Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. จูฬทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตวณฺณนา

    4. Cūḷadukkhakkhandhasuttavaṇṇanā

    ๑๗๕. เอวํ เม สุตนฺติ จูฬทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตํฯ ตตฺถ สเกฺกสูติ เอวํนามเก ชนปเทฯ โส หิ ชนปโท สกฺยานํ ราชกุมารานํ วสนฎฺฐานตฺตา สกฺยาเตฺวว สงฺขฺยํ คโตฯ สกฺยานํ ปน อุปฺปตฺติ อมฺพฎฺฐสุเตฺต อาคตาวฯ กปิลวตฺถุสฺมินฺติ เอวํนามเก นคเรฯ ตญฺหิ กปิลสฺส อิสิโน นิวาสฎฺฐาเน กตตฺตา กปิลวตฺถูติ วุตฺตํ, ตํ โคจรคามํ กตฺวาฯ นิโคฺรธาราเมติ นิโคฺรโธ นาม สโกฺก, โส ญาติสมาคมกาเล กปิลวตฺถุํ อาคเต ภควติ อตฺตโน อาราเม วิหารํ กาเรตฺวา ภควโต นิยฺยาเตสิ, ตสฺมิํ วิหรตีติ อโตฺถฯ มหานาโมติ อนุรุทฺธเตฺถรสฺส ภาตา ภควโต จุฬปิตุปุโตฺตฯ สุโทฺธทโน สุโกฺกทโน สโกฺกทโน โธโตทโน อมิโตทโนติ อิเม ปญฺจ ชนา ภาตโรฯ อมิตา นาม เทวี เตสํ ภคินีฯ ติสฺสเตฺถโร ตสฺสา ปุโตฺตฯ ตถาคโต จ นนฺทเตฺถโร จ สุโทฺธทนสฺส ปุตฺตา, มหานาโม จ อนุรุทฺธเตฺถโร จ สุโกฺกทนสฺสฯ อานนฺทเตฺถโร อมิโตทนสฺส, โส ภควโต กนิโฎฺฐฯ มหานาโม มหลฺลกตโร สกทาคามี อริยสาวโกฯ

    175.Evaṃme sutanti cūḷadukkhakkhandhasuttaṃ. Tattha sakkesūti evaṃnāmake janapade. So hi janapado sakyānaṃ rājakumārānaṃ vasanaṭṭhānattā sakyātveva saṅkhyaṃ gato. Sakyānaṃ pana uppatti ambaṭṭhasutte āgatāva. Kapilavatthusminti evaṃnāmake nagare. Tañhi kapilassa isino nivāsaṭṭhāne katattā kapilavatthūti vuttaṃ, taṃ gocaragāmaṃ katvā. Nigrodhārāmeti nigrodho nāma sakko, so ñātisamāgamakāle kapilavatthuṃ āgate bhagavati attano ārāme vihāraṃ kāretvā bhagavato niyyātesi, tasmiṃ viharatīti attho. Mahānāmoti anuruddhattherassa bhātā bhagavato cuḷapituputto. Suddhodano sukkodano sakkodano dhotodano amitodanoti ime pañca janā bhātaro. Amitā nāma devī tesaṃ bhaginī. Tissatthero tassā putto. Tathāgato ca nandatthero ca suddhodanassa puttā, mahānāmo ca anuruddhatthero ca sukkodanassa. Ānandatthero amitodanassa, so bhagavato kaniṭṭho. Mahānāmo mahallakataro sakadāgāmī ariyasāvako.

    ทีฆรตฺตนฺติ มยฺหํ สกทาคามิผลุปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย จิรรตฺตํ ชานามีติ ทเสฺสติฯ โลภธมฺมาติ โลภสงฺขาตา ธมฺมา, นานปฺปการกํ โลภํเยว สนฺธาย วทติฯ อิตเรสุปิ ทฺวีสุ เอเสว นโยฯ ปริยาทาย ติฎฺฐนฺตีติ เขเปตฺวา ติฎฺฐนฺติฯ อิทญฺหิ ปริยาทานํ นาม ‘‘สพฺพํ หตฺถิกายํ ปริยาทิยิตฺวา สพฺพํ อสฺสกายํ สพฺพํ รถกายํ สพฺพํ ปตฺติกายํ ปริยาทิยิตฺวา ชีวนฺตํเยว นํ โอสเชฺชยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๑๒๖) เอตฺถ คหเณ อาคตํฯ ‘‘อนิจฺจสญฺญา, ภิกฺขเว, ภาวิตา พหุลีกตา สพฺพํ กามราคํ ปริยาทิยตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๒) เอตฺถ เขปเนฯ อิธาปิ เขปเน อธิเปฺปตํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปริยาทิยิตฺวาติ เขเปตฺวา’’ติฯ

    Dīgharattanti mayhaṃ sakadāgāmiphaluppattito paṭṭhāya cirarattaṃ jānāmīti dasseti. Lobhadhammāti lobhasaṅkhātā dhammā, nānappakārakaṃ lobhaṃyeva sandhāya vadati. Itaresupi dvīsu eseva nayo. Pariyādāya tiṭṭhantīti khepetvā tiṭṭhanti. Idañhi pariyādānaṃ nāma ‘‘sabbaṃ hatthikāyaṃ pariyādiyitvā sabbaṃ assakāyaṃ sabbaṃ rathakāyaṃ sabbaṃ pattikāyaṃ pariyādiyitvā jīvantaṃyeva naṃ osajjeyya’’nti (saṃ. ni. 1.126) ettha gahaṇe āgataṃ. ‘‘Aniccasaññā, bhikkhave, bhāvitā bahulīkatā sabbaṃ kāmarāgaṃ pariyādiyatī’’ti (saṃ. ni. 3.102) ettha khepane. Idhāpi khepane adhippetaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘pariyādiyitvāti khepetvā’’ti.

    เยน เม เอกทา โลภธมฺมาปีติ เยน มยฺหํ เอเกกสฺมิํ กาเล โลภธมฺมาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐนฺตีติ ปุจฺฉติฯ อยํ กิร ราชา ‘‘สกทาคามิมเคฺคน โลภโทสโมหา นิรวเสสา ปหียนฺตี’’ติ สญฺญี อโหสิ, อยํ ‘‘อปฺปหีนํ เม อตฺถี’’ติปิ ชานาติ, อปฺปหีนกํ อุปาทาย ปหีนกมฺปิ ปุน ปจฺฉโตวาวตฺตตีติ สญฺญี โหติฯ อริยสาวกสฺส เอวํ สเนฺทโห อุปฺปชฺชตีติ? อาม อุปฺปชฺชติฯ กสฺมา? ปณฺณตฺติยา อโกวิทตฺตาฯ ‘‘อยํ กิเลโส อสุกมคฺควโชฺฌ’’ติ อิมิสฺสา ปณฺณตฺติยา อโกวิทสฺส หิ อริยสาวกสฺสปิ เอวํ โหติฯ กิํ ตสฺส ปจฺจเวกฺขณา นตฺถีติ? อตฺถิฯ สา ปน น สเพฺพสํ ปริปุณฺณา โหติฯ เอโก หิ ปหีนกิเลสเมว ปจฺจเวกฺขติฯ เอโก อวสิฎฺฐกิเลสเมว, เอโก มคฺคเมว, เอโก ผลเมว, เอโก นิพฺพานเมวฯ อิมาสุ ปน ปญฺจสุ ปจฺจเวกฺขณาสุ เอกํ วา เทฺว วา โน ลทฺธุํ น วฎฺฎติฯ อิติ ยสฺส ปจฺจเวกฺขณา น ปริปุณฺณา, ตสฺส มคฺควชฺฌกิเลสปณฺณตฺติยํ อโกวิทตฺตา เอวํ โหติฯ

    Yena me ekadā lobhadhammāpīti yena mayhaṃ ekekasmiṃ kāle lobhadhammāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhantīti pucchati. Ayaṃ kira rājā ‘‘sakadāgāmimaggena lobhadosamohā niravasesā pahīyantī’’ti saññī ahosi, ayaṃ ‘‘appahīnaṃ me atthī’’tipi jānāti, appahīnakaṃ upādāya pahīnakampi puna pacchatovāvattatīti saññī hoti. Ariyasāvakassa evaṃ sandeho uppajjatīti? Āma uppajjati. Kasmā? Paṇṇattiyā akovidattā. ‘‘Ayaṃ kileso asukamaggavajjho’’ti imissā paṇṇattiyā akovidassa hi ariyasāvakassapi evaṃ hoti. Kiṃ tassa paccavekkhaṇā natthīti? Atthi. Sā pana na sabbesaṃ paripuṇṇā hoti. Eko hi pahīnakilesameva paccavekkhati. Eko avasiṭṭhakilesameva, eko maggameva, eko phalameva, eko nibbānameva. Imāsu pana pañcasu paccavekkhaṇāsu ekaṃ vā dve vā no laddhuṃ na vaṭṭati. Iti yassa paccavekkhaṇā na paripuṇṇā, tassa maggavajjhakilesapaṇṇattiyaṃ akovidattā evaṃ hoti.

    ๑๗๖. โส เอว โข เตติ โสเยว โลโภ โทโส โมโห จ ตว สนฺตาเน อปฺปหีโน, ตฺวํ ปน ปหีนสญฺญี อโหสีติ ทเสฺสติฯ โส จ หิ เตติ โส ตุยฺหํ โลภโทสโมหธโมฺมฯ กาเมติ ทุวิเธ กาเมฯ น ปริภุเญฺชยฺยาสีติ มยํ วิย ปพฺพเชยฺยาสีติ ทเสฺสติฯ

    176.Soeva kho teti soyeva lobho doso moho ca tava santāne appahīno, tvaṃ pana pahīnasaññī ahosīti dasseti. So ca hi teti so tuyhaṃ lobhadosamohadhammo. Kāmeti duvidhe kāme. Na paribhuñjeyyāsīti mayaṃ viya pabbajeyyāsīti dasseti.

    ๑๗๗. อปฺปสฺสาทาติ ปริตฺตสุขาฯ พหุทุกฺขาติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกทุกฺขเมเวตฺถ พหุกํฯ พหุปายาสาติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิโก อุปายาสกิเลโสเยเวตฺถ พหุฯ อาทีนโวติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิโก อุปทฺทโวฯ เอตฺถ ภิโยฺยติ เอเตสุ กาเมสุ อยํ อาทีนโวเยว พหุฯ อสฺสาโท ปน หิมวนฺตํ อุปนิธาย สาสโป วิย อโปฺป, ปริตฺตโกฯ อิติ เจปิ มหานามาติ มหานาม เอวํ เจปิ อริยสาวกสฺสฯ ยถาภูตนฺติ ยถาสภาวํฯ สมฺมา นเยน การเณน ปญฺญาย สุฎฺฐุ ทิฎฺฐํ โหตีติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ ปญฺญายาติ วิปสฺสนาปญฺญาย, เหฎฺฐามคฺคทฺวยญาเณนาติ อโตฺถฯ โส จาติ โส เอว มคฺคทฺวเยน ทิฎฺฐกามาทีนโว อริยสาวโกฯ ปีติสุขนฺติ อิมินา สปฺปีติกานิ เทฺว ฌานานิ ทเสฺสติฯ อญฺญํ วา ตโต สนฺตตรนฺติ ตโต ฌานทฺวยโต สนฺตตรํ อญฺญํ อุปริฌานทฺวยเญฺจว มคฺคทฺวยญฺจฯ เนว ตาว อนาวฎฺฎี กาเมสุ โหตีติ อถ โข โส เทฺว มเคฺค ปฎิวิชฺฌิตฺวา ฐิโตปิ อริยสาวโก อุปริ ฌานานํ วา มคฺคานํ วา อนธิคตตฺตา เนว ตาว กาเมสุ อนาวฎฺฎี โหติ, อนาวฎฺฎิโน อนาโภโค น โหติฯ อาวฎฺฎิโน สาโภโคเยว โหติฯ กสฺมา? จตูหิ ฌาเนหิ วิกฺขมฺภนปฺปหานสฺส, ทฺวีหิ มเคฺคหิ สมุเจฺฉทปฺปหานสฺส อภาวาฯ

    177.Appassādāti parittasukhā. Bahudukkhāti diṭṭhadhammikasamparāyikadukkhamevettha bahukaṃ. Bahupāyāsāti diṭṭhadhammikasamparāyiko upāyāsakilesoyevettha bahu. Ādīnavoti diṭṭhadhammikasamparāyiko upaddavo. Ettha bhiyyoti etesu kāmesu ayaṃ ādīnavoyeva bahu. Assādo pana himavantaṃ upanidhāya sāsapo viya appo, parittako. Iti cepi mahānāmāti mahānāma evaṃ cepi ariyasāvakassa. Yathābhūtanti yathāsabhāvaṃ. Sammā nayena kāraṇena paññāya suṭṭhu diṭṭhaṃ hotīti dasseti. Tattha paññāyāti vipassanāpaññāya, heṭṭhāmaggadvayañāṇenāti attho. Soti so eva maggadvayena diṭṭhakāmādīnavo ariyasāvako. Pītisukhanti iminā sappītikāni dve jhānāni dasseti. Aññaṃ vā tato santataranti tato jhānadvayato santataraṃ aññaṃ uparijhānadvayañceva maggadvayañca. Neva tāva anāvaṭṭī kāmesu hotīti atha kho so dve magge paṭivijjhitvā ṭhitopi ariyasāvako upari jhānānaṃ vā maggānaṃ vā anadhigatattā neva tāva kāmesu anāvaṭṭī hoti, anāvaṭṭino anābhogo na hoti. Āvaṭṭino sābhogoyeva hoti. Kasmā? Catūhi jhānehi vikkhambhanappahānassa, dvīhi maggehi samucchedappahānassa abhāvā.

    มยฺหมฺปิ โขติ น เกวลํ ตุเยฺหว, อถ โข มยฺหมฺปิฯ ปุเพฺพว สโมฺพธาติ มคฺคสโมฺพธิโต ปฐมตรเมวฯ ปญฺญาย สุทิฎฺฐํ โหตีติ เอตฺถ โอโรธนาฎกา ปชหนปญฺญา อธิเปฺปตาฯ ปีติสุขํ นาชฺฌคมนฺติ สปฺปีติกานิ เทฺว ฌานานิ น ปฎิลภิํฯ อญฺญํ วา ตโต สนฺตตรนฺติ อิธ อุปริ ฌานทฺวยํ เจว จตฺตาโร จ มคฺคา อธิเปฺปตาฯ ปจฺจญฺญาสินฺติ ปฎิอญฺญาสิํฯ

    Mayhampikhoti na kevalaṃ tuyheva, atha kho mayhampi. Pubbeva sambodhāti maggasambodhito paṭhamatarameva. Paññāya sudiṭṭhaṃ hotīti ettha orodhanāṭakā pajahanapaññā adhippetā. Pītisukhaṃ nājjhagamanti sappītikāni dve jhānāni na paṭilabhiṃ. Aññaṃ vā tato santataranti idha upari jhānadvayaṃ ceva cattāro ca maggā adhippetā. Paccaññāsinti paṭiaññāsiṃ.

    ๑๗๙. เอกมิทาหํ มหานาม สมยนฺติ กสฺมา อารทฺธํ? อยํ ปาฎิเยโกฺก อนุสนฺธิฯ เหฎฺฐา กามานํ อสฺสาโทปิ อาทีนโวปิ กถิโต , นิสฺสรณํ น กถิตํ, ตํ กเถตุํ อยํ เทสนา อารทฺธาฯ กามสุขลฺลิกานุโยโค หิ เอโก อโนฺต อตฺตกิลมถานุโยโค เอโกติ อิเมหิ อเนฺตหิ มุตฺตํ มม สาสนนฺติ อุปริ ผลสมาปตฺติสีเสน สกลสาสนํ ทเสฺสตุมฺปิ อยํ เทสนา อารทฺธาฯ

    179.Ekamidāhaṃ mahānāma samayanti kasmā āraddhaṃ? Ayaṃ pāṭiyekko anusandhi. Heṭṭhā kāmānaṃ assādopi ādīnavopi kathito , nissaraṇaṃ na kathitaṃ, taṃ kathetuṃ ayaṃ desanā āraddhā. Kāmasukhallikānuyogo hi eko anto attakilamathānuyogo ekoti imehi antehi muttaṃ mama sāsananti upari phalasamāpattisīsena sakalasāsanaṃ dassetumpi ayaṃ desanā āraddhā.

    คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเตติ ตสฺส ปพฺพตสฺส คิชฺฌสทิสํ กูฎํ อตฺถิ, ตสฺมา คิชฺฌกูโฎติ วุจฺจติฯ คิชฺฌา วา ตสฺส กูเฎสุ นิวสนฺตีติปิ คิชฺฌกูโฎติ วุจฺจติฯ อิสิคิลิปเสฺสติ อิสิคิลิปพฺพตสฺส ปเสฺสฯ กาฬสิลายนฺติ กาฬวเณฺณ ปิฎฺฐิปาสาเณฯ อุพฺภฎฺฐกา โหนฺตีติ อุทฺธํเยว ฐิตกา โหนฺติ อนิสินฺนาฯ โอปกฺกมิกาติ อุพฺภฎฺฐกาทินา อตฺตโน อุปกฺกเมน นิพฺพตฺติตาฯ นิคโณฺฐ, อาวุโสติ อญฺญํ การณํ วตฺตุํ อสโกฺกนฺตา นิคณฺฐสฺส อุปริ ปกฺขิปิํสุฯ สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวีติ โส อมฺหากํ สตฺถา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ สพฺพํ ชานาติ ปสฺสตีติ ทเสฺสติฯ อปริเสสํ ญาณทสฺสนํ ปฎิชานาตีติ โส อมฺหากํ สตฺถา อปริเสสํ ธมฺมํ ชานโนฺต อปริเสสสงฺขาตํ ญาณทสฺสนํ ปฎิชานาติ, ปฎิชานโนฺต จ เอวํ ปฎิชานาติ ‘‘จรโต จ เม ติฎฺฐโต จ…เป.… ปจฺจุปฎฺฐิต’’นฺติฯ ตตฺถ สตตนฺติ นิจฺจํฯ สมิตนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ

    Gijjhakūṭe pabbateti tassa pabbatassa gijjhasadisaṃ kūṭaṃ atthi, tasmā gijjhakūṭoti vuccati. Gijjhā vā tassa kūṭesu nivasantītipi gijjhakūṭoti vuccati. Isigilipasseti isigilipabbatassa passe. Kāḷasilāyanti kāḷavaṇṇe piṭṭhipāsāṇe. Ubbhaṭṭhakā hontīti uddhaṃyeva ṭhitakā honti anisinnā. Opakkamikāti ubbhaṭṭhakādinā attano upakkamena nibbattitā. Nigaṇṭho, āvusoti aññaṃ kāraṇaṃ vattuṃ asakkontā nigaṇṭhassa upari pakkhipiṃsu. Sabbaññū sabbadassāvīti so amhākaṃ satthā atītānāgatapaccuppannaṃ sabbaṃ jānāti passatīti dasseti. Aparisesaṃ ñāṇadassanaṃ paṭijānātīti so amhākaṃ satthā aparisesaṃ dhammaṃ jānanto aparisesasaṅkhātaṃ ñāṇadassanaṃ paṭijānāti, paṭijānanto ca evaṃ paṭijānāti ‘‘carato ca me tiṭṭhato ca…pe… paccupaṭṭhita’’nti. Tattha satatanti niccaṃ. Samitanti tasseva vevacanaṃ.

    ๑๘๐. กิํ ปน ตุเมฺห, อาวุโส, นิคณฺฐา ชานาถ เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณนฺติ อิทํ ภควา ปุริโส นาม ยํ กโรติ, ตํ ชานาติฯ วีสติกหาปเณ อิณํ คเหตฺวา ทส ทตฺวา ‘‘ทส เม ทินฺนา ทส อวสิฎฺฐา’’ติ ชานาติ, เตปิ ทตฺวา ‘‘สพฺพํ ทินฺน’’นฺติ ชานาติฯ เขตฺตสฺส ตติยภาคํ ลายิตฺวา ‘‘เอโก ภาโค ลายิโต, เทฺว อวสิฎฺฐา’’ติ ชานาติฯ ปุน เอกํ ลายิตฺวา ‘‘เทฺว ลายิตา, เอโก อวสิโฎฺฐ’’ติ ชานาติฯ ตสฺมิมฺปิ ลายิเต ‘‘สพฺพํ นิฎฺฐิต’’นฺติ ชานาติ, เอวํ สพฺพกิเจฺจสุ กตญฺจ อกตญฺจ ชานาติ, ตุเมฺหหิปิ ตถา ญาตพฺพํ สิยาติ ทเสฺสติฯ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานนฺติ อิมินา อกุสลํ ปหาย กุสลํ ภาเวตฺวา สุทฺธนฺตํ ปโตฺต นิคโณฺฐ นาม ตุมฺหากํ สาสเน อตฺถีติ ปุจฺฉติฯ

    180.Kiṃ pana tumhe, āvuso, nigaṇṭhā jānātha ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjiṇṇanti idaṃ bhagavā puriso nāma yaṃ karoti, taṃ jānāti. Vīsatikahāpaṇe iṇaṃ gahetvā dasa datvā ‘‘dasa me dinnā dasa avasiṭṭhā’’ti jānāti, tepi datvā ‘‘sabbaṃ dinna’’nti jānāti. Khettassa tatiyabhāgaṃ lāyitvā ‘‘eko bhāgo lāyito, dve avasiṭṭhā’’ti jānāti. Puna ekaṃ lāyitvā ‘‘dve lāyitā, eko avasiṭṭho’’ti jānāti. Tasmimpi lāyite ‘‘sabbaṃ niṭṭhita’’nti jānāti, evaṃ sabbakiccesu katañca akatañca jānāti, tumhehipi tathā ñātabbaṃ siyāti dasseti. Akusalānaṃ dhammānaṃ pahānanti iminā akusalaṃ pahāya kusalaṃ bhāvetvā suddhantaṃ patto nigaṇṭho nāma tumhākaṃ sāsane atthīti pucchati.

    เอวํ สเนฺตติ ตุมฺหากํ เอวํ อชานนภาเว สติฯ ลุทฺทาติ ลุทฺทาจาราฯ โลหิตปาณิโนติ ปาเณ ชีวิตา โวโรเปนฺตา โลหิเตน มกฺขิตปาณิโนฯ ปาณํ หิ หนนฺตสฺสปิ ยสฺส โลหิเตน ปาณิ น มกฺขิยติ , โสปิ โลหิตปาณีเตฺวว วุจฺจติฯ กุรูรกมฺมนฺตาติ ทารุณกมฺมาฯ มาตริ ปิตริ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณาทีสุ จ กตาปราธาฯ มาควิกาทโย วา กกฺขฬกมฺมาฯ

    Evaṃ santeti tumhākaṃ evaṃ ajānanabhāve sati. Luddāti luddācārā. Lohitapāṇinoti pāṇe jīvitā voropentā lohitena makkhitapāṇino. Pāṇaṃ hi hanantassapi yassa lohitena pāṇi na makkhiyati , sopi lohitapāṇītveva vuccati. Kurūrakammantāti dāruṇakammā. Mātari pitari dhammikasamaṇabrāhmaṇādīsu ca katāparādhā. Māgavikādayo vā kakkhaḷakammā.

    น โข, อาวุโส, โคตมาติ อิทํ นิคณฺฐา ‘‘อยํ อมฺหากํ วาเท โทสํ เทติ, มยมฺปิสฺส โทสํ อาโรเปมา’’ติ มญฺญมานา อารภิํสุฯ ตสฺสโตฺถ, ‘‘อาวุโส, โคตม ยถา ตุเมฺห ปณีตจีวรานิ ธาเรนฺตา สาลิมํโสทนํ ภุญฺชนฺตา เทววิมานวณฺณาย คนฺธกุฎิยา วสมานา สุเขน สุขํ อธิคจฺฉถ, น เอวํ สุเขน สุขํ อธิคนฺตพฺพํฯ ยถา ปน มยํ อุกฺกุฎิกปฺปธานาทีหิ นานปฺปการณํ ทุกฺขํ อนุภวาม, เอวํ ทุเกฺขน สุขํ อธิคนฺตพฺพ’’นฺติฯ สุเขน จ หาวุโสติ อิทํ สเจ สุเขน จ สุขํ อธิคนฺตพฺพํ สิยาฯ ราชา อธิคเจฺฉยฺยาติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ ฯ ตตฺถ มาคโธติ มคธรฎฺฐสฺส อิสฺสโรฯ เสนิโยติ ตสฺส นามํฯ พิมฺพีติ อตฺตภาวสฺส นามํฯ โส ตสฺส สารภูโต ทสฺสนีโย ปาสาทิโก อตฺตภาวสมิทฺธิยา พิมฺพิสาโรติ วุจฺจติฯ สุขวิหาริตโรติ อิทํ เต นิคณฺฐา รโญฺญ ตีสุ ปาสาเทสุ ติวิธวเยหิ นาฎเกหิ สทฺธิํ สมฺปตฺติอนุภวนํ สนฺธาย วทนฺติฯ อทฺธาติ เอกํเสนฯ สหสา อปฺปฎิสงฺขาติ สาหสํ กตฺวา, อปฺปจฺจเวกฺขิตฺวาว ยถา รโตฺต ราควเสน ทุโฎฺฐ โทสวเสน มูโฬฺห โมหวเสน ภาสติ, เอวเมวํ วาจา ภาสิตาติ ทเสฺสติฯ

    Na kho, āvuso, gotamāti idaṃ nigaṇṭhā ‘‘ayaṃ amhākaṃ vāde dosaṃ deti, mayampissa dosaṃ āropemā’’ti maññamānā ārabhiṃsu. Tassattho, ‘‘āvuso, gotama yathā tumhe paṇītacīvarāni dhārentā sālimaṃsodanaṃ bhuñjantā devavimānavaṇṇāya gandhakuṭiyā vasamānā sukhena sukhaṃ adhigacchatha, na evaṃ sukhena sukhaṃ adhigantabbaṃ. Yathā pana mayaṃ ukkuṭikappadhānādīhi nānappakāraṇaṃ dukkhaṃ anubhavāma, evaṃ dukkhena sukhaṃ adhigantabba’’nti. Sukhena ca hāvusoti idaṃ sace sukhena ca sukhaṃ adhigantabbaṃ siyā. Rājā adhigaccheyyāti dassanatthaṃ vuttaṃ . Tattha māgadhoti magadharaṭṭhassa issaro. Seniyoti tassa nāmaṃ. Bimbīti attabhāvassa nāmaṃ. So tassa sārabhūto dassanīyo pāsādiko attabhāvasamiddhiyā bimbisāroti vuccati. Sukhavihāritaroti idaṃ te nigaṇṭhā rañño tīsu pāsādesu tividhavayehi nāṭakehi saddhiṃ sampattianubhavanaṃ sandhāya vadanti. Addhāti ekaṃsena. Sahasā appaṭisaṅkhāti sāhasaṃ katvā, appaccavekkhitvāva yathā ratto rāgavasena duṭṭho dosavasena mūḷho mohavasena bhāsati, evamevaṃ vācā bhāsitāti dasseti.

    ตตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามีติ ตสฺมิํ อเตฺถ ปุจฺฉิสฺสามิฯ ยถา โว ขเมยฺยาติ ยถา ตุมฺหากํ รุเจฺจยฺยฯ ปโหตีติ สโกฺกติฯ

    Tattha paṭipucchissāmīti tasmiṃ atthe pucchissāmi. Yathā vo khameyyāti yathā tumhākaṃ rucceyya. Pahotīti sakkoti.

    อนิญฺชมาโนติ อจลมาโนฯ เอกนฺตสุขํ ปฎิสํเวทีติ นิรนฺตรสุขํ ปฎิสํเวทีฯ ‘‘อหํ โข , อาวุโส, นิคณฺฐา ปโหมิ…เป.… เอกนฺตสุขํ ปฎิสํเวที’’ติ อิทํ อตฺตโน ผลสมาปตฺติสุขํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ เอตฺถ จ กถาปติฎฺฐาปนตฺถํ ราชวาเร สตฺต อาทิํ กตฺวา ปุจฺฉา กตาฯ สตฺต รตฺตินฺทิวานิ นปฺปโหตีติ หิ วุเตฺต ฉ ปญฺจ จตฺตารีติ สุขํ ปุจฺฉิตุํ โหติฯ สุทฺธวาเร ปน สตฺตาติ วุเตฺต ปุน ฉ ปญฺจ จตฺตารีติ วุจฺจมานํ อนจฺฉริยํ โหติ, ตสฺมา เอกํ อาทิํ กตฺวา เทสนา กตาฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Aniñjamānoti acalamāno. Ekantasukhaṃ paṭisaṃvedīti nirantarasukhaṃ paṭisaṃvedī. ‘‘Ahaṃ kho , āvuso, nigaṇṭhā pahomi…pe… ekantasukhaṃ paṭisaṃvedī’’ti idaṃ attano phalasamāpattisukhaṃ dassento āha. Ettha ca kathāpatiṭṭhāpanatthaṃ rājavāre satta ādiṃ katvā pucchā katā. Satta rattindivāni nappahotīti hi vutte cha pañca cattārīti sukhaṃ pucchituṃ hoti. Suddhavāre pana sattāti vutte puna cha pañca cattārīti vuccamānaṃ anacchariyaṃ hoti, tasmā ekaṃ ādiṃ katvā desanā katā. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    จูฬทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cūḷadukkhakkhandhasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. จูฬทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตํ • 4. Cūḷadukkhakkhandhasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๔. จูฬทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตวณฺณนา • 4. Cūḷadukkhakkhandhasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact