Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. จูฬนิกาสุตฺตวณฺณนา
10. Cūḷanikāsuttavaṇṇanā
๘๑. ทสมสฺส ทุวิโธ นิเกฺขโป อตฺถุปฺปตฺติโกปิ ปุจฺฉาวสิโกปิฯ กตรอตฺถุปฺปตฺติยํ กสฺส ปุจฺฉาย กถิตนฺติ เจ? อรุณวติสุตฺตนฺตอตฺถุปฺปตฺติยํ (สํ. นิ. ๑.๑๘๕ อาทโย) อานนฺทเตฺถรสฺส ปุจฺฉาย กถิตํฯ อรุณวติสุตฺตโนฺต เกน กถิโตติ? ทฺวีหิ พุเทฺธหิ กถิโต สิขินา จ ภควตา อมฺหากญฺจ สตฺถาราฯ อิมสฺมา หิ กปฺปา เอกติํสกปฺปมตฺถเก อรุณวตินคเร อรุณวโต รโญฺญ ปภาวติยา นาม มเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติตฺวา ปริปเกฺก ญาเณ มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา สิขี ภควา โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อรุณวติํ นิสฺสาย วิหรโนฺต เอกทิวสํ ปาโตว สรีรปฺปฎิชคฺคนํ กตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ‘‘อรุณวติํ ปิณฺฑาย ปวิสิสฺสามี’’ติ นิกฺขมิตฺวา วิหารทฺวารโกฎฺฐกสมีเป ฐิโต อภิภุํ นาม อคฺคสาวกํ อามเนฺตสิ – ‘‘อติปฺปโค โข, ภิกฺขุ, อรุณวติํ ปิณฺฑาย ปวิสิตุํ, เยน อญฺญตโร พฺรหฺมโลโก เตนุปสงฺกมิสฺสามา’’ติฯ ยถาห –
81. Dasamassa duvidho nikkhepo atthuppattikopi pucchāvasikopi. Kataraatthuppattiyaṃ kassa pucchāya kathitanti ce? Aruṇavatisuttantaatthuppattiyaṃ (saṃ. ni. 1.185 ādayo) ānandattherassa pucchāya kathitaṃ. Aruṇavatisuttanto kena kathitoti? Dvīhi buddhehi kathito sikhinā ca bhagavatā amhākañca satthārā. Imasmā hi kappā ekatiṃsakappamatthake aruṇavatinagare aruṇavato rañño pabhāvatiyā nāma mahesiyā kucchismiṃ nibbattitvā paripakke ñāṇe mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā sikhī bhagavā bodhimaṇḍe sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitvā pavattitavaradhammacakko aruṇavatiṃ nissāya viharanto ekadivasaṃ pātova sarīrappaṭijagganaṃ katvā mahābhikkhusaṅghaparivāro ‘‘aruṇavatiṃ piṇḍāya pavisissāmī’’ti nikkhamitvā vihāradvārakoṭṭhakasamīpe ṭhito abhibhuṃ nāma aggasāvakaṃ āmantesi – ‘‘atippago kho, bhikkhu, aruṇavatiṃ piṇḍāya pavisituṃ, yena aññataro brahmaloko tenupasaṅkamissāmā’’ti. Yathāha –
‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, สิขี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อภิภุํ ภิกฺขุํ อามเนฺตสิ – ‘อายาม, พฺราหฺมณ, เยน อญฺญตโร พฺรหฺมโลโก เตนุปสงฺกมิสฺสาม, น ตาว ภตฺตกาโล ภวิสฺสตี’ติฯ ‘เอวํ, ภเนฺต’ติ โข, ภิกฺขเว, อภิภู ภิกฺขุ สิขิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข, ภิกฺขเว, สิขี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อภิภู จ ภิกฺขุ เยน อญฺญตโร พฺรหฺมโลโก เตนุปสงฺกมิํสู’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๘๕)ฯ
‘‘Atha kho, bhikkhave, sikhī bhagavā arahaṃ sammāsambuddho abhibhuṃ bhikkhuṃ āmantesi – ‘āyāma, brāhmaṇa, yena aññataro brahmaloko tenupasaṅkamissāma, na tāva bhattakālo bhavissatī’ti. ‘Evaṃ, bhante’ti kho, bhikkhave, abhibhū bhikkhu sikhissa bhagavato arahato sammāsambuddhassa paccassosi. Atha kho, bhikkhave, sikhī bhagavā arahaṃ sammāsambuddho abhibhū ca bhikkhu yena aññataro brahmaloko tenupasaṅkamiṃsū’’ti (saṃ. ni. 1.185).
ตตฺถ มหาพฺรหฺมา สมฺมาสมฺพุทฺธํ ทิสฺวา อตฺตมโน ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา พฺรหฺมาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิ, เถรสฺสาปิ อนุจฺฉวิกํ อาสนํ ปญฺญาปยิํสุฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเน, เถโรปิ อตฺตโน ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ มหาพฺรหฺมาปิ ทสพลํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Tattha mahābrahmā sammāsambuddhaṃ disvā attamano paccuggamanaṃ katvā brahmāsanaṃ paññāpetvā adāsi, therassāpi anucchavikaṃ āsanaṃ paññāpayiṃsu. Nisīdi bhagavā paññatte āsane, theropi attano paññattāsane nisīdi. Mahābrahmāpi dasabalaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi.
อถ โข, ภิกฺขเว, สิขี ภควา อภิภุํ ภิกฺขุํ อามเนฺตสิ – ‘‘ปฎิภาตุ ตํ, พฺราหฺมณ, พฺรหฺมุโน จ พฺรหฺมปริสาย จ พฺรหฺมปาริสชฺชานญฺจ ธมฺมีกถาติฯ ‘เอวํ, ภเนฺต’ติ โข, ภิกฺขเว, อภิภู ภิกฺขุ สิขิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา พฺรหฺมุโน จ พฺรหฺมปริสาย จ พฺรหฺมปาริสชฺชานญฺจ ธมฺมิํ กถํ กเถสิฯ เถเร ธมฺมํ กเถเนฺต พฺรหฺมคณา อุชฺฌายิํสุ – ‘‘จิรสฺสญฺจ มยํ สตฺถุ พฺรหฺมโลกาคมนํ ลภิมฺห, อยญฺจ ภิกฺขุ ฐเปตฺวา สตฺถารํ สยํ ธมฺมกถํ อารภี’’ติฯ
Atha kho, bhikkhave, sikhī bhagavā abhibhuṃ bhikkhuṃ āmantesi – ‘‘paṭibhātu taṃ, brāhmaṇa, brahmuno ca brahmaparisāya ca brahmapārisajjānañca dhammīkathāti. ‘Evaṃ, bhante’ti kho, bhikkhave, abhibhū bhikkhu sikhissa bhagavato arahato sammāsambuddhassa paṭissuṇitvā brahmuno ca brahmaparisāya ca brahmapārisajjānañca dhammiṃ kathaṃ kathesi. There dhammaṃ kathente brahmagaṇā ujjhāyiṃsu – ‘‘cirassañca mayaṃ satthu brahmalokāgamanaṃ labhimha, ayañca bhikkhu ṭhapetvā satthāraṃ sayaṃ dhammakathaṃ ārabhī’’ti.
สตฺถา เตสํ อนตฺตมนภาวํ ญตฺวา อภิภุํ ภิกฺขุํ เอตทโวจ – ‘‘อุชฺฌายนฺติ โข เต, พฺราหฺมณ, พฺรหฺมา จ พฺรหฺมปริสา จ พฺรหฺมปาริสชฺชา จฯ เตน หิ ตฺวํ – พฺราหฺมณ, ภิโยฺยโสมตฺตาย สํเวเชหี’’ติฯ เถโร สตฺถุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิกุพฺพนํ กตฺวา สหสฺสิโลกธาตุํ สเรน วิญฺญาเปโนฺต ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๘๕) คาถาทฺวยํ อภาสิฯ กิํ ปน กตฺวา เถโร สหสฺสิโลกธาตุํ วิญฺญาเปสีติ? นีลกสิณํ ตาว สมาปชฺชิตฺวา สพฺพตฺถ อนฺธการํ ผริ, ตโต ‘‘กิมิทํ อนฺธการ’’นฺติ สตฺตานํ อาโภเค อุปฺปเนฺน อาโลกํ ทเสฺสสิฯ ‘‘กิํ อาโลโก อย’’นฺติ วิจินนฺตานํ อตฺตานํ ทเสฺสสิ, สหสฺสจกฺกวาเฬ เทวมนุสฺสา อญฺชลิํ ปคฺคณฺหิตฺวา ปคฺคณฺหิตฺวา เถรํเยว นมสฺสมานา อฎฺฐํสุฯ เถโร ‘‘มหาชโน มยฺหํ ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส สรํ สุณาตู’’ติ อิมา คาถา อภาสิฯ สเพฺพ โอสฎาย ปริสาย มเชฺฌ นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส วิย สทฺทํ อโสฺสสุํฯ อโตฺถปิ เนสํ ปากโฎ อโหสิฯ
Satthā tesaṃ anattamanabhāvaṃ ñatvā abhibhuṃ bhikkhuṃ etadavoca – ‘‘ujjhāyanti kho te, brāhmaṇa, brahmā ca brahmaparisā ca brahmapārisajjā ca. Tena hi tvaṃ – brāhmaṇa, bhiyyosomattāya saṃvejehī’’ti. Thero satthu vacanaṃ sampaṭicchitvā anekavihitaṃ iddhivikubbanaṃ katvā sahassilokadhātuṃ sarena viññāpento ‘‘ārambhatha nikkamathā’’ti (saṃ. ni. 1.185) gāthādvayaṃ abhāsi. Kiṃ pana katvā thero sahassilokadhātuṃ viññāpesīti? Nīlakasiṇaṃ tāva samāpajjitvā sabbattha andhakāraṃ phari, tato ‘‘kimidaṃ andhakāra’’nti sattānaṃ ābhoge uppanne ālokaṃ dassesi. ‘‘Kiṃ āloko aya’’nti vicinantānaṃ attānaṃ dassesi, sahassacakkavāḷe devamanussā añjaliṃ paggaṇhitvā paggaṇhitvā theraṃyeva namassamānā aṭṭhaṃsu. Thero ‘‘mahājano mayhaṃ dhammaṃ desentassa saraṃ suṇātū’’ti imā gāthā abhāsi. Sabbe osaṭāya parisāya majjhe nisīditvā dhammaṃ desentassa viya saddaṃ assosuṃ. Atthopi nesaṃ pākaṭo ahosi.
อถ โข ภควา สทฺธิํ เถเรน อรุณวติํ ปจฺจาคนฺตฺวา ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ภิกฺขุสงฺฆํ ปุจฺฉิ – ‘‘อสฺสุตฺถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อภิภุสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมโลเก ฐิตสฺส คาถาโย ภาสมานสฺสา’’ติฯ เต ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ ปฎิชานิตฺวา สุตภาวํ อาวิกโรนฺตา ตเทว คาถาทฺวยํ อุทาหริํสุฯ สตฺถา ‘‘สาธุ สาธู’’ติ สาธุการํ ทตฺวา เทสนํ นิฎฺฐเปสิฯ เอวํ ตาว อิทํ สุตฺตํ อิโต เอกติํสกปฺปมตฺถเก สิขินา ภควตา กถิตํฯ
Atha kho bhagavā saddhiṃ therena aruṇavatiṃ paccāgantvā piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto bhikkhusaṅghaṃ pucchi – ‘‘assuttha no tumhe, bhikkhave, abhibhussa bhikkhuno brahmaloke ṭhitassa gāthāyo bhāsamānassā’’ti. Te ‘‘āma, bhante’’ti paṭijānitvā sutabhāvaṃ āvikarontā tadeva gāthādvayaṃ udāhariṃsu. Satthā ‘‘sādhu sādhū’’ti sādhukāraṃ datvā desanaṃ niṭṭhapesi. Evaṃ tāva idaṃ suttaṃ ito ekatiṃsakappamatthake sikhinā bhagavatā kathitaṃ.
อมฺหากํ ปน ภควา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย เชตวเน วิหรโนฺต เชฎฺฐมูลมาสปุณฺณมทิวเส ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา อิมํ อรุณวติสุตฺตํ ปฎฺฐเปสิฯ อานนฺทเตฺถโร พีชนิํ คเหตฺวา พีชยมาโน ฐิตโกว อาทิโต ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานา เอกพฺยญฺชนมฺปิ อหาเปตฺวา สกลสุตฺตํ อุคฺคณฺหิฯ โส ปุนทิวเส ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ทสพลสฺส วตฺตํ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน ทิวาวิหารฎฺฐานํ คนฺตฺวา สทฺธิวิหาริกเนฺตวาสิเกสุ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา ปกฺกเนฺตสุ หิโยฺย กถิตํ อรุณวติสุตฺตํ อาวเชฺชโนฺต นิสีทิฯ อถสฺส สพฺพํ สุตฺตํ วิภูตํ อุปฎฺฐาสิฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สิขิสฺส ภควโต อคฺคสาวโก พฺรหฺมโลเก ฐตฺวา จกฺกวาฬสหเสฺส อนฺธการํ วิธเมตฺวา สรีโรภาสํ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน สทฺทํ สาเวโนฺต ธมฺมกถํ กเถสีติ หิโยฺย สตฺถารา กถิตํ, สาวกสฺส ตาว วิสโย เอวรูโป, ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธ กิตฺตกํ ฐานํ สเรน วิญฺญาเปยฺยา’’ติฯ โส เอวํ อุปฺปนฺนาย วิมติยา วิโนทนตฺถํ ตงฺขเณเยว ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ เอตมตฺถํ ทเสฺสตุํ อถ โข อายสฺมา อานโนฺทติ วุตฺตํฯ
Amhākaṃ pana bhagavā sabbaññutaṃ patto pavattitavaradhammacakko sāvatthiṃ upanissāya jetavane viharanto jeṭṭhamūlamāsapuṇṇamadivase bhikkhū āmantetvā imaṃ aruṇavatisuttaṃ paṭṭhapesi. Ānandatthero bījaniṃ gahetvā bījayamāno ṭhitakova ādito paṭṭhāya yāva pariyosānā ekabyañjanampi ahāpetvā sakalasuttaṃ uggaṇhi. So punadivase piṇḍapātapaṭikkanto dasabalassa vattaṃ dassetvā attano divāvihāraṭṭhānaṃ gantvā saddhivihārikantevāsikesu vattaṃ dassetvā pakkantesu hiyyo kathitaṃ aruṇavatisuttaṃ āvajjento nisīdi. Athassa sabbaṃ suttaṃ vibhūtaṃ upaṭṭhāsi. So cintesi – ‘‘sikhissa bhagavato aggasāvako brahmaloke ṭhatvā cakkavāḷasahasse andhakāraṃ vidhametvā sarīrobhāsaṃ dassetvā attano saddaṃ sāvento dhammakathaṃ kathesīti hiyyo satthārā kathitaṃ, sāvakassa tāva visayo evarūpo, dasa pāramiyo pūretvā sabbaññutaṃ patto pana sammāsambuddho kittakaṃ ṭhānaṃ sarena viññāpeyyā’’ti. So evaṃ uppannāya vimatiyā vinodanatthaṃ taṅkhaṇeyeva bhagavantaṃ upasaṅkamitvā tamatthaṃ pucchi. Etamatthaṃ dassetuṃ atha kho āyasmā ānandoti vuttaṃ.
ตตฺถ สมฺมุขาติ สมฺมุขีภูเตน มยา เอตํ สุตํ, น อนุสฺสเวน, น ทูตปรมฺปรายาติ อิมินา อธิปฺปาเยน เอวมาหฯ กีวตกํ ปโหติ สเรน วิญฺญาเปตุนฺติ กิตฺตกํ ฐานํ สรีโรภาเสน วิหตนฺธการํ กตฺวา สเรน วิญฺญาเปตุํ สโกฺกติฯ สาวโก โส, อานนฺท, อปฺปเมยฺยา ตถาคตาติ อิทํ ภควา อิมินา อธิปฺปาเยนาห – อานนฺท, ตฺวํ กิํ วเทสิ, โส ปเทสญาเณ ฐิโต สาวโกฯ ตถาคตา ปน ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปตฺตา อปฺปเมยฺยาฯ โส ตฺวํ นขสิขาย ปํสุํ คเหตฺวา มหาปถวิปํสุนา สทฺธิํ อุปเมโนฺต วิย กิํ นาเมตํ วเทสิฯ อโญฺญ หิ สาวกานํ วิสโย, อโญฺญ พุทฺธานํฯ อโญฺญ สาวกานํ โคจโร, อโญฺญ พุทฺธานํฯ อญฺญํ สาวกานํ พลํ, อญฺญํ พุทฺธานนฺติฯ อิติ ภควา อิมินา อธิปฺปาเยน อปฺปเมยฺยภาวํ วตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ
Tattha sammukhāti sammukhībhūtena mayā etaṃ sutaṃ, na anussavena, na dūtaparamparāyāti iminā adhippāyena evamāha. Kīvatakaṃ pahoti sarena viññāpetunti kittakaṃ ṭhānaṃ sarīrobhāsena vihatandhakāraṃ katvā sarena viññāpetuṃ sakkoti. Sāvako so, ānanda, appameyyā tathāgatāti idaṃ bhagavā iminā adhippāyenāha – ānanda, tvaṃ kiṃ vadesi, so padesañāṇe ṭhito sāvako. Tathāgatā pana dasa pāramiyo pūretvā sabbaññutaññāṇaṃ pattā appameyyā. So tvaṃ nakhasikhāya paṃsuṃ gahetvā mahāpathavipaṃsunā saddhiṃ upamento viya kiṃ nāmetaṃ vadesi. Añño hi sāvakānaṃ visayo, añño buddhānaṃ. Añño sāvakānaṃ gocaro, añño buddhānaṃ. Aññaṃ sāvakānaṃ balaṃ, aññaṃ buddhānanti. Iti bhagavā iminā adhippāyena appameyyabhāvaṃ vatvā tuṇhī ahosi.
เถโร ทุติยมฺปิ ปุจฺฉิฯ สตฺถา, ‘‘อานนฺท, ตฺวํ ตาฬจฺฉิทฺทํ คเหตฺวา อนนฺตากาเสน อุปเมโนฺต วิย, จาตกสกุณํ คเหตฺวา ทิยฑฺฒโยชนสติเกน สุปณฺณราเชน อุปเมโนฺต วิย, หตฺถิโสณฺฑาย อุทกํ คเหตฺวา มหาคงฺคาย อุปเมโนฺต วิย, จตุรตนิเก อาวาเฎ อุทกํ คเหตฺวา สตฺตหิ สเรหิ อุปเมโนฺต วิย, นาฬิโกทนมตฺตลาภิํ มนุสฺสํ คเหตฺวา จกฺกวตฺติรญฺญา อุปเมโนฺต วิย, ปํสุปิสาจกํ คเหตฺวา สเกฺกน เทวรญฺญา อุปเมโนฺต วิย, ขโชฺชปนกปฺปภํ คเหตฺวา สูริยปฺปภาย อุปเมโนฺต วิย กิํ นาเมตํ วเทสีติ ทีเปโนฺต ทุติยมฺปิ อปฺปเมยฺยภาวเมว วตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ ตโต เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘สตฺถา มยา ปุจฺฉิโต น ตาว กเถสิ, หนฺท นํ ยาวตติยํ ยาจิตฺวา พุทฺธสีหนาทํ นทาเปสฺสามี’’ติฯ โส ตติยมฺปิ ยาจิฯ ตํ ทเสฺสตุํ ตติยมฺปิ โขติอาทิ วุตฺตํฯ อถสฺส ภควา พฺยากโรโนฺต สุตา เต อานนฺทาติอาทิมาหฯ เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘สตฺถา เม ‘สุตา เต, อานนฺท, สหสฺสี จูฬนิกา โลกธาตู’ติ เอตฺตกเมว วตฺวา ตุณฺหี ชาโต, อิทานิ พุทฺธสีหนาทํ นทิสฺสตี’’ติ โส สตฺถารํ ยาจโนฺต เอตสฺส ภควา กาโลติอาทิมาหฯ
Thero dutiyampi pucchi. Satthā, ‘‘ānanda, tvaṃ tāḷacchiddaṃ gahetvā anantākāsena upamento viya, cātakasakuṇaṃ gahetvā diyaḍḍhayojanasatikena supaṇṇarājena upamento viya, hatthisoṇḍāya udakaṃ gahetvā mahāgaṅgāya upamento viya, caturatanike āvāṭe udakaṃ gahetvā sattahi sarehi upamento viya, nāḷikodanamattalābhiṃ manussaṃ gahetvā cakkavattiraññā upamento viya, paṃsupisācakaṃ gahetvā sakkena devaraññā upamento viya, khajjopanakappabhaṃ gahetvā sūriyappabhāya upamento viya kiṃ nāmetaṃ vadesīti dīpento dutiyampi appameyyabhāvameva vatvā tuṇhī ahosi. Tato thero cintesi – ‘‘satthā mayā pucchito na tāva kathesi, handa naṃ yāvatatiyaṃ yācitvā buddhasīhanādaṃ nadāpessāmī’’ti. So tatiyampi yāci. Taṃ dassetuṃ tatiyampi khotiādi vuttaṃ. Athassa bhagavā byākaronto sutā te ānandātiādimāha. Thero cintesi – ‘‘satthā me ‘sutā te, ānanda, sahassī cūḷanikā lokadhātū’ti ettakameva vatvā tuṇhī jāto, idāni buddhasīhanādaṃ nadissatī’’ti so satthāraṃ yācanto etassa bhagavā kālotiādimāha.
ภควาปิสฺส วิตฺถารกถํ กเถตุํ เตน หานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยาวตาติ ยตฺตกํ ฐานํฯ จนฺทิมสูริยาติ จนฺทิมา จ สูริโย จฯ ปริหรนฺตีติ วิจรนฺติฯ ทิสา ภนฺตีติ สพฺพทิสา โอภาสนฺติฯ วิโรจนาติ วิโรจมานาฯ เอตฺตาวตา เอกจกฺกวาฬํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ทสฺสิตํ โหติฯ อิทานิ ตํ สหสฺสคุณํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต ตาว สหสฺสธา โลโกติ อาหฯ ตสฺมิํ สหสฺสธา โลเกติ ตสฺมิํ สหสฺสจกฺกวาเฬฯ สหสฺสํ จาตุมหาราชิกานนฺติ สหสฺสํ จาตุมหาราชิกานํ เทวโลกานํฯ ยสฺมา ปน เอเกกสฺมิํ จกฺกวาเฬ จตฺตาโร จตฺตาโร มหาราชาโน , ตสฺมา จตฺตาริ มหาราชสหสฺสานีติ วุตฺตํฯ อิมินา อุปาเยน สพฺพตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ จูฬนิกาติ ขุทฺทิกาฯ อยํ สาวกานํ วิสโยฯ กสฺมา ปเนสา อานีตาติ? มชฺฌิมิกาย โลกธาตุยา ปริเจฺฉททสฺสนตฺถํฯ
Bhagavāpissa vitthārakathaṃ kathetuṃ tena hānandātiādimāha. Tattha yāvatāti yattakaṃ ṭhānaṃ. Candimasūriyāti candimā ca sūriyo ca. Pariharantīti vicaranti. Disā bhantīti sabbadisā obhāsanti. Virocanāti virocamānā. Ettāvatā ekacakkavāḷaṃ paricchinditvā dassitaṃ hoti. Idāni taṃ sahassaguṇaṃ katvā dassento tāva sahassadhā lokoti āha. Tasmiṃ sahassadhā loketi tasmiṃ sahassacakkavāḷe. Sahassaṃ cātumahārājikānanti sahassaṃ cātumahārājikānaṃ devalokānaṃ. Yasmā pana ekekasmiṃ cakkavāḷe cattāro cattāro mahārājāno , tasmā cattāri mahārājasahassānīti vuttaṃ. Iminā upāyena sabbattha attho veditabbo. Cūḷanikāti khuddikā. Ayaṃ sāvakānaṃ visayo. Kasmā panesā ānītāti? Majjhimikāya lokadhātuyā paricchedadassanatthaṃ.
ยาวตาติ ยตฺตกาฯ ตาว สหสฺสธาติ ตาว สหสฺสภาเคนฯ ทฺวิสหสฺสี มชฺฌิมิกา โลกธาตูติ อยํ สหสฺสจกฺกวาฬานิ สหสฺสภาเคน คเณตฺวา ทสสตสหสฺสจกฺกวาฬปริมาณา ทฺวิสหสฺสี มชฺฌิมิกา นาม โลกธาตุฯ อยํ สาวกานํ อวิสโย, พุทฺธานเมว วิสโยฯ เอตฺตเกปิ หิ ฐาเน ตถาคตา อนฺธการํ วิธเมตฺวา สรีโรภาสํ ทเสฺสตฺวา สเรน วิญฺญาเปตุํ สโกฺกนฺตีติ ทีเปติฯ เอตฺตเกน พุทฺธานํ ชาติเกฺขตฺตํ นาม ทสฺสิตํฯ โพธิสตฺตานญฺหิ ปจฺฉิมภเว เทวโลกโต จวิตฺวา มาตุกุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิคฺคหณทิวเส จ กุจฺฉิโต นิกฺขมนทิวเส จ มหาภินิกฺขมนทิวเส จ สโมฺพธิธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนอายุสงฺขารโวสฺสชฺชนปรินิพฺพานทิวเสสุ จ เอตฺตกํ ฐานํ กมฺปติฯ
Yāvatāti yattakā. Tāva sahassadhāti tāva sahassabhāgena. Dvisahassī majjhimikā lokadhātūti ayaṃ sahassacakkavāḷāni sahassabhāgena gaṇetvā dasasatasahassacakkavāḷaparimāṇā dvisahassī majjhimikā nāma lokadhātu. Ayaṃ sāvakānaṃ avisayo, buddhānameva visayo. Ettakepi hi ṭhāne tathāgatā andhakāraṃ vidhametvā sarīrobhāsaṃ dassetvā sarena viññāpetuṃ sakkontīti dīpeti. Ettakena buddhānaṃ jātikkhettaṃ nāma dassitaṃ. Bodhisattānañhi pacchimabhave devalokato cavitvā mātukucchiyaṃ paṭisandhiggahaṇadivase ca kucchito nikkhamanadivase ca mahābhinikkhamanadivase ca sambodhidhammacakkappavattanaāyusaṅkhāravossajjanaparinibbānadivasesu ca ettakaṃ ṭhānaṃ kampati.
ติสหสฺสี มหาสหสฺสีติ สหสฺสิโต ปฎฺฐาย ตติยาติ ติสหสฺสี, สหสฺสํ สหสฺสธา กตฺวา คณิตํ มชฺฌิมิกํ สหสฺสธา กตฺวา คณิตตฺตา มหเนฺตหิ สหเสฺสหิ คณิตาติ มหาสหสฺสีฯ เอตฺตาวตา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬปริมาโณ โลโก ทสฺสิโต โหติฯ ภควา อากงฺขมาโน เอตฺตเก ฐาเน อนฺธการํ วิธเมตฺวา สรีโรภาสํ ทเสฺสตฺวา สเรน วิญฺญาเปยฺยาติฯ คณกปุตฺตติสฺสเตฺถโร ปน เอวมาห – ‘‘น ติสหสฺสิมหาสหสฺสิโลกธาตุยา เอวํ ปริมาณํฯ อิทญฺหิ อาจริยานํ สชฺฌายมุฬฺหกํ วาจาย ปริหีนฎฺฐานํ, ทสโกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬปริมาณํ ปน ฐานํ ติสหสฺสิมหาสหสฺสิโลกธาตุ นามา’’ติฯ เอตฺตาวตา หิ ภควตา อาณาเกฺขตฺตํ นาม ทสฺสิตํฯ เอตสฺมิญฺหิ อนฺตเร อาฎานาฎิยปริตฺตอิสิคิลิปริตฺตธชคฺคปริตฺตโพชฺฌงฺคปริตฺตขนฺธปริตฺต- โมรปริตฺตเมตฺตปริตฺตรตนปริตฺตานํ อาณา ผรติฯ ยาวตา ปน อากเงฺขยฺยาติ ยตฺตกํ ฐานํ อิเจฺฉยฺย, อิมินา วิสยเกฺขตฺตํ ทเสฺสติฯ พุทฺธานญฺหิ วิสยเกฺขตฺตสฺส ปมาณปริเจฺฉโท นาม นตฺถิ, นตฺถิกภาเว จสฺส อิมํ โอปมฺมํ อาหรนฺติ – โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬมฺหิ ยาว พฺรหฺมโลกา สาสเปหิ ปูเรตฺวา สเจ โกจิ ปุรตฺถิมาย ทิสาย เอกจกฺกวาเฬ เอกํ สาสปํ ปกฺขิปโนฺต อาคเจฺฉยฺย, สเพฺพปิ เต สาสปา ปริกฺขยํ คเจฺฉยฺยุํ, น เตฺวว ปุรตฺถิมาย ทิสาย จกฺกวาฬานิฯ ทกฺขิณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ พุทฺธานํ อวิสโย นาม นตฺถิฯ
Tisahassī mahāsahassīti sahassito paṭṭhāya tatiyāti tisahassī, sahassaṃ sahassadhā katvā gaṇitaṃ majjhimikaṃ sahassadhā katvā gaṇitattā mahantehi sahassehi gaṇitāti mahāsahassī. Ettāvatā koṭisatasahassacakkavāḷaparimāṇo loko dassito hoti. Bhagavā ākaṅkhamāno ettake ṭhāne andhakāraṃ vidhametvā sarīrobhāsaṃ dassetvā sarena viññāpeyyāti. Gaṇakaputtatissatthero pana evamāha – ‘‘na tisahassimahāsahassilokadhātuyā evaṃ parimāṇaṃ. Idañhi ācariyānaṃ sajjhāyamuḷhakaṃ vācāya parihīnaṭṭhānaṃ, dasakoṭisatasahassacakkavāḷaparimāṇaṃ pana ṭhānaṃ tisahassimahāsahassilokadhātu nāmā’’ti. Ettāvatā hi bhagavatā āṇākkhettaṃ nāma dassitaṃ. Etasmiñhi antare āṭānāṭiyaparittaisigiliparittadhajaggaparittabojjhaṅgaparittakhandhaparitta- moraparittamettaparittaratanaparittānaṃ āṇā pharati. Yāvatā pana ākaṅkheyyāti yattakaṃ ṭhānaṃ iccheyya, iminā visayakkhettaṃ dasseti. Buddhānañhi visayakkhettassa pamāṇaparicchedo nāma natthi, natthikabhāve cassa imaṃ opammaṃ āharanti – koṭisatasahassacakkavāḷamhi yāva brahmalokā sāsapehi pūretvā sace koci puratthimāya disāya ekacakkavāḷe ekaṃ sāsapaṃ pakkhipanto āgaccheyya, sabbepi te sāsapā parikkhayaṃ gaccheyyuṃ, na tveva puratthimāya disāya cakkavāḷāni. Dakkhiṇādīsupi eseva nayo. Tattha buddhānaṃ avisayo nāma natthi.
เอวํ วุเตฺต เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘สตฺถา เอวมาห – ‘อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต ติสหสฺสิมหาสหสฺสิโลกธาตุํ สเรน วิญฺญาเปยฺย, ยาวตา ปน อากเงฺขยฺยา’ติฯ วิสโม โข ปนายํ โลโก, อนนฺตานิ จกฺกวาฬานิ, เอกสฺมิํ ฐาเน สูริโย อุคฺคโต โหติ, เอกสฺมิํ ฐาเน มเชฺฌ ฐิโต, เอกสฺมิํ ฐาเน อตฺถงฺคโตฯ เอกสฺมิํ ฐาเน ปฐมยาโม โหติ, เอกสฺมิํ ฐาเน มชฺฌิมยาโม, เอกสฺมิํ ฐาเน ปจฺฉิมยาโมฯ สตฺตาปิ กมฺมปฺปสุตา, ขิฑฺฑาปสุตา, อาหารปฺปสุตาติ เอวํ เตหิ เตหิ การเณหิ วิกฺขิตฺตา จ ปมตฺตา จ โหนฺติฯ กถํ นุ โข เต สตฺถา สเรน วิญฺญาเปยฺยา’’ติฯ โส เอวํ จิเนฺตตฺวา วิมติเจฺฉทนตฺถํ ตถาคตํ ปุจฺฉโนฺต ยถา กถํ ปนาติอาทิมาหฯ
Evaṃ vutte thero cintesi – ‘‘satthā evamāha – ‘ākaṅkhamāno, ānanda, tathāgato tisahassimahāsahassilokadhātuṃ sarena viññāpeyya, yāvatā pana ākaṅkheyyā’ti. Visamo kho panāyaṃ loko, anantāni cakkavāḷāni, ekasmiṃ ṭhāne sūriyo uggato hoti, ekasmiṃ ṭhāne majjhe ṭhito, ekasmiṃ ṭhāne atthaṅgato. Ekasmiṃ ṭhāne paṭhamayāmo hoti, ekasmiṃ ṭhāne majjhimayāmo, ekasmiṃ ṭhāne pacchimayāmo. Sattāpi kammappasutā, khiḍḍāpasutā, āhārappasutāti evaṃ tehi tehi kāraṇehi vikkhittā ca pamattā ca honti. Kathaṃ nu kho te satthā sarena viññāpeyyā’’ti. So evaṃ cintetvā vimaticchedanatthaṃ tathāgataṃ pucchanto yathā kathaṃ panātiādimāha.
อถสฺส สตฺถา พฺยากโรโนฺต อิธานนฺท, ตถาคโตติอาทิมาหฯ ตตฺถ โอภาเสน ผเรยฺยาติ สรีโรภาเสน ผเรยฺยฯ ผรมาโน ปเนส กิํ กเรยฺยาติ? ยสฺมิํ ฐาเน สูริโย ปญฺญายติ, ตตฺถ นํ อตฺตโน อานุภาเวน อตฺถํ คเมยฺยฯ ยตฺถ ปน น ปญฺญายติ, ตตฺถ นํ อุฎฺฐาเปตฺวา มเชฺฌ ฐเปยฺย ฯ ตโต ยตฺถ สูริโย ปญฺญายติ, ตตฺถ มนุสฺสา ‘‘อธุนาว สูริโย ปญฺญายิตฺถ, โส อิทาเนว อตฺถงฺคมิโต, นาคาวโฎฺฎ นุ โข อยํ, ภูตาวฎฺฎยกฺขาวฎฺฎเทวตาวฎฺฎานํ อญฺญตโร’’ติ วิตฺตกฺกํ อุปฺปาเทยฺยุํฯ ยตฺถ ปน น ปญฺญายติ, ตตฺถ มนุสฺสา ‘‘อธุนาว สูริโย อตฺถงฺคมิโต, สฺวายํ อิทาเนว อุฎฺฐิโต, กิํ นุ โข อยํ นาคาวฎฺฎภูตาวฎฺฎยกฺขาวฎฺฎเทวตาวฎฺฎานํ อญฺญตโร’’ติ วิตกฺกํ อุปฺปาเทยฺยุํฯ ตโต เตสุ มนุเสฺสสุ อาโลกญฺจ อนฺธการญฺจ อาวชฺชิตฺวา ‘‘กิํ ปจฺจยา นุ โข อิท’’นฺติ ปริเยสมาเนสุ สตฺถา นีลกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา พหลนฺธการํ ปตฺถเรยฺยฯ กสฺมา? เตสํ กมฺมาทิปฺปสุตานํ สตฺตานํ สนฺตาสชนนตฺถํฯ อถ เนสํ สนฺตาสํ อาปนฺนภาวํ ญตฺวา โอทาตกสิณสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ปณฺฑรํ ฆนพุทฺธรสฺมิํ วิสฺสเชฺชโนฺต จนฺทสหสฺสสูริยสหสฺสอุฎฺฐานกาโล วิย เอกปฺปหาเรเนว สพฺพํ เอกาโลกํ กเรยฺยฯ ตญฺจ โข ติลพีชมเตฺตน กายปฺปเทเสน โอภาสํ มุญฺจโนฺตฯ โย หิ จกฺกวาฬปถวิํ ทีปกปลฺลกํ กตฺวา มหาสมุเทฺท อุทกํ เตลํ กตฺวา สิเนรุํ วฎฺฎิํ กตฺวา อญฺญสฺมิํ สิเนรุมุทฺธนิ ฐเปตฺวา ชาเลยฺย, โส เอกจกฺกวาเฬเยว อาโลกํ กเรยฺยฯ ตโต ปรํ วิทตฺถิมฺปิ โอภาเสตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ ตถาคโต ปน ติลผลปฺปมาเณน สรีรปฺปเทเสน โอภาสํ มุญฺจิตฺวา ติสหสฺสิมหาสหสฺสิโลกธาตุํ เอโกภาสํ กเรยฺย ตโต วา ปน ภิโยฺยฯ เอวํ มหนฺตา หิ พุทฺธคุณาติฯ
Athassa satthā byākaronto idhānanda, tathāgatotiādimāha. Tattha obhāsena phareyyāti sarīrobhāsena phareyya. Pharamāno panesa kiṃ kareyyāti? Yasmiṃ ṭhāne sūriyo paññāyati, tattha naṃ attano ānubhāvena atthaṃ gameyya. Yattha pana na paññāyati, tattha naṃ uṭṭhāpetvā majjhe ṭhapeyya . Tato yattha sūriyo paññāyati, tattha manussā ‘‘adhunāva sūriyo paññāyittha, so idāneva atthaṅgamito, nāgāvaṭṭo nu kho ayaṃ, bhūtāvaṭṭayakkhāvaṭṭadevatāvaṭṭānaṃ aññataro’’ti vittakkaṃ uppādeyyuṃ. Yattha pana na paññāyati, tattha manussā ‘‘adhunāva sūriyo atthaṅgamito, svāyaṃ idāneva uṭṭhito, kiṃ nu kho ayaṃ nāgāvaṭṭabhūtāvaṭṭayakkhāvaṭṭadevatāvaṭṭānaṃ aññataro’’ti vitakkaṃ uppādeyyuṃ. Tato tesu manussesu ālokañca andhakārañca āvajjitvā ‘‘kiṃ paccayā nu kho ida’’nti pariyesamānesu satthā nīlakasiṇaṃ samāpajjitvā bahalandhakāraṃ patthareyya. Kasmā? Tesaṃ kammādippasutānaṃ sattānaṃ santāsajananatthaṃ. Atha nesaṃ santāsaṃ āpannabhāvaṃ ñatvā odātakasiṇasamāpattiṃ samāpajjitvā paṇḍaraṃ ghanabuddharasmiṃ vissajjento candasahassasūriyasahassauṭṭhānakālo viya ekappahāreneva sabbaṃ ekālokaṃ kareyya. Tañca kho tilabījamattena kāyappadesena obhāsaṃ muñcanto. Yo hi cakkavāḷapathaviṃ dīpakapallakaṃ katvā mahāsamudde udakaṃ telaṃ katvā sineruṃ vaṭṭiṃ katvā aññasmiṃ sinerumuddhani ṭhapetvā jāleyya, so ekacakkavāḷeyeva ālokaṃ kareyya. Tato paraṃ vidatthimpi obhāsetuṃ na sakkuṇeyya. Tathāgato pana tilaphalappamāṇena sarīrappadesena obhāsaṃ muñcitvā tisahassimahāsahassilokadhātuṃ ekobhāsaṃ kareyya tato vā pana bhiyyo. Evaṃ mahantā hi buddhaguṇāti.
ตํ อาโลกํ สญฺชาเนยฺยุนฺติ ตํ อาโลกํ ทิสฺวา ‘‘เยน สูริโย อตฺถเญฺจว คมิโต อุฎฺฐาปิโต จ, พหลนฺธการญฺจ วิสฺสฎฺฐํ, เอส โส ปุริโส อิทานิ อาโลกํ กตฺวา ฐิโต, อโห อจฺฉริยปุริโส’’ติ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห นมสฺสมานา นิสีเทยฺยุํฯ สทฺทมนุสฺสาเวยฺยาติ ธมฺมกถาสทฺทมนุสฺสาเวยฺยฯ โย หิ เอกํ จกฺกวาฬปพฺพตํ เภริํ กตฺวา มหาปถวิํ เภริจมฺมํ กตฺวา สิเนรุํ ทณฺฑํ กตฺวา อญฺญสฺมิํ สิเนรุมตฺถเก ฐเปตฺวา อาโกเฎยฺย, โส เอกจกฺกวาเฬเยว ตํ สทฺทํ สาเวยฺย, ปรโต วิทตฺถิมฺปิ อติกฺกาเมตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ ตถาคโต ปน ปลฺลเงฺก วา ปีเฐ วา นิสีทิตฺวา ติสหสฺสิมหาสหสฺสิโลกธาตุํ สเรน วิญฺญาเปติ, ตโต วา ปน ภิโยฺย, เอวํ มหานุภาวา ตถาคตาติฯ อิติ ภควา อิมินา เอตฺตเกน วิสยเกฺขตฺตเมว ทเสฺสติฯ
Taṃ ālokaṃ sañjāneyyunti taṃ ālokaṃ disvā ‘‘yena sūriyo atthañceva gamito uṭṭhāpito ca, bahalandhakārañca vissaṭṭhaṃ, esa so puriso idāni ālokaṃ katvā ṭhito, aho acchariyapuriso’’ti añjaliṃ paggayha namassamānā nisīdeyyuṃ. Saddamanussāveyyāti dhammakathāsaddamanussāveyya. Yo hi ekaṃ cakkavāḷapabbataṃ bheriṃ katvā mahāpathaviṃ bhericammaṃ katvā sineruṃ daṇḍaṃ katvā aññasmiṃ sinerumatthake ṭhapetvā ākoṭeyya, so ekacakkavāḷeyeva taṃ saddaṃ sāveyya, parato vidatthimpi atikkāmetuṃ na sakkuṇeyya. Tathāgato pana pallaṅke vā pīṭhe vā nisīditvā tisahassimahāsahassilokadhātuṃ sarena viññāpeti, tato vā pana bhiyyo, evaṃ mahānubhāvā tathāgatāti. Iti bhagavā iminā ettakena visayakkhettameva dasseti.
อิมญฺจ ปน พุทฺธสีหนาทํ สุตฺวา เถรสฺส อพฺภนฺตเร พลวปีติ อุปฺปนฺนา, โส ปีติวเสน อุทานํ อุทาเนโนฺต ลาภา วต เมติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺส เม สตฺถา เอวํมหิทฺธิโกติ ยสฺส มยฺหํ สตฺถา เอวํมหิทฺธิโก, ตสฺส มยฺหํ เอวํมหิทฺธิกสฺส สตฺถุ ปฎิลาโภ ลาภา เจว สุลทฺธญฺจาติ อโตฺถฯ อถ วา ยฺวาหํ เอวรูปสฺส สตฺถุโน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วิจริตุํ, ปาทปริกมฺมํ ปิฎฺฐิปริกมฺมํ กาตุํ, มุขโธวนอุทกนฺหาโนทกานิ ทาตุํ, คนฺธกุฎิปริเวณํ สมฺมชฺชิตุํ, อุปฺปนฺนาย กงฺขาย ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ, มธุรธมฺมกถญฺจ โสตุํ ลภามิ, เอเต สเพฺพปิ มยฺหํ ลาภา เจว สุลทฺธญฺจาติปิ สนฺธาย เอวมาหฯ เอตฺถ จ ภควโต อนฺธการาโลกสทฺทสวนสงฺขาตานํ อิทฺธีนํ มหนฺตตาย มหิทฺธิกตา, ตาสํเยว อนุผรเณน มหานุภาวตา เวทิตพฺพาฯ อุทายีติ ลาฬุทายิเตฺถโรฯ โส กิร ปุเพฺพ อุปฎฺฐากเตฺถเร อาฆาตํ พนฺธิตฺวา จรติฯ ตสฺมา อิทานิ โอกาสํ ลภิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธสีหนาทปริโยสาเน ชลมานํ ทีปสิขํ นิพฺพาเปโนฺต วิย จรนฺตสฺส โคณสฺส ตุเณฺฑ ปหารํ เทโนฺต วิย ภตฺตภริตํ ปาติํ อวกุชฺชโนฺต วิย เถรสฺส ปสาทภงฺคํ กโรโนฺต เอวมาหฯ
Imañca pana buddhasīhanādaṃ sutvā therassa abbhantare balavapīti uppannā, so pītivasena udānaṃ udānento lābhā vata metiādimāha. Tattha yassa me satthā evaṃmahiddhikoti yassa mayhaṃ satthā evaṃmahiddhiko, tassa mayhaṃ evaṃmahiddhikassa satthu paṭilābho lābhā ceva suladdhañcāti attho. Atha vā yvāhaṃ evarūpassa satthuno pattacīvaraṃ gahetvā vicarituṃ, pādaparikammaṃ piṭṭhiparikammaṃ kātuṃ, mukhadhovanaudakanhānodakāni dātuṃ, gandhakuṭipariveṇaṃ sammajjituṃ, uppannāya kaṅkhāya pañhaṃ pucchituṃ, madhuradhammakathañca sotuṃ labhāmi, ete sabbepi mayhaṃ lābhā ceva suladdhañcātipi sandhāya evamāha. Ettha ca bhagavato andhakārālokasaddasavanasaṅkhātānaṃ iddhīnaṃ mahantatāya mahiddhikatā, tāsaṃyeva anupharaṇena mahānubhāvatā veditabbā. Udāyīti lāḷudāyitthero. So kira pubbe upaṭṭhākatthere āghātaṃ bandhitvā carati. Tasmā idāni okāsaṃ labhitvā imasmiṃ buddhasīhanādapariyosāne jalamānaṃ dīpasikhaṃ nibbāpento viya carantassa goṇassa tuṇḍe pahāraṃ dento viya bhattabharitaṃ pātiṃ avakujjanto viya therassa pasādabhaṅgaṃ karonto evamāha.
เอวํ วุเตฺต ภควาติ เอวํ อุทายิเตฺถเรน วุเตฺต ภควา ยถา นาม ปปาตตเฎ ฐตฺวา ปเวธมานํ ปุริสํ เอกมเนฺต ฐิโต หิเตสี ปุริโส ‘‘อิโต เอหิ อิโต เอหี’’ติ ปุนปฺปุนํ วเทยฺย, เอวเมวํ อุทายิเตฺถรํ ตสฺมา วจนา นิวาเรโนฺต มา เหวํ อุทายิ, มา เหวํ อุทายีติ อาหฯ ตตฺถ หีติ นิปาตมตฺตํ, มา เอวํ อวจาติ อโตฺถฯ มหารชฺชนฺติ จกฺกวตฺติรชฺชํฯ นนุ จ สตฺถา เอกสฺส สาวกสฺส ธมฺมเทสนาย อุปฺปนฺนปสาทสฺส มหานิสํสํ อปริจฺฉินฺนํ อกาสิ, โส กสฺมา อิมสฺส พุทฺธสีหนาทํ อารพฺภ อุปฺปนฺนสฺส ปสาทสฺส อานิสํสํ ปริจฺฉินฺทตีติ? อริยสาวกสฺส เอตฺตกอตฺตภาวปริมาณตฺตาฯ ทนฺธปโญฺญปิ หิ โสตาปโนฺน สตฺตกฺขตฺตุํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ อตฺตภาวํ ปฎิลภติ, เตนสฺส คติํ ปริจฺฉินฺทโนฺต เอวมาหฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว ฐตฺวาฯ ปรินิพฺพายิสฺสตีติ อปฺปจฺจยปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายิสฺสติฯ อิติ นิพฺพาเนน กูฎํ คณฺหโนฺต อิมํ สีหนาทสุตฺตํ นิฎฺฐาเปสีติฯ
Evaṃ vutte bhagavāti evaṃ udāyittherena vutte bhagavā yathā nāma papātataṭe ṭhatvā pavedhamānaṃ purisaṃ ekamante ṭhito hitesī puriso ‘‘ito ehi ito ehī’’ti punappunaṃ vadeyya, evamevaṃ udāyittheraṃ tasmā vacanā nivārento mā hevaṃ udāyi, mā hevaṃ udāyīti āha. Tattha hīti nipātamattaṃ, mā evaṃ avacāti attho. Mahārajjanti cakkavattirajjaṃ. Nanu ca satthā ekassa sāvakassa dhammadesanāya uppannapasādassa mahānisaṃsaṃ aparicchinnaṃ akāsi, so kasmā imassa buddhasīhanādaṃ ārabbha uppannassa pasādassa ānisaṃsaṃ paricchindatīti? Ariyasāvakassa ettakaattabhāvaparimāṇattā. Dandhapaññopi hi sotāpanno sattakkhattuṃ devesu ca manussesu ca attabhāvaṃ paṭilabhati, tenassa gatiṃ paricchindanto evamāha. Diṭṭheva dhammeti imasmiṃyeva attabhāve ṭhatvā. Parinibbāyissatīti appaccayaparinibbānena parinibbāyissati. Iti nibbānena kūṭaṃ gaṇhanto imaṃ sīhanādasuttaṃ niṭṭhāpesīti.
อานนฺทวโคฺค ตติโยฯ
Ānandavaggo tatiyo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๐. จูฬนิกาสุตฺตํ • 10. Cūḷanikāsuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๐. จูฬนิกาสุตฺตวณฺณนา • 10. Cūḷanikāsuttavaṇṇanā