Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    ขุทฺทกนิกาเย

    Khuddakanikāye

    ชาตก-อฎฺฐกถา

    Jātaka-aṭṭhakathā

    (ตติโย ภาโค)

    (Tatiyo bhāgo)

    ๔. จตุกฺกนิปาโต

    4. Catukkanipāto

    ๑. กาลิงฺควโคฺค

    1. Kāliṅgavaggo

    [๓๐๑] ๑. จูฬกาลิงฺคชาตกวณฺณนา

    [301] 1. Cūḷakāliṅgajātakavaṇṇanā

    วิวรถิมาสํ ทฺวารนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต จตุนฺนํ ปริพฺพาชิกานํ ปพฺพชฺชํ อารพฺภ กเถสิฯ เวสาลิยํ กิร ลิจฺฉวิราชูนํ สตฺต สหสฺสานิ สตฺต สตานิ สตฺต จ ลิจฺฉวี วสิํสุฯ เต สเพฺพปิ ปุจฺฉาปฎิปุจฺฉาจิตฺตกา อเหสุํฯ อเถโก ปญฺจสุ วาทสเตสุ พฺยโตฺต นิคโณฺฐ เวสาลิยํ สมฺปาปุณิ, เต ตสฺส สงฺคหํ อกํสุฯ อปราปิ เอวรูปา นิคณฺฐี สมฺปาปุณิ ฯ ราชาโน เทฺวปิ ชเน วาทํ กาเรสุํ, อุโภปิ สทิสาว อเหสุํฯ ตโต ลิจฺฉวีนํ เอตทโหสิ ‘‘อิเม เทฺวปิ ปฎิจฺจ อุปฺปโนฺน ปุโตฺต พฺยโตฺต ภวิสฺสตี’’ติฯ เตสํ วิวาหํ กาเรตฺวา เทฺวปิ เอกโต วาเสสุํฯ อถ เนสํ สํวาสมนฺวาย ปฎิปาฎิยา จตโสฺส ทาริกาโย เอโก จ ทารโก ชายิฯ ทาริกานํ ‘‘สจฺจา, โลลา, อวธาริกา, ปฎิจฺฉาทา’’ติ นามํ อกํสุ, ทารกสฺส ‘‘สจฺจโก’’ติฯ เต ปญฺจปิ ชนา วิญฺญุตํ ปตฺตา มาติโต ปญฺจ วาทสตานิ, ปิติโต ปญฺจ วาทสตานีติ วาทสหสฺสํ อุคฺคณฺหิํสุฯ มาตาปิตโร ทาริกานํ เอวํ โอวทิํสุ ‘‘สเจ โกจิ คิหี ตุมฺหากํ วาทํ ภินฺทิสฺสติ, ตสฺส ปาทปริจาริกา ภเวยฺยาถฯ สเจ ปพฺพชิโต ภินฺทิสฺสติ, ตสฺส สนฺติเก ปพฺพเชยฺยาถา’’ติฯ

    Vivarathimāsaṃdvāranti idaṃ satthā jetavane viharanto catunnaṃ paribbājikānaṃ pabbajjaṃ ārabbha kathesi. Vesāliyaṃ kira licchavirājūnaṃ satta sahassāni satta satāni satta ca licchavī vasiṃsu. Te sabbepi pucchāpaṭipucchācittakā ahesuṃ. Atheko pañcasu vādasatesu byatto nigaṇṭho vesāliyaṃ sampāpuṇi, te tassa saṅgahaṃ akaṃsu. Aparāpi evarūpā nigaṇṭhī sampāpuṇi . Rājāno dvepi jane vādaṃ kāresuṃ, ubhopi sadisāva ahesuṃ. Tato licchavīnaṃ etadahosi ‘‘ime dvepi paṭicca uppanno putto byatto bhavissatī’’ti. Tesaṃ vivāhaṃ kāretvā dvepi ekato vāsesuṃ. Atha nesaṃ saṃvāsamanvāya paṭipāṭiyā catasso dārikāyo eko ca dārako jāyi. Dārikānaṃ ‘‘saccā, lolā, avadhārikā, paṭicchādā’’ti nāmaṃ akaṃsu, dārakassa ‘‘saccako’’ti. Te pañcapi janā viññutaṃ pattā mātito pañca vādasatāni, pitito pañca vādasatānīti vādasahassaṃ uggaṇhiṃsu. Mātāpitaro dārikānaṃ evaṃ ovadiṃsu ‘‘sace koci gihī tumhākaṃ vādaṃ bhindissati, tassa pādaparicārikā bhaveyyātha. Sace pabbajito bhindissati, tassa santike pabbajeyyāthā’’ti.

    อปรภาเค มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ เตสุ กาลกเตสุ สจฺจกนิคโณฺฐ ตเตฺถว เวสาลิยํ ลิจฺฉวีนํ สิปฺปํ สิกฺขาเปโนฺต วสิฯ ภคินิโย ชมฺพุสาขํ คเหตฺวา วาทตฺถาย นครา นครํ จรมานา สาวตฺถิํ ปตฺวา นครทฺวาเร สาขํ นิขณิตฺวา ‘‘โย อมฺหากํ วาทํ อาโรเปตุํ สโกฺกติ คิหี วา ปพฺพชิโต วา, โส เอตํ ปํสุปุญฺชํ ปาเทหิ วิกิริตฺวา ปาเทเหว สาขํ มทฺทตู’’ติ ทารกานํ วตฺวา ภิกฺขาย นครํ ปวิสิํสุฯ อถายสฺมา สาริปุโตฺต อสมฺมฎฺฐฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตฺวา ริตฺตฆเฎสุ ปานียํ อุปฎฺฐเปตฺวา คิลาเน จ ปฎิชคฺคิตฺวา ทิวาตรํ สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต ตํ สาขํ ทิสฺวา ทารเก ปุจฺฉิ, ทารกา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิํสุฯ เถโร ทารเกเหว ปาตาเปตฺวา มทฺทาเปตฺวา ‘‘เยหิ อยํ สาขา ฐปิตา, เต กตภตฺตกิจฺจาว อาคนฺตฺวา เชตวนทฺวารโกฎฺฐเก มํ ปสฺสนฺตู’’ติ ทารกานํ วตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ วิหารทฺวารโกฎฺฐเก อฎฺฐาสิฯ ตาปิ ปริพฺพาชิกา ภิกฺขาย จริตฺวา อาคตา สาขํ มทฺทิตํ ทิสฺวา ‘‘เกนายํ มทฺทิตา’’ติ วตฺวา ‘‘สาริปุตฺตเตฺถเรน, สเจ ตุเมฺห วาทตฺถิกา, เชตวนทฺวารโกฎฺฐกํ คจฺฉถา’’ติ ทารเกหิ วุตฺตา ปุน นครํ ปวิสิตฺวา มหาชนํ สนฺนิปาเตตฺวา วิหารทฺวารโกฎฺฐกํ คนฺตฺวา เถรํ วาทสหสฺสํ ปุจฺฉิํสุฯ เถโร ตํ วิสฺสเชฺชตฺวา ‘‘อญฺญํ กิญฺจิ ชานาถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น ชานาม, สามี’’ติฯ ‘‘อหํ ปน โว กิญฺจิ ปุจฺฉามี’’ติฯ ‘‘ปุจฺฉ, สามิ, ชานนฺติโย กเถสฺสามา’’ติฯ

    Aparabhāge mātāpitaro kālamakaṃsu. Tesu kālakatesu saccakanigaṇṭho tattheva vesāliyaṃ licchavīnaṃ sippaṃ sikkhāpento vasi. Bhaginiyo jambusākhaṃ gahetvā vādatthāya nagarā nagaraṃ caramānā sāvatthiṃ patvā nagaradvāre sākhaṃ nikhaṇitvā ‘‘yo amhākaṃ vādaṃ āropetuṃ sakkoti gihī vā pabbajito vā, so etaṃ paṃsupuñjaṃ pādehi vikiritvā pādeheva sākhaṃ maddatū’’ti dārakānaṃ vatvā bhikkhāya nagaraṃ pavisiṃsu. Athāyasmā sāriputto asammaṭṭhaṭṭhānaṃ sammajjitvā rittaghaṭesu pānīyaṃ upaṭṭhapetvā gilāne ca paṭijaggitvā divātaraṃ sāvatthiṃ piṇḍāya pavisanto taṃ sākhaṃ disvā dārake pucchi, dārakā taṃ pavattiṃ ācikkhiṃsu. Thero dārakeheva pātāpetvā maddāpetvā ‘‘yehi ayaṃ sākhā ṭhapitā, te katabhattakiccāva āgantvā jetavanadvārakoṭṭhake maṃ passantū’’ti dārakānaṃ vatvā nagaraṃ pavisitvā katabhattakicco vihāradvārakoṭṭhake aṭṭhāsi. Tāpi paribbājikā bhikkhāya caritvā āgatā sākhaṃ madditaṃ disvā ‘‘kenāyaṃ madditā’’ti vatvā ‘‘sāriputtattherena, sace tumhe vādatthikā, jetavanadvārakoṭṭhakaṃ gacchathā’’ti dārakehi vuttā puna nagaraṃ pavisitvā mahājanaṃ sannipātetvā vihāradvārakoṭṭhakaṃ gantvā theraṃ vādasahassaṃ pucchiṃsu. Thero taṃ vissajjetvā ‘‘aññaṃ kiñci jānāthā’’ti pucchi. ‘‘Na jānāma, sāmī’’ti. ‘‘Ahaṃ pana vo kiñci pucchāmī’’ti. ‘‘Puccha, sāmi, jānantiyo kathessāmā’’ti.

    เถโร ‘‘เอกํ นาม กิ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ตา น ชานิํสุฯ เถโร วิสฺสเชฺชสิฯ ตา ‘‘อมฺหากํ, สามิ, ปราชโย, ตุมฺหากํ ชโย’’ติ อาหํสุฯ ‘‘อิทานิ กิํ กริสฺสถา’’ติ? ‘‘อมฺหากํ มาตาปิตูหิ อยํ โอวาโท ทิโนฺน ‘สเจ โว คิหี วาทํ ภินฺทิสฺสติ, ตสฺส ปชาปติโย ภเวยฺยาถฯ สเจ ปพฺพชิโต, ตสฺส สนฺติเก ปพฺพเชยฺยาถา’ติ, ปพฺพชฺชํ โน เทถา’’ติฯ เถโร ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา ตา อุปฺปลวณฺณาย เถริยา สนฺติเก ปพฺพาเชสิฯ ตา สพฺพาปิ น จิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, สาริปุตฺตเตฺถโร จตุนฺนํ ปริพฺพาชิกานํ อวสฺสโย หุตฺวา สพฺพา อรหตฺตํ ปาเปสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส เอตาสํ อวสฺสโย อโหสิ, อิทานิ ปน ปพฺพชฺชาภิเสกํ ทาเปสิ, ปุเพฺพ ราชมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Thero ‘‘ekaṃ nāma ki’’nti pucchi. Tā na jāniṃsu. Thero vissajjesi. Tā ‘‘amhākaṃ, sāmi, parājayo, tumhākaṃ jayo’’ti āhaṃsu. ‘‘Idāni kiṃ karissathā’’ti? ‘‘Amhākaṃ mātāpitūhi ayaṃ ovādo dinno ‘sace vo gihī vādaṃ bhindissati, tassa pajāpatiyo bhaveyyātha. Sace pabbajito, tassa santike pabbajeyyāthā’ti, pabbajjaṃ no dethā’’ti. Thero ‘‘sādhū’’ti vatvā tā uppalavaṇṇāya theriyā santike pabbājesi. Tā sabbāpi na cirasseva arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, sāriputtatthero catunnaṃ paribbājikānaṃ avassayo hutvā sabbā arahattaṃ pāpesī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa etāsaṃ avassayo ahosi, idāni pana pabbajjābhisekaṃ dāpesi, pubbe rājamahesiṭṭhāne ṭhapesī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต กาลิงฺครเฎฺฐ ทนฺตปุรนคเร กาลิงฺคราเช รชฺชํ กาเรเนฺต อสฺสกรเฎฺฐ ปาฎลินคเร อสฺสโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ กาลิโงฺค สมฺปนฺนพลวาหโน สยมฺปิ นาคพโล ปฎิโยธํ น ปสฺสติฯ โส ยุชฺฌิตุกาโม หุตฺวา อมจฺจานํ อาโรเจสิ ‘‘อหํ ยุทฺธตฺถิโก, ปฎิโยธํ ปน น ปสฺสามิ, กิํ กโรมา’’ติฯ อมจฺจา ‘‘อเตฺถโก, มหาราช, อุปาโย, ธีตโร เต จตโสฺส อุตฺตมรูปธรา, ตา ปสาเธตฺวา ปฎิจฺฉนฺนยาเน นิสีทาเปตฺวา พลปริวุตา คามนิคมราชธานิโย จราเปถฯ โย ราชา ตา อตฺตโน เคเห กาตุกาโม ภวิสฺสติ, เตน สทฺธิํ ยุทฺธํ กริสฺสามา’’ติ วทิํสุฯ ราชา ตถา กาเรสิฯ ตาหิ คตคตฎฺฐาเน ราชาโน ภเยน ตาสํ นครํ ปวิสิตุํ น เทนฺติ, ปณฺณาการํ เปเสตฺวา พหินคเรเยว วสาเปนฺติฯ เอวํ สกลชมฺพุทีปํ วิจริตฺวา อสฺสกรเฎฺฐ ปาฎลินครํ ปาปุณิํสุฯ อสฺสโกปิ นครทฺวารานิ ปิทหาเปตฺวา ปณฺณาการํ เปเสสิฯ ตสฺส นนฺทิเสโน นาม อมโจฺจ ปณฺฑิโต พฺยโตฺต อุปายกุสโลฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘อิมา กิร ราชธีตโร สกลชมฺพุทีปํ วิจริตฺวา ปฎิโยธํ น ลภิํสุ, เอวํ สเนฺต ชมฺพุทีโป ตุโจฺฉ นาม อโหสิ, อหํ กาลิเงฺคน สทฺธิํ ยุชฺฌิสฺสามี’’ติฯ โส นครทฺวารํ คนฺตฺวา โทวาริเก อามเนฺตตฺวา ตาสํ ทฺวารํ วิวราเปตุํ ปฐมํ คาถมาห –

    Atīte kāliṅgaraṭṭhe dantapuranagare kāliṅgarāje rajjaṃ kārente assakaraṭṭhe pāṭalinagare assako nāma rājā rajjaṃ kāresi. Kāliṅgo sampannabalavāhano sayampi nāgabalo paṭiyodhaṃ na passati. So yujjhitukāmo hutvā amaccānaṃ ārocesi ‘‘ahaṃ yuddhatthiko, paṭiyodhaṃ pana na passāmi, kiṃ karomā’’ti. Amaccā ‘‘attheko, mahārāja, upāyo, dhītaro te catasso uttamarūpadharā, tā pasādhetvā paṭicchannayāne nisīdāpetvā balaparivutā gāmanigamarājadhāniyo carāpetha. Yo rājā tā attano gehe kātukāmo bhavissati, tena saddhiṃ yuddhaṃ karissāmā’’ti vadiṃsu. Rājā tathā kāresi. Tāhi gatagataṭṭhāne rājāno bhayena tāsaṃ nagaraṃ pavisituṃ na denti, paṇṇākāraṃ pesetvā bahinagareyeva vasāpenti. Evaṃ sakalajambudīpaṃ vicaritvā assakaraṭṭhe pāṭalinagaraṃ pāpuṇiṃsu. Assakopi nagaradvārāni pidahāpetvā paṇṇākāraṃ pesesi. Tassa nandiseno nāma amacco paṇḍito byatto upāyakusalo. So cintesi ‘‘imā kira rājadhītaro sakalajambudīpaṃ vicaritvā paṭiyodhaṃ na labhiṃsu, evaṃ sante jambudīpo tuccho nāma ahosi, ahaṃ kāliṅgena saddhiṃ yujjhissāmī’’ti. So nagaradvāraṃ gantvā dovārike āmantetvā tāsaṃ dvāraṃ vivarāpetuṃ paṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    1.

    ‘‘วิวรถิมาสํ ทฺวารํ, นครํ ปวิสนฺตุ อรุณราชสฺส;

    ‘‘Vivarathimāsaṃ dvāraṃ, nagaraṃ pavisantu aruṇarājassa;

    สีเหน สุสิเฎฺฐน, สุรกฺขิตํ นนฺทิเสเนนา’’ติฯ

    Sīhena susiṭṭhena, surakkhitaṃ nandisenenā’’ti.

    ตตฺถ อรุณราชสฺสาติ โส หิ รเชฺช ปติฎฺฐิตกาเล รฎฺฐนามวเสน อสฺสโก นาม ชาโต, กุลทตฺติยํ ปนสฺส นามํ อรุโณติ ฯ เตนาห ‘‘อรุณราชสฺสา’’ติฯ สีเหนาติ ปุริสสีเหนฯ สุสิเฎฺฐนาติ อาจริเยหิ สุฎฺฐุ อนุสาสิเตนฯ นนฺทิเสเนนาติ มยา นนฺทิเสเนน นามฯ

    Tattha aruṇarājassāti so hi rajje patiṭṭhitakāle raṭṭhanāmavasena assako nāma jāto, kuladattiyaṃ panassa nāmaṃ aruṇoti . Tenāha ‘‘aruṇarājassā’’ti. Sīhenāti purisasīhena. Susiṭṭhenāti ācariyehi suṭṭhu anusāsitena. Nandisenenāti mayā nandisenena nāma.

    โส เอวํ วตฺวา ทฺวารํ วิวราเปตฺวา ตา คเหตฺวา อสฺสกรโญฺญ ทตฺวา ‘‘ตุเมฺห มา ภายิตฺถ, ยุเทฺธ สติ อหํ ชินิสฺสามิ, อิมา อุตฺตมรูปธรา ราชธีตโร มเหสิโย กโรถา’’ติ ตาสํ อภิเสกํ ทาเปตฺวา ตาหิ สทฺธิํ อาคเต ปุริเส ‘‘คจฺฉถ, ตุเมฺห ราชธีตูนํ อสฺสกราเชน มเหสิฎฺฐาเน ฐปิตภาวํ ตุมฺหากํ รโญฺญ อาจิกฺขถา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ เต คนฺตฺวา อาโรเจสุํฯ กาลิโงฺค ‘‘น หิ นูน โส มยฺหํ พลํ ชานาตี’’ติ วตฺวา ตาวเทว มหติยา เสนาย นิกฺขมิฯ นนฺทิเสโน ตสฺส อาคมนํ ญตฺวา ‘‘อตฺตโน กิร รชฺชสีมายเมว โหตุ, มา อมฺหากํ รโญฺญ รชฺชสีมํ โอกฺกมตุ, อุภินฺนํ รชฺชานํ อนฺตเร ยุทฺธํ ภวิสฺสตี’’ติ สาสนํ เปเสสิฯ โส สาสนํ สุตฺวา อตฺตโน รชฺชปริยเนฺตเยว อฎฺฐาสิฯ อสฺสโกปิ อตฺตโน รชฺชปริยเนฺต อฎฺฐาสิฯ ตทา โพธิสโตฺต อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา เตสํ ทฺวินฺนํ รชฺชานํ อนฺตเร ปณฺณสาลายํ วสติฯ กาลิโงฺค จิเนฺตสิ ‘‘สมณา นาม กิญฺจิ ชานิสฺสนฺติ, โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสติ, กสฺส ชโย วา ปราชโย วา ภวิสฺสติ, ตาปสํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ อญฺญาตกเวเสน โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘ภเนฺต, กาลิโงฺค จ อสฺสโก จ ยุชฺฌิตุกามา อตฺตโน อตฺตโน รชฺชสีมายเมว ฐิตา, เอเตสุ กสฺส ชโย ภวิสฺสติ, กสฺส ปราชโย’’ติ ปุจฺฉิฯ มหาปุญฺญ, อหํ ‘‘อสุกสฺส ชโย, อสุกสฺส ปราชโย’’ติ น ชานามิ, สโกฺก ปน เทวราชา อิธาคจฺฉติ, ตมหํ ปุจฺฉิตฺวา กเถสฺสามิ, เสฺว อาคเจฺฉยฺยาสีติฯ สโกฺก โพธิสตฺตสฺส อุปฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา นิสีทิ, อถ นํ โพธิสโตฺต ตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ ภเนฺต, กาลิโงฺค ชินิสฺสติ, อสฺสโก ปราชิสฺสติ, อิทญฺจิทญฺจ ปุพฺพนิมิตฺตํ ปญฺญายิสฺสตีติฯ

    So evaṃ vatvā dvāraṃ vivarāpetvā tā gahetvā assakarañño datvā ‘‘tumhe mā bhāyittha, yuddhe sati ahaṃ jinissāmi, imā uttamarūpadharā rājadhītaro mahesiyo karothā’’ti tāsaṃ abhisekaṃ dāpetvā tāhi saddhiṃ āgate purise ‘‘gacchatha, tumhe rājadhītūnaṃ assakarājena mahesiṭṭhāne ṭhapitabhāvaṃ tumhākaṃ rañño ācikkhathā’’ti uyyojesi. Te gantvā ārocesuṃ. Kāliṅgo ‘‘na hi nūna so mayhaṃ balaṃ jānātī’’ti vatvā tāvadeva mahatiyā senāya nikkhami. Nandiseno tassa āgamanaṃ ñatvā ‘‘attano kira rajjasīmāyameva hotu, mā amhākaṃ rañño rajjasīmaṃ okkamatu, ubhinnaṃ rajjānaṃ antare yuddhaṃ bhavissatī’’ti sāsanaṃ pesesi. So sāsanaṃ sutvā attano rajjapariyanteyeva aṭṭhāsi. Assakopi attano rajjapariyante aṭṭhāsi. Tadā bodhisatto isipabbajjaṃ pabbajitvā tesaṃ dvinnaṃ rajjānaṃ antare paṇṇasālāyaṃ vasati. Kāliṅgo cintesi ‘‘samaṇā nāma kiñci jānissanti, ko jānāti, kiṃ bhavissati, kassa jayo vā parājayo vā bhavissati, tāpasaṃ pucchissāmī’’ti aññātakavesena bodhisattaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisīditvā paṭisanthāraṃ katvā ‘‘bhante, kāliṅgo ca assako ca yujjhitukāmā attano attano rajjasīmāyameva ṭhitā, etesu kassa jayo bhavissati, kassa parājayo’’ti pucchi. Mahāpuñña, ahaṃ ‘‘asukassa jayo, asukassa parājayo’’ti na jānāmi, sakko pana devarājā idhāgacchati, tamahaṃ pucchitvā kathessāmi, sve āgaccheyyāsīti. Sakko bodhisattassa upaṭṭhānaṃ āgantvā nisīdi, atha naṃ bodhisatto tamatthaṃ pucchi. Bhante, kāliṅgo jinissati, assako parājissati, idañcidañca pubbanimittaṃ paññāyissatīti.

    กาลิโงฺค ปุนทิวเส อาคนฺตฺวา ปุจฺฉิ, โพธิสโตฺตปิสฺส อาจิกฺขิฯ โส ‘‘กิํ นาม ปุพฺพนิมิตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติ อปุจฺฉิตฺวาว ‘‘อหํ กิร ชินิสฺสามี’’ติ อุฎฺฐาย ตุฎฺฐิยา ปกฺกามิฯ สา กถา วิตฺถาริกา อโหสิฯ ตํ สุตฺวา อสฺสโก นนฺทิเสนํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กาลิโงฺค กิร ชินิสฺสติํ , มยํ ปราชิสฺสาม, กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติ อาหฯ โส ‘‘โก เอตํ ชานาติ มหาราช, กสฺส ชโย วา ปราชโย วา, ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถา’’ติ ราชานํ อสฺสาเสตฺวา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘ภเนฺต, โก ชินิสฺสติ, โก ปราชิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘กาลิโงฺค ชินิสฺสติ, อสฺสโก ปราชิสฺสตี’’ติ? ‘‘ภเนฺต, ชินนฺตสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ กิํ ภวิสฺสติ, กิํ ปราชินนฺตสฺสา’’ติ? ‘‘มหาปุญฺญ, ชินนฺตสฺส อารกฺขเทวตา สพฺพเสโต อุสโภ ภวิสฺสติ, อิตรสฺส สพฺพกาฬโก, อุภินฺนมฺปิ อารกฺขเทวตา ยุชฺฌิตฺวา ชยปราชยํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ นนฺทิเสโน ตํ สุตฺวา อุฎฺฐาย คนฺตฺวา รโญฺญ สหาเย สหสฺสมเตฺต มหาโยเธ คเหตฺวา อวิทูเร ปพฺพตํ อภิรุยฺห ‘‘อโมฺภ, อมฺหากํ รโญฺญ ชีวิตํ ทาตุํ สกฺขิสฺสถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, สกฺขิสฺสามา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อิมสฺมิํ ปปาเต ปตถา’’ติฯ เต ปติตุํ อารภิํสุฯ อถ เน วาเรตฺวา ‘‘อลํ เอตฺถ ปตเนน, อมฺหากํ รโญฺญ ชีวิตํ ทาตุํ สุหทยา อนิวตฺติโน หุตฺวา ยุชฺฌถา’’ติ อาหฯ เต สมฺปฎิจฺฉิํสุํฯ

    Kāliṅgo punadivase āgantvā pucchi, bodhisattopissa ācikkhi. So ‘‘kiṃ nāma pubbanimittaṃ bhavissatī’’ti apucchitvāva ‘‘ahaṃ kira jinissāmī’’ti uṭṭhāya tuṭṭhiyā pakkāmi. Sā kathā vitthārikā ahosi. Taṃ sutvā assako nandisenaṃ pakkosāpetvā ‘‘kāliṅgo kira jinissatiṃ , mayaṃ parājissāma, kiṃ nu kho kātabba’’nti āha. So ‘‘ko etaṃ jānāti mahārāja, kassa jayo vā parājayo vā, tumhe mā cintayitthā’’ti rājānaṃ assāsetvā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisinno ‘‘bhante, ko jinissati, ko parājissatī’’ti pucchi. ‘‘Kāliṅgo jinissati, assako parājissatī’’ti? ‘‘Bhante, jinantassa pubbanimittaṃ kiṃ bhavissati, kiṃ parājinantassā’’ti? ‘‘Mahāpuñña, jinantassa ārakkhadevatā sabbaseto usabho bhavissati, itarassa sabbakāḷako, ubhinnampi ārakkhadevatā yujjhitvā jayaparājayaṃ karissantī’’ti. Nandiseno taṃ sutvā uṭṭhāya gantvā rañño sahāye sahassamatte mahāyodhe gahetvā avidūre pabbataṃ abhiruyha ‘‘ambho, amhākaṃ rañño jīvitaṃ dātuṃ sakkhissathā’’ti pucchi. ‘‘Āma, sakkhissāmā’’ti. ‘‘Tena hi imasmiṃ papāte patathā’’ti. Te patituṃ ārabhiṃsu. Atha ne vāretvā ‘‘alaṃ ettha patanena, amhākaṃ rañño jīvitaṃ dātuṃ suhadayā anivattino hutvā yujjhathā’’ti āha. Te sampaṭicchiṃsuṃ.

    อถ สงฺคาเม อุปฎฺฐิเต กาลิโงฺค ‘‘อหํ กิร ชินิสฺสามี’’ติ โวสานํ อาปชฺชิ, พลกายาปิสฺส ‘‘อมฺหากํ กิร ชโย’’ติ โวสานํ อาปชฺชิตฺวา สนฺนาหํ อกตฺวา วคฺควคฺคา หุตฺวา ยถารุจิ ปกฺกมิํสุ, วีริยกรณกาเล วีริยํ น กริํสุฯ อุโภปิ ราชาโน อสฺสํ อภิรุหิตฺวา ‘‘ยุชฺฌิสฺสามา’’ติ อญฺญมญฺญํ อุปสงฺกมนฺติฯ อุภินฺนํ อารกฺขเทวตา ปุรโต คนฺตฺวา กาลิงฺครโญฺญ อารกฺขเทวตา สพฺพเสโต อุสโภ อโหสิ, อิตรสฺส สพฺพกาฬโกฯ ตา เทวตาปิ อญฺญมญฺญํ ยุชฺฌนาการํ ทเสฺสนฺตา อุปสงฺกมิํสุฯ เต ปน อุสภา อุภินฺนํ ราชูนํเยว ปญฺญายนฺติ, น อเญฺญสํฯ นนฺทิเสโน อสฺสกํ ปุจฺฉิ ‘‘ปญฺญายติ เต, มหาราช, อารกฺขเทวตา’’ติฯ ‘‘อาม, ปญฺญายตี’’ติฯ ‘‘เกนากาเรนา’’ติฯ ‘‘กาลิงฺครโญฺญ อารกฺขเทวตา สพฺพเสโต อุสโภ หุตฺวา ปญฺญายติ, อมฺหากํ อารกฺขเทวตา สพฺพกาฬโก กิลมโนฺต หุตฺวา ติฎฺฐตี’’ติฯ ‘‘มหาราช, ตุเมฺห มา ภายถ, มยํ ชินิสฺสาม, กาลิโงฺค ปราชิสฺสติ, ตุเมฺห อสฺสปิฎฺฐิโต โอตริตฺวา อิมํ สตฺติํ คเหตฺวา สุสิกฺขิตสินฺธวํ อุทรปเสฺส วามหเตฺถน อุปฺปีเฬตฺวา อิมินา ปุริสสหเสฺสน สทฺธิํ เวเคน คนฺตฺวา กาลิงฺครโญฺญ อารกฺขเทวตํ สตฺติปฺปหาเรน ปาเตถ, ตโต มยํ สหสฺสมตฺตา สตฺติสหเสฺสน ปหริสฺสาม , เอวํ กาลิงฺคสฺส อารกฺขเทวตา นสฺสิสฺสติ, ตโต กาลิโงฺค ปราชิสฺสติ, มยํ ชินิสฺสามา’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ นนฺทิเสเนน ทินฺนสญฺญาย คนฺตฺวา สตฺติยา ปหริ, สูรโยธสหสฺสาปิ อมจฺจา สตฺติสหเสฺสน ปหริํสุฯ อารกฺขเทวตา ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิ, ตาวเทว กาลิโงฺค ปราชิตฺวา ปลายิฯ ตํ ปลายมานํ ทิสฺวา สหสฺสมตฺตา อมจฺจา ‘‘กาลิโงฺค ปลายตี’’ติ อุนฺนทิํสุฯ กาลิโงฺค มรณภยภีโต ปลายมาโน ตํ ตาปสํ อโกฺกสโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Atha saṅgāme upaṭṭhite kāliṅgo ‘‘ahaṃ kira jinissāmī’’ti vosānaṃ āpajji, balakāyāpissa ‘‘amhākaṃ kira jayo’’ti vosānaṃ āpajjitvā sannāhaṃ akatvā vaggavaggā hutvā yathāruci pakkamiṃsu, vīriyakaraṇakāle vīriyaṃ na kariṃsu. Ubhopi rājāno assaṃ abhiruhitvā ‘‘yujjhissāmā’’ti aññamaññaṃ upasaṅkamanti. Ubhinnaṃ ārakkhadevatā purato gantvā kāliṅgarañño ārakkhadevatā sabbaseto usabho ahosi, itarassa sabbakāḷako. Tā devatāpi aññamaññaṃ yujjhanākāraṃ dassentā upasaṅkamiṃsu. Te pana usabhā ubhinnaṃ rājūnaṃyeva paññāyanti, na aññesaṃ. Nandiseno assakaṃ pucchi ‘‘paññāyati te, mahārāja, ārakkhadevatā’’ti. ‘‘Āma, paññāyatī’’ti. ‘‘Kenākārenā’’ti. ‘‘Kāliṅgarañño ārakkhadevatā sabbaseto usabho hutvā paññāyati, amhākaṃ ārakkhadevatā sabbakāḷako kilamanto hutvā tiṭṭhatī’’ti. ‘‘Mahārāja, tumhe mā bhāyatha, mayaṃ jinissāma, kāliṅgo parājissati, tumhe assapiṭṭhito otaritvā imaṃ sattiṃ gahetvā susikkhitasindhavaṃ udarapasse vāmahatthena uppīḷetvā iminā purisasahassena saddhiṃ vegena gantvā kāliṅgarañño ārakkhadevataṃ sattippahārena pātetha, tato mayaṃ sahassamattā sattisahassena paharissāma , evaṃ kāliṅgassa ārakkhadevatā nassissati, tato kāliṅgo parājissati, mayaṃ jinissāmā’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti nandisenena dinnasaññāya gantvā sattiyā pahari, sūrayodhasahassāpi amaccā sattisahassena pahariṃsu. Ārakkhadevatā tattheva jīvitakkhayaṃ pāpuṇi, tāvadeva kāliṅgo parājitvā palāyi. Taṃ palāyamānaṃ disvā sahassamattā amaccā ‘‘kāliṅgo palāyatī’’ti unnadiṃsu. Kāliṅgo maraṇabhayabhīto palāyamāno taṃ tāpasaṃ akkosanto dutiyaṃ gāthamāha –

    .

    2.

    ‘‘ชโย กลิงฺคานมสยฺหสาหินํ, ปราชโย อนโย อสฺสกานํ;

    ‘‘Jayo kaliṅgānamasayhasāhinaṃ, parājayo anayo assakānaṃ;

    อิเจฺจว เต ภาสิตํ พฺรหฺมจาริ, น อุชฺชุภูตา วิตถํ ภณนฺตี’’ติฯ

    Icceva te bhāsitaṃ brahmacāri, na ujjubhūtā vitathaṃ bhaṇantī’’ti.

    ตตฺถ อสยฺหสาหินนฺติ อสยฺหํ ทุสฺสหํ สหิตุํ สมตฺถานํฯ อิเจฺจว เต ภาสิตนฺติ เอวํ ตยา กูฎตาปส ลญฺชํ คเหตฺวา ปราชินกราชานํ ชินิสฺสติ, ชินนราชานญฺจ ปราชิสฺสตีติ ภาสิตํฯ น อุชฺชุภูตาติ เย กาเยน วาจาย มนสา จ อุชุภูตา, น เต มุสา ภณนฺตีติฯ

    Tattha asayhasāhinanti asayhaṃ dussahaṃ sahituṃ samatthānaṃ. Icceva te bhāsitanti evaṃ tayā kūṭatāpasa lañjaṃ gahetvā parājinakarājānaṃ jinissati, jinanarājānañca parājissatīti bhāsitaṃ. Na ujjubhūtāti ye kāyena vācāya manasā ca ujubhūtā, na te musā bhaṇantīti.

    เอวํ โส ตาปสํ อโกฺกสโนฺต ปลายโนฺต อตฺตโน นครเมว คโต, นิวตฺติตฺวา โอโลเกตุมฺปิ นาสกฺขิฯ ตโต กติปาหจฺจเยน สโกฺก ตาปสสฺส อุปฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตาปโส เตน สทฺธิํ กเถโนฺต ตติยํ คาถมาห –

    Evaṃ so tāpasaṃ akkosanto palāyanto attano nagarameva gato, nivattitvā oloketumpi nāsakkhi. Tato katipāhaccayena sakko tāpasassa upaṭṭhānaṃ agamāsi. Tāpaso tena saddhiṃ kathento tatiyaṃ gāthamāha –

    .

    3.

    ‘‘เทวา มุสาวาทมุปาติวตฺตา, สจฺจํ ธนํ ปรมํ เตสุ สกฺก;

    ‘‘Devā musāvādamupātivattā, saccaṃ dhanaṃ paramaṃ tesu sakka;

    ตํ เต มุสา ภาสิตํ เทวราช, กิํ วา ปฎิจฺจ มฆวา มหินฺทา’’ติฯ

    Taṃ te musā bhāsitaṃ devarāja, kiṃ vā paṭicca maghavā mahindā’’ti.

    ตตฺถ ตํ เต มุสา ภาสิตนฺติ ยํ ตยา มยฺหํ ภาสิตํ, ตํ อตฺถภญฺชนกมุสาวาทํ กเถเนฺตน ตยา มุสา ภาสิตํ, ตยา กิํ การณํ ปฎิจฺจ เอวํ ภาสิตนฺติ?

    Tattha taṃ te musā bhāsitanti yaṃ tayā mayhaṃ bhāsitaṃ, taṃ atthabhañjanakamusāvādaṃ kathentena tayā musā bhāsitaṃ, tayā kiṃ kāraṇaṃ paṭicca evaṃ bhāsitanti?

    ตํ สุตฺวา สโกฺก จตุตฺถํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā sakko catutthaṃ gāthamāha –

    .

    4.

    ‘‘นนุ เต สุตํ พฺราหฺมณ ภญฺญมาเน, เทวา น อิสฺสนฺติ ปุริสปรกฺกมสฺส;

    ‘‘Nanu te sutaṃ brāhmaṇa bhaññamāne, devā na issanti purisaparakkamassa;

    ทโม สมาธิ มนโส อเภโชฺช, อพฺยคฺคตา นิกฺกมนญฺจ กาเล;

    Damo samādhi manaso abhejjo, abyaggatā nikkamanañca kāle;

    ทฬฺหญฺจ วิริยํ ปุริสปรกฺกโม จ, เตเนว อาสิ วิชโย อสฺสกาน’’นฺติฯ

    Daḷhañca viriyaṃ purisaparakkamo ca, teneva āsi vijayo assakāna’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – กิํ ตยา, พฺราหฺมณ, ตตฺถ ตตฺถ วจเน ภญฺญมาเน อิทํ น สุตปุพฺพํ, ยํ เทวา ปุริสปรกฺกมสฺส น อิสฺสนฺติ น อุสูยนฺติ, อสฺสกรโญฺญ วีริยกรณวเสน อตฺตทมนสงฺขาโต ทโม, สมคฺคภาเวน มนโส อเภโชฺช, อเภชฺชสมาธิ, อสฺสกรโญฺญ สหายานํ วีริยกรณกาเล อพฺยคฺคตา ยถา กาลิงฺคสฺส มนุสฺสา วคฺควคฺคา หุตฺวา โอสกฺกิํสุ, เอวํ อโนสกฺกนํ สมคฺคภาเวน อเภชฺชจิตฺตานํ วีริยญฺจ ปุริสปรกฺกโม จ ถิโร อโหสิ, เตเนว การเณน อสฺสกานํ ชโย อโหสีติฯ

    Tassattho – kiṃ tayā, brāhmaṇa, tattha tattha vacane bhaññamāne idaṃ na sutapubbaṃ, yaṃ devā purisaparakkamassa na issanti na usūyanti, assakarañño vīriyakaraṇavasena attadamanasaṅkhāto damo, samaggabhāvena manaso abhejjo, abhejjasamādhi, assakarañño sahāyānaṃ vīriyakaraṇakāle abyaggatā yathā kāliṅgassa manussā vaggavaggā hutvā osakkiṃsu, evaṃ anosakkanaṃ samaggabhāvena abhejjacittānaṃ vīriyañca purisaparakkamo ca thiro ahosi, teneva kāraṇena assakānaṃ jayo ahosīti.

    ปลาเต จ ปน กาลิเงฺค อสฺสกราชา วิโลปํ คาหาเปตฺวา อตฺตโน นครํ คโตฯ นนฺทิเสโน กาลิงฺคสฺส สาสนํ เปเสสิ ‘‘อิมาสํ จตุนฺนํ ราชกญฺญานํ ทายชฺชโกฎฺฐาสํ เปเสตุ, สเจ น เปเสติ, กาตพฺพเมตฺถ ชานิสฺสามี’’ติฯ โส ตํ สาสนํ สุตฺวา ภีตตสิโต ตาหิ ลทฺธพฺพทายชฺชํ เปเสสิ, ตโต ปฎฺฐาย สมคฺควาสํ วสิํสุฯ

    Palāte ca pana kāliṅge assakarājā vilopaṃ gāhāpetvā attano nagaraṃ gato. Nandiseno kāliṅgassa sāsanaṃ pesesi ‘‘imāsaṃ catunnaṃ rājakaññānaṃ dāyajjakoṭṭhāsaṃ pesetu, sace na peseti, kātabbamettha jānissāmī’’ti. So taṃ sāsanaṃ sutvā bhītatasito tāhi laddhabbadāyajjaṃ pesesi, tato paṭṭhāya samaggavāsaṃ vasiṃsu.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา กาลิงฺครโญฺญ ธีตโร อิมา ทหรภิกฺขุนิโย อเหสุํ, นนฺทิเสโน สาริปุโตฺต, ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā kāliṅgarañño dhītaro imā daharabhikkhuniyo ahesuṃ, nandiseno sāriputto, tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    จูฬกาลิงฺคชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Cūḷakāliṅgajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๐๑. จูฬกาลิงฺคชาตกํ • 301. Cūḷakāliṅgajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact