Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๖๓] ๓. จูฬปโลภนชาตกวณฺณนา
[263] 3. Cūḷapalobhanajātakavaṇṇanā
อภิชฺชมาเน วาริสฺมินฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุเมว อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ สตฺถา ธมฺมสภํ อานีตํ ‘‘สจฺจํ กิร, ตฺวํ ภิกฺขุ, อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ, อิตฺถิโย นาเมตา โปราณเก สุทฺธสเตฺตปิ สํกิเลเสสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Abhijjamānevārisminti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhumeva ārabbha kathesi. Tañhi satthā dhammasabhaṃ ānītaṃ ‘‘saccaṃ kira, tvaṃ bhikkhu, ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu, itthiyo nāmetā porāṇake suddhasattepi saṃkilesesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทโตฺต ราชา อปุตฺตโก หุตฺวา อตฺตโน อิตฺถิโย ‘‘ปุตฺตปตฺถนํ กโรถา’’ติ อาหฯ ตา ปุเตฺต ปเตฺถนฺติฯ เอวํ อทฺธาเน คเต โพธิสโตฺต พฺรหฺมโลกา จวิตฺวา อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติฯ ตํ ชาตมตฺตํ นฺหาเปตฺวา ถญฺญปายนตฺถาย ธาติยา อทํสุฯ โส ปายมาโน โรทติ, อถ นํ อญฺญิสฺสา อทํสุฯ มาตุคามหตฺถคโต เนว ตุณฺหี โหติฯ อถ นํ เอกสฺส ปาทมูลิกสฺส อทํสุ, เตน คหิตมโตฺตเยว ตุณฺหี อโหสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ปุริสาว ตํ คเหตฺวา จรนฺติฯ ถญฺญํ ปาเยนฺตา ทุหิตฺวา วา ปาเยนฺติ, สาณิอนฺตเรน วา ถนํ มุเข ฐเปนฺติฯ เตนสฺส อนิตฺถิคนฺธกุมาโรติ นามํ กริํสุฯ ตสฺส อปราปรํ วทฺธมานสฺสปิ มาตุคามํ นาม ทเสฺสตุํ น สกฺกาฯ เตนสฺส ราชา วิสุํเยว นิสชฺชาทิฎฺฐานานิ ฌานาคารญฺจ กาเรสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatto rājā aputtako hutvā attano itthiyo ‘‘puttapatthanaṃ karothā’’ti āha. Tā putte patthenti. Evaṃ addhāne gate bodhisatto brahmalokā cavitvā aggamahesiyā kucchismiṃ nibbatti. Taṃ jātamattaṃ nhāpetvā thaññapāyanatthāya dhātiyā adaṃsu. So pāyamāno rodati, atha naṃ aññissā adaṃsu. Mātugāmahatthagato neva tuṇhī hoti. Atha naṃ ekassa pādamūlikassa adaṃsu, tena gahitamattoyeva tuṇhī ahosi. Tato paṭṭhāya purisāva taṃ gahetvā caranti. Thaññaṃ pāyentā duhitvā vā pāyenti, sāṇiantarena vā thanaṃ mukhe ṭhapenti. Tenassa anitthigandhakumāroti nāmaṃ kariṃsu. Tassa aparāparaṃ vaddhamānassapi mātugāmaṃ nāma dassetuṃ na sakkā. Tenassa rājā visuṃyeva nisajjādiṭṭhānāni jhānāgārañca kāresi.
โส ตสฺส โสฬสวสฺสิกกาเล จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ อโญฺญ ปุโตฺต นตฺถิ, อยํ ปน กุมาโร กาเม น ปริภุญฺชติ, รชฺชมฺปิ น อิจฺฉิสฺสติ, ทุลฺลโทฺธ วต เม ปุโตฺต’’ติฯ อถ นํ เอกา นจฺจคีตวาทิตกุสลา ปุริเส ปริจริตฺวา อตฺตโน วเส กาตุํ ปฎิพลา ตรุณนาฎกิตฺถี อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, กิํ นุ จิเนฺตสี’’ติ อาห, ราชา ตํ การณํ อาจิกฺขิฯ ‘‘โหตุ, เทว , อหํ ตํ ปโลเภตฺวา กามรสํ ชานาเปสฺสามี’’ติฯ ‘‘สเจ เม ปุตฺตํ อนิตฺถิคนฺธกุมารํ ปโลเภตุํ สกฺกิสฺสสิ, โส ราชา ภวิสฺสติ, ตฺวํ อคฺคมเหสี’’ติฯ สา ‘‘มเมโส ภาโร, ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถา’’ติ วตฺวา อารกฺขมนุเสฺส อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘อหํ ปจฺจูสสมเย อาคนฺตฺวา อยฺยปุตฺตสฺส สยนฎฺฐาเน พหิฌานาคาเร ฐตฺวา คายิสฺสามิฯ สเจ โส กุชฺฌติ, มยฺหํ กเถยฺยาถ, อหํ อปคจฺฉิสฺสามิฯ สเจ สุณาติ, วณฺณํ เม กเถยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ
So tassa soḷasavassikakāle cintesi – ‘‘mayhaṃ añño putto natthi, ayaṃ pana kumāro kāme na paribhuñjati, rajjampi na icchissati, dulladdho vata me putto’’ti. Atha naṃ ekā naccagītavāditakusalā purise paricaritvā attano vase kātuṃ paṭibalā taruṇanāṭakitthī upasaṅkamitvā ‘‘deva, kiṃ nu cintesī’’ti āha, rājā taṃ kāraṇaṃ ācikkhi. ‘‘Hotu, deva , ahaṃ taṃ palobhetvā kāmarasaṃ jānāpessāmī’’ti. ‘‘Sace me puttaṃ anitthigandhakumāraṃ palobhetuṃ sakkissasi, so rājā bhavissati, tvaṃ aggamahesī’’ti. Sā ‘‘mameso bhāro, tumhe mā cintayitthā’’ti vatvā ārakkhamanusse upasaṅkamitvā āha – ‘‘ahaṃ paccūsasamaye āgantvā ayyaputtassa sayanaṭṭhāne bahijhānāgāre ṭhatvā gāyissāmi. Sace so kujjhati, mayhaṃ katheyyātha, ahaṃ apagacchissāmi. Sace suṇāti, vaṇṇaṃ me katheyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchiṃsu.
สาปิ ปจฺจูสกาเล ตสฺมิํ ปเทเส ฐตฺวา ตนฺติสฺสเรน คีตสฺสรํ, คีตสฺสเรน ตนฺติสฺสรํ อนติกฺกมิตฺวา มธุเรน สเทฺทน คายิ, กุมาโร สุณโนฺตว นิปชฺชิ, ปุนทิวเส จ อาสนฺนฎฺฐาเน ฐตฺวา คายิตุํ อาณาเปสิ, ปุนทิวเส ฌานาคาเร ฐตฺวา คายิตุํ อาณาเปสิ, ปุนทิวเส อตฺตโน สมีเป ฐตฺวาติ เอวํ อนุกฺกเมเนว ตณฺหํ อุปฺปาเทตฺวา โลกธมฺมํ เสวิตฺวา กามรสํ ญตฺวา ‘‘มาตุคามํ นาม อเญฺญสํ น ทสฺสามี’’ติ อสิํ คเหตฺวา อนฺตรวีถิํ โอตริตฺวา ปุริเส อนุพนฺธโนฺต วิจริฯ อถ นํ ราชา คาหาเปตฺวา ตาย กุมาริกาย สทฺธิํ นครา นีหราเปสิฯ อุโภปิ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อโธคงฺคํ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ ปเสฺส คงฺคํ, เอกสฺมิํ สมุทฺทํ กตฺวา อุภินฺนมนฺตเร อสฺสมปทํ มาเปตฺวา วาสํ กปฺปยิํสุฯ กุมาริกา ปณฺณสาลายํ นิสีทิตฺวา กนฺทมูลาทีนิ ปจติ, โพธิสโตฺต อรญฺญโต ผลาผลํ อาหรติฯ
Sāpi paccūsakāle tasmiṃ padese ṭhatvā tantissarena gītassaraṃ, gītassarena tantissaraṃ anatikkamitvā madhurena saddena gāyi, kumāro suṇantova nipajji, punadivase ca āsannaṭṭhāne ṭhatvā gāyituṃ āṇāpesi, punadivase jhānāgāre ṭhatvā gāyituṃ āṇāpesi, punadivase attano samīpe ṭhatvāti evaṃ anukkameneva taṇhaṃ uppādetvā lokadhammaṃ sevitvā kāmarasaṃ ñatvā ‘‘mātugāmaṃ nāma aññesaṃ na dassāmī’’ti asiṃ gahetvā antaravīthiṃ otaritvā purise anubandhanto vicari. Atha naṃ rājā gāhāpetvā tāya kumārikāya saddhiṃ nagarā nīharāpesi. Ubhopi araññaṃ pavisitvā adhogaṅgaṃ gantvā ekasmiṃ passe gaṅgaṃ, ekasmiṃ samuddaṃ katvā ubhinnamantare assamapadaṃ māpetvā vāsaṃ kappayiṃsu. Kumārikā paṇṇasālāyaṃ nisīditvā kandamūlādīni pacati, bodhisatto araññato phalāphalaṃ āharati.
อเถกทิวสํ ตสฺมิํ ผลาผลตฺถาย คเต สมุทฺททีปกา เอโก ตาปโส ภิกฺขาจารตฺถาย อากาเสน คจฺฉโนฺต ธูมํ ทิสฺวา อสฺสมปเท โอตริฯ อถ นํ สา ‘‘นิสีท, ยาว ปจฺจตี’’ติ นิสีทาเปตฺวา อิตฺถิกุเตฺตน ปโลเภตฺวา ฌานา จาเวตฺวา พฺรหฺมจริยมสฺส อนฺตรธาเปสิฯ โส ปกฺขจฺฉินฺนกาโก วิย หุตฺวา ตํ ชหิตุํ อสโกฺกโนฺต สพฺพทิวสํ ตเตฺถว ฐตฺวา โพธิสตฺตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา เวเคน สมุทฺทาภิมุโข ปลายิฯ อถ นํ โส ‘‘ปจฺจามิโตฺต เม อยํ ภวิสฺสตี’’ติ อสิํ คเหตฺวา อนุพนฺธิฯ ตาปโส อากาเส อุปฺปตนาการํ ทเสฺสตฺวา สมุเทฺท ปติฯ โพธิสโตฺต ‘‘เอส ตาปโส อากาเสนาคโต ภวิสฺสติ, ฌานสฺส ปริหีนตฺตา สมุเทฺท ปติโต, มยา ทานิสฺส อวสฺสเยน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา เวลเนฺต ฐตฺวา อิมา คาถา อโวจ –
Athekadivasaṃ tasmiṃ phalāphalatthāya gate samuddadīpakā eko tāpaso bhikkhācāratthāya ākāsena gacchanto dhūmaṃ disvā assamapade otari. Atha naṃ sā ‘‘nisīda, yāva paccatī’’ti nisīdāpetvā itthikuttena palobhetvā jhānā cāvetvā brahmacariyamassa antaradhāpesi. So pakkhacchinnakāko viya hutvā taṃ jahituṃ asakkonto sabbadivasaṃ tattheva ṭhatvā bodhisattaṃ āgacchantaṃ disvā vegena samuddābhimukho palāyi. Atha naṃ so ‘‘paccāmitto me ayaṃ bhavissatī’’ti asiṃ gahetvā anubandhi. Tāpaso ākāse uppatanākāraṃ dassetvā samudde pati. Bodhisatto ‘‘esa tāpaso ākāsenāgato bhavissati, jhānassa parihīnattā samudde patito, mayā dānissa avassayena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā velante ṭhatvā imā gāthā avoca –
๓๗.
37.
‘‘อภิชฺชมาเน วาริสฺมิํ, สยํ อาคมฺม อิทฺธิยา;
‘‘Abhijjamāne vārismiṃ, sayaṃ āgamma iddhiyā;
มิสฺสีภาวิตฺถิยา คนฺตฺวา, สํสีทสิ มหณฺณเวฯ
Missībhāvitthiyā gantvā, saṃsīdasi mahaṇṇave.
๓๘.
38.
‘‘อาวฎฺฎนี มหามายา, พฺรหฺมจริยวิโกปนา;
‘‘Āvaṭṭanī mahāmāyā, brahmacariyavikopanā;
สีทนฺติ นํ วิทิตฺวาน, อารกา ปริวชฺชเยฯ
Sīdanti naṃ viditvāna, ārakā parivajjaye.
๓๙.
39.
‘‘ยํ เอตา อุปเสวนฺติ, ฉนฺทสา วา ธเนน วา;
‘‘Yaṃ etā upasevanti, chandasā vā dhanena vā;
ชาตเวโทว สํ ฐานํ, ขิปฺปํ อนุทหนฺติ น’’นฺติฯ
Jātavedova saṃ ṭhānaṃ, khippaṃ anudahanti na’’nti.
ตตฺถ อภิชฺชมาเน วาริสฺมินฺติ อิมสฺมิํ อุทเก อจลมาเน อกมฺปมาเน อุทกํ อนามสิตฺวา สยํ อากาเสเนว อิทฺธิยา อาคนฺตฺวาฯ มิสฺสีภาวิตฺถิยาติ โลกธมฺมวเสน อิตฺถิยา สทฺธิํ มิสฺสีภาวํฯ อาวฎฺฎนี มหามายาติ อิตฺถิโย นาเมตา กามาวเฎฺฎน อาวฎฺฎนโต อาวฎฺฎนี, อนนฺตาหิ อิตฺถิมายาหิ สมนฺนาคตตฺตา มหามายา นามฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tattha abhijjamāne vārisminti imasmiṃ udake acalamāne akampamāne udakaṃ anāmasitvā sayaṃ ākāseneva iddhiyā āgantvā. Missībhāvitthiyāti lokadhammavasena itthiyā saddhiṃ missībhāvaṃ. Āvaṭṭanī mahāmāyāti itthiyo nāmetā kāmāvaṭṭena āvaṭṭanato āvaṭṭanī, anantāhi itthimāyāhi samannāgatattā mahāmāyā nāma. Vuttañhetaṃ –
‘‘มายา เจตา มรีจี จ, โสโก โรโค จุปทฺทโว;
‘‘Māyā cetā marīcī ca, soko rogo cupaddavo;
ขรา จ พนฺธนา เจตา, มจฺจุปาโส คุหาสโย;
Kharā ca bandhanā cetā, maccupāso guhāsayo;
ตาสุ โย วิสฺสเส โปโส, โส นเรสุ นราธโม’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๑๑๘);
Tāsu yo vissase poso, so naresu narādhamo’’ti. (jā. 2.21.118);
พฺรหฺมจริยวิโกปนาติ เสฎฺฐจริยสฺส เมถุนวิรติพฺรหฺมจริยสฺส วิโกปนาฯ สีทนฺตีติ อิตฺถิโย นาเมตา อิสีนํ พฺรหฺมจริยวิโกปเนน อปาเยสุ สีทนฺติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ
Brahmacariyavikopanāti seṭṭhacariyassa methunaviratibrahmacariyassa vikopanā. Sīdantīti itthiyo nāmetā isīnaṃ brahmacariyavikopanena apāyesu sīdanti. Sesaṃ purimanayeneva yojetabbaṃ.
เอตํ ปน โพธิสตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ตาปโส สมุทฺทมเชฺฌ ฐิโตเยว นฎฺฐชฺฌานํ ปุน อุปฺปาเทตฺวา อากาเสน อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คโตฯ โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ตาปโส เอวํ ภาริโก สมาโน สิมฺพลิตูลํ วิย อากาเสน คโต, มยาปิ อิมินา วิย ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา อากาเสน จริตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส อสฺสมํ คนฺตฺวา ตํ อิตฺถิํ มนุสฺสปถํ เนตฺวา ‘‘คจฺฉ, ตฺว’’นฺติ อุโยฺยเชตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มนุเญฺญ ภูมิภาเค อสฺสมํ มาเปตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ
Etaṃ pana bodhisattassa vacanaṃ sutvā tāpaso samuddamajjhe ṭhitoyeva naṭṭhajjhānaṃ puna uppādetvā ākāsena attano vasanaṭṭhānameva gato. Bodhisatto cintesi – ‘‘ayaṃ tāpaso evaṃ bhāriko samāno simbalitūlaṃ viya ākāsena gato, mayāpi iminā viya jhānaṃ uppādetvā ākāsena carituṃ vaṭṭatī’’ti. So assamaṃ gantvā taṃ itthiṃ manussapathaṃ netvā ‘‘gaccha, tva’’nti uyyojetvā araññaṃ pavisitvā manuññe bhūmibhāge assamaṃ māpetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā kasiṇaparikammaṃ katvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา อนิตฺถิคนฺธกุมาโร อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā anitthigandhakumāro ahameva ahosi’’nti.
จูฬปโลภนชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Cūḷapalobhanajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๖๓. จูฬปโลภนชาตกํ • 263. Cūḷapalobhanajātakaṃ