Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๔๐
The Middle-Length Suttas Collection 40
จูฬอสฺสปุรสุตฺต
The Shorter Discourse at Assapura
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา องฺเคสุ วิหรติ อสฺสปุรํ นาม องฺคานํ นิคโมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ภิกฺขโว”ติฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying in the land of the Aṅgas, near the Aṅgan town named Assapura. There the Buddha addressed the bhikkhus, “Bhikkhus!”
“ภทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Venerable sir,” they replied. The Buddha said this:
“สมณา สมณาติ โว, ภิกฺขเว, ชโน สญฺชานาติฯ ตุเมฺห จ ปน ‘เก ตุเมฺห'ติ ปุฏฺฐา สมานา ‘สมณามฺหา'ติ ปฏิชานาถฯ
“Bhikkhus, people label you as ascetics. And when they ask you what you are, you claim to be ascetics.
เตสํ โว, ภิกฺขเว, เอวํสมญฺญานํ สตํ เอวํปฏิญฺญานํ สตํ: ‘ยา สมณสามีจิปฺปฏิปทา ตํ ปฏิปชฺชิสฺสาม; เอวํ โน อยํ อมฺหากํ สมญฺญา จ สจฺจา ภวิสฺสติ ปฏิญฺญา จ ภูตา; เยสญฺจ มยํ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ ปริภุญฺชาม, เตสํ เต การา อเมฺหสุ มหปฺผลา ภวิสฺสนฺติ มหานิสํสา, อมฺหากญฺเจวายํ ปพฺพชฺชา อวญฺฌา ภวิสฺสติ สผลา เสาทฺรยา'ติฯ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ
Given this label and this claim, you should train like this: ‘We will practice in the way that is proper for an ascetic. That way our label will be accurate and our claim correct. Any robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick that we use will be very fruitful and beneficial for the donor. And our going forth will not be wasted, but will be fruitful and fertile.’
กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ น สมณสามีจิปฺปฏิปทํ ปฏิปนฺโน โหติ?
And how does a bhikkhu not practice in the way that is proper for an ascetic?
ยสฺส กสฺสจิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อภิชฺฌาลุสฺส อภิชฺฌา อปฺปหีนา โหติ, พฺยาปนฺนจิตฺตสฺส พฺยาปาโท อปฺปหีโน โหติ, โกธนสฺส โกโธ อปฺปหีโน โหติ, อุปนาหิสฺส อุปนาโห อปฺปหีโน โหติ, มกฺขิสฺส มกฺโข อปฺปหีโน โหติ, ปฬาสิสฺส ปฬาโส อปฺปหีโน โหติ, อิสฺสุกิสฺส อิสฺสา อปฺปหีนา โหติ, มจฺฉริสฺส มจฺฉริยํ อปฺปหีนํ โหติ, สฐสฺส สาเฐยฺยํ อปฺปหีนํ โหติ, มายาวิสฺส มายา อปฺปหีนา โหติ, ปาปิจฺฉสฺส ปาปิกา อิจฺฉา อปฺปหีนา โหติ, มิจฺฉาทิฏฺฐิกสฺส มิจฺฉาทิฏฺฐิ อปฺปหีนา โหติ—อิเมสํ โข อหํ, ภิกฺขเว, สมณมลานํ สมณโทสานํ สมณกสฏานํ อาปายิกานํ ฐานานํ ทุคฺคติเวทนิยานํ อปฺปหานา ‘น สมณสามีจิปฺปฏิปทํ ปฏิปนฺโน'ติ วทามิฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มตชํ นาม อาวุธชาตํ อุภโตธารํ ปีตนิสิตํฯ ตทสฺส สงฺฆาฏิยา สมฺปารุตํ สมฺปลิเวฐิตํฯ ตถูปมาหํ, ภิกฺขเว, อิมสฺส ภิกฺขุโน ปพฺพชฺชํ วทามิฯ
There are some bhikkhus who have not given up covetousness, ill will, irritability, hostility, disdain, contempt, jealousy, stinginess, deviousness, deceit, corrupt wishes, and wrong view. These stains, defects, and dregs of an ascetic are grounds for rebirth in places of loss, and are experienced in bad places. As long as they have not given these up, they do not practice in the way that is proper for an ascetic, I say. I say that such a bhikkhu’s going forth may be compared to the kind of weapon called ‘death-dealer’—double-edged, hardened, and keen—covered and wrapped in the outer robe.
นาหํ, ภิกฺขเว, สงฺฆาฏิกสฺส สงฺฆาฏิธารณมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, อเจลกสฺส อเจลกมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, รโชชลฺลิกสฺส รโชชลฺลิกมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, อุทโกโรหกสฺส อุทโกโรหณมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, รุกฺขมูลิกสฺส รุกฺขมูลิกมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, อพฺโภกาสิกสฺส อพฺโภกาสิกมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, อุพฺภฏฺฐกสฺส อุพฺภฏฺฐกมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, ปริยายภตฺติกสฺส ปริยายภตฺติกมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, มนฺตชฺฌายกสฺส มนฺตชฺฌายกมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ นาหํ, ภิกฺขเว, ชฏิลกสฺส ชฏาธารณมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ
I say that you don’t deserve the label ‘outer robe wearer’ just because you wear an outer robe. You don’t deserve the label ‘naked ascetic’ just because you go naked. You don’t deserve the label ‘dust and dirt wearer’ just because you’re caked in dust and dirt. You don’t deserve the label ‘water immerser’ just because you immerse yourself in water. You don’t deserve the label ‘tree root dweller’ just because you stay at the root of a tree. You don’t deserve the label ‘open air dweller’ just because you stay in the open air. You don’t deserve the label ‘stander’ just because you continually stand. You don’t deserve the label ‘interval eater’ just because you eat food at set intervals. You don’t deserve the label ‘reciter’ just because you recite scriptures. You don’t deserve the label ‘matted-hair ascetic’ just because you have matted hair.
สงฺฆาฏิกสฺส เจ, ภิกฺขเว, สงฺฆาฏิธารณมตฺเตน อภิชฺฌาลุสฺส อภิชฺฌา ปหีเยถ, พฺยาปนฺนจิตฺตสฺส พฺยาปาโท ปหีเยถ, โกธนสฺส โกโธ ปหีเยถ, อุปนาหิสฺส อุปนาโห ปหีเยถ, มกฺขิสฺส มกฺโข ปหีเยถ, ปฬาสิสฺส ปฬาโส ปหีเยถ, อิสฺสุกิสฺส อิสฺสา ปหีเยถ, มจฺฉริสฺส มจฺฉริยํ ปหีเยถ, สฐสฺส สาเฐยฺยํ ปหีเยถ, มายาวิสฺส มายา ปหีเยถ, ปาปิจฺฉสฺส ปาปิกา อิจฺฉา ปหีเยถ, มิจฺฉาทิฏฺฐิกสฺส มิจฺฉาทิฏฺฐิ ปหีเยถ, ตเมนํ มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ชาตเมว นํ สงฺฆาฏิกํ กเรยฺยุํ, สงฺฆาฏิกตฺตเมว สมาทเปยฺยุํ: ‘เอหิ ตฺวํ, ภทฺรมุข, สงฺฆาฏิโก โหหิ, สงฺฆาฏิกสฺส เต สโต สงฺฆาฏิธารณมตฺเตน อภิชฺฌาลุสฺส อภิชฺฌา ปหียิสฺสติ, พฺยาปนฺนจิตฺตสฺส พฺยาปาโท ปหียิสฺสติ, โกธนสฺส โกโธ ปหียิสฺสติ, อุปนาหิสฺส อุปนาโห ปหียิสฺสติ, มกฺขิสฺส มกฺโข ปหียิสฺสติ, ปฬาสิสฺส ปฬาโส ปหียิสฺสติ, อิสฺสุกิสฺส อิสฺสา ปหียิสฺสติ, มจฺฉริสฺส มจฺฉริยํ ปหียิสฺสติ, สฐสฺส สาเฐยฺยํ ปหียิสฺสติ, มายาวิสฺส มายา ปหียิสฺสติ, ปาปิจฺฉสฺส ปาปิกา อิจฺฉา ปหียิสฺสติ, มิจฺฉาทิฏฺฐิกสฺส มิจฺฉาทิฏฺฐิ ปหียิสฺสตี'ติฯ ยสฺมา จ โข อหํ, ภิกฺขเว, สงฺฆาฏิกมฺปิ อิเธกจฺจํ ปสฺสามิ อภิชฺฌาลุํ พฺยาปนฺนจิตฺตํ โกธนํ อุปนาหึ มกฺขึ ปฬาสึ อิสฺสุกึ มจฺฉรึ สฐํ มายาวึ ปาปิจฺฉํ มิจฺฉาทิฏฺฐิกํ, ตสฺมา น สงฺฆาฏิกสฺส สงฺฆาฏิธารณมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ
Imagine that just by wearing an outer robe someone with covetousness, ill will, irritability, hostility, disdain, contempt, jealousy, stinginess, deviousness, deceit, corrupt wishes, and wrong view could give up these things. If that were the case, your friends and colleagues, relatives and kin would make you an outer robe wearer as soon as you were born. They’d encourage you: ‘Please, my dear, wear an outer robe! By doing so you will give up covetousness, ill will, irritability, hostility, disdain, contempt, jealousy, stinginess, deviousness, deceit, corrupt wishes, and wrong view.’ But sometimes I see someone with these bad qualities who is an outer robe wearer. That’s why I say that you don’t deserve the label ‘outer robe wearer’ just because you wear an outer robe.
อเจลกสฺส เจ, ภิกฺขเว …เป… รโชชลฺลิกสฺส เจ, ภิกฺขเว …เป… อุทโกโรหกสฺส เจ, ภิกฺขเว …เป… รุกฺขมูลิกสฺส เจ, ภิกฺขเว …เป… อพฺโภกาสิกสฺส เจ, ภิกฺขเว …เป… อุพฺภฏฺฐกสฺส เจ, ภิกฺขเว …เป… ปริยายภตฺติกสฺส เจ, ภิกฺขเว …เป… มนฺตชฺฌายกสฺส เจ, ภิกฺขเว …เป… ชฏิลกสฺส เจ, ภิกฺขเว, ชฏาธารณมตฺเตน อภิชฺฌาลุสฺส อภิชฺฌา ปหีเยถ, พฺยาปนฺนจิตฺตสฺส พฺยาปาโท ปหีเยถ, โกธนสฺส โกโธ ปหีเยถ, อุปนาหิสฺส อุปนาโห ปหีเยถ, มกฺขิสฺส มกฺโข ปหีเยถ, ปฬาสิสฺส ปฬาโส ปหีเยถ, อิสฺสุกิสฺส อิสฺสา ปหีเยถ, มจฺฉริสฺส มจฺฉริยํ ปหีเยถ, สฐสฺส สาเฐยฺยํ ปหีเยถ, มายาวิสฺส มายา ปหีเยถ, ปาปิจฺฉสฺส ปาปิกา อิจฺฉา ปหีเยถ, มิจฺฉาทิฏฺฐิกสฺส มิจฺฉาทิฏฺฐิ ปหีเยถ, ตเมนํ มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ชาตเมว นํ ชฏิลกํ กเรยฺยุํ, ชฏิลกตฺตเมว สมาทเปยฺยุํ: ‘เอหิ ตฺวํ, ภทฺรมุข, ชฏิลโก โหหิ, ชฏิลกสฺส เต สโต ชฏาธารณมตฺเตน อภิชฺฌาลุสฺส อภิชฺฌา ปหียิสฺสติ พฺยาปนฺนจิตฺตสฺส พฺยาปาโท ปหียิสฺสติ, โกธนสฺส โกโธ ปหียิสฺสติ …เป… ปาปิจฺฉสฺส ปาปิกา อิจฺฉา ปหียิสฺสติ มิจฺฉาทิฏฺฐิกสฺส มิจฺฉาทิฏฺฐิ ปหียิสฺสตี'ติฯ ยสฺมา จ โข อหํ, ภิกฺขเว, ชฏิลกมฺปิ อิเธกจฺจํ ปสฺสามิ อภิชฺฌาลุํ พฺยาปนฺนจิตฺตํ โกธนํ อุปนาหึ มกฺขึ ปลาสึ อิสฺสุกึ มจฺฉรึ สฐํ มายาวึ ปาปิจฺฉํ มิจฺฉาทิฏฺฐึ, ตสฺมา น ชฏิลกสฺส ชฏาธารณมตฺเตน สามญฺญํ วทามิฯ
Imagine that just by going naked … wearing dust and dirt … immersing in water … staying at the root of a tree … staying in the open air … standing continually … eating at set intervals … reciting scriptures … having matted hair someone with covetousness, ill will, irritability, hostility, disdain, contempt, jealousy, stinginess, deviousness, deceit, corrupt wishes, and wrong view could give up these things. If that were the case, your friends and colleagues, relatives and kin would make you a matted-hair ascetic as soon as you were born. They’d encourage you: ‘Please, my dear, become a matted-hair ascetic! By doing so you will give up covetousness, ill will, irritability, hostility, disdain, contempt, jealousy, stinginess, deviousness, deceit, corrupt wishes, and wrong view.’ But sometimes I see someone with these bad qualities who is a matted-hair ascetic. That’s why I say that you don’t deserve the label ‘matted-hair ascetic’ just because you have matted hair.
กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมณสามีจิปฺปฏิปทํ ปฏิปนฺโน โหติ?
And how does a bhikkhu practice in the way that is proper for an ascetic?
ยสฺส กสฺสจิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อภิชฺฌาลุสฺส อภิชฺฌา ปหีนา โหติ, พฺยาปนฺนจิตฺตสฺส พฺยาปาโท ปหีโน โหติ, โกธนสฺส โกโธ ปหีโน โหติ, อุปนาหิสฺส อุปนาโห ปหีโน โหติ, มกฺขิสฺส มกฺโข ปหีโน โหติ, ปฬาสิสฺส ปฬาโส ปหีโน โหติ, อิสฺสุกิสฺส อิสฺสา ปหีนา โหติ, มจฺฉริสฺส มจฺฉริยํ ปหีนํ โหติ, สฐสฺส สาเฐยฺยํ ปหีนํ โหติ, มายาวิสฺส มายา ปหีนา โหติ, ปาปิจฺฉสฺส ปาปิกา อิจฺฉา ปหีนา โหติ, มิจฺฉาทิฏฺฐิกสฺส มิจฺฉาทิฏฺฐิ ปหีนา โหติ—อิเมสํ โข อหํ, ภิกฺขเว, สมณมลานํ สมณโทสานํ สมณกสฏานํ อาปายิกานํ ฐานานํ ทุคฺคติเวทนิยานํ ปหานา ‘สมณสามีจิปฺปฏิปทํ ปฏิปนฺโน'ติ วทามิฯ
There are some bhikkhus who have given up covetousness, ill will, irritability, hostility, disdain, contempt, jealousy, stinginess, deviousness, deceit, corrupt wishes, and wrong view. These stains, defects, and dregs of an ascetic are grounds for rebirth in places of loss, and are experienced in bad places. When they have given these up, they are practicing in the way that is proper for an ascetic, I say.
โส สพฺเพหิ อิเมหิ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ วิสุทฺธมตฺตานํ สมนุปสฺสติ (…)ฯ ตสฺส สพฺเพหิ อิเมหิ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ วิสุทฺธมตฺตานํ สมนุปสฺสโต (…) ปาโมชฺชํ ชายติ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติ, ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติ, ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวเทติ, สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ
They see themselves purified from all these bad, unskillful qualities. Seeing this, joy springs up. Being joyful, rapture springs up. When the mind is full of rapture, the body becomes tranquil. When the body is tranquil, they feel bliss. And when blissful, the mind becomes immersed in samādhi.
โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหรติฯ
They meditate spreading a heart full of love to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of love to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will.
กรุณาสหคเตน เจตสา …เป…
They meditate spreading a heart full of compassion …
มุทิตาสหคเตน เจตสา …เป…
They meditate spreading a heart full of rejoicing …
อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหรติฯ
They meditate spreading a heart full of equanimity to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of equanimity to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, โปกฺขรณี อจฺโฉทกา สาโตทกา สีโตทกา เสตกา สุปติตฺถา รมณียาฯ ปุรตฺถิมาย เจปิ ทิสาย ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโตฯ โส ตํ โปกฺขรณึ อาคมฺม วิเนยฺย อุทกปิปาสํ วิเนยฺย ฆมฺมปริฬาหํ …เป… ปจฺฉิมาย เจปิ ทิสาย ปุริโส อาคจฺเฉยฺย …เป… อุตฺตราย เจปิ ทิสาย ปุริโส อาคจฺเฉยฺย …เป… ทกฺขิณาย เจปิ ทิสาย ปุริโส อาคจฺเฉยฺยฯ ยโต กุโต เจปิ นํ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต, กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโตฯ โส ตํ โปกฺขรณึ อาคมฺม วิเนยฺย อุทกปิปาสํ, วิเนยฺย ฆมฺมปริฬาหํฯ
Suppose there was a lotus pond with clear, sweet, cool water, clean, with smooth banks, delightful. Then along comes a person—whether from the east, west, north, or south—struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. No matter what direction they come from, when they arrive at that lotus pond they would alleviate their thirst and heat exhaustion.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ขตฺติยกุลา เจปิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ, โส จ ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ อาคมฺม, เอวํ เมตฺตํ กรุณํ มุทิตํ อุเปกฺขํ ภาเวตฺวา ลภติ อชฺฌตฺตํ วูปสมํฯ อชฺฌตฺตํ วูปสมา ‘สมณสามีจิปฺปฏิปทํ ปฏิปนฺโน'ติ วทามิฯ พฺราหฺมณกุลา เจปิ …เป… เวสฺสกุลา เจปิ …เป… สุทฺทกุลา เจปิ …เป… ยสฺมา กสฺมา เจปิ กุลา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ, โส จ ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ อาคมฺม, เอวํ เมตฺตํ กรุณํ มุทิตํ อุเปกฺขํ ภาเวตฺวา ลภติ อชฺฌตฺตํ วูปสมํฯ อชฺฌตฺตํ วูปสมา ‘สมณสามีจิปฺปฏิปทํ ปฏิปนฺโน'ติ วทามิฯ
In the same way, suppose someone has gone forth from the lay life to homelessness—whether from a family of aristocrats, brahmins, peasants, or menials—and has arrived at the teaching and training proclaimed by a Realized One. Having developed love, compassion, rejoicing, and equanimity in this way they gain inner peace. Because of that inner peace they are practicing the way proper for an ascetic, I say.
ขตฺติยกุลา เจปิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติฯ โส จ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อาสวานํ ขยา สมโณ โหติฯ พฺราหฺมณกุลา เจปิ …เป… เวสฺสกุลา เจปิ … สุทฺทกุลา เจปิ … ยสฺมา กสฺมา เจปิ กุลา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ, โส จ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อาสวานํ ขยา สมโณ โหตี”ติฯ
And suppose someone has gone forth from the lay life to homelessness—whether from a family of aristocrats, brahmins, peasants, or workers—and they realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life. And they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements. They’re an ascetic because of the ending of defilements.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.
จูฬอสฺสปุรสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทสมํฯ
มหายมกวคฺโค นิฏฺฐิโต จตุตฺโถฯ
ตสฺสุทฺทานํ
คิญฺชกสาลวนํ ปริหริตุํ, ปญฺญวโต ปุน สจฺจกนิเสโธ; มุขวณฺณปสีทนตาปินฺโท, เกวฏฺฏอสฺสปุรชฏิเลนฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]