Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๙. จูฬสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา

    9. Cūḷasakuludāyisuttavaṇṇanā

    ๒๗๐. เอวํ เม สุตนฺติ จูฬสกุลุทายิสุตฺตํฯ ตตฺถ ยทา ปน, ภเนฺต, ภควาติ อิทํ ปริพฺพาชโก ธมฺมกถํ โสตุกาโม ภควโต ธมฺมเทสนาย สาลยภาวํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ

    270.Evaṃme sutanti cūḷasakuludāyisuttaṃ. Tattha yadā pana, bhante, bhagavāti idaṃ paribbājako dhammakathaṃ sotukāmo bhagavato dhammadesanāya sālayabhāvaṃ dassento āha.

    ๒๗๑. ตํเยเวตฺถ ปฎิภาตูติ สเจ ธมฺมํ โสตุกาโม, ตุเยฺหเวตฺถ เอโก ปโญฺห เอกํ การณํ อุปฎฺฐาตุฯ ยถา มํ ปฎิภาเสยฺยาติ เยน การเณน มม ธมฺมเทสนา อุปฎฺฐเหยฺย, เอเตน หิ การเณน กถาย สมุฎฺฐิตาย สุขํ ธมฺมํ เทเสตุนฺติ ทีเปติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺตติ โส กิร ตํ ทิสฺวา – ‘‘สเจ ภควา อิธ อภวิสฺสา, อยเมตสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถติ ทีปสหสฺสํ วิย อุชฺชลาเปตฺวา อชฺช เม ปากฎํ อกริสฺสา’’ติ ทสพลํเยว อนุสฺสริฯ ตสฺมา ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ อโห นูนาติ อนุสฺสรณเตฺถ นิปาตทฺวยํฯ เตน ตสฺส ภควนฺตํ อนุสฺสรนฺตสฺส เอตทโหสิ ‘‘อโห นูน ภควา อโห นูน สุคโต’’ติฯ โย อิเมสนฺติ โย อิเมสํ ธมฺมานํฯ สุกุสโลติ สุฎฺฐุ กุสโล นิปุโณ เฉโกฯ โส ภควา อโห นูน กเถยฺย, โส สุคโต อโห นูน กเถยฺย, ตสฺส หิ ภควโต ปุเพฺพนิวาสญาณสฺส อเนกานิ กปฺปโกฎิสหสฺสานิ เอกงฺคณานิ ปากฎานีติ, อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ

    271.Taṃyevettha paṭibhātūti sace dhammaṃ sotukāmo, tuyhevettha eko pañho ekaṃ kāraṇaṃ upaṭṭhātu. Yathā maṃ paṭibhāseyyāti yena kāraṇena mama dhammadesanā upaṭṭhaheyya, etena hi kāraṇena kathāya samuṭṭhitāya sukhaṃ dhammaṃ desetunti dīpeti. Tassa mayhaṃ, bhanteti so kira taṃ disvā – ‘‘sace bhagavā idha abhavissā, ayametassa bhāsitassa atthoti dīpasahassaṃ viya ujjalāpetvā ajja me pākaṭaṃ akarissā’’ti dasabalaṃyeva anussari. Tasmā tassa mayhaṃ, bhantetiādimāha. Tattha aho nūnāti anussaraṇatthe nipātadvayaṃ. Tena tassa bhagavantaṃ anussarantassa etadahosi ‘‘aho nūna bhagavā aho nūna sugato’’ti. Yo imesanti yo imesaṃ dhammānaṃ. Sukusaloti suṭṭhu kusalo nipuṇo cheko. So bhagavā aho nūna katheyya, so sugato aho nūna katheyya, tassa hi bhagavato pubbenivāsañāṇassa anekāni kappakoṭisahassāni ekaṅgaṇāni pākaṭānīti, ayamettha adhippāyo.

    ตสฺส วาหํ ปุพฺพนฺตํ อารพฺภาติ โย หิ ลาภี โหติ, โส ‘‘ปุเพฺพ ตฺวํ ขตฺติโย อโหสิ, พฺราหฺมโณ อโหสี’’ติ วุเตฺต ชานโนฺต สกฺกจฺจํ สุสฺสูสติฯ อลาภี ปน – ‘‘เอวํ ภวิสฺสติ เอวํ ภวิสฺสตี’’ติ สีสกมฺปเมตฺตเมว ทเสฺสติฯ ตสฺมา เอวมาห – ‘‘ตสฺส วาหํ ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน จิตฺตํ อาราเธยฺย’’นฺติฯ

    Tassa vāhaṃ pubbantaṃ ārabbhāti yo hi lābhī hoti, so ‘‘pubbe tvaṃ khattiyo ahosi, brāhmaṇo ahosī’’ti vutte jānanto sakkaccaṃ sussūsati. Alābhī pana – ‘‘evaṃ bhavissati evaṃ bhavissatī’’ti sīsakampamettameva dasseti. Tasmā evamāha – ‘‘tassa vāhaṃ pubbantaṃ ārabbha pañhassa veyyākaraṇena cittaṃ ārādheyya’’nti.

    โส วา มํ อปรนฺตนฺติ ทิพฺพจกฺขุลาภิโน หิ อนาคตํสญาณํ อิชฺฌติ, ตสฺมา เอวมาหฯ อิตรํ ปุเพฺพ วุตฺตนยเมวฯ

    So vā maṃ aparantanti dibbacakkhulābhino hi anāgataṃsañāṇaṃ ijjhati, tasmā evamāha. Itaraṃ pubbe vuttanayameva.

    ธมฺมํ เต เทเสสฺสามีติ อยํ กิร อตีเต เทสิยมาเนปิ น พุชฺฌิสฺสติ, อนาคเต เทสิยมาเนปิ น พุชฺฌิสฺสติฯ อถสฺส ภควา สณฺหสุขุมํ ปจฺจยาการํ เทเสตุกาโม เอวมาหฯ กิํ ปน ตํ พุชฺฌิสฺสตีติ? เอตํ ปเคว น พุชฺฌิสฺสติ, อนาคเต ปนสฺส วาสนาย ปจฺจโย ภวิสฺสตีติ ทิสฺวา ภควา เอวมาหฯ

    Dhammaṃte desessāmīti ayaṃ kira atīte desiyamānepi na bujjhissati, anāgate desiyamānepi na bujjhissati. Athassa bhagavā saṇhasukhumaṃ paccayākāraṃ desetukāmo evamāha. Kiṃ pana taṃ bujjhissatīti? Etaṃ pageva na bujjhissati, anāgate panassa vāsanāya paccayo bhavissatīti disvā bhagavā evamāha.

    ปํสุปิสาจกนฺติ อสุจิฎฺฐาเน นิพฺพตฺตปิสาจํฯ โส หิ เอกํ มูลํ คเหตฺวา อทิสฺสมานกาโย โหติฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – เอกา กิร ยกฺขินี เทฺว ทารเก ถูปารามทฺวาเร นิสีทาเปตฺวา อาหารปริเยสนตฺถํ นครํ คตาฯ ทารกา เอกํ ปิณฺฑปาติกเตฺถรํ ทิสฺวา อาหํสุ, – ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ มาตา อโนฺต นครํ ปวิฎฺฐา, ตสฺสา วเทยฺยาถ ‘ยํ วา ตํ วา ลทฺธกํ, คเหตฺวา สีฆํ คจฺฉ, ทารกา เต ชิฆจฺฉิตํ สนฺธาเรตุํ น สโกฺกนฺตี’’’ติฯ ตมหํ กถํ ปสฺสิสฺสามีติ? อิทํ, ภเนฺต, คณฺหถาติ เอกํ มูลขณฺฑํ อทํสุฯ เถรสฺส อเนกานิ ยกฺขสหสฺสานิ ปญฺญายิํสุ, โส ทารเกหิ ทินฺนสญฺญาเณน ตํ ยกฺขินิํ อทฺทส วิรูปํ พีภจฺฉํ เกวลํ วีถิยํ คพฺภมลํ ปจฺจาสีสมานํฯ ทิสฺวา ตมตฺถํ กเถสิ ฯ กถํ มํ ตฺวํ ปสฺสสีติ วุเตฺต มูลขณฺฑํ ทเสฺสสิ, สา อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหิฯ เอวํ ปํสุปิสาจกา เอกํ มูลํ คเหตฺวา อทิสฺสมานกายา โหนฺติฯ ตํ สนฺธาเยส ‘‘ปํสุปิสาจกมฺปิ น ปสฺสามี’’ติ อาหฯ น ปกฺขายตีติ น ทิสฺสติ น อุปฎฺฐาติฯ

    Paṃsupisācakanti asuciṭṭhāne nibbattapisācaṃ. So hi ekaṃ mūlaṃ gahetvā adissamānakāyo hoti. Tatridaṃ vatthu – ekā kira yakkhinī dve dārake thūpārāmadvāre nisīdāpetvā āhārapariyesanatthaṃ nagaraṃ gatā. Dārakā ekaṃ piṇḍapātikattheraṃ disvā āhaṃsu, – ‘‘bhante, amhākaṃ mātā anto nagaraṃ paviṭṭhā, tassā vadeyyātha ‘yaṃ vā taṃ vā laddhakaṃ, gahetvā sīghaṃ gaccha, dārakā te jighacchitaṃ sandhāretuṃ na sakkontī’’’ti. Tamahaṃ kathaṃ passissāmīti? Idaṃ, bhante, gaṇhathāti ekaṃ mūlakhaṇḍaṃ adaṃsu. Therassa anekāni yakkhasahassāni paññāyiṃsu, so dārakehi dinnasaññāṇena taṃ yakkhiniṃ addasa virūpaṃ bībhacchaṃ kevalaṃ vīthiyaṃ gabbhamalaṃ paccāsīsamānaṃ. Disvā tamatthaṃ kathesi . Kathaṃ maṃ tvaṃ passasīti vutte mūlakhaṇḍaṃ dassesi, sā acchinditvā gaṇhi. Evaṃ paṃsupisācakā ekaṃ mūlaṃ gahetvā adissamānakāyā honti. Taṃ sandhāyesa ‘‘paṃsupisācakampi na passāmī’’ti āha. Na pakkhāyatīti na dissati na upaṭṭhāti.

    ๒๗๒. ทีฆาปิ โข เต เอสาติ อุทายิ เอสา ตว วาจา ทีฆาปิ ภเวยฺย, เอวํ วทนฺตสฺส วสฺสสตมฺปิ วสฺสสหสฺสมฺปิ ปวเตฺตยฺย, น จ อตฺถํ ทีเปยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ อปฺปาฎิหีรกตนฺติ อนิยฺยานิกํ อมูลกํ นิรตฺถกํ สมฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ

    272.Dīghāpi kho te esāti udāyi esā tava vācā dīghāpi bhaveyya, evaṃ vadantassa vassasatampi vassasahassampi pavatteyya, na ca atthaṃ dīpeyyāti adhippāyo. Appāṭihīrakatanti aniyyānikaṃ amūlakaṃ niratthakaṃ sampajjatīti attho.

    อิทานิ ตํ วณฺณํ ทเสฺสโนฺต เสยฺยถาปิ, ภเนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปณฺฑุกมฺพเล นิกฺขิโตฺตติ วิสภาควเณฺณ รตฺตกมฺพเล ฐปิโตฯ เอวํวโณฺณ อตฺตา โหตีติ อิทํ โส สุภกิณฺหเทวโลเก นิพฺพตฺตกฺขเนฺธ สนฺธาย – ‘‘อมฺหากํ มตกาเล อตฺตา สุภกิณฺหเทวโลเก ขนฺธา วิย โชเตตี’’ติ วทติฯ

    Idāni taṃ vaṇṇaṃ dassento seyyathāpi, bhantetiādimāha. Tattha paṇḍukambale nikkhittoti visabhāgavaṇṇe rattakambale ṭhapito. Evaṃvaṇṇo attā hotīti idaṃ so subhakiṇhadevaloke nibbattakkhandhe sandhāya – ‘‘amhākaṃ matakāle attā subhakiṇhadevaloke khandhā viya jotetī’’ti vadati.

    ๒๗๓. อยํ อิเมสํ อุภินฺนนฺติ โส กิร ยสฺมา มณิสฺส พหิ อาภา น นิจฺฉรติ, ขโชฺชปนกสฺส องฺคุลทฺวงฺคุลจตุรงฺคุลมตฺตํ นิจฺฉรติ, มหาขโชฺชปนกสฺส ปน ขฬมณฺฑลมตฺตมฺปิ นิจฺฉรติเยว, ตสฺมา เอวมาหฯ

    273.Ayaṃimesaṃ ubhinnanti so kira yasmā maṇissa bahi ābhā na niccharati, khajjopanakassa aṅguladvaṅgulacaturaṅgulamattaṃ niccharati, mahākhajjopanakassa pana khaḷamaṇḍalamattampi niccharatiyeva, tasmā evamāha.

    วิเทฺธติ อุพฺพิเทฺธ, เมฆวิคเมน ทูรีภูเตติ อโตฺถฯ วิคตวลาหเกติ อปคตเมเฆฯ เทเวติ อากาเสฯ โอสธิตารกาติ สุกฺกตารกาฯ สา หิ ยสฺมา ตสฺสา อุทยโต ปฎฺฐาย เตน สญฺญาเณน โอสธานิ คณฺหนฺติปิ ปิวนฺติปิ, ตสฺมา ‘‘โอสธิตารกา’’ติ วุจฺจติฯ อภิโท อฑฺฒรตฺตสมยนฺติ อภิเนฺน อฑฺฒรตฺตสมเยฯ อิมินา คคนมเชฺฌ ฐิตจนฺทํ ทเสฺสติฯ อภิโท มชฺฌนฺหิเกปิ เอเสว นโยฯ

    Viddheti ubbiddhe, meghavigamena dūrībhūteti attho. Vigatavalāhaketi apagatameghe. Deveti ākāse. Osadhitārakāti sukkatārakā. Sā hi yasmā tassā udayato paṭṭhāya tena saññāṇena osadhāni gaṇhantipi pivantipi, tasmā ‘‘osadhitārakā’’ti vuccati. Abhido aḍḍharattasamayanti abhinne aḍḍharattasamaye. Iminā gaganamajjhe ṭhitacandaṃ dasseti. Abhido majjhanhikepi eseva nayo.

    อโต โขติ เย อนุโภนฺติ, เตหิ พหุตรา, พหู เจว พหุตรา จาติ อโตฺถฯ อาภา นานุโภนฺตีติ โอภาสํ น วฬญฺชนฺติ, อตฺตโน สรีโรภาเสเนว อาโลกํ ผริตฺวา วิหรนฺติฯ

    Ato khoti ye anubhonti, tehi bahutarā, bahū ceva bahutarā cāti attho. Ābhā nānubhontīti obhāsaṃ na vaḷañjanti, attano sarīrobhāseneva ālokaṃ pharitvā viharanti.

    ๒๗๔. อิทานิ ยสฺมา โส ‘‘เอกนฺตสุขํ โลกํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ นิสิโนฺน, ปุจฺฉามูโฬฺห ปน ชาโต, ตสฺมา นํ ภควา ตํ ปุจฺฉํ สราเปโนฺต กิํ ปน, อุทายิ, อตฺถิ เอกนฺตสุโข โลโกติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาการวตีติ การณวตีฯ อญฺญตรํ วา ปน ตโปคุณนฺติ อเจลกปาฬิํ สนฺธายาห, สุราปานวิรตีติ อโตฺถฯ

    274. Idāni yasmā so ‘‘ekantasukhaṃ lokaṃ pucchissāmī’’ti nisinno, pucchāmūḷho pana jāto, tasmā naṃ bhagavā taṃ pucchaṃ sarāpento kiṃ pana, udāyi, atthi ekantasukho lokotiādimāha. Tattha ākāravatīti kāraṇavatī. Aññataraṃ vā pana tapoguṇanti acelakapāḷiṃ sandhāyāha, surāpānaviratīti attho.

    ๒๗๕. กตมา ปน สา, ภเนฺต, อาการวตี ปฎิปทา เอกนฺตสุขสฺสาติ กสฺมา ปุจฺฉติ? เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘มยํ สตฺตานํ เอกนฺตสุขํ วทาม, ปฎิปทํ ปน กาเลน สุขํ กาเลน ทุกฺขํ วทามฯ เอกนฺตสุขสฺส โข ปน อตฺตโน ปฎิปทายปิ เอกนฺตสุขาย ภวิตพฺพํฯ อมฺหากํ กถา อนิยฺยานิกา, สตฺถุ กถาว นิยฺยานิกา’’ติฯ อิทานิ สตฺถารํเยว ปุจฺฉิตฺวา ชานิสฺสามีติ ตสฺมา ปุจฺฉติฯ

    275.Katamā pana sā, bhante, ākāravatī paṭipadā ekantasukhassāti kasmā pucchati? Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘mayaṃ sattānaṃ ekantasukhaṃ vadāma, paṭipadaṃ pana kālena sukhaṃ kālena dukkhaṃ vadāma. Ekantasukhassa kho pana attano paṭipadāyapi ekantasukhāya bhavitabbaṃ. Amhākaṃ kathā aniyyānikā, satthu kathāva niyyānikā’’ti. Idāni satthāraṃyeva pucchitvā jānissāmīti tasmā pucchati.

    เอตฺถ มยํ อนสฺสามาติ เอตสฺมิํ การเณ มยํ อนสฺสามฯ กสฺมา ปน เอวมาหํสุ? เต กิร ปุเพฺพ ปญฺจสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐาย กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ตติยชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌานา กาลํ กตฺวา สุภกิเณฺหสุ นิพฺพตฺตนฺตีติ ชานนฺติ, คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต ปน กาเล กสิณปริกมฺมมฺปิ น ชานิํสุ, ตติยชฺฌานมฺปิ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิํสุฯ ปญฺจ ปุพฺพภาคธเมฺม ปน ‘‘อาการวตี ปฎิปทา’’ติ อุคฺคเหตฺวา ตติยชฺฌานํ ‘‘เอกนฺตสุโข โลโก’’ติ อุคฺคณฺหิํสุฯ ตสฺมา เอวมาหํสุฯ อุตฺตริตรนฺติ อิโต ปญฺจหิ ธเมฺมหิ อุตฺตริตรํ ปฎิปทํ วา ตติยชฺฌานโต อุตฺตริตรํ เอกนฺตสุขํ โลกํ วา น ชานามาติ วุตฺตํ โหติฯ อปฺปสเทฺท กตฺวาติ เอกปฺปหาเรเนว มหาสทฺทํ กาตุํ อารเทฺธ นิสฺสเทฺท กตฺวาฯ

    Etthamayaṃ anassāmāti etasmiṃ kāraṇe mayaṃ anassāma. Kasmā pana evamāhaṃsu? Te kira pubbe pañcasu dhammesu patiṭṭhāya kasiṇaparikammaṃ katvā tatiyajjhānaṃ nibbattetvā aparihīnajjhānā kālaṃ katvā subhakiṇhesu nibbattantīti jānanti, gacchante gacchante pana kāle kasiṇaparikammampi na jāniṃsu, tatiyajjhānampi nibbattetuṃ nāsakkhiṃsu. Pañca pubbabhāgadhamme pana ‘‘ākāravatī paṭipadā’’ti uggahetvā tatiyajjhānaṃ ‘‘ekantasukho loko’’ti uggaṇhiṃsu. Tasmā evamāhaṃsu. Uttaritaranti ito pañcahi dhammehi uttaritaraṃ paṭipadaṃ vā tatiyajjhānato uttaritaraṃ ekantasukhaṃ lokaṃ vā na jānāmāti vuttaṃ hoti. Appasadde katvāti ekappahāreneva mahāsaddaṃ kātuṃ āraddhe nissadde katvā.

    ๒๗๖. สจฺฉิกิริยาเหตูติ เอตฺถ เทฺว สจฺฉิกิริยา ปฎิลาภสจฺฉิกิริยา จ ปจฺจกฺขสจฺฉิกิริยา จฯ ตตฺถ ตติยชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌาโน กาลํ กตฺวา สุภกิณฺหโลเก เตสํ เทวานํ สมานายุวโณฺณ หุตฺวา นิพฺพตฺตติ, อยํ ปฎิลาภสจฺฉิกิริยา นามฯ จตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา อิทฺธิวิกุพฺพเนน สุภกิณฺหโลกํ คนฺตฺวา เตหิ เทเวหิ สทฺธิํ สนฺติฎฺฐติ สลฺลปติ สากจฺฉํ อาปชฺชติ, อยํ ปจฺจกฺขสจฺฉิกิริยา นามฯ ตาสํ ทฺวินฺนมฺปิ ตติยชฺฌานํ อาการวตี ปฎิปทา นามฯ ตญฺหิ อนุปฺปาเทตฺวา เนว สกฺกา สุภกิณฺหโลเก นิพฺพตฺติตุํ, น จตุตฺถชฺฌานํ อุปฺปาเทตุํฯ อิติ ทุวิธเมฺปตํ สจฺฉิกิริยํ สนฺธาย – ‘‘เอตสฺส นูน, ภเนฺต, เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยาเหตู’’ติ อาหฯ

    276.Sacchikiriyāhetūti ettha dve sacchikiriyā paṭilābhasacchikiriyā ca paccakkhasacchikiriyā ca. Tattha tatiyajjhānaṃ nibbattetvā aparihīnajjhāno kālaṃ katvā subhakiṇhaloke tesaṃ devānaṃ samānāyuvaṇṇo hutvā nibbattati, ayaṃ paṭilābhasacchikiriyā nāma. Catutthajjhānaṃ nibbattetvā iddhivikubbanena subhakiṇhalokaṃ gantvā tehi devehi saddhiṃ santiṭṭhati sallapati sākacchaṃ āpajjati, ayaṃ paccakkhasacchikiriyā nāma. Tāsaṃ dvinnampi tatiyajjhānaṃ ākāravatī paṭipadā nāma. Tañhi anuppādetvā neva sakkā subhakiṇhaloke nibbattituṃ, na catutthajjhānaṃ uppādetuṃ. Iti duvidhampetaṃ sacchikiriyaṃ sandhāya – ‘‘etassa nūna, bhante, ekantasukhassa lokassa sacchikiriyāhetū’’ti āha.

    ๒๗๗. อุทญฺจนิโกติ อุทกวารโกฯ อนฺตรายมกาสีติ ยถา ปพฺพชฺชํ น ลภติ, เอวํ อุปทฺทุตมกาสิ ยถา ตํ อุปนิสฺสยวิปนฺนํฯ อยํ กิร กสฺสปพุทฺธกาเล ปพฺพชิตฺวา สมณธมฺมมกาสิฯ อถสฺส เอโก สหายโก ภิกฺขุ สาสเน อนภิรโต, ‘‘อาวุโส, วิพฺภมิสฺสามี’’ติ อาโรเจสิฯ โส ตสฺส ปตฺตจีวเร โลภํ อุปฺปาเทตฺวา คิหิภาวาย วณฺณํ อภาสิฯ อิตโร ตสฺส ปตฺตจีวรํ ทตฺวา วิพฺภมิฯ เตนสฺส กมฺมุนา อิทานิ ภควโต สมฺมุขา ปพฺพชฺชาย อนฺตราโย ชาโตฯ ภควตา ปนสฺส ปุริมสุตฺตํ อติเรกภาณวารมตฺตํ, อิทํ ภาณวารมตฺตนฺติ เอตฺตกาย ตนฺติยา ธโมฺม กถิโต, เอกเทสนายปิ มคฺคผลปฎิเวโธ น ชาโต, อนาคเต ปนสฺส ปจฺจโย ภวิสฺสตีติ ภควา ธมฺมํ เทเสติฯ อนาคเต ปจฺจยภาวญฺจสฺส ทิสฺวา ภควา ธรมาโน เอกํ ภิกฺขุมฺปิ เมตฺตาวิหาริมฺหิ เอตทเคฺค น ฐเปสิฯ ปสฺสติ หิ ภควา – ‘‘อนาคเต อยํ มม สาสเน ปพฺพชิตฺวา เมตฺตาวิหารีนํ อโคฺค ภวิสฺสตี’’ติฯ

    277.Udañcanikoti udakavārako. Antarāyamakāsīti yathā pabbajjaṃ na labhati, evaṃ upaddutamakāsi yathā taṃ upanissayavipannaṃ. Ayaṃ kira kassapabuddhakāle pabbajitvā samaṇadhammamakāsi. Athassa eko sahāyako bhikkhu sāsane anabhirato, ‘‘āvuso, vibbhamissāmī’’ti ārocesi. So tassa pattacīvare lobhaṃ uppādetvā gihibhāvāya vaṇṇaṃ abhāsi. Itaro tassa pattacīvaraṃ datvā vibbhami. Tenassa kammunā idāni bhagavato sammukhā pabbajjāya antarāyo jāto. Bhagavatā panassa purimasuttaṃ atirekabhāṇavāramattaṃ, idaṃ bhāṇavāramattanti ettakāya tantiyā dhammo kathito, ekadesanāyapi maggaphalapaṭivedho na jāto, anāgate panassa paccayo bhavissatīti bhagavā dhammaṃ deseti. Anāgate paccayabhāvañcassa disvā bhagavā dharamāno ekaṃ bhikkhumpi mettāvihārimhi etadagge na ṭhapesi. Passati hi bhagavā – ‘‘anāgate ayaṃ mama sāsane pabbajitvā mettāvihārīnaṃ aggo bhavissatī’’ti.

    โส ภควติ ปรินิพฺพุเต ธมฺมาโสกราชกาเล ปาฎลิปุเตฺต นิพฺพตฺติตฺวา ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตปฺปโตฺต อสฺสคุตฺตเตฺถโร นาม หุตฺวา เมตฺตาวิหารีนํ อโคฺค อโหสิฯ เถรสฺส เมตฺตานุภาเวน ติรจฺฉานคตาปิ เมตฺตจิตฺตํ ปฎิลภิํสุ, เถโร สกลชมฺพุทีเป ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอวาทาจริโย หุตฺวา วตฺตนิเสนาสเน อาวสิ, ติํสโยชนมตฺตา อฎวี เอกํ ปธานฆรํ อโหสิฯ เถโร อากาเส จมฺมขณฺฑํ ปตฺถริตฺวา ตตฺถ นิสิโนฺน กมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ภิกฺขาจารมฺปิ อคนฺตฺวา วิหาเร นิสิโนฺน กมฺมฎฺฐานํ กเถสิ, มนุสฺสา วิหารเมว คนฺตฺวา ทานมทํสุฯ ธมฺมาโสกราชา เถรสฺส คุณํ สุตฺวา ทฎฺฐุกาโม ติกฺขตฺตุํ ปหิณิฯ เถโร ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอวาทํ ทมฺมีติ เอกวารมฺปิ น คโตติฯ

    So bhagavati parinibbute dhammāsokarājakāle pāṭaliputte nibbattitvā pabbajitvā arahattappatto assaguttatthero nāma hutvā mettāvihārīnaṃ aggo ahosi. Therassa mettānubhāvena tiracchānagatāpi mettacittaṃ paṭilabhiṃsu, thero sakalajambudīpe bhikkhusaṅghassa ovādācariyo hutvā vattanisenāsane āvasi, tiṃsayojanamattā aṭavī ekaṃ padhānagharaṃ ahosi. Thero ākāse cammakhaṇḍaṃ pattharitvā tattha nisinno kammaṭṭhānaṃ kathesi. Gacchante gacchante kāle bhikkhācārampi agantvā vihāre nisinno kammaṭṭhānaṃ kathesi, manussā vihārameva gantvā dānamadaṃsu. Dhammāsokarājā therassa guṇaṃ sutvā daṭṭhukāmo tikkhattuṃ pahiṇi. Thero bhikkhusaṅghassa ovādaṃ dammīti ekavārampi na gatoti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    จูฬสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cūḷasakuludāyisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๙. จูฬสกุลุทายิสุตฺตํ • 9. Cūḷasakuludāyisuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. จูฬสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา • 9. Cūḷasakuludāyisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact