Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๕. จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา
5. Cūḷakammavibhaṅgasuttavaṇṇanā
๒๘๙. องฺคสุภตายาติ องฺคานํ หตฺถปาทาทิสรีราวยวานํ สุนฺทรภาเวนฯ ยํ อปจฺจํ กุจฺฉิตํ มุทฺธํ วา, ตตฺถ โลเก มาณวโวหาโร, เยภุเยฺยน สตฺตา ทหรกาเล สุทฺธธาตุกา โหนฺตีติ วุตฺตํ, ‘‘ตรุณกาเล โวหริํสู’’ติฯ อธิปติตฺตาติ อิสฺสรภาวโตฯ
289.Aṅgasubhatāyāti aṅgānaṃ hatthapādādisarīrāvayavānaṃ sundarabhāvena. Yaṃ apaccaṃ kucchitaṃ muddhaṃ vā, tattha loke māṇavavohāro, yebhuyyena sattā daharakāle suddhadhātukā hontīti vuttaṃ, ‘‘taruṇakāle vohariṃsū’’ti. Adhipatittāti issarabhāvato.
สมาหารนฺติ สนฺนิจยํฯ ปณฺฑิโต ฆรมาวเสติ ยสฺมา อปฺปตเรปิ พฺยยมาเน โภคา ขียนฺติ, อปฺปตเรปิ สญฺจยมาเน วฑฺฒนฺติ, ตสฺมา วิญฺญุชาติโก กิญฺจิ พฺยยํ อกตฺวา อยเมว อุปฺปาเทโนฺต ฆราวาสํ อนุติเฎฺฐยฺยาติ โลภาเทสิตมตฺถํ วทติฯ
Samāhāranti sannicayaṃ. Paṇḍito gharamāvaseti yasmā appatarepi byayamāne bhogā khīyanti, appatarepi sañcayamāne vaḍḍhanti, tasmā viññujātiko kiñci byayaṃ akatvā ayameva uppādento gharāvāsaṃ anutiṭṭheyyāti lobhādesitamatthaṃ vadati.
ธนโลเภน…เป.… นิพฺพโตฺตฯ โลภวสิกสฺส หิ คติ นิรโย วา ติรจฺฉานโยนิ วาฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘นิมิตฺตสฺสาทคถิตํ วา, ภิกฺขเว, วิญฺญาณํ ติฎฺฐมานํ ติฎฺฐติ อนุพฺยญฺชนสฺสาทคถิตํ วาฯ ตสฺมิํ สมเย กาลงฺกเรยฺย, ทฺวินฺนํ คตีนํ อญฺญตรํ คติํ วทามิ – นิรยํ วา ติรจฺฉานโยนิํ วา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๓๕)ฯ นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ กโตกาสสฺส กมฺมสฺส ปฎิพาหิตุํ อสกฺกุเณยฺยภาวโตฯ
Dhanalobhena…pe… nibbatto. Lobhavasikassa hi gati nirayo vā tiracchānayoni vā. Vuttañhetaṃ – ‘‘nimittassādagathitaṃ vā, bhikkhave, viññāṇaṃ tiṭṭhamānaṃ tiṭṭhati anubyañjanassādagathitaṃ vā. Tasmiṃ samaye kālaṅkareyya, dvinnaṃ gatīnaṃ aññataraṃ gatiṃ vadāmi – nirayaṃ vā tiracchānayoniṃ vā’’ti (saṃ. ni. 4.235). Niraye nibbattissati katokāsassa kammassa paṭibāhituṃ asakkuṇeyyabhāvato.
ปตฺตกฺขนฺธอโธมุขภาวํ สนฺธาย ‘‘โอนาเมตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ พฺราหฺมณจาริตฺตสฺส ภาวิตตํ สนฺธายาห ‘‘พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺต’’ติฯ ตํ ปวตฺติํ ปุจฺฉีติ สุตเมตํ มยา, ‘‘มยฺหํ ปิตา สุนโข หุตฺวา นิพฺพโตฺต’’ติ, เอตํ โภตา โคตเมน วุตฺตนฺติฯ กิมิทํ วุตฺตนฺติ อิมํ ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ
Pattakkhandhaadhomukhabhāvaṃ sandhāya ‘‘onāmetvā’’ti vuttaṃ. Brāhmaṇacārittassa bhāvitataṃ sandhāyāha ‘‘brahmaloke nibbatto’’ti. Taṃ pavattiṃ pucchīti sutametaṃ mayā, ‘‘mayhaṃ pitā sunakho hutvā nibbatto’’ti, etaṃ bhotā gotamena vuttanti. Kimidaṃ vuttanti imaṃ pavattiṃ pucchi.
ตเถว วตฺวาติ ยถา สุนขสฺส วุตฺตํ, ตเถว วตฺวาฯ อวิสํวาทนตฺถนฺติ, ‘‘โตเทยฺยพฺราหฺมโณ สุนโข ชาโต’’ติ อตฺตโน วจนสฺส อวิสํวาทนตฺถํ, วิสํวาทนาภาวทสฺสนตฺถนฺติ อธิปฺปาโยฯ ญาโตมฺหิ อิมินาติ อิมินา มม ปุเตฺตน มยฺหํ ปุริมชาติยํ ปิตาติ เอวํ ญาโต อมฺหีติ ชานิตฺวาฯ พุทฺธานุภาเวน กิร สุนโข ตถา ทเสฺสติ, น ชาติสฺสรตายฯ ภควนฺตํ ทิสฺวา ภุกฺกรณํ ปน ปุริมชาติสิทฺธวาสนายฯ ภวปฎิจฺฉนฺนนฺติ ภวนฺตรภาเวน ปฎิจฺฉนฺนํฯ นาม-สโทฺท สมฺภาวเนฯ ปฎิสนฺธิอนฺตรนฺติ อญฺญชาติปฎิสนฺธิคฺคหเณน เหฎฺฐิมชาตํ คติํฯ องฺควิชฺชาปาฐโก กิเรส, เตน อปฺปายุกทีฆายุกตาทิวเสน จุทฺทส ปเญฺห อภิสงฺขริ; เอวํ กิรสฺส อโหสิ, ‘‘อิเมสํ สตฺตานํ อปฺปายุกตาทโย วิเสสา องฺคปจฺจงฺควเสน สลฺลกฺขิยนฺติฯ น โข ปเนตํ ยุตฺตํ ‘องฺคปจฺจงฺคานิ ยาว เตสํ เตสํ การณ’นฺติ; ตสฺมา ภวิตพฺพเมตฺถ อเญฺญเนว การเณนฯ สมโณ โคตโม ตํ การณํ วิภชิตฺวา กเถสฺสติ, เอวายํ สพฺพญฺญูติ นิจฺฉโย เม อปณฺณโก ภวิสฺสตี’’ติฯ อปเร ปน ภณนฺติ, ‘‘ติรจฺฉานคตํ มนุสฺสํ วา อาวิสิตฺวา อิจฺฉิตตฺถกสาวนํ นาม มหามนฺตวิชฺชาวเสน โหติ; ตสฺมา น เอตฺตาวตา สมณสฺส โคตมสฺส สพฺพญฺญุตา สุนิจฺฉิตา โหติฯ ยํ นูนาหํ กมฺมผลมสฺส อุทฺทิสฺส ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยํ, ตตฺถ จ เม จิตฺตํ อาราเธโนฺต ปญฺหํ พฺยากริสฺสติฯ เอวายํ สพฺพญฺญูติ วินิจฺฉโย เม ภวิสฺสตีติ เต ปเญฺห ปุจฺฉตี’’ติฯ
Tatheva vatvāti yathā sunakhassa vuttaṃ, tatheva vatvā. Avisaṃvādanatthanti, ‘‘todeyyabrāhmaṇo sunakho jāto’’ti attano vacanassa avisaṃvādanatthaṃ, visaṃvādanābhāvadassanatthanti adhippāyo. Ñātomhiimināti iminā mama puttena mayhaṃ purimajātiyaṃ pitāti evaṃ ñāto amhīti jānitvā. Buddhānubhāvena kira sunakho tathā dasseti, na jātissaratāya. Bhagavantaṃ disvā bhukkaraṇaṃ pana purimajātisiddhavāsanāya. Bhavapaṭicchannanti bhavantarabhāvena paṭicchannaṃ. Nāma-saddo sambhāvane. Paṭisandhiantaranti aññajātipaṭisandhiggahaṇena heṭṭhimajātaṃ gatiṃ. Aṅgavijjāpāṭhako kiresa, tena appāyukadīghāyukatādivasena cuddasa pañhe abhisaṅkhari; evaṃ kirassa ahosi, ‘‘imesaṃ sattānaṃ appāyukatādayo visesā aṅgapaccaṅgavasena sallakkhiyanti. Na kho panetaṃ yuttaṃ ‘aṅgapaccaṅgāni yāva tesaṃ tesaṃ kāraṇa’nti; tasmā bhavitabbamettha aññeneva kāraṇena. Samaṇo gotamo taṃ kāraṇaṃ vibhajitvā kathessati, evāyaṃ sabbaññūti nicchayo me apaṇṇako bhavissatī’’ti. Apare pana bhaṇanti, ‘‘tiracchānagataṃ manussaṃ vā āvisitvā icchitatthakasāvanaṃ nāma mahāmantavijjāvasena hoti; tasmā na ettāvatā samaṇassa gotamassa sabbaññutā sunicchitā hoti. Yaṃ nūnāhaṃ kammaphalamassa uddissa pañhaṃ puccheyyaṃ, tattha ca me cittaṃ ārādhento pañhaṃ byākarissati. Evāyaṃ sabbaññūti vinicchayo me bhavissatīti te pañhe pucchatī’’ti.
ภณฺฑกนฺติ สาปเตยฺยํ, สนฺตกนฺติ อโตฺถฯ กมฺมุนา ทาตพฺพํ อาทิยนฺตีติ กมฺมทายาทา, อตฺตนา กตูปจิตกมฺมผลภาคีติ อโตฺถฯ ตํ ปน กมฺมทายชฺชํ การโณปจาเรน วทโนฺต, ‘‘กมฺมํ เอเตสํ ทายชฺชํ ภณฺฑกนฺติ อโตฺถ’’ติ อาห – ยถา ‘‘กุสลานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๘๐)ฯ ยวติ ผลํ สภาวโต ภินฺนมฺปิ อภินฺนํ วิย มิสฺสิตํ โหติ, เอเตนาติ โยนีติ อาห – ‘‘กมฺมํ เอเตสํ โยนิ การณ’’นฺติฯ มมตฺตวเสน พชฺฌติ สํพชฺฌตีติ พนฺธุ, ญาติ สาโลหิโต จฯ กมฺมํ ปน เอกนฺตสมฺพนฺธเมวาติ อาห – ‘‘กมฺมํ เอเตสํ พนฺธู’’ติฯ ปติฎฺฐาติ อวสฺสโยฯ กมฺมสทิโส หิ สตฺตานํ อวสฺสโย นตฺถิ, อโญฺญ โกจิ อิสฺสโร พฺรหฺมา วา น กโรติ ตาทิสํ กตฺตุํ สชฺชิตุํ อสมตฺถภาวโตฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนายํ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ กมฺมเมวาติ กสฺมา อวธาริตํ, นนุ กิเลสาปิ สตฺตานํ หีนปณีตภาวการณํ, น เกวลนฺติ ? สจฺจเมตํ, กิเลสปโยเคน วิปากวฎฺฎํ นิพฺพตฺตํ กมฺมปวตฺติตเมวาติ กตฺวา วุตฺตํฯ ‘‘กถิตสฺส อตฺถํ น สญฺชานาสี’’ติ สเงฺขปโต วตฺวา นนุ ภควา มหาการุณิโก ปเรสํ ญาปนตฺถเมว ธมฺมํ เทเสตีติ อาห – ‘‘มานนิสฺสิโต กิเรสา’’ติอาทิฯ
Bhaṇḍakanti sāpateyyaṃ, santakanti attho. Kammunā dātabbaṃ ādiyantīti kammadāyādā, attanā katūpacitakammaphalabhāgīti attho. Taṃ pana kammadāyajjaṃ kāraṇopacārena vadanto, ‘‘kammaṃ etesaṃ dāyajjaṃ bhaṇḍakanti attho’’ti āha – yathā ‘‘kusalānaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ samādānahetu evamidaṃ puññaṃ pavaḍḍhatī’’ti (dī. ni. 3.80). Yavati phalaṃ sabhāvato bhinnampi abhinnaṃ viya missitaṃ hoti, etenāti yonīti āha – ‘‘kammaṃ etesaṃ yoni kāraṇa’’nti. Mamattavasena bajjhati saṃbajjhatīti bandhu, ñāti sālohito ca. Kammaṃ pana ekantasambandhamevāti āha – ‘‘kammaṃ etesaṃ bandhū’’ti. Patiṭṭhāti avassayo. Kammasadiso hi sattānaṃ avassayo natthi, añño koci issaro brahmā vā na karoti tādisaṃ kattuṃ sajjituṃ asamatthabhāvato. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ visuddhimaggasaṃvaṇṇanāyaṃ vuttanayena veditabbaṃ. Kammamevāti kasmā avadhāritaṃ, nanu kilesāpi sattānaṃ hīnapaṇītabhāvakāraṇaṃ, na kevalanti ? Saccametaṃ, kilesapayogena vipākavaṭṭaṃ nibbattaṃ kammapavattitamevāti katvā vuttaṃ. ‘‘Kathitassa atthaṃ na sañjānāsī’’ti saṅkhepato vatvā nanu bhagavā mahākāruṇiko paresaṃ ñāpanatthameva dhammaṃ desetīti āha – ‘‘mānanissito kiresā’’tiādi.
๒๙๐. สมเตฺตนาติ ปริยเตฺตน, ยถา ตํ ผลํ ทาตุํ สมตฺถํ โหติ, เอวํ กเตน, อุปจิเตนาติ อโตฺถฯ ตาทิสํ ปน อตฺตโน กิเจฺจ อนูนํ นาม โหตีติ อาห ‘‘ปริปุเณฺณนา’’ติฯ สมาทิเนฺนนาติ เอตฺถ สมาทานํ นาม ตณฺหาทิฎฺฐีหิ คหณํ ปรามสนนฺติ อาห – ‘‘คหิเตน ปรามเฎฺฐนา’’ติฯ ปฎิปชฺชติ เอตาย สุคติทุคฺคตีติ ปฎิปทา, กมฺมํฯ ตถา หิ ตํ ‘‘กมฺมปโถ’’ติ วุจฺจติฯ
290.Samattenāti pariyattena, yathā taṃ phalaṃ dātuṃ samatthaṃ hoti, evaṃ katena, upacitenāti attho. Tādisaṃ pana attano kicce anūnaṃ nāma hotīti āha ‘‘paripuṇṇenā’’ti. Samādinnenāti ettha samādānaṃ nāma taṇhādiṭṭhīhi gahaṇaṃ parāmasananti āha – ‘‘gahitena parāmaṭṭhenā’’ti. Paṭipajjati etāya sugatiduggatīti paṭipadā, kammaṃ. Tathā hi taṃ ‘‘kammapatho’’ti vuccati.
เอสาติ ปฎิปทาฯ ทุพฺพลํ อุปฆาตกเมว สิยาติ อุปปีฬกสฺส วิสยํ ทเสฺสตุํ, ‘‘พลวกเมฺมนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ พลวกเมฺมนาติ ปุญฺญกเมฺมนฯ วทติ นามาติ วทโนฺต วิย โหติ ฯ นิพฺพตฺตาเปยฺยนฺติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ อุปปีฬกสภาวํ กมฺมํ ชนกสภาวํ น โหตีติ? สพฺพเมตํ ปริกปฺปนวจนํ, ยถา มนุสฺสา ปจฺจตฺถิกํ ปฎิปกฺขํ กิญฺจิ กาตุํ อสมตฺถาปิ เกจิ อาลมฺพนวเสน สมตฺถา วิย อตฺตานํ ทเสฺสนฺติ, เอวํสมฺปทมิทนฺติ เกจิฯ อปเร ปน ภณนฺติ – ยสฺสิทํ กมฺมสฺสวิปากํ ปีเฬติ, สเจ ตสฺมิํ อโนกาเส เอว สยํ วิปจฺจิตุํ โอกาสํ ลเภยฺย, อปาเยสุ เอว ตํสมงฺคิปุคฺคลํ นิพฺพตฺตาเปยฺย, ยสฺมา ตํ กมฺมํ พลวํ หุตฺวา อวเสสปจฺจยสมวาเยน วิปจฺจิตุํ อารทฺธํ, ตสฺมา อิตรํ ตสฺส วิปากํ วิพาเธนฺตํ อุปปีฬกํ นาม ชาตํฯ เอตทตฺถเมว เจตฺถ ‘‘พลวกเมฺมน นิพฺพตฺต’’นฺติ พลวคฺคหณํ กตํฯ กิจฺจวเสน หิ เนสํ กมฺมานํ เอตา สมญฺญา, ยทิทํ อุปปีฬกํ อุปเจฺฉทกํ ชนกํ อุปตฺถมฺภกนฺติ, น กุสลานิ วิย อุปตฺถมฺภานิ โหนฺติ นิพฺพตฺตตฺถายฯ ปีเฬตฺวาติ วิเหเฐตฺวา ปฎิฆาฎนาทิวเสน อุจฺฉุเตลยนฺตาทโย วิย อุจฺฉุติลาทิเก วิพาเธตฺวาฯ นิโรชนฺติ นิเตฺตชํฯ นิยูสนฺติ นิรสํฯ กสฎนฺติ นิสฺสารํฯ ปริสฺสยนฺติ อุปทฺทวํฯ
Esāti paṭipadā. Dubbalaṃ upaghātakameva siyāti upapīḷakassa visayaṃ dassetuṃ, ‘‘balavakammenā’’tiādi vuttaṃ. Balavakammenāti puññakammena. Vadati nāmāti vadanto viya hoti . Nibbattāpeyyanti kasmā vuttaṃ, nanu upapīḷakasabhāvaṃ kammaṃ janakasabhāvaṃ na hotīti? Sabbametaṃ parikappanavacanaṃ, yathā manussā paccatthikaṃ paṭipakkhaṃ kiñci kātuṃ asamatthāpi keci ālambanavasena samatthā viya attānaṃ dassenti, evaṃsampadamidanti keci. Apare pana bhaṇanti – yassidaṃ kammassavipākaṃ pīḷeti, sace tasmiṃ anokāse eva sayaṃ vipaccituṃ okāsaṃ labheyya, apāyesu eva taṃsamaṅgipuggalaṃ nibbattāpeyya, yasmā taṃ kammaṃ balavaṃ hutvā avasesapaccayasamavāyena vipaccituṃ āraddhaṃ, tasmā itaraṃ tassa vipākaṃ vibādhentaṃ upapīḷakaṃ nāma jātaṃ. Etadatthameva cettha ‘‘balavakammena nibbatta’’nti balavaggahaṇaṃ kataṃ. Kiccavasena hi nesaṃ kammānaṃ etā samaññā, yadidaṃ upapīḷakaṃ upacchedakaṃ janakaṃ upatthambhakanti, na kusalāni viya upatthambhāni honti nibbattatthāya. Pīḷetvāti viheṭhetvā paṭighāṭanādivasena ucchutelayantādayo viya ucchutilādike vibādhetvā. Nirojanti nittejaṃ. Niyūsanti nirasaṃ. Kasaṭanti nissāraṃ. Parissayanti upaddavaṃ.
อิทานิ ปริสฺสยสฺส อุปนยนาการํ ทเสฺสเนฺตน ตตฺถ, ‘‘ทารกสฺสา’’ติอาทิํ วตฺวา โภคานํ วินาสนาการํ ทเสฺสตุํ, ปุน ‘‘ทารกสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กุมฺภโทหนาติ กุมฺภปูรขีราฯ โคมณฺฑเลติ โคยูเถฯ
Idāni parissayassa upanayanākāraṃ dassentena tattha, ‘‘dārakassā’’tiādiṃ vatvā bhogānaṃ vināsanākāraṃ dassetuṃ, puna ‘‘dārakassā’’tiādi vuttaṃ. Kumbhadohanāti kumbhapūrakhīrā. Gomaṇḍaleti goyūthe.
อฎฺฐุสภคมนํ กตฺวาติ อฎฺฐอุสภปฺปมาณํ ปเทสํ ปจฺจตฺถิกํ อุทฺทิสฺส ธนุคฺคโห อนุยายิํ กตฺวาฯ ตนฺติ สรํฯ อโญฺญติ ปจฺจตฺถิโกฯ ตเตฺถว ปาเตยฺย อจฺจาสนฺนํ กตฺวา สรสฺส ขิตฺตตฺตาฯ วาฬมโจฺฉทกนฺติ มกราทิวาฬมจฺฉวนฺตํ อุทกํฯ
Aṭṭhusabhagamanaṃkatvāti aṭṭhausabhappamāṇaṃ padesaṃ paccatthikaṃ uddissa dhanuggaho anuyāyiṃ katvā. Tanti saraṃ. Aññoti paccatthiko. Tattheva pāteyya accāsannaṃ katvā sarassa khittattā. Vāḷamacchodakanti makarādivāḷamacchavantaṃ udakaṃ.
ปฎิสนฺธินิพฺพตฺตกํ กมฺมํ ชนกกมฺมํ นาม ปริปุณฺณวิปากทายิภาวโต, น ปวตฺติวิปากมตฺตนิพฺพตฺตกํฯ โภคสมฺปทาทีติ อาทิ-สเทฺทน อาโรคฺยสมฺปทาทิ-ปริวารสมฺปทาทีนิ คณฺหาติฯ น ทีฆายุกตาทีนิ หิ อปฺปายุกตาสํวตฺตนิเกน กมฺมุนา นิพฺพตฺตานิ; อญฺญํ ทีฆายุกตากรเณน อุปตฺถเมฺภตุํ สโกฺกติ; น อติทุพฺพณฺณํ อเปฺปสกฺขํ นีจกุลีนํ ทุปฺปญฺญํ วา วณฺณวนฺตตาทิวเสนฯ ตถา หิ วกฺขติ, ‘‘อิมสฺมิํ ปน ปญฺหวิสฺสชฺชเน’’ติอาทิ, ตํ ปน นิทสฺสนวเสน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Paṭisandhinibbattakaṃ kammaṃ janakakammaṃ nāma paripuṇṇavipākadāyibhāvato, na pavattivipākamattanibbattakaṃ. Bhogasampadādīti ādi-saddena ārogyasampadādi-parivārasampadādīni gaṇhāti. Na dīghāyukatādīni hi appāyukatāsaṃvattanikena kammunā nibbattāni; aññaṃ dīghāyukatākaraṇena upatthambhetuṃ sakkoti; na atidubbaṇṇaṃ appesakkhaṃ nīcakulīnaṃ duppaññaṃ vā vaṇṇavantatādivasena. Tathā hi vakkhati, ‘‘imasmiṃ pana pañhavissajjane’’tiādi, taṃ pana nidassanavasena vuttanti daṭṭhabbaṃ.
ปุริมานีติ อุปปีฬโกปเจฺฉทกานิฯ อุปปีฬกุปฆาตา นาม กุสลวิปากปฎิพาหกาติ อธิปฺปาเยน ‘‘เทฺว อกุสลาเนวา’’ติ วุตฺตํฯ อุปตฺถมฺภกํ กุสลเมวาติ เอตฺถ ยถา ชนกํ อุภยสภาวํ, เอวํ อิตเรสมฺปิ อุภยสภาวตาย วุจฺจมานาย น โกจิ วิโรโธฯ เทวทตฺตาทีนญฺหิ นาคาทีนํ อิโต อนุปฺปวจฺฉิตานํ เปตาทีนญฺจ นรกาทีสุ อกุสลกมฺมวิปากสฺส อุปตฺถมฺภนุปปีฬนุปฆาตนานิ น น สมฺภวนฺติฯ เอวญฺจ กตฺวา ยา เหฎฺฐา พหูสุ อานนฺตริเยสุ เอเกน คหิตปฎิสนฺธิกสฺส อิตเรสํ ตสฺส อนุพลปฺปทายิตา วุตฺตา, สาปิ สมตฺถิตา โหติฯ ยสฺมิญฺหิ กเมฺม กเต ชนกนิพฺพตฺตํ กุสลผลํ วา อกุสลผลํ วา พฺยาธิธาตุสมตาทินิมิตฺตํ วิพาธียติ, ตมุปตฺถมฺภกํฯ ยสฺมิํ ปน กเต ชาติสมตฺถสฺส ปฎิสนฺธิยํ ปวตฺติยญฺจ วิปากกฎตฺตารูปานํ อุปฺปตฺติ โหติ, ตํ ชนกํฯ ยสฺมิํ ปน กเต อเญฺญน ชนิตสฺส อิฎฺฐสฺส วา อนิฎฺฐสฺส วา ผลสฺส วิพาธาวิเจฺฉทปจฺจยานุปฺปตฺติยา อุปพฺรูหนปจฺจยุปฺปตฺติยา จ ชนกสามตฺถิยานุรูปํ ปริวุตฺติจิรตรปพนฺธา โหติ, เอตํ อุปตฺถมฺภกํฯ ตถา ยสฺมิํ กเต ชนกนิพฺพตฺตํ กุสลผลํ อกุสลผลํ วา พฺยาธิธาตุสมตาทินิมิตฺตํ วิพาธียติ, ตํ อุปปีฬกํฯ ยสฺมิํ ปน กเต ชนกสามตฺถิยวเสน จิรตรปพนฺธารหมฺปิ สมานํ ผลํ วิเจฺฉทกปจฺจยุปฺปตฺติยา วิจฺฉิชฺชติ, ตํ อุปฆาตกนฺติ อยเมตฺถ สาโรฯ
Purimānīti upapīḷakopacchedakāni. Upapīḷakupaghātā nāma kusalavipākapaṭibāhakāti adhippāyena ‘‘dve akusalānevā’’ti vuttaṃ. Upatthambhakaṃ kusalamevāti ettha yathā janakaṃ ubhayasabhāvaṃ, evaṃ itaresampi ubhayasabhāvatāya vuccamānāya na koci virodho. Devadattādīnañhi nāgādīnaṃ ito anuppavacchitānaṃ petādīnañca narakādīsu akusalakammavipākassa upatthambhanupapīḷanupaghātanāni na na sambhavanti. Evañca katvā yā heṭṭhā bahūsu ānantariyesu ekena gahitapaṭisandhikassa itaresaṃ tassa anubalappadāyitā vuttā, sāpi samatthitā hoti. Yasmiñhi kamme kate janakanibbattaṃ kusalaphalaṃ vā akusalaphalaṃ vā byādhidhātusamatādinimittaṃ vibādhīyati, tamupatthambhakaṃ. Yasmiṃ pana kate jātisamatthassa paṭisandhiyaṃ pavattiyañca vipākakaṭattārūpānaṃ uppatti hoti, taṃ janakaṃ. Yasmiṃ pana kate aññena janitassa iṭṭhassa vā aniṭṭhassa vā phalassa vibādhāvicchedapaccayānuppattiyā upabrūhanapaccayuppattiyā ca janakasāmatthiyānurūpaṃ parivutticiratarapabandhā hoti, etaṃ upatthambhakaṃ. Tathā yasmiṃ kate janakanibbattaṃ kusalaphalaṃ akusalaphalaṃ vā byādhidhātusamatādinimittaṃ vibādhīyati, taṃ upapīḷakaṃ. Yasmiṃ pana kate janakasāmatthiyavasena ciratarapabandhārahampi samānaṃ phalaṃ vicchedakapaccayuppattiyā vicchijjati, taṃ upaghātakanti ayamettha sāro.
ตตฺถาติ เตสุ กเมฺมสุฯ อุปเจฺฉทกกเมฺมนาติ อายุโน อุปฆาตกกเมฺมนฯ สฺวายมุปฆาตกภาโว ทฺวิธา อิจฺฉิตโพฺพติ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาณาติปาตินา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ น สโกฺกติ ปาณาติปาตกมฺมุนา สนฺตานสฺส ตถาภิสงฺขตตฺตาฯ ยสฺมิญฺหิ สนฺตาเน นิพฺพตฺตํ, ตสฺส เตน อภิสงฺขตตา อวสฺสํ อิจฺฉิตพฺพา ตเตฺถว ตสฺส วิปากสฺส วินิพนฺธนโตฯ เอเตน กุสลสฺส กมฺมสฺส อายูหนกฺขเณเยว ปาณาติปาโต ตาทิสํ สามตฺถิยุปฆาตํ กโรตีติ ทเสฺสติ, ตโต กมฺมํ อปฺปผลํ โหติฯ ‘‘ทีฆายุกา’’ติอาทินา อุปฆาตสามตฺถิเยน เขเตฺต อุปฺปนฺนสสฺสํ วิย อุปปตฺตินิยามกา ธมฺมาติ ทเสฺสติฯ อุปปตฺติ นิยตวิเสเส วิปจฺจิตุํ โอกาเส กโรเนฺต เอว กุสลกเมฺม อากฑฺฒิยมานปฎิสนฺธิกํ ปาณาติปาตกมฺมํ อปฺปายุกตฺถาย นิยเมตีติ อาห – ‘‘ปฎิสนฺธิเมว วา นิยาเมตฺวา อปฺปายุกํ กโรตี’’ติฯ ปาณาติปาตเจตนาย อจฺจนฺตกฎุกวิปากตฺตา สนฺนิฎฺฐานเจตนาย นิรเย นิพฺพตฺตติ ตสฺสา อตฺถสฺส ขีณาภาวโต; อิตเร ปน น ตถา ภาริยาติ อาห – ‘‘ปุพฺพา…เป.… โหตี’’ติฯ อิธ ปน ยํ เหฎฺฐา วุตฺตสทิสํ, ตํ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ
Tatthāti tesu kammesu. Upacchedakakammenāti āyuno upaghātakakammena. Svāyamupaghātakabhāvo dvidhā icchitabboti taṃ dassetuṃ ‘‘pāṇātipātinā’’tiādi vuttaṃ. Na sakkoti pāṇātipātakammunā santānassa tathābhisaṅkhatattā. Yasmiñhi santāne nibbattaṃ, tassa tena abhisaṅkhatatā avassaṃ icchitabbā tattheva tassa vipākassa vinibandhanato. Etena kusalassa kammassa āyūhanakkhaṇeyeva pāṇātipāto tādisaṃ sāmatthiyupaghātaṃ karotīti dasseti, tato kammaṃ appaphalaṃ hoti. ‘‘Dīghāyukā’’tiādinā upaghātasāmatthiyena khette uppannasassaṃ viya upapattiniyāmakā dhammāti dasseti. Upapatti niyatavisese vipaccituṃ okāse karonte eva kusalakamme ākaḍḍhiyamānapaṭisandhikaṃ pāṇātipātakammaṃ appāyukatthāya niyametīti āha – ‘‘paṭisandhimeva vā niyāmetvā appāyukaṃ karotī’’ti. Pāṇātipātacetanāya accantakaṭukavipākattā sanniṭṭhānacetanāya niraye nibbattati tassā atthassa khīṇābhāvato; itare pana na tathā bhāriyāti āha – ‘‘pubbā…pe… hotī’’ti. Idha pana yaṃ heṭṭhā vuttasadisaṃ, taṃ vuttanayena veditabbaṃ.
มนุสฺสามนุสฺสปริสฺสยาติ มานุสกา อมานุสกา จ อุปทฺทวาฯ ปุรโตติ ปุพฺพทฺวารโตฯ ปจฺฉโตติ ปจฺฉิมวตฺถุโตฯ ปวฎฺฎมานาติ ปริชนสฺส, เทวตานํ วา เทเสน ปวฎฺฎมานาฯ ปเรหีติ ปุราตเนหิ ปเรหิฯ สมฺมุขีภาวนฺติ สามิภาววเสน ปจฺจกฺขตฺตํฯ อาหริตฺวา เทนฺติ อิณายิกาฯ กมฺมนฺตาติ วณิชฺชาทิกมฺมานิฯ อปาณาติปาตกมฺมนฺติ ปาณาติปาตสฺส ปฎิปกฺขภูตํ กมฺมํ; ปาณาติปาตา วิรติวเสน ปวตฺติตกมฺมนฺติ อโตฺถฯ ทีฆายุกสํวตฺตนิกํ โหติ วิปากสฺส กมฺมสริกฺขภาวโต ฯ อิมินา นเยนาติ อิมินา อปฺปายุกทีฆายุกสํวตฺตนิเกสุ กเมฺมสุ ยถาวุเตฺตน ตํ สํวตฺตนิกวิภาวนนเยนฯ
Manussāmanussaparissayāti mānusakā amānusakā ca upaddavā. Puratoti pubbadvārato. Pacchatoti pacchimavatthuto. Pavaṭṭamānāti parijanassa, devatānaṃ vā desena pavaṭṭamānā. Parehīti purātanehi parehi. Sammukhībhāvanti sāmibhāvavasena paccakkhattaṃ. Āharitvā denti iṇāyikā. Kammantāti vaṇijjādikammāni. Apāṇātipātakammanti pāṇātipātassa paṭipakkhabhūtaṃ kammaṃ; pāṇātipātā virativasena pavattitakammanti attho. Dīghāyukasaṃvattanikaṃ hoti vipākassa kammasarikkhabhāvato . Iminā nayenāti iminā appāyukadīghāyukasaṃvattanikesu kammesu yathāvuttena taṃ saṃvattanikavibhāvananayena.
วิเหฐนกมฺมาทีนิปีติ ปิ-สเทฺทน โกธอิสฺสามนกมเจฺฉรถทฺธอวิทฺทสุภาววเสน ปวตฺติตกมฺมานิ สงฺคณฺหาติฯ ตเถวาติ ยถา ปาณาติปาตกมฺมํ อตฺถโต เอวํ วทติ นามาติ วุตฺตํ, ตเถว วทมานานิ วิยฯ ‘‘ยํ ยเทวาติปเตฺถนฺติ, สพฺพเมเตน ลพฺภตี’’ติ (ขุ. ปา. ๘.๑๐) วจนโต ยถา สพฺพกุสลํ สพฺพาสํ สมฺปตฺตีนํ อุปนิสฺสโย, เอวํ สพฺพํ อกุสลํ สพฺพาสํ วิปตฺตีนํ อุปนิสฺสโยติ, ‘‘อุปปีฬเนน นิโพฺภคตํ อาปาเทตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํ ฯ ตถา หิ ปาณาติปาตกมฺมวเสนปิ อยํ นโย ทสฺสิโตฯ อวิเหฐนาทีนีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อโกฺกธน-อนิสฺสามน-ทาน-อนติมาน-วิทฺทสุภาเวน ปวตฺตกมฺมานิ สงฺคณฺหาติฯ
Viheṭhanakammādīnipīti pi-saddena kodhaissāmanakamaccherathaddhaaviddasubhāvavasena pavattitakammāni saṅgaṇhāti. Tathevāti yathā pāṇātipātakammaṃ atthato evaṃ vadati nāmāti vuttaṃ, tatheva vadamānāni viya. ‘‘Yaṃ yadevātipatthenti, sabbametena labbhatī’’ti (khu. pā. 8.10) vacanato yathā sabbakusalaṃ sabbāsaṃ sampattīnaṃ upanissayo, evaṃ sabbaṃ akusalaṃ sabbāsaṃ vipattīnaṃ upanissayoti, ‘‘upapīḷanena nibbhogataṃ āpādetvā’’tiādi vuttaṃ . Tathā hi pāṇātipātakammavasenapi ayaṃ nayo dassito. Aviheṭhanādīnīti ettha ādi-saddena akkodhana-anissāmana-dāna-anatimāna-viddasubhāvena pavattakammāni saṅgaṇhāti.
๒๙๓. อิสฺสา มโน เอตสฺสาติ อิสฺสามนโกติ อาห ‘‘อิสฺสาสมฺปยุตฺตจิโตฺต’’ติฯ อุปโกฺกสโนฺตติ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสโนฺตฯ อิสฺสํ พนฺธตีติ อิสฺสํ อนุพนฺธติ อิสฺสาสหิตเมว จิตฺตํ อนุปวเตฺตติฯ อเปฺปสโกฺขติ อปฺปานุภาโว อปฺปญฺญาโตฯ เตนาห ‘‘น ปญฺญายตี’’ติฯ สา ปนสฺส อปฺปานุภาวตา ปริวาราภาเวน ปากฎา โหตีติ อาห ‘‘อปฺปปริวาโร’’ติฯ
293. Issā mano etassāti issāmanakoti āha ‘‘issāsampayuttacitto’’ti. Upakkosantoti akkosavatthūhi akkosanto. Issaṃ bandhatīti issaṃ anubandhati issāsahitameva cittaṃ anupavatteti. Appesakkhoti appānubhāvo appaññāto. Tenāha ‘‘na paññāyatī’’ti. Sā panassa appānubhāvatā parivārābhāvena pākaṭā hotīti āha ‘‘appaparivāro’’ti.
๒๙๔. มจฺฉริยวเสน น ทาตา โหตีติ สพฺพโส เทยฺยธมฺมสฺส อภาเวน น ทาตา น โหติฯ อมจฺฉรี หิ ปุคฺคโล สติ เทยฺยธเมฺม ยถารหํ เทติเยวฯ
294.Macchariyavasena na dātā hotīti sabbaso deyyadhammassa abhāvena na dātā na hoti. Amaccharī hi puggalo sati deyyadhamme yathārahaṃ detiyeva.
๒๙๕. อภิวาเทตพฺพํ เขตฺตวเสน มตฺถกปฺปตฺตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘พุทฺธํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อเญฺญปิ มาตุปิตุเชฎฺฐภาตราทโย อภิวาทนาทิอรหา สนฺติ, เตสุ ถทฺธาทิวเสน กรณํ นีจกุลสํวตฺตนิกเมวฯ น หิ ปวเตฺต สกฺกา กาตุนฺติ สมฺพโนฺธฯ เตน ปวตฺติวิปากทายิโน กมฺมสฺส วิสโย เอโสติ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘ปฎิสนฺธิเมว ปนา’’ติอาทิฯ
295. Abhivādetabbaṃ khettavasena matthakappattaṃ dassetuṃ, ‘‘buddhaṃ vā’’tiādi vuttaṃ. Aññepi mātupitujeṭṭhabhātarādayo abhivādanādiarahā santi, tesu thaddhādivasena karaṇaṃ nīcakulasaṃvattanikameva. Na hi pavatte sakkā kātunti sambandho. Tena pavattivipākadāyino kammassa visayo esoti dasseti. Tenāha ‘‘paṭisandhimeva panā’’tiādi.
๒๙๖. อปริปุจฺฉเนนาติ อปริปุจฺฉามเตฺตน นิรเย น นิพฺพตฺตติ; อปริปุจฺฉาเหตุ ปน กตฺตพฺพากรณาทีหิ สิยา นิรยนิพฺพตฺตีติ ปาฬิยํ, ‘‘น ปริปุจฺฉิตา โหตี’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต, ‘‘อปริปุจฺฉโก ปนา’’ติอาทิมาหฯ ยถานุสนฺธิํ ปาเปสีติ เทสนํ ยถานุสนฺธินิฎฺฐานํ ปาเปสิฯ เสสํ วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
296.Aparipucchanenāti aparipucchāmattena niraye na nibbattati; aparipucchāhetu pana kattabbākaraṇādīhi siyā nirayanibbattīti pāḷiyaṃ, ‘‘na paripucchitā hotī’’tiādi vuttanti dassento, ‘‘aparipucchako panā’’tiādimāha. Yathānusandhiṃ pāpesīti desanaṃ yathānusandhiniṭṭhānaṃ pāpesi. Sesaṃ vuttanayattā suviññeyyameva.
จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Cūḷakammavibhaṅgasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตํ • 5. Cūḷakammavibhaṅgasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. จูฬกมฺมวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา • 5. Cūḷakammavibhaṅgasuttavaṇṇanā