Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๕๐๒] ๖. จูฬหํสชาตกวณฺณนา
[502] 6. Cūḷahaṃsajātakavaṇṇanā
เอเต หํสา ปกฺกมนฺตีติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต อานนฺทเถรสฺส ชีวิตปริจฺจาคเมว อารพฺภ กเถสิฯ ตทาปิ หิ ธมฺมสภายํ เถรสฺส คุณกถํ กเถเนฺตสุ ภิกฺขูสุ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ อานเนฺทน มมตฺถาย ชีวิตํ ปริจฺจตฺตเมวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Ete haṃsā pakkamantīti idaṃ satthā veḷuvane viharanto ānandatherassa jīvitapariccāgameva ārabbha kathesi. Tadāpi hi dhammasabhāyaṃ therassa guṇakathaṃ kathentesu bhikkhūsu satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi ānandena mamatthāya jīvitaṃ pariccattamevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พหุปุตฺตโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ เขมา นามสฺส อคฺคมเหสี อโหสิฯ ตทา มหาสโตฺต สุวณฺณหํสโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา นวุติหํสสหสฺสปริวุโต จิตฺตกูเฎ วสิฯ ตทาปิ เทวี วุตฺตนเยเนว สุปินํ ทิสฺวา รโญฺญ สุวณฺณวณฺณหํสสฺส ธมฺมเทสนาสวนโทหฬํ อาโรเจสิฯ ราชาปิ อมเจฺจ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สุวณฺณวณฺณหํสา นาม จิตฺตกูฎปพฺพเต วสนฺตี’’ติ จ สุตฺวา เขมํ นาม สรํ กาเรตฺวา นานปฺปการานิ นิวาปธญฺญานิ โรปาเปตฺวา จตูสุ กเณฺณสุ เทวสิกํ อภยโฆสนํ โฆสาเปสิ, เอกญฺจ ลุทฺทปุตฺตํ หํสานํ คหณตฺถาย ปโยเชสิฯ ตสฺส ปโยชิตากาโร จ, เตน ตตฺถ สกุณานํ อุปปริกฺขิตภาโว จ, สุวณฺณหํสานํ อาคตกาเล รโญฺญ อาโรเจตฺวา ปาสานํ โอฑฺฑิตนิยาโม จ, มหาสตฺตสฺส ปาเส พทฺธนิยาโม จ, สุมุขสฺส หํสเสนาปติโน ตีสุ หํสฆฎาสุ ตํ อทิสฺวา นิวตฺตนญฺจ สพฺพํ มหาหํสชาตเก (ชา. ๒.๒๑.๘๙ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ อิธาปิ มหาสโตฺต ยฎฺฐิปาเส พชฺฌิตฺวา ปาสยฎฺฐิยํ โอลมฺพโนฺตเยว คีวํ ปสาเรตฺวา หํสานํ คตมคฺคํ โอโลเกโนฺต สุมุขํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อาคตกาเล นํ วีมํสิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตสฺมิํ อาคเต ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Atīte bārāṇasiyaṃ bahuputtako nāma rājā rajjaṃ kāresi. Khemā nāmassa aggamahesī ahosi. Tadā mahāsatto suvaṇṇahaṃsayoniyaṃ nibbattitvā navutihaṃsasahassaparivuto cittakūṭe vasi. Tadāpi devī vuttanayeneva supinaṃ disvā rañño suvaṇṇavaṇṇahaṃsassa dhammadesanāsavanadohaḷaṃ ārocesi. Rājāpi amacce pucchitvā ‘‘suvaṇṇavaṇṇahaṃsā nāma cittakūṭapabbate vasantī’’ti ca sutvā khemaṃ nāma saraṃ kāretvā nānappakārāni nivāpadhaññāni ropāpetvā catūsu kaṇṇesu devasikaṃ abhayaghosanaṃ ghosāpesi, ekañca luddaputtaṃ haṃsānaṃ gahaṇatthāya payojesi. Tassa payojitākāro ca, tena tattha sakuṇānaṃ upaparikkhitabhāvo ca, suvaṇṇahaṃsānaṃ āgatakāle rañño ārocetvā pāsānaṃ oḍḍitaniyāmo ca, mahāsattassa pāse baddhaniyāmo ca, sumukhassa haṃsasenāpatino tīsu haṃsaghaṭāsu taṃ adisvā nivattanañca sabbaṃ mahāhaṃsajātake (jā. 2.21.89 ādayo) āvi bhavissati. Idhāpi mahāsatto yaṭṭhipāse bajjhitvā pāsayaṭṭhiyaṃ olambantoyeva gīvaṃ pasāretvā haṃsānaṃ gatamaggaṃ olokento sumukhaṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘āgatakāle naṃ vīmaṃsissāmī’’ti cintetvā tasmiṃ āgate tisso gāthā abhāsi –
๑๓๓.
133.
‘‘เอเต หํสา ปกฺกมนฺติ, วกฺกงฺคา ภยเมริตา;
‘‘Ete haṃsā pakkamanti, vakkaṅgā bhayameritā;
หริตฺตจ เหมวณฺณ, กามํ สุมุข ปกฺกมฯ
Harittaca hemavaṇṇa, kāmaṃ sumukha pakkama.
๑๓๔.
134.
‘‘โอหาย มํ ญาติคณา, เอกํ ปาสวสํ คตํ;
‘‘Ohāya maṃ ñātigaṇā, ekaṃ pāsavasaṃ gataṃ;
อนเปกฺขมานา คจฺฉนฺติ, กิํ เอโก อวหิยฺยสิฯ
Anapekkhamānā gacchanti, kiṃ eko avahiyyasi.
๑๓๕.
135.
‘‘ปเตว ปตตํ เสฎฺฐ, นตฺถิ พเทฺธ สหายตา;
‘‘Pateva patataṃ seṭṭha, natthi baddhe sahāyatā;
มา อนีฆาย หาเปสิ, กามํ สุมุข ปกฺกมา’’ติฯ
Mā anīghāya hāpesi, kāmaṃ sumukha pakkamā’’ti.
ตตฺถ ภยเมริตาติ ภเยริตา ภยตชฺชิตา ภยจลิตาฯ หริตฺตจ เหมวณฺณาติ ทฺวีหิปิ วจเนหิ ตเมวาลปติฯ กามนฺติ สุวณฺณตฺตจ, สุวณฺณวณฺณ, สุนฺทรมุข เอกํเสน ปกฺกมาหิเยว, กิํ เต อิธาคมเนนาติ วทติฯ โอหายาติ มํ ชหิตฺวา อุปฺปติตาฯ อนเปกฺขมานาติ เต มม ญาตกา มยิ อนเปกฺขาว คจฺฉนฺติฯ ปเตวาติ อุปฺปเตวฯ มา อนีฆายาติ อิโต คนฺตฺวา ปตฺตพฺพาย นิทฺทุกฺขภาวาย วีริยํ มา หาเปสิฯ
Tattha bhayameritāti bhayeritā bhayatajjitā bhayacalitā. Harittaca hemavaṇṇāti dvīhipi vacanehi tamevālapati. Kāmanti suvaṇṇattaca, suvaṇṇavaṇṇa, sundaramukha ekaṃsena pakkamāhiyeva, kiṃ te idhāgamanenāti vadati. Ohāyāti maṃ jahitvā uppatitā. Anapekkhamānāti te mama ñātakā mayi anapekkhāva gacchanti. Patevāti uppateva. Mā anīghāyāti ito gantvā pattabbāya niddukkhabhāvāya vīriyaṃ mā hāpesi.
ตโต สุมุโข ปงฺกปิเฎฺฐ นิสีทิตฺวา คาถมาห –
Tato sumukho paṅkapiṭṭhe nisīditvā gāthamāha –
๑๓๖.
136.
‘‘นาหํ ทุกฺขปเรโตติ, ธตรฎฺฐ ตุวํ ชเห;
‘‘Nāhaṃ dukkhaparetoti, dhataraṭṭha tuvaṃ jahe;
ชีวิตํ มรณํ วา เม, ตยา สทฺธิํ ภวิสฺสตี’’ติฯ
Jīvitaṃ maraṇaṃ vā me, tayā saddhiṃ bhavissatī’’ti.
ตตฺถ ทุกฺขปเรโตติ มหาราช, ‘‘ตฺวํ มรณทุกฺขปเรโต’’ติ เอตฺตเกเนว นาหํ ตํ ชหามิฯ
Tattha dukkhaparetoti mahārāja, ‘‘tvaṃ maraṇadukkhapareto’’ti ettakeneva nāhaṃ taṃ jahāmi.
เอวํ สุมุเขน สีหนาเท กถิเต ธตรโฎฺฐ คาถมาห –
Evaṃ sumukhena sīhanāde kathite dhataraṭṭho gāthamāha –
๑๓๗.
137.
‘‘เอตทริยสฺส กลฺยาณํ, ยํ ตฺวํ สุมุข ภาสสิ;
‘‘Etadariyassa kalyāṇaṃ, yaṃ tvaṃ sumukha bhāsasi;
ตญฺจ วีมํสมาโนหํ, ปตเตตํ อวสฺสชิ’’นฺติฯ
Tañca vīmaṃsamānohaṃ, patatetaṃ avassaji’’nti.
ตตฺถ เอตทริยสฺสาติ ยํ ตฺวํ ‘‘นาหํ ตํ ชเห’’ติ ภาสสิ, เอตํ อาจารสมฺปนฺนสฺส อริยสฺส กลฺยาณํ อุตฺตมวจนํฯ ปตเตตนฺติ อหญฺจ น ตํ วิสฺสเชฺชตุกาโมว เอวํ อวจํ, อถ โข ตํ วีมํสมาโน ‘‘ปตตู’’ติ เอตํ วจนํ อวสฺสชิํ, คจฺฉาติ ตํ อโวจนฺติ อโตฺถฯ
Tattha etadariyassāti yaṃ tvaṃ ‘‘nāhaṃ taṃ jahe’’ti bhāsasi, etaṃ ācārasampannassa ariyassa kalyāṇaṃ uttamavacanaṃ. Patatetanti ahañca na taṃ vissajjetukāmova evaṃ avacaṃ, atha kho taṃ vīmaṃsamāno ‘‘patatū’’ti etaṃ vacanaṃ avassajiṃ, gacchāti taṃ avocanti attho.
เอวํ เตสํ กเถนฺตานเญฺญว ลุทฺทปุโตฺต ทณฺฑมาทาย เวเคนาคโตฯ สุมุโข ธตรฎฺฐํ อสฺสาเสตฺวา ตสฺสาภิมุโข คนฺตฺวา อปจิติํ ทเสฺสตฺวา หํสรโญฺญ คุเณ กเถสิฯ ตาวเทว ลุโทฺท มุทุจิโตฺต อโหสิฯ โส ตสฺส มุทุจิตฺตกํ ญตฺวา ปุน คนฺตฺวา หํสราชเมว อสฺสาเสโนฺต อฎฺฐาสิฯ ลุโทฺทปิ หํสราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ฉฎฺฐํ คาถมาห –
Evaṃ tesaṃ kathentānaññeva luddaputto daṇḍamādāya vegenāgato. Sumukho dhataraṭṭhaṃ assāsetvā tassābhimukho gantvā apacitiṃ dassetvā haṃsarañño guṇe kathesi. Tāvadeva luddo muducitto ahosi. So tassa muducittakaṃ ñatvā puna gantvā haṃsarājameva assāsento aṭṭhāsi. Luddopi haṃsarājānaṃ upasaṅkamitvā chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๑๓๘.
138.
‘‘อปเทน ปทํ ยาติ, อนฺตลิกฺขจโร ทิโช;
‘‘Apadena padaṃ yāti, antalikkhacaro dijo;
อารา ปาสํ น พุชฺฌิ ตฺวํ, หํสานํ ปวรุตฺตมา’’ติฯ
Ārā pāsaṃ na bujjhi tvaṃ, haṃsānaṃ pavaruttamā’’ti.
ตตฺถ อปเทน ปทนฺติ มหาราช, ตุมฺหาทิโส อนฺตลิกฺขจโร ทิโช อปเท อากาเส ปทํ กตฺวา ยาติฯ น พุชฺฌิ ตฺวนฺติ โส ตฺวํ เอวรูโป ทูรโตว อิมํ ปาสํ น พุชฺฌิ น ชานีติ ปุจฺฉติฯ
Tattha apadena padanti mahārāja, tumhādiso antalikkhacaro dijo apade ākāse padaṃ katvā yāti. Na bujjhi tvanti so tvaṃ evarūpo dūratova imaṃ pāsaṃ na bujjhi na jānīti pucchati.
มหาสโตฺต อาห –
Mahāsatto āha –
๑๓๙.
139.
‘‘ยทา ปราภโว โหติ, โปโส ชีวิตสงฺขเย;
‘‘Yadā parābhavo hoti, poso jīvitasaṅkhaye;
อถ ชาลญฺจ ปาสญฺจ, อาสชฺชาปิ น พุชฺฌตี’’ติฯ
Atha jālañca pāsañca, āsajjāpi na bujjhatī’’ti.
ตตฺถ ยทา ปราภโวติ สมฺม ลุทฺทปุตฺต, ยทา ปราภโว อวุฑฺฒิ วินาโส สมฺปโตฺต โหติ, อถ โปโส ชีวิตสงฺขเย ปเตฺต ชาลญฺจ ปาสญฺจ ปตฺวาปิ น ชานาตีติ อโตฺถฯ
Tattha yadā parābhavoti samma luddaputta, yadā parābhavo avuḍḍhi vināso sampatto hoti, atha poso jīvitasaṅkhaye patte jālañca pāsañca patvāpi na jānātīti attho.
ลุโทฺท หํสรโญฺญ กถํ อภินนฺทิตฺวา สุมุเขน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Luddo haṃsarañño kathaṃ abhinanditvā sumukhena saddhiṃ sallapanto tisso gāthā abhāsi –
๑๔๐.
140.
‘‘เอเต หํสา ปกฺกมนฺติ, วกฺกงฺคา ภยเมริตา;
‘‘Ete haṃsā pakkamanti, vakkaṅgā bhayameritā;
หริตฺตจ เหมวณฺณ, ตฺวเญฺญว อวหิยฺยสิฯ
Harittaca hemavaṇṇa, tvaññeva avahiyyasi.
๑๔๑.
141.
‘‘เอเต ภุตฺวา จ ปิวิตฺวา จ, ปกฺกมนฺติ วิหงฺคมา;
‘‘Ete bhutvā ca pivitvā ca, pakkamanti vihaṅgamā;
อนเปกฺขมานา วกฺกงฺคา, ตฺวเญฺญเวโก อุปาสสิฯ
Anapekkhamānā vakkaṅgā, tvaññeveko upāsasi.
๑๔๒.
142.
‘‘กิํ นุ ตฺยายํ ทิโช โหติ, มุโตฺต พทฺธํ อุปาสสิ;
‘‘Kiṃ nu tyāyaṃ dijo hoti, mutto baddhaṃ upāsasi;
โอหาย สกุณา ยนฺติ, กิํ เอโก อวหิยฺยสี’’ติฯ
Ohāya sakuṇā yanti, kiṃ eko avahiyyasī’’ti.
ตตฺถ ตฺวเญฺญวาติ ตฺวเมว โอหิยฺยสีติ ปุจฺฉติฯ อุปาสสีติ ปยิรุปาสสิฯ
Tattha tvaññevāti tvameva ohiyyasīti pucchati. Upāsasīti payirupāsasi.
สุมุโข อาห –
Sumukho āha –
๑๔๓.
143.
‘‘ราชา เม โส ทิโช มิโตฺต, สขา ปาณสโม จ เม;
‘‘Rājā me so dijo mitto, sakhā pāṇasamo ca me;
เนว นํ วิชหิสฺสามิ, ยาว กาลสฺส ปริยาย’’นฺติฯ
Neva naṃ vijahissāmi, yāva kālassa pariyāya’’nti.
ตตฺถ ยาว กาลสฺส ปริยายนฺติ ลุทฺทปุตฺต, ยาว ชีวิตกาลสฺส ปริโยสานํ อหํ เอตํ น วิชหิสฺสามิเยวฯ
Tattha yāva kālassa pariyāyanti luddaputta, yāva jīvitakālassa pariyosānaṃ ahaṃ etaṃ na vijahissāmiyeva.
ตํ สุตฺวา ลุโทฺท ปสนฺนจิโตฺต หุตฺวา ‘‘สจาหํ เอวํ สีลสมฺปเนฺนสุ อิเมสุ อปรชฺฌิสฺสามิ, ปถวีปิ เม วิวรํ ทเทยฺย, กิํ เม รโญฺญ สนฺติกา ลเทฺธน ธเนน, วิสฺสเชฺชสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –
Taṃ sutvā luddo pasannacitto hutvā ‘‘sacāhaṃ evaṃ sīlasampannesu imesu aparajjhissāmi, pathavīpi me vivaraṃ dadeyya, kiṃ me rañño santikā laddhena dhanena, vissajjessāmi na’’nti cintetvā gāthamāha –
๑๔๔.
144.
‘‘โย จ ตฺวํ สขิโน เหตุ, ปาณํ จชิตุมิจฺฉสิ;
‘‘Yo ca tvaṃ sakhino hetu, pāṇaṃ cajitumicchasi;
โส เต สหายํ มุญฺจามิ, โหตุ ราชา ตวานุโค’’ติฯ
So te sahāyaṃ muñcāmi, hotu rājā tavānugo’’ti.
ตตฺถ โย จ ตฺวนฺติ โย นาม ตฺวํฯ โสติ โส อหํฯ ตวานุโคติ เอส หํสราชา ตว วสํ อนุคโต โหตุ, ตยา สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน วสตุฯ
Tattha yo ca tvanti yo nāma tvaṃ. Soti so ahaṃ. Tavānugoti esa haṃsarājā tava vasaṃ anugato hotu, tayā saddhiṃ ekaṭṭhāne vasatu.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ธตรฎฺฐํ ยฎฺฐิปาสโต โอตาเรตฺวา สรตีรํ เนตฺวา ปาสํ มุญฺจิตฺวา มุทุจิเตฺตน โลหิตํ โธวิตฺวา นฺหารุอาทีนิ ปฎิปาเทสิฯ ตสฺส มุทุจิตฺตตาย มหาสตฺตสฺส ปารมิตานุภาเวน จ ตาวเทว ปาโท สจฺฉวิ อโหสิ, พทฺธฎฺฐานมฺปิ น ปญฺญายิฯ สุมุโข โพธิสตฺตํ โอโลเกตฺวา ตุฎฺฐจิโตฺต อนุโมทนํ กโรโนฺต คาถมาห –
Evañca pana vatvā dhataraṭṭhaṃ yaṭṭhipāsato otāretvā saratīraṃ netvā pāsaṃ muñcitvā muducittena lohitaṃ dhovitvā nhāruādīni paṭipādesi. Tassa muducittatāya mahāsattassa pāramitānubhāvena ca tāvadeva pādo sacchavi ahosi, baddhaṭṭhānampi na paññāyi. Sumukho bodhisattaṃ oloketvā tuṭṭhacitto anumodanaṃ karonto gāthamāha –
๑๔๕.
145.
‘‘เอวํ ลุทฺทก นนฺทสฺสุ, สห สเพฺพหิ ญาติภิ;
‘‘Evaṃ luddaka nandassu, saha sabbehi ñātibhi;
ยถาหมชฺช นนฺทามิ, มุตฺตํ ทิสฺวา ทิชาธิป’’นฺติฯ
Yathāhamajja nandāmi, muttaṃ disvā dijādhipa’’nti.
ตํ สุตฺวา ลุโทฺท ‘‘คจฺฉถ, สามี’’ติ อาหฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘กิํ ปน ตฺวํ สมฺม, มํ อตฺตโน อตฺถาย พนฺธิ, อุทาหุ อญฺญสฺส อาณตฺติยา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา เตน ตสฺมิํ การเณ อาโรจิเต ‘‘กิํ นุ โข เม อิโตว จิตฺตกูฎํ คนฺตุํ เสโยฺย, อุทาหุ นคร’’นฺติ วิมํสโนฺต ‘‘มยิ นครํ คเต ลุทฺทปุโตฺต ธนํ ลภิสฺสติ, เทวิยา โทหโฬ ปฎิปฺปสฺสมฺภิสฺสติ, สุมุขสฺส มิตฺตธโมฺม ปากโฎ ภวิสฺสติ, ตถา มม ญาณพลํ, เขมญฺจ สรํ อภยทกฺขิณํ กตฺวา ลภิสฺสามิ, ตสฺมา นครเมว คนฺตุํ เสโยฺย’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา ‘‘ลุทฺท, ตฺวํ อเมฺห กาเชนาทาย รโญฺญ สนฺติกํ เนหิ, สเจ โน ราชา วิสฺสเชฺชตุกาโม ภวิสฺสติ, วิสฺสเชฺชสฺสตี’’ติ อาหฯ ราชาโน นาม สามิ, กกฺขฬา, คจฺฉถ ตุเมฺหติฯ มยํ ตาทิสํ ลุทฺทมฺปิ มุทุกํ กริมฺห, รโญฺญ อาราธเน อมฺหากํ ภาโร, เนหิเยว โน, สมฺมาติฯ โส ตถา อกาสิฯ ราชา หํเส ทิสฺวาว โสมนสฺสชาโต หุตฺวา เทฺวปิ หํเส กญฺจนปีเฐ นิสีทาเปตฺวา มธุลาเช ขาทาเปตฺวา มธุโรทกํ ปาเยตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ธมฺมกถํ อายาจิฯ หํสราชา ตสฺส โสตุกามตํ วิทิตฺวา ปฐมํ ตาว ปฎิสนฺถารมกาสิ ฯ ตตฺริมา หํสสฺส จ รโญฺญ จ วจนปฎิวจนคาถาโย โหนฺติ –
Taṃ sutvā luddo ‘‘gacchatha, sāmī’’ti āha. Atha naṃ mahāsatto ‘‘kiṃ pana tvaṃ samma, maṃ attano atthāya bandhi, udāhu aññassa āṇattiyā’’ti pucchitvā tena tasmiṃ kāraṇe ārocite ‘‘kiṃ nu kho me itova cittakūṭaṃ gantuṃ seyyo, udāhu nagara’’nti vimaṃsanto ‘‘mayi nagaraṃ gate luddaputto dhanaṃ labhissati, deviyā dohaḷo paṭippassambhissati, sumukhassa mittadhammo pākaṭo bhavissati, tathā mama ñāṇabalaṃ, khemañca saraṃ abhayadakkhiṇaṃ katvā labhissāmi, tasmā nagarameva gantuṃ seyyo’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā ‘‘ludda, tvaṃ amhe kājenādāya rañño santikaṃ nehi, sace no rājā vissajjetukāmo bhavissati, vissajjessatī’’ti āha. Rājāno nāma sāmi, kakkhaḷā, gacchatha tumheti. Mayaṃ tādisaṃ luddampi mudukaṃ karimha, rañño ārādhane amhākaṃ bhāro, nehiyeva no, sammāti. So tathā akāsi. Rājā haṃse disvāva somanassajāto hutvā dvepi haṃse kañcanapīṭhe nisīdāpetvā madhulāje khādāpetvā madhurodakaṃ pāyetvā añjaliṃ paggayha dhammakathaṃ āyāci. Haṃsarājā tassa sotukāmataṃ viditvā paṭhamaṃ tāva paṭisanthāramakāsi . Tatrimā haṃsassa ca rañño ca vacanapaṭivacanagāthāyo honti –
๑๔๖.
146.
‘‘กจฺจินฺนุ โภโต กุสลํ, กจฺจิ โภโต อนามยํ;
‘‘Kaccinnu bhoto kusalaṃ, kacci bhoto anāmayaṃ;
กจฺจิ รฎฺฐมิทํ ผีตํ, ธเมฺมน มนุสาสสิฯ
Kacci raṭṭhamidaṃ phītaṃ, dhammena manusāsasi.
๑๔๗.
147.
‘‘กุสลํ เจว เม หํส, อโถ หํส อนามยํ;
‘‘Kusalaṃ ceva me haṃsa, atho haṃsa anāmayaṃ;
อโถ รฎฺฐมิทํ ผีตํ, ธเมฺมน มนุสาสหํฯ
Atho raṭṭhamidaṃ phītaṃ, dhammena manusāsahaṃ.
๑๔๘.
148.
‘‘กจฺจิ โภโต อมเจฺจสุ, โทโส โกจิ น วิชฺชติ;
‘‘Kacci bhoto amaccesu, doso koci na vijjati;
กจฺจิ อารา อมิตฺตา เต, ฉายา ทกฺขิณโตริวฯ
Kacci ārā amittā te, chāyā dakkhiṇatoriva.
๑๔๙.
149.
‘‘อโถปิ เม อมเจฺจสุ, โทโส โกจิ น วิชฺชติ;
‘‘Athopi me amaccesu, doso koci na vijjati;
อโถ อารา อมิตฺตา เม, ฉายา ทกฺขิณโตริวฯ
Atho ārā amittā me, chāyā dakkhiṇatoriva.
๑๕๐.
150.
‘‘กจฺจิ เต สาทิสี ภริยา, อสฺสวา ปิยภาณินี;
‘‘Kacci te sādisī bhariyā, assavā piyabhāṇinī;
ปุตฺตรูปยสูเปตา, ตว ฉนฺทวสานุคาฯ
Puttarūpayasūpetā, tava chandavasānugā.
๑๕๑.
151.
‘‘อโถ เม สาทิสี ภริยา, อสฺสวา ปิยภาณินี;
‘‘Atho me sādisī bhariyā, assavā piyabhāṇinī;
ปุตฺตรูปยสูเปตา, มม ฉนฺทวสานุคาฯ
Puttarūpayasūpetā, mama chandavasānugā.
๑๕๒.
152.
‘‘กจฺจิ เต พหโว ปุตฺตา, สุชาตา รฎฺฐวฑฺฒน;
‘‘Kacci te bahavo puttā, sujātā raṭṭhavaḍḍhana;
ปญฺญาชเวน สมฺปนฺนา, สโมฺมทนฺติ ตโต ตโตฯ
Paññājavena sampannā, sammodanti tato tato.
๑๕๓.
153.
‘‘สตเมโก จ เม ปุตฺตา, ธตรฎฺฐ มยา สุตา;
‘‘Satameko ca me puttā, dhataraṭṭha mayā sutā;
เตสํ ตฺวํ กิจฺจมกฺขาหิ, นาวรุชฺฌนฺติ เต วโจ’’ติฯ
Tesaṃ tvaṃ kiccamakkhāhi, nāvarujjhanti te vaco’’ti.
ตตฺถ กุสลนฺติ อาโรคฺยํ, อิตรํ ตเสฺสว เววจนํฯ ผีตนฺติ กจฺจิ เต อิทํ รฎฺฐํ ผีตํ สุภิกฺขํ, ธเมฺมน จ นํ อนุสาสสีติ ปุจฺฉติฯ โทโสติ อปราโธฯ ฉายา ทกฺขิณโตริวาติ ยถา นาม ทกฺขิณทิสาภิมุขา ฉายา น วฑฺฒติ, เอวํ เต กจฺจิ อมิตฺตา น วฑฺฒนฺตีติ วทติฯ สาทิสีติ ชาติโคตฺตกุลปเทเสหิ สมานาฯ เอวรูปา หิ อติจารินี น โหติฯ อสฺสวาติ วจนปฎิคฺคาหิกาฯ ปุตฺตรูปยสูเปตาติ ปุเตฺตหิ จ รูเปน จ ยเสน จ อุเปตาฯ ปญฺญาชเวนาติ ปญฺญาเวเคน ปญฺญํ ชวาเปตฺวา ตานิ ตานิ กิจฺจานิ ปริจฺฉินฺทิตุํ สมตฺถาติ ปุจฺฉติฯ สโมฺมทนฺติ ตโต ตโตติ ยตฺถ ยตฺถ นิยุตฺตา โหนฺติ, ตโต ตโต สโมฺมทเนฺตว, น วิรุชฺฌนฺตีติ ปุจฺฉติฯ มยา สุตาติ มยา วิสฺสุตาฯ มญฺหิ โลโก ‘‘พหุปุตฺตราชา’’ติ วทติ, อิติ เต มํ นิสฺสาย วิสฺสุตา ปากฎา ชาตาติ มยา สุตา นาม โหนฺตีติ วทติฯ เตสํ ตฺวํ กิจฺจมกฺขาหีติ เตสํ มม ปุตฺตานํ ‘‘อิทํ นาม กโรนฺตู’’ติ ตฺวํ กิจฺจมกฺขาหิ, น เต วจนํ อวรุชฺฌนฺติ, โอวาทํ เนสํ เทหีติ อธิปฺปาเยเนวมาหฯ
Tattha kusalanti ārogyaṃ, itaraṃ tasseva vevacanaṃ. Phītanti kacci te idaṃ raṭṭhaṃ phītaṃ subhikkhaṃ, dhammena ca naṃ anusāsasīti pucchati. Dosoti aparādho. Chāyā dakkhiṇatorivāti yathā nāma dakkhiṇadisābhimukhā chāyā na vaḍḍhati, evaṃ te kacci amittā na vaḍḍhantīti vadati. Sādisīti jātigottakulapadesehi samānā. Evarūpā hi aticārinī na hoti. Assavāti vacanapaṭiggāhikā. Puttarūpayasūpetāti puttehi ca rūpena ca yasena ca upetā. Paññājavenāti paññāvegena paññaṃ javāpetvā tāni tāni kiccāni paricchindituṃ samatthāti pucchati. Sammodanti tato tatoti yattha yattha niyuttā honti, tato tato sammodanteva, na virujjhantīti pucchati. Mayā sutāti mayā vissutā. Mañhi loko ‘‘bahuputtarājā’’ti vadati, iti te maṃ nissāya vissutā pākaṭā jātāti mayā sutā nāma hontīti vadati. Tesaṃ tvaṃ kiccamakkhāhīti tesaṃ mama puttānaṃ ‘‘idaṃ nāma karontū’’ti tvaṃ kiccamakkhāhi, na te vacanaṃ avarujjhanti, ovādaṃ nesaṃ dehīti adhippāyenevamāha.
ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ตสฺส โอวาทํ เทโนฺต ปญฺจ คาถา อภาสิ –
Taṃ sutvā mahāsatto tassa ovādaṃ dento pañca gāthā abhāsi –
๑๕๔.
154.
‘‘อุปปโนฺนปิ เจ โหติ, ชาติยา วินเยน วา;
‘‘Upapannopi ce hoti, jātiyā vinayena vā;
อถ ปจฺฉา กุรุเต โยคํ, กิเจฺฉ อาปาสุ สีทติฯ
Atha pacchā kurute yogaṃ, kicche āpāsu sīdati.
๑๕๕.
155.
‘‘ตสฺส สํหีรปญฺญสฺส, วิวโร ชายเต มหา;
‘‘Tassa saṃhīrapaññassa, vivaro jāyate mahā;
รตฺติมโนฺธว รูปานิ, ถูลานิ มนุปสฺสติฯ
Rattimandhova rūpāni, thūlāni manupassati.
๑๕๖.
156.
‘‘อสาเร สารโยคญฺญู, มติํ น เตฺวว วินฺทติ;
‘‘Asāre sārayogaññū, matiṃ na tveva vindati;
สรโภว คิริทุคฺคสฺมิํ, อนฺตราเยว สีทติฯ
Sarabhova giriduggasmiṃ, antarāyeva sīdati.
๑๕๗.
157.
‘‘หีนชโจฺจปิ เจ โหติ, อุฎฺฐาตา ธิติมา นโร;
‘‘Hīnajaccopi ce hoti, uṭṭhātā dhitimā naro;
อาจารสีลสมฺปโนฺน, นิเส อคฺคีว ภาสติฯ
Ācārasīlasampanno, nise aggīva bhāsati.
๑๕๘.
158.
‘‘เอตํ เม อุปมํ กตฺวา, ปุเตฺต วิชฺชาสุ วาจย;
‘‘Etaṃ me upamaṃ katvā, putte vijjāsu vācaya;
สํวิรูเฬฺหถ เมธาวี, เขเตฺต พีชํว วุฎฺฐิยา’’ติฯ
Saṃvirūḷhetha medhāvī, khette bījaṃva vuṭṭhiyā’’ti.
ตตฺถ วินเยนาติ อาจาเรนฯ ปจฺฉา กุรุเต โยคนฺติ โย เจ สิกฺขิตพฺพสิกฺขาสุ ทหรกาเล โยคํ วีริยํ อกตฺวา ปจฺฉา มหลฺลกกาเล กโรติ, เอวรูโป ปจฺฉา ตถารูเป ทุเกฺข วา อาปทาสุ วา อุปฺปนฺนาสุ สีทติ, อตฺตานํ อุทฺธริตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺส สํหีรปญฺญสฺสาติ ตสฺส อสิกฺขิตตฺตา ตโต ตโต หริตพฺพปญฺญสฺส นิจฺจํ จลพุทฺธิโนฯ วิวโรติ โภคาทีนํ ฉิทฺทํ, ปริหานีติ อโตฺถฯ รตฺติมโนฺธติ รตฺตโนฺธฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยถา รตฺตโนฺธ รตฺติกาโณ รตฺติํ จโนฺทภาสาทีหิ ถูลรูปาเนว ปสฺสติ, สุขุมานิ ปสฺสิตุํ น สโกฺกติ, เอวํ อสิกฺขิโต สํหีรปโญฺญ กิสฺมิญฺจิเทว ภเย อุปฺปเนฺน สุขุมานิ กิจฺจานิ ปสฺสิตุํ น สโกฺกติ, โอฬาริเกเยว ปสฺสติ, ตสฺมา ตว ปุเตฺต ทหรกาเลเยว สิกฺขาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ
Tattha vinayenāti ācārena. Pacchā kurute yoganti yo ce sikkhitabbasikkhāsu daharakāle yogaṃ vīriyaṃ akatvā pacchā mahallakakāle karoti, evarūpo pacchā tathārūpe dukkhe vā āpadāsu vā uppannāsu sīdati, attānaṃ uddharituṃ na sakkoti. Tassa saṃhīrapaññassāti tassa asikkhitattā tato tato haritabbapaññassa niccaṃ calabuddhino. Vivaroti bhogādīnaṃ chiddaṃ, parihānīti attho. Rattimandhoti rattandho. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yathā rattandho rattikāṇo rattiṃ candobhāsādīhi thūlarūpāneva passati, sukhumāni passituṃ na sakkoti, evaṃ asikkhito saṃhīrapañño kismiñcideva bhaye uppanne sukhumāni kiccāni passituṃ na sakkoti, oḷārikeyeva passati, tasmā tava putte daharakāleyeva sikkhāpetuṃ vaṭṭatī’’ti.
อสาเรติ นิสฺสาเร โลกายตเวทสมเยฯ สารโยคญฺญูติ สารยุโตฺต เอส สมโยติ มญฺญมาโนฯ มติํ น เตฺวว วินฺทตีติ พหุํ สิกฺขิตฺวาปิ ปญฺญํ น ลภติเยวฯ คิริทุคฺคสฺมินฺติ โส เอวรูโป ยถา นาม สรโภ อตฺตโน วสนฎฺฐานํ อาคจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค วิสมมฺปิ สมนฺติ มญฺญมาโน คิริทุเคฺค เวเคนาคจฺฉโนฺต นรกปปาตํ ปติตฺวา อนฺตราเยว สีทติ, อาวาสํ น ปาปุณาติ, เอวเมตํ อสารํ โลกายตเวทสมยํ สารสญฺญาย อุคฺคเหตฺวา มหาวินาสํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา ตว ปุเตฺต อตฺถนิสฺสิเตสุ วฑฺฒิอาวเหสุ กิเจฺจสุ โยเชตฺวา สิกฺขาเปหีติฯ นิเส อคฺคีวาติ มหาราช, หีนชาติโกปิ อุฎฺฐานาทิคุณสมฺปโนฺน รตฺติํ อคฺคิกฺขโนฺธ วิย โอภาสติฯ เอตํ เมติ เอตํ มยา วุตฺตํ รตฺตนฺธญฺจ อคฺคิกฺขนฺธญฺจ อุปมํ กตฺวา ตว ปุเตฺต วิชฺชาสุ วาจย, สิกฺขิตพฺพยุตฺตาสุ สิกฺขาสุ โยเชหิฯ เอวํ ยุโตฺต หิ ยถา สุเขเตฺต สุวุฎฺฐิยา พีชํ สํวิรูหติ, ตเถว เมธาวี สํวิรูหติ, ยเสน จ โภเคหิ จ วฑฺฒตีติฯ
Asāreti nissāre lokāyatavedasamaye. Sārayogaññūti sārayutto esa samayoti maññamāno. Matiṃ na tveva vindatīti bahuṃ sikkhitvāpi paññaṃ na labhatiyeva. Giriduggasminti so evarūpo yathā nāma sarabho attano vasanaṭṭhānaṃ āgacchanto antarāmagge visamampi samanti maññamāno giridugge vegenāgacchanto narakapapātaṃ patitvā antarāyeva sīdati, āvāsaṃ na pāpuṇāti, evametaṃ asāraṃ lokāyatavedasamayaṃ sārasaññāya uggahetvā mahāvināsaṃ pāpuṇāti. Tasmā tava putte atthanissitesu vaḍḍhiāvahesu kiccesu yojetvā sikkhāpehīti. Nise aggīvāti mahārāja, hīnajātikopi uṭṭhānādiguṇasampanno rattiṃ aggikkhandho viya obhāsati. Etaṃ meti etaṃ mayā vuttaṃ rattandhañca aggikkhandhañca upamaṃ katvā tava putte vijjāsu vācaya, sikkhitabbayuttāsu sikkhāsu yojehi. Evaṃ yutto hi yathā sukhette suvuṭṭhiyā bījaṃ saṃvirūhati, tatheva medhāvī saṃvirūhati, yasena ca bhogehi ca vaḍḍhatīti.
เอวํ มหาสโตฺต สพฺพรตฺติํ รโญฺญ ธมฺมํ เทเสสิ, เทวิยา โทหโฬ ปฎิปฺปสฺสมฺภิฯ มหาสโตฺต อรุณุคฺคมนเวลายเมว ราชานํ ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐเปตฺวา อปฺปมาเทน โอวทิตฺวา สทฺธิํ สุมุเขน อุตฺตรสีหปญฺชเรน นิกฺขมิตฺวา จิตฺตกูฎเมว คโตฯ
Evaṃ mahāsatto sabbarattiṃ rañño dhammaṃ desesi, deviyā dohaḷo paṭippassambhi. Mahāsatto aruṇuggamanavelāyameva rājānaṃ pañcasu sīlesu patiṭṭhapetvā appamādena ovaditvā saddhiṃ sumukhena uttarasīhapañjarena nikkhamitvā cittakūṭameva gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพปิ อิมินา มมตฺถาย ชีวิตํ ปริจฺจตฺตเมวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ลุโทฺท ฉโนฺน อโหสิ, ราชา สาริปุโตฺต, เทวี เขมาภิกฺขุนี, หํสปริสา สากิยคโณ, สุมุโข อานโนฺท, หํสราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, pubbepi iminā mamatthāya jīvitaṃ pariccattamevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā luddo channo ahosi, rājā sāriputto, devī khemābhikkhunī, haṃsaparisā sākiyagaṇo, sumukho ānando, haṃsarājā pana ahameva ahosi’’nti.
จูฬหํสชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Cūḷahaṃsajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๐๒. จูฬหํสชาตกํ • 502. Cūḷahaṃsajātakaṃ