Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๙. จูฬสกุลุทายิสุตฺตํ
9. Cūḷasakuludāyisuttaṃ
๒๖๙. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก โมรนิวาเป ปริพฺพาชการาเม ปฎิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํฯ อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข ภควโต เอตทโหสิ – ‘‘อติปฺปโค โข ตาว ราชคเห ปิณฺฑาย จริตุํฯ ยํนูนาหํ เยน โมรนิวาโป ปริพฺพาชการาโม เยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกเมยฺย’’นฺติฯ อถ โข ภควา เยน โมรนิวาโป ปริพฺพาชการาโม เตนุปสงฺกมิฯ
269. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena sakuludāyī paribbājako moranivāpe paribbājakārāme paṭivasati mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ. Atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi. Atha kho bhagavato etadahosi – ‘‘atippago kho tāva rājagahe piṇḍāya carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ yena moranivāpo paribbājakārāmo yena sakuludāyī paribbājako tenupasaṅkameyya’’nti. Atha kho bhagavā yena moranivāpo paribbājakārāmo tenupasaṅkami.
เตน โข ปน สมเยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํ นิสิโนฺน โหติ อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยา, เสยฺยถิทํ – ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฎฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ อทฺทสา โข สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน สกํ ปริสํ สณฺฐาเปสิ – ‘‘อปฺปสทฺทา โภโนฺต โหนฺตุ, มา โภโนฺต สทฺทมกตฺถฯ อยํ สมโณ โคตโม อาคจฺฉติ; อปฺปสทฺทกาโม โข ปน โส อายสฺมา อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทีฯ อเปฺปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มเญฺญยฺยา’’ติฯ อถ โข เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํ ฯ
Tena kho pana samayena sakuludāyī paribbājako mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ nisinno hoti unnādiniyā uccāsaddamahāsaddāya anekavihitaṃ tiracchānakathaṃ kathentiyā, seyyathidaṃ – rājakathaṃ corakathaṃ mahāmattakathaṃ senākathaṃ bhayakathaṃ yuddhakathaṃ annakathaṃ pānakathaṃ vatthakathaṃ sayanakathaṃ mālākathaṃ gandhakathaṃ ñātikathaṃ yānakathaṃ gāmakathaṃ nigamakathaṃ nagarakathaṃ janapadakathaṃ itthikathaṃ sūrakathaṃ visikhākathaṃ kumbhaṭṭhānakathaṃ pubbapetakathaṃ nānattakathaṃ lokakkhāyikaṃ samuddakkhāyikaṃ itibhavābhavakathaṃ iti vā. Addasā kho sakuludāyī paribbājako bhagavantaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna sakaṃ parisaṃ saṇṭhāpesi – ‘‘appasaddā bhonto hontu, mā bhonto saddamakattha. Ayaṃ samaṇo gotamo āgacchati; appasaddakāmo kho pana so āyasmā appasaddassa vaṇṇavādī. Appeva nāma appasaddaṃ parisaṃ viditvā upasaṅkamitabbaṃ maññeyyā’’ti. Atha kho te paribbājakā tuṇhī ahesuṃ .
๒๗๐. อถ โข ภควา เยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เอตุ โข, ภเนฺต, ภควาฯ สฺวาคตํ, ภเนฺต, ภควโตฯ จิรสฺสํ โข, ภเนฺต, ภควา อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ, ภเนฺต, ภควา; อิทมาสนํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ สกุลุทายีปิ โข ปริพฺพาชโก อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข สกุลุทายิํ ปริพฺพาชกํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘กาย นุตฺถ, อุทายิ, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา’’ติ? ‘‘ติฎฺฐเตสา, ภเนฺต, กถา ยาย มยํ เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาฯ เนสา, ภเนฺต, กถา ภควโต ทุลฺลภา ภวิสฺสติ ปจฺฉาปิ สวนายฯ ยทาหํ, ภเนฺต, อิมํ ปริสํ อนุปสงฺกโนฺต โหมิ อถายํ ปริสา อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺตี นิสินฺนา โหติ; ยทา จ โข อหํ, ภเนฺต, อิมํ ปริสํ อุปสงฺกโนฺต โหมิ อถายํ ปริสา มมเญฺญว มุขํ อุโลฺลเกนฺตี นิสินฺนา โหติ – ‘ยํ โน สมโณ อุทายี ธมฺมํ ภาสิสฺสติ ตํ 1 โสสฺสามา’ติ; ยทา ปน , ภเนฺต, ภควา อิมํ ปริสํ อุปสงฺกโนฺต โหติ อถาหเญฺจว อยญฺจ ปริสา ภควโต มุขํ อุโลฺลเกนฺตา 2 นิสินฺนา โหม – ‘ยํ โน ภควา ธมฺมํ ภาสิสฺสติ ตํ โสสฺสามา’’’ติฯ
270. Atha kho bhagavā yena sakuludāyī paribbājako tenupasaṅkami. Atha kho sakuludāyī paribbājako bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘etu kho, bhante, bhagavā. Svāgataṃ, bhante, bhagavato. Cirassaṃ kho, bhante, bhagavā imaṃ pariyāyamakāsi yadidaṃ idhāgamanāya. Nisīdatu, bhante, bhagavā; idamāsanaṃ paññatta’’nti. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Sakuludāyīpi kho paribbājako aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho sakuludāyiṃ paribbājakaṃ bhagavā etadavoca – ‘‘kāya nuttha, udāyi, etarahi kathāya sannisinnā, kā ca pana vo antarākathā vippakatā’’ti? ‘‘Tiṭṭhatesā, bhante, kathā yāya mayaṃ etarahi kathāya sannisinnā. Nesā, bhante, kathā bhagavato dullabhā bhavissati pacchāpi savanāya. Yadāhaṃ, bhante, imaṃ parisaṃ anupasaṅkanto homi athāyaṃ parisā anekavihitaṃ tiracchānakathaṃ kathentī nisinnā hoti; yadā ca kho ahaṃ, bhante, imaṃ parisaṃ upasaṅkanto homi athāyaṃ parisā mamaññeva mukhaṃ ullokentī nisinnā hoti – ‘yaṃ no samaṇo udāyī dhammaṃ bhāsissati taṃ 3 sossāmā’ti; yadā pana , bhante, bhagavā imaṃ parisaṃ upasaṅkanto hoti athāhañceva ayañca parisā bhagavato mukhaṃ ullokentā 4 nisinnā homa – ‘yaṃ no bhagavā dhammaṃ bhāsissati taṃ sossāmā’’’ti.
๒๗๑. ‘‘เตนหุทายิ, ตํเยเวตฺถ ปฎิภาตุ ยถา มํ ปฎิภาเสยฺยา’’สิฯ ‘‘ปุริมานิ , ภเนฺต, ทิวสานิ ปุริมตรานิ สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี อปริเสสํ ญาณทสฺสนํ ปฎิชานมาโน ‘จรโต จ เม ติฎฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ ปจฺจุปฎฺฐิต’นฺติฯ โส มยา 5 ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน อเญฺญนญฺญํ ปฎิจริ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมสิ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตฺวากาสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํเยว อารพฺภ สติ อุทปาทิ – ‘อโห นูน ภควา, อโห นูน สุคโต! โย อิเมสํ ธมฺมานํ สุกุสโล’’’ติฯ ‘‘โก ปน โส, อุทายิ, สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี อปริเสสํ ญาณทสฺสนํ ปฎิชานมาโน ‘จรโต จ เม ติฎฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ ปจฺจุปฎฺฐิต’นฺติ, โย ตยา ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน อเญฺญนญฺญํ ปฎิจริ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมสิ โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตฺวากาสี’’ติ? ‘นิคโณฺฐ, ภเนฺต, นาฎปุโตฺต’ติฯ
271. ‘‘Tenahudāyi, taṃyevettha paṭibhātu yathā maṃ paṭibhāseyyā’’si. ‘‘Purimāni , bhante, divasāni purimatarāni sabbaññū sabbadassāvī aparisesaṃ ñāṇadassanaṃ paṭijānamāno ‘carato ca me tiṭṭhato ca suttassa ca jāgarassa ca satataṃ samitaṃ ñāṇadassanaṃ paccupaṭṭhita’nti. So mayā 6 pubbantaṃ ārabbha pañhaṃ puṭṭho samāno aññenaññaṃ paṭicari, bahiddhā kathaṃ apanāmesi, kopañca dosañca appaccayañca pātvākāsi. Tassa mayhaṃ, bhante, bhagavantaṃyeva ārabbha sati udapādi – ‘aho nūna bhagavā, aho nūna sugato! Yo imesaṃ dhammānaṃ sukusalo’’’ti. ‘‘Ko pana so, udāyi, sabbaññū sabbadassāvī aparisesaṃ ñāṇadassanaṃ paṭijānamāno ‘carato ca me tiṭṭhato ca suttassa ca jāgarassa ca satataṃ samitaṃ ñāṇadassanaṃ paccupaṭṭhita’nti, yo tayā pubbantaṃ ārabbha pañhaṃ puṭṭho samāno aññenaññaṃ paṭicari, bahiddhā kathaṃ apanāmesi kopañca dosañca appaccayañca pātvākāsī’’ti? ‘Nigaṇṭho, bhante, nāṭaputto’ti.
‘‘โย โข, อุทายิ, อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสเรยฺย, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสเรยฺย, โส วา มํ ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺย, ตํ วาหํ ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยํ; โส วา เม ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน จิตฺตํ อาราเธยฺย, ตสฺส วาหํ ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน จิตฺตํ อาราเธยฺยํฯ
‘‘Yo kho, udāyi, anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussareyya, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussareyya, so vā maṃ pubbantaṃ ārabbha pañhaṃ puccheyya, taṃ vāhaṃ pubbantaṃ ārabbha pañhaṃ puccheyyaṃ; so vā me pubbantaṃ ārabbha pañhassa veyyākaraṇena cittaṃ ārādheyya, tassa vāhaṃ pubbantaṃ ārabbha pañhassa veyyākaraṇena cittaṃ ārādheyyaṃ.
‘‘โย 7 โข, อุทายิ, ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปเสฺสยฺย จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชาเนยฺย, โส วา มํ อปรนฺตํ อารพฺภ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺย, ตํ วาหํ อปรนฺตํ อารพฺภ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยํ; โส วา เม อปรนฺตํ อารพฺภ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน จิตฺตํ อาราเธยฺย, ตสฺส วาหํ อปรนฺตํ อารพฺภ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน จิตฺตํ อาราเธยฺยํฯ
‘‘Yo 8 kho, udāyi, dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passeyya cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajāneyya, so vā maṃ aparantaṃ ārabbha pañhaṃ puccheyya, taṃ vāhaṃ aparantaṃ ārabbha pañhaṃ puccheyyaṃ; so vā me aparantaṃ ārabbha pañhassa veyyākaraṇena cittaṃ ārādheyya, tassa vāhaṃ aparantaṃ ārabbha pañhassa veyyākaraṇena cittaṃ ārādheyyaṃ.
‘‘อปิ จ, อุทายิ, ติฎฺฐตุ ปุพฺพโนฺต, ติฎฺฐตุ อปรโนฺตฯ ธมฺมํ เต เทเสสฺสามิ – อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ; อิมสฺมิํ อสติ อิทํ น โหติ, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌตี’’ติฯ
‘‘Api ca, udāyi, tiṭṭhatu pubbanto, tiṭṭhatu aparanto. Dhammaṃ te desessāmi – imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjati; imasmiṃ asati idaṃ na hoti, imassa nirodhā idaṃ nirujjhatī’’ti.
‘‘อหญฺหิ, ภเนฺต, ยาวตกมฺปิ เม อิมินา อตฺตภาเวน ปจฺจนุภูตํ ตมฺปิ นปฺปโหมิ สาการํ สอุเทฺทสํ อนุสฺสริตุํ, กุโต ปนาหํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริสฺสามิ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริสฺสามิ, เสยฺยถาปิ ภควา? อหญฺหิ, ภเนฺต, เอตรหิ ปํสุปิสาจกมฺปิ น ปสฺสามิ, กุโต ปนาหํ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสิสฺสามิ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานิสฺสามิ, เสยฺยถาปิ ภควา? ยํ ปน มํ, ภเนฺต, ภควา เอวมาห – ‘อปิ จ, อุทายิ, ติฎฺฐตุ ปุพฺพโนฺต, ติฎฺฐตุ อปรโนฺต; ธมฺมํ เต เทเสสฺสามิ – อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ; อิมสฺมิํ อสติ อิทํ น โหติ, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌตี’ติ ตญฺจ ปน เม ภิโยฺยโสมตฺตาย น ปกฺขายติฯ อเปฺปว นามาหํ, ภเนฺต, สเก อาจริยเก ภควโต จิตฺตํ อาราเธยฺยํ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณนา’’ติฯ
‘‘Ahañhi, bhante, yāvatakampi me iminā attabhāvena paccanubhūtaṃ tampi nappahomi sākāraṃ sauddesaṃ anussarituṃ, kuto panāhaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarissāmi, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarissāmi, seyyathāpi bhagavā? Ahañhi, bhante, etarahi paṃsupisācakampi na passāmi, kuto panāhaṃ dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passissāmi cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānissāmi, seyyathāpi bhagavā? Yaṃ pana maṃ, bhante, bhagavā evamāha – ‘api ca, udāyi, tiṭṭhatu pubbanto, tiṭṭhatu aparanto; dhammaṃ te desessāmi – imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjati; imasmiṃ asati idaṃ na hoti, imassa nirodhā idaṃ nirujjhatī’ti tañca pana me bhiyyosomattāya na pakkhāyati. Appeva nāmāhaṃ, bhante, sake ācariyake bhagavato cittaṃ ārādheyyaṃ pañhassa veyyākaraṇenā’’ti.
๒๗๒. ‘‘กินฺติ ปน เต, อุทายิ, สเก อาจริยเก โหตี’’ติ? ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, สเก อาจริยเก เอวํ โหติ – ‘อยํ ปรโม วโณฺณ, อยํ ปรโม วโณฺณ’’’ติฯ
272. ‘‘Kinti pana te, udāyi, sake ācariyake hotī’’ti? ‘‘Amhākaṃ, bhante, sake ācariyake evaṃ hoti – ‘ayaṃ paramo vaṇṇo, ayaṃ paramo vaṇṇo’’’ti.
‘‘ยํ ปน เต เอตํ, อุทายิ, สเก อาจริยเก เอวํ โหติ – ‘อยํ ปรโม วโณฺณ, อยํ ปรโม วโณฺณ’ติ, กตโม โส ปรโม วโณฺณ’’ติ? ‘‘ยสฺมา, ภเนฺต, วณฺณา อโญฺญ วโณฺณ อุตฺตริตโร วา ปณีตตโร วา นตฺถิ โส ปรโม วโณฺณ’’ติฯ
‘‘Yaṃ pana te etaṃ, udāyi, sake ācariyake evaṃ hoti – ‘ayaṃ paramo vaṇṇo, ayaṃ paramo vaṇṇo’ti, katamo so paramo vaṇṇo’’ti? ‘‘Yasmā, bhante, vaṇṇā añño vaṇṇo uttaritaro vā paṇītataro vā natthi so paramo vaṇṇo’’ti.
‘‘กตโม ปน โส ปรโม วโณฺณ ยสฺมา วณฺณา อโญฺญ วโณฺณ อุตฺตริตโร วา ปณีตตโร วา นตฺถี’’ติ? ‘‘ยสฺมา , ภเนฺต, วณฺณา อโญฺญ วโณฺณ อุตฺตริตโร วา ปณีตตโร วา นตฺถิ โส ปรโม วโณฺณ’’ติฯ
‘‘Katamo pana so paramo vaṇṇo yasmā vaṇṇā añño vaṇṇo uttaritaro vā paṇītataro vā natthī’’ti? ‘‘Yasmā , bhante, vaṇṇā añño vaṇṇo uttaritaro vā paṇītataro vā natthi so paramo vaṇṇo’’ti.
‘‘ทีฆาปิ โข เต เอสา, อุทายิ, ผเรยฺย – ‘ยสฺมา, ภเนฺต, วณฺณา อโญฺญ วโณฺณ อุตฺตริตโร วา ปณีตตโร วา นตฺถิ โส ปรโม วโณฺณ’ติ วเทสิ, ตญฺจ วณฺณํ น ปญฺญเปสิฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส เอวํ วเทยฺย – ‘อหํ ยา อิมสฺมิํ ชนปเท ชนปทกลฺยาณี ตํ อิจฺฉามิ, ตํ กาเมมี’ติฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘อโมฺภ ปุริส, ยํ ตฺวํ ชนปทกลฺยาณิํ อิจฺฉสิ กาเมสิ, ชานาสิ ตํ ชนปทกลฺยาณิํ – ขตฺติยี วา พฺราหฺมณี วา เวสฺสี วา สุทฺที วา’’ติ? อิติ ปุโฎฺฐ ‘โน’ติ วเทยฺยฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘อโมฺภ ปุริส, ยํ ตฺวํ ชนปทกลฺยาณิํ อิจฺฉสิ กาเมสิ, ชานาสิ ตํ ชนปทกลฺยาณิํ – เอวํนามา เอวํโคตฺตาติ วาติ…เป.… ทีฆา วา รสฺสา วา มชฺฌิมา วา กาฬี วา สามา วา มงฺคุรจฺฉวี วาติ… อมุกสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา นคเร วา’ติ? อิติ ปุโฎฺฐ ‘โน’ติ วเทยฺยฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘อโมฺภ ปุริส, ยํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิ, ตํ ตฺวํ อิจฺฉสิ กาเมสี’’’ติ? อิติ ปุโฎฺฐ ‘อามา’ติ วเทยฺยฯ
‘‘Dīghāpi kho te esā, udāyi, phareyya – ‘yasmā, bhante, vaṇṇā añño vaṇṇo uttaritaro vā paṇītataro vā natthi so paramo vaṇṇo’ti vadesi, tañca vaṇṇaṃ na paññapesi. Seyyathāpi, udāyi, puriso evaṃ vadeyya – ‘ahaṃ yā imasmiṃ janapade janapadakalyāṇī taṃ icchāmi, taṃ kāmemī’ti. Tamenaṃ evaṃ vadeyyuṃ – ‘ambho purisa, yaṃ tvaṃ janapadakalyāṇiṃ icchasi kāmesi, jānāsi taṃ janapadakalyāṇiṃ – khattiyī vā brāhmaṇī vā vessī vā suddī vā’’ti? Iti puṭṭho ‘no’ti vadeyya. Tamenaṃ evaṃ vadeyyuṃ – ‘ambho purisa, yaṃ tvaṃ janapadakalyāṇiṃ icchasi kāmesi, jānāsi taṃ janapadakalyāṇiṃ – evaṃnāmā evaṃgottāti vāti…pe… dīghā vā rassā vā majjhimā vā kāḷī vā sāmā vā maṅguracchavī vāti… amukasmiṃ gāme vā nigame vā nagare vā’ti? Iti puṭṭho ‘no’ti vadeyya. Tamenaṃ evaṃ vadeyyuṃ – ‘ambho purisa, yaṃ tvaṃ na jānāsi na passasi, taṃ tvaṃ icchasi kāmesī’’’ti? Iti puṭṭho ‘āmā’ti vadeyya.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ – นนุ เอวํ สเนฺต, ตสฺส ปุริสสฺส อปฺปาฎิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี’’ติ? ‘‘อทฺธา โข, ภเนฺต, เอวํ สเนฺต ตสฺส ปุริสสฺส อปฺปาฎิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi – nanu evaṃ sante, tassa purisassa appāṭihīrakataṃ bhāsitaṃ sampajjatī’’ti? ‘‘Addhā kho, bhante, evaṃ sante tassa purisassa appāṭihīrakataṃ bhāsitaṃ sampajjatī’’ti.
‘‘เอวเมว โข ตฺวํ, อุทายิ, ‘ยสฺมา, ภเนฺต, วณฺณา อโญฺญ วโณฺณ อุตฺตริตโร วา ปณีตตโร วา นตฺถิ โส ปรโม วโณฺณ’ติ วเทสิ, ตญฺจ วณฺณํ น ปญฺญเปสี’’ติฯ
‘‘Evameva kho tvaṃ, udāyi, ‘yasmā, bhante, vaṇṇā añño vaṇṇo uttaritaro vā paṇītataro vā natthi so paramo vaṇṇo’ti vadesi, tañca vaṇṇaṃ na paññapesī’’ti.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต ปณฺฑุกมฺพเล นิกฺขิโตฺต ภาสเต จ ตปเต จ วิโรจติ จ, เอวํ วโณฺณ อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา’’ติฯ
‘‘Seyyathāpi, bhante, maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato paṇḍukambale nikkhitto bhāsate ca tapate ca virocati ca, evaṃ vaṇṇo attā hoti arogo paraṃ maraṇā’’ti.
๒๗๓. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, โย วา มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต ปณฺฑุกมฺพเล นิกฺขิโตฺต ภาสเต จ ตปเต จ วิโรจติ จ, โย วา รตฺตนฺธการติมิสาย กิมิ ขโชฺชปนโก – อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ กตโม วโณฺณ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ? ‘‘ยฺวายํ, ภเนฺต, รตฺตนฺธการติมิสาย กิมิ ขโชฺชปนโก – อยํ อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติฯ
273. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yo vā maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato paṇḍukambale nikkhitto bhāsate ca tapate ca virocati ca, yo vā rattandhakāratimisāya kimi khajjopanako – imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ katamo vaṇṇo abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti? ‘‘Yvāyaṃ, bhante, rattandhakāratimisāya kimi khajjopanako – ayaṃ imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, โย วา รตฺตนฺธการติมิสาย กิมิ ขโชฺชปนโก, โย วา รตฺตนฺธการติมิสาย เตลปฺปทีโป – อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ กตโม วโณฺณ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ? ‘‘ยฺวายํ, ภเนฺต, รตฺตนฺธการติมิสาย เตลปฺปทีโป – อยํ อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yo vā rattandhakāratimisāya kimi khajjopanako, yo vā rattandhakāratimisāya telappadīpo – imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ katamo vaṇṇo abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti? ‘‘Yvāyaṃ, bhante, rattandhakāratimisāya telappadīpo – ayaṃ imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, โย วา รตฺตนฺธการติมิสาย เตลปฺปทีโป, โย วา รตฺตนฺธการติมิสาย มหาอคฺคิกฺขโนฺธ – อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ กตโม วโณฺณ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ? ‘‘ยฺวายํ, ภเนฺต, รตฺตนฺธการติมิสาย มหาอคฺคิกฺขโนฺธ – อยํ อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yo vā rattandhakāratimisāya telappadīpo, yo vā rattandhakāratimisāya mahāaggikkhandho – imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ katamo vaṇṇo abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti? ‘‘Yvāyaṃ, bhante, rattandhakāratimisāya mahāaggikkhandho – ayaṃ imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, โย วา รตฺตนฺธการติมิสาย มหาอคฺคิกฺขโนฺธ, ยา วา รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว โอสธิตารกา – อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ กตโม วโณฺณ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ? ‘‘ยฺวายํ, ภเนฺต, รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว โอสธิตารกา – อยํ อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yo vā rattandhakāratimisāya mahāaggikkhandho, yā vā rattiyā paccūsasamayaṃ viddhe vigatavalāhake deve osadhitārakā – imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ katamo vaṇṇo abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti? ‘‘Yvāyaṃ, bhante, rattiyā paccūsasamayaṃ viddhe vigatavalāhake deve osadhitārakā – ayaṃ imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, ยา วา รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว โอสธิตารกา, โย วา ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว อภิโท 9 อฑฺฒรตฺตสมยํ จโนฺท – อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ กตโม วโณฺณ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ? ‘‘ยฺวายํ, ภเนฺต, ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว อภิโท อฑฺฒรตฺตสมยํ จโนฺท – อยํ อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yā vā rattiyā paccūsasamayaṃ viddhe vigatavalāhake deve osadhitārakā, yo vā tadahuposathe pannarase viddhe vigatavalāhake deve abhido 10 aḍḍharattasamayaṃ cando – imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ katamo vaṇṇo abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti? ‘‘Yvāyaṃ, bhante, tadahuposathe pannarase viddhe vigatavalāhake deve abhido aḍḍharattasamayaṃ cando – ayaṃ imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, โย วา ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว อภิโท อฑฺฒรตฺตสมยํ จโนฺท, โย วา วสฺสานํ ปจฺฉิเม มาเส สรทสมเย วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว อภิโท มชฺฌนฺหิกสมยํ สูริโย – อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ กตโม วโณฺณ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ? ‘‘ยฺวายํ, ภเนฺต, วสฺสานํ ปจฺฉิเม มาเส สรทสมเย วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว อภิโท มชฺฌนฺหิกสมยํ สูริโย – อยํ อิเมสํ อุภินฺนํ วณฺณานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yo vā tadahuposathe pannarase viddhe vigatavalāhake deve abhido aḍḍharattasamayaṃ cando, yo vā vassānaṃ pacchime māse saradasamaye viddhe vigatavalāhake deve abhido majjhanhikasamayaṃ sūriyo – imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ katamo vaṇṇo abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti? ‘‘Yvāyaṃ, bhante, vassānaṃ pacchime māse saradasamaye viddhe vigatavalāhake deve abhido majjhanhikasamayaṃ sūriyo – ayaṃ imesaṃ ubhinnaṃ vaṇṇānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti.
‘‘อโต โข เต, อุทายิ, พหู หิ พหุตรา เทวา เย อิเมสํ จนฺทิมสูริยานํ อาภา นานุโภนฺติ, ตฺยาหํ ปชานามิฯ อถ จ ปนาหํ น วทามิ – ‘ยสฺมา วณฺณา อโญฺญ วโณฺณ อุตฺตริตโร วา ปณีตตโร วา นตฺถี’ติฯ อถ จ ปน ตฺวํ, อุทายิ, ‘ยฺวายํ วโณฺณ กิมินา ขโชฺชปนเกน นิหีนตโร 11 จ ปติกิฎฺฐตโร จ โส ปรโม วโณฺณ’ติ วเทสิ, ตญฺจ วณฺณํ น ปญฺญเปสี’’ติฯ ‘‘อจฺฉิทํ 12 ภควา กถํ, อจฺฉิทํ สุคโต กถ’’นฺติ!
‘‘Ato kho te, udāyi, bahū hi bahutarā devā ye imesaṃ candimasūriyānaṃ ābhā nānubhonti, tyāhaṃ pajānāmi. Atha ca panāhaṃ na vadāmi – ‘yasmā vaṇṇā añño vaṇṇo uttaritaro vā paṇītataro vā natthī’ti. Atha ca pana tvaṃ, udāyi, ‘yvāyaṃ vaṇṇo kiminā khajjopanakena nihīnataro 13 ca patikiṭṭhataro ca so paramo vaṇṇo’ti vadesi, tañca vaṇṇaṃ na paññapesī’’ti. ‘‘Acchidaṃ 14 bhagavā kathaṃ, acchidaṃ sugato katha’’nti!
‘‘กิํ ปน ตฺวํ, อุทายิ, เอวํ วเทสิ – ‘อจฺฉิทํ ภควา กถํ, อจฺฉิทํ สุคโต กถํ’’’ติ? ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, สเก อาจริยเก เอวํ โหติ – ‘อยํ ปรโม วโณฺณ, อยํ ปรโม วโณฺณ’ติฯ เต มยํ, ภเนฺต, ภควตา สเก อาจริยเก สมนุยุญฺชิยมานา สมนุคฺคาหิยมานา สมนุภาสิยมานา ริตฺตา ตุจฺฉา อปรทฺธา’’ติฯ
‘‘Kiṃ pana tvaṃ, udāyi, evaṃ vadesi – ‘acchidaṃ bhagavā kathaṃ, acchidaṃ sugato kathaṃ’’’ti? ‘‘Amhākaṃ, bhante, sake ācariyake evaṃ hoti – ‘ayaṃ paramo vaṇṇo, ayaṃ paramo vaṇṇo’ti. Te mayaṃ, bhante, bhagavatā sake ācariyake samanuyuñjiyamānā samanuggāhiyamānā samanubhāsiyamānā rittā tucchā aparaddhā’’ti.
๒๗๔. ‘‘กิํ ปนุทายิ, อตฺถิ เอกนฺตสุโข โลโก, อตฺถิ อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติ? ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, สเก อาจริยเก เอวํ โหติ – ‘อตฺถิ เอกนฺตสุโข โลโก, อตฺถิ อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’’ติฯ
274. ‘‘Kiṃ panudāyi, atthi ekantasukho loko, atthi ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’ti? ‘‘Amhākaṃ, bhante, sake ācariyake evaṃ hoti – ‘atthi ekantasukho loko, atthi ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’’ti.
‘‘กตมา ปน สา, อุทายิ, อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติ? ‘‘อิธ, ภเนฺต, เอกโจฺจ ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฎิวิรโต โหติ, มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโต โหติ, อญฺญตรํ วา ปน ตโปคุณํ สมาทาย วตฺตติฯ อยํ โข สา, ภเนฺต, อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติฯ
‘‘Katamā pana sā, udāyi, ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’ti? ‘‘Idha, bhante, ekacco pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti, adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭivirato hoti, kāmesumicchācāraṃ pahāya kāmesumicchācārā paṭivirato hoti, musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭivirato hoti, aññataraṃ vā pana tapoguṇaṃ samādāya vattati. Ayaṃ kho sā, bhante, ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, ยสฺมิํ สมเย ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ, เอกนฺตสุขี วา ตสฺมิํ สมเย อตฺตา โหติ สุขทุกฺขี วา’’ติ? ‘‘สุขทุกฺขี, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yasmiṃ samaye pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti, ekantasukhī vā tasmiṃ samaye attā hoti sukhadukkhī vā’’ti? ‘‘Sukhadukkhī, bhante’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, ยสฺมิํ สมเย อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต โหติ, เอกนฺตสุขี วา ตสฺมิํ สมเย อตฺตา โหติ สุขทุกฺขี วา’’ติ? ‘‘สุขทุกฺขี, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yasmiṃ samaye adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭivirato hoti, ekantasukhī vā tasmiṃ samaye attā hoti sukhadukkhī vā’’ti? ‘‘Sukhadukkhī, bhante’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, ยสฺมิํ สมเย กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฎิวิรโต โหติ, เอกนฺตสุขี วา ตสฺมิํ สมเย อตฺตา โหติ สุขทุกฺขี วา’’ติ? ‘‘สุขทุกฺขี, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yasmiṃ samaye kāmesumicchācāraṃ pahāya kāmesumicchācārā paṭivirato hoti, ekantasukhī vā tasmiṃ samaye attā hoti sukhadukkhī vā’’ti? ‘‘Sukhadukkhī, bhante’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, ยสฺมิํ สมเย มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโต โหติ, เอกนฺตสุขี วา ตสฺมิํ สมเย อตฺตา โหติ สุขทุกฺขี วา’’ติ? ‘‘สุขทุกฺขี, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yasmiṃ samaye musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭivirato hoti, ekantasukhī vā tasmiṃ samaye attā hoti sukhadukkhī vā’’ti? ‘‘Sukhadukkhī, bhante’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, ยสฺมิํ สมเย อญฺญตรํ ตโปคุณํ สมาทาย วตฺตติ, เอกนฺตสุขี วา ตสฺมิํ สมเย อตฺตา โหติ สุขทุกฺขี วา’’ติ? ‘‘สุขทุกฺขี, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, yasmiṃ samaye aññataraṃ tapoguṇaṃ samādāya vattati, ekantasukhī vā tasmiṃ samaye attā hoti sukhadukkhī vā’’ti? ‘‘Sukhadukkhī, bhante’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, อปิ นุ โข โวกิณฺณสุขทุกฺขํ ปฎิปทํ อาคมฺม เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยา โหตี’’ติ 15? ‘‘อจฺฉิทํ ภควา กถํ, อจฺฉิทํ สุคโต กถ’’นฺติ!
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, api nu kho vokiṇṇasukhadukkhaṃ paṭipadaṃ āgamma ekantasukhassa lokassa sacchikiriyā hotī’’ti 16? ‘‘Acchidaṃ bhagavā kathaṃ, acchidaṃ sugato katha’’nti!
‘‘กิํ ปน ตฺวํ, อุทายิ, วเทสิ – ‘อจฺฉิทํ ภควา กถํ, อจฺฉิทํ สุคโต กถํ’’’ติ? ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, สเก อาจริยเก เอวํ โหติ – ‘อตฺถิ เอกนฺตสุโข โลโก, อตฺถิ อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’ติฯ เต มยํ, ภเนฺต, ภควตา สเก อาจริยเก สมนุยุญฺชิยมานา สมนุคฺคาหิยมานา สมนุภาสิยมานา ริตฺตา ตุจฺฉา อปรทฺธา’’ติ 17ฯ
‘‘Kiṃ pana tvaṃ, udāyi, vadesi – ‘acchidaṃ bhagavā kathaṃ, acchidaṃ sugato kathaṃ’’’ti? ‘‘Amhākaṃ, bhante, sake ācariyake evaṃ hoti – ‘atthi ekantasukho loko, atthi ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’ti. Te mayaṃ, bhante, bhagavatā sake ācariyake samanuyuñjiyamānā samanuggāhiyamānā samanubhāsiyamānā rittā tucchā aparaddhā’’ti 18.
๒๗๕. ‘‘กิํ ปน, ภเนฺต, อตฺถิ เอกนฺตสุโข โลโก, อตฺถิ อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติ? ‘‘อตฺถิ โข, อุทายิ, เอกนฺตสุโข โลโก, อตฺถิ อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติฯ
275. ‘‘Kiṃ pana, bhante, atthi ekantasukho loko, atthi ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’ti? ‘‘Atthi kho, udāyi, ekantasukho loko, atthi ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’ti.
‘‘กตมา ปน สา, ภเนฺต, อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติ? ‘‘อิธุทายิ, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; ปีติยา จ วิราคา… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ – อยํ โข สา, อุทายิ, อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติฯ
‘‘Katamā pana sā, bhante, ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’ti? ‘‘Idhudāyi, bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; vitakkavicārānaṃ vūpasamā… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; pītiyā ca virāgā… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati – ayaṃ kho sā, udāyi, ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’ti.
‘‘น 19 โข สา, ภเนฺต, อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยาย, สจฺฉิกโต หิสฺส, ภเนฺต, เอตฺตาวตา เอกนฺตสุโข โลโก โหตี’’ติฯ ‘‘น ขฺวาสฺส, อุทายิ, เอตฺตาวตา เอกนฺตสุโข โลโก สจฺฉิกโต โหติ; อาการวตีเตฺวว สา ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติฯ
‘‘Na 20 kho sā, bhante, ākāravatī paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāya, sacchikato hissa, bhante, ettāvatā ekantasukho loko hotī’’ti. ‘‘Na khvāssa, udāyi, ettāvatā ekantasukho loko sacchikato hoti; ākāravatītveva sā paṭipadā ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāyā’’ti.
เอวํ วุเตฺต, สกุลุทายิสฺส ปริพฺพาชกสฺส ปริสา อุนฺนาทินี อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทา อโหสิ – ‘‘เอตฺถ มยํ อนสฺสาม สาจริยกา, เอตฺถ มยํ อนสฺสาม 21 สาจริยกา! น มยํ อิโต ภิโยฺย อุตฺตริตรํ ปชานามา’’ติฯ
Evaṃ vutte, sakuludāyissa paribbājakassa parisā unnādinī uccāsaddamahāsaddā ahosi – ‘‘ettha mayaṃ anassāma sācariyakā, ettha mayaṃ anassāma 22 sācariyakā! Na mayaṃ ito bhiyyo uttaritaraṃ pajānāmā’’ti.
อถ โข สกุลุทายี ปริพฺพาชโก เต ปริพฺพาชเก อปฺปสเทฺท กตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘กิตฺตาวตา ปนาสฺส, ภเนฺต, เอกนฺตสุโข โลโก สจฺฉิกโต โหตี’’ติ? ‘‘อิธุทายิ, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ… อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยา ตา เทวตา เอกนฺตสุขํ โลกํ อุปปนฺนา ตาหิ เทวตาหิ สทฺธิํ สนฺติฎฺฐติ สลฺลปติ สากจฺฉํ สมาปชฺชติฯ เอตฺตาวตา ขฺวาสฺส, อุทายิ, เอกนฺตสุโข โลโก สจฺฉิกโต โหตี’’ติฯ
Atha kho sakuludāyī paribbājako te paribbājake appasadde katvā bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘kittāvatā panāssa, bhante, ekantasukho loko sacchikato hotī’’ti? ‘‘Idhudāyi, bhikkhu sukhassa ca pahānā…pe… catutthaṃ jhānaṃ… upasampajja viharati. Yā tā devatā ekantasukhaṃ lokaṃ upapannā tāhi devatāhi saddhiṃ santiṭṭhati sallapati sākacchaṃ samāpajjati. Ettāvatā khvāssa, udāyi, ekantasukho loko sacchikato hotī’’ti.
๒๗๖. ‘‘เอตสฺส นูน, ภเนฺต, เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู ภควติ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตี’’ติ? ‘‘น โข, อุทายิ, เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ อตฺถิ โข, อุทายิ , อเญฺญว ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เยสํ สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตี’’ติฯ
276. ‘‘Etassa nūna, bhante, ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāhetu bhikkhū bhagavati brahmacariyaṃ carantī’’ti? ‘‘Na kho, udāyi, ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti. Atthi kho, udāyi , aññeva dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca yesaṃ sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ carantī’’ti.
‘‘กตเม ปน เต, ภเนฺต, ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เยสํ สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู ภควติ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตี’’ติ? ‘‘อิธุทายิ, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา…เป.… โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, อุทายิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติ’’ฯ
‘‘Katame pana te, bhante, dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca yesaṃ sacchikiriyāhetu bhikkhū bhagavati brahmacariyaṃ carantī’’ti? ‘‘Idhudāyi, tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā…pe… so ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese paññāya dubbalīkaraṇe vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, udāyi, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti’’.
‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา…เป.… ทุติยํ ฌานํ… ตติยํ ฌานํ… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, อุทายิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ
‘‘Puna caparaṃ, udāyi, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā…pe… dutiyaṃ jhānaṃ… tatiyaṃ jhānaṃ… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, udāyi, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ อยมฺปิ โข, อุทายิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Ayampi kho, udāyi, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต…เป.… ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ อยมฺปิ โข, อุทายิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate…pe… yathākammūpage satte pajānāti. Ayampi kho, udāyi, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติ ฯ โส ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’ติ…เป.… ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’ติ… ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ… ‘อิเม อาสวา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย’ติ… ‘อยํ อาสวนิโรโธ’ติ… ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ อยมฺปิ โข, อุทายิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ อิเม โข, อุทายิ, ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เยสํ สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตี’’ติฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti . So ‘idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhasamudayo’ti…pe… ‘ayaṃ dukkhanirodho’ti… ‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’ti… ‘ime āsavā’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavasamudayo’ti… ‘ayaṃ āsavanirodho’ti… ‘ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Ayampi kho, udāyi, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti. Ime kho, udāyi, dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca yesaṃ sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ carantī’’ti.
๒๗๗. เอวํ วุเตฺต, สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต , อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต! เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย – ‘จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตี’ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ ลเภยฺยาหํ, ภเนฺต, ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, ลเภยฺยํ อุปสมฺปท’’นฺติฯ
277. Evaṃ vutte, sakuludāyī paribbājako bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhikkantaṃ, bhante , abhikkantaṃ, bhante! Seyyathāpi, bhante, nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya, paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya – ‘cakkhumanto rūpāni dakkhantī’ti; evamevaṃ bhagavatā anekapariyāyena dhammo pakāsito. Esāhaṃ, bhante, bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchāmi dhammañca bhikkhusaṅghañca. Labheyyāhaṃ, bhante, bhagavato santike pabbajjaṃ, labheyyaṃ upasampada’’nti.
เอวํ วุเตฺต, สกุลุทายิสฺส ปริพฺพาชกสฺส ปริสา สกุลุทายิํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจุํ – ‘‘มา ภวํ, อุทายิ, สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยํ จริ; มา ภวํ, อุทายิ, อาจริโย หุตฺวา อเนฺตวาสีวาสํ วสิฯ เสยฺยถาปิ นาม อุทกมณิโก 23 หุตฺวา อุทญฺจนิโก 24 อสฺส, เอวํ สมฺปทมิทํ 25 โภโต อุทายิสฺส ภวิสฺสติฯ มา ภวํ, อุทายิ, สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยํ จริ; มา ภวํ, อุทายิ, อาจริโย หุตฺวา อเนฺตวาสีวาสํ วสี’’ติฯ อิติ หิทํ สกุลุทายิสฺส ปริพฺพาชกสฺส ปริสา สกุลุทายิํ ปริพฺพาชกํ อนฺตรายมกาสิ ภควติ พฺรหฺมจริเยติฯ
Evaṃ vutte, sakuludāyissa paribbājakassa parisā sakuludāyiṃ paribbājakaṃ etadavocuṃ – ‘‘mā bhavaṃ, udāyi, samaṇe gotame brahmacariyaṃ cari; mā bhavaṃ, udāyi, ācariyo hutvā antevāsīvāsaṃ vasi. Seyyathāpi nāma udakamaṇiko 26 hutvā udañcaniko 27 assa, evaṃ sampadamidaṃ 28 bhoto udāyissa bhavissati. Mā bhavaṃ, udāyi, samaṇe gotame brahmacariyaṃ cari; mā bhavaṃ, udāyi, ācariyo hutvā antevāsīvāsaṃ vasī’’ti. Iti hidaṃ sakuludāyissa paribbājakassa parisā sakuludāyiṃ paribbājakaṃ antarāyamakāsi bhagavati brahmacariyeti.
จูฬสกุลุทายิสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ นวมํฯ
Cūḷasakuludāyisuttaṃ niṭṭhitaṃ navamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๙. จูฬสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา • 9. Cūḷasakuludāyisuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. จูฬสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา • 9. Cūḷasakuludāyisuttavaṇṇanā