Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๕. จูฬธมฺมสมาทานสุตฺตํ
5. Cūḷadhammasamādānasuttaṃ
๔๖๘. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ – ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? อตฺถิ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนสุขํ อายติํ ทุกฺขวิปากํ; อตฺถิ, ภิกฺขเว , ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนทุกฺขเญฺจว อายติญฺจ ทุกฺขวิปากํ; อตฺถิ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนทุกฺขํ อายติํ สุขวิปากํ; อตฺถิ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนสุขเญฺจว อายติญฺจ สุขวิปากํ’’ฯ
468. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca – ‘‘cattārimāni, bhikkhave, dhammasamādānāni. Katamāni cattāri? Atthi, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannasukhaṃ āyatiṃ dukkhavipākaṃ; atthi, bhikkhave , dhammasamādānaṃ paccuppannadukkhañceva āyatiñca dukkhavipākaṃ; atthi, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannadukkhaṃ āyatiṃ sukhavipākaṃ; atthi, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannasukhañceva āyatiñca sukhavipākaṃ’’.
๔๖๙. ‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนสุขํ อายติํ ทุกฺขวิปากํ? สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ กาเมสุ โทโส’ติฯ เต กาเมสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชนฺติฯ เต โข โมฬิพทฺธาหิ 1 ปริพฺพาชิกาหิ ปริจาเรนฺติฯ เต เอวมาหํสุ – ‘กิํสุ นาม เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา กาเมสุ อนาคตภยํ สมฺปสฺสมานา กามานํ ปหานมาหํสุ, กามานํ ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติ? สุโข อิมิสฺสา ปริพฺพาชิกาย ตรุณาย มุทุกาย โลมสาย พาหาย สมฺผโสฺส’ติ เต กาเมสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชนฺติฯ เต กาเมสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติฯ เต ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติฯ เต เอวมาหํสุ – ‘อิทํ โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา กาเมสุ อนาคตภยํ สมฺปสฺสมานา กามานํ ปหานมาหํสุ, กามานํ ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติ, อิเม หิ มยํ กามเหตุ กามนิทานํ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยามา’ติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส มาลุวาสิปาฎิกา ผเลยฺยฯ อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, มาลุวาพีชํ อญฺญตรสฺมิํ สาลมูเล นิปเตยฺยฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ยา ตสฺมิํ สาเล อธิวตฺถา เทวตา สา ภีตา สํวิคฺคา สนฺตาสํ อาปเชฺชยฺยฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ตสฺมิํ สาเล อธิวตฺถาย เทวตาย มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา อารามเทวตา วนเทวตา รุกฺขเทวตา โอสธิติณวนปฺปตีสุ อธิวตฺถา เทวตา สงฺคมฺม สมาคมฺม เอวํ สมสฺสาเสยฺยุํ – ‘มา ภวํ ภายิ, มา ภวํ ภายิ; อเปฺปว นาเมตํ มาลุวาพีชํ โมโร วา คิเลยฺย 2, มโค วา ขาเทยฺย, ทวฑาโห 3 วา ฑเหยฺย, วนกมฺมิกา วา อุทฺธเรยฺยุํ, อุปจิกา วา อุฎฺฐเหยฺยุํ 4, อพีชํ วา ปนสฺสา’ติฯ อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, มาลุวาพีชํ เนว โมโร คิเลยฺย, น มโค ขาเทยฺย, น ทวฑาโห ฑเหยฺย, น วนกมฺมิกา อุทฺธเรยฺยุํ, น อุปจิกา อุฎฺฐเหยฺยุํ, พีชญฺจ ปนสฺส ตํ ปาวุสฺสเกน เมเฆน อภิปฺปวุฎฺฐํ สมฺมเทว วิรุเหยฺยฯ สาสฺส มาลุวาลตา ตรุณา มุทุกา โลมสา วิลมฺพินี, สา ตํ สาลํ อุปนิเสเวยฺยฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ตสฺมิํ สาเล อธิวตฺถาย เทวตาย เอวมสฺส – ‘กิํสุ นาม เต โภโนฺต มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา อารามเทวตา วนเทวตา รุกฺขเทวตา โอสธิติณวนปฺปตีสุ อธิวตฺถา เทวตา มาลุวาพีเช อนาคตภยํ สมฺปสฺสมานา สงฺคมฺม สมาคมฺม เอวํ สมสฺสาเสสุํ 5 – ‘‘มา ภวํ ภายิ มา ภวํ ภายิ, อเปฺปว นาเมตํ มาลุวาพีชํ โมโร วา คิเลยฺย, มโค วา ขาเทยฺย, ทวฑาโห วา ฑเหยฺย, วนกมฺมิกา วา อุทฺธเรยฺยุํ, อุปจิกา วา อุฎฺฐเหยฺยุํ, อพีชํ วา ปนสฺสา’’ติ; สุโข อิมิสฺสา มาลุวาลตาย ตรุณาย มุทุกาย โลมสาย วิลมฺพินิยา สมฺผโสฺส’ติฯ สา ตํ สาลํ อนุปริหเรยฺยฯ สา ตํ สาลํ อนุปริหริตฺวา อุปริ วิฎภิํ 6 กเรยฺยฯ อุปริ วิฎภิํ กริตฺวา โอฆนํ ชเนยฺยฯ โอฆนํ ชเนตฺวา เย ตสฺส สาลสฺส มหนฺตา มหนฺตา ขนฺธา เต ปทาเลยฺยฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ตสฺมิํ สาเล อธิวตฺถาย เทวตาย เอวมสฺส – ‘อิทํ โข เต โภโนฺต มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา อารามเทวตา วนเทวตา รุกฺขเทวตา โอสธิติณวนปฺปตีสุ อธิวตฺถา เทวตา มาลุวาพีเช อนาคตภยํ สมฺปสฺสมานา สงฺคมฺม สมาคมฺม เอวํ สมสฺสาเสสุํ 7 – ‘‘มา ภวํ ภายิ มา ภวํ ภายิ, อเปฺปว นาเมตํ มาลุวาพีชํ โมโร วา คิเลยฺย, มโค วา ขาเทยฺย, ทวฑาโห วา ฑเหยฺย, วนกมฺมิกา วา อุทฺธเรยฺยุํ, อุปจิกา วา อุฎฺฐเหยฺยุํ อพีชํ วา ปนสฺสา’’ติฯ ยญฺจาหํ 8 มาลุวาพีชเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยามี’ติฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, สนฺติ เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน ‘นตฺถิ กาเมสุ โทโส’ติ ฯ เต กาเมสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชนฺติฯ เต โมฬิพทฺธาหิ ปริพฺพาชิกาหิ ปริจาเรนฺติฯ เต เอวมาหํสุ – ‘กิํสุ นาม เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา กาเมสุ อนาคตภยํ สมฺปสฺสมานา กามานํ ปหานมาหํสุ, กามานํ ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติ? สุโข อิมิสฺสา ปริพฺพาชิกาย ตรุณาย มุทุกาย โลมสาย พาหาย สมฺผโสฺส’ติฯ เต กาเมสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชนฺติฯ เต กาเมสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติฯ เต ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติฯ เต เอวมาหํสุ – ‘อิทํ โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา กาเมสุ อนาคตภยํ สมฺปสฺสมานา กามานํ ปหานมาหํสุ, กามานํ ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติฯ อิเม หิ มยํ กามเหตุ กามนิทานํ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยามา’ติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนสุขํ อายติํ ทุกฺขวิปากํฯ
469. ‘‘Katamañca, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannasukhaṃ āyatiṃ dukkhavipākaṃ? Santi, bhikkhave, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi kāmesu doso’ti. Te kāmesu pātabyataṃ āpajjanti. Te kho moḷibaddhāhi 9 paribbājikāhi paricārenti. Te evamāhaṃsu – ‘kiṃsu nāma te bhonto samaṇabrāhmaṇā kāmesu anāgatabhayaṃ sampassamānā kāmānaṃ pahānamāhaṃsu, kāmānaṃ pariññaṃ paññapenti? Sukho imissā paribbājikāya taruṇāya mudukāya lomasāya bāhāya samphasso’ti te kāmesu pātabyataṃ āpajjanti. Te kāmesu pātabyataṃ āpajjitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjanti. Te tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti. Te evamāhaṃsu – ‘idaṃ kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā kāmesu anāgatabhayaṃ sampassamānā kāmānaṃ pahānamāhaṃsu, kāmānaṃ pariññaṃ paññapenti, ime hi mayaṃ kāmahetu kāmanidānaṃ dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayāmā’ti. Seyyathāpi, bhikkhave, gimhānaṃ pacchime māse māluvāsipāṭikā phaleyya. Atha kho taṃ, bhikkhave, māluvābījaṃ aññatarasmiṃ sālamūle nipateyya. Atha kho, bhikkhave, yā tasmiṃ sāle adhivatthā devatā sā bhītā saṃviggā santāsaṃ āpajjeyya. Atha kho, bhikkhave, tasmiṃ sāle adhivatthāya devatāya mittāmaccā ñātisālohitā ārāmadevatā vanadevatā rukkhadevatā osadhitiṇavanappatīsu adhivatthā devatā saṅgamma samāgamma evaṃ samassāseyyuṃ – ‘mā bhavaṃ bhāyi, mā bhavaṃ bhāyi; appeva nāmetaṃ māluvābījaṃ moro vā gileyya 10, mago vā khādeyya, davaḍāho 11 vā ḍaheyya, vanakammikā vā uddhareyyuṃ, upacikā vā uṭṭhaheyyuṃ 12, abījaṃ vā panassā’ti. Atha kho taṃ, bhikkhave, māluvābījaṃ neva moro gileyya, na mago khādeyya, na davaḍāho ḍaheyya, na vanakammikā uddhareyyuṃ, na upacikā uṭṭhaheyyuṃ, bījañca panassa taṃ pāvussakena meghena abhippavuṭṭhaṃ sammadeva viruheyya. Sāssa māluvālatā taruṇā mudukā lomasā vilambinī, sā taṃ sālaṃ upaniseveyya. Atha kho, bhikkhave, tasmiṃ sāle adhivatthāya devatāya evamassa – ‘kiṃsu nāma te bhonto mittāmaccā ñātisālohitā ārāmadevatā vanadevatā rukkhadevatā osadhitiṇavanappatīsu adhivatthā devatā māluvābīje anāgatabhayaṃ sampassamānā saṅgamma samāgamma evaṃ samassāsesuṃ 13 – ‘‘mā bhavaṃ bhāyi mā bhavaṃ bhāyi, appeva nāmetaṃ māluvābījaṃ moro vā gileyya, mago vā khādeyya, davaḍāho vā ḍaheyya, vanakammikā vā uddhareyyuṃ, upacikā vā uṭṭhaheyyuṃ, abījaṃ vā panassā’’ti; sukho imissā māluvālatāya taruṇāya mudukāya lomasāya vilambiniyā samphasso’ti. Sā taṃ sālaṃ anuparihareyya. Sā taṃ sālaṃ anupariharitvā upari viṭabhiṃ 14 kareyya. Upari viṭabhiṃ karitvā oghanaṃ janeyya. Oghanaṃ janetvā ye tassa sālassa mahantā mahantā khandhā te padāleyya. Atha kho, bhikkhave, tasmiṃ sāle adhivatthāya devatāya evamassa – ‘idaṃ kho te bhonto mittāmaccā ñātisālohitā ārāmadevatā vanadevatā rukkhadevatā osadhitiṇavanappatīsu adhivatthā devatā māluvābīje anāgatabhayaṃ sampassamānā saṅgamma samāgamma evaṃ samassāsesuṃ 15 – ‘‘mā bhavaṃ bhāyi mā bhavaṃ bhāyi, appeva nāmetaṃ māluvābījaṃ moro vā gileyya, mago vā khādeyya, davaḍāho vā ḍaheyya, vanakammikā vā uddhareyyuṃ, upacikā vā uṭṭhaheyyuṃ abījaṃ vā panassā’’ti. Yañcāhaṃ 16 māluvābījahetu dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayāmī’ti. Evameva kho, bhikkhave, santi eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino ‘natthi kāmesu doso’ti . Te kāmesu pātabyataṃ āpajjanti. Te moḷibaddhāhi paribbājikāhi paricārenti. Te evamāhaṃsu – ‘kiṃsu nāma te bhonto samaṇabrāhmaṇā kāmesu anāgatabhayaṃ sampassamānā kāmānaṃ pahānamāhaṃsu, kāmānaṃ pariññaṃ paññapenti? Sukho imissā paribbājikāya taruṇāya mudukāya lomasāya bāhāya samphasso’ti. Te kāmesu pātabyataṃ āpajjanti. Te kāmesu pātabyataṃ āpajjitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjanti. Te tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti. Te evamāhaṃsu – ‘idaṃ kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā kāmesu anāgatabhayaṃ sampassamānā kāmānaṃ pahānamāhaṃsu, kāmānaṃ pariññaṃ paññapenti. Ime hi mayaṃ kāmahetu kāmanidānaṃ dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayāmā’ti. Idaṃ vuccati, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannasukhaṃ āyatiṃ dukkhavipākaṃ.
๔๗๐. ‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนทุกฺขเญฺจว อายติญฺจ ทุกฺขวิปากํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อเจลโก โหติ มุตฺตาจาโร หตฺถาปเลขโน, นเอหิภทฺทนฺติโก, นติฎฺฐภทฺทนฺติโก, นาภิหฎํ, น อุทฺทิสฺสกตํ, น นิมนฺตนํ สาทิยติ, โส น กุมฺภิมุขา ปฎิคฺคณฺหาติ, น กโฬปิมุขา ปฎิคฺคณฺหาติ, น เอฬกมนฺตรํ, น ทณฺฑมนฺตรํ, น มุสลมนฺตรํ, น ทฺวินฺนํ ภุญฺชมานานํ, น คพฺภินิยา, น ปายมานาย, น ปุริสนฺตรคตาย, น สงฺกิตฺตีสุ, น ยตฺถ สา อุปฎฺฐิโต โหติ, น ยตฺถ มกฺขิกา สณฺฑสณฺฑจารินี, น มจฺฉํ, น มํสํ, น สุรํ, น เมรยํ, น ถุโสทกํ ปิวติฯ โส เอกาคาริโก วา โหติ เอกาโลปิโก, ทฺวาคาริโก วา โหติ ทฺวาโลปิโก…เป.… สตฺตาคาริโก วา โหติ สตฺตาโลปิโกฯ เอกิสฺสาปิ ทตฺติยา ยาเปติ, ทฺวีหิปิ ทตฺตีหิ ยาเปติ… สตฺตหิปิ ทตฺตีหิ ยาเปติฯ เอกาหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรติ, ทฺวีหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรติ… สตฺตาหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรติฯ อิติ เอวรูปํ อทฺธมาสิกมฺปิ ปริยายภตฺตโภชนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรติฯ โส สากภโกฺข วา โหติ , สามากภโกฺข วา โหติ, นีวารภโกฺข วา โหติ, ททฺทุลภโกฺข วา โหติ, หฎภโกฺข วา โหติ, กณภโกฺข วา โหติ, อาจามภโกฺข วา โหติ, ปิญฺญากภโกฺข วา โหติ, ติณภโกฺข วา โหติ, โคมยภโกฺข วา โหติ, วนมูลผลาหาโร ยาเปติ ปวตฺตผลโภชีฯ โส สาณานิปิ ธาเรติ, มสาณานิปิ ธาเรติ, ฉวทุสฺสานิปิ ธาเรติ, ปํสุกูลานิปิ ธาเรติ, ติรีฎานิปิ ธาเรติ, อชินมฺปิ ธาเรติ, อชินกฺขิปมฺปิ ธาเรติ, กุสจีรมฺปิ ธาเรติ, วากจีรมฺปิ ธาเรติ, ผลกจีรมฺปิ ธาเรติ, เกสกมฺพลมฺปิ ธาเรติ, วาฬกมฺพลมฺปิ ธาเรติ, อุลูกปกฺขมฺปิ ธาเรติ, เกสมสฺสุโลจโกปิ โหติ, เกสมสฺสุโลจนานุโยคมนุยุโตฺต, อุพฺภฎฺฐโกปิ โหติ, อาสนปฎิกฺขิโตฺต, อุกฺกุฎิโกปิ โหติ อุกฺกุฎิกปฺปธานมนุยุโตฺต, กณฺฎกาปสฺสยิโกปิ โหติ, กณฺฎกาปสฺสเย เสยฺยํ กเปฺปติ 17, สายตติยกมฺปิ อุทโกโรหนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรติฯ อิติ เอวรูปํ อเนกวิหิตํ กายสฺส อาตาปนปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรติ ฯ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนทุกฺขเญฺจว อายติญฺจ ทุกฺขวิปากํฯ
470. ‘‘Katamañca, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannadukkhañceva āyatiñca dukkhavipākaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco acelako hoti muttācāro hatthāpalekhano, naehibhaddantiko, natiṭṭhabhaddantiko, nābhihaṭaṃ, na uddissakataṃ, na nimantanaṃ sādiyati, so na kumbhimukhā paṭiggaṇhāti, na kaḷopimukhā paṭiggaṇhāti, na eḷakamantaraṃ, na daṇḍamantaraṃ, na musalamantaraṃ, na dvinnaṃ bhuñjamānānaṃ, na gabbhiniyā, na pāyamānāya, na purisantaragatāya, na saṅkittīsu, na yattha sā upaṭṭhito hoti, na yattha makkhikā saṇḍasaṇḍacārinī, na macchaṃ, na maṃsaṃ, na suraṃ, na merayaṃ, na thusodakaṃ pivati. So ekāgāriko vā hoti ekālopiko, dvāgāriko vā hoti dvālopiko…pe… sattāgāriko vā hoti sattālopiko. Ekissāpi dattiyā yāpeti, dvīhipi dattīhi yāpeti… sattahipi dattīhi yāpeti. Ekāhikampi āhāraṃ āhāreti, dvīhikampi āhāraṃ āhāreti… sattāhikampi āhāraṃ āhāreti. Iti evarūpaṃ addhamāsikampi pariyāyabhattabhojanānuyogamanuyutto viharati. So sākabhakkho vā hoti , sāmākabhakkho vā hoti, nīvārabhakkho vā hoti, daddulabhakkho vā hoti, haṭabhakkho vā hoti, kaṇabhakkho vā hoti, ācāmabhakkho vā hoti, piññākabhakkho vā hoti, tiṇabhakkho vā hoti, gomayabhakkho vā hoti, vanamūlaphalāhāro yāpeti pavattaphalabhojī. So sāṇānipi dhāreti, masāṇānipi dhāreti, chavadussānipi dhāreti, paṃsukūlānipi dhāreti, tirīṭānipi dhāreti, ajinampi dhāreti, ajinakkhipampi dhāreti, kusacīrampi dhāreti, vākacīrampi dhāreti, phalakacīrampi dhāreti, kesakambalampi dhāreti, vāḷakambalampi dhāreti, ulūkapakkhampi dhāreti, kesamassulocakopi hoti, kesamassulocanānuyogamanuyutto, ubbhaṭṭhakopi hoti, āsanapaṭikkhitto, ukkuṭikopi hoti ukkuṭikappadhānamanuyutto, kaṇṭakāpassayikopi hoti, kaṇṭakāpassaye seyyaṃ kappeti 18, sāyatatiyakampi udakorohanānuyogamanuyutto viharati. Iti evarūpaṃ anekavihitaṃ kāyassa ātāpanaparitāpanānuyogamanuyutto viharati . So kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannadukkhañceva āyatiñca dukkhavipākaṃ.
๔๗๑. ‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนทุกฺขํ อายติํ สุขวิปากํ? อิธ , ภิกฺขเว, เอกโจฺจ ปกติยา ติพฺพราคชาติโก โหติ, โส อภิกฺขณํ ราคชํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติ; ปกติยา ติพฺพโทสชาติโก โหติ, โส อภิกฺขณํ โทสชํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติ; ปกติยา ติพฺพโมหชาติโก โหติ, โส อภิกฺขณํ โมหชํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติฯ โส สหาปิ ทุเกฺขน, สหาปิ โทมนเสฺสน, อสฺสุมุโขปิ รุทมาโน ปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จรติฯ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนทุกฺขํ อายติํ สุขวิปากํฯ
471. ‘‘Katamañca, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannadukkhaṃ āyatiṃ sukhavipākaṃ? Idha , bhikkhave, ekacco pakatiyā tibbarāgajātiko hoti, so abhikkhaṇaṃ rāgajaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedeti; pakatiyā tibbadosajātiko hoti, so abhikkhaṇaṃ dosajaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedeti; pakatiyā tibbamohajātiko hoti, so abhikkhaṇaṃ mohajaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedeti. So sahāpi dukkhena, sahāpi domanassena, assumukhopi rudamāno paripuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ carati. So kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannadukkhaṃ āyatiṃ sukhavipākaṃ.
๔๗๒. ‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนสุขเญฺจว อายติญฺจ สุขวิปากํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ ปกติยา น ติพฺพราคชาติโก โหติ, โส น อภิกฺขณํ ราคชํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติ; ปกติยา น ติพฺพโทสชาติโก โหติ, โส น อภิกฺขณํ โทสชํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติ; ปกติยา น ติพฺพโมหชาติโก โหติ , โส น อภิกฺขณํ โมหชํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติฯ โส วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ…เป.… ตติยํ ฌานํ… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ธมฺมสมาทานํ ปจฺจุปฺปนฺนสุขเญฺจว อายติญฺจ สุขวิปากํฯ อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ ธมฺมสมาทานานี’’ติฯ
472. ‘‘Katamañca, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannasukhañceva āyatiñca sukhavipākaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco pakatiyā na tibbarāgajātiko hoti, so na abhikkhaṇaṃ rāgajaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedeti; pakatiyā na tibbadosajātiko hoti, so na abhikkhaṇaṃ dosajaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedeti; pakatiyā na tibbamohajātiko hoti , so na abhikkhaṇaṃ mohajaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedeti. So vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ…pe… tatiyaṃ jhānaṃ… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, dhammasamādānaṃ paccuppannasukhañceva āyatiñca sukhavipākaṃ. Imāni kho, bhikkhave, cattāri dhammasamādānānī’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.
จูฬธมฺมสมาทานสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปญฺจมํฯ
Cūḷadhammasamādānasuttaṃ niṭṭhitaṃ pañcamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. จูฬธมฺมสมาทานสุตฺตวณฺณนา • 5. Cūḷadhammasamādānasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. จูฬธมฺมสมาทานสุตฺตวณฺณนา • 5. Cūḷadhammasamādānasuttavaṇṇanā