Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๕. จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา
5. Cūḷakammavibhaṅgasuttavaṇṇanā
๒๘๙. เอวํ เม สุตนฺติ จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตํฯ ตตฺถ สุโภติ โส กิร ทสฺสนีโย อโหสิ ปาสาทิโก, เตนสฺส องฺคสุภตาย สุโภเตฺวว นามํ อกํสุฯ มาณโวติ ปน ตํ ตรุณกาเล โวหริํสุ, โส มหลฺลกกาเลปิ เตเนว โวหาเรน โวหริยติฯ โตเทยฺยปุโตฺตติ โตเทยฺยสฺส นาม ปเสนทิรโญฺญ ปุโรหิตพฺราหฺมณสฺส ปุโตฺตฯ โส กิร สาวตฺถิยา อวิทูเร ตุทิคาโม นาม อตฺถิ, ตสฺส อธิปติตฺตา โตเทโยฺยติ สงฺขํ คโตฯ มหาธโน ปน โหติ สตฺตาสีติโกฎิวิภโว ปรมมจฺฉรี, ‘‘ททโต โภคานํ อปริกฺขโย นาม นตฺถี’’ติ จิเนฺตตฺวา กสฺสจิ กิญฺจิ น เทติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
289.Evaṃme sutanti cūḷakammavibhaṅgasuttaṃ. Tattha subhoti so kira dassanīyo ahosi pāsādiko, tenassa aṅgasubhatāya subhotveva nāmaṃ akaṃsu. Māṇavoti pana taṃ taruṇakāle vohariṃsu, so mahallakakālepi teneva vohārena vohariyati. Todeyyaputtoti todeyyassa nāma pasenadirañño purohitabrāhmaṇassa putto. So kira sāvatthiyā avidūre tudigāmo nāma atthi, tassa adhipatittā todeyyoti saṅkhaṃ gato. Mahādhano pana hoti sattāsītikoṭivibhavo paramamaccharī, ‘‘dadato bhogānaṃ aparikkhayo nāma natthī’’ti cintetvā kassaci kiñci na deti. Vuttampi cetaṃ –
‘‘อญฺชนานํ ขยํ ทิสฺวา, วมฺมิกานญฺจ สญฺจยํ;
‘‘Añjanānaṃ khayaṃ disvā, vammikānañca sañcayaṃ;
มธูนญฺจ สมาหารํ, ปณฺฑิโต ฆรมาวเส’’ติฯ
Madhūnañca samāhāraṃ, paṇḍito gharamāvase’’ti.
เอวํ อทานเมว สิกฺขาเปสิฯ ธุรวิหาเร วสโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ยาคุอุฬุงฺคมตฺตํ วา ภตฺตกฎจฺฉุมตฺตํ วา อทตฺวา ธนโลเภน กาลํ กตฺวา ตสฺมิํเยว ฆเร สุนโข หุตฺวา นิพฺพโตฺตฯ สุโภ ตํ สุนขํ อติวิย ปิยายติ , อตฺตโน ภุญฺชนกภตฺตํเยว โภเชติ, อุกฺขิปิตฺวา วรสยเน สยาเปติฯ อถ ภควา เอกทิวสํ ปจฺจูสสมเย โลกํ โวโลเกโนฺต ตํ สุนขํ ทิสฺวา – ‘‘โตเทยฺยพฺราหฺมโณ ธนโลเภน อตฺตโนว ฆเร สุนโข หุตฺวา นิพฺพโตฺต, อชฺช มยิ สุภสฺส ฆรํ คเต มํ ทิสฺวา สุนโข ภุกฺการํ กริสฺสติ, อถสฺสาหํ เอกํ วจนํ วกฺขามิ, โส ‘ชานาติ มํ สมโณ โคตโม’ติ คนฺตฺวา อุทฺธนฎฺฐาเน นิปชฺชิสฺสติฯ ตโตนิทานํ สุภสฺส มยา สทฺธิํ เอโก กถาสลฺลาโป ภวิสฺสติ, โส ธมฺมํ สุตฺวา สรเณสุ ปติฎฺฐหิสฺสติ, สุนโข ปน กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติสฺสตี’’ติ อิมํ มาณวสฺส สรเณสุ ปติฎฺฐานภาวํ ญตฺวา ภควา ตํ ทิวสํ สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา เอกโกว คามํ ปวิสิตฺวา นิกฺขเนฺต มาณเว ตํ ฆรํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ
Evaṃ adānameva sikkhāpesi. Dhuravihāre vasato sammāsambuddhassa yāguuḷuṅgamattaṃ vā bhattakaṭacchumattaṃ vā adatvā dhanalobhena kālaṃ katvā tasmiṃyeva ghare sunakho hutvā nibbatto. Subho taṃ sunakhaṃ ativiya piyāyati , attano bhuñjanakabhattaṃyeva bhojeti, ukkhipitvā varasayane sayāpeti. Atha bhagavā ekadivasaṃ paccūsasamaye lokaṃ volokento taṃ sunakhaṃ disvā – ‘‘todeyyabrāhmaṇo dhanalobhena attanova ghare sunakho hutvā nibbatto, ajja mayi subhassa gharaṃ gate maṃ disvā sunakho bhukkāraṃ karissati, athassāhaṃ ekaṃ vacanaṃ vakkhāmi, so ‘jānāti maṃ samaṇo gotamo’ti gantvā uddhanaṭṭhāne nipajjissati. Tatonidānaṃ subhassa mayā saddhiṃ eko kathāsallāpo bhavissati, so dhammaṃ sutvā saraṇesu patiṭṭhahissati, sunakho pana kālaṃ katvā niraye nibbattissatī’’ti imaṃ māṇavassa saraṇesu patiṭṭhānabhāvaṃ ñatvā bhagavā taṃ divasaṃ sarīrapaṭijagganaṃ katvā ekakova gāmaṃ pavisitvā nikkhante māṇave taṃ gharaṃ piṇḍāya pāvisi.
สุนโข ภควนฺตํ ทิสฺวา ภุกฺการํ กโรโนฺต ภควโต สมีปํ คโตฯ ตโต นํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘โตเทยฺย ตฺวํ ปุเพฺพปิ มํ โภ โภติ ปริภวิตฺวา สุนโข ชาโต, อิทานิปิ ภุกฺการํ กตฺวา อวีจิํ คมิสฺสสี’’ติฯ สุนโข ตํ สุตฺวา – ‘‘ชานาติ มํ สมโณ โคตโม’’ติ วิปฺปฎิสารี หุตฺวา คีวํ โอนาเมตฺวา อุทฺธนนฺตเร ฉาริกายํ นิปโนฺนฯ มนุสฺสา อุกฺขิปิตฺวา สยเน สยาเปตุํ นาสกฺขิํสุฯ สุโภ อาคนฺตฺวา – ‘‘เกนายํ สุนโข สยนา โอโรปิโต’’ติ อาหฯ มนุสฺสา น เกนจีติ วตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ มาณโว สุตฺวา – ‘‘มม ปิตา พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺต, โตเทโยฺย นาม สุนโข นตฺถิฯ สมโณ ปน โคตโม ปิตรํ สุนขํ กโรติ, ยํกิญฺจิ เอส มุขารุฬฺหํ ภาสตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา ภควนฺตํ มุสาวาเทน นิคฺคเหตุกาโม วิหารํ คนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ
Sunakho bhagavantaṃ disvā bhukkāraṃ karonto bhagavato samīpaṃ gato. Tato naṃ bhagavā etadavoca – ‘‘todeyya tvaṃ pubbepi maṃ bho bhoti paribhavitvā sunakho jāto, idānipi bhukkāraṃ katvā avīciṃ gamissasī’’ti. Sunakho taṃ sutvā – ‘‘jānāti maṃ samaṇo gotamo’’ti vippaṭisārī hutvā gīvaṃ onāmetvā uddhanantare chārikāyaṃ nipanno. Manussā ukkhipitvā sayane sayāpetuṃ nāsakkhiṃsu. Subho āgantvā – ‘‘kenāyaṃ sunakho sayanā oropito’’ti āha. Manussā na kenacīti vatvā taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Māṇavo sutvā – ‘‘mama pitā brahmaloke nibbatto, todeyyo nāma sunakho natthi. Samaṇo pana gotamo pitaraṃ sunakhaṃ karoti, yaṃkiñci esa mukhāruḷhaṃ bhāsatī’’ti kujjhitvā bhagavantaṃ musāvādena niggahetukāmo vihāraṃ gantvā taṃ pavattiṃ pucchi.
ภควาปิ ตสฺส ตเถว วตฺวา อวิสํวาทนตฺถํ อาห – ‘‘อตฺถิ ปน เต มาณว ปิตรา อนกฺขาตํ ธน’’นฺติ ฯ อตฺถิ, โภ โคตม, สตสหสฺสคฺฆนิกา สุวณฺณมาลา สตสหสฺสคฺฆนิกา สุวณฺณปาทุกา สตสหสฺสคฺฆนิกา สุวณฺณปาติ สตสหสฺสญฺจ กหาปณนฺติฯ คจฺฉ ตํ สุนขํ อโปฺปทกปายาสํ โภชาเปตฺวา สยเน อาโรเปตฺวา อีสกํ นิทฺทํ โอกฺกนฺตกาเล ปุจฺฉ, สพฺพํ เต อาจิกฺขิสฺสติฯ อถ นํ ชาเนยฺยาสิ ‘‘ปิตา เม เอโส’’ติฯ มาณโว – ‘‘สเจ สจฺจํ ภวิสฺสติ, ธนํ ลจฺฉามิ, โน เจ, สมณํ โคตมํ มุสาวาเทน นิคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ ทฺวีหิปิ การเณหิ ตุโฎฺฐ คนฺตฺวา ตถา อกาสิฯ สุนโข – ‘‘ญาโตมฺหิ อิมินา’’ติ โรทิตฺวา หุํ หุนฺติ กโรโนฺต ธนนิธานฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปาเทน ปถวิํ ขณิตฺวา สญฺญํ อทาสิ, มาณโว ธนํ คเหตฺวา – ‘‘ภวปฎิจฺฉนฺนํ นาม เอวํ สุขุมํ ปฎิสนฺธิอนฺตรํ ปากฎํ สมณสฺส โคตมสฺส, อทฺธา เอส สพฺพญฺญู’’ติ ภควติ ปสนฺนจิโตฺต จุทฺทส ปเญฺห อภิสงฺขริฯ องฺควิชฺชาปาฐโก กิเรส, เตนสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิทํ ธมฺมปณฺณาการํ คเหตฺวา สมณํ โคตมํ ปเญฺห ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ ทุติยคมเนน เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, เตน ปุฎฺฐปเญฺห ปน ภควา เอกปฺปหาเรเนว วิสฺสเชฺชโนฺต กมฺมสฺสกาติอาทิมาหฯ
Bhagavāpi tassa tatheva vatvā avisaṃvādanatthaṃ āha – ‘‘atthi pana te māṇava pitarā anakkhātaṃ dhana’’nti . Atthi, bho gotama, satasahassagghanikā suvaṇṇamālā satasahassagghanikā suvaṇṇapādukā satasahassagghanikā suvaṇṇapāti satasahassañca kahāpaṇanti. Gaccha taṃ sunakhaṃ appodakapāyāsaṃ bhojāpetvā sayane āropetvā īsakaṃ niddaṃ okkantakāle puccha, sabbaṃ te ācikkhissati. Atha naṃ jāneyyāsi ‘‘pitā me eso’’ti. Māṇavo – ‘‘sace saccaṃ bhavissati, dhanaṃ lacchāmi, no ce, samaṇaṃ gotamaṃ musāvādena niggaṇhissāmī’’ti dvīhipi kāraṇehi tuṭṭho gantvā tathā akāsi. Sunakho – ‘‘ñātomhi iminā’’ti roditvā huṃ hunti karonto dhananidhānaṭṭhānaṃ gantvā pādena pathaviṃ khaṇitvā saññaṃ adāsi, māṇavo dhanaṃ gahetvā – ‘‘bhavapaṭicchannaṃ nāma evaṃ sukhumaṃ paṭisandhiantaraṃ pākaṭaṃ samaṇassa gotamassa, addhā esa sabbaññū’’ti bhagavati pasannacitto cuddasa pañhe abhisaṅkhari. Aṅgavijjāpāṭhako kiresa, tenassa etadahosi – ‘‘idaṃ dhammapaṇṇākāraṃ gahetvā samaṇaṃ gotamaṃ pañhe pucchissāmī’’ti dutiyagamanena yena bhagavā tenupasaṅkami, tena puṭṭhapañhe pana bhagavā ekappahāreneva vissajjento kammassakātiādimāha.
ตตฺถ กมฺมํ เอเตสํ สกํ อตฺตโน ภณฺฑกนฺติ กมฺมสฺสกาฯ กมฺมสฺส ทายาทาติ กมฺมทายาทา, กมฺมํ เอเตสํ ทายชฺชํ ภณฺฑกนฺติ อโตฺถฯ กมฺมํ เอเตสํ โยนิ การณนฺติ กมฺมโยนีฯ กมฺมํ เอเตสํ พนฺธูติ กมฺมพนฺธู, กมฺมญาตกาติ อโตฺถฯ กมฺมํ เอเตสํ ปฎิสรณํ ปติฎฺฐาติ กมฺมปฎิสรณาฯ ยทิทํ หีนปฺปณีตตายาติ ยํ อิทํ ‘‘ตฺวํ หีโน ภว, ตฺวํ ปณีโต, ตฺวํ อปฺปายุโก, ตฺวํ ทีฆายุโก…เป.… ตฺวํ ทุปฺปโญฺญ ภว, ตฺวํ ปญฺญวา’’ติ เอวํ หีนปฺปณีตตาย วิภชนํ, ตํ น อโญฺญ โกจิ กโรติ, กมฺมเมว เอวํ สเตฺต วิภชตีติ อโตฺถฯ น มาณโว กถิตสฺส อตฺถํ สญฺชานาสิ, ฆนทุสฺสปเฎฺฎนสฺส มุขํ พนฺธิตฺวา มธุรํ ปุรโต ฐปิตํ วิย อโหสิฯ มานนิสฺสิโต กิเรส ปณฺฑิตมานี, อตฺตนา สมํ น ปสฺสติฯ อถสฺส ‘‘กิํ สมโณ โคตโม กเถติ, ยมหํ ชานามิ, ตเทว กเถตีติ อยํ มาโน มา อโหสี’’ติ มานภญฺชนตฺถํ ภควา ‘‘อาทิโตว ทุปฺปฎิวิชฺฌํ กตฺวา กเถสฺสามิ, ตโต ‘นาหํ โภ โคตม ชานามิ, วิตฺถาเรน เม ปากฎํ กตฺวา กเถถา’ติ มํ ยาจิสฺสติ, อถสฺสาหํ ยาจิตกาเล กเถสฺสามิ, เอวญฺจสฺส สาตฺถกํ ภวิสฺสตี’’ติ ทุปฺปฎิวิชฺฌํ กตฺวา กเถสิฯ
Tattha kammaṃ etesaṃ sakaṃ attano bhaṇḍakanti kammassakā. Kammassa dāyādāti kammadāyādā, kammaṃ etesaṃ dāyajjaṃ bhaṇḍakanti attho. Kammaṃ etesaṃ yoni kāraṇanti kammayonī. Kammaṃ etesaṃ bandhūti kammabandhū, kammañātakāti attho. Kammaṃ etesaṃ paṭisaraṇaṃ patiṭṭhāti kammapaṭisaraṇā. Yadidaṃhīnappaṇītatāyāti yaṃ idaṃ ‘‘tvaṃ hīno bhava, tvaṃ paṇīto, tvaṃ appāyuko, tvaṃ dīghāyuko…pe… tvaṃ duppañño bhava, tvaṃ paññavā’’ti evaṃ hīnappaṇītatāya vibhajanaṃ, taṃ na añño koci karoti, kammameva evaṃ satte vibhajatīti attho. Na māṇavo kathitassa atthaṃ sañjānāsi, ghanadussapaṭṭenassa mukhaṃ bandhitvā madhuraṃ purato ṭhapitaṃ viya ahosi. Mānanissito kiresa paṇḍitamānī, attanā samaṃ na passati. Athassa ‘‘kiṃ samaṇo gotamo katheti, yamahaṃ jānāmi, tadeva kathetīti ayaṃ māno mā ahosī’’ti mānabhañjanatthaṃ bhagavā ‘‘āditova duppaṭivijjhaṃ katvā kathessāmi, tato ‘nāhaṃ bho gotama jānāmi, vitthārena me pākaṭaṃ katvā kathethā’ti maṃ yācissati, athassāhaṃ yācitakāle kathessāmi, evañcassa sātthakaṃ bhavissatī’’ti duppaṭivijjhaṃ katvā kathesi.
อิทานิ โส อตฺตโน อปฺปฎิวิทฺธภาวํ ปกาเสโนฺต น โข อหนฺติอาทิมาหฯ
Idāni so attano appaṭividdhabhāvaṃ pakāsento na kho ahantiādimāha.
๒๙๐. สมเตฺตนาติ ปริปุเณฺณนฯ สมาทิเนฺนนาติ คหิเตน ปรามเฎฺฐนฯ อปฺปายุกสํวตฺตนิกา เอสา, มาณว, ปฎิปทา ยทิทํ ปาณาติปาตีติ ยํ อิทํ ปาณาติปาตกมฺมํ, เอสา อปฺปายุกสํวตฺตนิกา ปฎิปทาติฯ
290.Samattenāti paripuṇṇena. Samādinnenāti gahitena parāmaṭṭhena. Appāyukasaṃvattanikā esā, māṇava, paṭipadā yadidaṃ pāṇātipātīti yaṃ idaṃ pāṇātipātakammaṃ, esā appāyukasaṃvattanikā paṭipadāti.
กถํ ปเนสา อปฺปายุกตํ กโรติ? จตฺตาริ หิ กมฺมานิ อุปปีฬกํ อุปเจฺฉทกํ ชนกํ อุปตฺถมฺภกนฺติฯ พลวกเมฺมน หิ นิพฺพตฺตํ ปวเตฺต อุปปีฬกํ อาคนฺตฺวา อตฺถโต เอวํ วทติ นาม – ‘‘สจาหํ ปฐมตรํ ชาเนยฺยํ, น เต อิธ นิพฺพตฺติตุํ ทเทยฺยํ, จตูสุเยว ตํ อปาเยสุ นิพฺพตฺตาเปยฺยํฯ โหตุ, ตฺวํ ยตฺถ กตฺถจิ นิพฺพตฺต, อหํ อุปปีฬกกมฺมํ นาม ตํ ปีเฬตฺวา นิโรชํ นิยูสํ กสฎํ กริสฺสามี’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย ตํ ตาทิสํ กโรติฯ กิํ กโรติ? ปริสฺสยํ อุปเนติ, โภเค วินาเสติฯ
Kathaṃ panesā appāyukataṃ karoti? Cattāri hi kammāni upapīḷakaṃ upacchedakaṃ janakaṃ upatthambhakanti. Balavakammena hi nibbattaṃ pavatte upapīḷakaṃ āgantvā atthato evaṃ vadati nāma – ‘‘sacāhaṃ paṭhamataraṃ jāneyyaṃ, na te idha nibbattituṃ dadeyyaṃ, catūsuyeva taṃ apāyesu nibbattāpeyyaṃ. Hotu, tvaṃ yattha katthaci nibbatta, ahaṃ upapīḷakakammaṃ nāma taṃ pīḷetvā nirojaṃ niyūsaṃ kasaṭaṃ karissāmī’’ti. Tato paṭṭhāya taṃ tādisaṃ karoti. Kiṃ karoti? Parissayaṃ upaneti, bhoge vināseti.
ตตฺถ ทารกสฺส มาตุกุจฺฉิยํ นิพฺพตฺตกาลโต ปฎฺฐาย มาตุ อสฺสาโท วา สุขํ วา น โหติ, มาตาปิตูนํ ปีฬาว อุปฺปชฺชติฯ เอวํ ปริสฺสยํ อุปเนติฯ ทารกสฺส ปน มาตุกุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตกาลโต ปฎฺฐาย เคเห โภคา อุทกํ ปตฺวา โลณํ วิย ราชาทีนํ วเสน นสฺสนฺติ, กุมฺภโทหนเธนุโย ขีรํ น เทนฺติ, สูรตา โคณา จณฺฑา โหนฺติ, กาณา โหนฺติ, ขุชฺชา โหนฺติ, โคมณฺฑเล โรโค ปตติ, ทาสาทโย วจนํ น กโรนฺติ, วาปิตํ สสฺสํ น ชายติ, เคหคตํ เคเห, อรญฺญคตํ อรเญฺญ นสฺสติ, อนุปุเพฺพน ฆาสจฺฉาทนมตฺตํ ทุลฺลภํ โหติ, คพฺภปริหาโร น โหติ, วิชาตกาเล มาตุถญฺญํ ฉิชฺชติ, ทารโก ปริหารํ อลภโนฺต ปีฬิโต นิโรโช นิยูโส กสโฎ โหติ, อิทํ อุปปีฬกกมฺมํ นามฯ
Tattha dārakassa mātukucchiyaṃ nibbattakālato paṭṭhāya mātu assādo vā sukhaṃ vā na hoti, mātāpitūnaṃ pīḷāva uppajjati. Evaṃ parissayaṃ upaneti. Dārakassa pana mātukucchimhi nibbattakālato paṭṭhāya gehe bhogā udakaṃ patvā loṇaṃ viya rājādīnaṃ vasena nassanti, kumbhadohanadhenuyo khīraṃ na denti, sūratā goṇā caṇḍā honti, kāṇā honti, khujjā honti, gomaṇḍale rogo patati, dāsādayo vacanaṃ na karonti, vāpitaṃ sassaṃ na jāyati, gehagataṃ gehe, araññagataṃ araññe nassati, anupubbena ghāsacchādanamattaṃ dullabhaṃ hoti, gabbhaparihāro na hoti, vijātakāle mātuthaññaṃ chijjati, dārako parihāraṃ alabhanto pīḷito nirojo niyūso kasaṭo hoti, idaṃ upapīḷakakammaṃ nāma.
ทีฆายุกกเมฺมน ปน นิพฺพตฺตสฺส อุปเจฺฉทกกมฺมํ อาคนฺตฺวา อายุํ ฉินฺทติฯ ยถา หิ ปุริโส อฎฺฐุสภคมนํ กตฺวา สรํ ขิเปยฺย ตมโญฺญ ธนุโต วิมุตฺตมตฺตํ มุคฺคเรน ปหริตฺวา ตเตฺถว ปาเตยฺย, เอวํ ทีฆายุกกเมฺมน นิพฺพตฺตสฺส อุปเจฺฉทกกมฺมํ อายุํ ฉินฺทติฯ กิํ กโรติ? โจรานํ อฎวิํ ปเวเสติ, วาฬมโจฺฉทกํ โอตาเรติ, อญฺญตรํ วา ปน สปริสฺสยฎฺฐานํ อุปเนติ, อิทํ อุปเจฺฉทกกมฺมํ นาม, ‘‘อุปฆาตก’’นฺติปิ เอตเสฺสว นามํฯ
Dīghāyukakammena pana nibbattassa upacchedakakammaṃ āgantvā āyuṃ chindati. Yathā hi puriso aṭṭhusabhagamanaṃ katvā saraṃ khipeyya tamañño dhanuto vimuttamattaṃ muggarena paharitvā tattheva pāteyya, evaṃ dīghāyukakammena nibbattassa upacchedakakammaṃ āyuṃ chindati. Kiṃ karoti? Corānaṃ aṭaviṃ paveseti, vāḷamacchodakaṃ otāreti, aññataraṃ vā pana saparissayaṭṭhānaṃ upaneti, idaṃ upacchedakakammaṃ nāma, ‘‘upaghātaka’’ntipi etasseva nāmaṃ.
ปฎิสนฺธินิพฺพตฺตกํ ปน กมฺมํ ชนกกมฺมํ นามฯ อปฺปโภคกุลาทีสุ นิพฺพตฺตสฺส โภคสมฺปทาทิกรเณน อุปตฺถมฺภกกมฺมํ อุปตฺถมฺภกกมฺมํ นามฯ
Paṭisandhinibbattakaṃ pana kammaṃ janakakammaṃ nāma. Appabhogakulādīsu nibbattassa bhogasampadādikaraṇena upatthambhakakammaṃ upatthambhakakammaṃ nāma.
อิเมสุ จตูสุ ปุริมานิ เทฺว อกุสลาเนว, ชนกํ กุสลมฺปิ อกุสลมฺปิ, อุปตฺถมฺภกํ กุสลเมวฯ ตตฺถ ปาณาติปาตกมฺมํ อุปเจฺฉทกกเมฺมน อปฺปายุกสํวตฺตนิกํ โหติฯ ปาณาติปาตินา วา กตํ กุสลกมฺมํ อุฬารํ น โหติ, ทีฆายุกปฎิสนฺธิํ ชเนตุํ น สโกฺกติฯ เอวํ ปาณาติปาโต อปฺปายุกสํวตฺตนิโก โหติฯ ปฎิสนฺธิเมว วา นิยาเมตฺวา อปฺปายุกํ กโรติ, สนฺนิฎฺฐานเจตนาย วา นิรเย นิพฺพตฺตติ, ปุพฺพาปรเจตนาหิ วุตฺตนเยน อปฺปายุโก โหติฯ
Imesu catūsu purimāni dve akusalāneva, janakaṃ kusalampi akusalampi, upatthambhakaṃ kusalameva. Tattha pāṇātipātakammaṃ upacchedakakammena appāyukasaṃvattanikaṃ hoti. Pāṇātipātinā vā kataṃ kusalakammaṃ uḷāraṃ na hoti, dīghāyukapaṭisandhiṃ janetuṃ na sakkoti. Evaṃ pāṇātipāto appāyukasaṃvattaniko hoti. Paṭisandhimeva vā niyāmetvā appāyukaṃ karoti, sanniṭṭhānacetanāya vā niraye nibbattati, pubbāparacetanāhi vuttanayena appāyuko hoti.
ทีฆายุกสํวตฺตนิกา เอสา มาณว ปฎิปทาติ เอตฺถ ปริตฺตกเมฺมนปิ นิพฺพตฺตํ ปวเตฺต เอตํ ปาณาติปาตา วิรติกมฺมํ อาคนฺตฺวา อตฺถโต เอวํ วทติ นาม – ‘‘สจาหํ ปฐมตรํ ชาเนยฺยํ, น เต อิธ นิพฺพตฺติตุํ ทเทยฺยํ, เทวโลเกเยว ตํ นิพฺพตฺตาเปยฺยํฯ โหตุ, ตฺวํ ยตฺถ กตฺถจิ นิพฺพตฺติ, อหํ อุปตฺถมฺภกกมฺมํ นาม ถมฺภํ เต กริสฺสามี’’ติ อุปตฺถมฺภํ กโรติฯ กิํ กโรติ? ปริสฺสยํ นาเสติ, โภเค อุปฺปาเทติฯ
Dīghāyukasaṃvattanikā esā māṇava paṭipadāti ettha parittakammenapi nibbattaṃ pavatte etaṃ pāṇātipātā viratikammaṃ āgantvā atthato evaṃ vadati nāma – ‘‘sacāhaṃ paṭhamataraṃ jāneyyaṃ, na te idha nibbattituṃ dadeyyaṃ, devalokeyeva taṃ nibbattāpeyyaṃ. Hotu, tvaṃ yattha katthaci nibbatti, ahaṃ upatthambhakakammaṃ nāma thambhaṃ te karissāmī’’ti upatthambhaṃ karoti. Kiṃ karoti? Parissayaṃ nāseti, bhoge uppādeti.
ตตฺถ ทารกสฺส มาตุกุจฺฉิยํ นิพฺพตฺตกาลโต ปฎฺฐาย มาตาปิตูนํ สุขเมว สาตเมว โหติฯ เยปิ ปกติยา มนุสฺสามนุสฺสปริสฺสยา โหนฺติ, เต สเพฺพ อปคจฺฉนฺติฯ เอวํ ปริสฺสยํ นาเสติฯ ทารกสฺส ปน มาตุกุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตกาลโต ปฎฺฐาย เคเห โภคานํ ปมาณํ น โหติ, นิธิกุมฺภิโย ปุรโตปิ ปจฺฉโตปิ เคหํ ปวฎฺฎมานา ปวิสนฺติฯ มาตาปิตโร ปเรหิ ฐปิตธนสฺสาปิ สมฺมุขีภาวํ คจฺฉนฺติฯ เธนุโย พหุขีรา โหนฺติ, โคณา สุขสีลา โหนฺติ, วปฺปฎฺฐาเน สสฺสานิ สมฺปชฺชนฺติฯ วฑฺฒิยา วา สมฺปยุตฺตํ, ตาวกาลิกํ วา ทินฺนํ ธนํ อโจทิตา สยเมว อาหริตฺวา เทนฺติ, ทาสาทโย สุวจา โหนฺติ, กมฺมนฺตา น ปริหายนฺติฯ ทารโก คพฺภโต ปฎฺฐาย ปริหารํ ลภติ, โกมาริกเวชฺชา สนฺนิหิตาว โหนฺติฯ คหปติกุเล ชาโต เสฎฺฐิฎฺฐานํ, อมจฺจกุลาทีสุ ชาโต เสนาปติฎฺฐานาทีนิ ลภติฯ เอวํ โภเค อุปฺปาเทติฯ โส อปริสฺสโย สโภโค จิรํ ชีวตีติฯ เอวํ อปาณาติปาตกมฺมํ ทีฆายุกสํวตฺตนิกํ โหติฯ
Tattha dārakassa mātukucchiyaṃ nibbattakālato paṭṭhāya mātāpitūnaṃ sukhameva sātameva hoti. Yepi pakatiyā manussāmanussaparissayā honti, te sabbe apagacchanti. Evaṃ parissayaṃ nāseti. Dārakassa pana mātukucchimhi nibbattakālato paṭṭhāya gehe bhogānaṃ pamāṇaṃ na hoti, nidhikumbhiyo puratopi pacchatopi gehaṃ pavaṭṭamānā pavisanti. Mātāpitaro parehi ṭhapitadhanassāpi sammukhībhāvaṃ gacchanti. Dhenuyo bahukhīrā honti, goṇā sukhasīlā honti, vappaṭṭhāne sassāni sampajjanti. Vaḍḍhiyā vā sampayuttaṃ, tāvakālikaṃ vā dinnaṃ dhanaṃ acoditā sayameva āharitvā denti, dāsādayo suvacā honti, kammantā na parihāyanti. Dārako gabbhato paṭṭhāya parihāraṃ labhati, komārikavejjā sannihitāva honti. Gahapatikule jāto seṭṭhiṭṭhānaṃ, amaccakulādīsu jāto senāpatiṭṭhānādīni labhati. Evaṃ bhoge uppādeti. So aparissayo sabhogo ciraṃ jīvatīti. Evaṃ apāṇātipātakammaṃ dīghāyukasaṃvattanikaṃ hoti.
อปาณาติปาตินา วา กตํ อญฺญมฺปิ กุสลํ อุฬารํ โหติ, ทีฆายุกปฎิสนฺธิํ ชเนตุํ สโกฺกติ, เอวมฺปิ ทีฆายุกสํวตฺตนิกํ โหติฯ ปฎิสนฺธิเมว วา นิยาเมตฺวา ทีฆายุกํ กโรติฯ สนฺนิฎฺฐานเจตนาย วา เทวโลเก นิพฺพตฺตติ, ปุพฺพาปรเจตนาหิ วุตฺตนเยน ทีฆายุโก โหติฯ อิมินา นเยน สพฺพปญฺหวิสฺสชฺชเนสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Apāṇātipātinā vā kataṃ aññampi kusalaṃ uḷāraṃ hoti, dīghāyukapaṭisandhiṃ janetuṃ sakkoti, evampi dīghāyukasaṃvattanikaṃ hoti. Paṭisandhimeva vā niyāmetvā dīghāyukaṃ karoti. Sanniṭṭhānacetanāya vā devaloke nibbattati, pubbāparacetanāhi vuttanayena dīghāyuko hoti. Iminā nayena sabbapañhavissajjanesu attho veditabbo.
วิเหฐนกมฺมาทีนิปิ หิ ปวเตฺต อาคนฺตฺวา อตฺถโต ตเถว วทมานานิ วิย อุปปีฬเนน นิโพฺภคตํ อาปาเทตฺวา ปฎิชคฺคนํ อลภนฺตสฺส โรคุปฺปาทนาทีหิ วา, วิเหฐกาทีหิ กตสฺส กุสลสฺส อนุฬารตาย วา, อาทิโตว ปฎิสนฺธินิยามเนน วา, วุตฺตนเยเนว ปุพฺพาปรเจตนาวเสน วา พหฺวาพาธตาทีนิ กโรนฺติ, อปาณาติปาโต วิย จ อวิเหฐนาทีนิปิ อปฺปาพาธตาทีนีติฯ
Viheṭhanakammādīnipi hi pavatte āgantvā atthato tatheva vadamānāni viya upapīḷanena nibbhogataṃ āpādetvā paṭijagganaṃ alabhantassa roguppādanādīhi vā, viheṭhakādīhi katassa kusalassa anuḷāratāya vā, āditova paṭisandhiniyāmanena vā, vuttanayeneva pubbāparacetanāvasena vā bahvābādhatādīni karonti, apāṇātipāto viya ca aviheṭhanādīnipi appābādhatādīnīti.
๒๙๓. เอตฺถ ปน อิสฺสามนโกติ อิสฺสาสมฺปยุตฺตจิโตฺตฯ อุปทุสฺสตีติ อิสฺสาวเสเนว อุปโกฺกสโนฺต ทุสฺสติฯ อิสฺสํ พนฺธตีติ ยวกลาปํ พนฺธโนฺต วิย ยถา น นสฺสติ เอวํ พนฺธิตฺวา วิย ฐเปติฯ อเปฺปสโกฺขติ อปฺปปริวาโร, รตฺติํ ขิโตฺต วิย สโร น ปญฺญายติ, อุจฺฉิฎฺฐหโตฺถ นิสีทิตฺวา อุทกทายกมฺปิ น ลภติฯ
293. Ettha pana issāmanakoti issāsampayuttacitto. Upadussatīti issāvaseneva upakkosanto dussati. Issaṃ bandhatīti yavakalāpaṃ bandhanto viya yathā na nassati evaṃ bandhitvā viya ṭhapeti. Appesakkhoti appaparivāro, rattiṃ khitto viya saro na paññāyati, ucchiṭṭhahattho nisīditvā udakadāyakampi na labhati.
๒๙๔. น ทาตา โหตีติ มจฺฉริยวเสน น ทาตา โหติฯ เตน กเมฺมนาติ เตน มจฺฉริยกเมฺมนฯ
294.Nadātā hotīti macchariyavasena na dātā hoti. Tena kammenāti tena macchariyakammena.
๒๙๕. อภิวาเทตพฺพนฺติ อภิวาทนารหํ พุทฺธํ วา ปเจฺจกพุทฺธํ วา อริยสาวกํ วาฯ ปจฺจุฎฺฐาตพฺพาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อิมสฺมิํ ปน ปญฺหวิสฺสชฺชเน อุปปีฬกอุปตฺถมฺภกกมฺมานิ น คเหตพฺพานิฯ น หิ ปวเตฺต นีจกุลินํ วา อุจฺจากุลินํ วา สกฺกา กาตุํ, ปฎิสนฺธิเมว ปน นิยาเมตฺวา นีจกุลิยํ กมฺมํ นีจกุเล นิพฺพเตฺตติ, อุจฺจากุลิยํ กมฺมํ อุจฺจากุเลฯ
295.Abhivādetabbanti abhivādanārahaṃ buddhaṃ vā paccekabuddhaṃ vā ariyasāvakaṃ vā. Paccuṭṭhātabbādīsupi eseva nayo. Imasmiṃ pana pañhavissajjane upapīḷakaupatthambhakakammāni na gahetabbāni. Na hi pavatte nīcakulinaṃ vā uccākulinaṃ vā sakkā kātuṃ, paṭisandhimeva pana niyāmetvā nīcakuliyaṃ kammaṃ nīcakule nibbatteti, uccākuliyaṃ kammaṃ uccākule.
๒๙๖. น ปริปุจฺฉิตา โหตีติ เอตฺถ ปน อปริปุจฺฉเนน นิรเย น นิพฺพตฺตติฯ อปริปุจฺฉโก ปน ‘‘อิทํ กาตพฺพํ, อิทํ น กาตพฺพ’’นฺติ น ชานาติ, อชานโนฺต กาตพฺพํ น กโรติ, อกาตพฺพํ กโรติฯ เตน นิรเย นิพฺพตฺตติ, อิตโร สเคฺคฯ อิติ โข, มาณว…เป.… ยทิทํ หีนปฺปณีตตายาติ สตฺถา เทสนํ ยถานุสนฺธิํ ปาเปสิฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
296.Na paripucchitā hotīti ettha pana aparipucchanena niraye na nibbattati. Aparipucchako pana ‘‘idaṃ kātabbaṃ, idaṃ na kātabba’’nti na jānāti, ajānanto kātabbaṃ na karoti, akātabbaṃ karoti. Tena niraye nibbattati, itaro sagge. Iti kho, māṇava…pe… yadidaṃ hīnappaṇītatāyāti satthā desanaṃ yathānusandhiṃ pāpesi. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Cūḷakammavibhaṅgasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
สุภสุตฺตนฺติปิ วุจฺจติฯ
Subhasuttantipi vuccati.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตํ • 5. Cūḷakammavibhaṅgasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา • 5. Cūḷakammavibhaṅgasuttavaṇṇanā