Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๔. มหายมกวโคฺค

    4. Mahāyamakavaggo

    ๑. จูฬโคสิงฺคสุตฺตํ

    1. Cūḷagosiṅgasuttaṃ

    ๓๒๕. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา นาติเก 1 วิหรติ คิญฺชกาวสเถฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ อายสฺมา จ นนฺทิโย อายสฺมา จ กิมิโล 2 โคสิงฺคสาลวนทาเย วิหรนฺติฯ อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต เยน โคสิงฺคสาลวนทาโย เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข ทายปาโล ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘มา, สมณ, เอตํ ทายํ ปาวิสิฯ สเนฺตตฺถ ตโย กุลปุตฺตา อตฺตกามรูปา วิหรนฺติฯ มา เตสํ อผาสุมกาสี’’ติฯ

    325. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā nātike 3 viharati giñjakāvasathe. Tena kho pana samayena āyasmā ca anuruddho āyasmā ca nandiyo āyasmā ca kimilo 4 gosiṅgasālavanadāye viharanti. Atha kho bhagavā sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito yena gosiṅgasālavanadāyo tenupasaṅkami. Addasā kho dāyapālo bhagavantaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘mā, samaṇa, etaṃ dāyaṃ pāvisi. Santettha tayo kulaputtā attakāmarūpā viharanti. Mā tesaṃ aphāsumakāsī’’ti.

    อโสฺสสิ โข อายสฺมา อนุรุโทฺธ ทายปาลสฺส ภควตา สทฺธิํ มนฺตยมานสฺสฯ สุตฺวาน ทายปาลํ เอตทโวจ – ‘‘มา, อาวุโส ทายปาล, ภควนฺตํ วาเรสิฯ สตฺถา โน ภควา อนุปฺปโตฺต’’ติฯ อถ โข อายสฺมา อนุรุโทฺธ เยนายสฺมา จ นนฺทิโย อายสฺมา จ กิมิโล เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตญฺจ นนฺทิยํ อายสฺมนฺตญฺจ กิมิลํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกมถายสฺมโนฺต, อภิกฺกมถายสฺมโนฺต, สตฺถา โน ภควา อนุปฺปโตฺต’’ติฯ อถ โข อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ อายสฺมา จ นนฺทิโย อายสฺมา จ กิมิโล ภควนฺตํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา – เอโก ภควโต ปตฺตจีวรํ ปฎิคฺคเหสิ, เอโก อาสนํ ปญฺญเปสิ, เอโก ปาโททกํ อุปฎฺฐาเปสิฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ นิสชฺช โข ภควา ปาเท ปกฺขาเลสิฯ เตปิ โข อายสฺมโนฺต ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ ภควา เอตทโวจ –

    Assosi kho āyasmā anuruddho dāyapālassa bhagavatā saddhiṃ mantayamānassa. Sutvāna dāyapālaṃ etadavoca – ‘‘mā, āvuso dāyapāla, bhagavantaṃ vāresi. Satthā no bhagavā anuppatto’’ti. Atha kho āyasmā anuruddho yenāyasmā ca nandiyo āyasmā ca kimilo tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantañca nandiyaṃ āyasmantañca kimilaṃ etadavoca – ‘‘abhikkamathāyasmanto, abhikkamathāyasmanto, satthā no bhagavā anuppatto’’ti. Atha kho āyasmā ca anuruddho āyasmā ca nandiyo āyasmā ca kimilo bhagavantaṃ paccuggantvā – eko bhagavato pattacīvaraṃ paṭiggahesi, eko āsanaṃ paññapesi, eko pādodakaṃ upaṭṭhāpesi. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Nisajja kho bhagavā pāde pakkhālesi. Tepi kho āyasmanto bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ anuruddhaṃ bhagavā etadavoca –

    ๓๒๖. ‘‘กจฺจิ โว, อนุรุทฺธา, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ ปิณฺฑเกน น กิลมถา’’ติ ? ‘‘ขมนียํ, ภควา, ยาปนียํ, ภควา; น จ มยํ, ภเนฺต, ปิณฺฑเกน กิลมามา’’ติฯ ‘‘กจฺจิ ปน โว, อนุรุทฺธา, สมคฺคา สโมฺมทมานา อวิวทมานา ขีโรทกีภูตา อญฺญมญฺญํ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสนฺตา วิหรถา’’ติ? ‘‘ตคฺฆ มยํ , ภเนฺต, สมคฺคา สโมฺมทมานา อวิวทมานา ขีโรทกีภูตา อญฺญมญฺญํ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสนฺตา วิหรามา’’ติฯ ‘‘ยถา กถํ ปน ตุเมฺห, อนุรุทฺธา, สมคฺคา สโมฺมทมานา อวิวทมานา ขีโรทกีภูตา อญฺญมญฺญํ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสนฺตา วิหรถา’’ติ? ‘‘อิธ มยฺหํ, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม, โยหํ เอวรูเปหิ สพฺรหฺมจารีหิ สทฺธิํ วิหรามี’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, อิเมสุ อายสฺมเนฺตสุ เมตฺตํ กายกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จ; เมตฺตํ วจีกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จ; เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิเมสํเยว อายสฺมนฺตานํ จิตฺตสฺส วเสน วเตฺตยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิเมสํเยว อายสฺมนฺตานํ จิตฺตสฺส วเสน วตฺตามิฯ นานา หิ โข โน, ภเนฺต, กายา เอกญฺจ ปน มเญฺญ จิตฺต’’นฺติฯ

    326. ‘‘Kacci vo, anuruddhā, khamanīyaṃ, kacci yāpanīyaṃ, kacci piṇḍakena na kilamathā’’ti ? ‘‘Khamanīyaṃ, bhagavā, yāpanīyaṃ, bhagavā; na ca mayaṃ, bhante, piṇḍakena kilamāmā’’ti. ‘‘Kacci pana vo, anuruddhā, samaggā sammodamānā avivadamānā khīrodakībhūtā aññamaññaṃ piyacakkhūhi sampassantā viharathā’’ti? ‘‘Taggha mayaṃ , bhante, samaggā sammodamānā avivadamānā khīrodakībhūtā aññamaññaṃ piyacakkhūhi sampassantā viharāmā’’ti. ‘‘Yathā kathaṃ pana tumhe, anuruddhā, samaggā sammodamānā avivadamānā khīrodakībhūtā aññamaññaṃ piyacakkhūhi sampassantā viharathā’’ti? ‘‘Idha mayhaṃ, bhante, evaṃ hoti – ‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me, yohaṃ evarūpehi sabrahmacārīhi saddhiṃ viharāmī’ti. Tassa mayhaṃ, bhante, imesu āyasmantesu mettaṃ kāyakammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca; mettaṃ vacīkammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca; mettaṃ manokammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca. Tassa mayhaṃ, bhante, evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā imesaṃyeva āyasmantānaṃ cittassa vasena vatteyya’nti. So kho ahaṃ, bhante, sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā imesaṃyeva āyasmantānaṃ cittassa vasena vattāmi. Nānā hi kho no, bhante, kāyā ekañca pana maññe citta’’nti.

    อายสฺมาปิ โข นนฺทิโย…เป.… อายสฺมาปิ โข กิมิโล ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘มยฺหมฺปิ, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม, โยหํ เอวรูเปหิ สพฺรหฺมจารีหิ สทฺธิํ วิหรามี’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, อิเมสุ อายสฺมเนฺตสุ เมตฺตํ กายกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จ, เมตฺตํ วจีกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จ, เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิเมสํเยว อายสฺมนฺตานํ จิตฺตสฺส วเสน วเตฺตยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิเมสํเยว อายสฺมนฺตานํ จิตฺตสฺส วเสน วตฺตามิฯ นานา หิ โข โน, ภเนฺต, กายา เอกญฺจ ปน มเญฺญ จิตฺตนฺติฯ

    Āyasmāpi kho nandiyo…pe… āyasmāpi kho kimilo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘mayhampi, bhante, evaṃ hoti – ‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me, yohaṃ evarūpehi sabrahmacārīhi saddhiṃ viharāmī’ti. Tassa mayhaṃ, bhante, imesu āyasmantesu mettaṃ kāyakammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca, mettaṃ vacīkammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca, mettaṃ manokammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca. Tassa mayhaṃ, bhante, evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā imesaṃyeva āyasmantānaṃ cittassa vasena vatteyya’nti. So kho ahaṃ, bhante, sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā imesaṃyeva āyasmantānaṃ cittassa vasena vattāmi. Nānā hi kho no, bhante, kāyā ekañca pana maññe cittanti.

    ‘‘เอวํ โข มยํ, ภเนฺต, สมคฺคา สโมฺมทมานา อวิวทมานา ขีโรทกีภูตา อญฺญมญฺญํ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสนฺตา วิหรามา’’ติฯ

    ‘‘Evaṃ kho mayaṃ, bhante, samaggā sammodamānā avivadamānā khīrodakībhūtā aññamaññaṃ piyacakkhūhi sampassantā viharāmā’’ti.

    ๓๒๗. ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! กจฺจิ ปน โว, อนุรุทฺธา, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรถา’’ติ? ‘‘ตคฺฆ มยํ, ภเนฺต, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรามา’’ติฯ ‘‘ยถา กถํ ปน ตุเมฺห, อนุรุทฺธา, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรถา’’ติ? ‘‘อิธ, ภเนฺต, อมฺหากํ โย ปฐมํ คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมติ โส อาสนานิ ปญฺญเปติ, ปานียํ ปริโภชนียํ อุปฎฺฐาเปติ, อวกฺการปาติํ อุปฎฺฐาเปติฯ โย ปจฺฉา คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมติ, สเจ โหติ ภุตฺตาวเสโส สเจ อากงฺขติ ภุญฺชติ, โน เจ อากงฺขติ อปฺปหริเต วา ฉเฑฺฑติ, อปฺปาณเก วา อุทเก โอปิลาเปติฯ โส อาสนานิ ปฎิสาเมติ, ปานียํ ปริโภชนียํ ปฎิสาเมติ, อวกฺการปาติํ ปฎิสาเมติ, ภตฺตคฺคํ สมฺมชฺชติฯ โย ปสฺสติ ปานียฆฎํ วา ปริโภชนียฆฎํ วา วจฺจฆฎํ วา ริตฺตํ ตุจฺฉํ โส อุปฎฺฐาเปติฯ สจสฺส โหติ อวิสยฺหํ, หตฺถวิกาเรน ทุติยํ อามเนฺตตฺวา หตฺถวิลงฺฆเกน อุปฎฺฐาเปม, น เตฺวว มยํ, ภเนฺต, ตปฺปจฺจยา วาจํ ภินฺทามฯ ปญฺจาหิกํ โข ปน มยํ, ภเนฺต, สพฺพรตฺติกํ ธมฺมิยา กถาย สนฺนิสีทามฯ เอวํ โข มยํ, ภเนฺต, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรามา’’ติฯ

    327. ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Kacci pana vo, anuruddhā, appamattā ātāpino pahitattā viharathā’’ti? ‘‘Taggha mayaṃ, bhante, appamattā ātāpino pahitattā viharāmā’’ti. ‘‘Yathā kathaṃ pana tumhe, anuruddhā, appamattā ātāpino pahitattā viharathā’’ti? ‘‘Idha, bhante, amhākaṃ yo paṭhamaṃ gāmato piṇḍāya paṭikkamati so āsanāni paññapeti, pānīyaṃ paribhojanīyaṃ upaṭṭhāpeti, avakkārapātiṃ upaṭṭhāpeti. Yo pacchā gāmato piṇḍāya paṭikkamati, sace hoti bhuttāvaseso sace ākaṅkhati bhuñjati, no ce ākaṅkhati appaharite vā chaḍḍeti, appāṇake vā udake opilāpeti. So āsanāni paṭisāmeti, pānīyaṃ paribhojanīyaṃ paṭisāmeti, avakkārapātiṃ paṭisāmeti, bhattaggaṃ sammajjati. Yo passati pānīyaghaṭaṃ vā paribhojanīyaghaṭaṃ vā vaccaghaṭaṃ vā rittaṃ tucchaṃ so upaṭṭhāpeti. Sacassa hoti avisayhaṃ, hatthavikārena dutiyaṃ āmantetvā hatthavilaṅghakena upaṭṭhāpema, na tveva mayaṃ, bhante, tappaccayā vācaṃ bhindāma. Pañcāhikaṃ kho pana mayaṃ, bhante, sabbarattikaṃ dhammiyā kathāya sannisīdāma. Evaṃ kho mayaṃ, bhante, appamattā ātāpino pahitattā viharāmā’’ti.

    ๓๒๘. ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! อตฺถิ ปน โว, อนุรุทฺธา, เอวํ อปฺปมตฺตานํ อาตาปีนํ ปหิตตฺตานํ วิหรนฺตานํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ? ‘‘กิญฺหิ โน สิยา, ภเนฺต! อิธ มยํ, ภเนฺต, ยาวเทว อากงฺขาม วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามฯ อยํ โข โน, ภเนฺต, อมฺหากํ อปฺปมตฺตานํ อาตาปีนํ ปหิตตฺตานํ วิหรนฺตานํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติฯ

    328. ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Atthi pana vo, anuruddhā, evaṃ appamattānaṃ ātāpīnaṃ pahitattānaṃ viharantānaṃ uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti? ‘‘Kiñhi no siyā, bhante! Idha mayaṃ, bhante, yāvadeva ākaṅkhāma vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharāma. Ayaṃ kho no, bhante, amhākaṃ appamattānaṃ ātāpīnaṃ pahitattānaṃ viharantānaṃ uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti.

    ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! เอตสฺส ปน โว, อนุรุทฺธา, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อตฺถโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ? ‘‘กิญฺหิ โน สิยา, ภเนฺต! อิธ มยํ, ภเนฺต, ยาวเทว อากงฺขาม วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามฯ เอตสฺส, ภเนฺต, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อยมโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติฯ

    ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Etassa pana vo, anuruddhā, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā atthañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti? ‘‘Kiñhi no siyā, bhante! Idha mayaṃ, bhante, yāvadeva ākaṅkhāma vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharāma. Etassa, bhante, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā ayamañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti.

    ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! เอตสฺส ปน โว, อนุรุทฺธา, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อตฺถโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ? ‘‘กิญฺหิ โน สิยา, ภเนฺต! อิธ มยํ, ภเนฺต, ยาวเทว อากงฺขาม ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขกา จ วิหราม, สตา จ สมฺปชานา, สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทม, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามฯ เอตสฺส, ภเนฺต, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อยมโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติฯ

    ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Etassa pana vo, anuruddhā, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā atthañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti? ‘‘Kiñhi no siyā, bhante! Idha mayaṃ, bhante, yāvadeva ākaṅkhāma pītiyā ca virāgā upekkhakā ca viharāma, satā ca sampajānā, sukhañca kāyena paṭisaṃvedema, yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharāma. Etassa, bhante, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā ayamañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti.

    ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! เอตสฺส ปน โว, อนุรุทฺธา, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อตฺถโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ ? ‘‘กิญฺหิ โน สิยา, ภเนฺต! อิธ มยํ, ภเนฺต, ยาวเทว อากงฺขาม สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา, ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา, อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามฯ เอตสฺส, ภเนฺต, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อยมโญฺญ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติฯ

    ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Etassa pana vo, anuruddhā, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā atthañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti ? ‘‘Kiñhi no siyā, bhante! Idha mayaṃ, bhante, yāvadeva ākaṅkhāma sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā, pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā, adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharāma. Etassa, bhante, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā ayamañño uttari manussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti.

    ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! เอตสฺส ปน โว, อนุรุทฺธา, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อตฺถโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ? ‘‘กิญฺหิ โน สิยา, ภเนฺต! อิธ มยํ, ภเนฺต, ยาวเทว อากงฺขาม สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนโนฺต อากาโส’ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามฯ เอตสฺส, ภเนฺต, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อยมโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติฯ

    ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Etassa pana vo, anuruddhā, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā atthañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti? ‘‘Kiñhi no siyā, bhante! Idha mayaṃ, bhante, yāvadeva ākaṅkhāma sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ‘ananto ākāso’ti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharāma. Etassa, bhante, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā ayamañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti.

    ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! เอตสฺส ปน โว, อนุรุทฺธา, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อตฺถโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ? ‘‘กิญฺหิ โน สิยา, ภเนฺต! อิธ มยํ, ภเนฺต, ยาวเทว อากงฺขาม สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณ’นฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหราม…เป.… สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหราม…เป.… สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามฯ เอตสฺส, ภเนฺต, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อยมโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติฯ

    ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Etassa pana vo, anuruddhā, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā atthañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti? ‘‘Kiñhi no siyā, bhante! Idha mayaṃ, bhante, yāvadeva ākaṅkhāma sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma ‘anantaṃ viññāṇa’nti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja viharāma…pe… sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma ‘natthi kiñcī’ti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja viharāma…pe… sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharāma. Etassa, bhante, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā ayamañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti.

    ๓๒๙. ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! เอตสฺส ปน โว, อนุรุทฺธา, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อตฺถโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ? ‘‘กิญฺหิ โน สิยา, ภเนฺต! อิธ มยํ, ภเนฺต, ยาวเทว อากงฺขาม สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหราม, ปญฺญาย จ โน ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณาฯ เอตสฺส, ภเนฺต, วิหารสฺส สมติกฺกมาย เอตสฺส วิหารสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อยมโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโรฯ อิมมฺหา จ มยํ, ภเนฺต, ผาสุวิหารา อญฺญํ ผาสุวิหารํ อุตฺตริตรํ วา ปณีตตรํ วา น สมนุปสฺสามา’’ติฯ ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! อิมมฺหา ผาสุวิหารา อุตฺตริตโร วา ปณีตตโร วา ผาสุวิหาโร นตฺถี’’ติฯ

    329. ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Etassa pana vo, anuruddhā, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā atthañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti? ‘‘Kiñhi no siyā, bhante! Idha mayaṃ, bhante, yāvadeva ākaṅkhāma sabbaso nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharāma, paññāya ca no disvā āsavā parikkhīṇā. Etassa, bhante, vihārassa samatikkamāya etassa vihārassa paṭippassaddhiyā ayamañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro. Imamhā ca mayaṃ, bhante, phāsuvihārā aññaṃ phāsuvihāraṃ uttaritaraṃ vā paṇītataraṃ vā na samanupassāmā’’ti. ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Imamhā phāsuvihārā uttaritaro vā paṇītataro vā phāsuvihāro natthī’’ti.

    ๓๓๐. อถ โข ภควา อายสฺมนฺตญฺจ อนุรุทฺธํ อายสฺมนฺตญฺจ นนฺทิยํ อายสฺมนฺตญฺจ กิมิลํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุเตฺตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ อถ โข อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ อายสฺมา จ นนฺทิโย อายสฺมา จ กิมิโล ภควนฺตํ อนุสํยายิตฺวา 5 ตโต ปฎินิวตฺติตฺวา อายสฺมา จ นนฺทิโย อายสฺมา จ กิมิโล อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ เอตทโวจุํ – ‘‘กิํ นุ โข มยํ อายสฺมโต อนุรุทฺธสฺส เอวมาโรจิมฺห – ‘อิมาสญฺจ อิมาสญฺจ วิหารสมาปตฺตีนํ มยํ ลาภิโน’ติ, ยํ โน อายสฺมา อนุรุโทฺธ ภควโต สมฺมุขา ยาว อาสวานํ ขยา ปกาเสตี’’ติ? ‘‘น โข เม อายสฺมโนฺต เอวมาโรเจสุํ – ‘อิมาสญฺจ อิมาสญฺจ วิหารสมาปตฺตีนํ มยํ ลาภิโน’ติ, อปิ จ เม อายสฺมนฺตานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิโต – ‘อิมาสญฺจ อิมาสญฺจ วิหารสมาปตฺตีนํ อิเม อายสฺมโนฺต ลาภิโน’ติฯ เทวตาปิ เม เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ – ‘อิมาสญฺจ อิมาสญฺจ วิหารสมาปตฺตีนํ อิเม อายสฺมโนฺต ลาภิโน’ติฯ ตเมนํ ภควตา ปญฺหาภิปุเฎฺฐน พฺยากต’’นฺติฯ

    330. Atha kho bhagavā āyasmantañca anuruddhaṃ āyasmantañca nandiyaṃ āyasmantañca kimilaṃ dhammiyā kathāya sandassetvā samādapetvā samuttejetvā sampahaṃsetvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Atha kho āyasmā ca anuruddho āyasmā ca nandiyo āyasmā ca kimilo bhagavantaṃ anusaṃyāyitvā 6 tato paṭinivattitvā āyasmā ca nandiyo āyasmā ca kimilo āyasmantaṃ anuruddhaṃ etadavocuṃ – ‘‘kiṃ nu kho mayaṃ āyasmato anuruddhassa evamārocimha – ‘imāsañca imāsañca vihārasamāpattīnaṃ mayaṃ lābhino’ti, yaṃ no āyasmā anuruddho bhagavato sammukhā yāva āsavānaṃ khayā pakāsetī’’ti? ‘‘Na kho me āyasmanto evamārocesuṃ – ‘imāsañca imāsañca vihārasamāpattīnaṃ mayaṃ lābhino’ti, api ca me āyasmantānaṃ cetasā ceto paricca vidito – ‘imāsañca imāsañca vihārasamāpattīnaṃ ime āyasmanto lābhino’ti. Devatāpi me etamatthaṃ ārocesuṃ – ‘imāsañca imāsañca vihārasamāpattīnaṃ ime āyasmanto lābhino’ti. Tamenaṃ bhagavatā pañhābhipuṭṭhena byākata’’nti.

    ๓๓๑. อถ โข ทีโฆ ปรชโน ยโกฺข เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข ทีโฆ ปรชโน ยโกฺข ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ลาภา วต, ภเนฺต, วชฺชีนํ, สุลทฺธลาภา วชฺชิปชาย, ยตฺถ ตถาคโต วิหรติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, อิเม จ ตโย กุลปุตฺตา – อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ, อายสฺมา จ นนฺทิโย, อายสฺมา จ กิมิโล’’ติฯ ทีฆสฺส ปรชนสฺส ยกฺขสฺส สทฺทํ สุตฺวา ภุมฺมา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุํ – ‘ลาภา วต, โภ, วชฺชีนํ, สุลทฺธลาภา วชฺชิปชาย, ยตฺถ ตถาคโต วิหรติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, อิเม จ ตโย กุลปุตฺตา – อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ, อายสฺมา จ นนฺทิโย, อายสฺมา จ กิมิโล’ติฯ ภุมฺมานํ เทวานํ สทฺทํ สุตฺวา จาตุมหาราชิกา เทวา…เป.… ตาวติํสา เทวา…เป.… ยามา เทวา…เป.… ตุสิตา เทวา…เป.… นิมฺมานรตี เทวา…เป.… ปรนิมฺมิตวสวตฺตี เทวา…เป.… พฺรหฺมกายิกา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุํ – ‘‘ลาภา วต, โภ, วชฺชีนํ, สุลทฺธลาภา วชฺชิปชาย, ยตฺถ ตถาคโต วิหรติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, อิเม จ ตโย กุลปุตฺตา – อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ, อายสฺมา จ นนฺทิโย, อายสฺมา จ กิมิโล’’ติฯ อิติห เต อายสฺมโนฺต เตน ขเณน (เตน ลเยน) 7 เตน มุหุเตฺตน ยาวพฺรหฺมโลกา วิทิตา 8 อเหสุํฯ

    331. Atha kho dīgho parajano yakkho yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho dīgho parajano yakkho bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘lābhā vata, bhante, vajjīnaṃ, suladdhalābhā vajjipajāya, yattha tathāgato viharati arahaṃ sammāsambuddho, ime ca tayo kulaputtā – āyasmā ca anuruddho, āyasmā ca nandiyo, āyasmā ca kimilo’’ti. Dīghassa parajanassa yakkhassa saddaṃ sutvā bhummā devā saddamanussāvesuṃ – ‘lābhā vata, bho, vajjīnaṃ, suladdhalābhā vajjipajāya, yattha tathāgato viharati arahaṃ sammāsambuddho, ime ca tayo kulaputtā – āyasmā ca anuruddho, āyasmā ca nandiyo, āyasmā ca kimilo’ti. Bhummānaṃ devānaṃ saddaṃ sutvā cātumahārājikā devā…pe… tāvatiṃsā devā…pe… yāmā devā…pe… tusitā devā…pe… nimmānaratī devā…pe… paranimmitavasavattī devā…pe… brahmakāyikā devā saddamanussāvesuṃ – ‘‘lābhā vata, bho, vajjīnaṃ, suladdhalābhā vajjipajāya, yattha tathāgato viharati arahaṃ sammāsambuddho, ime ca tayo kulaputtā – āyasmā ca anuruddho, āyasmā ca nandiyo, āyasmā ca kimilo’’ti. Itiha te āyasmanto tena khaṇena (tena layena) 9 tena muhuttena yāvabrahmalokā viditā 10 ahesuṃ.

    ‘‘เอวเมตํ, ทีฆ, เอวเมตํ, ทีฆ! ยสฺมาปิ, ทีฆ, กุลา เอเต ตโย กุลปุตฺตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, ตเญฺจปิ กุลํ เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิตฺตํ อนุสฺสเรยฺย, ตสฺสปาสฺส กุลสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ ยสฺมาปิ, ทีฆ, กุลปริวฎฺฎา เอเต ตโย กุลปุตฺตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, โส เจปิ กุลปริวโฎฺฎ เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิโตฺต อนุสฺสเรยฺย, ตสฺสปาสฺส กุลปริวฎฺฎสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ ยสฺมาปิ, ทีฆ, คามา เอเต ตโย กุลปุตฺตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, โส เจปิ คาโม เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิโตฺต อนุสฺสเรยฺย, ตสฺสปาสฺส คามสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ ยสฺมาปิ, ทีฆ, นิคมา เอเต ตโย กุลปุตฺตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, โส เจปิ นิคโม เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิโตฺต อนุสฺสเรยฺย, ตสฺสปาสฺส นิคมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ ยสฺมาปิ, ทีฆ, นครา เอเต ตโย กุลปุตฺตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, ตเญฺจปิ นครํ เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิตฺตํ อนุสฺสเรยฺย, ตสฺสปาสฺส นครสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ ยสฺมาปิ, ทีฆ, ชนปทา เอเต ตโย กุลปุตฺตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, โส เจปิ ชนปโท เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิโตฺต อนุสฺสเรยฺย, ตสฺสปาสฺส ชนปทสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ สเพฺพ เจปิ, ทีฆ, ขตฺติยา เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิตฺตา อนุสฺสเรยฺยุํ, สเพฺพสานํปาสฺส ขตฺติยานํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ สเพฺพ เจปิ, ทีฆ, พฺราหฺมณา…เป.… สเพฺพ เจปิ, ทีฆ, เวสฺสา…เป.… สเพฺพ เจปิ, ทีฆ, สุทฺทา เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิตฺตา อนุสฺสเรยฺยุํ, สเพฺพสานํปาสฺส สุทฺทานํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ สเทวโก เจปิ, ทีฆ, โลโก สมารโก สพฺรหฺมโก สสฺสมณพฺราหฺมณี ปชา สเทวมนุสฺสา เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิตฺตา อนุสฺสเรยฺย, สเทวกสฺสปาสฺส โลกสฺส สมารกสฺส สพฺรหฺมกสฺส สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ ปสฺส, ทีฆ, ยาว เอเต ตโย กุลปุตฺตา พหุชนหิตาย ปฎิปนฺนา พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย, อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสาน’’นฺติฯ

    ‘‘Evametaṃ, dīgha, evametaṃ, dīgha! Yasmāpi, dīgha, kulā ete tayo kulaputtā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, tañcepi kulaṃ ete tayo kulaputte pasannacittaṃ anussareyya, tassapāssa kulassa dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Yasmāpi, dīgha, kulaparivaṭṭā ete tayo kulaputtā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, so cepi kulaparivaṭṭo ete tayo kulaputte pasannacitto anussareyya, tassapāssa kulaparivaṭṭassa dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Yasmāpi, dīgha, gāmā ete tayo kulaputtā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, so cepi gāmo ete tayo kulaputte pasannacitto anussareyya, tassapāssa gāmassa dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Yasmāpi, dīgha, nigamā ete tayo kulaputtā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, so cepi nigamo ete tayo kulaputte pasannacitto anussareyya, tassapāssa nigamassa dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Yasmāpi, dīgha, nagarā ete tayo kulaputtā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, tañcepi nagaraṃ ete tayo kulaputte pasannacittaṃ anussareyya, tassapāssa nagarassa dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Yasmāpi, dīgha, janapadā ete tayo kulaputtā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, so cepi janapado ete tayo kulaputte pasannacitto anussareyya, tassapāssa janapadassa dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Sabbe cepi, dīgha, khattiyā ete tayo kulaputte pasannacittā anussareyyuṃ, sabbesānaṃpāssa khattiyānaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Sabbe cepi, dīgha, brāhmaṇā…pe… sabbe cepi, dīgha, vessā…pe… sabbe cepi, dīgha, suddā ete tayo kulaputte pasannacittā anussareyyuṃ, sabbesānaṃpāssa suddānaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Sadevako cepi, dīgha, loko samārako sabrahmako sassamaṇabrāhmaṇī pajā sadevamanussā ete tayo kulaputte pasannacittā anussareyya, sadevakassapāssa lokassa samārakassa sabrahmakassa sassamaṇabrāhmaṇiyā pajāya sadevamanussāya dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Passa, dīgha, yāva ete tayo kulaputtā bahujanahitāya paṭipannā bahujanasukhāya lokānukampāya, atthāya hitāya sukhāya devamanussāna’’nti.

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน ทีโฆ ปรชโน ยโกฺข ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    Idamavoca bhagavā. Attamano dīgho parajano yakkho bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.

    จูฬโคสิงฺคสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปฐมํฯ

    Cūḷagosiṅgasuttaṃ niṭṭhitaṃ paṭhamaṃ.







    Footnotes:
    1. นาทิเก (สี. สฺยา. ปี.), ญาติเก (ก.)
    2. กิมฺพิโล (สี. ปี. ก.)
    3. nādike (sī. syā. pī.), ñātike (ka.)
    4. kimbilo (sī. pī. ka.)
    5. อนุสํสาเวตฺวา (สี.), อนุสาเวตฺวา (ฎีกา)
    6. anusaṃsāvetvā (sī.), anusāvetvā (ṭīkā)
    7. ( ) สี. สฺยา. ปี. โปตฺถเกสุ นตฺถิ
    8. สํวิทิตา (ก.)
    9. ( ) sī. syā. pī. potthakesu natthi
    10. saṃviditā (ka.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. จูฬโคสิงฺคสุตฺตวณฺณนา • 1. Cūḷagosiṅgasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. จูฬโคสิงฺคสุตฺตวณฺณนา • 1. Cūḷagosiṅgasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact