Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๔. จูฬเสฎฺฐิชาตกวณฺณนา
4. Cūḷaseṭṭhijātakavaṇṇanā
อปฺปเกนปิ เมธาวีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ ภควา ราชคหํ อุปนิสฺสาย ชีวกมฺพวเน วิหรโนฺต จูฬปนฺถกเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ
Appakenapimedhāvīti imaṃ dhammadesanaṃ bhagavā rājagahaṃ upanissāya jīvakambavane viharanto cūḷapanthakattheraṃ ārabbha kathesi.
ตตฺถ จูฬปนฺถกสฺส ตาว นิพฺพตฺติ กเถตพฺพาฯ ราชคเห กิร ธนเสฎฺฐิกุลสฺส ธีตา อตฺตโน ทาเสเนว สทฺธิํ สนฺถวํ กตฺวา ‘‘อเญฺญปิ เม อิมํ กมฺมํ ชาเนยฺยุ’’นฺติ ภีตา เอวมาห ‘‘อเมฺหหิ อิมสฺมิํ ฐาเน วสิตุํ น สกฺกา, สเจ เม มาตาปิตโร อิมํ โทสํ ชานิสฺสนฺติ, ขณฺฑาขณฺฑํ กริสฺสนฺติ, วิเทสํ คนฺตฺวา วสิสฺสามา’’ติ หตฺถสารํ คเหตฺวา อคฺคทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ‘‘ยตฺถ วา ตตฺถ วา อเญฺญหิ อชานนฎฺฐานํ คนฺตฺวา วสิสฺสามา’’ติ อุโภปิ อคมํสุฯ
Tattha cūḷapanthakassa tāva nibbatti kathetabbā. Rājagahe kira dhanaseṭṭhikulassa dhītā attano dāseneva saddhiṃ santhavaṃ katvā ‘‘aññepi me imaṃ kammaṃ jāneyyu’’nti bhītā evamāha ‘‘amhehi imasmiṃ ṭhāne vasituṃ na sakkā, sace me mātāpitaro imaṃ dosaṃ jānissanti, khaṇḍākhaṇḍaṃ karissanti, videsaṃ gantvā vasissāmā’’ti hatthasāraṃ gahetvā aggadvārena nikkhamitvā ‘‘yattha vā tattha vā aññehi ajānanaṭṭhānaṃ gantvā vasissāmā’’ti ubhopi agamaṃsu.
เตสํ เอกสฺมิํ ฐาเน วสนฺตานํ สํวาสมนฺวาย ตสฺสา กุจฺฉิยํ คโพฺภ ปติฎฺฐาสิฯ สา คพฺภปริปากํ อาคมฺม สามิเกน สทฺธิํ มเนฺตสิ ‘‘คโพฺภ เม ปริปากํ คโต, ญาติพนฺธุวิรหิเต ฐาเน คพฺภวุฎฺฐานํ นาม อุภินฺนมฺปิ อมฺหากํ ทุกฺขเมว, กุลเคหเมว คจฺฉามา’’ติฯ โส ‘‘สจาหํ คมิสฺสามิ, ชีวิตํ เม นตฺถี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อชฺช คจฺฉาม, เสฺว คจฺฉามา’’ติ ทิวเส อติกฺกาเมสิฯ สา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ พาโล อตฺตโน โทสมหนฺตตาย คนฺตุํ น อุสฺสหติ, มาตาปิตโร นาม เอกนฺตหิตา, อยํ คจฺฉตุ วา มา วา, มยา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ สา ตสฺมิํ เคหา นิกฺขเนฺต เคหปริกฺขารํ ปฎิสาเมตฺวา อตฺตโน กุลฆรํ คตภาวํ อนนฺตรเคหวาสีนํ อาโรเจตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ
Tesaṃ ekasmiṃ ṭhāne vasantānaṃ saṃvāsamanvāya tassā kucchiyaṃ gabbho patiṭṭhāsi. Sā gabbhaparipākaṃ āgamma sāmikena saddhiṃ mantesi ‘‘gabbho me paripākaṃ gato, ñātibandhuvirahite ṭhāne gabbhavuṭṭhānaṃ nāma ubhinnampi amhākaṃ dukkhameva, kulagehameva gacchāmā’’ti. So ‘‘sacāhaṃ gamissāmi, jīvitaṃ me natthī’’ti cintetvā ‘‘ajja gacchāma, sve gacchāmā’’ti divase atikkāmesi. Sā cintesi ‘‘ayaṃ bālo attano dosamahantatāya gantuṃ na ussahati, mātāpitaro nāma ekantahitā, ayaṃ gacchatu vā mā vā, mayā gantuṃ vaṭṭatī’’ti. Sā tasmiṃ gehā nikkhante gehaparikkhāraṃ paṭisāmetvā attano kulagharaṃ gatabhāvaṃ anantaragehavāsīnaṃ ārocetvā maggaṃ paṭipajji.
อถ โส ปุริโส ฆรํ อาคโต ตํ อทิสฺวา ปฎิวิสฺสเก ปุจฺฉิตฺวา ‘‘กุลฆรํ คตา’’ติ สุตฺวา เวเคน อนุพนฺธิตฺวา อนฺตรามเคฺค สมฺปาปุณิฯ ตสฺสาปิ ตเตฺถว คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ โส ‘‘กิํ อิทํ ภเทฺท’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สามิ, เอโก ปุโตฺต ชาโต’’ติฯ ‘‘อิทานิ กิํ กริสฺสามา’’ติ? ‘‘ยสฺสตฺถาย มยํ กุลฆรํ คเจฺฉยฺยาม, ตํ กมฺมํ อนฺตราว นิปฺผนฺนํ, ตตฺถ คนฺตฺวา กิํ กริสฺสาม, นิวตฺตามา’’ติ เทฺวปิ เอกจิตฺตา หุตฺวา นิวตฺติํสุฯ ตสฺส จ ทารกสฺส ปเนฺถ ชาตตฺตา ‘‘ปนฺถโก’’ติ นามํ อกํสุ ฯ ตสฺสา น จิรเสฺสว อปโรปิ คโพฺภ ปติฎฺฐหิฯ สพฺพํ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ ตสฺสาปิ ทารกสฺส ปเนฺถ ชาตตฺตา ปฐมชาตสฺส ‘‘มหาปนฺถโก’’ติ นามํ กตฺวา อิตรสฺส ‘‘จูฬปนฺถโก’’ติ นามํ อกํสุฯ เต เทฺวปิ ทารเก คเหตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อาคตาฯ
Atha so puriso gharaṃ āgato taṃ adisvā paṭivissake pucchitvā ‘‘kulagharaṃ gatā’’ti sutvā vegena anubandhitvā antarāmagge sampāpuṇi. Tassāpi tattheva gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. So ‘‘kiṃ idaṃ bhadde’’ti pucchi. ‘‘Sāmi, eko putto jāto’’ti. ‘‘Idāni kiṃ karissāmā’’ti? ‘‘Yassatthāya mayaṃ kulagharaṃ gaccheyyāma, taṃ kammaṃ antarāva nipphannaṃ, tattha gantvā kiṃ karissāma, nivattāmā’’ti dvepi ekacittā hutvā nivattiṃsu. Tassa ca dārakassa panthe jātattā ‘‘panthako’’ti nāmaṃ akaṃsu . Tassā na cirasseva aparopi gabbho patiṭṭhahi. Sabbaṃ purimanayeneva vitthāretabbaṃ. Tassāpi dārakassa panthe jātattā paṭhamajātassa ‘‘mahāpanthako’’ti nāmaṃ katvā itarassa ‘‘cūḷapanthako’’ti nāmaṃ akaṃsu. Te dvepi dārake gahetvā attano vasanaṭṭhānameva āgatā.
เตสํ ตตฺถ วสนฺตานํ อยํ มหาปนฺถกทารโก อเญฺญ ทารเก ‘‘จูฬปิตา มหาปิตา’’ติ, ‘‘อยฺยโก อยฺยิกา’’ติ จ วทเนฺต สุตฺวา มาตรํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, อเญฺญ ทารกา ‘จูฬปิตา มหาปิตา’ติปิ วทนฺติ, ‘อยฺยโก อยฺยิกา’ติปิ วทนฺติ, อมฺหากํ ญาตกา นตฺถี’’ติฯ ‘‘อาม, ตาต, ตุมฺหากํ เอตฺถ ญาตกา นตฺถิ, ราชคหนคเร ปน โว ธนเสฎฺฐิ นาม อยฺยโก, ตตฺถ ตุมฺหากํ พหู ญาตกา’’ติฯ ‘‘กสฺมา ตตฺถ น คจฺฉถ, อมฺมา’’ติ? สา อตฺตโน อคมนการณํ ปุตฺตสฺส อกเถตฺวา ปุเตฺตสุ ปุนปฺปุนํ กเถเนฺตสุ สามิกํ อาห – ‘‘อิเม ทารกา มํ อติวิย กิลเมนฺติ, กิํ โน มาตาปิตโร ทิสฺวา มํสํ ขาทิสฺสนฺติ, เอหิ ทารกานํ อยฺยกกุลํ ทเสฺสสฺสามา’’ติฯ ‘‘อหํ สมฺมุขา ภวิตุํ น สกฺขิสฺสามิ, ตํ ปน ตตฺถ นยิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, อยฺย, เยน เกนจิ อุปาเยน ทารกานํ อยฺยกกุลเมว ทฎฺฐุํ วฎฺฎตี’’ติ เทฺวปิ ชนา ทารเก อาทาย อนุปุเพฺพน ราชคหํ ปตฺวา นครทฺวาเร เอกิสฺสา สาลาย นิวาสํ กตฺวา ทารกมาตา เทฺว ทารเก คเหตฺวา อาคตภาวํ มาตาปิตูนํ อาโรจาเปสิฯ
Tesaṃ tattha vasantānaṃ ayaṃ mahāpanthakadārako aññe dārake ‘‘cūḷapitā mahāpitā’’ti, ‘‘ayyako ayyikā’’ti ca vadante sutvā mātaraṃ pucchi ‘‘amma, aññe dārakā ‘cūḷapitā mahāpitā’tipi vadanti, ‘ayyako ayyikā’tipi vadanti, amhākaṃ ñātakā natthī’’ti. ‘‘Āma, tāta, tumhākaṃ ettha ñātakā natthi, rājagahanagare pana vo dhanaseṭṭhi nāma ayyako, tattha tumhākaṃ bahū ñātakā’’ti. ‘‘Kasmā tattha na gacchatha, ammā’’ti? Sā attano agamanakāraṇaṃ puttassa akathetvā puttesu punappunaṃ kathentesu sāmikaṃ āha – ‘‘ime dārakā maṃ ativiya kilamenti, kiṃ no mātāpitaro disvā maṃsaṃ khādissanti, ehi dārakānaṃ ayyakakulaṃ dassessāmā’’ti. ‘‘Ahaṃ sammukhā bhavituṃ na sakkhissāmi, taṃ pana tattha nayissāmī’’ti. ‘‘Sādhu, ayya, yena kenaci upāyena dārakānaṃ ayyakakulameva daṭṭhuṃ vaṭṭatī’’ti dvepi janā dārake ādāya anupubbena rājagahaṃ patvā nagaradvāre ekissā sālāya nivāsaṃ katvā dārakamātā dve dārake gahetvā āgatabhāvaṃ mātāpitūnaṃ ārocāpesi.
เต ตํ สาสนํ สุตฺวา ‘‘สํสาเร วิจรนฺตานํ น ปุโตฺต น ธีตา นาม นตฺถิ, เต อมฺหากํ มหาปราธิกา, น สกฺกา เตหิ อมฺหากํ จกฺขุปเถ ฐาตุํ, เอตฺตกํ ปน ธนํ คเหตฺวา เทฺวปิ ชนา ผาสุกฎฺฐานํ คนฺตฺวา ชีวนฺตุ, ทารเก ปน อิธ เปเสนฺตู’’ติฯ เสฎฺฐิธีตา มาตาปิตูหิ เปสิตํ ธนํ คเหตฺวา ทารเก อาคตทูตานํเยว หเตฺถ ทตฺวา เปเสสิ, ทารกา อยฺยกกุเล วฑฺฒนฺติฯ เตสุ จูฬปนฺถโก อติทหโร, มหาปนฺถโก ปน อยฺยเกน สทฺธิํ ทสพลสฺส ธมฺมกถํ โสตุํ คจฺฉติฯ ตสฺส นิจฺจํ สตฺถุ สมฺมุขา ธมฺมํ สุณนฺตสฺส ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิฯ โส อยฺยกํ อาห ‘‘สเจ ตุเมฺห สมฺปฎิจฺฉถ, อหํ ปพฺพเชยฺย’’นฺติฯ ‘‘กิํ วเทสิ, ตาต, มยฺหํ สกลโลกสฺสปิ ปพฺพชฺชาโต ตเวว ปพฺพชฺชา ภทฺทิกา, สเจ สโกฺกสิ, ปพฺพช ตาตา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คโตฯ สตฺถา ‘‘กิํ มหาเสฎฺฐิ ทารโก เต ลโทฺธ’’ติฯ ‘‘อาม, ภเนฺต อยํ ทารโก มยฺหํ นตฺตา, ตุมฺหากํ สนฺติเก ปพฺพชามีติ วทตี’’ติ อาหฯ สตฺถา อญฺญตรํ ปิณฺฑจาริกํ ภิกฺขุํ ‘‘อิมํ ทารกํ ปพฺพาเชหี’’ติ อาณาเปสิฯ เถโร ตสฺส ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา ปพฺพาเชสิฯ โส พหุํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา ปริปุณฺณวโสฺส อุปสมฺปทํ ลภิฯ อุปสมฺปโนฺน หุตฺวา โยนิโส มนสิกาเร กมฺมํ กโรโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิฯ
Te taṃ sāsanaṃ sutvā ‘‘saṃsāre vicarantānaṃ na putto na dhītā nāma natthi, te amhākaṃ mahāparādhikā, na sakkā tehi amhākaṃ cakkhupathe ṭhātuṃ, ettakaṃ pana dhanaṃ gahetvā dvepi janā phāsukaṭṭhānaṃ gantvā jīvantu, dārake pana idha pesentū’’ti. Seṭṭhidhītā mātāpitūhi pesitaṃ dhanaṃ gahetvā dārake āgatadūtānaṃyeva hatthe datvā pesesi, dārakā ayyakakule vaḍḍhanti. Tesu cūḷapanthako atidaharo, mahāpanthako pana ayyakena saddhiṃ dasabalassa dhammakathaṃ sotuṃ gacchati. Tassa niccaṃ satthu sammukhā dhammaṃ suṇantassa pabbajjāya cittaṃ nami. So ayyakaṃ āha ‘‘sace tumhe sampaṭicchatha, ahaṃ pabbajeyya’’nti. ‘‘Kiṃ vadesi, tāta, mayhaṃ sakalalokassapi pabbajjāto taveva pabbajjā bhaddikā, sace sakkosi, pabbaja tātā’’ti sampaṭicchitvā satthu santikaṃ gato. Satthā ‘‘kiṃ mahāseṭṭhi dārako te laddho’’ti. ‘‘Āma, bhante ayaṃ dārako mayhaṃ nattā, tumhākaṃ santike pabbajāmīti vadatī’’ti āha. Satthā aññataraṃ piṇḍacārikaṃ bhikkhuṃ ‘‘imaṃ dārakaṃ pabbājehī’’ti āṇāpesi. Thero tassa tacapañcakakammaṭṭhānaṃ ācikkhitvā pabbājesi. So bahuṃ buddhavacanaṃ uggaṇhitvā paripuṇṇavasso upasampadaṃ labhi. Upasampanno hutvā yoniso manasikāre kammaṃ karonto arahattaṃ pāpuṇi.
โส ฌานสุเขน, มคฺคสุเขน, ผลสุเขน วีตินาเมโนฺต จิเนฺตสิ ‘‘สกฺกา นุ โข อิมํ สุขํ จูฬปนฺถกสฺส ทาตุ’’นฺติฯ ตโต อยฺยกเสฎฺฐิสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มหาเสฎฺฐิ สเจ ตุเมฺห สมฺปฎิจฺฉถ, อหํ จูฬปนฺถกํ ปพฺพาเชยฺย’’นฺติ อาหฯ ‘‘ปพฺพาเชถ, ภเนฺต’’ติฯ เถโร จูฬปนฺถกทารกํ ปพฺพาเชตฺวา ทสสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปสิฯ จูฬปนฺถกสามเณโร ปพฺพชิตฺวาว ทโนฺธ อโหสิฯ
So jhānasukhena, maggasukhena, phalasukhena vītināmento cintesi ‘‘sakkā nu kho imaṃ sukhaṃ cūḷapanthakassa dātu’’nti. Tato ayyakaseṭṭhissa santikaṃ gantvā ‘‘mahāseṭṭhi sace tumhe sampaṭicchatha, ahaṃ cūḷapanthakaṃ pabbājeyya’’nti āha. ‘‘Pabbājetha, bhante’’ti. Thero cūḷapanthakadārakaṃ pabbājetvā dasasu sīlesu patiṭṭhāpesi. Cūḷapanthakasāmaṇero pabbajitvāva dandho ahosi.
‘‘ปทุมํ ยถา โกกนทํ สุคนฺธํ, ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ;
‘‘Padumaṃ yathā kokanadaṃ sugandhaṃ, pāto siyā phullamavītagandhaṃ;
องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ, ตปนฺตมาทิจฺจมิวนฺตลิเกฺข’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๒๓; อ. นิ. ๕.๑๙๕) –
Aṅgīrasaṃ passa virocamānaṃ, tapantamādiccamivantalikkhe’’ti. (saṃ. ni. 1.123; a. ni. 5.195) –
อิมํ เอกคาถํ จตูหิ มาเสหิ คณฺหิตุํ นาสกฺขิฯ โส กิร กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล ปพฺพชิตฺวา ปญฺญวา หุตฺวา อญฺญตรสฺส ทนฺธภิกฺขุโน อุเทฺทสคฺคหณกาเล ปริหาสเกฬิํ อกาสิฯ โส ภิกฺขุ เตน ปริหาเสน ลชฺชิโต เนว อุเทฺทสํ คณฺหิ, น สชฺฌายมกาสิฯ เตน กเมฺมน อยํ ปพฺพชิตฺวาว ทโนฺธ ชาโต, คหิตคหิตํ ปทํ อุปรูปริ ปทํ คณฺหนฺตสฺส นสฺสติฯ ตสฺส อิมเมว คาถํ คเหตุํ วายมนฺตสฺส จตฺตาโร มาสา อติกฺกนฺตาฯ
Imaṃ ekagāthaṃ catūhi māsehi gaṇhituṃ nāsakkhi. So kira kassapasammāsambuddhakāle pabbajitvā paññavā hutvā aññatarassa dandhabhikkhuno uddesaggahaṇakāle parihāsakeḷiṃ akāsi. So bhikkhu tena parihāsena lajjito neva uddesaṃ gaṇhi, na sajjhāyamakāsi. Tena kammena ayaṃ pabbajitvāva dandho jāto, gahitagahitaṃ padaṃ uparūpari padaṃ gaṇhantassa nassati. Tassa imameva gāthaṃ gahetuṃ vāyamantassa cattāro māsā atikkantā.
อถ นํ มหาปนฺถโก อาห ‘‘จูฬปนฺถก, ตฺวํ อิมสฺมิํ สาสเน อภโพฺพ, จตูหิ มาเสหิ เอกมฺปิ คาถํ คเหตุํ น สโกฺกสิ, ปพฺพชิตกิจฺจํ ปน ตฺวํ กถํ มตฺถกํ ปาเปสฺสสิ, นิกฺขม อิโต’’ติ วิหารา นิกฺกฑฺฒิฯ จูฬปนฺถโก พุทฺธสาสเน สิเนเหน คิหิภาวํ น ปเตฺถติฯ ตสฺมิญฺจ กาเล มหาปนฺถโก ภตฺตุเทฺทสโก โหติฯ ชีวโก โกมารภโจฺจ พหุํ คนฺธมาลํ อาทาย อตฺตโน อมฺพวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ปูเชตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา อุฎฺฐายาสนา ทสพลํ วนฺทิตฺวา มหาปนฺถกํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กิตฺตกา , ภเนฺต, สตฺถุ สนฺติเก ภิกฺขู’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปญฺจมตฺตานิ ภิกฺขุสตานี’’ติฯ ‘‘เสฺว, ภเนฺต, พุทฺธปฺปมุขานิ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ อาทาย อมฺหากํ นิเวสเน ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติฯ ‘‘อุปาสก, จูฬปนฺถโก นาม ภิกฺขุ ทโนฺธ อวิรุฬฺหิธโมฺม, ตํ ฐเปตฺวา เสสานํ นิมนฺตนํ สมฺปฎิจฺฉามี’’ติ เถโร อาหฯ ตํ สุตฺวา จูฬปนฺถโก จิเนฺตสิ ‘‘เถโร เอตฺตกานํ ภิกฺขูนํ นิมนฺตนํ สมฺปฎิจฺฉโนฺต มํ พาหิรํ กตฺวา สมฺปฎิจฺฉติ, นิสฺสํสยํ มยฺหํ ภาติกสฺส มยิ จิตฺตํ ภินฺนํ ภวิสฺสติ, กิํ อิทานิ มยฺหํ อิมินา สาสเนน, คิหี หุตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรโนฺต ชีวิสฺสามี’’ติฯ
Atha naṃ mahāpanthako āha ‘‘cūḷapanthaka, tvaṃ imasmiṃ sāsane abhabbo, catūhi māsehi ekampi gāthaṃ gahetuṃ na sakkosi, pabbajitakiccaṃ pana tvaṃ kathaṃ matthakaṃ pāpessasi, nikkhama ito’’ti vihārā nikkaḍḍhi. Cūḷapanthako buddhasāsane sinehena gihibhāvaṃ na pattheti. Tasmiñca kāle mahāpanthako bhattuddesako hoti. Jīvako komārabhacco bahuṃ gandhamālaṃ ādāya attano ambavanaṃ gantvā satthāraṃ pūjetvā dhammaṃ sutvā uṭṭhāyāsanā dasabalaṃ vanditvā mahāpanthakaṃ upasaṅkamitvā ‘‘kittakā , bhante, satthu santike bhikkhū’’ti pucchi. ‘‘Pañcamattāni bhikkhusatānī’’ti. ‘‘Sve, bhante, buddhappamukhāni pañca bhikkhusatāni ādāya amhākaṃ nivesane bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti. ‘‘Upāsaka, cūḷapanthako nāma bhikkhu dandho aviruḷhidhammo, taṃ ṭhapetvā sesānaṃ nimantanaṃ sampaṭicchāmī’’ti thero āha. Taṃ sutvā cūḷapanthako cintesi ‘‘thero ettakānaṃ bhikkhūnaṃ nimantanaṃ sampaṭicchanto maṃ bāhiraṃ katvā sampaṭicchati, nissaṃsayaṃ mayhaṃ bhātikassa mayi cittaṃ bhinnaṃ bhavissati, kiṃ idāni mayhaṃ iminā sāsanena, gihī hutvā dānādīni puññāni karonto jīvissāmī’’ti.
โส ปุนทิวเส ปาโตว ‘‘คิหี ภวิสฺสามี’’ติ ปายาสิฯ สตฺถา ปจฺจูสกาเลเยว โลกํ โอโลเกโนฺต อิมํ การณํ ทิสฺวา ปฐมตรํ คนฺตฺวา จูฬปนฺถกสฺส คมนมเคฺค ทฺวารโกฎฺฐเก จงฺกมโนฺต อฎฺฐาสิฯ จูฬปนฺถโก ฆรํ คจฺฉโนฺต สตฺถารํ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘กหํ ปน, ตฺวํ จูฬปนฺถก, อิมาย เวลาย คจฺฉสี’’ติ อาหฯ ภาตา มํ, ภเนฺต, นิกฺกฑฺฒติ , เตนาหํ วิพฺภมิตุํ คจฺฉามีติฯ จูฬปนฺถก, ตว ปพฺพชฺชา นาม มม สนฺตกา, ภาตรา นิกฺกฑฺฒิโต กสฺมา มม สนฺติกํ นาคญฺฉิ? เอหิ กิํ เต คิหิภาเวน, มม สนฺติเก ภวิสฺสสี’’ติ ภควา จูฬปนฺถกํ อาทาย คนฺตฺวา คนฺธกุฎิปฺปมุเข นิสีทาเปตฺวา ‘‘จูฬปนฺถก, ตฺวํ ปุรตฺถาภิมุโข หุตฺวา อิมํ ปิโลติกํ ‘รโชหรณํ รโชหรณ’นฺติ ปริมชฺชโนฺต อิเธว โหหี’’ติ อิทฺธิยา อภิสงฺขตํ ปริสุทฺธํ ปิโลติกาขณฺฑํ ทตฺวา กาเล อาโรจิเต ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ชีวกสฺส เคหํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ
So punadivase pātova ‘‘gihī bhavissāmī’’ti pāyāsi. Satthā paccūsakāleyeva lokaṃ olokento imaṃ kāraṇaṃ disvā paṭhamataraṃ gantvā cūḷapanthakassa gamanamagge dvārakoṭṭhake caṅkamanto aṭṭhāsi. Cūḷapanthako gharaṃ gacchanto satthāraṃ disvā upasaṅkamitvā vandi. Atha naṃ satthā ‘‘kahaṃ pana, tvaṃ cūḷapanthaka, imāya velāya gacchasī’’ti āha. Bhātā maṃ, bhante, nikkaḍḍhati , tenāhaṃ vibbhamituṃ gacchāmīti. Cūḷapanthaka, tava pabbajjā nāma mama santakā, bhātarā nikkaḍḍhito kasmā mama santikaṃ nāgañchi? Ehi kiṃ te gihibhāvena, mama santike bhavissasī’’ti bhagavā cūḷapanthakaṃ ādāya gantvā gandhakuṭippamukhe nisīdāpetvā ‘‘cūḷapanthaka, tvaṃ puratthābhimukho hutvā imaṃ pilotikaṃ ‘rajoharaṇaṃ rajoharaṇa’nti parimajjanto idheva hohī’’ti iddhiyā abhisaṅkhataṃ parisuddhaṃ pilotikākhaṇḍaṃ datvā kāle ārocite bhikkhusaṅghaparivuto jīvakassa gehaṃ gantvā paññattāsane nisīdi.
จูฬปนฺถโกปิ สูริยํ โอโลเกโนฺต ตํ ปิโลติกาขณฺฑํ ‘‘รโชหรณํ รโชหรณ’’นฺติ ปริมชฺชโนฺต นิสีทิ, ตสฺส ตํ ปิโลติกาขณฺฑํ ปริมชฺชนฺตสฺส ปริมชฺชนฺตสฺส กิลิฎฺฐํ อโหสิฯ ตโต จิเนฺตสิ ‘‘อิทํ ปิโลติกาขณฺฑํ อติวิย ปริสุทฺธํ, อิมํ ปน อตฺตภาวํ นิสฺสาย ปุริมปกติํ วิชหิตฺวา เอวํ กิลิฎฺฐํ ชาตํ, อนิจฺจา วต สงฺขารา’’ติ ขยวยํ ปฎฺฐเปโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒสิฯ สตฺถา ‘‘จูฬปนฺถกสฺส จิตฺตํ วิปสฺสนํ อารุฬฺห’’นฺติ ญตฺวา ‘‘จูฬปนฺถก, ตฺวํ เอตํ ปิโลติกาขณฺฑเมว สํกิลิฎฺฐํ รโชรญฺชิตํ ชาตนฺติ มา สญฺญํ กริ, อพฺภนฺตเร ปน เต ราครชาทโย อตฺถิ, เต หราหี’’ติ วตฺวา โอภาสํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปุรโต นิสิโนฺน วิย ปญฺญายมานรูโป หุตฺวา อิมา คาถา อภาสิ –
Cūḷapanthakopi sūriyaṃ olokento taṃ pilotikākhaṇḍaṃ ‘‘rajoharaṇaṃ rajoharaṇa’’nti parimajjanto nisīdi, tassa taṃ pilotikākhaṇḍaṃ parimajjantassa parimajjantassa kiliṭṭhaṃ ahosi. Tato cintesi ‘‘idaṃ pilotikākhaṇḍaṃ ativiya parisuddhaṃ, imaṃ pana attabhāvaṃ nissāya purimapakatiṃ vijahitvā evaṃ kiliṭṭhaṃ jātaṃ, aniccā vata saṅkhārā’’ti khayavayaṃ paṭṭhapento vipassanaṃ vaḍḍhesi. Satthā ‘‘cūḷapanthakassa cittaṃ vipassanaṃ āruḷha’’nti ñatvā ‘‘cūḷapanthaka, tvaṃ etaṃ pilotikākhaṇḍameva saṃkiliṭṭhaṃ rajorañjitaṃ jātanti mā saññaṃ kari, abbhantare pana te rāgarajādayo atthi, te harāhī’’ti vatvā obhāsaṃ vissajjetvā purato nisinno viya paññāyamānarūpo hutvā imā gāthā abhāsi –
‘‘ราโค รโช น จ ปน เรณุ วุจฺจติ, ราคเสฺสตํ อธิวจนํ รโชติ;
‘‘Rāgo rajo na ca pana reṇu vuccati, rāgassetaṃ adhivacanaṃ rajoti;
เอตํ รชํ วิปฺปชหิตฺว ภิกฺขโว, วิหรนฺติ เต วิคตรชสฺส สาสเนฯ
Etaṃ rajaṃ vippajahitva bhikkhavo, viharanti te vigatarajassa sāsane.
‘‘โทโส รโช น จ ปน เรณุ วุจฺจติ, โทสเสฺสตํ อธิวจนํ รโชติ;
‘‘Doso rajo na ca pana reṇu vuccati, dosassetaṃ adhivacanaṃ rajoti;
เอตํ รชํ วิปฺปชหิตฺว ภิกฺขโว, วิหรนฺติ เต วิคตรชสฺส สาสเนฯ
Etaṃ rajaṃ vippajahitva bhikkhavo, viharanti te vigatarajassa sāsane.
‘‘โมโห รโช น จ ปน เรณุ วุจฺจติ, โมหเสฺสตํ อธิวจนํ รโชติ;
‘‘Moho rajo na ca pana reṇu vuccati, mohassetaṃ adhivacanaṃ rajoti;
เอตํ รชํ วิปฺปชหิตฺว ภิกฺขโว, วิหรนฺติ เต วิคตรชสฺส สาสเน’’ติฯ (มหานิ. ๒๐๙; จูฬนิ. อุทยมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๗๔);
Etaṃ rajaṃ vippajahitva bhikkhavo, viharanti te vigatarajassa sāsane’’ti. (mahāni. 209; cūḷani. udayamāṇavapucchāniddesa 74);
คาถาปริโยสาเน จูฬปนฺถโก สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิ, ปฎิสมฺภิทาหิเยวสฺส ตีณิ ปิฎกานิ อาคมํสุฯ โส กิร ปุเพฺพ ราชา หุตฺวา นครํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต นลาฎโต เสเท มุจฺจเนฺต ปริสุเทฺธน สาฎเกน นลาฎนฺตํ ปุญฺฉิ, สาฎโก กิลิโฎฺฐ อโหสิฯ โส ‘‘อิมํ สรีรํ นิสฺสาย เอวรูโป ปริสุโทฺธ สาฎโก ปกติํ ชหิตฺวา กิลิโฎฺฐ ชาโต, อนิจฺจา วต สงฺขารา’’ติ อนิจฺจสญฺญํ ปฎิลภิฯ เตน การเณนสฺส รโชหรณเมว ปจฺจโย ชาโตฯ
Gāthāpariyosāne cūḷapanthako saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi, paṭisambhidāhiyevassa tīṇi piṭakāni āgamaṃsu. So kira pubbe rājā hutvā nagaraṃ padakkhiṇaṃ karonto nalāṭato sede muccante parisuddhena sāṭakena nalāṭantaṃ puñchi, sāṭako kiliṭṭho ahosi. So ‘‘imaṃ sarīraṃ nissāya evarūpo parisuddho sāṭako pakatiṃ jahitvā kiliṭṭho jāto, aniccā vata saṅkhārā’’ti aniccasaññaṃ paṭilabhi. Tena kāraṇenassa rajoharaṇameva paccayo jāto.
ชีวโกปิ โข โกมารภโจฺจ ทสพลสฺส ทกฺขิโณทกํ อุปนาเมสิฯ สตฺถา ‘‘นนุ, ชีวก, วิหาเร ภิกฺขู อตฺถี’’ติ หเตฺถน ปตฺตํ ปิทหิฯ มหาปนฺถโก ‘‘ภเนฺต, วิหาเร นตฺถิ ภิกฺขู’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘อตฺถิ ชีวกา’’ติ อาหฯ ชีวโก ‘‘เตน หิ, ภเณ, คจฺฉ, วิหาเร ภิกฺขูนํ อตฺถิภาวํ วา นตฺถิภาวํ วา ชานาหี’’ติ ปุริสํ เปเสสิฯ ตสฺมิํ ขเณ จูฬปนฺถโก ‘‘มยฺหํ ภาติโก ‘วิหาเร ภิกฺขู นตฺถี’ติ ภณติ, วิหาเร ภิกฺขูนํ อตฺถิภาวมสฺส ปกาเสสฺสามี’’ติ สกลํ อมฺพวนํ ภิกฺขูนํเยว ปูเรสิฯ เอกเจฺจ ภิกฺขู จีวรกมฺมํ กโรนฺติ, เอกเจฺจ รชนกมฺมํ, เอกเจฺจ สชฺฌายํ กโรนฺตีติ เอวํ อญฺญมญฺญํ อสทิสํ ภิกฺขุสหสฺสํ มาเปสิฯ โส ปุริโส วิหาเร พหู ภิกฺขู ทิสฺวา นิวตฺติตฺวา ‘‘อยฺย , สกลํ อมฺพวนํ ภิกฺขูหิ ปริปุณฺณ’’นฺติ ชีวกสฺส อาโรเจสิฯ เถโรปิ โข ตเตฺถว –
Jīvakopi kho komārabhacco dasabalassa dakkhiṇodakaṃ upanāmesi. Satthā ‘‘nanu, jīvaka, vihāre bhikkhū atthī’’ti hatthena pattaṃ pidahi. Mahāpanthako ‘‘bhante, vihāre natthi bhikkhū’’ti āha. Satthā ‘‘atthi jīvakā’’ti āha. Jīvako ‘‘tena hi, bhaṇe, gaccha, vihāre bhikkhūnaṃ atthibhāvaṃ vā natthibhāvaṃ vā jānāhī’’ti purisaṃ pesesi. Tasmiṃ khaṇe cūḷapanthako ‘‘mayhaṃ bhātiko ‘vihāre bhikkhū natthī’ti bhaṇati, vihāre bhikkhūnaṃ atthibhāvamassa pakāsessāmī’’ti sakalaṃ ambavanaṃ bhikkhūnaṃyeva pūresi. Ekacce bhikkhū cīvarakammaṃ karonti, ekacce rajanakammaṃ, ekacce sajjhāyaṃ karontīti evaṃ aññamaññaṃ asadisaṃ bhikkhusahassaṃ māpesi. So puriso vihāre bahū bhikkhū disvā nivattitvā ‘‘ayya , sakalaṃ ambavanaṃ bhikkhūhi paripuṇṇa’’nti jīvakassa ārocesi. Theropi kho tattheva –
‘‘สหสฺสกฺขตฺตุมตฺตานํ, นิมฺมินิตฺวาน ปนฺถโก;
‘‘Sahassakkhattumattānaṃ, nimminitvāna panthako;
นิสีทมฺพวเน รเมฺม, ยาว กาลปฺปเวทนา’’ติฯ (เถรคา. ๕๖๓);
Nisīdambavane ramme, yāva kālappavedanā’’ti. (theragā. 563);
อถ สตฺถา ตํ ปุริสํ อาห – ‘‘วิหารํ คนฺตฺวา ‘สตฺถา จูฬปนฺถกํ นาม ปโกฺกสตี’ติ วเทหี’’ติฯ เตน คนฺตฺวา ตถาวุเตฺต ‘‘อหํ จูฬปนฺถโก, อหํ จูฬปนฺถโก’’ติ มุขสหสฺสํ อุฎฺฐหิฯ ปุริโส คนฺตฺวา ‘‘สเพฺพปิ กิร เต, ภเนฺต, จูฬปนฺถกาเยว นามา’’ติ อาหฯ เตน หิ ตฺวํ คนฺตฺวา โย ปฐมํ ‘‘อหํ จูฬปนฺถโก’’ติ วทติ, ตํ หเตฺถ คณฺห, อวเสสา อนฺตรธายิสฺสนฺตีติฯ โส ตถา อกาสิ, ตาวเทว สหสฺสมตฺตา ภิกฺขู อนฺตรธายิํสุฯ เถโร เตน ปุริเสน สทฺธิํ อคมาสิฯ สตฺถา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ชีวกํ อามเนฺตสิ ‘‘ชีวก, จูฬปนฺถกสฺส ปตฺตํ คณฺห, อยํ เต อนุโมทนํ กริสฺสตี’’ติฯ ชีวโก ตถา อกาสิฯ เถโร สีหนาทํ นทโนฺต ตรุณสีโห วิย ตีณิ ปิฎกานิ สํโขเภตฺวา อนุโมทนํ อกาสิฯ
Atha satthā taṃ purisaṃ āha – ‘‘vihāraṃ gantvā ‘satthā cūḷapanthakaṃ nāma pakkosatī’ti vadehī’’ti. Tena gantvā tathāvutte ‘‘ahaṃ cūḷapanthako, ahaṃ cūḷapanthako’’ti mukhasahassaṃ uṭṭhahi. Puriso gantvā ‘‘sabbepi kira te, bhante, cūḷapanthakāyeva nāmā’’ti āha. Tena hi tvaṃ gantvā yo paṭhamaṃ ‘‘ahaṃ cūḷapanthako’’ti vadati, taṃ hatthe gaṇha, avasesā antaradhāyissantīti. So tathā akāsi, tāvadeva sahassamattā bhikkhū antaradhāyiṃsu. Thero tena purisena saddhiṃ agamāsi. Satthā bhattakiccapariyosāne jīvakaṃ āmantesi ‘‘jīvaka, cūḷapanthakassa pattaṃ gaṇha, ayaṃ te anumodanaṃ karissatī’’ti. Jīvako tathā akāsi. Thero sīhanādaṃ nadanto taruṇasīho viya tīṇi piṭakāni saṃkhobhetvā anumodanaṃ akāsi.
สตฺถา อุฎฺฐายาสนา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร วิหารํ คนฺตฺวา ภิกฺขูหิ วเตฺต ทสฺสิเต อุฎฺฐายาสนา คนฺธกุฎิปฺปมุเข ฐตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส สุคโตวาทํ ทตฺวา กมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ อุโยฺยเชตฺวา สุรภิคนฺธวาสิตํ คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สีหเสยฺยํ อุปคโตฯ อถ สายนฺหสมเย ธมฺมสภายํ ภิกฺขู อิโต จิโต จ สโมสริตฺวา รตฺตกมฺพลสาณิํ ปริกฺขิปนฺตา วิย นิสีทิตฺวา สตฺถุ คุณกถํ อารภิํสุ ‘‘อาวุโส, มหาปนฺถโก จูฬปนฺถกสฺส อชฺฌาสยํ อชานโนฺต ‘จตูหิ มาเสหิ เอกคาถํ คณฺหิตุํ น สโกฺกติ, ทโนฺธ อย’นฺติ วิหารา นิกฺกฑฺฒิ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน อตฺตโน อนุตฺตรธมฺมราชตาย เอกสฺมิํเยวสฺส อนฺตรภเตฺต สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ อทาสิ, ตีณิ ปิฎกานิ ปฎิสมฺภิทาหิเยว อาคตานิ, อโห พุทฺธานํ พลํ นาม มหนฺต’’นฺติฯ
Satthā uṭṭhāyāsanā bhikkhusaṅghaparivāro vihāraṃ gantvā bhikkhūhi vatte dassite uṭṭhāyāsanā gandhakuṭippamukhe ṭhatvā bhikkhusaṅghassa sugatovādaṃ datvā kammaṭṭhānaṃ kathetvā bhikkhusaṅghaṃ uyyojetvā surabhigandhavāsitaṃ gandhakuṭiṃ pavisitvā dakkhiṇena passena sīhaseyyaṃ upagato. Atha sāyanhasamaye dhammasabhāyaṃ bhikkhū ito cito ca samosaritvā rattakambalasāṇiṃ parikkhipantā viya nisīditvā satthu guṇakathaṃ ārabhiṃsu ‘‘āvuso, mahāpanthako cūḷapanthakassa ajjhāsayaṃ ajānanto ‘catūhi māsehi ekagāthaṃ gaṇhituṃ na sakkoti, dandho aya’nti vihārā nikkaḍḍhi, sammāsambuddho pana attano anuttaradhammarājatāya ekasmiṃyevassa antarabhatte saha paṭisambhidāhi arahattaṃ adāsi, tīṇi piṭakāni paṭisambhidāhiyeva āgatāni, aho buddhānaṃ balaṃ nāma mahanta’’nti.
อถ ภควา ธมฺมสภายํ อิมํ กถาปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘อชฺช มยา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ พุทฺธเสยฺยาย อุฎฺฐาย สุรตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา วิชฺชุลตํ วิย กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา รตฺตกมฺพลสทิสํ สุคตมหาจีวรํ ปารุปิตฺวา สุรภิคนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม มตฺตวารโณ วิย สีหวิกฺกนฺตวิลาเสน วิชมฺภมาโน สีโห วิย อนนฺตาย พุทฺธลีลาย ธมฺมสภํ คนฺตฺวา อลงฺกตมณฺฑปมเชฺฌ สุปญฺญตฺตวรพุทฺธาสนํ อภิรุยฺห ฉพฺพณฺณพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชโนฺต อณฺณวกุจฺฉิํ โอภาสยมาโน ยุคนฺธรมตฺถเก พาลสูริโย วิย อาสนมเชฺฌ นิสีทิฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธ ปน อาคตมเตฺต ภิกฺขุสโงฺฆ กถํ ปจฺฉินฺทิตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ
Atha bhagavā dhammasabhāyaṃ imaṃ kathāpavattiṃ ñatvā ‘‘ajja mayā gantuṃ vaṭṭatī’’ti buddhaseyyāya uṭṭhāya surattadupaṭṭaṃ nivāsetvā vijjulataṃ viya kāyabandhanaṃ bandhitvā rattakambalasadisaṃ sugatamahācīvaraṃ pārupitvā surabhigandhakuṭito nikkhamma mattavāraṇo viya sīhavikkantavilāsena vijambhamāno sīho viya anantāya buddhalīlāya dhammasabhaṃ gantvā alaṅkatamaṇḍapamajjhe supaññattavarabuddhāsanaṃ abhiruyha chabbaṇṇabuddharasmiyo vissajjento aṇṇavakucchiṃ obhāsayamāno yugandharamatthake bālasūriyo viya āsanamajjhe nisīdi. Sammāsambuddhe pana āgatamatte bhikkhusaṅgho kathaṃ pacchinditvā tuṇhī ahosi.
สตฺถา มุทุเกน เมตฺตจิเตฺตน ปริสํ โอโลเกตฺวา ‘‘อยํ ปริสา อติวิย โสภติ, เอกสฺสปิ หตฺถกุกฺกุจฺจํ วา ปาทกุกฺกุจฺจํ วา อุกฺกาสิตสโทฺท วา ขิปิตสโทฺท วา นตฺถิ, สเพฺพปิเม พุทฺธคารเวน สคารวา พุทฺธเตเชน ตชฺชิตา มยิ อายุกปฺปมฺปิ อกเถตฺวา นิสิเนฺน ปฐมํ กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา น กเถสฺสนฺติ, กถาสมุฎฺฐาปนวตฺตํ นาม มยาว ชานิตพฺพํ, อหเมว ปฐมํ กเถสฺสามี’’ติ มธุเรน พฺรหฺมสฺสเรน ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว , เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา’’ติ อาหฯ ภเนฺต, น มยํ อิมสฺมิํ ฐาเน นิสินฺนา อญฺญํ ติรจฺฉานกถํ กเถม, ตุมฺหากํเยว ปน คุเณ วณฺณยมานา นิสินฺนามฺห ‘‘อาวุโส มหาปนฺถโก จูฬปนฺถกสฺส อชฺฌาสยํ อชานโนฺต ‘จตูหิ มาเสหิ เอกํ คาถํ คณฺหิตุํ น สโกฺกติ, ทโนฺธ อย’นฺติ วิหารา นิกฺกฑฺฒิ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน อนุตฺตรธมฺมราชตาย เอกสฺมิํเยวสฺส อนฺตรภเตฺต สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ อทาสิ, อโห พุทฺธานํ พลํ นาม มหนฺต’’นฺติฯ สตฺถา ภิกฺขูนํ กถํ สุตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, จูฬปนฺถโก มํ นิสฺสาย อิทานิ ตาว ธเมฺมสุ ธมฺมมหนฺตตํ ปโตฺต, ปุเพฺพ ปน มํ นิสฺสาย โภเคสุปิ โภคมหนฺตตํ ปาปุณี’’ติ อาหฯ ภิกฺขู ตสฺสตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ ภควนฺตํ ยาจิํสุฯ ภควา ภวนฺตเรน ปฎิจฺฉนฺนํ การณํ ปากฎํ อกาสิฯ
Satthā mudukena mettacittena parisaṃ oloketvā ‘‘ayaṃ parisā ativiya sobhati, ekassapi hatthakukkuccaṃ vā pādakukkuccaṃ vā ukkāsitasaddo vā khipitasaddo vā natthi, sabbepime buddhagāravena sagāravā buddhatejena tajjitā mayi āyukappampi akathetvā nisinne paṭhamaṃ kathaṃ samuṭṭhāpetvā na kathessanti, kathāsamuṭṭhāpanavattaṃ nāma mayāva jānitabbaṃ, ahameva paṭhamaṃ kathessāmī’’ti madhurena brahmassarena bhikkhū āmantetvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave , etarahi kathāya sannisinnā, kā ca pana vo antarākathā vippakatā’’ti āha. Bhante, na mayaṃ imasmiṃ ṭhāne nisinnā aññaṃ tiracchānakathaṃ kathema, tumhākaṃyeva pana guṇe vaṇṇayamānā nisinnāmha ‘‘āvuso mahāpanthako cūḷapanthakassa ajjhāsayaṃ ajānanto ‘catūhi māsehi ekaṃ gāthaṃ gaṇhituṃ na sakkoti, dandho aya’nti vihārā nikkaḍḍhi, sammāsambuddho pana anuttaradhammarājatāya ekasmiṃyevassa antarabhatte saha paṭisambhidāhi arahattaṃ adāsi, aho buddhānaṃ balaṃ nāma mahanta’’nti. Satthā bhikkhūnaṃ kathaṃ sutvā ‘‘bhikkhave, cūḷapanthako maṃ nissāya idāni tāva dhammesu dhammamahantataṃ patto, pubbe pana maṃ nissāya bhogesupi bhogamahantataṃ pāpuṇī’’ti āha. Bhikkhū tassatthassa āvibhāvatthaṃ bhagavantaṃ yāciṃsu. Bhagavā bhavantarena paṭicchannaṃ kāraṇaṃ pākaṭaṃ akāsi.
อตีเต กาสิรเฎฺฐ พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลภิตฺวา จูฬเสฎฺฐิ นาม อโหสิ, โส ปณฺฑิโต พฺยโตฺต สพฺพนิมิตฺตานิ ชานาติฯ โส เอกทิวสํ ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต อนฺตรวีถิยํ มตมูสิกํ ทิสฺวา ตงฺขณเญฺญว นกฺขตฺตํ สมาเนตฺวา อิทมาห ‘‘สกฺกา จกฺขุมตา กุลปุเตฺตน อิมํ อุนฺทูรํ คเหตฺวา ปุตฺตทารภรณญฺจ กาตุํ กมฺมเนฺต จ ปโยเชตุ’’นฺติ? อญฺญตโร ทุคฺคตกุลปุโตฺต ตํ เสฎฺฐิสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘นายํ อชานิตฺวา กเถสฺสตี’’ติ ตํ มูสิกํ คเหตฺวา เอกสฺมิํ อาปเณ พิฬาลสฺสตฺถาย วิกฺกิณิตฺวา กากณิกํ ลภิตฺวา ตาย กากณิกาย ผาณิตํ คเหตฺวา เอเกน ฆเฎน ปานียํ คณฺหิฯ โส อรญฺญโต อาคจฺฉเนฺต มาลากาเร ทิสฺวา โถกํ โถกํ ผาณิตขณฺฑํ ทตฺวา อุฬุเงฺกน ปานียํ อทาสิ, เต จสฺส เอเกกํ ปุปฺผมุฎฺฐิํ อทํสุฯ โส เตน ปุปฺผมูเลน ปุนทิวเสปิ ผาณิตญฺจ ปานียฆฎญฺจ คเหตฺวา ปุปฺผารามเมว คโตฯ ตสฺส ตํ ทิวสํ มาลาการา อโฑฺฒจิตเก ปุปฺผคเจฺฉ ทตฺวา อคมํสุฯ โส น จิรเสฺสว อิมินา อุปาเยน อฎฺฐ กหาปเณ ลภิฯ
Atīte kāsiraṭṭhe bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto seṭṭhikule nibbattitvā vayappatto seṭṭhiṭṭhānaṃ labhitvā cūḷaseṭṭhi nāma ahosi, so paṇḍito byatto sabbanimittāni jānāti. So ekadivasaṃ rājupaṭṭhānaṃ gacchanto antaravīthiyaṃ matamūsikaṃ disvā taṅkhaṇaññeva nakkhattaṃ samānetvā idamāha ‘‘sakkā cakkhumatā kulaputtena imaṃ undūraṃ gahetvā puttadārabharaṇañca kātuṃ kammante ca payojetu’’nti? Aññataro duggatakulaputto taṃ seṭṭhissa vacanaṃ sutvā ‘‘nāyaṃ ajānitvā kathessatī’’ti taṃ mūsikaṃ gahetvā ekasmiṃ āpaṇe biḷālassatthāya vikkiṇitvā kākaṇikaṃ labhitvā tāya kākaṇikāya phāṇitaṃ gahetvā ekena ghaṭena pānīyaṃ gaṇhi. So araññato āgacchante mālākāre disvā thokaṃ thokaṃ phāṇitakhaṇḍaṃ datvā uḷuṅkena pānīyaṃ adāsi, te cassa ekekaṃ pupphamuṭṭhiṃ adaṃsu. So tena pupphamūlena punadivasepi phāṇitañca pānīyaghaṭañca gahetvā pupphārāmameva gato. Tassa taṃ divasaṃ mālākārā aḍḍhocitake pupphagacche datvā agamaṃsu. So na cirasseva iminā upāyena aṭṭha kahāpaṇe labhi.
ปุน เอกสฺมิํ วาตวุฎฺฐิทิวเส ราชุยฺยาเน พหู สุกฺขทณฺฑกา จ สาขา จ ปลาสญฺจ วาเตน ปาติตํ โหติ, อุยฺยานปาโล ฉเฑฺฑตุํ อุปายํ น ปสฺสติ ฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘สเจ อิมานิ ทารุปณฺณานิ มยฺหํ ทสฺสสิ, อหํ เต อิมานิ สพฺพานิ นีหริสฺสามี’’ติ อุยฺยานปาลํ อาห, โส ‘‘คณฺห อยฺยา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ จูฬเนฺตวาสิโก ทารกานํ กีฬนมณฺฑลํ คนฺตฺวา ผาณิตํ ทตฺวา มุหุเตฺตน สพฺพานิ ทารุปณฺณานิ นีหราเปตฺวา อุยฺยานทฺวาเร ราสิํ กาเรสิฯ ตทา ราชกุมฺภกาโร ราชกุเล ภาชนานํ ปจนตฺถาย ทารูนิ ปริเยสมาโน อุยฺยานทฺวาเร ตานิ ทิสฺวา ตสฺส หตฺถโต กิณิตฺวา คณฺหิฯ ตํ ทิวสํ จูฬเนฺตวาสิโก ทารุวิกฺกเยน โสฬส กหาปเณ จาฎิอาทีนิ จ ปญฺจ ภาชนานิ ลภิฯ
Puna ekasmiṃ vātavuṭṭhidivase rājuyyāne bahū sukkhadaṇḍakā ca sākhā ca palāsañca vātena pātitaṃ hoti, uyyānapālo chaḍḍetuṃ upāyaṃ na passati . So tattha gantvā ‘‘sace imāni dārupaṇṇāni mayhaṃ dassasi, ahaṃ te imāni sabbāni nīharissāmī’’ti uyyānapālaṃ āha, so ‘‘gaṇha ayyā’’ti sampaṭicchi. Cūḷantevāsiko dārakānaṃ kīḷanamaṇḍalaṃ gantvā phāṇitaṃ datvā muhuttena sabbāni dārupaṇṇāni nīharāpetvā uyyānadvāre rāsiṃ kāresi. Tadā rājakumbhakāro rājakule bhājanānaṃ pacanatthāya dārūni pariyesamāno uyyānadvāre tāni disvā tassa hatthato kiṇitvā gaṇhi. Taṃ divasaṃ cūḷantevāsiko dāruvikkayena soḷasa kahāpaṇe cāṭiādīni ca pañca bhājanāni labhi.
โส จตุวีสติยา กหาปเณสุ ชาเตสุ ‘‘อตฺถิ อยํ อุปาโย มยฺห’’นฺติ นครทฺวารโต อวิทูเร ฐาเน เอกํ ปานียจาฎิํ ฐเปตฺวา ปญฺจสเต ติณหารเก ปานีเยน อุปฎฺฐหิฯ เต อาหํสุ ‘‘สมฺม, ตฺวํ อมฺหากํ พหูปกาโร, กิํ เต กโรมา’’ติ? โส ‘‘มยฺหํ กิเจฺจ อุปฺปเนฺน กริสฺสถา’’ติ วตฺวา อิโต จิโต จ วิจรโนฺต ถลปถกมฺมิเกน จ ชลปถกมฺมิเกน จ สทฺธิํ มิตฺตสนฺถวํ อกาสิฯ ตสฺส ถลปถกมฺมิโก ‘‘เสฺว อิมํ นครํ อสฺสวาณิชโก ปญฺจ อสฺสสตานิ คเหตฺวา อาคมิสฺสตี’’ติ อาจิกฺขิฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ติณหารเก อาห ‘‘อชฺช มยฺหํ เอเกกํ ติณกลาปํ เทถ, มยา จ ติเณ อวิกฺกิณิเต อตฺตโน ติณํ มา วิกฺกิณถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปญฺจ ติณกลาปสตานิ อาหริตฺวา ตสฺส ฆเร ปาปยิํสุฯ อสฺสวาณิโช สกลนคเร อสฺสานํ โคจรํ อลภิตฺวา ตสฺส สหสฺสํ ทตฺวา ตํ ติณํ คณฺหิฯ
So catuvīsatiyā kahāpaṇesu jātesu ‘‘atthi ayaṃ upāyo mayha’’nti nagaradvārato avidūre ṭhāne ekaṃ pānīyacāṭiṃ ṭhapetvā pañcasate tiṇahārake pānīyena upaṭṭhahi. Te āhaṃsu ‘‘samma, tvaṃ amhākaṃ bahūpakāro, kiṃ te karomā’’ti? So ‘‘mayhaṃ kicce uppanne karissathā’’ti vatvā ito cito ca vicaranto thalapathakammikena ca jalapathakammikena ca saddhiṃ mittasanthavaṃ akāsi. Tassa thalapathakammiko ‘‘sve imaṃ nagaraṃ assavāṇijako pañca assasatāni gahetvā āgamissatī’’ti ācikkhi. So tassa vacanaṃ sutvā tiṇahārake āha ‘‘ajja mayhaṃ ekekaṃ tiṇakalāpaṃ detha, mayā ca tiṇe avikkiṇite attano tiṇaṃ mā vikkiṇathā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā pañca tiṇakalāpasatāni āharitvā tassa ghare pāpayiṃsu. Assavāṇijo sakalanagare assānaṃ gocaraṃ alabhitvā tassa sahassaṃ datvā taṃ tiṇaṃ gaṇhi.
ตโต กติปาหจฺจเยนสฺส ชลปถกมฺมิโก สหายโก อาโรเจสิ ‘‘ปฎฺฎนมฺหิ มหานาวา อาคตา’’ติฯ โส ‘‘อตฺถิ อยํ อุปาโย’’ติ อฎฺฐหิ กหาปเณหิ สพฺพปริวารสมฺปนฺนํ ตาวกาลิกํ รถํ คเหตฺวา มหเนฺตน ยเสน นาวาปฎฺฎนํ คนฺตฺวา เอกํ องฺคุลิมุทฺทิกํ นาวิกสฺส สจฺจการํ ทตฺวา อวิทูเร ฐาเน สาณิยา ปริกฺขิปาเปตฺวา นิสิโนฺน ปุริเส อาณาเปสิ ‘‘พาหิรโต วาณิเชสุ อาคเตสุ ตติเยน ปฎิหาเรน มํ อาโรเจถา’’ติ ฯ ‘‘นาวา อาคตา’’ติ สุตฺวา พาราณสิโต สตมตฺตา วาณิชา ‘‘ภณฺฑํ คณฺหามา’’ติ อาคมิํสุฯ ภณฺฑํ ตุเมฺห น ลภิสฺสถ, อสุกฎฺฐาเน นาม มหาวาณิเชน สจฺจกาโร ทิโนฺนติฯ เต ตํ สุตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อาคตาฯ ปาทมูลิกปุริสา ปุริมสญฺญาวเสน ตติเยน ปฎิหาเรน เตสํ อาคตภาวํ อาโรเจสุํฯ เต สตมตฺตา วาณิชา เอเกกํ สหสฺสํ ทตฺวา เตน สทฺธิํ นาวาย ปตฺติกา หุตฺวา ปุน เอเกกํ สหสฺสํ ทตฺวา ปตฺติํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา ภณฺฑํ อตฺตโน สนฺตกมกํสุฯ
Tato katipāhaccayenassa jalapathakammiko sahāyako ārocesi ‘‘paṭṭanamhi mahānāvā āgatā’’ti. So ‘‘atthi ayaṃ upāyo’’ti aṭṭhahi kahāpaṇehi sabbaparivārasampannaṃ tāvakālikaṃ rathaṃ gahetvā mahantena yasena nāvāpaṭṭanaṃ gantvā ekaṃ aṅgulimuddikaṃ nāvikassa saccakāraṃ datvā avidūre ṭhāne sāṇiyā parikkhipāpetvā nisinno purise āṇāpesi ‘‘bāhirato vāṇijesu āgatesu tatiyena paṭihārena maṃ ārocethā’’ti . ‘‘Nāvā āgatā’’ti sutvā bārāṇasito satamattā vāṇijā ‘‘bhaṇḍaṃ gaṇhāmā’’ti āgamiṃsu. Bhaṇḍaṃ tumhe na labhissatha, asukaṭṭhāne nāma mahāvāṇijena saccakāro dinnoti. Te taṃ sutvā tassa santikaṃ āgatā. Pādamūlikapurisā purimasaññāvasena tatiyena paṭihārena tesaṃ āgatabhāvaṃ ārocesuṃ. Te satamattā vāṇijā ekekaṃ sahassaṃ datvā tena saddhiṃ nāvāya pattikā hutvā puna ekekaṃ sahassaṃ datvā pattiṃ vissajjāpetvā bhaṇḍaṃ attano santakamakaṃsu.
จูฬเนฺตวาสิโก เทฺว สตสหสฺสานิ คณฺหิตฺวา พาราณสิํ อาคนฺตฺวา ‘‘กตญฺญุนา เม ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เอกํ สตสหสฺสํ คาหาเปตฺวา จูฬเสฎฺฐิสฺส สมีปํ คโตฯ อถ นํ เสฎฺฐิ ‘‘กิํ เต, ตาต, กตฺวา อิทํ ธนํ ลทฺธ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘ตุเมฺหหิ กถิตอุปาเย ฐตฺวา จตุมาสมฺภนฺตเรเยว ลทฺธ’’นฺติ มตมูสิกํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ วตฺถุํ กเถสิฯ จูฬเสฎฺฐิ ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ เอวรูปํ ทารกํ มม สนฺตกํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วยปฺปตฺตํ อตฺตโน ธีตรํ ทตฺวา สกลกุฎุมฺพสฺส สามิกํ อกาสิฯ โส เสฎฺฐิโน อจฺจเยน ตสฺมิํ นคเร เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลภิฯ โพธิสโตฺตปิ ยถากมฺมํ อคมาสิฯ
Cūḷantevāsiko dve satasahassāni gaṇhitvā bārāṇasiṃ āgantvā ‘‘kataññunā me bhavituṃ vaṭṭatī’’ti ekaṃ satasahassaṃ gāhāpetvā cūḷaseṭṭhissa samīpaṃ gato. Atha naṃ seṭṭhi ‘‘kiṃ te, tāta, katvā idaṃ dhanaṃ laddha’’nti pucchi. So ‘‘tumhehi kathitaupāye ṭhatvā catumāsambhantareyeva laddha’’nti matamūsikaṃ ādiṃ katvā sabbaṃ vatthuṃ kathesi. Cūḷaseṭṭhi tassa vacanaṃ sutvā ‘‘idāni evarūpaṃ dārakaṃ mama santakaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vayappattaṃ attano dhītaraṃ datvā sakalakuṭumbassa sāmikaṃ akāsi. So seṭṭhino accayena tasmiṃ nagare seṭṭhiṭṭhānaṃ labhi. Bodhisattopi yathākammaṃ agamāsi.
สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถตฺวา อภิสมฺพุโทฺธว อิมํ คาถํ กเถสิ –
Sammāsambuddhopi imaṃ dhammadesanaṃ kathetvā abhisambuddhova imaṃ gāthaṃ kathesi –
๔.
4.
‘‘อปฺปเกนปิ เมธาวี, ปาภเตน วิจกฺขโณ;
‘‘Appakenapi medhāvī, pābhatena vicakkhaṇo;
สมุฎฺฐาเปติ อตฺตานํ, อณุํ อคฺคิํว สนฺธม’’นฺติฯ
Samuṭṭhāpeti attānaṃ, aṇuṃ aggiṃva sandhama’’nti.
ตตฺถ อปฺปเกนปีติ โถเกนปิ ปริตฺตเกนปิฯ เมธาวีติ ปญฺญวาฯ ปาภเตนาติ ภณฺฑมูเลนฯ วิจกฺขโณติ โวหารกุสโลฯ สมุฎฺฐาเปติ อตฺตานนฺติ มหนฺตํ ธนญฺจ ยสญฺจ อุปฺปาเทตฺวา ตตฺถ อตฺตานํ สณฺฐาเปติ ปติฎฺฐาเปติฯ ยถา กิํ? อณุํ อคฺคิํว สนฺธมํ, ยถา ปณฺฑิตปุริโส ปริตฺตํ อคฺคิํ อนุกฺกเมน โคมยจุณฺณาทีนิ ปกฺขิปิตฺวา มุขวาเตน ธมโนฺต สมุฎฺฐาเปติ วเฑฺฒติ มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ กโรติ, เอวเมว ปณฺฑิโต โถกมฺปิ ปาภตํ ลภิตฺวา นานาอุปาเยหิ ปโยเชตฺวา ธนญฺจ ยสญฺจ วเฑฺฒติ , วเฑฺฒตฺวา จ ปน ตตฺถ อตฺตานํ ปติฎฺฐาเปติ, ตาย เอว วา ปน ธนยสมหนฺตตาย อตฺตานํ สมุฎฺฐาเปติ, อภิญฺญาตํ ปากฎํ กโรตีติ อโตฺถฯ
Tattha appakenapīti thokenapi parittakenapi. Medhāvīti paññavā. Pābhatenāti bhaṇḍamūlena. Vicakkhaṇoti vohārakusalo. Samuṭṭhāpeti attānanti mahantaṃ dhanañca yasañca uppādetvā tattha attānaṃ saṇṭhāpeti patiṭṭhāpeti. Yathā kiṃ? Aṇuṃ aggiṃva sandhamaṃ, yathā paṇḍitapuriso parittaṃ aggiṃ anukkamena gomayacuṇṇādīni pakkhipitvā mukhavātena dhamanto samuṭṭhāpeti vaḍḍheti mahantaṃ aggikkhandhaṃ karoti, evameva paṇḍito thokampi pābhataṃ labhitvā nānāupāyehi payojetvā dhanañca yasañca vaḍḍheti , vaḍḍhetvā ca pana tattha attānaṃ patiṭṭhāpeti, tāya eva vā pana dhanayasamahantatāya attānaṃ samuṭṭhāpeti, abhiññātaṃ pākaṭaṃ karotīti attho.
อิติ ภควา ‘‘ภิกฺขเว, จูฬปนฺถโก มํ นิสฺสาย อิทานิ ธเมฺมสุ ธมฺมมหนฺตตํ ปโตฺต, ปุเพฺพ ปน โภเคสุปิ โภคมหนฺตตํ ปาปุณี’’ติ เอวํ อิมํ ธมฺมเทสนํ ทเสฺสตฺวา เทฺว วตฺถูนิ กเถตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา จูฬเนฺตวาสิโก จูฬปนฺถโก อโหสิ, จูฬกเสฎฺฐิ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติ เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ
Iti bhagavā ‘‘bhikkhave, cūḷapanthako maṃ nissāya idāni dhammesu dhammamahantataṃ patto, pubbe pana bhogesupi bhogamahantataṃ pāpuṇī’’ti evaṃ imaṃ dhammadesanaṃ dassetvā dve vatthūni kathetvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā cūḷantevāsiko cūḷapanthako ahosi, cūḷakaseṭṭhi pana ahameva ahosi’’nti desanaṃ niṭṭhāpesi.
จูฬเสฎฺฐิชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ
Cūḷaseṭṭhijātakavaṇṇanā catutthā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔. จูฬเสฎฺฐิชาตกํ • 4. Cūḷaseṭṭhijātakaṃ