Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๔. จูฬโพธิจริยาวณฺณนา

    4. Cūḷabodhicariyāvaṇṇanā

    ๒๖. จตุเตฺถ จูฬโพธีติ มหาโพธิปริพฺพาชกตฺตภาวํ อุปาทาย อิธ ‘‘จูฬโพธี’’ติ สมญฺญา อาโรปิตา, น ปน อิมสฺมิํ เอว ชาตเก (ชา. ๑.๑๐.๔๙ อาทโย) อตฺตโน เชฎฺฐภาติกาทิโน มหาโพธิสฺส สมฺภวโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ สุสีลวาติ สุฎฺฐุ สีลวา, สมฺปนฺนสีโลติ อโตฺถฯ ภวํ ทิสฺวาน ภยโตติ กามาทิภวํ ภายิตพฺพภาเวน ปสฺสิตฺวาฯ เนกฺขมฺมนฺติ เอตฺถ จ-สทฺทสฺส โลโป ทฎฺฐโพฺพ, เตน ‘‘ทิสฺวานา’’ติ ปทํ อากฑฺฒียติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ชาติชราพฺยาธิมรณํ อปายทุกฺขํ อตีเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, อนาคเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, ปจฺจุปฺปเนฺน อาหารปริเยฎฺฐิมูลกํ ทุกฺขนฺติ อิเมสํ อฎฺฐนฺนํ สํเวควตฺถูนํ ปจฺจเวกฺขเณน สพฺพมฺปิ กามาทิเภทํ ภวํ สํสารภยโต อุปฎฺฐหมานํ ทิสฺวา นิพฺพานํ ตสฺส อุปายภูตา สมถวิปสฺสนา ตทุปายภูตา จ ปพฺพชฺชาติ อิทํ ติวิธมฺปิ เนกฺขมฺมํ อนุสฺสวาทิสิเทฺธน ญาณจกฺขุนา ตปฺปฎิปกฺขโต ทิสฺวา ตาปสปพฺพชฺชูปคมเนน อเนกาทีนวากุลา คหฎฺฐภาวา อภินิกฺขมิตฺวา คโตติฯ

    26. Catutthe cūḷabodhīti mahābodhiparibbājakattabhāvaṃ upādāya idha ‘‘cūḷabodhī’’ti samaññā āropitā, na pana imasmiṃ eva jātake (jā. 1.10.49 ādayo) attano jeṭṭhabhātikādino mahābodhissa sambhavatoti daṭṭhabbaṃ. Susīlavāti suṭṭhu sīlavā, sampannasīloti attho. Bhavaṃ disvāna bhayatoti kāmādibhavaṃ bhāyitabbabhāvena passitvā. Nekkhammanti ettha ca-saddassa lopo daṭṭhabbo, tena ‘‘disvānā’’ti padaṃ ākaḍḍhīyati. Idaṃ vuttaṃ hoti – jātijarābyādhimaraṇaṃ apāyadukkhaṃ atīte vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, anāgate vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, paccuppanne āhārapariyeṭṭhimūlakaṃ dukkhanti imesaṃ aṭṭhannaṃ saṃvegavatthūnaṃ paccavekkhaṇena sabbampi kāmādibhedaṃ bhavaṃ saṃsārabhayato upaṭṭhahamānaṃ disvā nibbānaṃ tassa upāyabhūtā samathavipassanā tadupāyabhūtā ca pabbajjāti idaṃ tividhampi nekkhammaṃ anussavādisiddhena ñāṇacakkhunā tappaṭipakkhato disvā tāpasapabbajjūpagamanena anekādīnavākulā gahaṭṭhabhāvā abhinikkhamitvā gatoti.

    ๒๗. ทุติยิกาติ โปราณทุติยิกา, คิหิกาเล ปชาปติภูตาฯ กนกสนฺนิภาติ กญฺจนสนฺนิภตฺตจาฯ วเฎฺฎ อนเปกฺขาติ สํสาเร นิราลยาฯ เนกฺขมฺมํ อภินิกฺขมีติ เนกฺขมฺมตฺถาย เคหโต นิกฺขมิ, ปพฺพชีติ อโตฺถฯ

    27.Dutiyikāti porāṇadutiyikā, gihikāle pajāpatibhūtā. Kanakasannibhāti kañcanasannibhattacā. Vaṭṭe anapekkhāti saṃsāre nirālayā. Nekkhammaṃ abhinikkhamīti nekkhammatthāya gehato nikkhami, pabbajīti attho.

    ๒๘. อาลยนฺติ สตฺตา เอเตนาติ อาลโย, ตณฺหา, ตทภาเวน นิราลยาฯ ตโต เอว ญาตีสุ ตณฺหาพนฺธนสฺส ฉินฺนตฺตา ฉินฺนพนฺธุฯ เอวํ คิหิพนฺธนาภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปพฺพชิตานมฺปิ เกสญฺจิ ยํ โหติ พนฺธนํ , ตสฺสาปิ อภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อนเปกฺขา กุเล คเณ’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ กุเลติ อุปฎฺฐากกุเลฯ คเณติ ตาปสคเณ, เสสา พฺรหฺมจาริโนติ วุจฺจนฺติฯ อุปาคมุนฺติ อุโภปิ มยํ อุปาคมิมฺหาฯ

    28. Ālayanti sattā etenāti ālayo, taṇhā, tadabhāvena nirālayā. Tato eva ñātīsu taṇhābandhanassa chinnattā chinnabandhu. Evaṃ gihibandhanābhāvaṃ dassetvā idāni pabbajitānampi kesañci yaṃ hoti bandhanaṃ , tassāpi abhāvaṃ dassetuṃ ‘‘anapekkhā kule gaṇe’’ti vuttaṃ. Tattha kuleti upaṭṭhākakule. Gaṇeti tāpasagaṇe, sesā brahmacārinoti vuccanti. Upāgamunti ubhopi mayaṃ upāgamimhā.

    ๒๙. ตตฺถาติ พาราณสิสามเนฺตฯ นิปกาติ ปญฺญวโนฺตฯ นิรากุเลติ ชนสญฺจารรหิตตฺตา ชเนหิ อนากุเล, อปฺปสเทฺทติ มิคปกฺขีนํ อุฎฺฐาปนโต เตสํ วสฺสิตสเทฺทนาปิ วิรหิตตฺตา อปฺปสเทฺทฯ ราชุยฺยาเน วสามุโภติ พาราณสิรโญฺญ อุยฺยาเน มยํ อุโภ ชนา ตทา วสามฯ

    29.Tatthāti bārāṇasisāmante. Nipakāti paññavanto. Nirākuleti janasañcārarahitattā janehi anākule, appasaddeti migapakkhīnaṃ uṭṭhāpanato tesaṃ vassitasaddenāpi virahitattā appasadde. Rājuyyāne vasāmubhoti bārāṇasirañño uyyāne mayaṃ ubho janā tadā vasāma.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – อตีเต อิมสฺมิํ เอว ภทฺทกเปฺป โพธิสโตฺต พฺรหฺมโลกโต จวิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ กาสิคาเม เอกสฺส มหาวิภวสฺส พฺราหฺมณสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณสมเย ‘‘โพธิกุมาโร’’ติ นามํ กริํสุฯ วยปฺปตฺตกาเล ปนสฺส ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ปจฺจาคตสฺส อนิจฺฉมานกเสฺสว มาตาปิตโร สมชาติกํ กุลกุมาริกํ อาเนสุํฯ สาปิ พฺรหฺมโลกจุตาว อุตฺตมรูปธรา เทวจฺฉราปฎิภาคาฯ เตสํ อนิจฺฉมานานํ เอว อญฺญมญฺญํ อาวาหวิวาหํ กริํสุฯ อุภินฺนมฺปิ ปน เนสํ กิเลสมุทาจาโร น ภูตปุโพฺพ, สาราควเสน อญฺญมญฺญํ โอโลกนมฺปิ นาโหสิ, กา ปน กถา อิตรสํสเคฺคฯ เอวํ ปริสุทฺธสีลา อเหสุํฯ

    Tatrāyaṃ anupubbikathā – atīte imasmiṃ eva bhaddakappe bodhisatto brahmalokato cavitvā aññatarasmiṃ kāsigāme ekassa mahāvibhavassa brāhmaṇassa putto hutvā nibbatti. Tassa nāmaggahaṇasamaye ‘‘bodhikumāro’’ti nāmaṃ kariṃsu. Vayappattakāle panassa takkasilaṃ gantvā sabbasippāni uggaṇhitvā paccāgatassa anicchamānakasseva mātāpitaro samajātikaṃ kulakumārikaṃ ānesuṃ. Sāpi brahmalokacutāva uttamarūpadharā devaccharāpaṭibhāgā. Tesaṃ anicchamānānaṃ eva aññamaññaṃ āvāhavivāhaṃ kariṃsu. Ubhinnampi pana nesaṃ kilesamudācāro na bhūtapubbo, sārāgavasena aññamaññaṃ olokanampi nāhosi, kā pana kathā itarasaṃsagge. Evaṃ parisuddhasīlā ahesuṃ.

    อปรภาเค มหาสโตฺต มาตาปิตูสุ กาลํกเตสุ เตสํ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ อิมํ อสีติโกฎิธนํ คเหตฺวา สุเขน ชีวาหี’’ติ อาหฯ ‘‘ตฺวํ ปน อยฺยปุตฺตา’’ติ? ‘‘มยฺหํ ธเนน กิจฺจํ นตฺถิ, ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ปพฺพชฺชา อิตฺถีนมฺปิ น วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘วฎฺฎติ, ภเทฺท’’ติฯ ‘‘เตน หิ มยฺหมฺปิ ธเนน กิจฺจํ นตฺถิ, อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เต อุโภปิ สพฺพํ วิภวํ ปริจฺจชิตฺวา มหาทานํ ทตฺวา นิกฺขมิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา อุญฺฉาจริยาย ผลาผเลหิ ยาเปนฺตา ปพฺพชฺชาสุเขเนว ทส สํวจฺฉรานิ วสิตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ชนปทจาริกํ จรนฺตา อนุปุเพฺพน พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ราชุยฺยาเน วสามุโภ’’ติฯ

    Aparabhāge mahāsatto mātāpitūsu kālaṃkatesu tesaṃ sarīrakiccaṃ katvā taṃ pakkosāpetvā ‘‘bhadde, tvaṃ imaṃ asītikoṭidhanaṃ gahetvā sukhena jīvāhī’’ti āha. ‘‘Tvaṃ pana ayyaputtā’’ti? ‘‘Mayhaṃ dhanena kiccaṃ natthi, pabbajissāmī’’ti. ‘‘Kiṃ pana pabbajjā itthīnampi na vaṭṭatī’’ti? ‘‘Vaṭṭati, bhadde’’ti. ‘‘Tena hi mayhampi dhanena kiccaṃ natthi, ahampi pabbajissāmī’’ti. Te ubhopi sabbaṃ vibhavaṃ pariccajitvā mahādānaṃ datvā nikkhamitvā araññaṃ pavisitvā pabbajitvā uñchācariyāya phalāphalehi yāpentā pabbajjāsukheneva dasa saṃvaccharāni vasitvā loṇambilasevanatthāya janapadacārikaṃ carantā anupubbena bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasiṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘rājuyyāne vasāmubho’’ti.

    ๓๐. อเถกทิวสํ ราชา อุยฺยานกีฬํ คโตฯ อุยฺยานสฺส เอกปเสฺส ปพฺพชฺชาสุเขน วีตินาเมนฺตานํ เตสํ สมีปฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปรมปาสาทิกํ อุตฺตมรูปธรํ ปริพฺพาชิกํ โอโลเกโนฺต กิเลสวเสน ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา โพธิสตฺตํ ‘‘อยํ เต ปริพฺพาชิกา กิํ โหตี’’ติ ปุจฺฉิฯ เตน ‘‘น จ กิญฺจิ โหติ, เกวลํ เอกปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตา, อปิ จ โข ปน คิหิกาเล ปาทปริจาริกา อโหสี’’ติ วุเตฺต ราชา ‘‘อยํ กิเรตสฺส น กิญฺจิ โหติ, อปิ จ โข ปนสฺส คิหิกาเล ปาทปริจาริกา อโหสิ, ยํนูนาหํ อิมํ อเนฺตปุรํ ปเวเสยฺยํ, เตเนวสฺส อิมิสฺสา ปฎิปตฺติํ ชานิสฺสามี’’ติ อนฺธพาโล ตตฺถ อตฺตโน ปฎิพทฺธจิตฺตํ นิวาเรตุํ อสโกฺกโนฺต อญฺญตรํ ปุริสํ อาณาเปสิ ‘‘อิมํ ปริพฺพาชิกํ ราชนิเวสนํ เนหี’’ติฯ

    30. Athekadivasaṃ rājā uyyānakīḷaṃ gato. Uyyānassa ekapasse pabbajjāsukhena vītināmentānaṃ tesaṃ samīpaṭṭhānaṃ gantvā paramapāsādikaṃ uttamarūpadharaṃ paribbājikaṃ olokento kilesavasena paṭibaddhacitto hutvā bodhisattaṃ ‘‘ayaṃ te paribbājikā kiṃ hotī’’ti pucchi. Tena ‘‘na ca kiñci hoti, kevalaṃ ekapabbajjāya pabbajitā, api ca kho pana gihikāle pādaparicārikā ahosī’’ti vutte rājā ‘‘ayaṃ kiretassa na kiñci hoti, api ca kho panassa gihikāle pādaparicārikā ahosi, yaṃnūnāhaṃ imaṃ antepuraṃ paveseyyaṃ, tenevassa imissā paṭipattiṃ jānissāmī’’ti andhabālo tattha attano paṭibaddhacittaṃ nivāretuṃ asakkonto aññataraṃ purisaṃ āṇāpesi ‘‘imaṃ paribbājikaṃ rājanivesanaṃ nehī’’ti.

    โส ตสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา ‘‘อธโมฺม โลเก วตฺตตี’’ติอาทีนิ วตฺวา ปริเทวมานํ เอว ตํ อาทาย ปายาสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺสา ปริเทวนสทฺทํ สุตฺวา เอกวารํ โอโลเกตฺวา ปุน น โอโลเกสิฯ ‘‘สเจ ปนาหํ วาเรสฺสามิ, เตสุ จิตฺตํ ปโทเสตฺวา มยฺหํ สีลสฺส อนฺตราโย ภวิสฺสตี’’ติ สีลปารมิํเยว อาวเชฺชโนฺต นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุยฺยานทสฺสนํ คนฺตฺวา, ราชา อทฺทส พฺราหฺมณิ’’นฺติอาทิฯ

    So tassa paṭissuṇitvā ‘‘adhammo loke vattatī’’tiādīni vatvā paridevamānaṃ eva taṃ ādāya pāyāsi. Bodhisatto tassā paridevanasaddaṃ sutvā ekavāraṃ oloketvā puna na olokesi. ‘‘Sace panāhaṃ vāressāmi, tesu cittaṃ padosetvā mayhaṃ sīlassa antarāyo bhavissatī’’ti sīlapāramiṃyeva āvajjento nisīdi. Tena vuttaṃ ‘‘uyyānadassanaṃ gantvā, rājā addasa brāhmaṇi’’ntiādi.

    ตตฺถ ตุเยฺหสา กา กสฺส ภริยาติ ตุยฺหํ ตว เอสา กา, กิํ ภริยา, อุทาหุ ภคินี วา สมานา กสฺส อญฺญสฺส ภริยาฯ

    Tattha tuyhesā kā kassa bhariyāti tuyhaṃ tava esā kā, kiṃ bhariyā, udāhu bhaginī vā samānā kassa aññassa bhariyā.

    ๓๑. น มยฺหํ ภริยา เอสาติ กามเญฺจสา มยฺหํ คิหิกาเล ภริยา อโหสิ, ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย น มยฺหํ ภริยา เอสา, นาปิ อหํ เอติสฺสา สามิโก, เกวลํ ปน สหธมฺมา เอกสาสนี, อหมฺปิ ปริพฺพาชโก อยมฺปิ ปริพฺพาชิกาติ สมานธมฺมา ปริพฺพาชกสาสเนน เอกสาสนี, สพฺรหฺมจารินีติ อโตฺถฯ

    31.Na mayhaṃ bhariyā esāti kāmañcesā mayhaṃ gihikāle bhariyā ahosi, pabbajitakālato paṭṭhāya na mayhaṃ bhariyā esā, nāpi ahaṃ etissā sāmiko, kevalaṃ pana sahadhammā ekasāsanī, ahampi paribbājako ayampi paribbājikāti samānadhammā paribbājakasāsanena ekasāsanī, sabrahmacārinīti attho.

    ๓๒. ติสฺสา สารตฺตคธิโตติ กามราเคน สารโตฺต หุตฺวา ปฎิพโทฺธฯ คาหาเปตฺวาน เจฎเกติ เจฎเกหิ คณฺหาเปตฺวา เจฎเก วา อตฺตโน ราชปุริเส อาณาเปตฺวา ตํ ปริพฺพาชิกํ คณฺหาเปตฺวาฯ นิปฺปีฬยโนฺต พลสาติ ตํ อนิจฺฉมานํ เอว อากฑฺฒนปริกฑฺฒนาทินา นิปฺปีฬยโนฺต พาเธโนฺต, ตถาปิ อคจฺฉนฺติํ พลสา พลกฺกาเรน ราชปุริเสหิ คณฺหาเปตฺวา อตฺตโน อเนฺตปุรํ ปเวเสสิฯ

    32.Tissā sārattagadhitoti kāmarāgena sāratto hutvā paṭibaddho. Gāhāpetvāna ceṭaketi ceṭakehi gaṇhāpetvā ceṭake vā attano rājapurise āṇāpetvā taṃ paribbājikaṃ gaṇhāpetvā. Nippīḷayanto balasāti taṃ anicchamānaṃ eva ākaḍḍhanaparikaḍḍhanādinā nippīḷayanto bādhento, tathāpi agacchantiṃ balasā balakkārena rājapurisehi gaṇhāpetvā attano antepuraṃ pavesesi.

    ๓๓. โอทปตฺตกิยาติ อุทกปตฺตํ อามสิตฺวา คหิตภริยา โอทปตฺติกา นาม, อิทํ วจนํ ปุราณทุติยิกาภาเวน อุปลกฺขณมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํ , สา ปนสฺส พฺราหฺมณวิวาหวเสน มาตาปิตูหิ สมฺปฎิปาทิตา, ‘‘โอทปตฺตกิยา’’ติ จ ภาเวนภาวลกฺขเณ ภุมฺมํฯ สหชาติ ปพฺพชฺชาชาติวเสน สหชาตา, เตเนวาห ‘‘เอกสาสนี’’ติฯ ‘‘เอกสาสนี’’ติ จ อิทํ ภุมฺมเตฺถ ปจฺจตฺตํ, เอกสาสนิยาติ อโตฺถฯ นยนฺติยาติ นียนฺติยาฯ โกโป เม อุปปชฺชถาติ อยํ เต คิหิกาเล ภริยา พฺราหฺมณี สีลวตี, ปพฺพชิตกาเล จ สพฺรหฺมจารินีภาวโต สหชาตา ภคินี, สา ตุยฺหํ ปุรโต พลกฺกาเรน อากฑฺฒิตฺวา นียติฯ ‘‘โพธิพฺราหฺมณ, กิํ เต ปุริสภาว’’นฺติ ปุริสมาเนน อุสฺสาหิโต จิรกาลสยิโต วมฺมิกพิลโต เกนจิ ปุริเสน ฆฎฺฎิโต ‘‘สุสู’’ติ ผณํ กโรโนฺต อาสิวิโส วิย เม จิตฺตโต โกโป สหสา วุฎฺฐาสิฯ

    33.Odapattakiyāti udakapattaṃ āmasitvā gahitabhariyā odapattikā nāma, idaṃ vacanaṃ purāṇadutiyikābhāvena upalakkhaṇamattaṃ daṭṭhabbaṃ , sā panassa brāhmaṇavivāhavasena mātāpitūhi sampaṭipāditā, ‘‘odapattakiyā’’ti ca bhāvenabhāvalakkhaṇe bhummaṃ. Sahajāti pabbajjājātivasena sahajātā, tenevāha ‘‘ekasāsanī’’ti. ‘‘Ekasāsanī’’ti ca idaṃ bhummatthe paccattaṃ, ekasāsaniyāti attho. Nayantiyāti nīyantiyā. Kopo me upapajjathāti ayaṃ te gihikāle bhariyā brāhmaṇī sīlavatī, pabbajitakāle ca sabrahmacārinībhāvato sahajātā bhaginī, sā tuyhaṃ purato balakkārena ākaḍḍhitvā nīyati. ‘‘Bodhibrāhmaṇa, kiṃ te purisabhāva’’nti purisamānena ussāhito cirakālasayito vammikabilato kenaci purisena ghaṭṭito ‘‘susū’’ti phaṇaṃ karonto āsiviso viya me cittato kopo sahasā vuṭṭhāsi.

    ๓๔-๕. สหโกเป สมุปฺปเนฺนติ โกปุปฺปตฺติยา สห, ตสฺส อุปฺปตฺติสมนนฺตรเมวาติ อโตฺถฯ สีลพฺพตมนุสฺสรินฺติ อตฺตโน สีลปารมิํ อาวเชฺชสิํฯ ตเตฺถว โกปํ นิคฺคณฺหินฺติ ตสฺมิํ เอว อาสเน ยถานิสิโนฺนว ตํ โกปํ นิวาเรสิํฯ นาทาสิํ วฑฺฒิตูปรีติ ตโต เอกวารุปฺปตฺติโต อุปริ อุทฺธํ วฑฺฒิตุํ น อทาสิํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โกเป อุปฺปนฺนมเตฺต เอว ‘‘นนุ ตฺวํ, โพธิปริพฺพาชก, สพฺพปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตุกาโม, ตสฺส เต กิมิทํ สีลมเตฺตปิ อุปกฺขลนํ, ตยิทํ คุนฺนํ ขุรมโตฺตทเก โอสีทนฺตสฺส มหาสมุทฺทสฺส ปรตีรํ คณฺหิตุกามตา วิย โหตี’’ติ อตฺตานํ ปริภาสิตฺวา ปฎิสงฺขานพเลน ตสฺมิํ เอว ขเณ โกปํ นิคฺคเหตฺวา ปุน อุปฺปชฺชนวเสนสฺส วฑฺฒิตุํ น อทาสินฺติฯ เตเนวาห ‘‘ยทิ นํ พฺราหฺมณิ’’นฺติอาทิฯ

    34-5.Sahakope samuppanneti kopuppattiyā saha, tassa uppattisamanantaramevāti attho. Sīlabbatamanussarinti attano sīlapāramiṃ āvajjesiṃ. Tattheva kopaṃ niggaṇhinti tasmiṃ eva āsane yathānisinnova taṃ kopaṃ nivāresiṃ. Nādāsiṃ vaḍḍhitūparīti tato ekavāruppattito upari uddhaṃ vaḍḍhituṃ na adāsiṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – kope uppannamatte eva ‘‘nanu tvaṃ, bodhiparibbājaka, sabbapāramiyo pūretvā sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitukāmo, tassa te kimidaṃ sīlamattepi upakkhalanaṃ, tayidaṃ gunnaṃ khuramattodake osīdantassa mahāsamuddassa paratīraṃ gaṇhitukāmatā viya hotī’’ti attānaṃ paribhāsitvā paṭisaṅkhānabalena tasmiṃ eva khaṇe kopaṃ niggahetvā puna uppajjanavasenassa vaḍḍhituṃ na adāsinti. Tenevāha ‘‘yadi naṃ brāhmaṇi’’ntiādi.

    ตสฺสโตฺถ – ตํ ปริพฺพาชิกํ พฺราหฺมณิํ โส ราชา วา อโญฺญ วา โกจิ ติณฺหายปิ นิสิตาย สตฺติยา โกเฎฺฎยฺย, ขณฺฑาขณฺฑิกํ ยทิ ฉิเนฺทยฺย, เอวํ สเนฺตปิ สีลํ อตฺตโน สีลปารมิํ เนว ภิเนฺทยฺยํฯ กสฺมา? โพธิยา เอว การณา, สพฺพตฺถ อขณฺฑิตสีเลเนว สกฺกา สมฺมาสโมฺพธิํ ปาปุณิตุํ, น อิตเรนาติฯ

    Tassattho – taṃ paribbājikaṃ brāhmaṇiṃ so rājā vā añño vā koci tiṇhāyapi nisitāya sattiyā koṭṭeyya, khaṇḍākhaṇḍikaṃ yadi chindeyya, evaṃ santepi sīlaṃ attano sīlapāramiṃ neva bhindeyyaṃ. Kasmā? Bodhiyā eva kāraṇā, sabbattha akhaṇḍitasīleneva sakkā sammāsambodhiṃ pāpuṇituṃ, na itarenāti.

    ๓๖. เม สา พฺราหฺมณี เทสฺสาติ สา พฺราหฺมณี ชาติยา โคเตฺตน กุลปฺปเทเสน อาจารสมฺปตฺติยา จิรปริจเยน ปพฺพชฺชาทิคุณสมฺปตฺติยา จาติ สพฺพปฺปกาเรน น เม เทสฺสา น อปฺปิยา, เอติสฺสา มม อปฺปิยภาโว โกจิ นตฺถิฯ นปิ เม พลํ น วิชฺชตีติ มยฺหมฺปิ พลํ น น วิชฺชติ, อตฺถิ เอวฯ อหํ นาคพโล ถามสมฺปโนฺน, อิจฺฉมาโน สหสา วุฎฺฐหิตฺวา ตํ อากฑฺฒเนฺต ปุริเส นิโปฺปเถตฺวา ตํ คเหตฺวา ยถิจฺฉิตฎฺฐานํ คนฺตุํ สมโตฺถติ ทเสฺสติฯ สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหนฺติ ตโต ปริพฺพาชิกโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว มยฺหํ ปิยํฯ ตสฺมา สีลานุรกฺขิสฺสนฺติ เตน การเณน สีลเมว อนุรกฺขิสฺสํฯ

    36.Name sā brāhmaṇī dessāti sā brāhmaṇī jātiyā gottena kulappadesena ācārasampattiyā ciraparicayena pabbajjādiguṇasampattiyā cāti sabbappakārena na me dessā na appiyā, etissā mama appiyabhāvo koci natthi. Napi me balaṃ na vijjatīti mayhampi balaṃ na na vijjati, atthi eva. Ahaṃ nāgabalo thāmasampanno, icchamāno sahasā vuṭṭhahitvā taṃ ākaḍḍhante purise nippothetvā taṃ gahetvā yathicchitaṭṭhānaṃ gantuṃ samatthoti dasseti. Sabbaññutaṃ piyaṃ mayhanti tato paribbājikato sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena sabbaññutaññāṇameva mayhaṃ piyaṃ. Tasmā sīlānurakkhissanti tena kāraṇena sīlameva anurakkhissaṃ.

    อถ โส ราชา อุยฺยาเน ปปญฺจํ อกตฺวาว สีฆตรํ คนฺตฺวา ตํ ปริพฺพาชิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา มหเนฺตน ยเสน นิมเนฺตสิฯ สา ยสสฺส อคุณํ ปพฺพชฺชาย คุณํ อตฺตโน โพธิสตฺตสฺส จ มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ ปหาย สํเวเคน ปพฺพชิตภาวญฺจ กเถสิฯ ราชา เกนจิ ปริยาเยน ตสฺสา มนํ อลภโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ปริพฺพาชิกา สีลวตี กลฺยาณธมฺมา, โสปิ ปริพฺพาชโก อิมาย อากฑฺฒิตฺวา นียมานาย น กิญฺจิ วิปฺปการํ ทเสฺสสิ, สพฺพตฺถ นิรเปกฺขจิโตฺต, น โข ปน เมตํ ปติรูปํ, ยํ เอวรูเปสุ คุณวเนฺตสุ วิปฺปกาโร, ยํนูนาหํ อิมํ ปริพฺพาชิกํ คเหตฺวา อุยฺยานํ คนฺตฺวา อิมํ, ตญฺจ ปริพฺพาชกํ ขมาเปยฺย’’นฺติ? เอวํ ปน จิเนฺตตฺวา ‘‘ปริพฺพาชิกํ อุยฺยานํ อาเนถา’’ติ ปุริเส อาณาเปตฺวา สยํ ปฐมตรํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘โภ ปพฺพชิต, กิํ มยา ตาย ปริพฺพาชิกาย นียมานาย โกโป เต อุปฺปชฺชิตฺถา’’ติฯ มหาสโตฺต อาห –

    Atha so rājā uyyāne papañcaṃ akatvāva sīghataraṃ gantvā taṃ paribbājikaṃ pakkosāpetvā mahantena yasena nimantesi. Sā yasassa aguṇaṃ pabbajjāya guṇaṃ attano bodhisattassa ca mahantaṃ bhogakkhandhaṃ pahāya saṃvegena pabbajitabhāvañca kathesi. Rājā kenaci pariyāyena tassā manaṃ alabhanto cintesi – ‘‘ayaṃ paribbājikā sīlavatī kalyāṇadhammā, sopi paribbājako imāya ākaḍḍhitvā nīyamānāya na kiñci vippakāraṃ dassesi, sabbattha nirapekkhacitto, na kho pana metaṃ patirūpaṃ, yaṃ evarūpesu guṇavantesu vippakāro, yaṃnūnāhaṃ imaṃ paribbājikaṃ gahetvā uyyānaṃ gantvā imaṃ, tañca paribbājakaṃ khamāpeyya’’nti? Evaṃ pana cintetvā ‘‘paribbājikaṃ uyyānaṃ ānethā’’ti purise āṇāpetvā sayaṃ paṭhamataraṃ gantvā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā pucchi – ‘‘bho pabbajita, kiṃ mayā tāya paribbājikāya nīyamānāya kopo te uppajjitthā’’ti. Mahāsatto āha –

    ‘‘อุปฺปชฺชิ เม น มุจฺจิตฺถ, น เม มุจฺจิตฺถ ชีวโต;

    ‘‘Uppajji me na muccittha, na me muccittha jīvato;

    รชํว วิปุลา วุฎฺฐิ, ขิปฺปเมว นิวารยิ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๐.๕๒);

    Rajaṃva vipulā vuṭṭhi, khippameva nivārayi’’nti. (jā. 1.10.52);

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘กิํ นุ โข เอส โกปเมว สนฺธาย วทติ, อุทาหุ อญฺญํ กิญฺจิ สิปฺปาทิก’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปุน ปุจฺฉิ –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘kiṃ nu kho esa kopameva sandhāya vadati, udāhu aññaṃ kiñci sippādika’’nti cintetvā puna pucchi –

    ‘‘กิํ เต อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจิ, กิํ เต โน มุจฺจิ ชีวโต;

    ‘‘Kiṃ te uppajji no mucci, kiṃ te no mucci jīvato;

    รชํว วิปุลา วุฎฺฐิ, กตมํ ตํ นิวารยี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๕๓);

    Rajaṃva vipulā vuṭṭhi, katamaṃ taṃ nivārayī’’ti. (jā. 1.10.53);

    ตตฺถ อุปฺปชฺชีติ เอกวารํ อุปฺปชฺชิ, น ปุน อุปฺปชฺชิฯ น มุจฺจิตฺถาติ กายวจีวิการุปฺปาทนวเสน ปน น มุจฺจิตฺถ, น นํ พหิ ปวตฺติตุํ วิสฺสเชฺชสินฺติ อโตฺถฯ รชํว วิปุลา วุฎฺฐีติ ยถา นาม คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส อุปฺปนฺนํ รชํ วิปุลา อกาลวุฎฺฐิธารา ฐานโส นิวาเรติ, เอวํ ตํ วูปสเมโนฺต นิวารยิํ, นิวาเรสินฺติ อโตฺถฯ

    Tattha uppajjīti ekavāraṃ uppajji, na puna uppajji. Na muccitthāti kāyavacīvikāruppādanavasena pana na muccittha, na naṃ bahi pavattituṃ vissajjesinti attho. Rajaṃva vipulā vuṭṭhīti yathā nāma gimhānaṃ pacchime māse uppannaṃ rajaṃ vipulā akālavuṭṭhidhārā ṭhānaso nivāreti, evaṃ taṃ vūpasamento nivārayiṃ, nivāresinti attho.

    อถสฺส มหาปุริโส นานปฺปกาเรน โกเธ อาทีนวํ ปกาเสโนฺต –

    Athassa mahāpuriso nānappakārena kodhe ādīnavaṃ pakāsento –

    ‘‘ยมฺหิ ชาเต น ปสฺสติ, อชาเต สาธุ ปสฺสติ;

    ‘‘Yamhi jāte na passati, ajāte sādhu passati;

    โส เม อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจิ, โกโธ ทุเมฺมธโคจโรฯ

    So me uppajji no mucci, kodho dummedhagocaro.

    ‘‘เยน ชาเตน นนฺทนฺติ, อมิตฺตา ทุกฺขเมสิโน;

    ‘‘Yena jātena nandanti, amittā dukkhamesino;

    โส เม อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจิ, โกโธ ทุเมฺมธโคจโรฯ

    So me uppajji no mucci, kodho dummedhagocaro.

    ‘‘ยสฺมิญฺจ ชายมานมฺหิ, สทตฺถํ นาวพุชฺฌติ;

    ‘‘Yasmiñca jāyamānamhi, sadatthaṃ nāvabujjhati;

    โส เม อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจิ, โกโธ ทุเมฺมธโคจโรฯ

    So me uppajji no mucci, kodho dummedhagocaro.

    ‘‘เยนาภิภูโต กุสลํ ชหาติ, ปรกฺกเร วิปุลญฺจาปิ อตฺถํ;

    ‘‘Yenābhibhūto kusalaṃ jahāti, parakkare vipulañcāpi atthaṃ;

    ส ภีมเสโน พลวา ปมทฺที, โกโธ มหาราชา น เม อมุจฺจถฯ

    Sa bhīmaseno balavā pamaddī, kodho mahārājā na me amuccatha.

    ‘‘กฎฺฐสฺมิํ มนฺถมานสฺมิํ, ปาวโก นาม ชายติ;

    ‘‘Kaṭṭhasmiṃ manthamānasmiṃ, pāvako nāma jāyati;

    ตเมว กฎฺฐํ ฑหติ, ยสฺมา โส ชายเต คินิฯ

    Tameva kaṭṭhaṃ ḍahati, yasmā so jāyate gini.

    ‘‘เอวํ มนฺทสฺส โปสสฺส, พาลสฺส อวิชานโต;

    ‘‘Evaṃ mandassa posassa, bālassa avijānato;

    สารมฺภา ชายเต โกโธ, สปิ เตเนว ฑยฺหติฯ

    Sārambhā jāyate kodho, sapi teneva ḍayhati.

    ‘‘อคฺคีว ติณกฎฺฐสฺมิํ, โกโธ ยสฺส ปวฑฺฒติ;

    ‘‘Aggīva tiṇakaṭṭhasmiṃ, kodho yassa pavaḍḍhati;

    นิหียติ ตสฺส ยโส, กาฬปเกฺขว จนฺทิมาฯ

    Nihīyati tassa yaso, kāḷapakkheva candimā.

    ‘‘อนิโนฺธ ธูมเกตูว, โกโธ ยสฺสูปสมฺมติ;

    ‘‘Anindho dhūmaketūva, kodho yassūpasammati;

    อาปูรติ ตสฺส ยโส, สุกฺกปเกฺขว จนฺทิมา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๕๔-๖๑) –

    Āpūrati tassa yaso, sukkapakkheva candimā’’ti. (jā. 1.10.54-61) –

    อิมาหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสสิฯ

    Imāhi gāthāhi dhammaṃ desesi.

    ตตฺถ น ปสฺสตีติ อตฺตตฺถมฺปิ น ปสฺสติ, ปเคว ปรตฺถํฯ สาธุ ปสฺสตีติ อตฺตตฺถํ ปรตฺถํ อุภยตฺถญฺจ สมฺมเทว ปสฺสติฯ ทุเมฺมธโคจโรติ นิปฺปญฺญานํ วิสยภูโต, นิปฺปโญฺญ วา โคจโร อาหาโร อินฺธนํ เอตสฺสาติ ทุเมฺมธโคจโรฯ ทุกฺขเมสิโนติ ทุกฺขํ อิจฺฉนฺตาฯ สทตฺถนฺติ อตฺตโน อตฺถํ วุฑฺฒิํฯ ปรกฺกเรติ อปเนยฺย วินาเสยฺยฯ สภีมเสโนติ โส ภีมาย ภยชนนิยา มหติยา กิเลสเสนาย สมนฺนาคโตฯ ปมทฺทีติ พลวภาเวน สเตฺต ปมทฺทนสีโลฯ น เม อมุจฺจถาติ มม สนฺติกา โมกฺขํ น ลภิ, อพฺภนฺตเร เอว ทมิโต, นิพฺพิเสวโน กโตติ อโตฺถฯ ขีรํ วิย วา มุหุตฺตํ ทธิภาเวน จิเตฺตน ปติฎฺฐหิตฺถาติปิ อโตฺถฯ

    Tattha na passatīti attatthampi na passati, pageva paratthaṃ. Sādhu passatīti attatthaṃ paratthaṃ ubhayatthañca sammadeva passati. Dummedhagocaroti nippaññānaṃ visayabhūto, nippañño vā gocaro āhāro indhanaṃ etassāti dummedhagocaro. Dukkhamesinoti dukkhaṃ icchantā. Sadatthanti attano atthaṃ vuḍḍhiṃ. Parakkareti apaneyya vināseyya. Sabhīmasenoti so bhīmāya bhayajananiyā mahatiyā kilesasenāya samannāgato. Pamaddīti balavabhāvena satte pamaddanasīlo. Na me amuccathāti mama santikā mokkhaṃ na labhi, abbhantare eva damito, nibbisevano katoti attho. Khīraṃ viya vā muhuttaṃ dadhibhāvena cittena patiṭṭhahitthātipi attho.

    มนฺถมานสฺมินฺติ อรณิสหิเต มถิยมาเนฯ ‘‘มถมานสฺมิ’’นฺติปิ ปาโฐฯ ยสฺมาติ ยโต กฎฺฐา ฯ คินีติ อคฺคิฯ พาลสฺส อวิชานโตติ พาลสฺส อชานนฺตสฺสฯ สารมฺภา ชายเตติ กรณุตฺตริยกรณลกฺขณา สารมฺภา อรณิมนฺถนโต วิย ปาวโก โกโธ ชายเตฯ สปิ เตเนวาติ โสปิ พาโล เตเนว โกเธน กฎฺฐํ วิย อคฺคินา ฑยฺหติฯ อนิโนฺธ ธูมเกตูวาติ อนินฺธโน อคฺคิ วิยฯ ตสฺสาติ ตสฺส อธิวาสนขนฺติยา สมนฺนาคตสฺส ปุคฺคลสฺส สุกฺกปเกฺข จโนฺท วิย ลโทฺธ, ยโส อปราปรํ อาปูรตีติฯ

    Manthamānasminti araṇisahite mathiyamāne. ‘‘Mathamānasmi’’ntipi pāṭho. Yasmāti yato kaṭṭhā . Ginīti aggi. Bālassa avijānatoti bālassa ajānantassa. Sārambhā jāyateti karaṇuttariyakaraṇalakkhaṇā sārambhā araṇimanthanato viya pāvako kodho jāyate. Sapi tenevāti sopi bālo teneva kodhena kaṭṭhaṃ viya agginā ḍayhati. Anindho dhūmaketūvāti anindhano aggi viya. Tassāti tassa adhivāsanakhantiyā samannāgatassa puggalassa sukkapakkhe cando viya laddho, yaso aparāparaṃ āpūratīti.

    ราชา มหาสตฺตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา มหาปุริสํ ปริพฺพาชิกมฺปิ ราชเคหโต อาคตํ ขมาเปตฺวา ‘‘ตุเมฺห ปพฺพชฺชาสุขํ อนุภวนฺตา อิเธว อุยฺยาเน วสถ, อหํ โว ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺติํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ เต อุโภปิ ตเตฺถว วสิํสุฯ อปรภาเค ปริพฺพาชิกา กาลมกาสิฯ โพธิสโตฺต หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลกปรายโน อโหสิฯ

    Rājā mahāsattassa dhammakathaṃ sutvā mahāpurisaṃ paribbājikampi rājagehato āgataṃ khamāpetvā ‘‘tumhe pabbajjāsukhaṃ anubhavantā idheva uyyāne vasatha, ahaṃ vo dhammikaṃ rakkhāvaraṇaguttiṃ karissāmī’’ti vatvā vanditvā pakkāmi. Te ubhopi tattheva vasiṃsu. Aparabhāge paribbājikā kālamakāsi. Bodhisatto himavantaṃ pavisitvā jhānābhiññāyo nibbattetvā āyupariyosāne brahmalokaparāyano ahosi.

    ตทา ปริพฺพาชิกา ราหุลมาตา อโหสิ, ราชา อานนฺทเตฺถโร, โพธิปริพฺพาชโก โลกนาโถฯ

    Tadā paribbājikā rāhulamātā ahosi, rājā ānandatthero, bodhiparibbājako lokanātho.

    ตสฺส อิธาปิ ยถารหํ เสสปารมิโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ มหนฺตญฺจ ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย มหาภินิกฺขมนสทิสํ เคหโต นิกฺขมนํ, ตถา นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตสฺส พหุชนสมฺมตสฺส สโต ปรมปฺปิจฺฉตาย กุเลสุ จ คเณสุ จ อลคฺคตา, อจฺจนฺตเมว ลาภสกฺการชิคุจฺฉาย ปวิเวกาภิรติ, อติสยวตี จ อภิสเลฺลขวุตฺติ, ตถารูปาย สีลวติยา กลฺยาณธมฺมาย ปริพฺพาชิกาย อนนุญฺญาตา อตฺตโน ปุรโต พลกฺกาเรน ปรามสิยมานาย สีลปารมิํ อาวเชฺชตฺวา วิการานาปตฺติ, กตาปราเธ จ ตสฺมิํ ราชินิ อุปคเต หิตจิตฺตตํ เมตฺตจิตฺตตํ อุปฎฺฐเปตฺวา ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิเกหิ สมนุสาสนนฺติ เอวมาทโย อิธ มหาปุริสสฺส คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาฯ เตเนตํ วุจฺจติ ‘‘เอวํ อจฺฉริยา เหเต…เป.… ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต’’ติฯ

    Tassa idhāpi yathārahaṃ sesapāramiyo niddhāretabbā. Tathā mahantaṃ bhogakkhandhaṃ mahantañca ñātiparivaṭṭaṃ pahāya mahābhinikkhamanasadisaṃ gehato nikkhamanaṃ, tathā nikkhamitvā pabbajitassa bahujanasammatassa sato paramappicchatāya kulesu ca gaṇesu ca alaggatā, accantameva lābhasakkārajigucchāya pavivekābhirati, atisayavatī ca abhisallekhavutti, tathārūpāya sīlavatiyā kalyāṇadhammāya paribbājikāya ananuññātā attano purato balakkārena parāmasiyamānāya sīlapāramiṃ āvajjetvā vikārānāpatti, katāparādhe ca tasmiṃ rājini upagate hitacittataṃ mettacittataṃ upaṭṭhapetvā diṭṭhadhammikasamparāyikehi samanusāsananti evamādayo idha mahāpurisassa guṇānubhāvā vibhāvetabbā. Tenetaṃ vuccati ‘‘evaṃ acchariyā hete…pe… dhammassa anudhammato’’ti.

    จูฬโพธิจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cūḷabodhicariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๔. จูฬโพธิจริยา • 4. Cūḷabodhicariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact