Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๔๓] ๕. จูฬโพธิชาตกวณฺณนา
[443] 5. Cūḷabodhijātakavaṇṇanā
โย เต อิมํ วิสาลกฺขินฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ โกธนํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร ภิกฺขุ นิยฺยานิเก พุทฺธสาสเน ปพฺพชิตฺวาปิ โกธํ นิคฺคเหตุํ นาสกฺขิ, โกธโน อโหสิ อุปายาสพหุโล, อปฺปมฺปิ วุโตฺต สมาโน อภิสชฺชิ กุปฺปิ พฺยาปชฺชิ ปติฎฺฐยิฯ สตฺถา ตสฺส โกธนภาวํ สุตฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ โกธโน’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ โกโธ นาม วาเรตโพฺพ, เอวรูโป หิ อิธโลเก จ ปรโลเก จ อนตฺถการโก, ตฺวํ นิโกฺกธสฺส พุทฺธสฺส สาสเน ปพฺพชิตฺวา กสฺมา กุชฺฌสิ, โปราณกปณฺฑิตา พาหิรสาสเน ปพฺพชิตฺวาปิ โกธํ น กริํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yo te imaṃ visālakkhinti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ kodhanaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. So kira bhikkhu niyyānike buddhasāsane pabbajitvāpi kodhaṃ niggahetuṃ nāsakkhi, kodhano ahosi upāyāsabahulo, appampi vutto samāno abhisajji kuppi byāpajji patiṭṭhayi. Satthā tassa kodhanabhāvaṃ sutvā pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ kodhano’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu kodho nāma vāretabbo, evarūpo hi idhaloke ca paraloke ca anatthakārako, tvaṃ nikkodhassa buddhassa sāsane pabbajitvā kasmā kujjhasi, porāṇakapaṇḍitā bāhirasāsane pabbajitvāpi kodhaṃ na kariṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต อญฺญตรสฺมิํ กาสินิคเม เอโก พฺราหฺมโณ อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโค อปุตฺตโก อโหสิ, ตสฺส พฺราหฺมณี ปุตฺตํ ปเตฺถสิฯ ตทา โพธิสโตฺต พฺรหฺมโลกา จวิตฺวา ตสฺสา กุจฺฉิยํ นิพฺพตฺติ, ตสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘โพธิกุมาโร’’ติ นามํ กริํสุฯ ตสฺส วยปฺปตฺตกาเล ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ปจฺจาคตสฺส อนิจฺฉนฺตเสฺสว มาตาปิตโร สมานชาติกา กุลา กุมาริกํ อาเนสุํฯ สาปิ พฺรหฺมโลกา จุตาว อุตฺตมรูปธรา เทวจฺฉรปฎิภาคาฯ เตสํ อนิจฺฉมานานเญฺญว อญฺญมญฺญํ อาวาหวิวาหํ กริํสุฯ อุภินฺนํ ปเนเตสํ กิเลสสมุทาจาโร นาม น ภูตปุโพฺพ, สํราควเสน อญฺญมญฺญสฺส โอโลกนํ นาม นาโหสิ, สุปิเนปิ เมถุนธโมฺม นาม น ทิฎฺฐปุโพฺพ, เอวํ ปริสุทฺธสีลา อเหสุํฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente aññatarasmiṃ kāsinigame eko brāhmaṇo aḍḍho mahaddhano mahābhogo aputtako ahosi, tassa brāhmaṇī puttaṃ patthesi. Tadā bodhisatto brahmalokā cavitvā tassā kucchiyaṃ nibbatti, tassa nāmaggahaṇadivase ‘‘bodhikumāro’’ti nāmaṃ kariṃsu. Tassa vayappattakāle takkasilaṃ gantvā sabbasippāni uggaṇhitvā paccāgatassa anicchantasseva mātāpitaro samānajātikā kulā kumārikaṃ ānesuṃ. Sāpi brahmalokā cutāva uttamarūpadharā devaccharapaṭibhāgā. Tesaṃ anicchamānānaññeva aññamaññaṃ āvāhavivāhaṃ kariṃsu. Ubhinnaṃ panetesaṃ kilesasamudācāro nāma na bhūtapubbo, saṃrāgavasena aññamaññassa olokanaṃ nāma nāhosi, supinepi methunadhammo nāma na diṭṭhapubbo, evaṃ parisuddhasīlā ahesuṃ.
อถาปรภาเค มหาสโตฺต มาตาปิตูสุ กาลกเตสุ เตสํ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ตํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ อิมํ อสีติโกฎิธนํ คเหตฺวา สุเขน ชีวาหี’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ กริสฺสถ ตุเมฺห ปน, อยฺยปุตฺตา’’ติ? ‘‘มยฺหํ ธเนน กิจฺจํ นตฺถิ, หิมวนฺตปเทสํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อตฺตโน ปติฎฺฐํ กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน อยฺยปุตฺต ปพฺพชฺชา นาม ปุริสานเญฺญว วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘อิตฺถีนมฺปิ วฎฺฎติ, ภเทฺท’’ติฯ ‘‘เตน หิ อหํ ตุเมฺหหิ ฉฎฺฎิตเขฬํ น คณฺหิสฺสามิ, มยฺหมฺปิ ธเนน กิจฺจํ นตฺถิ, อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเทฺท’’ติฯ เต อุโภปิ มหาทานํ ทตฺวา นิกฺขมิตฺวา รมณีเย ภูมิภาเค อสฺสมํ กตฺวา ปพฺพชิตฺวา อุญฺฉาจริยาย ผลาผเลหิ ยาเปนฺตา ตตฺถ ทสมตฺตานิ สํวจฺฉรานิ วสิํสุ, ฌานํ ปน เนสํ น ตาว อุปฺปชฺชติฯ เต ตตฺถ ปพฺพชฺชาสุเขเนว ทส สํวจฺฉเร วสิตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ชนปทจาริกํ จรนฺตา อนุปุเพฺพน พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิํสุฯ
Athāparabhāge mahāsatto mātāpitūsu kālakatesu tesaṃ sarīrakiccaṃ katvā taṃ pakkositvā ‘‘bhadde, tvaṃ imaṃ asītikoṭidhanaṃ gahetvā sukhena jīvāhī’’ti āha. ‘‘Kiṃ karissatha tumhe pana, ayyaputtā’’ti? ‘‘Mayhaṃ dhanena kiccaṃ natthi, himavantapadesaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā attano patiṭṭhaṃ karissāmī’’ti. ‘‘Kiṃ pana ayyaputta pabbajjā nāma purisānaññeva vaṭṭatī’’ti? ‘‘Itthīnampi vaṭṭati, bhadde’’ti. ‘‘Tena hi ahaṃ tumhehi chaṭṭitakheḷaṃ na gaṇhissāmi, mayhampi dhanena kiccaṃ natthi, ahampi pabbajissāmī’’ti. ‘‘Sādhu, bhadde’’ti. Te ubhopi mahādānaṃ datvā nikkhamitvā ramaṇīye bhūmibhāge assamaṃ katvā pabbajitvā uñchācariyāya phalāphalehi yāpentā tattha dasamattāni saṃvaccharāni vasiṃsu, jhānaṃ pana nesaṃ na tāva uppajjati. Te tattha pabbajjāsukheneva dasa saṃvacchare vasitvā loṇambilasevanatthāya janapadacārikaṃ carantā anupubbena bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasiṃsu.
อเถกทิวสํ ราชา อุยฺยานปาลํ ปณฺณาการํ อาทาย อาคตํ ทิสฺวา ‘‘อุยฺยานกีฬิกํ กีฬิสฺสาม, อุยฺยานํ โสเธหี’’ติ วตฺวา เตน โสธิตํ สชฺชิตํ อุยฺยานํ มหเนฺตน ปริวาเรน อคมาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เต อุโภปิ ชนา อุยฺยานสฺส เอกปเสฺส ปพฺพชฺชาสุเขน วีตินาเมตฺวา นิสินฺนา โหนฺติฯ อถ ราชา อุยฺยาเน วิจรโนฺต เต อุโภปิ นิสินฺนเก ทิสฺวา ปรมปาสาทิกํ อุตฺตมรูปธรํ ปริพฺพาชิกํ โอโลเกโนฺต ปฎิพทฺธจิโตฺต อโหสิฯ โส กิเลสวเสน กมฺปโนฺต ‘‘ปุจฺฉิสฺสามิ ตาว, อยํ ปริพฺพาชิกา อิมสฺส กิํ โหตี’’ติ โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ปพฺพชิต อยํ เต ปริพฺพาชิกา กิํ โหตี’’ติ ปุจฺฉิฯ มหาราช, กิญฺจิ น โหติ, เกวลํ เอกปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตา, อปิจ โข ปน เม คิหิกาเล ปาทปริจาริกา อโหสีติฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อยํ กิเรตสฺส กิญฺจิ น โหติ, อปิจ โข ปน คิหิกาเล ปาทปริจาริกา กิรสฺส อโหสิ , สเจ ปนาหํ อิสฺสริยพเลน คเหตฺวา คเจฺฉยฺยํ, กิํ นุ โข เอส กริสฺสติ, ปริคฺคณฺหิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อุปสงฺกมิตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Athekadivasaṃ rājā uyyānapālaṃ paṇṇākāraṃ ādāya āgataṃ disvā ‘‘uyyānakīḷikaṃ kīḷissāma, uyyānaṃ sodhehī’’ti vatvā tena sodhitaṃ sajjitaṃ uyyānaṃ mahantena parivārena agamāsi. Tasmiṃ khaṇe te ubhopi janā uyyānassa ekapasse pabbajjāsukhena vītināmetvā nisinnā honti. Atha rājā uyyāne vicaranto te ubhopi nisinnake disvā paramapāsādikaṃ uttamarūpadharaṃ paribbājikaṃ olokento paṭibaddhacitto ahosi. So kilesavasena kampanto ‘‘pucchissāmi tāva, ayaṃ paribbājikā imassa kiṃ hotī’’ti bodhisattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘pabbajita ayaṃ te paribbājikā kiṃ hotī’’ti pucchi. Mahārāja, kiñci na hoti, kevalaṃ ekapabbajjāya pabbajitā, apica kho pana me gihikāle pādaparicārikā ahosīti. Taṃ sutvā rājā ‘‘ayaṃ kiretassa kiñci na hoti, apica kho pana gihikāle pādaparicārikā kirassa ahosi , sace panāhaṃ issariyabalena gahetvā gaccheyyaṃ, kiṃ nu kho esa karissati, pariggaṇhissāmi tāva na’’nti cintetvā upasaṅkamitvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๔๙.
49.
‘‘โย เต อิมํ วิสาลกฺขิํ, ปิยํ สํมฺหิตภาสินิํ;
‘‘Yo te imaṃ visālakkhiṃ, piyaṃ saṃmhitabhāsiniṃ;
อาทาย พลา คเจฺฉยฺย, กิํ นุ กยิราสิ พฺราหฺมณา’’ติฯ
Ādāya balā gaccheyya, kiṃ nu kayirāsi brāhmaṇā’’ti.
ตตฺถ สํมฺหิตภาสินินฺติ มนฺทหสิตภาสินิํฯ พลา คเจฺฉยฺยาติ พลกฺกาเรน อาทาย คเจฺฉยฺยฯ กิํ นุ กยิราสีติ ตสฺส ตฺวํ พฺราหฺมณ กิํ กเรยฺยาสีติ?
Tattha saṃmhitabhāsininti mandahasitabhāsiniṃ. Balā gaccheyyāti balakkārena ādāya gaccheyya. Kiṃ nu kayirāsīti tassa tvaṃ brāhmaṇa kiṃ kareyyāsīti?
อถสฺส กถํ สุตฺวา มหาสโตฺต ทุติยํ คาถมาห –
Athassa kathaṃ sutvā mahāsatto dutiyaṃ gāthamāha –
๕๐.
50.
‘‘อุปฺปเชฺช เม น มุเจฺจยฺย, น เม มุเจฺจยฺย ชีวโต;
‘‘Uppajje me na mucceyya, na me mucceyya jīvato;
รชํว วิปุลา วุฎฺฐิ, ขิปฺปเมว นิวารเย’’ติฯ
Rajaṃva vipulā vuṭṭhi, khippameva nivāraye’’ti.
ตสฺสโตฺถ – มหาราช, สเจ อิมํ คเหตฺวา คจฺฉเนฺต กิสฺมิญฺจิ มม อพฺภนฺตเร โกโป อุปฺปเชฺชยฺย, โส เม อโนฺต อุปฺปชฺชิตฺวา น มุเจฺจยฺย, ยาวาหํ ชีวามิ, ตาว เม น มุเจฺจยฺยฯ นาสฺส อโนฺต ฆนสนฺนิวาเสน ปติฎฺฐาตุํ ทสฺสามิ, อถ โข ยถา อุปฺปนฺนํ รชํ วิปุลา เมฆวุฎฺฐิ ขิปฺปํ นิวาเรติ, ตถา ขิปฺปเมว นํ เมตฺตาภาวนาย นิคฺคเหตฺวา วาเรสฺสามีติฯ
Tassattho – mahārāja, sace imaṃ gahetvā gacchante kismiñci mama abbhantare kopo uppajjeyya, so me anto uppajjitvā na mucceyya, yāvāhaṃ jīvāmi, tāva me na mucceyya. Nāssa anto ghanasannivāsena patiṭṭhātuṃ dassāmi, atha kho yathā uppannaṃ rajaṃ vipulā meghavuṭṭhi khippaṃ nivāreti, tathā khippameva naṃ mettābhāvanāya niggahetvā vāressāmīti.
เอวํ มหาสโตฺต สีหนาทํ นทิฯ ราชา ปนสฺส กถํ สุตฺวาปิ อนฺธพาลตาย ปฎิพทฺธํ อตฺตโน จิตฺตํ นิวาเรตุํ อสโกฺกโนฺต อญฺญตรํ อมจฺจํ อาณาเปสิ ‘‘อิมํ ปริพฺพาชิกํ ราชนิเวสนํ เนหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ‘‘อธโมฺม โลเก วตฺตติ, อยุตฺต’’นฺติอาทีนิ วตฺวา ปริเทวมานํเยว นํ อาทาย ปายาสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺสา ปริเทวนสทฺทํ สุตฺวา เอกวารํ โอโลเกตฺวา ปุน น โอโลเกสิฯ ตํ โรทนฺติํ ปริเทวนฺติํ ราชนิเวสนเมว นยิํสุฯ โสปิ พาราณสิราชา อุยฺยาเน ปปญฺจํ อกตฺวาว สีฆตรํ คนฺตฺวา ตํ ปริพฺพาชิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา มหเนฺตน ยเสน นิมเนฺตสิฯ สา ยสสฺส อคุณํ ปพฺพชาย เอว คุณํ กเถสิฯ ราชา เกนจิ ปริยาเยน ตสฺสา มนํ อลภโนฺต ตํ เอกสฺมิํ คเพฺภ กาเรตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ปริพฺพาชิกา เอวรูปํ ยสํ น อิจฺฉติ, โสปิ ตาปโส เอวรูปํ มาตุคามํ คเหตฺวา คจฺฉเนฺต กุชฺฌิตฺวา โอโลกิตมตฺตมฺปิ น อกาสิ, ปพฺพชิตา โข ปน พหุมายา โหนฺติ, กิญฺจิ ปโยเชตฺวา อนตฺถมฺปิ เม กเรยฺย, คจฺฉามิ ตาว ชานามิ กิํ กโรโนฺต นิสิโนฺน’’ติ สณฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต อุยฺยานํ อคมาสิฯ โพธิสโตฺตปิ จีวรํ สิพฺพโนฺต นิสีทิฯ ราชา มนฺทปริวาโรว ปทสทฺทํ อกโรโนฺต สณิกํ อุปสงฺกมิฯ โพธิสโตฺต ราชานํ อโนโลเกตฺวา จีวรเมว สิพฺพิฯ ราชา ‘‘อยํ กุชฺฌิตฺวา มยา สทฺธิํ น สลฺลปตี’’ติ มญฺญมาโน ‘‘อยํ กูฎตาปโส ‘โกธสฺส อุปฺปชฺชิตุํ น ทสฺสามิ, อุปฺปนฺนมฺปิ นํ ขิปฺปเมว นิคฺคณฺหิสฺสามี’ติ ปฐมเมว คชฺชิตฺวา อิทานิ โกเธน ถโทฺธ หุตฺวา มยา สทฺธิํ น สลฺลปตี’’ติ สญฺญาย ตติยํ คาถมาห –
Evaṃ mahāsatto sīhanādaṃ nadi. Rājā panassa kathaṃ sutvāpi andhabālatāya paṭibaddhaṃ attano cittaṃ nivāretuṃ asakkonto aññataraṃ amaccaṃ āṇāpesi ‘‘imaṃ paribbājikaṃ rājanivesanaṃ nehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā ‘‘adhammo loke vattati, ayutta’’ntiādīni vatvā paridevamānaṃyeva naṃ ādāya pāyāsi. Bodhisatto tassā paridevanasaddaṃ sutvā ekavāraṃ oloketvā puna na olokesi. Taṃ rodantiṃ paridevantiṃ rājanivesanameva nayiṃsu. Sopi bārāṇasirājā uyyāne papañcaṃ akatvāva sīghataraṃ gantvā taṃ paribbājikaṃ pakkosāpetvā mahantena yasena nimantesi. Sā yasassa aguṇaṃ pabbajāya eva guṇaṃ kathesi. Rājā kenaci pariyāyena tassā manaṃ alabhanto taṃ ekasmiṃ gabbhe kāretvā cintesi ‘‘ayaṃ paribbājikā evarūpaṃ yasaṃ na icchati, sopi tāpaso evarūpaṃ mātugāmaṃ gahetvā gacchante kujjhitvā olokitamattampi na akāsi, pabbajitā kho pana bahumāyā honti, kiñci payojetvā anatthampi me kareyya, gacchāmi tāva jānāmi kiṃ karonto nisinno’’ti saṇṭhātuṃ asakkonto uyyānaṃ agamāsi. Bodhisattopi cīvaraṃ sibbanto nisīdi. Rājā mandaparivārova padasaddaṃ akaronto saṇikaṃ upasaṅkami. Bodhisatto rājānaṃ anoloketvā cīvarameva sibbi. Rājā ‘‘ayaṃ kujjhitvā mayā saddhiṃ na sallapatī’’ti maññamāno ‘‘ayaṃ kūṭatāpaso ‘kodhassa uppajjituṃ na dassāmi, uppannampi naṃ khippameva niggaṇhissāmī’ti paṭhamameva gajjitvā idāni kodhena thaddho hutvā mayā saddhiṃ na sallapatī’’ti saññāya tatiyaṃ gāthamāha –
๕๑.
51.
‘‘ยํ นุ ปุเพฺพ วิกตฺถิโตฺถ, พลมฺหิว อปสฺสิโต;
‘‘Yaṃ nu pubbe vikatthittho, balamhiva apassito;
สฺวชฺช ตุณฺหิกโต ทานิ, สงฺฆาฎิํ สิพฺพมจฺฉสี’’ติฯ
Svajja tuṇhikato dāni, saṅghāṭiṃ sibbamacchasī’’ti.
ตตฺถ พลมฺหิว อปสฺสิโตติ พลนิสฺสิโต วิย หุตฺวาฯ ตุณฺหิกโตติ กิญฺจิ อวทโนฺตฯ สิพฺพมจฺฉสีติ สิพฺพโนฺต อจฺฉสิฯ
Tattha balamhiva apassitoti balanissito viya hutvā. Tuṇhikatoti kiñci avadanto. Sibbamacchasīti sibbanto acchasi.
ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘อยํ ราชา โกธวเสน มํ นาลปตีติ มญฺญติ, กเถสฺสามิ ทานิสฺส อุปฺปนฺนสฺส โกธสฺส วสํ อคตภาว’’นฺติ จิเนฺตตฺวา จตุตฺถํ คาถมาห –
Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘ayaṃ rājā kodhavasena maṃ nālapatīti maññati, kathessāmi dānissa uppannassa kodhassa vasaṃ agatabhāva’’nti cintetvā catutthaṃ gāthamāha –
๕๒.
52.
‘‘อุปฺปชฺชิ เม น มุจฺจิตฺถ, น เม มุจฺจิตฺถ ชีวโต;
‘‘Uppajji me na muccittha, na me muccittha jīvato;
รชํว วิปุลา วุฎฺฐิ, ขิปฺปเมว นิวารยิ’’นฺติฯ
Rajaṃva vipulā vuṭṭhi, khippameva nivārayi’’nti.
ตสฺสโตฺถ – มหาราช, อุปฺปชฺชิ เม, น น อุปฺปชฺชิ, น ปน เม มุจฺจิตฺถ, นาสฺส ปวิสิตฺวา หทเย ฐาตุํ อทาสิํ, อิติ โส มม ชีวโต น มุจฺจิเตฺถว, รชํ วิปุลา วุฎฺฐิ วิย ขิปฺปเมว นํ นิวาเรสินฺติฯ
Tassattho – mahārāja, uppajji me, na na uppajji, na pana me muccittha, nāssa pavisitvā hadaye ṭhātuṃ adāsiṃ, iti so mama jīvato na muccittheva, rajaṃ vipulā vuṭṭhi viya khippameva naṃ nivāresinti.
ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘กิํ นุ โข เอส โกปเมว สนฺธาย วทติ, อุทาหุ อญฺญํ กิญฺจิ สิปฺปํ สนฺธาย กเถสิ, ปุจฺฉิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปุจฺฉโนฺต ปญฺจมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā ‘‘kiṃ nu kho esa kopameva sandhāya vadati, udāhu aññaṃ kiñci sippaṃ sandhāya kathesi, pucchissāmi tāva na’’nti cintetvā pucchanto pañcamaṃ gāthamāha –
๕๓.
53.
‘‘กิํ เต อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจิ, กิํ เต น มุจฺจิ ชีวโต;
‘‘Kiṃ te uppajji no mucci, kiṃ te na mucci jīvato;
รชํว วิปุลา วุฎฺฐิ, กตมํ ตํ นิวารยี’’ติฯ
Rajaṃva vipulā vuṭṭhi, katamaṃ taṃ nivārayī’’ti.
ตตฺถ กิํ เต อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจีติ กิํ ตว อุปฺปชฺชิ เจว น มุจฺจิ จฯ
Tattha kiṃ te uppajji no muccīti kiṃ tava uppajji ceva na mucci ca.
ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ‘‘มหาราช, เอวํ โกโธ พหุอาทีนโว มหาวินาสทายโก, เอโส มม อุปฺปชฺชิ, อุปฺปนฺนญฺจ นํ เมตฺตาภาวนาย นิวาเรสิ’’นฺติ โกเธ อาทีนวํ ปกาเสโนฺต –
Taṃ sutvā bodhisatto ‘‘mahārāja, evaṃ kodho bahuādīnavo mahāvināsadāyako, eso mama uppajji, uppannañca naṃ mettābhāvanāya nivāresi’’nti kodhe ādīnavaṃ pakāsento –
๕๔.
54.
‘‘ยมฺหิ ชาเต น ปสฺสติ, อชาเต สาธุ ปสฺสติ;
‘‘Yamhi jāte na passati, ajāte sādhu passati;
โส เม อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจิ, โกโธ ทุเมฺมธโคจโรฯ
So me uppajji no mucci, kodho dummedhagocaro.
๕๕.
55.
‘‘เยน ชาเตน นนฺทนฺติ, อมิตฺตา ทุกฺขเมสิโน;
‘‘Yena jātena nandanti, amittā dukkhamesino;
โส เม อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจิ, โกโธ ทุเมฺมธโคจโรฯ
So me uppajji no mucci, kodho dummedhagocaro.
๕๖.
56.
‘‘ยสฺมิญฺจ ชายมานมฺหิ, สทตฺถํ นาวพุชฺฌติ;
‘‘Yasmiñca jāyamānamhi, sadatthaṃ nāvabujjhati;
โส เม อุปฺปชฺชิ โน มุจฺจิ, โกโธ ทุเมฺมธโคจโรฯ
So me uppajji no mucci, kodho dummedhagocaro.
๕๗.
57.
‘‘เยนาภิภูโต กุสลํ ชหาติ, ปรกฺกเร วิปุลญฺจาปิ อตฺถํ;
‘‘Yenābhibhūto kusalaṃ jahāti, parakkare vipulañcāpi atthaṃ;
ส ภีมเสโน พลวา ปมทฺที, โกโธ มหาราช น เม อมุจฺจถฯ
Sa bhīmaseno balavā pamaddī, kodho mahārāja na me amuccatha.
๕๘.
58.
‘‘กฎฺฐสฺมิํ มตฺถมานสฺมิํ, ปาวโก นาม ชายติ;
‘‘Kaṭṭhasmiṃ matthamānasmiṃ, pāvako nāma jāyati;
ตเมว กฎฺฐํ ฑหติ, ยสฺมา โส ชายเต คินิฯ
Tameva kaṭṭhaṃ ḍahati, yasmā so jāyate gini.
๕๙.
59.
‘‘เอวํ มนฺทสฺส โปสสฺส, พาลสฺส อวิชานโต;
‘‘Evaṃ mandassa posassa, bālassa avijānato;
สารมฺภา ชายเต โกโธ, โสปิ เตเนว ฑยฺหติฯ
Sārambhā jāyate kodho, sopi teneva ḍayhati.
๖๐.
60.
‘‘อคฺคีว ติณกฎฺฐสฺมิํ, โกโธ ยสฺส ปวฑฺฒติ;
‘‘Aggīva tiṇakaṭṭhasmiṃ, kodho yassa pavaḍḍhati;
นิหียติ ตสฺส ยโส, กาฬปเกฺขว จนฺทิมาฯ
Nihīyati tassa yaso, kāḷapakkheva candimā.
๖๑.
61.
‘‘อเนโธ ธูมเกตูว, โกโธ ยสฺสูปสมฺมติ;
‘‘Anedho dhūmaketūva, kodho yassūpasammati;
อาปูรติ ตสฺส ยโส, สุกฺกปเกฺขว จนฺทิมา’’ติฯ – อิมา คาถา อาห;
Āpūrati tassa yaso, sukkapakkheva candimā’’ti. – imā gāthā āha;
ตตฺถ น ปสฺสตีติ อตฺตตฺถมฺปิ น ปสฺสติ, ปเคว ปรตฺถํฯ สาธุ ปสฺสตีติ อตฺตตฺถํ ปรตฺถํ อุภยตฺถมฺปิ สาธุ ปสฺสติฯ ทุเมฺมธโคจโรติ นิปฺปญฺญานํ อาธารภูโต โคจโรฯ ทุกฺขเมสิโนติ ทุกฺขํ อิจฺฉนฺตาฯ สทตฺถนฺติ อตฺตโน อตฺถภูตํ อตฺถโต เจว ธมฺมโต จ วุทฺธิํฯ ปรกฺกเรติ วิปุลมฺปิ อตฺถํ อุปฺปนฺนํ ปรโต กาเรติ, อปเนถ, น เม อิมินา อโตฺถติ วทติฯ ส ภีมเสโนติ โส โกโธ ภีมาย ภยชนนิยา มหติยา กิเลสเสนาย สมนฺนาคโตฯ ปมทฺทีติ อตฺตโน พลวภาเวน อุฬาเรปิ สเตฺต คเหตฺวา อตฺตโน วเส กรเณน มทฺทนสมโตฺถฯ น เม อมุจฺจถาติ มม สนฺติกา โมกฺขํ น ลภติ, หทเย วา ปน เม ขีรํ วิย มุหุตฺตํ ทธิภาเวน น ปติฎฺฐหิตฺถาติปิ อโตฺถฯ
Tattha na passatīti attatthampi na passati, pageva paratthaṃ. Sādhu passatīti attatthaṃ paratthaṃ ubhayatthampi sādhu passati. Dummedhagocaroti nippaññānaṃ ādhārabhūto gocaro. Dukkhamesinoti dukkhaṃ icchantā. Sadatthanti attano atthabhūtaṃ atthato ceva dhammato ca vuddhiṃ. Parakkareti vipulampi atthaṃ uppannaṃ parato kāreti, apanetha, na me iminā atthoti vadati. Sa bhīmasenoti so kodho bhīmāya bhayajananiyā mahatiyā kilesasenāya samannāgato. Pamaddīti attano balavabhāvena uḷārepi satte gahetvā attano vase karaṇena maddanasamattho. Na me amuccathāti mama santikā mokkhaṃ na labhati, hadaye vā pana me khīraṃ viya muhuttaṃ dadhibhāvena na patiṭṭhahitthātipi attho.
กฎฺฐสฺมิํ มตฺถมานสฺมินฺติ อรณีสหิเตน มตฺถิยมาเน, ‘‘มทฺทมานสฺมิ’’นฺติปิ ปาโฐฯ ยสฺมาติ ยโต กฎฺฐา ชายติ, ตเมว ฑหติฯ คินีติ อคฺคิฯ พาลสฺส อวิชานโตติ พาลสฺส อวิชานนฺตสฺสฯ สารมฺภา ชายเตติ อหํ ตฺวนฺติ อากฑฺฒนวิกฑฺฒนํ กโรนฺตสฺส กรณุตฺตริยลกฺขณา สารมฺภา อรณีมตฺถนา วิย ปาวโก โกโธ ชายติฯ โสปิ เตเนวาติ โสปิ พาโล เตเนว โกเธน กฎฺฐํ วิย อคฺคินา ฑยฺหติฯ อเนโธ ธูมเกตูวาติ อนินฺธโน อคฺคิ วิยฯ ตสฺสาติ ตสฺส อธิวาสนขนฺติยา สมนฺนาคตสฺส ปุคฺคลสฺส สุกฺกปเกฺข จโนฺท วิย ลโทฺธ ยโส อปราปรํ อาปูรตีติฯ
Kaṭṭhasmiṃ matthamānasminti araṇīsahitena matthiyamāne, ‘‘maddamānasmi’’ntipi pāṭho. Yasmāti yato kaṭṭhā jāyati, tameva ḍahati. Ginīti aggi. Bālassa avijānatoti bālassa avijānantassa. Sārambhā jāyateti ahaṃ tvanti ākaḍḍhanavikaḍḍhanaṃ karontassa karaṇuttariyalakkhaṇā sārambhā araṇīmatthanā viya pāvako kodho jāyati. Sopi tenevāti sopi bālo teneva kodhena kaṭṭhaṃ viya agginā ḍayhati. Anedho dhūmaketūvāti anindhano aggi viya. Tassāti tassa adhivāsanakhantiyā samannāgatassa puggalassa sukkapakkhe cando viya laddho yaso aparāparaṃ āpūratīti.
ราชา มหาสตฺตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ตุโฎฺฐ เอกํ อมจฺจํ อาณาเปตฺวา ปริพฺพาชิกํ อาหราเปตฺวา ‘‘ภเนฺต นิโกฺกธตาปส, อุโภปิ ตุเมฺห ปพฺพชฺชาสุเขน วีตินาเมนฺตา อิเธว อุยฺยาเน วสถ, อหํ โว ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺติํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา ขมาเปตฺวา วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ เต อุโภปิ ตเตฺถว วสิํสุฯ อปรภาเค ปริพฺพาชิกา กาลมกาสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺสา กาลกตาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ
Rājā mahāsattassa dhammakathaṃ sutvā tuṭṭho ekaṃ amaccaṃ āṇāpetvā paribbājikaṃ āharāpetvā ‘‘bhante nikkodhatāpasa, ubhopi tumhe pabbajjāsukhena vītināmentā idheva uyyāne vasatha, ahaṃ vo dhammikaṃ rakkhāvaraṇaguttiṃ karissāmī’’ti vatvā khamāpetvā vanditvā pakkāmi. Te ubhopi tattheva vasiṃsu. Aparabhāge paribbājikā kālamakāsi. Bodhisatto tassā kālakatāya himavantaṃ pavisitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โกธโน ภิกฺขุ อนาคามิผเล ปติฎฺฐหิฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne kodhano bhikkhu anāgāmiphale patiṭṭhahi.
ตทา ปริพฺพาชิกา ราหุลมาตา อโหสิ, ราชา อานโนฺท, ปริพฺพาชโก ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā paribbājikā rāhulamātā ahosi, rājā ānando, paribbājako pana ahameva ahosinti.
จูฬโพธิชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Cūḷabodhijātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๔๓. จูฬโพธิชาตกํ • 443. Cūḷabodhijātakaṃ