Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. มหายมกวโคฺค

    4. Mahāyamakavaggo

    ๑. จูฬโคสิงฺคสุตฺตวณฺณนา

    1. Cūḷagosiṅgasuttavaṇṇanā

    ๓๒๕. เอวํ เม สุตนฺติ จูฬโคสิงฺคสุตฺตํฯ ตตฺถ นาติเก วิหรตีติ นาติกา นาม เอกํ ตฬากํ นิสฺสาย ทฺวินฺนํ จูฬปิติมหาปิติปุตฺตานํ เทฺว คามา, เตสุ เอกสฺมิํ คาเมฯ คิญฺชกาวสเถติ อิฎฺฐกามเย อาวสเถฯ เอกสฺมิํ กิร สมเย ภควา มหาชนสงฺคหํ กโรโนฺต วชฺชิรเฎฺฐ จาริกํ จรมาโน นาติกํ อนุปฺปโตฺตฯ นาติกวาสิโน มนุสฺสา ภควโต มหาทานํ ทตฺวา ธมฺมกถํ สุตฺวา ปสนฺนหทยา, ‘‘สตฺถุ วสนฎฺฐานํ กริสฺสามา’’ติ มเนฺตตฺวา อิฎฺฐกาเหว ภิตฺติโสปานตฺถเมฺภ วาฬรูปาทีนิ ทเสฺสโนฺต ปาสาทํ กตฺวา สุธาย ลิมฺปิตฺวา มาลากมฺมลตากมฺมาทีนิ นิฎฺฐาเปตฺวา ภุมฺมตฺถรณมญฺจปีฐาทีนิ ปญฺญเปตฺวา สตฺถุ นิยฺยาเตสุํฯ อปราปรํ ปเนตฺถ มนุสฺสา ภิกฺขุสงฺฆสฺส รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานมณฺฑปจงฺกมาทีนิ การยิํสุฯ อิติ โส วิหาโร มหา อโหสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘คิญฺชกาวสเถ’’ติฯ

    325.Evaṃme sutanti cūḷagosiṅgasuttaṃ. Tattha nātike viharatīti nātikā nāma ekaṃ taḷākaṃ nissāya dvinnaṃ cūḷapitimahāpitiputtānaṃ dve gāmā, tesu ekasmiṃ gāme. Giñjakāvasatheti iṭṭhakāmaye āvasathe. Ekasmiṃ kira samaye bhagavā mahājanasaṅgahaṃ karonto vajjiraṭṭhe cārikaṃ caramāno nātikaṃ anuppatto. Nātikavāsino manussā bhagavato mahādānaṃ datvā dhammakathaṃ sutvā pasannahadayā, ‘‘satthu vasanaṭṭhānaṃ karissāmā’’ti mantetvā iṭṭhakāheva bhittisopānatthambhe vāḷarūpādīni dassento pāsādaṃ katvā sudhāya limpitvā mālākammalatākammādīni niṭṭhāpetvā bhummattharaṇamañcapīṭhādīni paññapetvā satthu niyyātesuṃ. Aparāparaṃ panettha manussā bhikkhusaṅghassa rattiṭṭhānadivāṭṭhānamaṇḍapacaṅkamādīni kārayiṃsu. Iti so vihāro mahā ahosi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘giñjakāvasathe’’ti.

    โคสิงฺคสาลวนทาเยติ ตตฺถ เอกสฺส เชฎฺฐกรุกฺขสฺส ขนฺธโต โคสิงฺคสณฺฐานํ หุตฺวา วิฎปํ อุฎฺฐหิ, ตํ รุกฺขํ อุปาทาย สพฺพมฺปิ ตํ วนํ โคสิงฺคสาลวนนฺติ สงฺขํ คตํฯ ทาโยติ อวิเสเสน อรญฺญเสฺสตํ นามํฯ ตสฺมา โคสิงฺคสาลวนทาเยติ โคสิงฺคสาลวนอรเญฺญติ อโตฺถฯ วิหรนฺตีติ สามคฺคิรสํ อนุภวมานา วิหรนฺติฯ อิเมสญฺหิ กุลปุตฺตานํ อุปริปณฺณาสเก ปุถุชฺชนกาโล กถิโต, อิธ ขีณาสวกาโลฯ ตทา หิ เต ลทฺธสฺสาทา ลทฺธปติฎฺฐา อธิคตปฎิสมฺภิทา ขีณาสวา หุตฺวา สามคฺคิรสํ อนุภวมานา ตตฺถ วิหริํสุฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    Gosiṅgasālavanadāyeti tattha ekassa jeṭṭhakarukkhassa khandhato gosiṅgasaṇṭhānaṃ hutvā viṭapaṃ uṭṭhahi, taṃ rukkhaṃ upādāya sabbampi taṃ vanaṃ gosiṅgasālavananti saṅkhaṃ gataṃ. Dāyoti avisesena araññassetaṃ nāmaṃ. Tasmā gosiṅgasālavanadāyeti gosiṅgasālavanaaraññeti attho. Viharantīti sāmaggirasaṃ anubhavamānā viharanti. Imesañhi kulaputtānaṃ uparipaṇṇāsake puthujjanakālo kathito, idha khīṇāsavakālo. Tadā hi te laddhassādā laddhapatiṭṭhā adhigatapaṭisambhidā khīṇāsavā hutvā sāmaggirasaṃ anubhavamānā tattha vihariṃsu. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    เยน โคสิงฺคสาลวนทาโย เตนุปสงฺกมีติ ธมฺมเสนาปติมหาโมคฺคลฺลานเตฺถเรสุ วา อสีติมหาสาวเกสุ วา, อนฺตมโส ธมฺมภณฺฑาคาริกอานนฺทเตฺถรมฺปิ กญฺจิ อนามเนฺตตฺวา สยเมว ปตฺตจีวรํ อาทาย อนีกา นิสฺสโฎ หตฺถี วิย, ยูถา นิสฺสโฎ กาฬสีโห วิย , วาตจฺฉิโนฺน วลาหโก วิย เอกโกว อุปสงฺกมิฯ กสฺมา ปเนตฺถ ภควา สยํ อคมาสีติ? ตโย กุลปุตฺตา สามคฺคิรสํ อนุภวนฺตา วิหรนฺติ, เตสํ ปคฺคณฺหนโต, ปจฺฉิมชนตํ อนุกมฺปนโต ธมฺมครุภาวโต จฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อหํ อิเม กุลปุเตฺต ปคฺคณฺหิตฺวา อุกฺกํสิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ธมฺมํ เนสํ เทเสสฺสามี’’ติฯ เอวํ ตาว ปคฺคณฺหนโต อคมาสิฯ อปรมฺปิสฺส อโหสิ – ‘‘อนาคเต กุลปุตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธ สมคฺควาสํ วสนฺตานํ สนฺติกํ สยํ คนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ธมฺมํ กเถตฺวา ตโย กุลปุเตฺต ปคฺคณฺหิ, โก นาม สมคฺควาสํ น วเสยฺยาติ สมคฺควาสํ วสิตพฺพํ มญฺญมานา ขิปฺปเมว ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ เอวํ ปจฺฉิมชนตํ อนุกมฺปนโตปิ อคมาสิฯ พุทฺธา จ นาม ธมฺมครุโน โหนฺติ, โส จ เนสํ ธมฺมครุภาโว รถวินีเต อาวิกโตวฯ อิติ อิมสฺมา ธมฺมครุภาวโตปิ ธมฺมํ ปคฺคณฺหิสฺสามีติ อคมาสิฯ

    Yena gosiṅgasālavanadāyo tenupasaṅkamīti dhammasenāpatimahāmoggallānattheresu vā asītimahāsāvakesu vā, antamaso dhammabhaṇḍāgārikaānandattherampi kañci anāmantetvā sayameva pattacīvaraṃ ādāya anīkā nissaṭo hatthī viya, yūthā nissaṭo kāḷasīho viya , vātacchinno valāhako viya ekakova upasaṅkami. Kasmā panettha bhagavā sayaṃ agamāsīti? Tayo kulaputtā sāmaggirasaṃ anubhavantā viharanti, tesaṃ paggaṇhanato, pacchimajanataṃ anukampanato dhammagarubhāvato ca. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ahaṃ ime kulaputte paggaṇhitvā ukkaṃsitvā paṭisanthāraṃ katvā dhammaṃ nesaṃ desessāmī’’ti. Evaṃ tāva paggaṇhanato agamāsi. Aparampissa ahosi – ‘‘anāgate kulaputtā sammāsambuddho samaggavāsaṃ vasantānaṃ santikaṃ sayaṃ gantvā paṭisanthāraṃ katvā dhammaṃ kathetvā tayo kulaputte paggaṇhi, ko nāma samaggavāsaṃ na vaseyyāti samaggavāsaṃ vasitabbaṃ maññamānā khippameva dukkhassantaṃ karissantī’’ti. Evaṃ pacchimajanataṃ anukampanatopi agamāsi. Buddhā ca nāma dhammagaruno honti, so ca nesaṃ dhammagarubhāvo rathavinīte āvikatova. Iti imasmā dhammagarubhāvatopi dhammaṃ paggaṇhissāmīti agamāsi.

    ทายปาโลติ อรญฺญปาโลฯ โส ตํ อรญฺญํ ยถา อิจฺฉิติจฺฉิตปฺปเทเสน มนุสฺสา ปวิสิตฺวา ตตฺถ ปุปฺผํ วา ผลํ วา นิยฺยาสํ วา ทพฺพสมฺภารํ วา น หรนฺติ, เอวํ วติยา ปริกฺขิตฺตสฺส ตสฺส อรญฺญสฺส โยชิเต ทฺวาเร นิสีทิตฺวา ตํ อรญฺญํ รกฺขติ, ปาเลติฯ ตสฺมา ‘‘ทายปาโล’’ติ วุโตฺตฯ อตฺตกามรูปาติ อตฺตโน หิตํ กามยมานสภาวา หุตฺวา วิหรนฺติฯ โย หิ อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวาปิ เวชฺชกมฺมทูตกมฺมปหิณคมนาทีนํ วเสน เอกวีสติอเนสนาหิ ชีวิกํ กเปฺปติ, อยํ น อตฺตกามรูโป นามฯ โย ปน อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวา เอกวีสติอเนสนํ ปหาย จตุปาริสุทฺธิสีเล ปติฎฺฐาย พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา สปฺปายธุตงฺคํ อธิฎฺฐาย อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ จิตฺตรุจิยํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คามนฺตํ ปหาย อรญฺญํ ปวิสิตฺวา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กุรุมาโน วิหรติ, อยํ อตฺตกาโม นามฯ เตปิ ตโย กุลปุตฺตา เอวรูปา อเหสุํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อตฺตกามรูปา วิหรนฺตี’’ติฯ

    Dāyapāloti araññapālo. So taṃ araññaṃ yathā icchiticchitappadesena manussā pavisitvā tattha pupphaṃ vā phalaṃ vā niyyāsaṃ vā dabbasambhāraṃ vā na haranti, evaṃ vatiyā parikkhittassa tassa araññassa yojite dvāre nisīditvā taṃ araññaṃ rakkhati, pāleti. Tasmā ‘‘dāyapālo’’ti vutto. Attakāmarūpāti attano hitaṃ kāmayamānasabhāvā hutvā viharanti. Yo hi imasmiṃ sāsane pabbajitvāpi vejjakammadūtakammapahiṇagamanādīnaṃ vasena ekavīsatianesanāhi jīvikaṃ kappeti, ayaṃ na attakāmarūpo nāma. Yo pana imasmiṃ sāsane pabbajitvā ekavīsatianesanaṃ pahāya catupārisuddhisīle patiṭṭhāya buddhavacanaṃ uggaṇhitvā sappāyadhutaṅgaṃ adhiṭṭhāya aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu cittaruciyaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā gāmantaṃ pahāya araññaṃ pavisitvā samāpattiyo nibbattetvā vipassanāya kammaṃ kurumāno viharati, ayaṃ attakāmo nāma. Tepi tayo kulaputtā evarūpā ahesuṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘attakāmarūpā viharantī’’ti.

    มา เตสํ อผาสุมกาสีติ เตสํ มา อผาสุกํ อกาสีติ ภควนฺตํ วาเรสิฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อิเม กุลปุตฺตา สมคฺคา วิหรนฺติ, เอกจฺจสฺส จ คตฎฺฐาเน ภณฺฑนกลหวิวาทา วตฺตนฺติ, ติขิณสิโงฺค จณฺฑโคโณ วิย โอวิชฺฌโนฺต วิจรติ, อเถกมเคฺคน ทฺวินฺนํ คมนํ น โหติ, กทาจิ อยมฺปิ เอวํ กโรโนฺต อิเมสํ กุลปุตฺตานํ สมคฺควาสํ ภิเนฺทยฺยฯ ปาสาทิโก จ ปเนส สุวณฺณวโณฺณ สุรสคิโทฺธ มเญฺญ, คตกาลโต ปฎฺฐาย ปณีตทายกานํ อตฺตโน อุปฎฺฐากานญฺจ วณฺณกถนาทีหิ อิเมสํ กุลปุตฺตานํ อปฺปมาทวิหารํ ภิเนฺทยฺยฯ วสนฎฺฐานานิ จาปิ เอเตสํ กุลปุตฺตานํ นิพทฺธานิ ปริจฺฉินฺนานิ ติโสฺส จ ปณฺณสาลา ตโย จงฺกมา ตีณิ ทิวาฎฺฐานานิ ตีณิ มญฺจปีฐานิฯ อยํ ปน สมโณ มหากาโย วุฑฺฒตโร มเญฺญ ภวิสฺสติฯ โส อกาเล อิเม กุลปุเตฺต เสนาสนา วุฎฺฐาเปสฺสติฯ เอวํ สพฺพถาปิ เอเตสํ อผาสุ ภวิสฺสตี’’ติฯ ตํ อนิจฺฉโนฺต, ‘‘มา เตสํ อผาสุกมกาสี’’ติ ภควนฺตํ วาเรสิฯ

    Mā tesaṃ aphāsumakāsīti tesaṃ mā aphāsukaṃ akāsīti bhagavantaṃ vāresi. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ime kulaputtā samaggā viharanti, ekaccassa ca gataṭṭhāne bhaṇḍanakalahavivādā vattanti, tikhiṇasiṅgo caṇḍagoṇo viya ovijjhanto vicarati, athekamaggena dvinnaṃ gamanaṃ na hoti, kadāci ayampi evaṃ karonto imesaṃ kulaputtānaṃ samaggavāsaṃ bhindeyya. Pāsādiko ca panesa suvaṇṇavaṇṇo surasagiddho maññe, gatakālato paṭṭhāya paṇītadāyakānaṃ attano upaṭṭhākānañca vaṇṇakathanādīhi imesaṃ kulaputtānaṃ appamādavihāraṃ bhindeyya. Vasanaṭṭhānāni cāpi etesaṃ kulaputtānaṃ nibaddhāni paricchinnāni tisso ca paṇṇasālā tayo caṅkamā tīṇi divāṭṭhānāni tīṇi mañcapīṭhāni. Ayaṃ pana samaṇo mahākāyo vuḍḍhataro maññe bhavissati. So akāle ime kulaputte senāsanā vuṭṭhāpessati. Evaṃ sabbathāpi etesaṃ aphāsu bhavissatī’’ti. Taṃ anicchanto, ‘‘mā tesaṃ aphāsukamakāsī’’ti bhagavantaṃ vāresi.

    กิํ ปเนส ชานโนฺต วาเรสิ, อชานโนฺตติ? อชานโนฺตฯ กิญฺจาปิ หิ ตถาคตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย ทสสหสฺสจกฺกวาฬกมฺปนาทีนิ ปาฎิหาริยานิ ปวตฺติํสุ, อรญฺญวาสิโน ปน ทุพฺพลมนุสฺสา สกมฺมปฺปสุตา ตานิ สลฺลเกฺขตุํ น สโกฺกนฺติฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ จ นาม ยทา อเนกภิกฺขุสหสฺสปริวาโร พฺยามปฺปภาย อสีติอนุพฺยญฺชเนหิ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณสิริยา จ พุทฺธานุภาวํ ทเสฺสโนฺต วิจรติ, ตทา โก เอโสติ อปุจฺฉิตฺวาว ชานิตโพฺพ โหติฯ ตทา ปน ภควา สพฺพมฺปิ ตํ พุทฺธานุภาวํ จีวรคเพฺภน ปฎิจฺฉาเทตฺวา วลาหกคเพฺภน ปฎิจฺฉโนฺน ปุณฺณจโนฺท วิย สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย อญฺญาตกเวเสน อคมาสิฯ อิติ นํ อชานโนฺตว ทายปาโล นิวาเรสิฯ

    Kiṃ panesa jānanto vāresi, ajānantoti? Ajānanto. Kiñcāpi hi tathāgatassa paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya dasasahassacakkavāḷakampanādīni pāṭihāriyāni pavattiṃsu, araññavāsino pana dubbalamanussā sakammappasutā tāni sallakkhetuṃ na sakkonti. Sammāsambuddho ca nāma yadā anekabhikkhusahassaparivāro byāmappabhāya asītianubyañjanehi dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇasiriyā ca buddhānubhāvaṃ dassento vicarati, tadā ko esoti apucchitvāva jānitabbo hoti. Tadā pana bhagavā sabbampi taṃ buddhānubhāvaṃ cīvaragabbhena paṭicchādetvā valāhakagabbhena paṭicchanno puṇṇacando viya sayameva pattacīvaramādāya aññātakavesena agamāsi. Iti naṃ ajānantova dāyapālo nivāresi.

    เอตทโวจาติ เถโร กิร มา สมณาติ ทายปาลสฺส กถํ สุตฺวาว จิเนฺตสิ – ‘‘มยํ ตโย ชนา อิธ วิหราม, อเญฺญ ปพฺพชิตา นาม นตฺถิ, อยญฺจ ทายปาโล ปพฺพชิเตน วิย สทฺธิํ กเถติ, โก นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ ทิวาฎฺฐานโต วุฎฺฐาย ทฺวาเร ฐตฺวา มคฺคํ โอโลเกโนฺต ภควนฺตํ อทฺทสฯ ภควาปิ เถรสฺส สห ทสฺสเนเนว สรีโรภาสํ มุญฺจิ, อสีติอนุพฺยญฺชนวิราชิตา พฺยามปฺปภา ปสาริตสุวณฺณปโฎ วิย วิโรจิตฺถฯ เถโร, ‘‘อยํ ทายปาโล ผณกตํ อาสิวิสํ คีวาย คเหตุํ หตฺถํ ปสาเรโนฺต วิย โลเก อคฺคปุคฺคเลน สทฺธิํ กเถโนฺตว น ชานาติ, อญฺญตรภิกฺขุนา วิย สทฺธิํ กเถตี’’ติ นิวาเรโนฺต เอตํ, ‘‘มา, อาวุโส ทายปาลา’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ

    Etadavocāti thero kira mā samaṇāti dāyapālassa kathaṃ sutvāva cintesi – ‘‘mayaṃ tayo janā idha viharāma, aññe pabbajitā nāma natthi, ayañca dāyapālo pabbajitena viya saddhiṃ katheti, ko nu kho bhavissatī’’ti divāṭṭhānato vuṭṭhāya dvāre ṭhatvā maggaṃ olokento bhagavantaṃ addasa. Bhagavāpi therassa saha dassaneneva sarīrobhāsaṃ muñci, asītianubyañjanavirājitā byāmappabhā pasāritasuvaṇṇapaṭo viya virocittha. Thero, ‘‘ayaṃ dāyapālo phaṇakataṃ āsivisaṃ gīvāya gahetuṃ hatthaṃ pasārento viya loke aggapuggalena saddhiṃ kathentova na jānāti, aññatarabhikkhunā viya saddhiṃ kathetī’’ti nivārento etaṃ, ‘‘mā, āvuso dāyapālā’’tiādivacanaṃ avoca.

    เตนุปสงฺกมีติ กสฺมา ภควโต ปจฺจุคฺคมนํ อกตฺวา อุปสงฺกมิ? เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘มยํ ตโย ชนา สมคฺควาสํ วสาม, สจาหํ เอกโกว ปจฺจุคฺคมนํ กริสฺสามิ, สมคฺควาโส นาม น ภวิสฺสตี’’ติ ปิยมิเตฺต คเหตฺวาว ปจฺจุคฺคมนํ กริสฺสามิฯ ยถา จ ภควา มยฺหํ ปิโย, เอวํ สหายานมฺปิ เม ปิโยติ, เตหิ สทฺธิํ ปจฺจุคฺคมนํ กาตุกาโม สยํ อกตฺวาว อุปสงฺกมิฯ เกจิ ปน เตสํ เถรานํ ปณฺณสาลทฺวาเร จงฺกมนโกฎิยา ภควโต อาคมนมโคฺค โหติ, ตสฺมา เถโร เตสํ สญฺญํ ททมาโนว คโตติฯ อภิกฺกมถาติ อิโต อาคจฺฉถฯ ปาเท ปกฺขาเลสีติ วิกสิตปทุมสนฺนิเภหิ ชาลหเตฺถหิ มณิวณฺณํ อุทกํ คเหตฺวา สุวณฺณวเณฺณสุ ปิฎฺฐิปาเทสุ อุทกมภิสิญฺจิตฺวา ปาเทน ปาทํ ฆํสโนฺต ปกฺขาเลสิฯ พุทฺธานํ กาเย รโชชลฺลํ นาม น อุปลิมฺปติ, กสฺมา ปกฺขาเลสีติ? สรีรสฺส อุตุคฺคหณตฺถํ, เตสญฺจ จิตฺตสมฺปหํสนตฺถํฯ อเมฺหหิ อภิหเฎน อุทเกน ภควา ปาเท ปกฺขาเลสิ, ปริโภคํ อกาสีติ เตสํ ภิกฺขูนํ พลวโสมนสฺสวเสน จิตฺตํ ปีณิตํ โหติ, ตสฺมา ปกฺขาเลสิฯ อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ ภควา เอตทโวจาติ โส กิร เตสํ วุฑฺฒตโรฯ

    Tenupasaṅkamīti kasmā bhagavato paccuggamanaṃ akatvā upasaṅkami? Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘mayaṃ tayo janā samaggavāsaṃ vasāma, sacāhaṃ ekakova paccuggamanaṃ karissāmi, samaggavāso nāma na bhavissatī’’ti piyamitte gahetvāva paccuggamanaṃ karissāmi. Yathā ca bhagavā mayhaṃ piyo, evaṃ sahāyānampi me piyoti, tehi saddhiṃ paccuggamanaṃ kātukāmo sayaṃ akatvāva upasaṅkami. Keci pana tesaṃ therānaṃ paṇṇasāladvāre caṅkamanakoṭiyā bhagavato āgamanamaggo hoti, tasmā thero tesaṃ saññaṃ dadamānova gatoti. Abhikkamathāti ito āgacchatha. Pāde pakkhālesīti vikasitapadumasannibhehi jālahatthehi maṇivaṇṇaṃ udakaṃ gahetvā suvaṇṇavaṇṇesu piṭṭhipādesu udakamabhisiñcitvā pādena pādaṃ ghaṃsanto pakkhālesi. Buddhānaṃ kāye rajojallaṃ nāma na upalimpati, kasmā pakkhālesīti? Sarīrassa utuggahaṇatthaṃ, tesañca cittasampahaṃsanatthaṃ. Amhehi abhihaṭena udakena bhagavā pāde pakkhālesi, paribhogaṃ akāsīti tesaṃ bhikkhūnaṃ balavasomanassavasena cittaṃ pīṇitaṃ hoti, tasmā pakkhālesi. Āyasmantaṃ anuruddhaṃ bhagavā etadavocāti so kira tesaṃ vuḍḍhataro.

    ๓๒๖. ตสฺส สงฺคเห กเต เสสานํ กโตว โหตีติ เถรเญฺญว เอตํ กจฺจิ โว อนุรุทฺธาติอาทิวจนํ อโวจฯ ตตฺถ กจฺจีติ ปุจฺฉนเตฺถ นิปาโตฯ โวติ สามิวจนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – กจฺจิ อนุรุทฺธา ตุมฺหากํ ขมนียํ, อิริยาปโถ โว ขมติ? กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ โว ชีวิตํ ยาเปติ ฆฎิยติ? กจฺจิ ปิณฺฑเกน น กิลมถ, กจฺจิ ตุมฺหากํ สุลภปิณฺฑํ, สมฺปเตฺต โว ทิสฺวา มนุสฺสา อุฬุงฺกยาคุํ วา กฎจฺฉุภิกฺขํ วา ทาตพฺพํ มญฺญนฺตีติ ภิกฺขาจารวตฺตํ ปุจฺฉติฯ กสฺมา? ปจฺจเยน อกิลมเนฺตน หิ สกฺกา สมณธโมฺม กาตุํ, วตฺตเมว วา เอตํ ปพฺพชิตานํฯ อถ เตน ปฎิวจเน ทิเนฺน, ‘‘อนุรุทฺธา, ตุเมฺห ราชปพฺพชิตา มหาปุญฺญา, มนุสฺสา ตุมฺหากํ อรเญฺญ วสนฺตานํ อทตฺวา กสฺส อญฺญสฺส ทาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, ตุเมฺห ปน เอตํ ภุญฺชิตฺวา กิํ นุ โข มิคโปตกา วิย อญฺญมญฺญํ สงฺฆเฎฺฎนฺตา วิหรถ, อุทาหุ สามคฺคิภาโว โว อตฺถี’’ติ สามคฺคิรสํ ปุจฺฉโนฺต, กจฺจิ ปน โว, อนุรุทฺธา, สมคฺคาติอาทิมาหฯ

    326. Tassa saṅgahe kate sesānaṃ katova hotīti theraññeva etaṃ kacci vo anuruddhātiādivacanaṃ avoca. Tattha kaccīti pucchanatthe nipāto. Voti sāmivacanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – kacci anuruddhā tumhākaṃ khamanīyaṃ, iriyāpatho vo khamati? Kacci yāpanīyaṃ, kacci vo jīvitaṃ yāpeti ghaṭiyati? Kacci piṇḍakena na kilamatha, kacci tumhākaṃ sulabhapiṇḍaṃ, sampatte vo disvā manussā uḷuṅkayāguṃ vā kaṭacchubhikkhaṃ vā dātabbaṃ maññantīti bhikkhācāravattaṃ pucchati. Kasmā? Paccayena akilamantena hi sakkā samaṇadhammo kātuṃ, vattameva vā etaṃ pabbajitānaṃ. Atha tena paṭivacane dinne, ‘‘anuruddhā, tumhe rājapabbajitā mahāpuññā, manussā tumhākaṃ araññe vasantānaṃ adatvā kassa aññassa dātabbaṃ maññissanti, tumhe pana etaṃ bhuñjitvā kiṃ nu kho migapotakā viya aññamaññaṃ saṅghaṭṭentā viharatha, udāhu sāmaggibhāvo vo atthī’’ti sāmaggirasaṃ pucchanto, kacci pana vo, anuruddhā, samaggātiādimāha.

    ตตฺถ ขีโรทกีภูตาติ ยถา ขีรญฺจ อุทกญฺจ อญฺญมญฺญํ สํสนฺทติ, วิสุํ น โหติ, เอกตฺตํ วิย อุเปติ, กจฺจิ เอวํ สามคฺคิวเสน เอกตฺตูปคตจิตฺตุปฺปาทา วิหรถาติ ปุจฺฉติฯ ปิยจกฺขูหีติ เมตฺตจิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา โอโลกนจกฺขูนิ ปิยจกฺขูนิ นามฯ กจฺจิ ตถารูเปหิ จกฺขูหิ อญฺญมญฺญํ สมฺปสฺสนฺตา วิหรถาติ ปุจฺฉติฯ ตคฺฆาติ เอกํสเตฺถ นิปาโตฯ เอกํเสน มยํ, ภเนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ ยถา กถํ ปนาติ เอตฺถ ยถาติ นิปาตมตฺตํฯ กถนฺติ การณปุจฺฉาฯ กถํ ปน ตุเมฺห เอวํ วิหรถ, เกน การเณน วิหรถ, ตํ เม การณํ พฺรูถาติ วุตฺตํ โหติฯ เมตฺตํ กายกมฺมนฺติ เมตฺตจิตฺตวเสน ปวตฺตํ กายกมฺมํฯ อาวิ เจว รโห จาติ สมฺมุขา เจว ปรมฺมุขา จฯ อิตเรสุปิ เอเสว นโยฯ

    Tattha khīrodakībhūtāti yathā khīrañca udakañca aññamaññaṃ saṃsandati, visuṃ na hoti, ekattaṃ viya upeti, kacci evaṃ sāmaggivasena ekattūpagatacittuppādā viharathāti pucchati. Piyacakkhūhīti mettacittaṃ paccupaṭṭhapetvā olokanacakkhūni piyacakkhūni nāma. Kacci tathārūpehi cakkhūhi aññamaññaṃ sampassantā viharathāti pucchati. Tagghāti ekaṃsatthe nipāto. Ekaṃsena mayaṃ, bhanteti vuttaṃ hoti. Yathā kathaṃ panāti ettha yathāti nipātamattaṃ. Kathanti kāraṇapucchā. Kathaṃ pana tumhe evaṃ viharatha, kena kāraṇena viharatha, taṃ me kāraṇaṃ brūthāti vuttaṃ hoti. Mettaṃ kāyakammanti mettacittavasena pavattaṃ kāyakammaṃ. Āvi ceva raho cāti sammukhā ceva parammukhā ca. Itaresupi eseva nayo.

    ตตฺถ สมฺมุขา กายวจีกมฺมานิ สหวาเส ลพฺภนฺติ, อิตรานิ วิปฺปวาเสฯ มโนกมฺมํ สพฺพตฺถ ลพฺภติฯ ยญฺหิ สหวสเนฺตสุ เอเกน มญฺจปีฐํ วา ทารุภณฺฑํ วา มตฺติกาภณฺฑํ วา พหิ ทุนฺนิกฺขิตฺตํ โหติ, ตํ ทิสฺวา เกนิทํ วฬญฺชิตนฺติ อวญฺญํ อกตฺวา อตฺตนา ทุนฺนิกฺขิตฺตํ วิย คเหตฺวา ปฎิสาเมนฺตสฺส ปฎิชคฺคิตพฺพยุตฺตํ วา ปน ฐานํ ปฎิชคฺคนฺตสฺส สมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นาม โหติฯ เอกสฺมิํ ปกฺกเนฺต เตน ทุนฺนิกฺขิตฺตํ เสนาสนปริกฺขารํ ตเถว นิกฺขิปนฺตสฺส ปฎิชคฺคิตพฺพยุตฺตฎฺฐานํ วา ปน ปฎิชคฺคนฺตสฺส ปรมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นาม โหติฯ สหวสนฺตสฺส ปน เตหิ สทฺธิํ มธุรํ สโมฺมทนียํ กถํ ปฎิสนฺถารกถํ สารณียกถํ ธมฺมีกถํ สรภญฺญํ สากจฺฉํ ปญฺหปุจฺฉนํ ปญฺหวิสฺสชฺชนนฺติ เอวมาทิกรเณ สมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นาม โหติฯ เถเรสุ ปน ปกฺกเนฺตสุ มยฺหํ ปิยสหาโย นนฺทิยเตฺถโร กิมิลเตฺถโร เอวํ สีลสมฺปโนฺน, เอวํ อาจารสมฺปโนฺนติอาทิคุณกถนํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นาม โหติฯ มยฺหํ ปิยมิโตฺต นนฺทิยเตฺถโร กิมิลเตฺถโร อเวโร โหตุ, อพฺยาปโชฺช สุขี โหตูติ เอวํ สมนฺนาหรโต ปน สมฺมุขาปิ ปรมฺมุขาปิ เมตฺตํ มโนกมฺมํ โหติเยวฯ

    Tattha sammukhā kāyavacīkammāni sahavāse labbhanti, itarāni vippavāse. Manokammaṃ sabbattha labbhati. Yañhi sahavasantesu ekena mañcapīṭhaṃ vā dārubhaṇḍaṃ vā mattikābhaṇḍaṃ vā bahi dunnikkhittaṃ hoti, taṃ disvā kenidaṃ vaḷañjitanti avaññaṃ akatvā attanā dunnikkhittaṃ viya gahetvā paṭisāmentassa paṭijaggitabbayuttaṃ vā pana ṭhānaṃ paṭijaggantassa sammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma hoti. Ekasmiṃ pakkante tena dunnikkhittaṃ senāsanaparikkhāraṃ tatheva nikkhipantassa paṭijaggitabbayuttaṭṭhānaṃ vā pana paṭijaggantassa parammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma hoti. Sahavasantassa pana tehi saddhiṃ madhuraṃ sammodanīyaṃ kathaṃ paṭisanthārakathaṃ sāraṇīyakathaṃ dhammīkathaṃ sarabhaññaṃ sākacchaṃ pañhapucchanaṃ pañhavissajjananti evamādikaraṇe sammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma hoti. Theresu pana pakkantesu mayhaṃ piyasahāyo nandiyatthero kimilatthero evaṃ sīlasampanno, evaṃ ācārasampannotiādiguṇakathanaṃ parammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma hoti. Mayhaṃ piyamitto nandiyatthero kimilatthero avero hotu, abyāpajjo sukhī hotūti evaṃ samannāharato pana sammukhāpi parammukhāpi mettaṃ manokammaṃ hotiyeva.

    นานา หิ โข โน, ภเนฺต, กายาติ กายญฺหิ ปิฎฺฐํ วิย มตฺติกา วิย จ โอมทฺทิตฺวา เอกโต กาตุํ น สกฺกาฯ เอกญฺจ ปน มเญฺญ จิตฺตนฺติ จิตฺตํ ปน โน หิตเฎฺฐน นิรนฺตรเฎฺฐน อวิคฺคหเฎฺฐน สมคฺคเฎฺฐน เอกเมวาติ ทเสฺสติฯ กถํ ปเนตํ สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิตเรสํ จิตฺตวเสน วตฺติํสูติ? เอกสฺส ปเตฺต มลํ อุฎฺฐหติ, เอกสฺส จีวรํ กิลิฎฺฐํ โหติ, เอกสฺส ปริภณฺฑกมฺมํ โหติฯ ตตฺถ ยสฺส ปเตฺต มลํ อุฎฺฐิตํ, เตน มมาวุโส, ปเตฺต มลํ อุฎฺฐิตํ ปจิตุํ วฎฺฎตีติ วุเตฺต อิตเร มยฺหํ จีวรํ กิลิฎฺฐํ โธวิตพฺพํ, มยฺหํ ปริภณฺฑํ กาตพฺพนฺติ อวตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ทารูนิ อาหริตฺวา ฉินฺทิตฺวา ปตฺตกฎาเห ปริภณฺฑํ กตฺวา ตโต ปรํ จีวรํ วา โธวนฺติ, ปริภณฺฑํ วา กโรนฺติฯ มมาวุโส, จีวรํ กิลิฎฺฐํ โธวิตุํ วฎฺฎติ, มม ปณฺณสาลา อุกฺลาปา ปริภณฺฑํ กาตุํ วฎฺฎตีติ ปฐมตรํ อาโรจิเตปิ เอเสว นโยฯ

    Nānā hi kho no, bhante, kāyāti kāyañhi piṭṭhaṃ viya mattikā viya ca omadditvā ekato kātuṃ na sakkā. Ekañca pana maññe cittanti cittaṃ pana no hitaṭṭhena nirantaraṭṭhena aviggahaṭṭhena samaggaṭṭhena ekamevāti dasseti. Kathaṃ panetaṃ sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā itaresaṃ cittavasena vattiṃsūti? Ekassa patte malaṃ uṭṭhahati, ekassa cīvaraṃ kiliṭṭhaṃ hoti, ekassa paribhaṇḍakammaṃ hoti. Tattha yassa patte malaṃ uṭṭhitaṃ, tena mamāvuso, patte malaṃ uṭṭhitaṃ pacituṃ vaṭṭatīti vutte itare mayhaṃ cīvaraṃ kiliṭṭhaṃ dhovitabbaṃ, mayhaṃ paribhaṇḍaṃ kātabbanti avatvā araññaṃ pavisitvā dārūni āharitvā chinditvā pattakaṭāhe paribhaṇḍaṃ katvā tato paraṃ cīvaraṃ vā dhovanti, paribhaṇḍaṃ vā karonti. Mamāvuso, cīvaraṃ kiliṭṭhaṃ dhovituṃ vaṭṭati, mama paṇṇasālā uklāpā paribhaṇḍaṃ kātuṃ vaṭṭatīti paṭhamataraṃ ārocitepi eseva nayo.

    ๓๒๗. สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธาติ ภควา เหฎฺฐา น จ มยํ, ภเนฺต, ปิณฺฑเกน กิลมิมฺหาติ วุเตฺต น สาธุการมทาสิฯ กสฺมา? อยญฺหิ กพฬีกาโร อาหาโร นาม อิเมสํ สตฺตานํ อปายโลเกปิ เทวมนุสฺสโลเกปิ อาจิณฺณสมาจิโณฺณวฯ อยํ ปน โลกสนฺนิวาโส เยภุเยฺยน วิวาทปกฺขโนฺท, อปายโลเก เทวมนุสฺสโลเกปิ อิเม สตฺตา ปฎิวิรุทฺธา เอว, เอเตสํ สามคฺคิกาโล ทุลฺลโภ, กทาจิเทว โหตีติ สมคฺควาสสฺส ทุลฺลภตฺตา อิธ ภควา สาธุการมทาสิฯ อิทานิ เตสํ อปฺปมาทลกฺขณํ ปุจฺฉโนฺต กจฺจิ ปน โว, อนุรุทฺธาติอาทิมาหฯ ตตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํ ปจฺจตฺตวจนํ วา, กจฺจิ ตุเมฺหติ อโตฺถฯ อมฺหากนฺติ อเมฺหสุ ตีสุ ชเนสุฯ ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมตีติ คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺจาคจฺฉติฯ อวกฺการปาตินฺติ อติเรกปิณฺฑปาตํ อปเนตฺวา ฐปนตฺถาย เอกํ สมุคฺคปาติํ โธวิตฺวา ฐเปติฯ

    327.Sādhusādhu, anuruddhāti bhagavā heṭṭhā na ca mayaṃ, bhante, piṇḍakena kilamimhāti vutte na sādhukāramadāsi. Kasmā? Ayañhi kabaḷīkāro āhāro nāma imesaṃ sattānaṃ apāyalokepi devamanussalokepi āciṇṇasamāciṇṇova. Ayaṃ pana lokasannivāso yebhuyyena vivādapakkhando, apāyaloke devamanussalokepi ime sattā paṭiviruddhā eva, etesaṃ sāmaggikālo dullabho, kadācideva hotīti samaggavāsassa dullabhattā idha bhagavā sādhukāramadāsi. Idāni tesaṃ appamādalakkhaṇaṃ pucchanto kaccipana vo, anuruddhātiādimāha. Tattha voti nipātamattaṃ paccattavacanaṃ vā, kacci tumheti attho. Amhākanti amhesu tīsu janesu. Piṇḍāya paṭikkamatīti gāme piṇḍāya caritvā paccāgacchati. Avakkārapātinti atirekapiṇḍapātaṃ apanetvā ṭhapanatthāya ekaṃ samuggapātiṃ dhovitvā ṭhapeti.

    โย ปจฺฉาติ เต กิร เถรา น เอกโตว ภิกฺขาจารํ ปวิสนฺติ, ผลสมาปตฺติรตา เหเตฯ ปาโตว สรีรปฺปฎิชคฺคนํ กตฺวา วตฺตปฺปฎิปตฺติํ ปูเรตฺวา เสนาสนํ ปวิสิตฺวา กาลปริเจฺฉทํ กตฺวา ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทนฺติฯ เตสุ โย ปฐมตรํ นิสิโนฺน อตฺตโน กาลปริเจฺฉทวเสน ปฐมตรํ อุฎฺฐาติ; โส ปิณฺฑาย จริตฺวา ปฎินิวโตฺต ภตฺตกิจฺจฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา ชานาติ – ‘‘เทฺว ภิกฺขู ปจฺฉา, อหํ ปฐมตรํ อาคโต’’ติฯ อถ ปตฺตํ ปิทหิตฺวา อาสนปญฺญาปนาทีนิ กตฺวา ยทิ ปเตฺต ปฎิวิสมตฺตเมว โหติ, นิสีทิตฺวา ภุญฺชติฯ ยทิ อติเรกํ โหติ, อวกฺการปาติยํ ปกฺขิปิตฺวา ปาติํ ปิธาย ภุญฺชติฯ กตภตฺตกิโจฺจ ปตฺตํ โธวิตฺวา โวทกํ กตฺวา ถวิกาย โอสาเปตฺวา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ ปวิสติฯ ทุติโยปิ อาคนฺตฺวาว ชานาติ – ‘‘เอโก ปฐมํ อาคโต, เอโก ปจฺฉโต’’ติฯ โส สเจ ปเตฺต ภตฺตํ ปมาณเมว โหติ, ภุญฺชติฯ สเจ มนฺทํ, อวกฺการปาติโต คเหตฺวา ภุญฺชติฯ สเจ อติเรกํ โหติ, อวกฺการปาติยํ ปกฺขิปิตฺวา ปมาณเมว ภุญฺชิตฺวา ปุริมเตฺถโร วิย วสนฎฺฐานํ ปวิสติฯ ตติโยปิ อาคนฺตฺวาว ชานาติ – ‘‘เทฺว ปฐมํ อาคตา, อหํ ปจฺฉโต’’ติฯ โสปิ ทุติยเตฺถโร วิย ภุญฺชิตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ปตฺตํ โธวิตฺวา โวทกํ กตฺวา ถวิกาย โอสาเปตฺวา อาสนานิ อุกฺขิปิตฺวา ปฎิสาเมติ; ปานียฆเฎ วา ปริโภชนียฆเฎ วา อวเสสํ อุทกํ ฉเฑฺฑตฺวา ฆเฎ นิกุชฺชิตฺวา อวกฺการปาติยํ สเจ อวเสสภตฺตํ โหติ, ตํ วุตฺตนเยน ชหิตฺวา ปาติํ โธวิตฺวา ปฎิสาเมติ; ภตฺตคฺคํ สมฺมชฺชติฯ ตโต กจวรํ ฉเฑฺฑตฺวา สมฺมชฺชนิํ อุกฺขิปิตฺวา อุปจิกาหิ มุตฺตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย วสนฎฺฐานํ ปวิสติฯ อิทํ เถรานํ พหิวิหาเร อรเญฺญ ภตฺตกิจฺจกรณฎฺฐาเน โภชนสาลายํ วตฺตํฯ อิทํ สนฺธาย, ‘‘โย ปจฺฉา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Yo pacchāti te kira therā na ekatova bhikkhācāraṃ pavisanti, phalasamāpattiratā hete. Pātova sarīrappaṭijagganaṃ katvā vattappaṭipattiṃ pūretvā senāsanaṃ pavisitvā kālaparicchedaṃ katvā phalasamāpattiṃ appetvā nisīdanti. Tesu yo paṭhamataraṃ nisinno attano kālaparicchedavasena paṭhamataraṃ uṭṭhāti; so piṇḍāya caritvā paṭinivatto bhattakiccaṭṭhānaṃ āgantvā jānāti – ‘‘dve bhikkhū pacchā, ahaṃ paṭhamataraṃ āgato’’ti. Atha pattaṃ pidahitvā āsanapaññāpanādīni katvā yadi patte paṭivisamattameva hoti, nisīditvā bhuñjati. Yadi atirekaṃ hoti, avakkārapātiyaṃ pakkhipitvā pātiṃ pidhāya bhuñjati. Katabhattakicco pattaṃ dhovitvā vodakaṃ katvā thavikāya osāpetvā pattacīvaraṃ gahetvā attano vasanaṭṭhānaṃ pavisati. Dutiyopi āgantvāva jānāti – ‘‘eko paṭhamaṃ āgato, eko pacchato’’ti. So sace patte bhattaṃ pamāṇameva hoti, bhuñjati. Sace mandaṃ, avakkārapātito gahetvā bhuñjati. Sace atirekaṃ hoti, avakkārapātiyaṃ pakkhipitvā pamāṇameva bhuñjitvā purimatthero viya vasanaṭṭhānaṃ pavisati. Tatiyopi āgantvāva jānāti – ‘‘dve paṭhamaṃ āgatā, ahaṃ pacchato’’ti. Sopi dutiyatthero viya bhuñjitvā katabhattakicco pattaṃ dhovitvā vodakaṃ katvā thavikāya osāpetvā āsanāni ukkhipitvā paṭisāmeti; pānīyaghaṭe vā paribhojanīyaghaṭe vā avasesaṃ udakaṃ chaḍḍetvā ghaṭe nikujjitvā avakkārapātiyaṃ sace avasesabhattaṃ hoti, taṃ vuttanayena jahitvā pātiṃ dhovitvā paṭisāmeti; bhattaggaṃ sammajjati. Tato kacavaraṃ chaḍḍetvā sammajjaniṃ ukkhipitvā upacikāhi muttaṭṭhāne ṭhapetvā pattacīvaramādāya vasanaṭṭhānaṃ pavisati. Idaṃ therānaṃ bahivihāre araññe bhattakiccakaraṇaṭṭhāne bhojanasālāyaṃ vattaṃ. Idaṃ sandhāya, ‘‘yo pacchā’’tiādi vuttaṃ.

    โย ปสฺสตีติอาทิ ปน เนสํ อโนฺตวิหาเร วตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ วจฺจฆฎนฺติ อาจมนกุมฺภิํฯ ริตฺตนฺติ ริตฺตกํฯ ตุจฺฉนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ อวิสยฺหนฺติ อุกฺขิปิตุํ อสกฺกุเณยฺยํ, อติภาริยํฯ หตฺถวิกาเรนาติ หตฺถสญฺญายฯ เต กิร ปานียฆฎาทีสุ ยํกิญฺจิ ตุจฺฉกํ คเหตฺวา โปกฺขรณิํ คนฺตฺวา อโนฺต จ พหิ จ โธวิตฺวา อุทกํ ปริสฺสาเวตฺวา ตีเร ฐเปตฺวา อญฺญํ ภิกฺขุํ หตฺถวิกาเรน อามเนฺตนฺติ, โอทิสฺส วา อโนทิสฺส วา สทฺทํ น กโรนฺติฯ กสฺมา โอทิสฺส สทฺทํ น กโรนฺติ? ตํ ภิกฺขุํ สโทฺท พาเธยฺยาติฯ กสฺมา อโนทิสฺส สทฺทํ น กโรนฺติ? อโนทิสฺส สเทฺท ทิเนฺน, ‘‘อหํ ปุเร, อหํ ปุเร’’ติ เทฺวปิ นิกฺขเมยฺยุํ, ตโต ทฺวีหิ กตฺตพฺพกเมฺม ตติยสฺส กมฺมเจฺฉโท ภเวยฺยฯ สํยตปทสโทฺท ปน หุตฺวา อปรสฺส ภิกฺขุโน ทิวาฎฺฐานสนฺติกํ คนฺตฺวา เตน ทิฎฺฐภาวํ ญตฺวา หตฺถสญฺญํ กโรติ, ตาย สญฺญาย อิตโร อาคจฺฉติ, ตโต เทฺว ชนา หเตฺถน หตฺถํ สํสิพฺพนฺตา ทฺวีสุ หเตฺถสุ ฐเปตฺวา อุปฎฺฐเปนฺติฯ ตํ สนฺธายาห – ‘‘หตฺถวิกาเรน ทุติยํ อามเนฺตตฺวา หตฺถวิลงฺฆเกน อุปฎฺฐเปมา’’ติฯ

    Yo passatītiādi pana nesaṃ antovihāre vattanti veditabbaṃ. Tattha vaccaghaṭanti ācamanakumbhiṃ. Rittanti rittakaṃ. Tucchanti tasseva vevacanaṃ. Avisayhanti ukkhipituṃ asakkuṇeyyaṃ, atibhāriyaṃ. Hatthavikārenāti hatthasaññāya. Te kira pānīyaghaṭādīsu yaṃkiñci tucchakaṃ gahetvā pokkharaṇiṃ gantvā anto ca bahi ca dhovitvā udakaṃ parissāvetvā tīre ṭhapetvā aññaṃ bhikkhuṃ hatthavikārena āmantenti, odissa vā anodissa vā saddaṃ na karonti. Kasmā odissa saddaṃ na karonti? Taṃ bhikkhuṃ saddo bādheyyāti. Kasmā anodissa saddaṃ na karonti? Anodissa sadde dinne, ‘‘ahaṃ pure, ahaṃ pure’’ti dvepi nikkhameyyuṃ, tato dvīhi kattabbakamme tatiyassa kammacchedo bhaveyya. Saṃyatapadasaddo pana hutvā aparassa bhikkhuno divāṭṭhānasantikaṃ gantvā tena diṭṭhabhāvaṃ ñatvā hatthasaññaṃ karoti, tāya saññāya itaro āgacchati, tato dve janā hatthena hatthaṃ saṃsibbantā dvīsu hatthesu ṭhapetvā upaṭṭhapenti. Taṃ sandhāyāha – ‘‘hatthavikārena dutiyaṃ āmantetvā hatthavilaṅghakena upaṭṭhapemā’’ti.

    ปญฺจาหิกํ โข ปนาติ จาตุทฺทเส ปนฺนรเส อฎฺฐมิยนฺติ อิทํ ตาว ปกติธมฺมสฺสวนเมว, ตํ อขณฺฑํ กตฺวา ปญฺจเม ปญฺจเม ทิวเส เทฺว เถรา นาติวิกาเล นฺหายิตฺวา อนุรุทฺธเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ ตโยปิ นิสีทิตฺวา ติณฺณํ ปิฎกานํ อญฺญตรสฺมิํ อญฺญมญฺญํ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ , อญฺญมญฺญํ วิสฺสเชฺชนฺติ, เตสํ เอวํ กโรนฺตานํเยว อรุณํ อุคฺคจฺฉติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เอตฺตาวตา เถเรน ภควตา อปฺปมาทลกฺขณํ ปุจฺฉิเตน ปมาทฎฺฐาเนสุเยว อปฺปมาทลกฺขณํ วิสฺสชฺชิตํ โหติฯ อเญฺญสญฺหิ ภิกฺขูนํ ภิกฺขาจารํ ปวิสนกาโล, นิกฺขมนกาโล, นิวาสนปริวตฺตนํ, จีวรปารุปนํ, อโนฺตคาเม ปิณฺฑาย จรณํ ธมฺมกถนํ, อนุโมทนํ , คามโต นิกฺขมิตฺวา ภตฺตกิจฺจกรณํ, ปตฺตโธวนํ, ปตฺตโอสาปนํ, ปตฺตจีวรปฎิสามนนฺติ ปปญฺจกรณฎฺฐานานิ เอตานิฯ ตสฺมา เถโร อมฺหากํ เอตฺตกํ ฐานํ มุญฺจิตฺวา ปมาทกาโล นาม นตฺถีติ ทเสฺสโนฺต ปมาทฎฺฐาเนสุเยว อปฺปมาทลกฺขณํ วิสฺสเชฺชสิฯ

    Pañcāhikaṃ kho panāti cātuddase pannarase aṭṭhamiyanti idaṃ tāva pakatidhammassavanameva, taṃ akhaṇḍaṃ katvā pañcame pañcame divase dve therā nātivikāle nhāyitvā anuruddhattherassa vasanaṭṭhānaṃ gacchanti. Tattha tayopi nisīditvā tiṇṇaṃ piṭakānaṃ aññatarasmiṃ aññamaññaṃ pañhaṃ pucchanti , aññamaññaṃ vissajjenti, tesaṃ evaṃ karontānaṃyeva aruṇaṃ uggacchati. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Ettāvatā therena bhagavatā appamādalakkhaṇaṃ pucchitena pamādaṭṭhānesuyeva appamādalakkhaṇaṃ vissajjitaṃ hoti. Aññesañhi bhikkhūnaṃ bhikkhācāraṃ pavisanakālo, nikkhamanakālo, nivāsanaparivattanaṃ, cīvarapārupanaṃ, antogāme piṇḍāya caraṇaṃ dhammakathanaṃ, anumodanaṃ , gāmato nikkhamitvā bhattakiccakaraṇaṃ, pattadhovanaṃ, pattaosāpanaṃ, pattacīvarapaṭisāmananti papañcakaraṇaṭṭhānāni etāni. Tasmā thero amhākaṃ ettakaṃ ṭhānaṃ muñcitvā pamādakālo nāma natthīti dassento pamādaṭṭhānesuyeva appamādalakkhaṇaṃ vissajjesi.

    ๓๒๘. อถสฺส ภควา สาธุการํ ทตฺวา ปฐมชฺฌานํ ปุจฺฉโนฺต ปุน อตฺถิ ปน โวติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมาติ มนุสฺสธมฺมโต อุตฺตริฯ อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสติ อริยภาวกรณสมโตฺถ ญาณวิเสโสฯ กิญฺหิ โน สิยา, ภเนฺตติ กสฺมา, ภเนฺต, นาธิคโต ภวิสฺสติ, อธิคโตเยวาติฯ ยาว เทวาติ ยาว เอวฯ

    328. Athassa bhagavā sādhukāraṃ datvā paṭhamajjhānaṃ pucchanto puna atthi pana votiādimāha. Tattha uttari manussadhammāti manussadhammato uttari. Alamariyañāṇadassanavisesoti ariyabhāvakaraṇasamattho ñāṇaviseso. Kiñhi no siyā, bhanteti kasmā, bhante, nādhigato bhavissati, adhigatoyevāti. Yāva devāti yāva eva.

    ๓๒๙. เอวํ ปฐมชฺฌานาธิคเม พฺยากเต ทุติยชฺฌานาทีนิ ปุจฺฉโนฺต เอตสฺส ปน โวติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมติกฺกมายาติ สมติกฺกมตฺถายฯ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยาติ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺถายฯ เสสํ สพฺพตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ปจฺฉิมปเญฺห ปน โลกุตฺตรญาณทสฺสนวเสน อธิคตํ นิโรธสมาปตฺติํ ปุจฺฉโนฺต อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสติ อาหฯ เถโรปิ ปุจฺฉานุรูเปเนว พฺยากาสิฯ ตตฺถ ยสฺมา เวทยิตสุขโต อเวทยิตสุขํ สนฺตตรํ ปณีตตรํ โหติ, ตสฺมา อญฺญํ ผาสุวิหารํ อุตฺตริตรํ วา ปณีตตรํ วา น สมนุปสฺสามาติ อาหฯ

    329. Evaṃ paṭhamajjhānādhigame byākate dutiyajjhānādīni pucchanto etassa pana votiādimāha. Tattha samatikkamāyāti samatikkamatthāya. Paṭippassaddhiyāti paṭippassaddhatthāya. Sesaṃ sabbattha vuttanayeneva veditabbaṃ. Pacchimapañhe pana lokuttarañāṇadassanavasena adhigataṃ nirodhasamāpattiṃ pucchanto alamariyañāṇadassanavisesoti āha. Theropi pucchānurūpeneva byākāsi. Tattha yasmā vedayitasukhato avedayitasukhaṃ santataraṃ paṇītataraṃ hoti, tasmā aññaṃ phāsuvihāraṃ uttaritaraṃ vā paṇītataraṃ vā na samanupassāmāti āha.

    ๓๓๐. ธมฺมิยา กถายาติ สามคฺคิรสานิสํสปฺปฎิสํยุตฺตาย ธมฺมิยา กถายฯ สเพฺพปิ เต จตูสุ สเจฺจสุ ปรินิฎฺฐิตกิจฺจา, เตน เตสํ ปฎิเวธตฺถาย กิญฺจิ กเถตพฺพํ นตฺถิฯ สามคฺคิรเสน ปน อยญฺจ อยญฺจ อานิสํโสติ สามคฺคิรสานิสํสเมว เนสํ ภควา กเถสิฯ ภควนฺตํ อนุสํยายิตฺวาติ อนุคนฺตฺวาฯ เต กิร ภควโต ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา โถกํ อคมํสุ, อถ ภควา วิหารสฺส ปริเวณปริยนฺตํ คตกาเล, ‘‘อาหรถ เม ปตฺตจีวรํ, ตุเมฺห อิเธว ติฎฺฐถา’’ติ ปกฺกามิฯ ตโต ปฎินิวตฺติตฺวาติ ตโต ฐิตฎฺฐานโต นิวตฺติตฺวาฯ กิํ นุ โข มยํ อายสฺมโตติ ภควนฺตํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชาทีนิ อธิคนฺตฺวาปิ อตฺตโน คุณกถาย อฎฺฎิยมานา อธิคมปฺปิจฺฉตาย อาหํสุฯ อิมาสญฺจ อิมาสญฺจาติ ปฐมชฺฌานาทีนํ โลกิยโลกุตฺตรานํฯ เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิโตติ อชฺช เม อายสฺมโนฺต โลกิยสมาปตฺติยา วีตินาเมสุํ, อชฺช โลกุตฺตรายาติ เอวํ จิเตฺตน จิตฺตํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา วิทิตํฯ เทวตาปิ เมติ, ภเนฺต อนุรุทฺธ, อชฺช อโยฺย นนฺทิยเตฺถโร, อชฺช อโยฺย กิมิลเตฺถโร อิมาย จ อิมาย จ สมาปตฺติยา วีตินาเมสีติ เอวมาโรเจสุนฺติ อโตฺถฯ ปญฺหาภิปุเฎฺฐนาติ ตมฺปิ มยา สยํ วิทิตนฺติ วา เทวตาหิ อาโรจิตนฺติ วา เอตฺตเกเนว มุขํ เม สชฺชนฺติ กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา อปุเฎฺฐเนว เม น กถิตํฯ ภควตา ปน ปญฺหาภิปุเฎฺฐน ปญฺหํ อภิปุจฺฉิเตน สตา พฺยากตํ, ตตฺร เม กิํ น โรจถาติ อาหฯ

    330.Dhammiyā kathāyāti sāmaggirasānisaṃsappaṭisaṃyuttāya dhammiyā kathāya. Sabbepi te catūsu saccesu pariniṭṭhitakiccā, tena tesaṃ paṭivedhatthāya kiñci kathetabbaṃ natthi. Sāmaggirasena pana ayañca ayañca ānisaṃsoti sāmaggirasānisaṃsameva nesaṃ bhagavā kathesi. Bhagavantaṃ anusaṃyāyitvāti anugantvā. Te kira bhagavato pattacīvaraṃ gahetvā thokaṃ agamaṃsu, atha bhagavā vihārassa pariveṇapariyantaṃ gatakāle, ‘‘āharatha me pattacīvaraṃ, tumhe idheva tiṭṭhathā’’ti pakkāmi. Tato paṭinivattitvāti tato ṭhitaṭṭhānato nivattitvā. Kiṃ nu kho mayaṃ āyasmatoti bhagavantaṃ nissāya pabbajjādīni adhigantvāpi attano guṇakathāya aṭṭiyamānā adhigamappicchatāya āhaṃsu. Imāsañca imāsañcāti paṭhamajjhānādīnaṃ lokiyalokuttarānaṃ. Cetasā ceto paricca viditoti ajja me āyasmanto lokiyasamāpattiyā vītināmesuṃ, ajja lokuttarāyāti evaṃ cittena cittaṃ paricchinditvā viditaṃ. Devatāpi meti, bhante anuruddha, ajja ayyo nandiyatthero, ajja ayyo kimilatthero imāya ca imāya ca samāpattiyā vītināmesīti evamārocesunti attho. Pañhābhipuṭṭhenāti tampi mayā sayaṃ viditanti vā devatāhi ārocitanti vā ettakeneva mukhaṃ me sajjanti kathaṃ samuṭṭhāpetvā apuṭṭheneva me na kathitaṃ. Bhagavatā pana pañhābhipuṭṭhena pañhaṃ abhipucchitena satā byākataṃ, tatra me kiṃ na rocathāti āha.

    ๓๓๑. ทีโฆติ ‘‘มณิ มาณิวโร ทีโฆ, อโถ เสรีสโก สหา’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๙๓) เอวํ อาคโต อฎฺฐวีสติยา ยกฺขเสนาปตีนํ อพฺภนฺตโร เอโก เทวราชาฯ ปรชโนติ ตเสฺสว ยกฺขสฺส นามํฯ เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ โส กิร เวสฺสวเณน เปสิโต เอตํ ฐานํ คจฺฉโนฺต ภควนฺตํ สยํ ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา คิญฺชกาวสถโต โคสิงฺคสาลวนสฺส อนฺตเร ทิสฺวา ภควา อตฺตนา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา โคสิงฺคสาลวเน ติณฺณํ กุลปุตฺตานํ สนฺติกํ คจฺฉติฯ อชฺช มหตี ธมฺมเทสนา ภวิสฺสติฯ มยาปิ ตสฺสา เทสนาย ภาคินา ภวิตพฺพนฺติ อทิสฺสมาเนน กาเยน สตฺถุ ปทานุปทิโก คนฺตฺวา อวิทูเร ฐตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา สตฺถริ คจฺฉเนฺตปิ น คโต, – ‘‘อิเม เถรา กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ ทสฺสนตฺถํ ปน ตเตฺถว ฐิโตฯ อถ เต เทฺว เถเร อนุรุทฺธเตฺถรํ ปลิเวเฐเนฺต ทิสฺวา, – ‘‘อิเม เถรา ภควนฺตํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชาทโย สพฺพคุเณ อธิคนฺตฺวาปิ ภควโตว มจฺฉรายนฺติ, น สหนฺติ, อติวิย นิลียนฺติ ปฎิจฺฉาเทนฺติ, น ทานิ เตสํ ปฎิจฺฉาเทตุํ ทสฺสามิ, ปถวิโต ยาว พฺรหฺมโลกา เอเตสํ คุเณ ปกาเสสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ

    331.Dīghoti ‘‘maṇi māṇivaro dīgho, atho serīsako sahā’’ti (dī. ni. 3.293) evaṃ āgato aṭṭhavīsatiyā yakkhasenāpatīnaṃ abbhantaro eko devarājā. Parajanoti tasseva yakkhassa nāmaṃ. Yena bhagavā tenupasaṅkamīti so kira vessavaṇena pesito etaṃ ṭhānaṃ gacchanto bhagavantaṃ sayaṃ pattacīvaraṃ gahetvā giñjakāvasathato gosiṅgasālavanassa antare disvā bhagavā attanā pattacīvaraṃ gahetvā gosiṅgasālavane tiṇṇaṃ kulaputtānaṃ santikaṃ gacchati. Ajja mahatī dhammadesanā bhavissati. Mayāpi tassā desanāya bhāginā bhavitabbanti adissamānena kāyena satthu padānupadiko gantvā avidūre ṭhatvā dhammaṃ sutvā satthari gacchantepi na gato, – ‘‘ime therā kiṃ karissantī’’ti dassanatthaṃ pana tattheva ṭhito. Atha te dve there anuruddhattheraṃ paliveṭhente disvā, – ‘‘ime therā bhagavantaṃ nissāya pabbajjādayo sabbaguṇe adhigantvāpi bhagavatova maccharāyanti, na sahanti, ativiya nilīyanti paṭicchādenti, na dāni tesaṃ paṭicchādetuṃ dassāmi, pathavito yāva brahmalokā etesaṃ guṇe pakāsessāmī’’ti cintetvā yena bhagavā tenupasaṅkami.

    ลาภา วต, ภเนฺตติ เย, ภเนฺต, วชฺชิรฎฺฐวาสิโน ภควนฺตญฺจ อิเม จ ตโย กุลปุเตฺต ปสฺสิตุํ ลภนฺติ, วนฺทิตุํ ลภนฺติ, เทยฺยธมฺมํ ทาตุํ ลภนฺติ, ธมฺมํ โสตุํ ลภนฺติ, เตสํ ลาภา, ภเนฺต, วชฺชีนนฺติ อโตฺถฯ สทฺทํ สุตฺวาติ โส กิร อตฺตโน ยกฺขานุภาเวน มหนฺตํ สทฺทํ กตฺวา สกลํ วชฺชิรฎฺฐํ อโชฺฌตฺถรโนฺต ตํ วาจํ นิจฺฉาเรสิฯ เตน จสฺส เตสุ รุกฺขปพฺพตาทีสุ อธิวตฺถา ภุมฺมา เทวตา สทฺทํ อโสฺสสุํฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘สทฺทํ สุตฺวา’’ติฯ อนุสฺสาเวสุนฺติ มหนฺตํ สทฺทํ สุตฺวา สาเวสุํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ยาว พฺรหฺมโลกาติ ยาว อกนิฎฺฐพฺรหฺมโลกาฯ ตเญฺจปิ กุลนฺติ, ‘‘อมฺหากํ กุลโต นิกฺขมิตฺวา อิเม กุลปุตฺตา ปพฺพชิตา เอวํ สีลวโนฺต คุณวโนฺต อาจารสมฺปนฺนา กลฺยาณธมฺมา’’ติ เอวํ ตเญฺจปิ กุลํ เอเต ตโย กุลปุเตฺต ปสนฺนจิตฺตํ อนุสฺสเรยฺยาติ เอวํ สพฺพตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อิติ ภควา ยถานุสนฺธินาว เทสนํ นิฎฺฐเปสีติฯ

    Lābhā vata, bhanteti ye, bhante, vajjiraṭṭhavāsino bhagavantañca ime ca tayo kulaputte passituṃ labhanti, vandituṃ labhanti, deyyadhammaṃ dātuṃ labhanti, dhammaṃ sotuṃ labhanti, tesaṃ lābhā, bhante, vajjīnanti attho. Saddaṃ sutvāti so kira attano yakkhānubhāvena mahantaṃ saddaṃ katvā sakalaṃ vajjiraṭṭhaṃ ajjhottharanto taṃ vācaṃ nicchāresi. Tena cassa tesu rukkhapabbatādīsu adhivatthā bhummā devatā saddaṃ assosuṃ. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘saddaṃ sutvā’’ti. Anussāvesunti mahantaṃ saddaṃ sutvā sāvesuṃ. Esa nayo sabbattha. Yāva brahmalokāti yāva akaniṭṭhabrahmalokā. Tañcepi kulanti, ‘‘amhākaṃ kulato nikkhamitvā ime kulaputtā pabbajitā evaṃ sīlavanto guṇavanto ācārasampannā kalyāṇadhammā’’ti evaṃ tañcepi kulaṃ ete tayo kulaputte pasannacittaṃ anussareyyāti evaṃ sabbattha attho daṭṭhabbo. Iti bhagavā yathānusandhināva desanaṃ niṭṭhapesīti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    จูฬโคสิงฺคสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cūḷagosiṅgasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. จูฬโคสิงฺคสุตฺตํ • 1. Cūḷagosiṅgasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. จูฬโคสิงฺคสุตฺตวณฺณนา • 1. Cūḷagosiṅgasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact