Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๕. จูฬธมฺมสมาทานสุตฺตวณฺณนา
5. Cūḷadhammasamādānasuttavaṇṇanā
๔๖๘. ธโมฺมติ คหิตคหณานีติ ธโมฺม วา โหตุ อิตโร วา, ธโมฺมติ ปคฺคหิตคฺคาหปฺปวตฺตา จริยาวฯ อายูหนกฺขเณติ ตสฺส ธโมฺมติ คหิตสฺส ปวตฺตนกฺขเณฯ สุขนฺติ อกิจฺฉํฯ เตนาห ‘‘สุกร’’นฺติฯ ทุกฺขวิปากนฺติ อนิฎฺฐผลวิปจฺจนํฯ
468.Dhammotigahitagahaṇānīti dhammo vā hotu itaro vā, dhammoti paggahitaggāhappavattā cariyāva. Āyūhanakkhaṇeti tassa dhammoti gahitassa pavattanakkhaṇe. Sukhanti akicchaṃ. Tenāha ‘‘sukara’’nti. Dukkhavipākanti aniṭṭhaphalavipaccanaṃ.
๔๖๙. ยถา จกฺขาทีนํ ปญฺจนฺนํ อินฺทฺริยานํ ยถาสกํ วิสยคฺคหณํ สภาวสิทฺธํ, เอวํ มนโสปิฯ เต จ วิสยา อิฎฺฐาการโต คหเณ น โกจิ โทโส, ปุริสตฺตภาเว น จ เต โทสํ ปวเตฺตนฺตีติ อยํ เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ ลทฺธีติ อาห ‘‘วตฺถุกาเมสุปิ กิเลสกาเมสุปิ โทโส นตฺถี’’ติ, อสฺสาเทตฺวา วิสยปริโภเค นตฺถิ อาทีนโว, ตปฺปจฺจยา น โกจิ อนฺตราโยติ อธิปฺปาโยฯ ปาตพฺยตํ อาปชฺชนฺตีติ ปริภุญฺชนกตํ อุปคจฺฉนฺติฯ ปริโภคโตฺถ หิ อยํ ปา-สโทฺท กตฺตุสาธโน จ ตพฺย-สโทฺท, ยถารุจิ ปริภุญฺชนฺตีติ อโตฺถฯ กิเลสกาโมปิ อสฺสาทิยมาโน วตฺถุกามโนฺตคโธเยว, กิเลสกามวเสน ปน เนสํ อสฺสาเทตพฺพตาติ อาห ‘‘วตฺถุกาเมสุ กิเลสกาเมน ปาตพฺยต’’นฺติฯ กิเลสกาเมนาติ กรณเตฺถ กรณวจนํฯ ปาตพฺยตํ ปริภุญฺชิตพฺพตนฺติ เอตฺถาปิ กตฺตุวเสเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โมฬิํ กตฺวาติ เวณิพนฺธวเสน โมฬิํ กตฺวาฯ ตาปสปริพฺพาชิกาหีติ ตาปสปพฺพชฺชูปคตาหิฯ ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺตีติ อิทํ ‘‘ปหานมาหํสู’’ติ ปทเสฺสว เววจนนฺติ ‘‘ปหานํ สมติกฺกมํ ปญฺญเปนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ เตน กามา นาเมเต อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมาติ ยาถาวโต ปริชานนํ อิธ ‘‘ปหาน’’นฺติ อธิเปฺปตํ, น วินาภาวมตฺตนฺติ ทเสฺสติฯ มาลุวาสิปาฎิกาติ มาลุวาวิทลํ มาลุวาผเล โปฎฺฎลิกาฯ สนฺตาสํ อาปเชฺชยฺยาติ สาเล อธิวตฺถเทวตาย ปวตฺติํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ ตทา หิ ตสฺสา เอวํ โหติฯ โกวิฬารปตฺตสทิเสหีติ มหาโกวิฬารปตฺตสณฺฐาเนหิฯ สณฺฐานวเสน เหตํ วุตฺตํ, มาลุวาปตฺตา ปน โกวิฬารปเตฺตหิ มหนฺตตรานิ เจว ฆนตรานิ จ โหนฺติฯ วิปุลพหุฆนครุปตฺตตาย มหนฺตํ ภารํ ชเนตฺวาฯ สาติ มาลุวาลตาฯ โอฆนนฺติ เหฎฺฐโต โอลมฺพนเหตุภูตํ ฆนภาวํฯ
469. Yathā cakkhādīnaṃ pañcannaṃ indriyānaṃ yathāsakaṃ visayaggahaṇaṃ sabhāvasiddhaṃ, evaṃ manasopi. Te ca visayā iṭṭhākārato gahaṇe na koci doso, purisattabhāve na ca te dosaṃ pavattentīti ayaṃ tesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ laddhīti āha ‘‘vatthukāmesupi kilesakāmesupi doso natthī’’ti, assādetvā visayaparibhoge natthi ādīnavo, tappaccayā na koci antarāyoti adhippāyo. Pātabyataṃ āpajjantīti paribhuñjanakataṃ upagacchanti. Paribhogattho hi ayaṃ pā-saddo kattusādhano ca tabya-saddo, yathāruci paribhuñjantīti attho. Kilesakāmopi assādiyamāno vatthukāmantogadhoyeva, kilesakāmavasena pana nesaṃ assādetabbatāti āha ‘‘vatthukāmesu kilesakāmena pātabyata’’nti. Kilesakāmenāti karaṇatthe karaṇavacanaṃ. Pātabyataṃ paribhuñjitabbatanti etthāpi kattuvaseneva attho veditabbo. Moḷiṃ katvāti veṇibandhavasena moḷiṃ katvā. Tāpasaparibbājikāhīti tāpasapabbajjūpagatāhi. Pariññaṃ paññapentīti idaṃ ‘‘pahānamāhaṃsū’’ti padasseva vevacananti ‘‘pahānaṃ samatikkamaṃ paññapentī’’ti vuttaṃ. Tena kāmā nāmete aniccā dukkhā vipariṇāmadhammāti yāthāvato parijānanaṃ idha ‘‘pahāna’’nti adhippetaṃ, na vinābhāvamattanti dasseti. Māluvāsipāṭikāti māluvāvidalaṃ māluvāphale poṭṭalikā. Santāsaṃ āpajjeyyāti sāle adhivatthadevatāya pavattiṃ gahetvā vuttaṃ. Tadā hi tassā evaṃ hoti. Koviḷārapattasadisehīti mahākoviḷārapattasaṇṭhānehi. Saṇṭhānavasena hetaṃ vuttaṃ, māluvāpattā pana koviḷārapattehi mahantatarāni ceva ghanatarāni ca honti. Vipulabahughanagarupattatāya mahantaṃ bhāraṃ janetvā. Sāti māluvālatā. Oghananti heṭṭhato olambanahetubhūtaṃ ghanabhāvaṃ.
อนฺธวนสุภควนคฺคหณํ เตสํ อภิลกฺขิตภาวโตฯ นาฬิเกราทีสุ ติณชาตีสุฯ ขาทนุปลกฺขณํ อุปจิกานํ อุฎฺฐหนคฺคหณนฺติ อาห ‘‘อุฎฺฐเหยฺยุ’’นฺติฯ เกฬิํ กโรนฺตี วิยาติ วิลมฺพนนที วิย เกฬิํ กโรนฺตีฯ อิทานิ อหํ ตํ อโชฺฌตฺถรินฺติ ปโมทมานา วิย อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทมานา วิลมฺพนฺตีฯ สมฺผโสฺสปิ สุโข มุทุตลุณโกมลภาวโตฯ ทสฺสนมฺปิ สุขํ ฆนพหลปตฺตสํหตตายฯ โสมนสฺสชาตาติ ปุเพฺพ อนุสฺสววเสน ภวนวินาสภยา สนฺตาสํ อาปชฺชิ, อิทานิ ตสฺสา สมฺปตฺติทสฺสเนน ปโลภิตา โสมนสฺสชาตา อโหสิฯ
Andhavanasubhagavanaggahaṇaṃ tesaṃ abhilakkhitabhāvato. Nāḷikerādīsu tiṇajātīsu. Khādanupalakkhaṇaṃ upacikānaṃ uṭṭhahanaggahaṇanti āha ‘‘uṭṭhaheyyu’’nti. Keḷiṃ karontī viyāti vilambananadī viya keḷiṃ karontī. Idāni ahaṃ taṃ ajjhottharinti pamodamānā viya ito cito ca vipphandamānā vilambantī. Samphassopi sukho mudutaluṇakomalabhāvato. Dassanampi sukhaṃ ghanabahalapattasaṃhatatāya. Somanassajātāti pubbe anussavavasena bhavanavināsabhayā santāsaṃ āpajji, idāni tassā sampattidassanena palobhitā somanassajātā ahosi.
วิฎภิํ กเรยฺยาติ อาตานวิตานวเสน ชเฎนฺตี ชาลํ กเรยฺยฯ ตถาภูตา จ ฆนปตฺตสญฺฉนฺนตาย ฉตฺตสทิสี โหตีติ อาห ‘‘ฉตฺตากาเรน ติเฎฺฐยฺยา’’ติฯ สกลํ รุกฺขนฺติ อุปริ สพฺพสาขาปสาขํ สพฺพรุกฺขํฯ ภสฺสมานาติ ปลิเวฐนวเสเนว โอตรมานาฯ ยาว มูลา โอติณฺณสาขาหีติ มาลุวา ภาเรน โอนมิตฺวา รุกฺขสฺส ยาว มูลา โอติณฺณสาขาหิ ปุน อภิรุหมานาฯ สพฺพสาขาติ เหฎฺฐา มเชฺฌ อุปริ จาติ สพฺพาปิ สาขาโย ปลิเวเฐนฺตีฯ สํสิพฺพิตฺวา ชาลสนฺตานกนิยาเมน ชเฎตฺวาฯ เอวํ อปราปรํ สํสิพฺพเนน อโชฺฌตฺถรนฺตีฯ สพฺพสาขา เหฎฺฐา กตฺวา สยํ อุปริ ฐตฺวา มหาภารภาเวน วาเต วา วายเนฺต เทเว วา วสฺสเนฺต ปทาเลยฺยฯ สาขฎฺฐกวิมานนฺติ สาขาปฎิพทฺธํ วิมานํฯ ยสฺมา อิธ สตฺถารา ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว’’ติอาทินา ภูตปุพฺพเมว วตฺถุ อุปมาภาเวน อาหฎํ, ตสฺมา ‘‘อิทํ ปน วิมาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Viṭabhiṃ kareyyāti ātānavitānavasena jaṭentī jālaṃ kareyya. Tathābhūtā ca ghanapattasañchannatāya chattasadisī hotīti āha ‘‘chattākārena tiṭṭheyyā’’ti. Sakalaṃ rukkhanti upari sabbasākhāpasākhaṃ sabbarukkhaṃ. Bhassamānāti paliveṭhanavaseneva otaramānā. Yāva mūlā otiṇṇasākhāhīti māluvā bhārena onamitvā rukkhassa yāva mūlā otiṇṇasākhāhi puna abhiruhamānā. Sabbasākhāti heṭṭhā majjhe upari cāti sabbāpi sākhāyo paliveṭhentī. Saṃsibbitvā jālasantānakaniyāmena jaṭetvā. Evaṃ aparāparaṃ saṃsibbanena ajjhottharantī. Sabbasākhā heṭṭhā katvā sayaṃ upari ṭhatvā mahābhārabhāvena vāte vā vāyante deve vā vassante padāleyya. Sākhaṭṭhakavimānanti sākhāpaṭibaddhaṃ vimānaṃ. Yasmā idha satthārā ‘‘seyyathāpi, bhikkhave’’tiādinā bhūtapubbameva vatthu upamābhāvena āhaṭaṃ, tasmā ‘‘idaṃ pana vimāna’’ntiādi vuttaṃ.
๔๗๑. พหลราคสภาโวติ ปจฺจเวกฺขณาหิ นีหริตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย พลวา หุตฺวา อภิภวนราคธาตุโกฯ ราคชนฺติ ราคนิมิตฺตชาตํฯ ทิเฎฺฐ ทิเฎฺฐ อารมฺมเณติ ทิเฎฺฐ ทิเฎฺฐ วิสภาคารมฺมเณฯ นิมิตฺตํ คณฺหาตีติ กิเลสุปฺปตฺติยา การณภูตํ อนุพฺยญฺชนโส นิมิตฺตํ คณฺหาติ, สิกฺขาคารเวน ปน กิเลเสหิ นิสฺสิตํ มคฺคํ น ปฎิปชฺชติ, ตโต เอว อาจริยุปชฺฌาเยหิ อาณตฺตํ ทณฺฑกมฺมํ กโรเตวฯ เตนาห ‘‘น เตฺวว วีติกฺกมํ กโรตี’’ติฯ หตฺถปรามาสาทีนีติ – ‘‘เอหิ ตาว ตยา วุตฺตํ มยา วุตฺตญฺจ อมุตฺร คนฺตฺวา วีมํสิสฺสามา’’ติอาทินา หตฺถคฺคหณาทีนิ กโรโนฺต, น กรุณาเมตฺตานิทานวเสนฯ โมหชาติโกติ พหลโมหสภาโวฯ
471.Bahalarāgasabhāvoti paccavekkhaṇāhi nīharituṃ asakkuṇeyyatāya balavā hutvā abhibhavanarāgadhātuko. Rāgajanti rāganimittajātaṃ. Diṭṭhe diṭṭhe ārammaṇeti diṭṭhe diṭṭhe visabhāgārammaṇe. Nimittaṃ gaṇhātīti kilesuppattiyā kāraṇabhūtaṃ anubyañjanaso nimittaṃ gaṇhāti, sikkhāgāravena pana kilesehi nissitaṃ maggaṃ na paṭipajjati, tato eva ācariyupajjhāyehi āṇattaṃ daṇḍakammaṃ karoteva. Tenāha ‘‘na tveva vītikkamaṃ karotī’’ti. Hatthaparāmāsādīnīti – ‘‘ehi tāva tayā vuttaṃ mayā vuttañca amutra gantvā vīmaṃsissāmā’’tiādinā hatthaggahaṇādīni karonto, na karuṇāmettānidānavasena. Mohajātikoti bahalamohasabhāvo.
๔๗๒. กมฺมนิยาเมนาติ ปุริมชาติสิเทฺธน โลภุสฺสทตาทินิยมิเตน กมฺมนิยาเมนฯ อิทานิ ตํ โลภุสฺสทตาทิํ วิภาเคน ทเสฺสตุํ ‘‘ยสฺส หี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ กมฺมายูหนกฺขเณติ กมฺมกรณเวลายฯ โลโภ พลวาติ ตชฺชาย สามคฺคิยา สามตฺถิยโต โลโภ อธิโก โหติฯ อโลโภ มโนฺทติ ตปฺปฎิปโกฺข อโลโภ ทุพฺพโล โหติฯ กถํ ปเนเต โลภาโลภา อญฺญมญฺญํ อุชุวิปจฺจนีกภูตา เอกกฺขเณ ปวตฺตนฺติ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ ‘‘เอกกฺขเณ ปวตฺตนฺตี’’ติ, นิกนฺติกฺขณํ ปน อายูหนกฺขณเมว กตฺวา เอวํ วุตฺตํฯ เอส นโย เสเสสุฯ ปริยาทาตุนฺติ อภิภวิตุํ น สโกฺกติฯ โย หิ ‘‘เอวํสุนฺทรํ เอวํวิปุลํ เอวํมหคฺฆญฺจ น สกฺกา ปรสฺส ทาตุ’’นฺติอาทินา อมุตฺตจาคตาทิวเสน ปวตฺตาย เจตนาย สมฺปยุโตฺต อโลโภ สมฺมเทว โลภํ ปริยาทาตุํ น สโกฺกติฯ โทสโมหานํ อนุปฺปตฺติยํ ตาทิสปจฺจยลาเภเนว อโทสาโมหา พลวโนฺตฯ ตสฺมาติ โลภาโทสาโมหานํ พลวภาวโต อโลภโทสโมหานญฺจ ทุพฺพลภาวโตติ วุตฺตเมว การณํ ปจฺจามสติฯ โสติ ตํสมงฺคีฯ เตน กเมฺมนาติ เตน โลภาทิอุปนิสฺสยวตา กุสลกมฺมุนาฯ สุขสีโลติ สขิโลฯ ตเมวตฺถํ อโกฺกธโนติ ปริยาเยน วทติฯ
472.Kammaniyāmenāti purimajātisiddhena lobhussadatādiniyamitena kammaniyāmena. Idāni taṃ lobhussadatādiṃ vibhāgena dassetuṃ ‘‘yassa hī’’tiādi āraddhaṃ. Tattha kammāyūhanakkhaṇeti kammakaraṇavelāya. Lobho balavāti tajjāya sāmaggiyā sāmatthiyato lobho adhiko hoti. Alobho mandoti tappaṭipakkho alobho dubbalo hoti. Kathaṃ panete lobhālobhā aññamaññaṃ ujuvipaccanīkabhūtā ekakkhaṇe pavattanti? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ ‘‘ekakkhaṇe pavattantī’’ti, nikantikkhaṇaṃ pana āyūhanakkhaṇameva katvā evaṃ vuttaṃ. Esa nayo sesesu. Pariyādātunti abhibhavituṃ na sakkoti. Yo hi ‘‘evaṃsundaraṃ evaṃvipulaṃ evaṃmahagghañca na sakkā parassa dātu’’ntiādinā amuttacāgatādivasena pavattāya cetanāya sampayutto alobho sammadeva lobhaṃ pariyādātuṃ na sakkoti. Dosamohānaṃ anuppattiyaṃ tādisapaccayalābheneva adosāmohā balavanto. Tasmāti lobhādosāmohānaṃ balavabhāvato alobhadosamohānañca dubbalabhāvatoti vuttameva kāraṇaṃ paccāmasati. Soti taṃsamaṅgī. Tena kammenāti tena lobhādiupanissayavatā kusalakammunā. Sukhasīloti sakhilo. Tamevatthaṃ akkodhanoti pariyāyena vadati.
มนฺทา อโลภาโทสา โลภโทเส ปริยาทาตุํ น สโกฺกนฺติ, อโมโห ปน พลวา โมหํ ปริยาทาตุํ สโกฺกตีติ เอวํ ยถารหํ ปฐมวาเร วุตฺตนเยเนว อติเทสโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปุริมนเยเนวาติ ปุเพฺพ วุตฺตนยานุสาเรนฯ ทุโฎฺฐติ โกธโนฯ ทโนฺธติ มนฺทมโญฺญฯ สุขสีลโกติ สุขสีโลฯ
Mandā alobhādosā lobhadose pariyādātuṃ na sakkonti, amoho pana balavā mohaṃ pariyādātuṃ sakkotīti evaṃ yathārahaṃ paṭhamavāre vuttanayeneva atidesattho veditabbo. Purimanayenevāti pubbe vuttanayānusārena. Duṭṭhoti kodhano. Dandhoti mandamañño. Sukhasīlakoti sukhasīlo.
เอตฺถ จ โลภวเสน, โทสโมห-โลภโทส-โลภโมห-โทสโมห-โลภโทสโมหวเสนาติ ตโย เอกกา, ตโย ทุกา, เอโก ติโกติ โลภาทิอุสฺสทวเสน อกุสลปเกฺข เอว สตฺต วารา, ตถา กุสลปเกฺข อโลภาทิอุสฺสทวเสนาติ จุทฺทส วารา ลพฺภนฺติฯ ตตฺถ อโลภโทสโมหา, อโลภาโทสโมหา, อโลภโทสาโมหา พลวโนฺตติ อาคเตหิ กุสลปเกฺข ตติยทุติยปฐมวาเรหิ โทสุสฺสทโมหุสฺสทโทสโมหุสฺสทวารา คหิตา เอว โหนฺติฯ ตถา อกุสลปเกฺข โลภาโทสาโมหา, โลภโทสาโมหา, โลภาโทสโมหา พลวโนฺตติ อาคเตหิ ตติยทุติยปฐมวาเรหิ อโทสุสฺสทอโมหุสฺสทอโทสาโมหุสฺสทวารา คหิตา เอวาติ อกุสลกุสลปเกฺขสุ ตโย ตโย วาเร อโนฺตคเธ กตฺวา อเฎฺฐว วารา ทสฺสิตาฯ เย ปน อุภยสมฺมิสฺสตาวเสน โลภาโลภุสฺสทวาราทโย อปเร เอกูนปญฺญาส วารา กามํ ทเสฺสตพฺพา, เตสํ อสมฺภวโต เอว น ทสฺสิตาฯ น หิ ‘‘เอกสฺมิํ สนฺตาเน อนฺตเรน อวตฺถนฺตรํ โลโภ จ พลวา อโลโภ จา’’ติอาทิ ยุชฺชติฯ ปฎิปกฺขวเสน วาปิ เอเตสํ พลวทุพฺพลภาโว สหชาตธมฺมวเสน วาฯ ตตฺถ โลภสฺส ตาว ปฎิปกฺขวเสน อนภิภูตตาย พลวภาโว, ตถา โทสโมหานํ อโทสาโมเหหิฯ อโลภาทีนํ ปน โลภาทิอนภิภวนโตฯ สเพฺพสญฺจ สมานชาติยสมธิภุยฺย ปวตฺติวเสน สหชาตธมฺมโต พลวภาโวฯ เตน วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔๗๒) – ‘‘โลโภ พลวา, อโลโภ มโนฺทฯ อโทสาโมหา พลวโนฺต, โทสโมหา มนฺทา’’ติอาทิ, โส จ เนสํ มนฺทพลวภาโว ปุริมูปนิสฺสยโต ตถา อาสยสฺส ปริภาวิตตาย เวทิตโพฺพฯ เตเนวาห ‘‘กมฺมนิยาเมนา’’ติฯ เสสํ วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ
Ettha ca lobhavasena, dosamoha-lobhadosa-lobhamoha-dosamoha-lobhadosamohavasenāti tayo ekakā, tayo dukā, eko tikoti lobhādiussadavasena akusalapakkhe eva satta vārā, tathā kusalapakkhe alobhādiussadavasenāti cuddasa vārā labbhanti. Tattha alobhadosamohā, alobhādosamohā, alobhadosāmohā balavantoti āgatehi kusalapakkhe tatiyadutiyapaṭhamavārehi dosussadamohussadadosamohussadavārā gahitā eva honti. Tathā akusalapakkhe lobhādosāmohā, lobhadosāmohā, lobhādosamohā balavantoti āgatehi tatiyadutiyapaṭhamavārehi adosussadaamohussadaadosāmohussadavārā gahitā evāti akusalakusalapakkhesu tayo tayo vāre antogadhe katvā aṭṭheva vārā dassitā. Ye pana ubhayasammissatāvasena lobhālobhussadavārādayo apare ekūnapaññāsa vārā kāmaṃ dassetabbā, tesaṃ asambhavato eva na dassitā. Na hi ‘‘ekasmiṃ santāne antarena avatthantaraṃ lobho ca balavā alobho cā’’tiādi yujjati. Paṭipakkhavasena vāpi etesaṃ balavadubbalabhāvo sahajātadhammavasena vā. Tattha lobhassa tāva paṭipakkhavasena anabhibhūtatāya balavabhāvo, tathā dosamohānaṃ adosāmohehi. Alobhādīnaṃ pana lobhādianabhibhavanato. Sabbesañca samānajātiyasamadhibhuyya pavattivasena sahajātadhammato balavabhāvo. Tena vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ (ma. ni. aṭṭha. 2.472) – ‘‘lobho balavā, alobho mando. Adosāmohā balavanto, dosamohā mandā’’tiādi, so ca nesaṃ mandabalavabhāvo purimūpanissayato tathā āsayassa paribhāvitatāya veditabbo. Tenevāha ‘‘kammaniyāmenā’’ti. Sesaṃ vuttanayattā suviññeyyamevāti.
จูฬธมฺมสมาทานสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Cūḷadhammasamādānasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. จูฬธมฺมสมาทานสุตฺตํ • 5. Cūḷadhammasamādānasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. จูฬธมฺมสมาทานสุตฺตวณฺณนา • 5. Cūḷadhammasamādānasuttavaṇṇanā