Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๗. จูฬหตฺถิปโทปมสุตฺตวณฺณนา
7. Cūḷahatthipadopamasuttavaṇṇanā
๒๘๘. เสตปริวาโรติ เสตปฎิจฺฉโท, เสตวณฺณาลงฺกาโรติ อโตฺถฯ ปุเพฺพ ปน ‘‘เสตาลงฺการา’’ติ อสฺสาลงฺกาโร คหิโต, อิธ จกฺกปญฺชรกุพฺพราทิรถาวยเวสุ กาตพฺพาลงฺกาโรฯ เอวํ วุเตฺตนาติ เอวํ ‘‘เสตาย สุท’’นฺติอาทินา ปกาเรน สํยุตฺตมหาวเคฺค (สํ. นิ. ๕.๔) วุเตฺตนฯ นาติมหา ยุทฺธมณฺฑเล สญฺจารสุขตฺถํฯ โยโธ สารถีติ ทฺวินฺนํ, ปหรณทายเกน สทฺธิํ ติณฺณํ วาฯ
288.Setaparivāroti setapaṭicchado, setavaṇṇālaṅkāroti attho. Pubbe pana ‘‘setālaṅkārā’’ti assālaṅkāro gahito, idha cakkapañjarakubbarādirathāvayavesu kātabbālaṅkāro. Evaṃ vuttenāti evaṃ ‘‘setāya suda’’ntiādinā pakārena saṃyuttamahāvagge (saṃ. ni. 5.4) vuttena. Nātimahā yuddhamaṇḍale sañcārasukhatthaṃ. Yodho sārathīti dvinnaṃ, paharaṇadāyakena saddhiṃ tiṇṇaṃ vā.
นครํ ปทกฺขิณํ กโรติ นครโสภนตฺถํฯ อิทํ กิร ตสฺส พฺราหฺมณสฺส ชาณุโสฺสณิฎฺฐานนฺตรํ ชาติสิทฺธํ ปรมฺปราคตํ จาริตฺตํฯ เตนาห ‘‘อิโต เอตฺตเกหิ ทิวเสหี’’ติอาทิฯ จาริตฺตวเสน นครวาสิโนปิ ตถา ตถา ปฎิปชฺชนฺติฯ ปุญฺญวาทิมงฺคลกถเน นิยุตฺตา มางฺคลิกาฯ สุวตฺถิปตฺตนาย โสวตฺถิกาฯ อาทิ-สเทฺทน วนฺทีอาทีนํ สงฺคโหฯ ยสสิริสมฺปตฺติยาติ ยสสมฺปตฺติยา สิริสมฺปตฺติยา จ, ปริวารสมฺปตฺติยา เจว วิภวโสภาสมฺปตฺติยา จาติ อโตฺถฯ
Nagaraṃ padakkhiṇaṃ karoti nagarasobhanatthaṃ. Idaṃ kira tassa brāhmaṇassa jāṇussoṇiṭṭhānantaraṃ jātisiddhaṃ paramparāgataṃ cārittaṃ. Tenāha ‘‘ito ettakehi divasehī’’tiādi. Cārittavasena nagaravāsinopi tathā tathā paṭipajjanti. Puññavādimaṅgalakathane niyuttā māṅgalikā. Suvatthipattanāya sovatthikā. Ādi-saddena vandīādīnaṃ saṅgaho. Yasasirisampattiyāti yasasampattiyā sirisampattiyā ca, parivārasampattiyā ceva vibhavasobhāsampattiyā cāti attho.
นคราภิมุโข ปายาสิ อตฺตโน ภิกฺขาจารเวลายฯ ปณฺฑิโต มเญฺญติ เอตฺถ มเญฺญติ อิทํ ‘‘มญฺญตี’’ติ อิมินา สมานตฺถํ นิปาตปทํฯ ตสฺส อิติ-สทฺทํ อาเนตฺวา อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปณฺฑิโตติ มญฺญตี’’ติ อาหฯ อนุมติปุจฺฉาวเสน เจตํ วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘อุทาหุ โน’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญติ ภวํ วจฺฉายโน สมณสฺส โคตมสฺส ปญฺญาเวยฺยตฺติย’’นฺติ หิ วุตฺตเมวตฺถํ ปุน คณฺหโนฺต ‘‘ปณฺฑิโต มเญฺญ’’ติ อาหฯ ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ภวํ วจฺฉายโน, สมณํ โคตมํ ปณฺฑิโตติ มญฺญติ, อุทาหุ โน’’ติ, ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ กเถหีติ อธิปฺปาโยฯ
Nagarābhimukhopāyāsi attano bhikkhācāravelāya. Paṇḍito maññeti ettha maññeti idaṃ ‘‘maññatī’’ti iminā samānatthaṃ nipātapadaṃ. Tassa iti-saddaṃ ānetvā atthaṃ dassento ‘‘paṇḍitoti maññatī’’ti āha. Anumatipucchāvasena cetaṃ vuttaṃ. Tenevāha ‘‘udāhu no’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññati bhavaṃ vacchāyano samaṇassa gotamassa paññāveyyattiya’’nti hi vuttamevatthaṃ puna gaṇhanto ‘‘paṇḍito maññe’’ti āha. Tasmā vuttaṃ ‘‘bhavaṃ vacchāyano, samaṇaṃ gotamaṃ paṇḍitoti maññati, udāhu no’’ti, yathā te khameyya, tathā naṃ kathehīti adhippāyo.
อหํ โก นาม, มม อวิสโย เอโสติ ทเสฺสติฯ โก จาติ เหตุนิสฺสเกฺก ปจฺจตฺตวจนนฺติ อาห ‘‘กุโต จา’’ติฯ ตถา จาห ‘‘เกน การเณน ชานิสฺสามี’’ติ, เยน การเณน สมณสฺส โคตมสฺส ปญฺญาเวยฺยตฺติยํ ชาเนยฺยํ, ตํ การณํ มยิ นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ พุโทฺธเยว ภเวยฺย, อพุทฺธสฺส สพฺพถา พุทฺธญาณานุภาวํ ชานิตุํ น สกฺกาติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, โอรมตฺตกํ สีลมตฺตกํ, เยน ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺย (ที. นิ. ๑.๗), อตฺถิ, ภิกฺขเว, อเญฺญว ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา …เป.… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺยา’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๘) จฯ เอตฺถาติ ‘‘โสปิ นูนสฺส ตาทิโสวา’’ติ เอตสฺมิํ ปเทฯ ปสตฺถ ปสโตฺถติ ปสเตฺถหิ อตฺตโน คุเณเหว โส ปสโตฺถ, น ตสฺส กิตฺตินา, ปสํสาสภาเวเนว ปาสํโสติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘สพฺพคุณาน’’นฺติอาทิฯ มณิรตนนฺติ จกฺกวตฺติโน มณิรตนํฯ สเทวเก โลเก ปาสํสานมฺปิ ปาสํโสติ ทเสฺสตุํ ‘‘ปสเตฺถหิ วา’’ติ ทุติยวิกโปฺป คหิโตฯ
Ahaṃ ko nāma, mama avisayo esoti dasseti. Ko cāti hetunissakke paccattavacananti āha ‘‘kuto cā’’ti. Tathā cāha ‘‘kena kāraṇena jānissāmī’’ti, yena kāraṇena samaṇassa gotamassa paññāveyyattiyaṃ jāneyyaṃ, taṃ kāraṇaṃ mayi natthīti adhippāyo. Buddhoyeva bhaveyya, abuddhassa sabbathā buddhañāṇānubhāvaṃ jānituṃ na sakkāti. Vuttañhetaṃ – ‘‘appamattakaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, oramattakaṃ sīlamattakaṃ, yena puthujjano tathāgatassa vaṇṇaṃ vadamāno vadeyya (dī. ni. 1.7), atthi, bhikkhave, aññeva dhammā gambhīrā duddasā duranubodhā …pe… yehi tathāgatassa yathābhuccaṃ vaṇṇaṃ sammā vadamāno vadeyyā’’ti (dī. ni. 1.28) ca. Etthāti ‘‘sopi nūnassa tādisovā’’ti etasmiṃ pade. Pasattha pasatthoti pasatthehi attano guṇeheva so pasattho, na tassa kittinā, pasaṃsāsabhāveneva pāsaṃsoti attho. Tenāha ‘‘sabbaguṇāna’’ntiādi. Maṇiratananti cakkavattino maṇiratanaṃ. Sadevake loke pāsaṃsānampi pāsaṃsoti dassetuṃ ‘‘pasatthehi vā’’ti dutiyavikappo gahito.
อรณียโต อโตฺถ, โส เอว วสตีติ วโสติ อตฺถวโส, ตสฺส ตสฺส ปโยคสฺส อานิสํสภูตํ ผลนฺติ อาห ‘‘อตฺถวสนฺติ อตฺถานิสํส’’นฺติฯ อโตฺถ วา วุตฺตลกฺขโณ วโส เอตสฺสาติ อตฺถวโส, การณํฯ นาควนวาสิโกติ หตฺถินาคานํ วิจรณวเน เตสํ คหณตฺถํ วสนโกฯ อนุคฺคหิตสิโปฺปติ อสิกฺขิตหตฺถิสิโปฺป อายตวิตฺถตสฺส ปทมตฺตสฺส ทสฺสเนน ‘‘มหา วต, โภ นาโค’’ติ นิฎฺฐาคมนโตฯ ปรโต ปน ภควตา วุตฺตฎฺฐาเนฯ อุคฺคหิตสิโปฺป ปุริโส นาควนิโกติ อาคโต อายตวิตฺถตสฺส ปทสฺส อุจฺจสฺส จ นิเสวิตสฺส พฺยภิจารภาวํ ญตฺวา ตตฺตเกน นิฎฺฐํ อคนฺตฺวา มหาหตฺถิํ ทิสฺวาว นิฎฺฐาคมนโตฯ ญาณํ ปชฺชติ เอตฺถาติ ญาณปทานิ, ขตฺติยปณฺฑิตาทีนํ ธมฺมวินเย วินีตตฺตา วินเยหิ อธิคตชฺฌานาทีนิฯ ตานิ หิ ตถาคตคนฺธหตฺถิโน เทสนาญาเณน อกฺกนฺตฎฺฐานานิฯ จตฺตารีติ ปน วิเนยฺยานํ อิธ ขตฺติยปณฺฑิตาทิวเสน จตุพฺพิธานํเยว คหิตตฺตาฯ
Araṇīyato attho, so eva vasatīti vasoti atthavaso, tassa tassa payogassa ānisaṃsabhūtaṃ phalanti āha ‘‘atthavasanti atthānisaṃsa’’nti. Attho vā vuttalakkhaṇo vaso etassāti atthavaso, kāraṇaṃ. Nāgavanavāsikoti hatthināgānaṃ vicaraṇavane tesaṃ gahaṇatthaṃ vasanako. Anuggahitasippoti asikkhitahatthisippo āyatavitthatassa padamattassa dassanena ‘‘mahā vata, bho nāgo’’ti niṭṭhāgamanato. Parato pana bhagavatā vuttaṭṭhāne. Uggahitasippo puriso nāgavanikoti āgato āyatavitthatassa padassa uccassa ca nisevitassa byabhicārabhāvaṃ ñatvā tattakena niṭṭhaṃ agantvā mahāhatthiṃ disvāva niṭṭhāgamanato. Ñāṇaṃ pajjati etthāti ñāṇapadāni, khattiyapaṇḍitādīnaṃ dhammavinaye vinītattā vinayehi adhigatajjhānādīni. Tāni hi tathāgatagandhahatthino desanāñāṇena akkantaṭṭhānāni. Cattārīti pana vineyyānaṃ idha khattiyapaṇḍitādivasena catubbidhānaṃyeva gahitattā.
๒๘๙. ปุคฺคเลสุ ปญฺญาย จ นิปุณตา ปณฺฑิตสมญฺญา นิปุณตฺถสฺส ทสฺสนสมตฺถตาวเสเนวาติ อาห ‘‘สุขุมอตฺถนฺตรปฎิวิชฺฌนสมเตฺถ’’ติฯ กต-สโทฺท อิธ นิปฺผนฺนปริยาโยฯ ปเร ปวทนฺติ เอตฺถ, เอเตนาติ ปรปฺปวาโท, ปรสมโยฯ ปเรหิ ปวทนํ ปรปฺปวาโท, วิคฺคาหิกกถาย ปรวาทมทฺทนํฯ ตทุภยมฺปิ เอกโต กตฺวา ปาฬิยํ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘วิญฺญาตปรปฺปวาเท เจว ปเรหิ สทฺธิํ กตวาทปริจเย จา’’ติ, ปรสมเยสุ ปรวาทมทฺทเนสุ จ นิปฺผเนฺนติ อโตฺถฯ วาลเวธิรูเปติ วาลเวธิปติรูเปฯ เตนาห ‘‘วาลเวธิธนุคฺคหสทิเส’’ติฯ วาลนฺติ อเนกธา ภินฺนสฺส วาลสฺส อํสุสงฺขาตํ วาลํฯ ภินฺทนฺตา วิยาติ ฆฎาทิํ สวิคฺคหํ มุคฺคราทินา ภินฺทนฺตา วิย, ทิฎฺฐิคตานิ เอกํสโต ภินฺทนฺตาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อตฺถํ คุยฺหํ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา ปุจฺฉิสฺสามา’’ติ สงฺขตํ ปทปญฺหํ ปุจฺฉนฺตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ทุปทมฺปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ วทนฺติ เอเตนาติ วาโท, โทโสฯ ปุจฺฉียตีติ ปโญฺห, อโตฺถฯ ปุจฺฉติ เอเตนาติ ปโญฺห, สโทฺทฯ ตทุภยํ เอกโต คเหตฺวา อาห ‘‘เอวรูเป ปเญฺห’’ติอาทิฯ ‘‘เอวํ ปุเจฺฉยฺย, เอวํ วิสฺสเชฺชยฺยา’’ติ จ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนานํ สิขาวคมนํ ทเสฺสติฯ เสโยฺยติ อุตฺตโม, ปรโม ลาโภติ อธิปฺปาโยฯ
289. Puggalesu paññāya ca nipuṇatā paṇḍitasamaññā nipuṇatthassa dassanasamatthatāvasenevāti āha ‘‘sukhumaatthantarapaṭivijjhanasamatthe’’ti. Kata-saddo idha nipphannapariyāyo. Pare pavadanti ettha, etenāti parappavādo, parasamayo. Parehi pavadanaṃ parappavādo, viggāhikakathāya paravādamaddanaṃ. Tadubhayampi ekato katvā pāḷiyaṃ vuttanti āha ‘‘viññātaparappavāde ceva parehi saddhiṃ katavādaparicaye cā’’ti, parasamayesu paravādamaddanesu ca nipphanneti attho. Vālavedhirūpeti vālavedhipatirūpe. Tenāha ‘‘vālavedhidhanuggahasadise’’ti. Vālanti anekadhā bhinnassa vālassa aṃsusaṅkhātaṃ vālaṃ. Bhindantā viyāti ghaṭādiṃ saviggahaṃ muggarādinā bhindantā viya, diṭṭhigatāni ekaṃsato bhindantāti adhippāyo. ‘‘Atthaṃ guyhaṃ paṭicchannaṃ katvā pucchissāmā’’ti saṅkhataṃ padapañhaṃ pucchantīti dassetuṃ ‘‘dupadampī’’tiādi vuttaṃ. Vadanti etenāti vādo, doso. Pucchīyatīti pañho, attho. Pucchati etenāti pañho, saddo. Tadubhayaṃ ekato gahetvā āha ‘‘evarūpe pañhe’’tiādi. ‘‘Evaṃ puccheyya, evaṃ vissajjeyyā’’ti ca pucchāvissajjanānaṃ sikhāvagamanaṃ dasseti. Seyyoti uttamo, paramo lābhoti adhippāyo.
เอวํ อตฺตโน วาทวิธมนภเยนปิ ปเร ภควนฺตํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ น วิสหนฺตีติ วตฺวา อิทานิ วาทวิธมเนน วินาปิ น วิสหนฺติ เอวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ จิตฺตํ ปสีทติ ปเร อตฺตโน อตฺตภาวมฺปิ วิสฺสตฺถํ นิยฺยาเทตุกามา โหนฺติ โอธิสกเมตฺตาผรณสทิสตฺตา ตสฺส เมตฺตายนสฺสฯ ทสฺสนสมฺปนฺนาติ ทฎฺฐพฺพตาย สมฺปนฺนา ทสฺสนานุตฺตริยภาวโต, อติวิย ทสฺสนียาติ อโตฺถฯ
Evaṃ attano vādavidhamanabhayenapi pare bhagavantaṃ pañhaṃ pucchituṃ na visahantīti vatvā idāni vādavidhamanena vināpi na visahanti evāti dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi āraddhaṃ. Cittaṃ pasīdati pare attano attabhāvampi vissatthaṃ niyyādetukāmā honti odhisakamettāpharaṇasadisattā tassa mettāyanassa. Dassanasampannāti daṭṭhabbatāya sampannā dassanānuttariyabhāvato, ativiya dassanīyāti attho.
สรณคมนวเสน สาวกาติ โลกิยสรณคมเนน สาวกา, โลกุตฺตรสรณคมเนน ปน สาวกตฺตํ ปรโต อาคมิสฺสติ, ตญฺจ ปพฺพชิตวเสน วุจฺจติ, อิธ คหฎฺฐวเสน, อุภยตฺถาปิ สรณคมเนน สาวกตฺตํ เวทิตพฺพํฯ เต หิ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิโน กุลปุตฺตา, อาจารกุลปุตฺตาปิ ตาทิสา ภวนฺติฯ โถเกนาติ อิมินา ‘‘มนํ อนสฺสามา’’ติ ปทสฺสตฺถํ วทติฯ
Saraṇagamanavasenasāvakāti lokiyasaraṇagamanena sāvakā, lokuttarasaraṇagamanena pana sāvakattaṃ parato āgamissati, tañca pabbajitavasena vuccati, idha gahaṭṭhavasena, ubhayatthāpi saraṇagamanena sāvakattaṃ veditabbaṃ. Te hi paralokavajjabhayadassāvino kulaputtā, ācārakulaputtāpi tādisā bhavanti. Thokenāti iminā ‘‘manaṃ anassāmā’’ti padassatthaṃ vadati.
๒๙๐. อุทาหรียติ อุเพฺพคปีติวเสนาติ, ตถา วา อุทาหรณํ อุทานํฯ เตนาห ‘‘อุทาหารํ อุทาหรี’’ติฯ อสฺส ธมฺมสฺสาติ อสฺส ปฎิปตฺติสทฺธมฺมปุพฺพกสฺส ปฎิเวธสทฺธมฺมสฺสฯ โสติ หตฺถิปโทปโม หตฺถิปโทปมภาเวน วุจฺจมาโน ธโมฺมฯ เอตฺตาวตาติ เอตฺตเกน ปริพฺพาชเกน วุตฺตกถามคฺคมเตฺตนฯ กามํ เตน วุตฺตกถามเคฺคนปิ หตฺถิปโทปมภาเวน วุจฺจมาโน ธโมฺม ปริปุโณฺณว อรหตฺตํ ปาเปตฺวา ปเวทิตตฺตา, โส จ โข สเงฺขปโต, น วิตฺถารโตติ อาห ‘‘น เอตฺตาวตา วิตฺถาเรน ปริปูโร โหตี’’ติฯ ยทิ ยถา วิตฺถาเรน หตฺถิปโทปโม ปริปูโร โหติ, ตถา เทสนา อารทฺธา, อถ กสฺมา กุสโลติ น วุโตฺตติ โจทนาฯ
290. Udāharīyati ubbegapītivasenāti, tathā vā udāharaṇaṃ udānaṃ. Tenāha ‘‘udāhāraṃ udāharī’’ti. Assa dhammassāti assa paṭipattisaddhammapubbakassa paṭivedhasaddhammassa. Soti hatthipadopamo hatthipadopamabhāvena vuccamāno dhammo. Ettāvatāti ettakena paribbājakena vuttakathāmaggamattena. Kāmaṃ tena vuttakathāmaggenapi hatthipadopamabhāvena vuccamāno dhammo paripuṇṇova arahattaṃ pāpetvā paveditattā, so ca kho saṅkhepato, na vitthāratoti āha ‘‘na ettāvatā vitthārena paripūro hotī’’ti. Yadi yathā vitthārena hatthipadopamo paripūro hoti, tathā desanā āraddhā, atha kasmā kusaloti na vuttoti codanā.
๒๙๑. อายามโตปีติ ปิ-สเทฺทน อุเพฺพเธนปิ รสฺสาติ ทเสฺสติฯ นีจกายา หิ ตา โหนฺติฯ อุจฺจาติ อุจฺจกาฯ นิเสวนํ, นิเสวติ เอตฺถาติ วา นิเสวิตํฯ นิเสวนเญฺจตฺถ กณฺฑุยิตวิโนทนตฺถํ ฆํสนํฯ เตนาห ‘‘ขนฺธปฺปเทเส ฆํสิตฎฺฐาน’’นฺติฯ อุจฺจาติ อนีจา, อุเพฺพธวนฺติโยติ อโตฺถฯ กาฬาริกาติ วิรฬทนฺตา, วิสงฺคตทนฺตาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ทนฺตาน’’นฺติอาทิฯ กฬารตายาติ วิรฬตายฯ อารญฺชิตานีติ รญฺชิตานิ, วิลิขิตานีติ อโตฺถฯ กเณรุตายาติ กุฎุมลสณฺฐานตายฯ อยํ วาติ เอตฺถ วา-สโทฺท สํสยิตนิจฺฉยโตฺถ ยถา อญฺญตฺถาปิ ‘‘อยํ วา อิเมสํ สมณพฺราหฺมณานํ สพฺพพาโล สพฺพมูโฬฺห’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๘๑)ฯ
291.Āyāmatopīti pi-saddena ubbedhenapi rassāti dasseti. Nīcakāyā hi tā honti. Uccāti uccakā. Nisevanaṃ, nisevati etthāti vā nisevitaṃ. Nisevanañcettha kaṇḍuyitavinodanatthaṃ ghaṃsanaṃ. Tenāha ‘‘khandhappadese ghaṃsitaṭṭhāna’’nti. Uccāti anīcā, ubbedhavantiyoti attho. Kāḷārikāti viraḷadantā, visaṅgatadantāti attho. Tenāha ‘‘dantāna’’ntiādi. Kaḷāratāyāti viraḷatāya. Ārañjitānīti rañjitāni, vilikhitānīti attho. Kaṇerutāyāti kuṭumalasaṇṭhānatāya. Ayaṃ vāti ettha vā-saddo saṃsayitanicchayattho yathā aññatthāpi ‘‘ayaṃ vā imesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ sabbabālo sabbamūḷho’’tiādīsu (dī. ni. 1.181).
นาควนํ วิยาติ มหาหตฺถิโน วามนิกาทีนญฺจ ปททสฺสนฎฺฐานภูตํ นาควนํ วิยฯ อาทิโต ปฎฺฐาย ยาว นีวรณปฺปหานา ธมฺมเทสนา ตถาคตสฺส พาหิรปริพฺพาชกาทีนญฺจ ปททสฺสนภาวโตฯ อาทิโต ปฎฺฐายาติ จ ‘‘ตํ สุณาหี’’ติ ปทโต ปฎฺฐายฯ กุสโล นาควนิโก วิย โยคาวจโร ปริเยสนวเสน ปมาณคฺคหณโตฯ มตฺถเก ฐตฺวาติ อิมสฺส สุตฺตสฺส ปริโยสาเน ฐตฺวาฯ อิมสฺมิมฺปิ ฐาเนติ ‘‘เอวเมว โข พฺราหฺมณา’’ติอาทินา อุปเมยฺยสฺส อตฺถสฺส อุปญฺญาสนฎฺฐาเนปิฯ
Nāgavanaṃviyāti mahāhatthino vāmanikādīnañca padadassanaṭṭhānabhūtaṃ nāgavanaṃ viya. Ādito paṭṭhāya yāva nīvaraṇappahānā dhammadesanā tathāgatassa bāhiraparibbājakādīnañca padadassanabhāvato. Ādito paṭṭhāyāti ca ‘‘taṃ suṇāhī’’ti padato paṭṭhāya. Kusalo nāgavaniko viya yogāvacaro pariyesanavasena pamāṇaggahaṇato. Matthake ṭhatvāti imassa suttassa pariyosāne ṭhatvā. Imasmimpi ṭhāneti ‘‘evameva kho brāhmaṇā’’tiādinā upameyyassa atthassa upaññāsanaṭṭhānepi.
สฺวายนฺติ (ที. นิ. ฎี. ๑.๑๙๐) อิธ-สทฺทมตฺตํ คณฺหาติ, น ยถาวิเสสิตพฺพํ อิธ-สทฺทํฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘กตฺถจิ ปทปูรณมตฺตเมวา’’ติฯ โลกํ อุปาทาย วุจฺจติ โลก-สเทฺทน สมานาธิกรณภาเวน วุตฺตตฺตาฯ เสสปททฺวเย ปน สทฺทนฺตรสนฺนิธานมเตฺตน ตํ ตํ อุปาทาย วุตฺตตา ทฎฺฐพฺพาฯ โอกาสนฺติ กญฺจิ ปเทสํ อินฺทสาลคุหาย อธิเปฺปตตฺตาฯ ปทปูรณมตฺตเมว โอกาสาปทิสนสฺสปิ อสมฺภวโตฯ
Svāyanti (dī. ni. ṭī. 1.190) idha-saddamattaṃ gaṇhāti, na yathāvisesitabbaṃ idha-saddaṃ. Tathā hi vakkhati ‘‘katthaci padapūraṇamattamevā’’ti. Lokaṃ upādāya vuccati loka-saddena samānādhikaraṇabhāvena vuttattā. Sesapadadvaye pana saddantarasannidhānamattena taṃ taṃ upādāya vuttatā daṭṭhabbā. Okāsanti kañci padesaṃ indasālaguhāya adhippetattā. Padapūraṇamattameva okāsāpadisanassapi asambhavato.
ตถาคต-สทฺทาทีนํ อตฺถวิเสโส มูลปริยายฎฺฐกถา(ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๒) วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนาสุ วุโตฺต เอวฯ ตถาคตสฺส สตฺตนิกายโนฺตคธตาย ‘‘อิธ ปน สตฺตโลโก อธิเปฺปโต’’ติ วตฺวา ตตฺถายํ ยสฺมิํ สตฺตนิกาเย, ยสฺมิญฺจ โอกาเส อุปฺปชฺชติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สตฺตโลเก อุปฺปชฺชมาโนปิ จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬติ อิมิสฺสา เอว โลกธาตุยาฯ ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุโทฺธ อปุพฺพํ อจริมํ อุปฺปเชฺชยฺยุ’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๑๖๑; ม. นิ. ๓.๑๒๙; อ. นิ. ๑.๒๗๘; เนตฺติ. ๕๗; มิ. ป. ๕.๑.๑) เอตฺถ ชาติเขตฺตภูตา ทสสหสฺสิโลกธาตุ ‘‘เอกิสฺสา โลกธาตุยา’’ติ วุตฺตาฯ อิธ ปน อิมํเยว โลกธาตุํ สนฺธาย ‘‘อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ’’ติ วุตฺตํฯ ติโสฺส หิ สงฺคีติโย อารุเฬฺห เตปิฎเก พุทฺธวจเน วิสยเขตฺตํ อาณาเขตฺตํ ชาติเขตฺตนฺติ ติวิเธ เขเตฺต ฐเปตฺวา อิมํ จกฺกวาฬํ อญฺญสฺมิํ จกฺกวาเฬ พุทฺธา อุปฺปชฺชนฺตีติ สุตฺตํ นตฺถิ, น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถิฯ กถํ? ‘‘น เม อาจริโย อตฺถิ, สทิโส เม น วิชฺชติ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๑; กถา. ๔๐๕; มิ. ป. ๔.๕.๑๑), เอโกมฺหิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; ๒.๓๔๑; กถา. ๔๐๕; มหาว. ๑๑) เอวมาทีนิ อิมิสฺสา โลกธาตุยา ฐตฺวา วทเนฺตน ภควตา – ‘‘กิํ ปนาวุโส, สาริปุตฺต, อเตฺถตรหิ อโญฺญ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ภควตา สมสโม สโมฺพธิยนฺติ เอวํ ปุฎฺฐาหํ, ภเนฺต, โนติ วเทยฺย’’นฺติ วตฺวา ตสฺส การณํ ทเสฺสตุํ – ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา’’ติ อิมํ สุตฺตํ ทเสฺสเนฺตน ธมฺมเสนาปตินา จ พุทฺธานํ อุปฺปตฺติฎฺฐานภูตํ อิมํ โลกธาตุํ ฐเปตฺวา อญฺญตฺถ อนุปฺปตฺติ วุตฺตา โหตีติฯ
Tathāgata-saddādīnaṃ atthaviseso mūlapariyāyaṭṭhakathā(ma. ni. aṭṭha. 1.12) visuddhimaggasaṃvaṇṇanāsu vutto eva. Tathāgatassa sattanikāyantogadhatāya ‘‘idha pana sattaloko adhippeto’’ti vatvā tatthāyaṃ yasmiṃ sattanikāye, yasmiñca okāse uppajjati, taṃ dassetuṃ ‘‘sattaloke uppajjamānopi cā’’tiādi vuttaṃ. Tattha imasmiṃyeva cakkavāḷeti imissā eva lokadhātuyā. ‘‘Aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddho apubbaṃ acarimaṃ uppajjeyyu’’nti (dī. ni. 3.161; ma. ni. 3.129; a. ni. 1.278; netti. 57; mi. pa. 5.1.1) ettha jātikhettabhūtā dasasahassilokadhātu ‘‘ekissā lokadhātuyā’’ti vuttā. Idha pana imaṃyeva lokadhātuṃ sandhāya ‘‘imasmiṃyeva cakkavāḷe’’ti vuttaṃ. Tisso hi saṅgītiyo āruḷhe tepiṭake buddhavacane visayakhettaṃ āṇākhettaṃ jātikhettanti tividhe khette ṭhapetvā imaṃ cakkavāḷaṃ aññasmiṃ cakkavāḷe buddhā uppajjantīti suttaṃ natthi, na uppajjantīti pana atthi. Kathaṃ? ‘‘Na me ācariyo atthi, sadiso me na vijjati (ma. ni. 1.285; 2.341; mahāva. 11; kathā. 405; mi. pa. 4.5.11), ekomhi sammāsambuddho’’ti (ma. ni. 1.285; 2.341; kathā. 405; mahāva. 11) evamādīni imissā lokadhātuyā ṭhatvā vadantena bhagavatā – ‘‘kiṃ panāvuso, sāriputta, atthetarahi añño samaṇo vā brāhmaṇo vā bhagavatā samasamo sambodhiyanti evaṃ puṭṭhāhaṃ, bhante, noti vadeyya’’nti vatvā tassa kāraṇaṃ dassetuṃ – ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddhā’’ti imaṃ suttaṃ dassentena dhammasenāpatinā ca buddhānaṃ uppattiṭṭhānabhūtaṃ imaṃ lokadhātuṃ ṭhapetvā aññattha anuppatti vuttā hotīti.
สุชาตายาติอาทินา วุเตฺตสุ จตูสุ วิกเปฺปสุ ปฐโม วิกโปฺป พุทฺธภาวาย อาสนฺนตรปฎิปตฺติทสฺสนวเสน วุโตฺตฯ อาสนฺนตราย หิ ปฎิปตฺติยํ ฐิโต ‘‘อุปฺปชฺชตี’’ติ วุจฺจติ อุปฺปาทสฺส เอกนฺติกตฺตา, ปเคว ปฎิปตฺติยา มตฺถเก ฐิโตฯ ทุติโย พุทฺธภาวาวหปพฺพชฺชโต ปฎฺฐาย อาสนฺนปฎิปตฺติทสฺสนวเสน, ตติโย พุทฺธกรธมฺมปาริปูริโต ปฎฺฐาย พุทฺธภาวาย ปฎิปตฺติทสฺสนวเสนฯ น หิ มหาสตฺตานํ ตุสิตภวูปปตฺติโต ปฎฺฐาย โพธิสมฺภารสมฺภรณํ นาม อตฺถิฯ จตุโตฺถ พุทฺธกรธมฺมสมารมฺภโต ปฎฺฐายฯ โพธิยา นิยตภาวาปตฺติโต ปภุติ หิ วิญฺญูหิ ‘‘พุโทฺธ อุปฺปชฺชตี’’ติ วตฺตุํ สกฺกา อุปฺปาทสฺส เอกนฺติกตฺตา, ยถา ปน ‘‘ติฎฺฐนฺติ ปพฺพตา, สนฺทนฺติ นทิโย’’ติ ติฎฺฐนสนฺทนกิริยานํ อวิเจฺฉทมุปาทาย วตฺตมานปโยโค, เอวํ อุปฺปาทตฺถาย ปฎิปชฺชนกิริยาย อวิเจฺฉทมุปาทาย จตูสุ วิกเปฺปสุ ‘‘อุปฺปชฺชติ นามา’’ติ วุตฺตํฯ สพฺพปฐมํ อุปฺปนฺนภาวนฺติ สเพฺพหิ อุปริ วุจฺจมาเนหิ วิเสเสหิ ปฐมํ ตถาคตสฺส อุปฺปนฺนตาสงฺขาตํ อตฺถิตาวิเสสํฯ
Sujātāyātiādinā vuttesu catūsu vikappesu paṭhamo vikappo buddhabhāvāya āsannatarapaṭipattidassanavasena vutto. Āsannatarāya hi paṭipattiyaṃ ṭhito ‘‘uppajjatī’’ti vuccati uppādassa ekantikattā, pageva paṭipattiyā matthake ṭhito. Dutiyo buddhabhāvāvahapabbajjato paṭṭhāya āsannapaṭipattidassanavasena, tatiyo buddhakaradhammapāripūrito paṭṭhāya buddhabhāvāya paṭipattidassanavasena. Na hi mahāsattānaṃ tusitabhavūpapattito paṭṭhāya bodhisambhārasambharaṇaṃ nāma atthi. Catuttho buddhakaradhammasamārambhato paṭṭhāya. Bodhiyā niyatabhāvāpattito pabhuti hi viññūhi ‘‘buddho uppajjatī’’ti vattuṃ sakkā uppādassa ekantikattā, yathā pana ‘‘tiṭṭhanti pabbatā, sandanti nadiyo’’ti tiṭṭhanasandanakiriyānaṃ avicchedamupādāya vattamānapayogo, evaṃ uppādatthāya paṭipajjanakiriyāya avicchedamupādāya catūsu vikappesu ‘‘uppajjati nāmā’’ti vuttaṃ. Sabbapaṭhamaṃ uppannabhāvanti sabbehi upari vuccamānehi visesehi paṭhamaṃ tathāgatassa uppannatāsaṅkhātaṃ atthitāvisesaṃ.
โส ภควาติ (อ. นิ. ฎี. ๒.๓.๖๔) โย ‘‘ตถาคโต อรห’’นฺติอาทินา กิตฺติตคุโณ, โส ภควาฯ อิมํ โลกนฺติ นยิทํ มหาชนสฺส สมฺมุขามตฺตํ โลกํ สนฺธาย วุตฺตํ, อถ โข อนวเสสํ ปริยาทายาติ ทเสฺสตุํ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘อิทานิ วตฺตพฺพํ นิทเสฺสตี’’ติฯ ปชาตตฺตาติ ยถาสกํ กมฺมกิเลเสหิ นิพฺพตฺตตฺตาฯ ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณํ ปาริเสสญาเยน อิตเรสํ ปทนฺตเรหิ สงฺคหิตตฺตาฯ สเทวกนฺติ จ อวยเวน วิคฺคโห สมุทาโย สมาสโตฺถฯ ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํ ปจฺจาสตฺติญาเยนฯ ตตฺถ หิ โส ชาโต ตนฺนิวาสี จฯ พฺรหฺมกายิกาทิพฺรหฺมคฺคหณนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปจฺจตฺถิกปจฺจามิตฺตสมณพฺราหฺมณคฺคหณนฺติ นิทสฺสนมตฺตเมตํ อปจฺจตฺถิกานํ อสมิตาพาหิตปาปานญฺจ สมณพฺราหฺมณานํ สสฺสมณพฺราหฺมณิวจเนน คหิตตฺตาฯ กามํ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทิวิเสสนานํ วเสน สตฺตวิสโย โลก-สโทฺทติ วิญฺญายติ ตุลฺยโยควิสยตฺตา เตสํ, ‘‘สโลมโก สปกฺขโก’’ติอาทีสุ ปน อตุลฺยโยเคปิ อยํ สมาโส ลพฺภตีติ พฺยภิจารทสฺสนโต ปชาคหณนฺติ อาห ‘‘ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณ’’นฺติฯ
So bhagavāti (a. ni. ṭī. 2.3.64) yo ‘‘tathāgato araha’’ntiādinā kittitaguṇo, so bhagavā. Imaṃ lokanti nayidaṃ mahājanassa sammukhāmattaṃ lokaṃ sandhāya vuttaṃ, atha kho anavasesaṃ pariyādāyāti dassetuṃ ‘‘sadevaka’’ntiādi vuttaṃ. Tenāha ‘‘idāni vattabbaṃ nidassetī’’ti. Pajātattāti yathāsakaṃ kammakilesehi nibbattattā. Pañcakāmāvacaradevaggahaṇaṃ pārisesañāyena itaresaṃ padantarehi saṅgahitattā. Sadevakanti ca avayavena viggaho samudāyo samāsattho. Chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ paccāsattiñāyena. Tattha hi so jāto tannivāsī ca. Brahmakāyikādibrahmaggahaṇanti etthāpi eseva nayo. Paccatthikapaccāmittasamaṇabrāhmaṇaggahaṇanti nidassanamattametaṃ apaccatthikānaṃ asamitābāhitapāpānañca samaṇabrāhmaṇānaṃ sassamaṇabrāhmaṇivacanena gahitattā. Kāmaṃ ‘‘sadevaka’’ntiādivisesanānaṃ vasena sattavisayo loka-saddoti viññāyati tulyayogavisayattā tesaṃ, ‘‘salomako sapakkhako’’tiādīsu pana atulyayogepi ayaṃ samāso labbhatīti byabhicāradassanato pajāgahaṇanti āha ‘‘pajāvacanena sattalokaggahaṇa’’nti.
อรูปิโน สตฺตา อตฺตโน อาเนญฺชวิหาเรน วิหรนฺตา ‘‘ทิพฺพนฺตีติ เทวา’’ติ อิมํ นิพฺพจนํ ลภนฺตีติ อาห ‘‘สเทวกคฺคหเณน อรูปาวจรเทวโลโก คหิโต’’ติฯ เตเนวาห ‘‘อากาสานญฺจายตนูปคานํ เทวานํ สหพฺยต’’นฺติ (อ. นิ. ๓.๑๑๗)ฯ สมารกคฺคหเณน ฉกามาวจรเทวโลโก คหิโต ตสฺส สวิเสสํ มารสฺส วเส วตฺตนโตฯ รูปี พฺรหฺมโลโก คหิโต อรูปีพฺรหฺมโลกสฺส วิสุํ คหิตตฺตาฯ จตุปริสวเสนาติ ขตฺติยาทิจตุปริสวเสนฯ อิตรา ปน จตโสฺส ปริสา สมารกาทิคฺคหเณน คหิตา เอวาติฯ อวเสสสพฺพสตฺตโลโก นาคครุฬาทิเภโทฯ
Arūpino sattā attano āneñjavihārena viharantā ‘‘dibbantīti devā’’ti imaṃ nibbacanaṃ labhantīti āha ‘‘sadevakaggahaṇena arūpāvacaradevaloko gahito’’ti. Tenevāha ‘‘ākāsānañcāyatanūpagānaṃ devānaṃ sahabyata’’nti (a. ni. 3.117). Samārakaggahaṇena chakāmāvacaradevaloko gahito tassa savisesaṃ mārassa vase vattanato. Rūpī brahmaloko gahito arūpībrahmalokassa visuṃ gahitattā. Catuparisavasenāti khattiyādicatuparisavasena. Itarā pana catasso parisā samārakādiggahaṇena gahitā evāti. Avasesasabbasattaloko nāgagaruḷādibhedo.
เอตฺตาวตา ภาคโส โลกํ คเหตฺวา โยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เตน เตน วิเสเสน อภาคโสว โลกํ คเหตฺวา โยชนํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิเจตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโตติ อุกฺกํสคภิวิชานเนนฯ ปญฺจสุ หิ คตีสุ เทวโลโกว เสโฎฺฐฯ ตตฺถาปิ อรูปิโน ‘‘ทูรสมุสฺสาริตกิเลสทุกฺขตาย, สนฺตปณีตอาเนญฺชวิหารสมงฺคิตาย, อติวิย ทีฆายุกตายา’’ติ เอวมาทีหิ วิเสเสหิ อติวิย อิตเรหิ อุกฺกฎฺฐาฯ พฺรหฺมา มหานุภาโวติอาทิํ ทสสหสฺสิยํ มหาพฺรหฺมุโน วเสน วทติฯ ‘‘อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต’’ติ หิ วุตฺตํฯ อนุตฺตรนฺติ เสฎฺฐํ นวโลกุตฺตรํฯ ภาวานุกฺกโม ภาววเสน ปเรสํ อชฺฌาสยวเสน ‘‘สเทวก’’นฺติอาทีนํ ปทานํ อนุกฺกโมฯ ตีหากาเรหีติ เทวมารพฺรหฺมสหิตตาสงฺขาเตหิ ตีหิ ปกาเรหิฯ ตีสุ ปเทสูติ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทีสุ ตีสุ ปเทสุฯ เตน เตนากาเรนาติ สเทวกตฺตาทินา เตน เตน ปกาเรนฯ เตธาตุกเมว ปริยาทินฺนนฺติ โปราณา ปนาหูติ โยชนาฯ
Ettāvatā bhāgaso lokaṃ gahetvā yojanaṃ dassetvā idāni tena tena visesena abhāgasova lokaṃ gahetvā yojanaṃ dassetuṃ ‘‘apicetthā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ukkaṭṭhaparicchedatoti ukkaṃsagabhivijānanena. Pañcasu hi gatīsu devalokova seṭṭho. Tatthāpi arūpino ‘‘dūrasamussāritakilesadukkhatāya, santapaṇītaāneñjavihārasamaṅgitāya, ativiya dīghāyukatāyā’’ti evamādīhi visesehi ativiya itarehi ukkaṭṭhā. Brahmā mahānubhāvotiādiṃ dasasahassiyaṃ mahābrahmuno vasena vadati. ‘‘Ukkaṭṭhaparicchedato’’ti hi vuttaṃ. Anuttaranti seṭṭhaṃ navalokuttaraṃ. Bhāvānukkamo bhāvavasena paresaṃ ajjhāsayavasena ‘‘sadevaka’’ntiādīnaṃ padānaṃ anukkamo. Tīhākārehīti devamārabrahmasahitatāsaṅkhātehi tīhi pakārehi. Tīsu padesūti ‘‘sadevaka’’ntiādīsu tīsu padesu. Tena tenākārenāti sadevakattādinā tena tena pakārena. Tedhātukameva pariyādinnanti porāṇā panāhūti yojanā.
อภิญฺญาติ ย-การโลเปนายํ นิเทฺทโส, อภิชานิตฺวาติ อยเมตฺถ อโตฺถติ อาห ‘‘อภิญฺญาย, อธิเกน ญาเณน ญตฺวา’’ติฯ อนุมานาทิปฎิเกฺขโปติ อนุมานอุปมานอตฺถาปตฺติอาทิปฎิเกฺขโป เอกปฺปมาณตฺตาฯ สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณาจารตาย หิ สพฺพปจฺจกฺขา พุทฺธา ภควโนฺตฯ อนุตฺตรํ วิเวกสุขนฺติ ผลสมาปตฺติสุขํฯ เตน วีติมิสฺสาปิ กทาจิ ภควโต ธมฺมเทสนา โหตีติ อาห ‘‘หิตฺวาปี’’ติฯ ภควา หิ ธมฺมํ เทเสโนฺต ยสฺมิํ ขเณ ปริสา สาธุการํ วา เทติ, ยถาสุตํ วา ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขติ, ตํ ขณํ ปุพฺพภาเคน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, ยถาปริเจฺฉทญฺจ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ธมฺมํ เทเสติฯ
Abhiññāti ya-kāralopenāyaṃ niddeso, abhijānitvāti ayamettha atthoti āha ‘‘abhiññāya, adhikena ñāṇena ñatvā’’ti. Anumānādipaṭikkhepoti anumānaupamānaatthāpattiādipaṭikkhepo ekappamāṇattā. Sabbattha appaṭihatañāṇācāratāya hi sabbapaccakkhā buddhā bhagavanto. Anuttaraṃ vivekasukhanti phalasamāpattisukhaṃ. Tena vītimissāpi kadāci bhagavato dhammadesanā hotīti āha ‘‘hitvāpī’’ti. Bhagavā hi dhammaṃ desento yasmiṃ khaṇe parisā sādhukāraṃ vā deti, yathāsutaṃ vā dhammaṃ paccavekkhati, taṃ khaṇaṃ pubbabhāgena paricchinditvā phalasamāpattiṃ samāpajjati, yathāparicchedañca samāpattito vuṭṭhāya ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya dhammaṃ deseti.
เทสกายเตฺตน อาณาทิวิธินา อติสชฺชนํ ปโพธนํ เทสนาติ สา ปริยตฺติธมฺมวเสน เวทิตพฺพาติ อาห ‘‘เทสนาย ตาว จตุปฺปทิกายปิ คาถายา’’ติอาทิฯ สาสิตพฺพปุคฺคลคเตน ยถาปราธาทิสาสิตพฺพภาเวน อนุสาสนํ ตทงฺควินยาทิวเสน วินยนํ สาสนนฺติ ตํ ปฎิปตฺติธมฺมวเสน เวทิตพฺพนฺติ อาห ‘‘สีลสมาธิวิปสฺสนา’’ติอาทิฯ กุสลานนฺติ มคฺคกุสลานํ, กุสลานนฺติ วา อนวชฺชานํฯ เตน ผลธมฺมานมฺปิ สงฺคโห สิโทฺธ โหติฯ อาทิภาโว สีลทิฎฺฐีนํ ตมฺมูลกตฺตา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมานํฯ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ กถาวธิสทฺทปฺปพโนฺธ คาถาวเสน สุตฺตวเสน จ ววตฺถิโต ปริยตฺติธโมฺม, โย อิเธว ‘‘เทสนา’’ติ วุโตฺตฯ ตสฺส ปน อโตฺถ วิเสเสน สีลาทิ เอวาติ อาห ‘‘ภควา หิ ธมฺมํ เทเสโนฺต…เป.… นิพฺพานํ ทเสฺสตี’’ติฯ ตตฺถ สีลํ ทเสฺสตฺวาติ สีลคฺคหเณน สสมฺภารํ สีลํ คหิตํฯ ตถา มคฺคคฺคหเณน สสมฺภาโร มโคฺคติ ตทุภเยน อนวเสสโต ปริยตฺติอตฺถํ ปริยาทิยติฯ เตนาติ สีลาทิทสฺสเนนฯ อตฺถวเสน หิ อิธ เทสนาย อาทิกลฺยาณาทิภาโว อธิเปฺปโตฯ กถิกสณฺฐิตีติ กถิกสฺส สณฺฐานํ กถนวเสน สมวฎฺฐานํฯ
Desakāyattena āṇādividhinā atisajjanaṃ pabodhanaṃ desanāti sā pariyattidhammavasena veditabbāti āha ‘‘desanāya tāva catuppadikāyapi gāthāyā’’tiādi. Sāsitabbapuggalagatena yathāparādhādisāsitabbabhāvena anusāsanaṃ tadaṅgavinayādivasena vinayanaṃ sāsananti taṃ paṭipattidhammavasena veditabbanti āha ‘‘sīlasamādhivipassanā’’tiādi. Kusalānanti maggakusalānaṃ, kusalānanti vā anavajjānaṃ. Tena phaladhammānampi saṅgaho siddho hoti. Ādibhāvo sīladiṭṭhīnaṃ tammūlakattā uttarimanussadhammānaṃ. Tasmiṃ tasmiṃ atthe kathāvadhisaddappabandho gāthāvasena suttavasena ca vavatthito pariyattidhammo, yo idheva ‘‘desanā’’ti vutto. Tassa pana attho visesena sīlādi evāti āha ‘‘bhagavā hi dhammaṃ desento…pe… nibbānaṃ dassetī’’ti. Tattha sīlaṃ dassetvāti sīlaggahaṇena sasambhāraṃ sīlaṃ gahitaṃ. Tathā maggaggahaṇena sasambhāro maggoti tadubhayena anavasesato pariyattiatthaṃ pariyādiyati. Tenāti sīlādidassanena. Atthavasena hi idha desanāya ādikalyāṇādibhāvo adhippeto. Kathikasaṇṭhitīti kathikassa saṇṭhānaṃ kathanavasena samavaṭṭhānaṃ.
น โส สาตฺถํ เทเสติ นิยฺยานตฺถวิรหโต ตสฺสา เทสนายฯ เอกพฺยญฺชนาทิยุตฺตา วาติ สิถิลาทิเภเทสุ พฺยญฺชเนสุ เอกปฺปกาเรเนว, ทฺวิปฺปกาเรเนว วา พฺยญฺชเนน ยุตฺตา วา ทมิฬภาสา วิยฯ สพฺพตฺถ นิโรฎฺฐํ กตฺวา วตฺตพฺพตาย สพฺพนิโรฎฺฐพฺยญฺชนา วา กิราตภาสา วิยฯ สพฺพเตฺถว วิสฺสชฺชนียยุตฺตตาย สพฺพวิสฺสฎฺฐพฺยญฺชนา วา ยวนภาสา วิยฯ สพฺพเตฺถว สานุสารตาย สพฺพนิคฺคหิตพฺยญฺชนา วา ปารสิกาทิมิลกฺขภาสา วิยฯ สพฺพาเปสา เอกเทสพฺยญฺชนวเสเนว ปวตฺติยา อปริปุณฺณพฺยญฺชนาติ กตฺวา ‘‘อพฺยญฺชนา’’ติ วุตฺตาฯ อมเกฺขตฺวาติ อปลิเจฺฉตฺวา อวินาเสตฺวา, อหาเปตฺวาติ วา อโตฺถฯ
Na so sātthaṃ deseti niyyānatthavirahato tassā desanāya. Ekabyañjanādiyuttā vāti sithilādibhedesu byañjanesu ekappakāreneva, dvippakāreneva vā byañjanena yuttā vā damiḷabhāsā viya. Sabbattha niroṭṭhaṃ katvā vattabbatāya sabbaniroṭṭhabyañjanā vā kirātabhāsā viya. Sabbattheva vissajjanīyayuttatāya sabbavissaṭṭhabyañjanā vā yavanabhāsā viya. Sabbattheva sānusāratāya sabbaniggahitabyañjanā vā pārasikādimilakkhabhāsā viya. Sabbāpesā ekadesabyañjanavaseneva pavattiyā aparipuṇṇabyañjanāti katvā ‘‘abyañjanā’’ti vuttā. Amakkhetvāti apalicchetvā avināsetvā, ahāpetvāti vā attho.
ภควา ยมตฺถํ ญาเปตุํ เอกคาถมฺปิ เอกวากฺยมฺปิ เทเสติ, ตมตฺถํ ตาย เทสนาย สพฺพโส ปริปุณฺณเมว กตฺวา เทเสติ, เอวํ สพฺพตฺถาติ อาห ‘‘เอกเทสนาปิ อปริปุณฺณา นตฺถี’’ติฯ อุลฺลุมฺปนสภาวสณฺฐิเตนาติ สํกิเลสปกฺขโต วฎฺฎทุกฺขโต จ อุทฺธรณสภาวาวฎฺฐิเตน จิเตฺตนฯ ตสฺมาติ ยสฺมา สิกฺขาตฺตยสงฺคหํ สกลํ สาสนํ อิธ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ อธิเปฺปตํ, ตสฺมาฯ พฺรหฺมจริยนฺติ อิมินา สมานาธิกรณานิ สพฺพปทานิ โยเชตฺวา อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โส ธมฺมํ เทเสติ…เป.… ปกาเสตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ อาหฯ
Bhagavā yamatthaṃ ñāpetuṃ ekagāthampi ekavākyampi deseti, tamatthaṃ tāya desanāya sabbaso paripuṇṇameva katvā deseti, evaṃ sabbatthāti āha ‘‘ekadesanāpi aparipuṇṇā natthī’’ti. Ullumpanasabhāvasaṇṭhitenāti saṃkilesapakkhato vaṭṭadukkhato ca uddharaṇasabhāvāvaṭṭhitena cittena. Tasmāti yasmā sikkhāttayasaṅgahaṃ sakalaṃ sāsanaṃ idha ‘‘brahmacariya’’nti adhippetaṃ, tasmā. Brahmacariyanti iminā samānādhikaraṇāni sabbapadāni yojetvā atthaṃ dassento ‘‘so dhammaṃ deseti…pe… pakāsetīti evamettha attho daṭṭhabbo’’ti āha.
ทูรสมุสฺสาริตมานเสฺสว สาสเน สมฺมาปฎิปตฺติ สมฺภวติ, น มาน ชาติกสฺสาติ อาห ‘‘นิหตมานตฺตา’’ติฯ อุสฺสนฺนตฺตาติ พหุลภาวโตฯ โภคาโรคฺยาทิวตฺถุกา มทา สุปฺปเหยฺยา โหนฺติ นิมิตฺตสฺส อนวฎฺฐานโต’ น ตถา กุลวิชฺชามทาติ ขตฺติยพฺราหฺมณกุลีนานํ ปพฺพชิตานมฺปิ ชาติวิชฺชา นิสฺสาย มานชปฺปนํ ทุปฺปชหนฺติ อาห ‘‘เยภุเยฺยน หิ…เป.… มานํ กโรนฺตี’’ติ ฯ วิชาติตายาติ นิหีนชาติตายฯ ปติฎฺฐาตุํ น สโกฺกนฺตีติ สุวิสุทฺธิํ กตฺวา สีลํ รกฺขิตุํ น สโกฺกนฺติฯ สีลวเสน หิ สาสเน ปติฎฺฐาติฯ ปติฎฺฐาตุนฺติ วา สจฺจปฎิเวเธน โลกุตฺตราย ปติฎฺฐาย ปติฎฺฐาตุํฯ เยภุเยฺยน หิ อุปนิสฺสยสมฺปนฺนา สุชาตา เอว โหนฺติ, น ทุชฺชาตาฯ
Dūrasamussāritamānasseva sāsane sammāpaṭipatti sambhavati, na māna jātikassāti āha ‘‘nihatamānattā’’ti. Ussannattāti bahulabhāvato. Bhogārogyādivatthukā madā suppaheyyā honti nimittassa anavaṭṭhānato’ na tathā kulavijjāmadāti khattiyabrāhmaṇakulīnānaṃ pabbajitānampi jātivijjā nissāya mānajappanaṃ duppajahanti āha ‘‘yebhuyyena hi…pe… mānaṃ karontī’’ti . Vijātitāyāti nihīnajātitāya. Patiṭṭhātuṃ na sakkontīti suvisuddhiṃ katvā sīlaṃ rakkhituṃ na sakkonti. Sīlavasena hi sāsane patiṭṭhāti. Patiṭṭhātunti vā saccapaṭivedhena lokuttarāya patiṭṭhāya patiṭṭhātuṃ. Yebhuyyena hi upanissayasampannā sujātā eva honti, na dujjātā.
ปริสุทฺธนฺติ ราคาทีนํ อจฺจนฺตเมว ปหานทีปนโต นิรุปกฺกิเลสตาย สพฺพโส วิสุทฺธํฯ สทฺธํ ปฎิลภตีติ โปถุชฺชนิกสทฺธาวเสน สทฺทหติฯ วิญฺญุชาติกานญฺหิ ธมฺมสมฺปตฺติคหณปุพฺพิกา สทฺธาสิทฺธิ ธมฺมปมาณธมฺมปฺปสนฺนภาวโตฯ ชายมฺปติกา วสนฺตีติ กามํ ‘‘ชายมฺปติกา’’ติ วุเตฺต ฆรสามิกฆรสามินิวเสน ทฺวินฺนํเยว คหณํ วิญฺญายติฯ ยสฺส ปน ปุริสสฺส อเนกา ปชาปติโย โหนฺติ, ตตฺถ กิํ วตฺตพฺพํ? เอกายปิ ตาย วาโส สมฺพาโธติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘เทฺว’’ติ วุตฺตํฯ ราคาทินา สกิญฺจนเฎฺฐน, เขตฺตวตฺถุอาทินา สปลิโพธเฎฺฐนฯ ราครชาทีนํ อาคมนปถตาปิ อุปฺปชฺชนฎฺฐานตา เอวาติ เทฺวปิ วณฺณนา เอกตฺถา, พฺยญฺชนเมว นานํฯ อลคฺคนเฎฺฐนาติ อสชฺชนเฎฺฐน อปฺปฎิพทฺธภาเวนฯ เอวํ อกุสลกุสลปฺปวตฺตีนํ ฐานภาเวน ฆราวาสปพฺพชฺชานํ สมฺพาธโพฺภกาสตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ กุสลปฺปวตฺติยา เอว อฎฺฐานฐานภาเวน เตสํ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Parisuddhanti rāgādīnaṃ accantameva pahānadīpanato nirupakkilesatāya sabbaso visuddhaṃ. Saddhaṃ paṭilabhatīti pothujjanikasaddhāvasena saddahati. Viññujātikānañhi dhammasampattigahaṇapubbikā saddhāsiddhi dhammapamāṇadhammappasannabhāvato. Jāyampatikā vasantīti kāmaṃ ‘‘jāyampatikā’’ti vutte gharasāmikagharasāminivasena dvinnaṃyeva gahaṇaṃ viññāyati. Yassa pana purisassa anekā pajāpatiyo honti, tattha kiṃ vattabbaṃ? Ekāyapi tāya vāso sambādhoti dassanatthaṃ ‘‘dve’’ti vuttaṃ. Rāgādinā sakiñcanaṭṭhena, khettavatthuādinā sapalibodhaṭṭhena. Rāgarajādīnaṃ āgamanapathatāpi uppajjanaṭṭhānatā evāti dvepi vaṇṇanā ekatthā, byañjanameva nānaṃ. Alagganaṭṭhenāti asajjanaṭṭhena appaṭibaddhabhāvena. Evaṃ akusalakusalappavattīnaṃ ṭhānabhāvena gharāvāsapabbajjānaṃ sambādhabbhokāsataṃ dassetvā idāni kusalappavattiyā eva aṭṭhānaṭhānabhāvena tesaṃ taṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi vuttaṃ.
สเงฺขปกถาติ วิสุํ วิสุํ ปทุทฺธารํ อกตฺวา สเงฺขปโต อตฺถวณฺณนาฯ เอกมฺปิ ทิวสนฺติ เอกทิวสมตฺตมฺปิฯ อขณฺฑํ กตฺวาติ ทุกฺกฎมตฺตสฺสปิ อนาปชฺชเนน อขณฺฑิตํ กตฺวาฯ กิเลสมเลน อมลีนนฺติ ตณฺหาสํกิเลสาทิวเสน อสํกิลิฎฺฐํ กตฺวาฯ ปริทหิตฺวาติ นิวาเสตฺวา เจว ปารุปิตฺวา จฯ อคารวาโส อคารํ อุตฺตรปทโลเปน, ตสฺส วฑฺฒิอาวหํ อคารสฺส หิตํฯ โภคกฺขโนฺธติ โภคราสิ โภคสมุทาโยฯ อาพนฺธนเฎฺฐนาติ ‘‘ปุโตฺต นตฺตา’’ติอาทินา เปมวเสน สปริเจฺฉทํ สมฺพนฺธนเฎฺฐนฯ ‘‘อมฺหากเมเต’’ติ ญายนฺตีติ ญาตีฯ ปิตามหปิตุปุตฺตาทิวเสน ปริวตฺตนเฎฺฐน ปริวโฎฺฎฯ
Saṅkhepakathāti visuṃ visuṃ paduddhāraṃ akatvā saṅkhepato atthavaṇṇanā. Ekampi divasanti ekadivasamattampi. Akhaṇḍaṃ katvāti dukkaṭamattassapi anāpajjanena akhaṇḍitaṃ katvā. Kilesamalena amalīnanti taṇhāsaṃkilesādivasena asaṃkiliṭṭhaṃ katvā. Paridahitvāti nivāsetvā ceva pārupitvā ca. Agāravāso agāraṃ uttarapadalopena, tassa vaḍḍhiāvahaṃ agārassa hitaṃ. Bhogakkhandhoti bhogarāsi bhogasamudāyo. Ābandhanaṭṭhenāti ‘‘putto nattā’’tiādinā pemavasena saparicchedaṃ sambandhanaṭṭhena. ‘‘Amhākamete’’ti ñāyantīti ñātī. Pitāmahapituputtādivasena parivattanaṭṭhena parivaṭṭo.
๒๙๒. สามญฺญวาจีปิ สิกฺขา-สโทฺท สาชีว-สทฺทสนฺนิธานโต อุปริ วุจฺจมานวิเสสาเปกฺขาย จ วิเสสนิวิโฎฺฐว โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ยา ภิกฺขูนํ อธิสีลสงฺขาตา สิกฺขา’’ติฯ สิกฺขิตพฺพเฎฺฐน สิกฺขาฯ สห อาชีวนฺติ เอตฺถาติ สาชีโวฯ สิกฺขนภาเวนาติ สิกฺขาย สาชีเว จ สิกฺขนภาเวนฯ สิกฺขํ ปริปูเรโนฺตติ สีลสํวรํ ปริปูเรโนฺตฯ สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺตติ – ‘‘นามกาโย ปทกาโย นิรุตฺติกาโย พฺยญฺชนกาโย’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๓๙) วุตฺตสิกฺขาปทํ ภควโต วจนํ อวีติกฺกมโนฺต หุตฺวาติ อโตฺถฯ อิทเมว จ ทฺวยํ ‘‘สิกฺขน’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ สาชีวานติกฺกโม สิกฺขาปาริปูริยา ปจฺจโยฯ ตโต หิ ยาว มคฺคา สิกฺขาปาริปูรี โหตีติฯ
292. Sāmaññavācīpi sikkhā-saddo sājīva-saddasannidhānato upari vuccamānavisesāpekkhāya ca visesaniviṭṭhova hotīti vuttaṃ ‘‘yā bhikkhūnaṃ adhisīlasaṅkhātā sikkhā’’ti. Sikkhitabbaṭṭhena sikkhā. Saha ājīvanti etthāti sājīvo. Sikkhanabhāvenāti sikkhāya sājīve ca sikkhanabhāvena. Sikkhaṃ paripūrentoti sīlasaṃvaraṃ paripūrento. Sājīvañca avītikkamantoti – ‘‘nāmakāyo padakāyo niruttikāyo byañjanakāyo’’ti (pārā. aṭṭha. 39) vuttasikkhāpadaṃ bhagavato vacanaṃ avītikkamanto hutvāti attho. Idameva ca dvayaṃ ‘‘sikkhana’’nti vuttaṃ. Tattha sājīvānatikkamo sikkhāpāripūriyā paccayo. Tato hi yāva maggā sikkhāpāripūrī hotīti.
ปชหิตฺวาติ สมาทานวเสน ปริจฺจชิตฺวาฯ ปหีนกาลโต ปฎฺฐาย…เป.… วิรโตวาติ เอเตน ปหานสฺส วิรติยา จ สมานกาลตํ ทเสฺสติ ฯ ยทิ เอวํ ‘‘ปหายา’’ติ กถํ ปุริมกาลนิเทฺทโสติ? ตถา คเหตพฺพตํ อุปาทายฯ ธมฺมานญฺหิ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนภาเว อเปกฺขิเต สหชาตานมฺปิ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนภาเวน คหณํ ปุริมปจฺฉิมภาเวเนว โหตีติ คหณปวตฺติอาการวเสน ปจฺจยภูเตสุ หิโรตฺตปฺปญาณาทีสุ ปหานกิริยาย ปุริมกาลโวหาโร, ปจฺจยุปฺปนฺนาสุ จ วิรตีสุ วิรมณกิริยาย อปรกาลโวหาโร จ โหตีติ ‘‘ปหาย ปฎิวิรโต โหตี’’ติ วุตฺตํฯ ปหายาติ วา สมาทานกาลวเสน วุตฺตํ, ปจฺฉา วีติกฺกมิตพฺพวตฺถุสมาโยควเสน ปฎิวิรโตติฯ ปหายาติ วา –
Pajahitvāti samādānavasena pariccajitvā. Pahīnakālato paṭṭhāya…pe… viratovāti etena pahānassa viratiyā ca samānakālataṃ dasseti . Yadi evaṃ ‘‘pahāyā’’ti kathaṃ purimakālaniddesoti? Tathā gahetabbataṃ upādāya. Dhammānañhi paccayapaccayuppannabhāve apekkhite sahajātānampi paccayapaccayuppannabhāvena gahaṇaṃ purimapacchimabhāveneva hotīti gahaṇapavattiākāravasena paccayabhūtesu hirottappañāṇādīsu pahānakiriyāya purimakālavohāro, paccayuppannāsu ca viratīsu viramaṇakiriyāya aparakālavohāro ca hotīti ‘‘pahāya paṭivirato hotī’’ti vuttaṃ. Pahāyāti vā samādānakālavasena vuttaṃ, pacchā vītikkamitabbavatthusamāyogavasena paṭiviratoti. Pahāyāti vā –
‘‘นิหนฺตฺวาน ตโมขนฺธํ, อุทิโตยํ ทิวากโร;
‘‘Nihantvāna tamokhandhaṃ, uditoyaṃ divākaro;
วณฺณปภาย ภาเสติ, โอภาเสตฺวา สมุคฺคโต’’ติ จฯ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๒.๕๗๘) –
Vaṇṇapabhāya bhāseti, obhāsetvā samuggato’’ti ca. (visuddhi. mahāṭī. 2.578) –
เอวมาทีสุ วิย สมานกาลวเสน เวทิตโพฺพฯ อถ วา ปาโณ อติปาตียติ เอเตนาติ ปาณาติปาโต, ปาณฆาตเหตุภูโต อหิริกาโนตฺตปฺปโทสโมหวิหิํ สาทิโก เจตนาปธาโน สํกิเลสธโมฺม, ตํ สมาทานวเสน ปหายฯ ตโต…เป.… วิรโตว โหตีติ อวธารเณน ตสฺสา วิรติยา กาลาทิวเสน อปริยนฺตตํ ทเสฺสติฯ ยถา หิ อเญฺญ สมาทินฺนวิรติกาปิ อนวฎฺฐิตจิตฺตตาย ลาภชีวิกาทิเหตุ สมาทานํ ภินฺทเนฺตว, น เอวมยํฯ อยํ ปน ปหีนกาลโต ปฎฺฐาย โอรโต วิรโตติฯ อทินฺนาทานํ ปหายาติอาทีสุปิ อิมินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Evamādīsu viya samānakālavasena veditabbo. Atha vā pāṇo atipātīyati etenāti pāṇātipāto, pāṇaghātahetubhūto ahirikānottappadosamohavihiṃ sādiko cetanāpadhāno saṃkilesadhammo, taṃ samādānavasena pahāya. Tato…pe… viratova hotīti avadhāraṇena tassā viratiyā kālādivasena apariyantataṃ dasseti. Yathā hi aññe samādinnaviratikāpi anavaṭṭhitacittatāya lābhajīvikādihetu samādānaṃ bhindanteva, na evamayaṃ. Ayaṃ pana pahīnakālato paṭṭhāya orato viratoti. Adinnādānaṃ pahāyātiādīsupi iminā nayena attho veditabbo.
ทณฺฑนํ ทณฺฑนิปาตนํ ทโณฺฑฯ มุคฺคราทิปหรณวิเสโสปิ อิธ ปหรณวิเสโสติ อธิเปฺปโตฯ เตนาห ‘‘ฐเปตฺวา ทณฺฑํ สพฺพมฺปิ อวเสสํ อุปกรณ’’นฺติฯ ทณฺฑนสงฺขาตสฺส ปรวิเหฐนสฺส ปริวชฺชิตภาวทีปนตฺถํ ทณฺฑสตฺถานํ นิเกฺขปวจนนฺติ อาห ‘‘ปรูปฆาตตฺถายา’’ติอาทิฯ วิหิํสนภาวโตติ วิพาธนภาวโตฯ ลชฺชีติ เอตฺถ วุตฺตลชฺชาย โอตฺตปฺปมฺปิ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ น หิ ปาปชิคุจฺฉนปาปุตฺตาสรหิตํ, ปาปภยํ วา อลชฺชนํ อตฺถิฯ ยสฺส วา ธมฺมครุตาย ธมฺมสฺส จ อตฺตาธีนตฺตา อตฺตาธิปติภูตา ลชฺชากิจฺจการี, ตสฺส โลกาธิปติภูตํ โอตฺตปฺปํ กิจฺจกรนฺติ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ‘‘ลชฺชี’’อิเจฺจว วุตฺตํฯ ทยํ เมตฺตจิตฺตตํ อาปโนฺนติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ ทยา-สโทฺท ‘‘อทยาปโนฺน’’ติอาทีสุ กรุณาย วตฺตตีติ? สจฺจเมตํ, อยํ ปน ทยา-สโทฺท อนุรกฺขณตฺถํ อโนฺตนีตํ กตฺวา ปวตฺตมาโน เมตฺตาย จ กรุณาย จ ปวตฺตตีติ อิธ เมตฺตาย ปวตฺตมาโน วุโตฺตฯ มิชฺชติ สินิยฺหตีติ เมตฺตา, สา เอตสฺส อตฺถีติ เมตฺตํ, เมตฺตํ จิตฺตํ เอตสฺส อตฺถีติ เมตฺตจิโตฺต, ตสฺส ภาโว เมตฺตจิตฺตตา, เมตฺตาอิเจฺจว อโตฺถฯ
Daṇḍanaṃ daṇḍanipātanaṃ daṇḍo. Muggarādipaharaṇavisesopi idha paharaṇavisesoti adhippeto. Tenāha ‘‘ṭhapetvā daṇḍaṃ sabbampi avasesaṃ upakaraṇa’’nti. Daṇḍanasaṅkhātassa paraviheṭhanassa parivajjitabhāvadīpanatthaṃ daṇḍasatthānaṃ nikkhepavacananti āha ‘‘parūpaghātatthāyā’’tiādi. Vihiṃsanabhāvatoti vibādhanabhāvato. Lajjīti ettha vuttalajjāya ottappampi vuttanti daṭṭhabbaṃ. Na hi pāpajigucchanapāputtāsarahitaṃ, pāpabhayaṃ vā alajjanaṃ atthi. Yassa vā dhammagarutāya dhammassa ca attādhīnattā attādhipatibhūtā lajjākiccakārī, tassa lokādhipatibhūtaṃ ottappaṃ kiccakaranti vattabbameva natthīti ‘‘lajjī’’icceva vuttaṃ. Dayaṃ mettacittataṃ āpannoti kasmā vuttaṃ, nanu dayā-saddo ‘‘adayāpanno’’tiādīsu karuṇāya vattatīti? Saccametaṃ, ayaṃ pana dayā-saddo anurakkhaṇatthaṃ antonītaṃ katvā pavattamāno mettāya ca karuṇāya ca pavattatīti idha mettāya pavattamāno vutto. Mijjati siniyhatīti mettā, sā etassa atthīti mettaṃ, mettaṃ cittaṃ etassa atthīti mettacitto, tassa bhāvo mettacittatā, mettāicceva attho.
สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปีติ เอเตน ตสฺสา วิรติยา สตฺตวเสน อปริยนฺตตํ ทเสฺสติฯ ปาณภูเตติ ปาณชาเตฯ อนุกมฺปโกติ กรุณายนโกฯ ยสฺมา ปน เมตฺตา กรุณาย วิเสสปจฺจโย โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ตาย เอว ทยาปนฺนตายา’’ติฯ เอวํ เยหิ ธเมฺมหิ ปาณาติปาตา วิรติ สมฺปชฺชติ, เตหิ ลชฺชาเมตฺตากรุณาธเมฺมหิ สมงฺคิภาโว ทสฺสิโต, สทฺธิํ ปิฎฺฐิวฎฺฎกธเมฺมหีติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอตฺถาห – กสฺมา ‘‘ปาณาติปาตํ ปหายา’’ติ เอกวจนนิเทฺทโส กโต, นนุ นิรวเสสานํ ปาณานํ อติปาตโต วิรติ อิธาธิเปฺปตา? ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรตี’’ติฯ เตเนว หิ อฎฺฐกถายํ ‘‘สเพฺพ ปาณภูเต หิเตน อนุกมฺปโก’’ติ ปุถุวจนนิเทฺทโสติ? สจฺจเมตํ, ปาณภาวสามญฺญวเสน ปเนตฺถ ปาฬิยํ อาทิโต เอกวจนนิเทฺทโส กโต, สพฺพสทฺทสนฺนิธาเนน ปุถุตฺตํ วิญฺญายมานเมวาติ สามญฺญนิเทฺทสํ อกตฺวา เภทวจนิจฺฉาวเสน ทเสฺสตุํ อฎฺฐกถายํ พหุวจนวเสน อโตฺถ วุโตฺตฯ กิญฺจ ภิโยฺย – สามญฺญโต สํวรสมาทานํ, ตพฺพิเสสโต สํวรเภโทติ อิมสฺส วิเสสสฺส ทสฺสนตฺถํ อยํ วจนเภโท กโตติ เวทิตพฺพํฯ วิหรตีติ วุตฺตปฺปกาโร หุตฺวา เอกสฺมิํ อิริยาปเถ อุปฺปนฺนํ ทุกฺขํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อตฺตภาวํ หรติ ปวเตฺตตีติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘อิริยติ ปาเลตี’’ติฯ
Sabbapāṇabhūtahitānukampīti etena tassā viratiyā sattavasena apariyantataṃ dasseti. Pāṇabhūteti pāṇajāte. Anukampakoti karuṇāyanako. Yasmā pana mettā karuṇāya visesapaccayo hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘tāya eva dayāpannatāyā’’ti. Evaṃ yehi dhammehi pāṇātipātā virati sampajjati, tehi lajjāmettākaruṇādhammehi samaṅgibhāvo dassito, saddhiṃ piṭṭhivaṭṭakadhammehīti daṭṭhabbaṃ. Etthāha – kasmā ‘‘pāṇātipātaṃ pahāyā’’ti ekavacananiddeso kato, nanu niravasesānaṃ pāṇānaṃ atipātato virati idhādhippetā? Tathā hi vuttaṃ ‘‘sabbapāṇabhūtahitānukampī viharatī’’ti. Teneva hi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sabbe pāṇabhūte hitena anukampako’’ti puthuvacananiddesoti? Saccametaṃ, pāṇabhāvasāmaññavasena panettha pāḷiyaṃ ādito ekavacananiddeso kato, sabbasaddasannidhānena puthuttaṃ viññāyamānamevāti sāmaññaniddesaṃ akatvā bhedavacanicchāvasena dassetuṃ aṭṭhakathāyaṃ bahuvacanavasena attho vutto. Kiñca bhiyyo – sāmaññato saṃvarasamādānaṃ, tabbisesato saṃvarabhedoti imassa visesassa dassanatthaṃ ayaṃ vacanabhedo katoti veditabbaṃ. Viharatīti vuttappakāro hutvā ekasmiṃ iriyāpathe uppannaṃ dukkhaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā attabhāvaṃ harati pavattetīti attho. Tenāha ‘‘iriyati pāletī’’ti.
น เกวลํ กายวจีปโยควเสน อาทานเมว, อถ โข อากงฺขปิสฺส ปริจฺจตฺตวตฺถุวิสยาวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘จิเตฺตนปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เถเนติ เถยฺยํ กโรตีติ เถโน, โจโรฯ สุจิภูเตนาติ เอตฺถ สุจิภาโว อธิการโต สทฺทนฺตรสนฺนิธานโต จ เถยฺยสํกิเลสวิรมณนฺติ อาห ‘‘อเถนตฺตาเยว สุจิภูเตนา’’ติฯ กามเญฺจตฺถ ‘‘ลชฺชี ทยาปโนฺน’’ติอาทิ น วุตฺตํ, อธิการวเสน ปน อตฺถโต วา วุตฺตเมวาติ เวทิตพฺพํฯ ยถา หิ ลชฺชาทโย ปาณาติปาตปหานสฺส วิเสสปจฺจโย, เอวํ อทินฺนาทานปหานสฺสปีติ, ตสฺมา สาปิ ปาฬิ อาเนตฺวา วตฺตพฺพาฯ เอส นโย อิโต ปเรสุปิฯ อถ วา สุจิภูเตนาติ เอเตน หิโรตฺตปฺปาทีหิ สมนฺนาคโม, อหิริกาทีนญฺจ ปหานํ วุตฺตเมวาติ ‘‘ลชฺชี’’ติอาทิ น วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Na kevalaṃ kāyavacīpayogavasena ādānameva, atha kho ākaṅkhapissa pariccattavatthuvisayāvāti dassetuṃ ‘‘cittenapī’’tiādi vuttaṃ. Theneti theyyaṃ karotīti theno, coro. Sucibhūtenāti ettha sucibhāvo adhikārato saddantarasannidhānato ca theyyasaṃkilesaviramaṇanti āha ‘‘athenattāyeva sucibhūtenā’’ti. Kāmañcettha ‘‘lajjī dayāpanno’’tiādi na vuttaṃ, adhikāravasena pana atthato vā vuttamevāti veditabbaṃ. Yathā hi lajjādayo pāṇātipātapahānassa visesapaccayo, evaṃ adinnādānapahānassapīti, tasmā sāpi pāḷi ānetvā vattabbā. Esa nayo ito paresupi. Atha vā sucibhūtenāti etena hirottappādīhi samannāgamo, ahirikādīnañca pahānaṃ vuttamevāti ‘‘lajjī’’tiādi na vuttanti daṭṭhabbaṃ.
อเสฎฺฐจริยนฺติ อเสฎฺฐานํ จริยํ, อเสฎฺฐํ วา จริยํฯ มิถุนานํ วุตฺตากาเรน สทิสภูตานํ อยนฺติ มิถุโน, ยถาวุโตฺต ทุราจาโรฯ อาราจารี เมถุนาติ เอเตน – ‘‘อิธ พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ…เป.… น เหว โข มาตุคาเมน สทฺธิํ ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, อปิจ โข มาตุคามสฺส อุจฺฉาทนปริมทฺทนนฺหาปนสมฺพาหนํ สาทิยติ, โส ตทสฺสาเทติ, ตํ นิกาเมติ, เตน จ วิตฺติํ อาปชฺชตี’’ติอาทินา (อ. นิ. ๗.๕๐) วุตฺตา สตฺตวิธเมถุนสํโยคาปิ ปฎิวิรติ ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Aseṭṭhacariyanti aseṭṭhānaṃ cariyaṃ, aseṭṭhaṃ vā cariyaṃ. Mithunānaṃ vuttākārena sadisabhūtānaṃ ayanti mithuno, yathāvutto durācāro. Ārācārī methunāti etena – ‘‘idha brāhmaṇa, ekacco…pe… na heva kho mātugāmena saddhiṃ dvayaṃdvayasamāpattiṃ samāpajjati, apica kho mātugāmassa ucchādanaparimaddananhāpanasambāhanaṃ sādiyati, so tadassādeti, taṃ nikāmeti, tena ca vittiṃ āpajjatī’’tiādinā (a. ni. 7.50) vuttā sattavidhamethunasaṃyogāpi paṭivirati dassitāti daṭṭhabbaṃ.
สเจฺจน สจฺจนฺติ ปุริเมน วจีสเจฺจน ปจฺฉิมํ วจีสจฺจํ สนฺทหติ อสเจฺจน อนนฺตริกตฺตาฯ เตนาห ‘‘โย หี’’ติอาทิฯ หลิทฺทิราโค วิย น ถิรกโต โหตีติ เอตฺถ กถาย อนวฎฺฐิตภาเวน หลิทฺทิราคสทิสตา เวทิตพฺพา, น ปุคฺคลสฺสฯ ปาสาณเลขา วิยาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สทฺธา อยติ ปวตฺตติ เอตฺถาติ สทฺธาโย, สทฺธาโย เอว สทฺธายิโก ยถา ‘‘เวนยิโก’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔๖; อ. นิ. ๘.๑๑; ปารา. ๘), สทฺธาย วา อยิตโพฺพ สทฺธายิโก, สเทฺธโยฺยติ อโตฺถฯ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติวิสํวาทนโตติ อธิปฺปาโยฯ
Saccena saccanti purimena vacīsaccena pacchimaṃ vacīsaccaṃ sandahati asaccena anantarikattā. Tenāha ‘‘yo hī’’tiādi. Haliddirāgo viya na thirakato hotīti ettha kathāya anavaṭṭhitabhāvena haliddirāgasadisatā veditabbā, na puggalassa. Pāsāṇalekhā viyāti etthāpi eseva nayo. Saddhā ayati pavattati etthāti saddhāyo, saddhāyo eva saddhāyiko yathā ‘‘venayiko’’ti (ma. ni. 1.246; a. ni. 8.11; pārā. 8), saddhāya vā ayitabbo saddhāyiko, saddheyyoti attho. Vattabbataṃ āpajjativisaṃvādanatoti adhippāyo.
อนุปฺปทาตาติ (ที. นิ. ฎี. ๑.๙; อ. นิ. ฎี. ๒.๔.๑๙๘) อนุพลปฺปทาตา, อนุวตฺตนวเสน วา ปทาตาฯ กสฺส ปน อนุวตฺตนํ ปทานญฺจาติ? ‘‘สหิตาน’’นฺติ วุตฺตตฺตา สนฺธานสฺสาติ วิญฺญายติฯ เตนาห ‘‘สนฺธานานุปฺปทาตา’’ติฯ ยสฺมา ปน อนุวตฺตนวเสน สนฺธานสฺส ปทานํ อาธานํ, รกฺขณํ วา ทฬฺหีกรณํ โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เทฺว ชเน สมเคฺค ทิสฺวา’’ติอาทิฯ อารมนฺติ เอตฺถาติ อาราโม, รมิตพฺพฎฺฐานํฯ ยสฺมา ปน อา-กาเรน วินาปิ อยมโตฺถ ลพฺภติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สมคฺคราโมติปิ ปาฬิ, อยเมเวตฺถ อโตฺถ’’ติฯ
Anuppadātāti (dī. ni. ṭī. 1.9; a. ni. ṭī. 2.4.198) anubalappadātā, anuvattanavasena vā padātā. Kassa pana anuvattanaṃ padānañcāti? ‘‘Sahitāna’’nti vuttattā sandhānassāti viññāyati. Tenāha ‘‘sandhānānuppadātā’’ti. Yasmā pana anuvattanavasena sandhānassa padānaṃ ādhānaṃ, rakkhaṇaṃ vā daḷhīkaraṇaṃ hoti. Tena vuttaṃ ‘‘dve jane samagge disvā’’tiādi. Āramanti etthāti ārāmo, ramitabbaṭṭhānaṃ. Yasmā pana ā-kārena vināpi ayamattho labbhati, tasmā vuttaṃ ‘‘samaggarāmotipi pāḷi, ayamevettha attho’’ti.
เอตฺถาติ –
Etthāti –
‘‘เนลโงฺค เสตปจฺฉาโท, เอกาโร วตฺตตี รโถ;
‘‘Nelaṅgo setapacchādo, ekāro vattatī ratho;
อนีฆํ ปสฺส อายนฺตํ, ฉินฺนโสตํ อพนฺธน’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๔.๓๔๗; อุทา. ๖๕; เปฎโก. ๒๕;ที. นิ. ฎี. ๑.๙) –
Anīghaṃ passa āyantaṃ, chinnasotaṃ abandhana’’nti. (saṃ. ni. 4.347; udā. 65; peṭako. 25;dī. ni. ṭī. 1.9) –
อิมิสฺสา คาถายฯ สีลเญฺหตฺถ ‘‘เนลงฺค’’นฺติ วุตฺตํฯ เตเนวาห – จิโตฺต คหปติ, ‘‘เนลงฺคนฺติ โข, ภเนฺต, สีลานเมตํ อธิวจน’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๗; ที. นิ. ฎี. ๑.๙)ฯ สุกุมาราติ อผรุสตาย มุทุกาฯ ปุรสฺส เอสาติ เอตฺถ ปุร-สโทฺท ตนฺนิวาสีวาจโก ทฎฺฐโพฺพ ‘‘คาโม อาคโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ฎี. ๑.๙) วิยฯ เตเนวาห ‘‘นครวาสีน’’นฺติฯ มนํ อปฺปายติ วเฑฺฒตีติ มนาปาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จิตฺตวุทฺธิกรา’’ติฯ
Imissā gāthāya. Sīlañhettha ‘‘nelaṅga’’nti vuttaṃ. Tenevāha – citto gahapati, ‘‘nelaṅganti kho, bhante, sīlānametaṃ adhivacana’’nti (saṃ. ni. 4.347; dī. ni. ṭī. 1.9). Sukumārāti apharusatāya mudukā. Purassa esāti ettha pura-saddo tannivāsīvācako daṭṭhabbo ‘‘gāmo āgato’’tiādīsu (dī. ni. ṭī. 1.9) viya. Tenevāha ‘‘nagaravāsīna’’nti. Manaṃ appāyati vaḍḍhetīti manāpā. Tena vuttaṃ ‘‘cittavuddhikarā’’ti.
กาลวาทีติอาทิ สมฺผปฺปลาปาปฎิวิรตสฺส ปฎิปตฺติทสฺสนํฯ อตฺถสํหิตาปิ หิ วาจา อยุตฺตกาลปโยเคน อตฺถาวหา น สิยาติ อนตฺถวิญฺญาปนวาจํ อนุโลเมติ, ตสฺมา สมฺผปฺปลาปํ ปชหเนฺตน อกาลวาทิตา ปริหริตพฺพาติ วุตฺตํ ‘‘กาลวาที’’ติฯ กาเล วทเนฺตนปิ อุภยานตฺถสาธนโต อภูตํ ปริวเชฺชตพฺพนฺติ อาห ‘‘ภูตวาที’’ติฯ ภูตญฺจ วทเนฺตน ยํ อิธโลก-ปรโลก-หิตสมฺปาทกํ, ตเทว วตฺตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อตฺถวาที’’ติ วุตฺตํฯ อตฺถํ วทเนฺตนปิ โลกิยธมฺมสนฺนิสฺสิตเมว อวตฺวา โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิตํ กตฺวา วตฺตพฺพนฺติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ธมฺมวาที’’ติ วุตฺตํฯ ยถา จ อโตฺถ โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิโต โหติ, ตํทสฺสนตฺถํ ‘‘วินยวาที’’ติ วุตฺตํฯ ปญฺจนฺนญฺหิ สํวรวินยานํ, ปญฺจนฺนญฺจ ปหานวินยานํ วเสน วุจฺจมาโน อโตฺถ นิพฺพานาธิคมเหตุภาวโต โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิโต โหตีติฯ เอวํ คุณวิเสสยุโตฺตว อโตฺถ วุจฺจมาโน เทสนาโกสเลฺล สติ โสภติ, กิจฺจกโร จ โหติ, น อญฺญถาติ ทเสฺสตุํ ‘‘นิธานวติํ วาจํ ภาสิตา’’ติ วุตฺตํฯ อิทานิ ตํ เทสนาโกสลฺลํ วิภาเวตุํ ‘‘กาเลนา’’ติอาทิมาหฯ ปุจฺฉาทิวเสน หิ โอติณฺณวาจาวตฺถุสฺมิํ เอกํสาทิพฺยากรณวิภาคํ สลฺลเกฺขตฺวา ฐปนาเหตุอุทาหรณํ สํสนฺทนาทิํ ตํตํกาลานุรูปํ วิภาเวนฺติยา ปริมิตปริจฺฉินฺนรูปาย วิปุลตร-คมฺภีโรทาร-ปรมตฺถ-วิตฺถารสงฺคาหิกาย กถาย ญาณพลานุรูปํ ปเร ยาถาวโต ธเมฺม ปติฎฺฐาเปโนฺต ‘‘เทสนากุสโล’’ติ วุจฺจตีติ เอวเมตฺถ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ
Kālavādītiādi samphappalāpāpaṭiviratassa paṭipattidassanaṃ. Atthasaṃhitāpi hi vācā ayuttakālapayogena atthāvahā na siyāti anatthaviññāpanavācaṃ anulometi, tasmā samphappalāpaṃ pajahantena akālavāditā pariharitabbāti vuttaṃ ‘‘kālavādī’’ti. Kāle vadantenapi ubhayānatthasādhanato abhūtaṃ parivajjetabbanti āha ‘‘bhūtavādī’’ti. Bhūtañca vadantena yaṃ idhaloka-paraloka-hitasampādakaṃ, tadeva vattabbanti dassetuṃ ‘‘atthavādī’’ti vuttaṃ. Atthaṃ vadantenapi lokiyadhammasannissitameva avatvā lokuttaradhammasannissitaṃ katvā vattabbanti dassanatthaṃ ‘‘dhammavādī’’ti vuttaṃ. Yathā ca attho lokuttaradhammasannissito hoti, taṃdassanatthaṃ ‘‘vinayavādī’’ti vuttaṃ. Pañcannañhi saṃvaravinayānaṃ, pañcannañca pahānavinayānaṃ vasena vuccamāno attho nibbānādhigamahetubhāvato lokuttaradhammasannissito hotīti. Evaṃ guṇavisesayuttova attho vuccamāno desanākosalle sati sobhati, kiccakaro ca hoti, na aññathāti dassetuṃ ‘‘nidhānavatiṃ vācaṃ bhāsitā’’ti vuttaṃ. Idāni taṃ desanākosallaṃ vibhāvetuṃ ‘‘kālenā’’tiādimāha. Pucchādivasena hi otiṇṇavācāvatthusmiṃ ekaṃsādibyākaraṇavibhāgaṃ sallakkhetvā ṭhapanāhetuudāharaṇaṃ saṃsandanādiṃ taṃtaṃkālānurūpaṃ vibhāventiyā parimitaparicchinnarūpāya vipulatara-gambhīrodāra-paramattha-vitthārasaṅgāhikāya kathāya ñāṇabalānurūpaṃ pare yāthāvato dhamme patiṭṭhāpento ‘‘desanākusalo’’ti vuccatīti evamettha atthayojanā veditabbā.
๒๙๓. เอวํ ปฎิปาฎิยา สตฺต มูลสิกฺขาปทานิ วิภาเวตฺวา สติปิ อภิชฺฌาทิปหานอินฺทฺริยสํวรสติสมฺปชญฺญชาคริยานุโยคาทิเก อุตฺตรเทสนายํ วิภาเวตุํ ตํ ปริหริตฺวา อาจารสีลเสฺสว วิภชนวเสน ปาฬิ ปวตฺตาติ ตทตฺถํ วิวริตุํ ‘‘พีชคามภูตคามสมารมฺภา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ พีชานํ คาโม สมูโห พีชคาโมฯ ภูตานํ ชาตานํ นิพฺพตฺตานํ รุกฺขคจฺฉลตาทีนํ สมูโห ภูตคาโมฯ นนุ จ รุกฺขาทโย จิตฺตรหิตตาย น ชีวา, จิตฺตรหิตตา จ ปริปฺผนฺทาภาวโต ฉิเนฺน วิรุหนโต วิสทิสชาติกภาวโต จตุโยนิอปริยาปนฺนโต จ เวทิตพฺพา, วุฑฺฒิ ปน ปวาฬสิลาลวณานมฺปิ วิชฺชตีติ น เตสํ ชีวภาเว การณํ, วิสยคฺคหณญฺจ เนสํ ปริกปฺปนามตฺตํ สุปนํ วิย จิญฺจาเทนํ, ตถา โทหฬาทโย, ตตฺถ กสฺมา พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรติ อิจฺฉิตาติ? สมณสารุปฺปโต ตนฺนิวาสิสตฺตานุรกฺขณโต จฯ เตเนวาห – ‘‘ชีวสญฺญิโน หิ โมฆปุริส มนุสฺสา รุกฺขสฺมิ’’นฺติอาทิ (ปาจิ. ๘๙)ฯ
293. Evaṃ paṭipāṭiyā satta mūlasikkhāpadāni vibhāvetvā satipi abhijjhādipahānaindriyasaṃvarasatisampajaññajāgariyānuyogādike uttaradesanāyaṃ vibhāvetuṃ taṃ pariharitvā ācārasīlasseva vibhajanavasena pāḷi pavattāti tadatthaṃ vivarituṃ ‘‘bījagāmabhūtagāmasamārambhā’’tiādi vuttaṃ. Tattha bījānaṃ gāmo samūho bījagāmo. Bhūtānaṃ jātānaṃ nibbattānaṃ rukkhagacchalatādīnaṃ samūho bhūtagāmo. Nanu ca rukkhādayo cittarahitatāya na jīvā, cittarahitatā ca paripphandābhāvato chinne viruhanato visadisajātikabhāvato catuyoniapariyāpannato ca veditabbā, vuḍḍhi pana pavāḷasilālavaṇānampi vijjatīti na tesaṃ jīvabhāve kāraṇaṃ, visayaggahaṇañca nesaṃ parikappanāmattaṃ supanaṃ viya ciñcādenaṃ, tathā dohaḷādayo, tattha kasmā bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirati icchitāti? Samaṇasāruppato tannivāsisattānurakkhaṇato ca. Tenevāha – ‘‘jīvasaññino hi moghapurisa manussā rukkhasmi’’ntiādi (pāci. 89).
มูลเมว พีชํ มูลพีชํ, มูลพีชํ เอตสฺสาติปิ มูลพีชํฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ผฬุพีชนฺติ ปพฺพพีชํฯ ปจฺจยนฺตรสมวาเย สทิสผลุปฺปตฺติยา วิเสสการณภาวโต วิรุหณสมเตฺถ สารผเล นิรุโฬฺห พีชสโทฺท ตทตฺถสํสิทฺธิยา มูลาทีสุปิ เกสุจิ ปวตฺตตีติ มูลาทิโต นิวตฺตนตฺถํ เอเกน พีช-สเทฺทน วิเสเสตฺวา วุตฺตํ ‘‘พีชพีช’’นฺติ ‘‘รูปรูปํ (วิสุทฺธิ. ๒.๔๔๙), ทุกฺขทุกฺข’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๒๗; ๕.๑๖๕; เนตฺติ. ๑๑) จ ยถาฯ กสฺมา ปเนตฺถ พีชคามภูตคามํ อุทฺธริตฺวา พีชคาโม เอว นิทฺทิโฎฺฐติ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ, นนุ อโวจุมฺห – ‘‘มูลเมว พีชํ มูลพีชํ, มูลพีชํ เอตสฺสาติปิ มูลพีช’’นฺติฯ ตตฺถ ปุริเมน พีชคาโม นิทฺทิโฎฺฐ, ทุติเยน ภูตคาโม, ทุวิโธเปส มูลพีชญฺจ มูลพีชญฺจ มูลพีชนฺติ สามญฺญนิเทฺทเสน, เอกเสสนเยน วา อุทฺทิโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ เตเนวาห ‘‘ปญฺจวิธสฺสา’’ติอาทิฯ นีลติณรุกฺขาทิกสฺสาติ อลฺลติณสฺส เจว อลฺลรุกฺขาทิกสฺส จฯ อาทิ-สเทฺทน โอสธิคจฺฉลตาทีนํ สงฺคโหฯ
Mūlameva bījaṃ mūlabījaṃ, mūlabījaṃ etassātipi mūlabījaṃ. Sesesupi eseva nayo. Phaḷubījanti pabbabījaṃ. Paccayantarasamavāye sadisaphaluppattiyā visesakāraṇabhāvato viruhaṇasamatthe sāraphale niruḷho bījasaddo tadatthasaṃsiddhiyā mūlādīsupi kesuci pavattatīti mūlādito nivattanatthaṃ ekena bīja-saddena visesetvā vuttaṃ ‘‘bījabīja’’nti ‘‘rūparūpaṃ (visuddhi. 2.449), dukkhadukkha’’nti (saṃ. ni. 4.327; 5.165; netti. 11) ca yathā. Kasmā panettha bījagāmabhūtagāmaṃ uddharitvā bījagāmo eva niddiṭṭhoti? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ, nanu avocumha – ‘‘mūlameva bījaṃ mūlabījaṃ, mūlabījaṃ etassātipi mūlabīja’’nti. Tattha purimena bījagāmo niddiṭṭho, dutiyena bhūtagāmo, duvidhopesa mūlabījañca mūlabījañca mūlabījanti sāmaññaniddesena, ekasesanayena vā uddiṭṭhoti veditabbo. Tenevāha ‘‘pañcavidhassā’’tiādi. Nīlatiṇarukkhādikassāti allatiṇassa ceva allarukkhādikassa ca. Ādi-saddena osadhigacchalatādīnaṃ saṅgaho.
เอกํ ภตฺตํ เอกภตฺตํ, ตํ อสฺส อตฺถีติ เอกภตฺติโกฯ โส ปน รตฺติโภชเนนปิ สิยาติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ อาห ‘‘รตฺตูปรโต’’ติฯ เอวมฺปิ อปรณฺหโภชีปิ สิยา เอกภตฺติโกติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ ‘‘วิรโต วิกาลโภชนา’’ติ วุตฺตํฯ อรุณุคฺคมนกาลโต ปฎฺฐาย ยาว มชฺฌนฺหิกา อยํ พุทฺธาทีนํ อริยานํ อาจิณฺณสมาจิโณฺณ โภชนสฺส กาโล นาม, ตทโญฺญ วิกาโลฯ อฎฺฐกถายํ ปน ทุติยปเทน รตฺติโภชนสฺส ปฎิกฺขิตฺตตฺตา ‘‘อติกฺกเนฺต มชฺฌนฺหิเก ยาว สูริยตฺถงฺคมนา โภชนํ วิกาลโภชนํ นามา’’ติ วุตฺตํฯ
Ekaṃ bhattaṃ ekabhattaṃ, taṃ assa atthīti ekabhattiko. So pana rattibhojanenapi siyāti tannivattanatthaṃ āha ‘‘rattūparato’’ti. Evampi aparaṇhabhojīpi siyā ekabhattikoti tannivattanatthaṃ ‘‘virato vikālabhojanā’’ti vuttaṃ. Aruṇuggamanakālato paṭṭhāya yāva majjhanhikā ayaṃ buddhādīnaṃ ariyānaṃ āciṇṇasamāciṇṇo bhojanassa kālo nāma, tadañño vikālo. Aṭṭhakathāyaṃ pana dutiyapadena rattibhojanassa paṭikkhittattā ‘‘atikkante majjhanhike yāva sūriyatthaṅgamanā bhojanaṃ vikālabhojanaṃ nāmā’’ti vuttaṃ.
‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตํ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๓; เนตฺติ. ๓๐, ๕๐, ๑๑๖, ๑๒๔) ภควโต สาสนํ อจฺจนฺตราคุปฺปตฺติยา นจฺจาทิทสฺสนํ น อนุโลเมตีติ อาห ‘‘สาสนสฺส อนนุโลมตฺตา’’ติฯ อตฺตนา ปโยชิยมานํ, ปเรหิ ปโยชาปิยมานญฺจ นจฺจํ นจฺจภาวสามเญฺญน ปาฬิยํ เอเกเนว นจฺจ-สเทฺทน คหิตํ, ตถา คีตวาทิต-สเทฺทน จาติ อาห ‘‘นจฺจนนจฺจาปนาทิวเสนา’’ติฯ อาทิ-สเทฺทน คายนคายาปนวาทนวาทาปนานิ สงฺคยฺหนฺติฯ ทสฺสเนน เจตฺถ สวนมฺปิ สงฺคหิตํ วิรูเปกเสสนเยน ฯ ยถาสกํ วิสยสฺส อาโลจนสภาวตาย วา ปญฺจนฺนํ วิญฺญาณานํ สวนกิริยายปิ ทสฺสนสเงฺขปสพฺภาวโต ‘‘ทสฺสนา’’อิเจฺจว วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘ปญฺจหิ วิญฺญาเณหิ น กญฺจิ ธมฺมํ ปฎิวิชานาติ อญฺญตฺร อภินิปาตมตฺตา’’ติฯ อวิสูกภูตสฺส คีตสฺส สวนํ กทาจิ วฎฺฎตีติ อาห ‘‘วิสูกภูตา ทสฺสนา’’ติฯ ตถา หิ วุตฺตํ ปรมตฺถโชติกายํ ขุทฺทกฎฺฐกถายํ (ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๒.ปจฺฉิมปญฺจสิกฺขาปทวณฺณนา) ‘‘ธมฺมูปสํหิตํ คีตํ วฎฺฎติ, คีตูปสํหิโต ธโมฺม น วฎฺฎตี’’ติฯ ยํ กิญฺจีติ คนฺถิตํ วา อคนฺถิตํ วา ยํ กิญฺจิ ปุปฺผํฯ คนฺธชาตนฺติ คนฺธชาติกํฯ ตสฺสปิ ‘‘ยํ กิญฺจี’’ติ วจนโต ปิสิตสฺส อปิสิตสฺสปิ ยสฺส กสฺสจิ วิเลปนาทิ น วฎฺฎตีติ ทเสฺสติฯ
‘‘Sabbapāpassa akaraṇa’’ntiādinayappavattaṃ (dī. ni. 2.90; dha. pa. 183; netti. 30, 50, 116, 124) bhagavato sāsanaṃ accantarāguppattiyā naccādidassanaṃ na anulometīti āha ‘‘sāsanassa ananulomattā’’ti. Attanā payojiyamānaṃ, parehi payojāpiyamānañca naccaṃ naccabhāvasāmaññena pāḷiyaṃ ekeneva nacca-saddena gahitaṃ, tathā gītavādita-saddena cāti āha ‘‘naccananaccāpanādivasenā’’ti. Ādi-saddena gāyanagāyāpanavādanavādāpanāni saṅgayhanti. Dassanena cettha savanampi saṅgahitaṃ virūpekasesanayena . Yathāsakaṃ visayassa ālocanasabhāvatāya vā pañcannaṃ viññāṇānaṃ savanakiriyāyapi dassanasaṅkhepasabbhāvato ‘‘dassanā’’icceva vuttaṃ. Tenāha ‘‘pañcahi viññāṇehi na kañci dhammaṃ paṭivijānāti aññatra abhinipātamattā’’ti. Avisūkabhūtassa gītassa savanaṃ kadāci vaṭṭatīti āha ‘‘visūkabhūtā dassanā’’ti. Tathā hi vuttaṃ paramatthajotikāyaṃ khuddakaṭṭhakathāyaṃ (khu. pā. aṭṭha. 2.pacchimapañcasikkhāpadavaṇṇanā) ‘‘dhammūpasaṃhitaṃ gītaṃ vaṭṭati, gītūpasaṃhito dhammo na vaṭṭatī’’ti. Yaṃ kiñcīti ganthitaṃ vā aganthitaṃ vā yaṃ kiñci pupphaṃ. Gandhajātanti gandhajātikaṃ. Tassapi ‘‘yaṃ kiñcī’’ti vacanato pisitassa apisitassapi yassa kassaci vilepanādi na vaṭṭatīti dasseti.
อุจฺจาติ อุจฺจ-สเทฺทน สมานตฺถํ เอกํ สทฺทนฺตรํฯ เสติ เอตฺถาติ สยนํฯ อุจฺจาสยนํ มหาสยนญฺจ สมณสารุปฺปรหิตํ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘ปมาณาติกฺกนฺตํ อกปฺปิยตฺถรณ’’นฺติฯ อาสนเญฺจตฺถ สยเนเนว สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยสฺมา ปน อาธาเร ปฎิกฺขิเตฺต ตทาธารา กิริยา ปฎิกฺขิตฺตาว โหติ, ตสฺมา ‘‘อุจฺจาสยนมหาสยนา’’อิเจฺจว วุตฺตํ, อตฺถโต ปน ตทุปโภคภูตนิสชฺชานิปชฺชเนหิ วิรติ ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา อุจฺจาสยนมหาสยนญฺจ อุจฺจาสยนมหาสยนญฺจ อุจฺจาสยนมหาสยนนฺติ เอตสฺมิํ อเตฺถ เอกเสเสน อยํ นิเทฺทโส กโต ยถา ‘‘นามรูปปจฺจยา สฬายตน’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๑๒๖; สํ. นิ. ๒.๑; อุทา. ๑), อาสนกิริยาปุพฺพกตฺตา วา สยนกิริยาย สยนคฺคหเณน อาสนมฺปิ คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Uccāti ucca-saddena samānatthaṃ ekaṃ saddantaraṃ. Seti etthāti sayanaṃ. Uccāsayanaṃ mahāsayanañca samaṇasārupparahitaṃ adhippetanti āha ‘‘pamāṇātikkantaṃ akappiyattharaṇa’’nti. Āsanañcettha sayaneneva saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ. Yasmā pana ādhāre paṭikkhitte tadādhārā kiriyā paṭikkhittāva hoti, tasmā ‘‘uccāsayanamahāsayanā’’icceva vuttaṃ, atthato pana tadupabhogabhūtanisajjānipajjanehi virati dassitāti daṭṭhabbaṃ. Atha vā uccāsayanamahāsayanañca uccāsayanamahāsayanañca uccāsayanamahāsayananti etasmiṃ atthe ekasesena ayaṃ niddeso kato yathā ‘‘nāmarūpapaccayā saḷāyatana’’nti (ma. ni. 3.126; saṃ. ni. 2.1; udā. 1), āsanakiriyāpubbakattā vā sayanakiriyāya sayanaggahaṇena āsanampi gahitanti veditabbaṃ.
ทารุมาสโกติ เย โวหารํ คจฺฉนฺตีติ อิติ-สเทฺทน เอวํปกาเร ทเสฺสติฯ อเญฺญหิ คาหาปเน อุปนิกฺขิตฺตสาทิยเน จ ปฎิคฺคหณโตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘เนว นํ อุคฺคณฺหาติ, น อุคฺคณฺหาเปติ, น อุปนิกฺขิตฺตํ สาทิยตี’’ติฯ อถ วา ติวิธํ ปฎิคฺคหณํ กาเยน วาจาย มนสาติฯ ตตฺถ กาเยน ปฎิคฺคหณํ อุคฺคณฺหนํ, วาจาย ปฎิคฺคหณํ อุคฺคหาปนํ, มนสา ปฎิคฺคหณํ สาทิยนนฺติ ติวิธมฺปิ ปฎิคฺคหณํ เอกชฺฌํ คเหตฺวา ‘‘ปฎิคฺคหณา’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘เนว นํ อุคฺคณฺหาตี’’ติอาทิฯ เอส นโย อามกธญฺญปฎิคฺคหณาติอาทีสุปิฯ นีวาราทิอุปธญฺญสฺส สาลิอาทิมูลธญฺญโนฺตคธตฺตา วุตฺตํ ‘‘สตฺตวิธสฺสา’’ติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจ วสานิ เภสชฺชานิ อจฺฉวสํ มจฺฉวสํ สุสุกาวสํ สุกรวสํ คทฺรภวส’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒) วุตฺตตฺตา อิทํ โอทิสฺส อนุญฺญาตํ นาม, ตสฺส ปน ‘‘กาเล ปฎิคฺคหิต’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒) วุตฺตตฺตา ปฎิคฺคหณํ วฎฺฎติฯ สติ ปจฺจเยติ อาห ‘‘อญฺญตฺร โอทิสฺส อนุญฺญาตา’’ติฯ
Dārumāsakoti ye vohāraṃ gacchantīti iti-saddena evaṃpakāre dasseti. Aññehi gāhāpane upanikkhittasādiyane ca paṭiggahaṇattho labbhatīti āha ‘‘neva naṃ uggaṇhāti, na uggaṇhāpeti, na upanikkhittaṃ sādiyatī’’ti. Atha vā tividhaṃ paṭiggahaṇaṃ kāyena vācāya manasāti. Tattha kāyena paṭiggahaṇaṃ uggaṇhanaṃ, vācāya paṭiggahaṇaṃ uggahāpanaṃ, manasā paṭiggahaṇaṃ sādiyananti tividhampi paṭiggahaṇaṃ ekajjhaṃ gahetvā ‘‘paṭiggahaṇā’’ti vuttanti āha ‘‘neva naṃ uggaṇhātī’’tiādi. Esa nayo āmakadhaññapaṭiggahaṇātiādīsupi. Nīvārādiupadhaññassa sāliādimūladhaññantogadhattā vuttaṃ ‘‘sattavidhassā’’ti. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañca vasāni bhesajjāni acchavasaṃ macchavasaṃ susukāvasaṃ sukaravasaṃ gadrabhavasa’’nti (mahāva. 262) vuttattā idaṃ odissa anuññātaṃ nāma, tassa pana ‘‘kāle paṭiggahita’’nti (mahāva. 262) vuttattā paṭiggahaṇaṃ vaṭṭati. Sati paccayeti āha ‘‘aññatra odissa anuññātā’’ti.
สรูเปน วญฺจนํ รูปกูฎํ, ปติรูเปน วญฺจนาติ อโตฺถฯ อเงฺคน อตฺตโน สรีราวยเวน วญฺจนํ องฺคกูฎํฯ คหณวเสน วญฺจนํ คหณกูฎํฯ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา วญฺจนํ ปฎิจฺฉนฺนกูฎํฯ อกฺกมตีติ นิปฺปีเฬติ, ปุพฺพภาเค อกฺกมตีติ สมฺพโนฺธฯ
Sarūpena vañcanaṃ rūpakūṭaṃ, patirūpena vañcanāti attho. Aṅgena attano sarīrāvayavena vañcanaṃ aṅgakūṭaṃ. Gahaṇavasena vañcanaṃ gahaṇakūṭaṃ. Paṭicchannaṃ katvā vañcanaṃ paṭicchannakūṭaṃ. Akkamatīti nippīḷeti, pubbabhāge akkamatīti sambandho.
หทยนฺติ นาฬิอาทีนํ มานภาชนานํ อพฺภนฺตรํฯ ติลาทีนํ นาฬิอาทีหิ มินนกาเล อุสฺสาปิตสิขาเยว สิขาฯ สิขาเภโท ตสฺสาหาปนํฯ
Hadayanti nāḷiādīnaṃ mānabhājanānaṃ abbhantaraṃ. Tilādīnaṃ nāḷiādīhi minanakāle ussāpitasikhāyeva sikhā. Sikhābhedo tassāhāpanaṃ.
เกจีติ สารสมาสาจริยา, อุตฺตรวิหารวาสิโน จฯ วโธติ มุฎฺฐิปหารกสาตาฬนาทีหิ วิเหสนํ, วิพาธนนฺติ อโตฺถฯ วิเหฐนโตฺถปิ หิ วธ-สโทฺท ทิสฺสติ ‘‘อตฺตานํวธิตฺวา วธิตฺวา โรทตี’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๘๗๙, ๘๘๑)ฯ ยถา หิ อปริคฺคหภาวสามเญฺญ สติปิ ปพฺพชิเตหิ อปฺปฎิคฺคหิตพฺพวตฺถุวิภาคสนฺทสฺสนตฺถํ อิตฺถิกุมาริทาสิทาสาทโย วิภาเคน วุตฺตาฯ เอวํ ปรสฺส หรณภาวโต อทินฺนาทานภาวสามเญฺญ สติปิ ตุลากูฎาทโย อทินฺนาทานวิเสสภาวทสฺสนตฺถํ วิภาเคน วุตฺตา, น เอวํ ปาณาติปาตปริยายสฺส วธสฺส ปุน คหเณ ปโยชนํ อตฺถิ, ตตฺถ สยํกาโร, อิธ ปรํกาโรติ จ น สกฺกา วตฺตุํ ‘‘กายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา ฉปฺปโยคา’’ติ วจนโตฯ ตสฺมา ยถาวุโตฺต เอเวตฺถ อโตฺถ ยุโตฺตฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘วโธติ มารณ’’นฺติ วุตฺตํ, ตมฺปิ โปถนเมว สนฺธายาติ จ สกฺกา วิญฺญาตุํ มารณ-สทฺทสฺสปิ วิหิํสเน ทิสฺสนโตฯ
Kecīti sārasamāsācariyā, uttaravihāravāsino ca. Vadhoti muṭṭhipahārakasātāḷanādīhi vihesanaṃ, vibādhananti attho. Viheṭhanatthopi hi vadha-saddo dissati ‘‘attānaṃvadhitvā vadhitvā rodatī’’tiādīsu (pāci. 879, 881). Yathā hi apariggahabhāvasāmaññe satipi pabbajitehi appaṭiggahitabbavatthuvibhāgasandassanatthaṃ itthikumāridāsidāsādayo vibhāgena vuttā. Evaṃ parassa haraṇabhāvato adinnādānabhāvasāmaññe satipi tulākūṭādayo adinnādānavisesabhāvadassanatthaṃ vibhāgena vuttā, na evaṃ pāṇātipātapariyāyassa vadhassa puna gahaṇe payojanaṃ atthi, tattha sayaṃkāro, idha paraṃkāroti ca na sakkā vattuṃ ‘‘kāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā cetanā chappayogā’’ti vacanato. Tasmā yathāvutto evettha attho yutto. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘vadhoti māraṇa’’nti vuttaṃ, tampi pothanameva sandhāyāti ca sakkā viññātuṃ māraṇa-saddassapi vihiṃsane dissanato.
๒๙๔. จีวรปิณฺฑปาตานํ ยถากฺกมํ กายกุจฺฉิปริหรณมตฺตโชตนายํ อวิเสสโต อฎฺฐนฺนํ ปริกฺขารานํ อนฺตเร ตปฺปโยชนตา สมฺภวตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เต สเพฺพปี’’ติอาทิมาหฯ เอเตปีติ นวปริกฺขาริกาทโยปิ อปฺปิจฺฉาว สนฺตุฎฺฐาวฯ น หิ ตตฺถเกน มหิจฺฉตา, อสนฺตุฎฺฐิตา วา โหตีติฯ
294. Cīvarapiṇḍapātānaṃ yathākkamaṃ kāyakucchipariharaṇamattajotanāyaṃ avisesato aṭṭhannaṃ parikkhārānaṃ antare tappayojanatā sambhavatīti dassento ‘‘te sabbepī’’tiādimāha. Etepīti navaparikkhārikādayopi appicchāva santuṭṭhāva. Na hi tatthakena mahicchatā, asantuṭṭhitā vā hotīti.
จตูสุ ทิสาสุ สุขํ วิหรติ, ตโต เอว สุขวิหารฎฺฐานภูตา จตโสฺส ทิสา อสฺส สนฺตีติ วา จาตุทฺทิโสฯ ตตฺถ จายํ สเตฺต วา สงฺขาเร วา ภเยน น ปฎิหญฺญตีติ อปฺปฎิโฆฯ ทฺวาทสวิธสฺส สโนฺตสสฺส วเสน สนฺตุสฺสนโก สนฺตุสฺสมาโนฯ อิตรีตเรนาติ อุจฺจาวเจนฯ ปริสฺสยานํ พาหิรานํ สีหพฺยคฺฆาทีนํ, อพฺภนฺตรานญฺจ กามจฺฉนฺทาทีนํ กายจิตฺตุปทฺทวานํ อภิภวนโต ปริสฺสยานํ สหิตาฯ ถทฺธภาวกรภยาภาเวน อจฺฉมฺภีฯ เอโก อสหาโยฯ ตโต เอว ขคฺคมิคสิงฺคสทิสตาย ขคฺควิสาณกโปฺป จเรยฺยาติ อโตฺถฯ
Catūsu disāsu sukhaṃ viharati, tato eva sukhavihāraṭṭhānabhūtā catasso disā assa santīti vā cātuddiso. Tattha cāyaṃ satte vā saṅkhāre vā bhayena na paṭihaññatīti appaṭigho. Dvādasavidhassa santosassa vasena santussanako santussamāno. Itarītarenāti uccāvacena. Parissayānaṃ bāhirānaṃ sīhabyagghādīnaṃ, abbhantarānañca kāmacchandādīnaṃ kāyacittupaddavānaṃ abhibhavanato parissayānaṃ sahitā. Thaddhabhāvakarabhayābhāvena acchambhī. Eko asahāyo. Tato eva khaggamigasiṅgasadisatāya khaggavisāṇakappo careyyāti attho.
ฉินฺนปโกฺข , อสญฺชาตปโกฺข วา สกุโณ คนฺตุํ น สโกฺกตีติ ‘‘ปกฺขี สกุโณ’’ติ ปกฺขิ-สเทฺทน วิเสเสตฺวา สกุโณ ปาฬิยํ วุโตฺตติ อาห ‘‘ปกฺขยุโตฺต สกุโณ’’ติฯ ยสฺส สนฺนิธิการปริโภโค กิญฺจิ ฐเปตพฺพํ สาเปกฺขาย ฐปนญฺจ นตฺถิ, ตาทิโส อยํ ภิกฺขูติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ’’ติอาทิมาหฯ อริยนฺติ อเปนฺติ ตโต โทสา, เตหิ วา อารกาติ อริโยติ อาห ‘‘อริเยนาติ นิโทฺทเสนา’’ติฯ อชฺฌตฺตนฺติ อตฺตนิฯ นิโทฺทสสุขนฺติ นิรามิสสุขํ กิเลสวชฺชรหิตตฺตาฯ
Chinnapakkho , asañjātapakkho vā sakuṇo gantuṃ na sakkotīti ‘‘pakkhī sakuṇo’’ti pakkhi-saddena visesetvā sakuṇo pāḷiyaṃ vuttoti āha ‘‘pakkhayutto sakuṇo’’ti. Yassa sannidhikāraparibhogo kiñci ṭhapetabbaṃ sāpekkhāya ṭhapanañca natthi, tādiso ayaṃ bhikkhūti dassento ‘‘ayaṃ panettha saṅkhepattho’’tiādimāha. Ariyanti apenti tato dosā, tehi vā ārakāti ariyoti āha ‘‘ariyenāti niddosenā’’ti. Ajjhattanti attani. Niddosasukhanti nirāmisasukhaṃ kilesavajjarahitattā.
๒๙๕. ยถาวุเตฺต สีลสํวเร ปติฎฺฐิตเสฺสว อินฺทฺริยสํวโร อิจฺฉิตโพฺพ ตทธิฎฺฐานโต, ตสฺส จ ปริปาลกภาวโตติ วุตฺตํ ‘‘โส อิมินา อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต ภิกฺขู’’ติฯ เสสปเทสูติ ‘‘น นิมิตฺตคฺคาหี โหตี’’ติอาทีสุ ปเทสุฯ ยสฺมา วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๕) วุตฺตํ, ตสฺมา ตสฺส ลีนตฺถปฺปกาสินิยํ สํวณฺณนายํ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๑๕) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ รูปาทีสุ นิมิตฺตาทิคฺคาหปริวชฺชนลกฺขณตฺตา อินฺทฺริยสํวรสฺส กิเลเสหิ อนวสิตฺตสุขตา อวิกิณฺณสุขตา จสฺส วุตฺตาฯ
295. Yathāvutte sīlasaṃvare patiṭṭhitasseva indriyasaṃvaro icchitabbo tadadhiṭṭhānato, tassa ca paripālakabhāvatoti vuttaṃ ‘‘so iminā ariyena sīlakkhandhena samannāgato bhikkhū’’ti. Sesapadesūti ‘‘na nimittaggāhī hotī’’tiādīsu padesu. Yasmā visuddhimagge (visuddhi. 1.15) vuttaṃ, tasmā tassa līnatthappakāsiniyaṃ saṃvaṇṇanāyaṃ (visuddhi. mahāṭī. 1.15) vuttanayeneva veditabbaṃ. Rūpādīsu nimittādiggāhaparivajjanalakkhaṇattā indriyasaṃvarassa kilesehi anavasittasukhatā avikiṇṇasukhatā cassa vuttā.
๒๙๖. ปจฺจยสมฺปตฺตินฺติ ปจฺจยปาริปูริํฯ อิเม จตฺตาโรติ สีลสํวโร สโนฺตโส อินฺทฺริยสํวโร สติสมฺปชญฺญนฺติ อิเม จตฺตาโร อรญฺญวาสสฺส สมฺภาราฯ ติรจฺฉานคเตหิ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ อิสิสิงฺคสฺส ปิตุอาทโย วิยฯ วนจรเกหีติ วนจรกมาตุคาเมหิฯ เภรวสทฺทํ สาเวนฺติ, ตาวตา อปลายนฺตานํ หเตฺถหิ สีสํ…เป.… กโรนฺติฯ ปณฺณตฺติวีติกฺกมสงฺขาตํ กาฬกํ วาฯ มิจฺฉาวิตกฺกสงฺขาตํ ติลกํ วาฯ ตนฺติ ปีติํ วิภูตภาเวน อุปฎฺฐานโต ขยโต สมฺมสโนฺตฯ
296.Paccayasampattinti paccayapāripūriṃ. Ime cattāroti sīlasaṃvaro santoso indriyasaṃvaro satisampajaññanti ime cattāro araññavāsassa sambhārā. Tiracchānagatehi vattabbataṃ āpajjati isisiṅgassa pituādayo viya. Vanacarakehīti vanacarakamātugāmehi. Bheravasaddaṃ sāventi, tāvatā apalāyantānaṃ hatthehi sīsaṃ…pe… karonti. Paṇṇattivītikkamasaṅkhātaṃ kāḷakaṃ vā. Micchāvitakkasaṅkhātaṃ tilakaṃ vā. Tanti pītiṃ vibhūtabhāvena upaṭṭhānato khayato sammasanto.
วิวิตฺตนฺติ ชนวิวิตฺตํฯ เตนาห ‘‘สุญฺญ’’นฺติฯ สา จ วิวิตฺตตา นิสฺสทฺทภาเวน ลกฺขิตพฺพาติ อาห ‘‘อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆส’’นฺติฯ อาวสถภูตํ เสนาสนํ วิหริตพฺพเฎฺฐน วิหารเสนาสนํฯ มสารกาทิ มญฺจปีฐํ ตตฺถ อตฺถริตพฺพํ ภิสิอุปธานญฺจ มญฺจปีฐสมฺพนฺธิโต มญฺจปีฐเสนาสนํฯ จิมิลิกาทิ ภูมิยํ สนฺถริตพฺพตาย สนฺถตเสนาสนํฯ รุกฺขมูลาทิ ปฎิกฺกมิตพฺพฎฺฐานํ จงฺกมนาทีนํ โอกาสภาวโต โอกาสเสนาสนํฯ
Vivittanti janavivittaṃ. Tenāha ‘‘suñña’’nti. Sā ca vivittatā nissaddabhāvena lakkhitabbāti āha ‘‘appasaddaṃ appanigghosa’’nti. Āvasathabhūtaṃ senāsanaṃ viharitabbaṭṭhena vihārasenāsanaṃ. Masārakādi mañcapīṭhaṃ tattha attharitabbaṃ bhisiupadhānañca mañcapīṭhasambandhito mañcapīṭhasenāsanaṃ. Cimilikādi bhūmiyaṃ santharitabbatāya santhatasenāsanaṃ. Rukkhamūlādi paṭikkamitabbaṭṭhānaṃ caṅkamanādīnaṃ okāsabhāvato okāsasenāsanaṃ.
‘‘อนุจฺฉวิกํ ทเสฺสโนฺต’’ติ วตฺวา ตเมว อนุจฺฉวิกภาวํ วิภาเวตุํ ‘‘ตตฺถ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อจฺฉนฺนนฺติ อิฎฺฐกฉทนาทินา อนฺตมโส รุกฺขสาขาหิปิ น ฉนฺนํฯ
‘‘Anucchavikaṃdassento’’ti vatvā tameva anucchavikabhāvaṃ vibhāvetuṃ ‘‘tattha hī’’tiādi vuttaṃ. Acchannanti iṭṭhakachadanādinā antamaso rukkhasākhāhipi na channaṃ.
ภตฺตสฺส ปจฺฉโตติ ภตฺตภุญฺชนสฺส ปจฺฉโตฯ อูรุพทฺธาสนนฺติ อูรูนํ อโธพนฺธนวเสน นิสชฺชํฯ เหฎฺฐิมกายสฺส อนุชุกฎฺฐปนํ นิสชฺชาวจเนเนว โพธิตนฺติฯ อุชุํ กายนฺติ เอตฺถ กาย-สโทฺท อุปริมกายวิสโยติ อาห ‘‘อุปริมํ สรีรํ อุชุกํ ฐเปตฺวา’’ติฯ ตํ ปน อุชุกฎฺฐปนํ สรูปโต ปโยชนโต จ ทเสฺสตุํ ‘‘อฎฺฐารสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ น ปณมนฺตีติ น โอณมนฺติฯ น ปริปตตีติ น วิคจฺฉติ, วีถิํ น วิลเงฺฆติฯ ตโต เอว ปุเพฺพนาปรํ วิเสสปฺปตฺติยา กมฺมฎฺฐานํ วุทฺธิํ ผาติํ อุปคจฺฉติฯ มุขสมีเปติ มุขสฺส สมีเป นาสิกเคฺค วา อุตฺตโรเฎฺฐ วาฯ อิธ ปริ-สโทฺท อภิ-สเทฺทน สมานโตฺถติ อาห ‘‘กมฺมฎฺฐานาภิมุข’’นฺติ, พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมณโต นิวาเรตฺวา กมฺมฎฺฐานํเยว ปุรกฺขตฺวาติ อโตฺถฯ ปรีติ ปริคฺคหโฎฺฐ ‘‘ปริณายิกา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๖) วิยฯ นิยฺยานโฎฺฐ ปฎิปกฺขโต นิคฺคมนโฎฺฐ, ตสฺมา ปริคฺคหิตนิยฺยานสตินฺติ สพฺพถา คหิตาสโมฺมสํ ปริจฺจตฺตสโมฺมสํ สติํ กตฺวา, ปรมํ สติเนปกฺกํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ
Bhattassapacchatoti bhattabhuñjanassa pacchato. Ūrubaddhāsananti ūrūnaṃ adhobandhanavasena nisajjaṃ. Heṭṭhimakāyassa anujukaṭṭhapanaṃ nisajjāvacaneneva bodhitanti. Ujuṃ kāyanti ettha kāya-saddo uparimakāyavisayoti āha ‘‘uparimaṃ sarīraṃ ujukaṃ ṭhapetvā’’ti. Taṃ pana ujukaṭṭhapanaṃ sarūpato payojanato ca dassetuṃ ‘‘aṭṭhārasā’’tiādi vuttaṃ. Na paṇamantīti na oṇamanti. Na paripatatīti na vigacchati, vīthiṃ na vilaṅgheti. Tato eva pubbenāparaṃ visesappattiyā kammaṭṭhānaṃ vuddhiṃ phātiṃ upagacchati. Mukhasamīpeti mukhassa samīpe nāsikagge vā uttaroṭṭhe vā. Idha pari-saddo abhi-saddena samānatthoti āha ‘‘kammaṭṭhānābhimukha’’nti, bahiddhā puthuttārammaṇato nivāretvā kammaṭṭhānaṃyeva purakkhatvāti attho. Parīti pariggahaṭṭho ‘‘pariṇāyikā’’tiādīsu (dha. sa. 16) viya. Niyyānaṭṭho paṭipakkhato niggamanaṭṭho, tasmā pariggahitaniyyānasatinti sabbathā gahitāsammosaṃ pariccattasammosaṃ satiṃ katvā, paramaṃ satinepakkaṃ upaṭṭhapetvāti attho.
วิกฺขมฺภนวเสนาติ เอตฺถ วิกฺขมฺภนํ อนุปฺปาทนํ อปฺปวตฺตนํ น ปฎิปเกฺขน สุปฺปหีนตาฯ ปหีนตฺตาติ จ ปหีนสทิสตํ สนฺธาย วุตฺตํ ฌานสฺส อนธิคตตาฯ ตถาปิ นยิทํ จกฺขุวิญฺญาณํ วิย สภาวโต วิคตาภิชฺฌํ, อถ โข ภาวนาวเสนฯ เตนาห ‘‘น จกฺขุวิญฺญาณสทิเสนา’’ติฯ เอเสว นโยติ ยถา จกฺขุวิญฺญาณํ สภาเวน วิคตาภิชฺฌํ อพฺยาปนฺนญฺจ, น ภาวนาย วิกฺขมฺภิตตฺตา, น เอวมิทํฯ อิทํ ปน จิตฺตํ ภาวนาย ปริโสธิตตฺตา อพฺยาปนฺนํ วิคตถินมิทฺธํ อนุทฺธตํ นิพฺพิจิกิจฺฉญฺจาติ อโตฺถฯ อิทํ อุภยนฺติ สติสมฺปชญฺญมาหฯ
Vikkhambhanavasenāti ettha vikkhambhanaṃ anuppādanaṃ appavattanaṃ na paṭipakkhena suppahīnatā. Pahīnattāti ca pahīnasadisataṃ sandhāya vuttaṃ jhānassa anadhigatatā. Tathāpi nayidaṃ cakkhuviññāṇaṃ viya sabhāvato vigatābhijjhaṃ, atha kho bhāvanāvasena. Tenāha ‘‘na cakkhuviññāṇasadisenā’’ti. Eseva nayoti yathā cakkhuviññāṇaṃ sabhāvena vigatābhijjhaṃ abyāpannañca, na bhāvanāya vikkhambhitattā, na evamidaṃ. Idaṃ pana cittaṃ bhāvanāya parisodhitattā abyāpannaṃ vigatathinamiddhaṃ anuddhataṃ nibbicikicchañcāti attho. Idaṃ ubhayanti satisampajaññamāha.
๒๙๗. อุจฺฉินฺทิตฺวา ปาเตนฺตีติ เอตฺถ อุจฺฉินฺทนํ ปาตนญฺจ ตาสํ ปญฺญานํ อนุปฺปนฺนานํ อุปฺปชฺชิตุํ อปฺปทานเมวฯ อิติ มหคฺคตานุตฺตรปญฺญานํ เอกจฺจาย จ ปริตฺตปญฺญาย อนุปฺปตฺติเหตุภูตา นีวรณา ธมฺมา อิตราย จ สมตฺถตํ วิหนนฺติเยวาติ ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณา วุตฺตาฯ อิทมฺปิ ปฐมชฺฌานํ เวเนยฺยสนฺตาเน ปติฎฺฐาปิยมานํ ญาณํ ปชฺชติ เอตฺถาติ ญาณปทํฯ ญาณํ วฬเญฺชติ เอตฺถาติ ญาณวฬญฺชํฯ
297.Ucchinditvā pātentīti ettha ucchindanaṃ pātanañca tāsaṃ paññānaṃ anuppannānaṃ uppajjituṃ appadānameva. Iti mahaggatānuttarapaññānaṃ ekaccāya ca parittapaññāya anuppattihetubhūtā nīvaraṇā dhammā itarāya ca samatthataṃ vihanantiyevāti paññāya dubbalīkaraṇā vuttā. Idampi paṭhamajjhānaṃ veneyyasantāne patiṭṭhāpiyamānaṃ ñāṇaṃ pajjati etthāti ñāṇapadaṃ. Ñāṇaṃ vaḷañjeti etthāti ñāṇavaḷañjaṃ.
๒๙๙. น ตาว นิฎฺฐํ คโต พาหิรกานํ ญาเณน อกฺกนฺตฎฺฐานานิปิ สิยุนฺติฯ ยทิ เอวํ อนญฺญสาธารเณ มคฺคญาณปเท กถํ น นิฎฺฐงฺคโตติ อาห ‘‘มคฺคกฺขเณปี’’ติอาทิฯ ตีสุ รตเนสุ นิฎฺฐํ คโต โหตีติ พุทฺธสุพุทฺธตํ ธมฺมสุธมฺมตํ สงฺฆสุปฺปฎิปตฺติตญฺจ อารพฺภ ญาเณน นิฎฺฐํ นิจฺฉยํ อุปคโต โหติฯ กามเญฺจตฺถ ปฐมมเคฺคเนว สพฺพโส วิจิกิจฺฉาย ปหีนตฺตา สพฺพสฺสปิ อริยสาวกสฺส กงฺขา วา วิมติ วา นตฺถิ, ตตฺถ ปน ยถา ปญฺญาเวปุลฺลปฺปตฺตสฺส อรหโต สวิสเย ญาณํ สวิเสสํ โอคาหติ, น ตถา อนาคามิอาทีนนฺติ รตนตฺตเย สาติสยํ ญาณนิจฺฉยคมนํ สนฺธาย ‘‘อคฺคมคฺควเสน ตตฺถนิฎฺฐาคมนํ วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ยํ ปเนตฺถ อวิภตฺตํ, ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ
299.Natāva niṭṭhaṃ gato bāhirakānaṃ ñāṇena akkantaṭṭhānānipi siyunti. Yadi evaṃ anaññasādhāraṇe maggañāṇapade kathaṃ na niṭṭhaṅgatoti āha ‘‘maggakkhaṇepī’’tiādi. Tīsu ratanesu niṭṭhaṃ gato hotīti buddhasubuddhataṃ dhammasudhammataṃ saṅghasuppaṭipattitañca ārabbha ñāṇena niṭṭhaṃ nicchayaṃ upagato hoti. Kāmañcettha paṭhamamaggeneva sabbaso vicikicchāya pahīnattā sabbassapi ariyasāvakassa kaṅkhā vā vimati vā natthi, tattha pana yathā paññāvepullappattassa arahato savisaye ñāṇaṃ savisesaṃ ogāhati, na tathā anāgāmiādīnanti ratanattaye sātisayaṃ ñāṇanicchayagamanaṃ sandhāya ‘‘aggamaggavasena tatthaniṭṭhāgamanaṃ vutta’’nti vuttaṃ. Yaṃ panettha avibhattaṃ, taṃ suviññeyyamevāti.
จูฬหตฺถิปโทปมสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Cūḷahatthipadopamasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๗. จูฬหตฺถิปโทปมสุตฺตํ • 7. Cūḷahatthipadopamasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๗. จูฬหตฺถิปโทปมสุตฺตวณฺณนา • 7. Cūḷahatthipadopamasuttavaṇṇanā