhaṃ;

    ทิฎฺฐํ ปฎิจฺจ น อุเปติ, อสุทฺธปริสงฺกิโต;

    Diṭṭhaṃ paṭicca na upeti, asuddhaparisaṅkito;

    โส ปุคฺคโล ปฎิญฺญาย, กาตโพฺพ เตนุโปสโถฯ

    So puggalo paṭiññāya, kātabbo tenuposatho.

    สุตํ สุเตน สเมติ, สุเตน สํสนฺทเต สุตํ;

    Sutaṃ sutena sameti, sutena saṃsandate sutaṃ;

    สุตํ ปฎิจฺจ น อุเปติ, อสุทฺธปริสงฺกิโต;

    Sutaṃ paṭicca na upeti, asuddhaparisaṅkito;

    โส ปุคฺคโล ปฎิญฺญาย, กาตโพฺพ เตนุโปสโถฯ

    So puggalo paṭiññāya, kātabbo tenuposatho.

    มุตํ มุเตน สเมติ, มุเตน สํสนฺทเต มุตํ;

    Mutaṃ mutena sameti, mutena saṃsandate mutaṃ;

    มุตํ ปฎิจฺจ น อุเปติ, อสุทฺธปริสงฺกิโต;

    Mutaṃ paṭicca na upeti, asuddhaparisaṅkito;

    โส ปุคฺคโล ปฎิญฺญาย, กาตโพฺพ เตนุโปสโถฯ

    So puggalo paṭiññāya, kātabbo tenuposatho.

    ปฎิญฺญา ลชฺชีสุ กตา, อลชฺชีสุ เอวํ น วิชฺชติ;

    Paṭiññā lajjīsu katā, alajjīsu evaṃ na vijjati;

    พหุมฺปิ อลชฺชี ภาเสยฺย, วตฺตานุสนฺธิเตน การเยติฯ (ปริ. ๓๕๙);

    Bahumpi alajjī bhāseyya, vattānusandhitena kārayeti. (pari. 359);

    อปิเจตฺถ สงฺคามาวจเรน ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมเนฺตน นีจจิเตฺตน สโงฺฆ อุปสงฺกมิตโพฺพ รโชหรณสเมน จิเตฺตน, อาสนกุสเลน ภวิตพฺพํ นิสชฺชกุสเลน, เถเร ภิกฺขู อนุปขชฺชเนฺตน นเว ภิกฺขู อาสเนน อปฺปฎิพาหเนฺตน ยถาปติรูเป อาสเน นิสีทิตพฺพํ, อนานากถิเกน ภวิตพฺพํ อติรจฺฉานกถิเกน, สามํ วา ธโมฺม ภาสิตโพฺพ, ปโร วา อเชฺฌสิตโพฺพ, อริโย วา ตุณฺหีภาโว นาติมญฺญิตโพฺพฯ

    Apicettha saṅgāmāvacarena bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamantena nīcacittena saṅgho upasaṅkamitabbo rajoharaṇasamena cittena, āsanakusalena bhavitabbaṃ nisajjakusalena, there bhikkhū anupakhajjantena nave bhikkhū āsanena appaṭibāhantena yathāpatirūpe āsane nisīditabbaṃ, anānākathikena bhavitabbaṃ atiracchānakathikena, sāmaṃ vā dhammo bhāsitabbo, paro vā ajjhesitabbo, ariyo vā tuṇhībhāvo nātimaññitabbo.

    สเงฺฆน อนุมเตน ปุคฺคเลน อนุวิชฺชเกน อนุวิชฺชิตุกาเมน น อุปชฺฌาโย ปุจฺฉิตโพฺพ, น อาจริโย ปุจฺฉิตโพฺพ, น สทฺธิวิหาริโก ปุจฺฉิตโพฺพ, น อเนฺตวาสิโก ปุจฺฉิตโพฺพ, น สมานุปชฺฌายโก ปุจฺฉิตโพฺพ, น สมานาจริยโก ปุจฺฉิตโพฺพ, น ชาติ ปุจฺฉิตพฺพา, น นามํ ปุจฺฉิตพฺพํ, น โคตฺตํ ปุจฺฉิตพฺพํ, น อาคโม ปุจฺฉิตโพฺพ, น กุลปเทโส ปุจฺฉิตโพฺพ, น ชาติภูมิ ปุจฺฉิตพฺพาฯ ตํ กิํการณา? อตฺรสฺส เปมํ วา โทโส วา, เปเม วา สติ โทเส วา ฉนฺทาปิ คเจฺฉยฺย โทสาปิ คเจฺฉยฺย โมหาปิ คเจฺฉยฺย ภยาปิ คเจฺฉยฺยาติฯ

    Saṅghena anumatena puggalena anuvijjakena anuvijjitukāmena na upajjhāyo pucchitabbo, na ācariyo pucchitabbo, na saddhivihāriko pucchitabbo, na antevāsiko pucchitabbo, na samānupajjhāyako pucchitabbo, na samānācariyako pucchitabbo, na jāti pucchitabbā, na nāmaṃ pucchitabbaṃ, na gottaṃ pucchitabbaṃ, na āgamo pucchitabbo, na kulapadeso pucchitabbo, na jātibhūmi pucchitabbā. Taṃ kiṃkāraṇā? Atrassa pemaṃ vā doso vā, peme vā sati dose vā chandāpi gaccheyya dosāpi gaccheyya mohāpi gaccheyya bhayāpi gaccheyyāti.

    สเงฺฆน อนุมเตน ปุคฺคเลน อนุวิชฺชเกน อนุวิชฺชิตุกาเมน สงฺฆครุเกน ภวิตพฺพํ, โน ปุคฺคลครุเกน, สทฺธมฺมครุเกน ภวิตพฺพํ, โน อามิสครุเกน, อตฺถวสิเกน ภวิตพฺพํ, โน ปริสกปฺปิเกน, กาเลน อนุวิชฺชิตพฺพํ, โน อกาเลน, ภูเตน อนุวิชฺชิตพฺพํ, โน อภูเตน, สเณฺหน อนุวิชฺชิตพฺพํ, โน ผรุเสน, อตฺถสํหิเตน อนุวิชฺชิตพฺพํ, โน อนตฺถสํหิเตน, เมตฺตจิเตฺตน อนุวิชฺชิตพฺพํ, โน โทสนฺตเรน, น อุปกณฺณกชปฺปินา ภวิตพฺพํ, น ชิมฺหํ เปกฺขิตพฺพํ, น อกฺขิ นิขณิตพฺพํ, น ภมุกํ อุกฺขิปิตพฺพํ, น สีสํ อุกฺขิปิตพฺพํ, น หตฺถวิกาโร กาตโพฺพ, น หตฺถมุทฺทา ทเสฺสตพฺพาฯ

    Saṅghena anumatena puggalena anuvijjakena anuvijjitukāmena saṅghagarukena bhavitabbaṃ, no puggalagarukena, saddhammagarukena bhavitabbaṃ, no āmisagarukena, atthavasikena bhavitabbaṃ, no parisakappikena, kālena anuvijjitabbaṃ, no akālena, bhūtena anuvijjitabbaṃ, no abhūtena, saṇhena anuvijjitabbaṃ, no pharusena, atthasaṃhitena anuvijjitabbaṃ, no anatthasaṃhitena, mettacittena anuvijjitabbaṃ, no dosantarena, na upakaṇṇakajappinā bhavitabbaṃ, na jimhaṃ pekkhitabbaṃ, na akkhi nikhaṇitabbaṃ, na bhamukaṃ ukkhipitabbaṃ, na sīsaṃ ukkhipitabbaṃ, na hatthavikāro kātabbo, na hatthamuddā dassetabbā.

    อาสนกุสเลน ภวิตพฺพํ นิสชฺชกุสเลน, ยุคมตฺตํ เปกฺขเนฺตน อตฺถํ อนุวิธิยเนฺตน สเก อาสเน นิสีทิตพฺพํ, น จ อาสนา วุฎฺฐาตพฺพํ, น วีติหาตพฺพํ, น กุมฺมโคฺค เสวิตโพฺพ, น พาหาวิเกฺขปกํ ภณิตพฺพํ, อตุริเตน ภวิตพฺพํ อสาหสิเกน, อจณฺฑิกเตน ภวิตพฺพํ วจนกฺขเมน, เมตฺตจิเตฺตน ภวิตพฺพํ หิตานุกมฺปินา, การุณิเกน ภวิตพฺพํ หิตปริสกฺกินา, อสมฺผปฺปลาปินา ภวิตพฺพํ ปริยนฺตภาณินา, อเวรวสิเกน ภวิตพฺพํ อนสุรุเตฺตน, อตฺตา ปริคฺคเหตโพฺพ, ปโร ปริคฺคเหตโพฺพ, โจทโก ปริคฺคเหตโพฺพ, จุทิตโก ปริคฺคเหตโพฺพ, อธมฺมโจทโก ปริคฺคเหตโพฺพ, อธมฺมจุทิตโก ปริคฺคเหตโพฺพ, ธมฺมโจทโก ปริคฺคเหตโพฺพ, ธมฺมจุทิตโก ปริคฺคเหตโพฺพ, วุตฺตํ อหาเปเนฺตน อวุตฺตํ อปฺปกาเสเนฺตน โอติณฺณานิ ปทพฺยญฺชนานิ สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา ปโร ปริปุจฺฉิตฺวา ยถาปฎิญฺญาย กาเรตโพฺพ, มโนฺท หาเสตโพฺพ, ภีรุ อสฺสาเสตโพฺพ, จโณฺฑ นิเสเธตโพฺพ, อสุจิ วิภาเวตโพฺพ, อุชุมทฺทเวน น ฉนฺทาคติ คนฺตพฺพา, น โทสาคติ คนฺตพฺพา, น โมหาคติ คนฺตพฺพา, น ภยาคติ คนฺตพฺพา, มชฺฌเตฺตน ภวิตพฺพํ ธเมฺมสุ จ ปุคฺคเลสุ จ, เอวญฺจ ปน อนุวิชฺชโก อนุวิชฺชมาโน สตฺถุ เจว สาสนกโร โหติ, วิญฺญูนญฺจ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จ โหติ มนาโป จ ครุ จ ภาวนีโย จาติฯ

    Āsanakusalena bhavitabbaṃ nisajjakusalena, yugamattaṃ pekkhantena atthaṃ anuvidhiyantena sake āsane nisīditabbaṃ, na ca āsanā vuṭṭhātabbaṃ, na vītihātabbaṃ, na kummaggo sevitabbo, na bāhāvikkhepakaṃ bhaṇitabbaṃ, aturitena bhavitabbaṃ asāhasikena, acaṇḍikatena bhavitabbaṃ vacanakkhamena, mettacittena bhavitabbaṃ hitānukampinā, kāruṇikena bhavitabbaṃ hitaparisakkinā, asamphappalāpinā bhavitabbaṃ pariyantabhāṇinā, averavasikena bhavitabbaṃ anasuruttena, attā pariggahetabbo, paro pariggahetabbo, codako pariggahetabbo, cuditako pariggahetabbo, adhammacodako pariggahetabbo, adhammacuditako pariggahetabbo, dhammacodako pariggahetabbo, dhammacuditako pariggahetabbo, vuttaṃ ahāpentena avuttaṃ appakāsentena otiṇṇāni padabyañjanāni sādhukaṃ uggahetvā paro paripucchitvā yathāpaṭiññāya kāretabbo, mando hāsetabbo, bhīru assāsetabbo, caṇḍo nisedhetabbo, asuci vibhāvetabbo, ujumaddavena na chandāgati gantabbā, na dosāgati gantabbā, na mohāgati gantabbā, na bhayāgati gantabbā, majjhattena bhavitabbaṃ dhammesu ca puggalesu ca, evañca pana anuvijjako anuvijjamāno satthu ceva sāsanakaro hoti, viññūnañca sabrahmacārīnaṃ piyo ca hoti manāpo ca garu ca bhāvanīyo cāti.

    อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห

    Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe

    โจทนาทิวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ

    Codanādivinicchayakathā samattā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact