Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๑๐. จูฬสาโรปมสุตฺตํ
10. Cūḷasāropamasuttaṃ
๓๑๒. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ อถ โข ปิงฺคลโกโจฺฉ พฺราหฺมโณ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ปิงฺคลโกโจฺฉ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เยเม, โภ โคตม, สมณพฺราหฺมณา สงฺฆิโน คณิโน คณาจริยา ญาตา ยสสฺสิโน ติตฺถกรา สาธุสมฺมตา, พหุชนสฺส, เสยฺยถิทํ – ปูรโณ กสฺสโป, มกฺขลิ โคสาโล, อชิโต เกสกมฺพโล, ปกุโธ กจฺจายโน, สญฺจโย 1 เพลฎฺฐปุโตฺต, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต, สเพฺพเต สกาย ปฎิญฺญาย อพฺภญฺญํสุ สเพฺพว นาพฺภญฺญํสุ, อุทาหุ เอกเจฺจ อพฺภญฺญํสุ เอกเจฺจ นาพฺภญฺญํสู’’ติ? ‘‘อลํ, พฺราหฺมณ, ติฎฺฐเตตํ – สเพฺพเต สกาย ปฎิญฺญาย อพฺภญฺญํสุ สเพฺพว นาพฺภญฺญํสุ, อุทาหุ เอกเจฺจ อพฺภญฺญํสุ เอกเจฺจ นาพฺภญฺญํสูติฯ ธมฺมํ เต, พฺราหฺมณ, เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ, ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข ปิงฺคลโกโจฺฉ พฺราหฺมโณ ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ –
312. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Atha kho piṅgalakoccho brāhmaṇo yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavatā saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho piṅgalakoccho brāhmaṇo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘yeme, bho gotama, samaṇabrāhmaṇā saṅghino gaṇino gaṇācariyā ñātā yasassino titthakarā sādhusammatā, bahujanassa, seyyathidaṃ – pūraṇo kassapo, makkhali gosālo, ajito kesakambalo, pakudho kaccāyano, sañcayo 2 belaṭṭhaputto, nigaṇṭho nāṭaputto, sabbete sakāya paṭiññāya abbhaññaṃsu sabbeva nābbhaññaṃsu, udāhu ekacce abbhaññaṃsu ekacce nābbhaññaṃsū’’ti? ‘‘Alaṃ, brāhmaṇa, tiṭṭhatetaṃ – sabbete sakāya paṭiññāya abbhaññaṃsu sabbeva nābbhaññaṃsu, udāhu ekacce abbhaññaṃsu ekacce nābbhaññaṃsūti. Dhammaṃ te, brāhmaṇa, desessāmi, taṃ suṇāhi, sādhukaṃ manasi karohi, bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho piṅgalakoccho brāhmaṇo bhagavato paccassosi. Bhagavā etadavoca –
๓๑๓. ‘‘เสยฺยถาปิ, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ อติกฺกมฺม ตจํ อติกฺกมฺม ปปฎิกํ, สาขาปลาสํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกเมยฺย ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘น วตายํ ภวํ ปุริโส อญฺญาสิ สารํ, น อญฺญาสิ เผคฺคุํ, น อญฺญาสิ ตจํ, น อญฺญาสิ ปปฎิกํ, น อญฺญาสิ สาขาปลาสํฯ ตถา หยํ ภวํ ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ อติกฺกมฺม ตจํ อติกฺกมฺม ปปฎิกํ, สาขาปลาสํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุภวิสฺสตี’ติฯ
313. ‘‘Seyyathāpi, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ atikkamma tacaṃ atikkamma papaṭikaṃ, sākhāpalāsaṃ chetvā ādāya pakkameyya ‘sāra’nti maññamāno. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘na vatāyaṃ bhavaṃ puriso aññāsi sāraṃ, na aññāsi phegguṃ, na aññāsi tacaṃ, na aññāsi papaṭikaṃ, na aññāsi sākhāpalāsaṃ. Tathā hayaṃ bhavaṃ puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ atikkamma tacaṃ atikkamma papaṭikaṃ, sākhāpalāsaṃ chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti maññamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ nānubhavissatī’ti.
๓๑๔. ‘‘เสยฺยถาปิ วา ปน, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ อติกฺกมฺม ตจํ , ปปฎิกํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกเมยฺย ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘น วตายํ ภวํ ปุริโส อญฺญาสิ สารํ, น อญฺญาสิ เผคฺคุํ, น อญฺญาสิ ตจํ, น อญฺญาสิ ปปฎิกํ, น อญฺญาสิ สาขาปลาสํฯ ตถา หยํ ภวํ ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ อติกฺกมฺม ตจํ ปปฎิกํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุภวิสฺสตี’ติฯ
314. ‘‘Seyyathāpi vā pana, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ atikkamma tacaṃ , papaṭikaṃ chetvā ādāya pakkameyya ‘sāra’nti maññamāno. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘na vatāyaṃ bhavaṃ puriso aññāsi sāraṃ, na aññāsi phegguṃ, na aññāsi tacaṃ, na aññāsi papaṭikaṃ, na aññāsi sākhāpalāsaṃ. Tathā hayaṃ bhavaṃ puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ atikkamma tacaṃ papaṭikaṃ chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti maññamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ nānubhavissatī’ti.
๓๑๕. ‘‘เสยฺยถาปิ วา ปน, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ, ตจํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกเมยฺย ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘น วตายํ ภวํ ปุริโส อญฺญาสิ สารํ, น อญฺญาสิ เผคฺคุํ, น อญฺญาสิ ตจํ, น อญฺญาสิ ปปฎิกํ, น อญฺญาสิ สาขาปลาสํฯ ตถา หยํ ภวํ ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ, ตจํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุภวิสฺสตี’ติฯ
315. ‘‘Seyyathāpi vā pana, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ, tacaṃ chetvā ādāya pakkameyya ‘sāra’nti maññamāno. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘na vatāyaṃ bhavaṃ puriso aññāsi sāraṃ, na aññāsi phegguṃ, na aññāsi tacaṃ, na aññāsi papaṭikaṃ, na aññāsi sākhāpalāsaṃ. Tathā hayaṃ bhavaṃ puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ, tacaṃ chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti maññamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ nānubhavissatī’ti.
๓๑๖. ‘‘เสยฺยถาปิ วา ปน, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ, เผคฺคุํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกเมยฺย ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘น วตายํ ภวํ ปุริโส อญฺญาสิ สารํ, น อญฺญาสิ เผคฺคุํ, น อญฺญาสิ ตจํ, น อญฺญาสิ ปปฎิกํ, น อญฺญาสิ สาขาปลาสํฯ ตถา หยํ ภวํ ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ, เผคฺคุํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุภวิสฺสตี’ติฯ
316. ‘‘Seyyathāpi vā pana, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ, phegguṃ chetvā ādāya pakkameyya ‘sāra’nti maññamāno. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘na vatāyaṃ bhavaṃ puriso aññāsi sāraṃ, na aññāsi phegguṃ, na aññāsi tacaṃ, na aññāsi papaṭikaṃ, na aññāsi sākhāpalāsaṃ. Tathā hayaṃ bhavaṃ puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ, phegguṃ chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti maññamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ nānubhavissatī’ti.
๓๑๗. ‘‘เสยฺยถาปิ วา ปน, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต สารเญฺญว เฉตฺวา อาทาย ปกฺกเมยฺย ‘สาร’นฺติ ชานมาโนฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อญฺญาสิ วตายํ ภวํ ปุริโส สารํ, อญฺญาสิ เผคฺคุํ, อญฺญาสิ ตจํ, อญฺญาสิ ปปฎิกํ, อญฺญาสิ สาขาปลาสํฯ ตถา หยํ ภวํ ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต สารเญฺญว เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ ชานมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ อนุภวิสฺสตี’ติฯ
317. ‘‘Seyyathāpi vā pana, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato sāraññeva chetvā ādāya pakkameyya ‘sāra’nti jānamāno. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘aññāsi vatāyaṃ bhavaṃ puriso sāraṃ, aññāsi phegguṃ, aññāsi tacaṃ, aññāsi papaṭikaṃ, aññāsi sākhāpalāsaṃ. Tathā hayaṃ bhavaṃ puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato sāraññeva chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti jānamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ anubhavissatī’ti.
๓๑๘. ‘‘เอวเมว โข, พฺราหฺมณ, อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ – ‘โอติโณฺณมฺหิ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ทุโกฺขติโณฺณ ทุกฺขปเรโต, อเปฺปว นาม อิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถา’ติฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพเตฺตติฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน อตฺตมโน โหติ ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วเมฺภติ – ‘อหมสฺมิ ลาภสกฺการสิโลกวา, อิเม ปนเญฺญ ภิกฺขู อปฺปญฺญาตา อเปฺปสกฺขา’ติฯ ลาภสกฺการสิโลเกน จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย น ฉนฺทํ ชเนติ, น วายมติ, โอลีนวุตฺติโก จ โหติ สาถลิโกฯ เสยฺยถาปิ โส, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ อติกฺกมฺม ตจํ อติกฺกมฺม ปปฎิกํ, สาขาปลาสํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุภวิสฺสติฯ ตถูปมาหํ, พฺราหฺมณ, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ
318. ‘‘Evameva kho, brāhmaṇa, idhekacco puggalo saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito hoti – ‘otiṇṇomhi jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, dukkhotiṇṇo dukkhapareto, appeva nāma imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā paññāyethā’ti. So evaṃ pabbajito samāno lābhasakkārasilokaṃ abhinibbatteti. So tena lābhasakkārasilokena attamano hoti paripuṇṇasaṅkappo. So tena lābhasakkārasilokena attānukkaṃseti, paraṃ vambheti – ‘ahamasmi lābhasakkārasilokavā, ime panaññe bhikkhū appaññātā appesakkhā’ti. Lābhasakkārasilokena ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya na chandaṃ janeti, na vāyamati, olīnavuttiko ca hoti sāthaliko. Seyyathāpi so, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ atikkamma tacaṃ atikkamma papaṭikaṃ, sākhāpalāsaṃ chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti maññamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ nānubhavissati. Tathūpamāhaṃ, brāhmaṇa, imaṃ puggalaṃ vadāmi.
๓๑๙. ‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปุคฺคโล สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ – ‘โอติโณฺณมฺหิ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ทุโกฺขติโณฺณ ทุกฺขปเรโต, อเปฺปว นาม อิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถา’ติฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพเตฺตติฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตมโน โหติ น ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ ลาภสกฺการสิโลเกน จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ , อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ โส สีลสมฺปทํ อาราเธติฯ โส ตาย สีลสมฺปทาย อตฺตมโน โหติ, ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส ตาย สีลสมฺปทาย อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วเมฺภติ – ‘อหมสฺมิ สีลวา กลฺยาณธโมฺม, อิเม ปนเญฺญ ภิกฺขู ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา’ติฯ สีลสมฺปทาย จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย น ฉนฺทํ ชเนติ, น วายมติ, โอลีนวุตฺติโก จ โหติ สาถลิโกฯ เสยฺยถาปิ โส, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ อติกฺกมฺม ตจํ, ปปฎิกํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ, ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุภวิสฺสติฯ ตถูปมาหํ, พฺราหฺมณ, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ
319. ‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco puggalo saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito hoti – ‘otiṇṇomhi jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, dukkhotiṇṇo dukkhapareto, appeva nāma imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā paññāyethā’ti. So evaṃ pabbajito samāno lābhasakkārasilokaṃ abhinibbatteti. So tena lābhasakkārasilokena na attamano hoti na paripuṇṇasaṅkappo. So tena lābhasakkārasilokena na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Lābhasakkārasilokena ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati , anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko. So sīlasampadaṃ ārādheti. So tāya sīlasampadāya attamano hoti, paripuṇṇasaṅkappo. So tāya sīlasampadāya attānukkaṃseti, paraṃ vambheti – ‘ahamasmi sīlavā kalyāṇadhammo, ime panaññe bhikkhū dussīlā pāpadhammā’ti. Sīlasampadāya ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya na chandaṃ janeti, na vāyamati, olīnavuttiko ca hoti sāthaliko. Seyyathāpi so, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ atikkamma tacaṃ, papaṭikaṃ chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti maññamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ, tañcassa atthaṃ nānubhavissati. Tathūpamāhaṃ, brāhmaṇa, imaṃ puggalaṃ vadāmi.
๓๒๐. ‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปุคฺคโล สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ – ‘โอติโณฺณมฺหิ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ทุโกฺขติโณฺณ ทุกฺขปเรโต, อเปฺปว นาม อิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถา’ติฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพเตฺตติฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตมโน โหติ, น ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ ลาภสกฺการสิโลเกน จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ โส สีลสมฺปทํ อาราเธติฯ โส ตาย สีลสมฺปทาย อตฺตมโน โหติ โน จ โข ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส ตาย สีลสมฺปทาย น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ สีลสมฺปทาย จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโก ฯ โส สมาธิสมฺปทํ อาราเธติฯ โส ตาย สมาธิสมฺปทาย อตฺตมโน โหติ, ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส ตาย สมาธิสมฺปทาย อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วเมฺภติ – ‘อหมสฺมิ สมาหิโต เอกคฺคจิโตฺต, อิเม ปนเญฺญ ภิกฺขู อสมาหิตา วิพฺภนฺตจิตฺตา’ติฯ สมาธิสมฺปทาย จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ, เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย น ฉนฺทํ ชเนติ, น วายมติ, โอลีนวุตฺติโก จ โหติ สาถลิโกฯ เสยฺยถาปิ โส, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ อติกฺกมฺม เผคฺคุํ, ตจํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุภวิสฺสติฯ ตถูปมาหํ, พฺราหฺมณ, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ
320. ‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco puggalo saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito hoti – ‘otiṇṇomhi jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, dukkhotiṇṇo dukkhapareto, appeva nāma imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā paññāyethā’ti. So evaṃ pabbajito samāno lābhasakkārasilokaṃ abhinibbatteti. So tena lābhasakkārasilokena na attamano hoti, na paripuṇṇasaṅkappo. So tena lābhasakkārasilokena na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Lābhasakkārasilokena ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko. So sīlasampadaṃ ārādheti. So tāya sīlasampadāya attamano hoti no ca kho paripuṇṇasaṅkappo. So tāya sīlasampadāya na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Sīlasampadāya ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko . So samādhisampadaṃ ārādheti. So tāya samādhisampadāya attamano hoti, paripuṇṇasaṅkappo. So tāya samādhisampadāya attānukkaṃseti, paraṃ vambheti – ‘ahamasmi samāhito ekaggacitto, ime panaññe bhikkhū asamāhitā vibbhantacittā’ti. Samādhisampadāya ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca, tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya na chandaṃ janeti, na vāyamati, olīnavuttiko ca hoti sāthaliko. Seyyathāpi so, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ atikkamma phegguṃ, tacaṃ chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti maññamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ nānubhavissati. Tathūpamāhaṃ, brāhmaṇa, imaṃ puggalaṃ vadāmi.
๓๒๑. ‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปุคฺคโล สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ – ‘โอติโณฺณมฺหิ ชาติยา ชราย มรเณน…เป.… อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถา’ติฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพเตฺตติฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตมโน โหติ น ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ ลาภสกฺการสิโลเกน จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ โส สีลสมฺปทํ อาราเธติฯ โส ตาย สีลสมฺปทาย อตฺตมโน โหติ, โน จ โข ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส ตาย สีลสมฺปทาย น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ สีลสมฺปทาย จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ โส สมาธิสมฺปทํ อาราเธติฯ โส ตาย สมาธิสมฺปทาย อตฺตมโน โหติ, โน จ โข ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส ตาย สมาธิสมฺปทาย น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ สมาธิสมฺปทาย จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ โส ญาณทสฺสนํ อาราเธติฯ โส เตน ญาณทสฺสเนน อตฺตมโน โหติ, ปริปุณฺณสงฺกโปฺป ฯ โส เตน ญาณทสฺสเนน อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วเมฺภติ – ‘อหมสฺมิ ชานํ ปสฺสํ วิหรามิ, อิเม ปนเญฺญ ภิกฺขู อชานํ อปสฺสํ วิหรนฺตี’ติฯ ญาณทสฺสเนน จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย น ฉนฺทํ ชเนติ, น วายมติ, โอลีนวุตฺติโก จ โหติ สาถลิโกฯ เสยฺยถาปิ โส, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต อติกฺกเมฺมว สารํ, เผคฺคุํ เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ มญฺญมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุภวิสฺสติฯ ตถูปมาหํ, พฺราหฺมณ, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ
321. ‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco puggalo saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito hoti – ‘otiṇṇomhi jātiyā jarāya maraṇena…pe… antakiriyā paññāyethā’ti. So evaṃ pabbajito samāno lābhasakkārasilokaṃ abhinibbatteti. So tena lābhasakkārasilokena na attamano hoti na paripuṇṇasaṅkappo. So tena lābhasakkārasilokena na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Lābhasakkārasilokena ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko. So sīlasampadaṃ ārādheti. So tāya sīlasampadāya attamano hoti, no ca kho paripuṇṇasaṅkappo. So tāya sīlasampadāya na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Sīlasampadāya ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko. So samādhisampadaṃ ārādheti. So tāya samādhisampadāya attamano hoti, no ca kho paripuṇṇasaṅkappo. So tāya samādhisampadāya na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Samādhisampadāya ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko. So ñāṇadassanaṃ ārādheti. So tena ñāṇadassanena attamano hoti, paripuṇṇasaṅkappo . So tena ñāṇadassanena attānukkaṃseti, paraṃ vambheti – ‘ahamasmi jānaṃ passaṃ viharāmi, ime panaññe bhikkhū ajānaṃ apassaṃ viharantī’ti. Ñāṇadassanena ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya na chandaṃ janeti, na vāyamati, olīnavuttiko ca hoti sāthaliko. Seyyathāpi so, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato atikkammeva sāraṃ, phegguṃ chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti maññamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ nānubhavissati. Tathūpamāhaṃ, brāhmaṇa, imaṃ puggalaṃ vadāmi.
๓๒๒. ‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปุคฺคโล สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ – ‘โอติโณฺณมฺหิ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ , ทุโกฺขติโณฺณ ทุกฺขปเรโต , อเปฺปว นาม อิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถา’ติฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพเตฺตติฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตมโน โหติ, น ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ ลาภสกฺการสิโลเกน จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ โส สีลสมฺปทํ อาราเธติฯ โส ตาย สีลสมฺปทาย อตฺตมโน โหติ, โน จ โข ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส ตาย สีลสมฺปทาย น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ สีลสมฺปทาย จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ โส สมาธิสมฺปทํ อาราเธติฯ โส ตาย สมาธิสมฺปทาย อตฺตมโน โหติ, โน จ โข ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส ตาย สมาธิสมฺปทาย น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ สมาธิสมฺปทาย จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ โส ญาณทสฺสนํ อาราเธติฯ โส เตน ญาณทสฺสเนน อตฺตมโน โหติ, โน จ โข ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ โส เตน ญาณทสฺสเนน น อตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ ญาณทสฺสเนน จ เย อเญฺญ ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ เตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, อโนลีนวุตฺติโก จ โหติ อสาถลิโกฯ
322. ‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco puggalo saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito hoti – ‘otiṇṇomhi jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi , dukkhotiṇṇo dukkhapareto , appeva nāma imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā paññāyethā’ti. So evaṃ pabbajito samāno lābhasakkārasilokaṃ abhinibbatteti. So tena lābhasakkārasilokena na attamano hoti, na paripuṇṇasaṅkappo. So tena lābhasakkārasilokena na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Lābhasakkārasilokena ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko. So sīlasampadaṃ ārādheti. So tāya sīlasampadāya attamano hoti, no ca kho paripuṇṇasaṅkappo. So tāya sīlasampadāya na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Sīlasampadāya ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko. So samādhisampadaṃ ārādheti. So tāya samādhisampadāya attamano hoti, no ca kho paripuṇṇasaṅkappo. So tāya samādhisampadāya na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Samādhisampadāya ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko. So ñāṇadassanaṃ ārādheti. So tena ñāṇadassanena attamano hoti, no ca kho paripuṇṇasaṅkappo. So tena ñāṇadassanena na attānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Ñāṇadassanena ca ye aññe dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca tesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya chandaṃ janeti, vāyamati, anolīnavuttiko ca hoti asāthaliko.
๓๒๓. ‘‘กตเม จ, พฺราหฺมณ, ธมฺมา ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ? อิธ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ
323. ‘‘Katame ca, brāhmaṇa, dhammā ñāṇadassanena uttaritarā ca paṇītatarā ca? Idha, brāhmaṇa, bhikkhu vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca.
‘‘ปุน จปรํ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ
‘‘Puna caparaṃ, brāhmaṇa, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca.
‘‘ปุน จปรํ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ, สโต จ สมฺปชาโน สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข , พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ
‘‘Puna caparaṃ, brāhmaṇa, bhikkhu pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati, sato ca sampajāno sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti, yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho , brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca.
‘‘ปุน จปรํ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ
‘‘Puna caparaṃ, brāhmaṇa, bhikkhu sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca.
‘‘ปุน จปรํ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนโนฺต อากาโส’ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ
‘‘Puna caparaṃ, brāhmaṇa, bhikkhu sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ‘ananto ākāso’ti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca.
‘‘ปุน จปรํ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณ’นฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ
‘‘Puna caparaṃ, brāhmaṇa, bhikkhu sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma ‘anantaṃ viññāṇa’nti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca.
‘‘ปุน จปรํ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ
‘‘Puna caparaṃ, brāhmaṇa, bhikkhu sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma ‘natthi kiñcī’ti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca.
‘‘ปุน จปรํ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ
‘‘Puna caparaṃ, brāhmaṇa, bhikkhu sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharati. Ayampi kho, brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca.
‘‘ปุน จปรํ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, ธโมฺม ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จฯ อิเม โข, พฺราหฺมณ, ธมฺมา ญาณทสฺสเนน อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จฯ
‘‘Puna caparaṃ, brāhmaṇa, bhikkhu sabbaso nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharati, paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā honti. Ayampi kho, brāhmaṇa, dhammo ñāṇadassanena uttaritaro ca paṇītataro ca. Ime kho, brāhmaṇa, dhammā ñāṇadassanena uttaritarā ca paṇītatarā ca.
๓๒๔. ‘‘เสยฺยถาปิ โส, พฺราหฺมณ, ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน มหโต รุกฺขสฺส ติฎฺฐโต สารวโต สารํเยว เฉตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ‘สาร’นฺติ ชานมาโนฯ ยญฺจสฺส สาเรน สารกรณียํ ตญฺจสฺส อตฺถํ อนุภวิสฺสติฯ ตถูปมาหํ, พฺราหฺมณ, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ
324. ‘‘Seyyathāpi so, brāhmaṇa, puriso sāratthiko sāragavesī sārapariyesanaṃ caramāno mahato rukkhassa tiṭṭhato sāravato sāraṃyeva chetvā ādāya pakkanto ‘sāra’nti jānamāno. Yañcassa sārena sārakaraṇīyaṃ tañcassa atthaṃ anubhavissati. Tathūpamāhaṃ, brāhmaṇa, imaṃ puggalaṃ vadāmi.
‘‘อิติ โข, พฺราหฺมณ, นยิทํ พฺรหฺมจริยํ ลาภสกฺการสิโลกานิสํสํ, น สีลสมฺปทานิสํสํ, น สมาธิสมฺปทานิสํสํ, น ญาณทสฺสนานิสํสํฯ ยา จ โข อยํ , พฺราหฺมณ, อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ – เอตทตฺถมิทํ, พฺราหฺมณ, พฺรหฺมจริยํ, เอตํ สารํ เอตํ ปริโยสาน’’นฺติฯ
‘‘Iti kho, brāhmaṇa, nayidaṃ brahmacariyaṃ lābhasakkārasilokānisaṃsaṃ, na sīlasampadānisaṃsaṃ, na samādhisampadānisaṃsaṃ, na ñāṇadassanānisaṃsaṃ. Yā ca kho ayaṃ , brāhmaṇa, akuppā cetovimutti – etadatthamidaṃ, brāhmaṇa, brahmacariyaṃ, etaṃ sāraṃ etaṃ pariyosāna’’nti.
เอวํ วุเตฺต, ปิงฺคลโกโจฺฉ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม…เป.… อุปาสกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ
Evaṃ vutte, piṅgalakoccho brāhmaṇo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhikkantaṃ, bho gotama, abhikkantaṃ, bho gotama…pe… upāsakaṃ maṃ bhavaṃ gotamo dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.
จูฬสาโรปมสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทสมํฯ
Cūḷasāropamasuttaṃ niṭṭhitaṃ dasamaṃ.
โอปมฺมวโคฺค นิฎฺฐิโต ตติโยฯ
Opammavaggo niṭṭhito tatiyo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
โมฬิยผคฺคุนริฎฺฐญฺจ นาโม, อนฺธวเน กถิปุณฺณํ นิวาโป;
Moḷiyaphaggunariṭṭhañca nāmo, andhavane kathipuṇṇaṃ nivāpo;
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. จูฬสาโรปมสุตฺตวณฺณนา • 10. Cūḷasāropamasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. จูฬสาโรปมสุตฺตวณฺณนา • 10. Cūḷasāropamasuttavaṇṇanā