Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๒. สีหนาทวโคฺค
2. Sīhanādavaggo
๑. จูฬสีหนาทสุตฺตวณฺณนา
1. Cūḷasīhanādasuttavaṇṇanā
๑๓๙. เอวํ เม สุตนฺติ จูฬสีหนาทสุตฺตํฯ ยสฺมา ปนสฺส อตฺถุปฺปตฺติโก นิเกฺขโป, ตสฺมา ตํ ทเสฺสตฺวา จสฺส อนุปุพฺพปทวณฺณนํ กริสฺสามฯ กตราย ปนิทํ อตฺถุปฺปตฺติยา นิกฺขิตฺตนฺติ? ลาภสกฺการปจฺจยา ติตฺถิยปริเทวิเตฯ ภควโต กิร ธมฺมทายาทสุเตฺต วุตฺตนเยน มหาลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชิฯ จตุปฺปมาณิโก หิ อยํ โลกสนฺนิวาโส, รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺน, โฆสปฺปมาโณ โฆสปฺปสโนฺน, ลูขปฺปมาโณ ลูขปฺปสโนฺน, ธมฺมปฺปมาโณ ธมฺมปฺปสโนฺนติ อิเมสํ ปุคฺคลานํ วเสน จตุธา ฐิโตฯ
139.Evaṃme sutanti cūḷasīhanādasuttaṃ. Yasmā panassa atthuppattiko nikkhepo, tasmā taṃ dassetvā cassa anupubbapadavaṇṇanaṃ karissāma. Katarāya panidaṃ atthuppattiyā nikkhittanti? Lābhasakkārapaccayā titthiyaparidevite. Bhagavato kira dhammadāyādasutte vuttanayena mahālābhasakkāro uppajji. Catuppamāṇiko hi ayaṃ lokasannivāso, rūpappamāṇo rūpappasanno, ghosappamāṇo ghosappasanno, lūkhappamāṇo lūkhappasanno, dhammappamāṇo dhammappasannoti imesaṃ puggalānaṃ vasena catudhā ṭhito.
เตสํ อิทํ นานากรณํ – กตโม จ ปุคฺคโล รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺน? อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล อาโรหํ วา ปสฺสิตฺวา ปริณาหํ วา ปสฺสิตฺวา สณฺฐานํ วา ปสฺสิตฺวา ปาริปูริํ วา ปสฺสิตฺวา ตตฺถ ปมาณํ คเหตฺวา ปสาทํ ชเนติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺนฯ
Tesaṃ idaṃ nānākaraṇaṃ – katamo ca puggalo rūpappamāṇo rūpappasanno? Idhekacco puggalo ārohaṃ vā passitvā pariṇāhaṃ vā passitvā saṇṭhānaṃ vā passitvā pāripūriṃ vā passitvā tattha pamāṇaṃ gahetvā pasādaṃ janeti, ayaṃ vuccati puggalo rūpappamāṇo rūpappasanno.
กตโม จ ปุคฺคโล โฆสปฺปมาโณ โฆสปฺปสโนฺน? อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล ปรวณฺณนาย ปรโถมนาย ปรปสํสนาย ปรวณฺณหาริกาย, ตตฺถ ปมาณํ คเหตฺวา ปสาทํ ชเนติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล โฆสปฺปมาโณ โฆสปฺปสโนฺนฯ
Katamo ca puggalo ghosappamāṇo ghosappasanno? Idhekacco puggalo paravaṇṇanāya parathomanāya parapasaṃsanāya paravaṇṇahārikāya, tattha pamāṇaṃ gahetvā pasādaṃ janeti, ayaṃ vuccati puggalo ghosappamāṇo ghosappasanno.
กตโม จ ปุคฺคโล ลูขปฺปมาโณ ลูขปฺปสโนฺน? อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล จีวรลูขํ วา ปสฺสิตฺวา ปตฺตลูขํ วา ปสฺสิตฺวา, เสนาสนลูขํ วา ปสฺสิตฺวา วิวิธํ วา ทุกฺกรการิกํ ปสฺสิตฺวา ตตฺถ ปมาณํ คเหตฺวา ปสาทํ ชเนติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ลูขปฺปมาโณ ลูขปฺปสโนฺนฯ
Katamo ca puggalo lūkhappamāṇo lūkhappasanno? Idhekacco puggalo cīvaralūkhaṃ vā passitvā pattalūkhaṃ vā passitvā, senāsanalūkhaṃ vā passitvā vividhaṃ vā dukkarakārikaṃ passitvā tattha pamāṇaṃ gahetvā pasādaṃ janeti, ayaṃ vuccati puggalo lūkhappamāṇo lūkhappasanno.
กตโม จ ปุคฺคโล ธมฺมปฺปมาโณ ธมฺมปฺปสโนฺน? อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล สีลํ วา ปสฺสิตฺวา สมาธิํ วา ปสฺสิตฺวา ปญฺญํ วา ปสฺสิตฺวา ตตฺถ ปมาณํ คเหตฺวา ปสาทํ ชเนติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ธมฺมปฺปมาโณ ธมฺมปฺปสโนฺนติฯ
Katamo ca puggalo dhammappamāṇo dhammappasanno? Idhekacco puggalo sīlaṃ vā passitvā samādhiṃ vā passitvā paññaṃ vā passitvā tattha pamāṇaṃ gahetvā pasādaṃ janeti, ayaṃ vuccati puggalo dhammappamāṇo dhammappasannoti.
อิเมสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ รูปปฺปมาโณปิ ภควโต อาโรหปริณาหสณฺฐานปาริปูริวณฺณโปกฺขรตํ, อสีติอนุพฺยญฺชนปฺปฎิมณฺฑิตตฺตา นานารตนวิจิตฺตมิว สุวณฺณมหาปฎํ, ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณสมากิณฺณตาย ตาราคณสมุชฺชลํ วิย คคนตลํ สพฺพผาลิผุลฺลํ วิย จ โยชนสตุเพฺพธํ ปาริจฺฉตฺตกํ อฎฺฐารสรตนุเพฺพธํ พฺยามปฺปภาปริเกฺขปํ สสฺสิริกํ อโนปมสรีรํ ทิสฺวา สมฺมาสมฺพุเทฺธเยว ปสีทติฯ
Imesu catūsu puggalesu rūpappamāṇopi bhagavato ārohapariṇāhasaṇṭhānapāripūrivaṇṇapokkharataṃ, asītianubyañjanappaṭimaṇḍitattā nānāratanavicittamiva suvaṇṇamahāpaṭaṃ, dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇasamākiṇṇatāya tārāgaṇasamujjalaṃ viya gaganatalaṃ sabbaphāliphullaṃ viya ca yojanasatubbedhaṃ pāricchattakaṃ aṭṭhārasaratanubbedhaṃ byāmappabhāparikkhepaṃ sassirikaṃ anopamasarīraṃ disvā sammāsambuddheyeva pasīdati.
โฆสปฺปมาโณปิ, ภควตา กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโย ปูริตา องฺคปริจฺจาโค ปุตฺตทารปริจฺจาโค, รชฺชปริจฺจาโค อตฺตปริจฺจาโค นยนปริจฺจาโค จ กโตติอาทินา นเยน ปวตฺตํ โฆสํ สุตฺวา สมฺมาสมฺพุเทฺธเยว ปสีทติฯ
Ghosappamāṇopi, bhagavatā kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni dasa pāramiyo dasa upapāramiyo dasa paramatthapāramiyo pūritā aṅgapariccāgo puttadārapariccāgo, rajjapariccāgo attapariccāgo nayanapariccāgo ca katotiādinā nayena pavattaṃ ghosaṃ sutvā sammāsambuddheyeva pasīdati.
ลูขปฺปมาโณปิ ภควโต จีวรลูขํ ทิสฺวา ‘‘สเจ ภควา อคารํ อชฺฌาวสิสฺส, กาสิกวตฺถเมว อธารยิสฺสฯ ปพฺพชิตฺวา ปนาเนน สาณปํสุกูลจีวเรน สนฺตุสฺสมาเนน ภาริยํ กต’’นฺติ สมฺมาสมฺพุเทฺธเยว ปสีทติฯ ปตฺตลูขมฺปิ ทิสฺวา – ‘‘อิมินา อคารํ อชฺฌาวสเนฺตน รตฺตวรสุวณฺณภาชเนสุ จกฺกวตฺติโภชนารหํ สุคนฺธสาลิโภชนํ ปริภุตฺตํ, ปพฺพชิตฺวา ปน ปาสาณมยํ ปตฺตํ อาทาย อุจฺจนีจกุลทฺวาเรสุ สปทานํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ลทฺธปิณฺฑิยาโลเปน สนฺตุสฺสมาโน ภาริยํ กโรตี’’ติ สมฺมาสมฺพุเทฺธเยว ปสีทติฯ เสนาสนลูขํ ทิสฺวาปิ – ‘‘อยํ อคารํ อชฺฌาวสโนฺต ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิเกสุ ตีสุ ปาสาเทสุ ติวิธนาฎกปริวาโร ทิพฺพสมฺปตฺติํ วิย รชฺชสิริํ อนุภวิตฺวา อิทานิ ปพฺพชฺชูปคโต รุกฺขมูลเสนาสนาทีสุ ทารุผลกสิลาปฎฺฎปีฐมญฺจกาทีหิ สนฺตุสฺสมาโน ภาริยํ กโรตี’’ติ สมฺมาสมฺพุเทฺธเยว ปสีทติฯ ทุกฺกรการิกมสฺส ทิสฺวาปิ – ‘‘ฉพฺพสฺสานิ นาม มุคฺคยูสกุลตฺถยูสหเรณุยูสาทีนํ ปสฎมเตฺตน ยาเปสฺสติ, อปฺปาณกํ ฌานํ ฌายิสฺสติ, สรีเร จ ชีวิเต จ อนเปโกฺข วิหริสฺสติ, อโห ทุกฺกรการโก ภควา’’ติ สมฺมาสมฺพุเทฺธเยว ปสีทติฯ
Lūkhappamāṇopi bhagavato cīvaralūkhaṃ disvā ‘‘sace bhagavā agāraṃ ajjhāvasissa, kāsikavatthameva adhārayissa. Pabbajitvā panānena sāṇapaṃsukūlacīvarena santussamānena bhāriyaṃ kata’’nti sammāsambuddheyeva pasīdati. Pattalūkhampi disvā – ‘‘iminā agāraṃ ajjhāvasantena rattavarasuvaṇṇabhājanesu cakkavattibhojanārahaṃ sugandhasālibhojanaṃ paribhuttaṃ, pabbajitvā pana pāsāṇamayaṃ pattaṃ ādāya uccanīcakuladvāresu sapadānaṃ piṇḍāya caritvā laddhapiṇḍiyālopena santussamāno bhāriyaṃ karotī’’ti sammāsambuddheyeva pasīdati. Senāsanalūkhaṃ disvāpi – ‘‘ayaṃ agāraṃ ajjhāvasanto tiṇṇaṃ utūnaṃ anucchavikesu tīsu pāsādesu tividhanāṭakaparivāro dibbasampattiṃ viya rajjasiriṃ anubhavitvā idāni pabbajjūpagato rukkhamūlasenāsanādīsu dāruphalakasilāpaṭṭapīṭhamañcakādīhi santussamāno bhāriyaṃ karotī’’ti sammāsambuddheyeva pasīdati. Dukkarakārikamassa disvāpi – ‘‘chabbassāni nāma muggayūsakulatthayūsahareṇuyūsādīnaṃ pasaṭamattena yāpessati, appāṇakaṃ jhānaṃ jhāyissati, sarīre ca jīvite ca anapekkho viharissati, aho dukkarakārako bhagavā’’ti sammāsambuddheyeva pasīdati.
ธมฺมปฺปมาโณปิ ภควโต สีลคุณํ สมาธิคุณํ ปญฺญาคุณํ ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺติสมฺปทํ อภิญฺญาปาริปูริํ ยมกปาฎิหาริยํ เทโวโรหณํ ปาถิกปุตฺตทมนาทีนิ จ อเนกานิ อจฺฉริยานิ ทิสฺวา สมฺมาสมฺพุเทฺธเยว ปสีทติ, เต เอวํ ปสนฺนา ภควโต มหนฺตํ ลาภสกฺการํ อภิหรนฺติฯ ติตฺถิยานํ ปน พาเวรุชาตเก กากสฺส วิย ลาภสกฺกาโร ปริหายิตฺถฯ ยถาห –
Dhammappamāṇopi bhagavato sīlaguṇaṃ samādhiguṇaṃ paññāguṇaṃ jhānavimokkhasamādhisamāpattisampadaṃ abhiññāpāripūriṃ yamakapāṭihāriyaṃ devorohaṇaṃ pāthikaputtadamanādīni ca anekāni acchariyāni disvā sammāsambuddheyeva pasīdati, te evaṃ pasannā bhagavato mahantaṃ lābhasakkāraṃ abhiharanti. Titthiyānaṃ pana bāverujātake kākassa viya lābhasakkāro parihāyittha. Yathāha –
‘‘อทสฺสเนน โมรสฺส, สิขิโน มญฺชุภาณิโน;
‘‘Adassanena morassa, sikhino mañjubhāṇino;
กากํ ตตฺถ อปูเชสุํ, มํเสน จ ผเลน จฯ
Kākaṃ tattha apūjesuṃ, maṃsena ca phalena ca.
ยทา จ สรสมฺปโนฺน, โมโร พาเวรุมาคมา;
Yadā ca sarasampanno, moro bāverumāgamā;
อถ ลาโภ จ สกฺกาโร, วายสสฺส อหายถฯ
Atha lābho ca sakkāro, vāyasassa ahāyatha.
ยาว นุปฺปชฺชติ พุโทฺธ, ธมฺมราชา ปภงฺกโร;
Yāva nuppajjati buddho, dhammarājā pabhaṅkaro;
ตาว อเญฺญ อปูเชสุํ, ปุถู สมณพฺราหฺมเณฯ
Tāva aññe apūjesuṃ, puthū samaṇabrāhmaṇe.
ยทา จ สรสมฺปโนฺน, พุโทฺธ ธมฺมมเทสยิ;
Yadā ca sarasampanno, buddho dhammamadesayi;
อถ ลาโภ จ สกฺกาโร, ติตฺถิยานํ อหายถา’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๑๕๓-๑๕๖);
Atha lābho ca sakkāro, titthiyānaṃ ahāyathā’’ti. (jā. 1.4.153-156);
เต เอวํ ปหีนลาภสกฺการา รตฺติํ เอกทฺวงฺคุลมตฺตํ โอภาเสตฺวาปิ สูริยุคฺคมเน ขโชฺชปนกา วิย หตปฺปภา อเหสุํฯ
Te evaṃ pahīnalābhasakkārā rattiṃ ekadvaṅgulamattaṃ obhāsetvāpi sūriyuggamane khajjopanakā viya hatappabhā ahesuṃ.
ยถา หิ ขโชฺชปนกา, กาฬปกฺขมฺหิ รตฺติยา;
Yathā hi khajjopanakā, kāḷapakkhamhi rattiyā;
นิทสฺสยนฺติ โอภาสํ, เอเตสํ วิสโย หิ โสฯ
Nidassayanti obhāsaṃ, etesaṃ visayo hi so.
ยทา จ รสฺมิสมฺปโนฺน, อพฺภุเทติ ปภงฺกโร;
Yadā ca rasmisampanno, abbhudeti pabhaṅkaro;
อถ ขชฺชุปสงฺฆานํ, ปภา อนฺตรธายติฯ
Atha khajjupasaṅghānaṃ, pabhā antaradhāyati.
เอวํ ขชฺชุปสทิสา, ติตฺถิยาปิ ปุถู อิธ;
Evaṃ khajjupasadisā, titthiyāpi puthū idha;
กาฬปกฺขูปเม โลเก, ทีปยนฺติ สกํ คุณํฯ
Kāḷapakkhūpame loke, dīpayanti sakaṃ guṇaṃ.
ยทา จ พุโทฺธ โลกสฺมิํ, อุเทติ อมิตปฺปโภ;
Yadā ca buddho lokasmiṃ, udeti amitappabho;
นิปฺปภา ติตฺถิยา โหนฺติ, สูริเย ขชฺชุปกา ยถาติฯ
Nippabhā titthiyā honti, sūriye khajjupakā yathāti.
เต เอวํ นิปฺปภา หุตฺวา กจฺฉุปิฬกาทีหิ กิณฺณสรีรา ปรมปาริชุญฺญปตฺตา เยน พุโทฺธ เยน ธโมฺม เยน สโงฺฆ เยน จ มหาชนสฺส สนฺนิปาโต, เตน เตน คนฺตฺวา อนฺตรวีถิยมฺปิ สิงฺฆาฎเกปิ จตุเกฺกปิ สภายมฺปิ ฐตฺวา ปริเทวนฺติ –
Te evaṃ nippabhā hutvā kacchupiḷakādīhi kiṇṇasarīrā paramapārijuññapattā yena buddho yena dhammo yena saṅgho yena ca mahājanassa sannipāto, tena tena gantvā antaravīthiyampi siṅghāṭakepi catukkepi sabhāyampi ṭhatvā paridevanti –
‘‘กิํ โภ สมโณเยว โคตโม สมโณ, มยํ อสฺสมณา; สมณเสฺสว โคตมสฺส สาวกา สมณา, อมฺหากํ สาวกา อสฺสมณา? สมณเสฺสว โคตมสฺส สาวกานญฺจสฺส ทินฺนํ มหปฺผลํ, น อมฺหากํ, สาวกานญฺจ โน ทินฺนํ มหปฺผลํ? นนุ สมโณปิ โคตโม สมโณ, มยมฺปิ สมณาฯ สมณสฺสปิ โคตมสฺส สาวกา สมณา, อมฺหากมฺปิ สาวกา สมณาฯ สมณสฺสปิ โคตมสฺส สาวกานญฺจสฺส ทินฺนํ มหปฺผลํ, อมฺหากมฺปิ สาวกานญฺจ โน ทินฺนํ มหปฺผลเญฺจว? สมณสฺสปิ โคตมสฺส สาวกานญฺจสฺส เทถ กโรถ, อมฺหากมฺปิ สาวกานญฺจ โน เทถ สกฺกโรถ? นนุ สมโณ โคตโม ปุริมานิ ทิวสานิ อุปฺปโนฺน, มยํ ปน โลเก อุปฺปชฺชมาเนเยว อุปฺปนฺนา’’ติฯ
‘‘Kiṃ bho samaṇoyeva gotamo samaṇo, mayaṃ assamaṇā; samaṇasseva gotamassa sāvakā samaṇā, amhākaṃ sāvakā assamaṇā? Samaṇasseva gotamassa sāvakānañcassa dinnaṃ mahapphalaṃ, na amhākaṃ, sāvakānañca no dinnaṃ mahapphalaṃ? Nanu samaṇopi gotamo samaṇo, mayampi samaṇā. Samaṇassapi gotamassa sāvakā samaṇā, amhākampi sāvakā samaṇā. Samaṇassapi gotamassa sāvakānañcassa dinnaṃ mahapphalaṃ, amhākampi sāvakānañca no dinnaṃ mahapphalañceva? Samaṇassapi gotamassa sāvakānañcassa detha karotha, amhākampi sāvakānañca no detha sakkarotha? Nanu samaṇo gotamo purimāni divasāni uppanno, mayaṃ pana loke uppajjamāneyeva uppannā’’ti.
เอวํ นานปฺปการํ วิรวนฺติฯ อถ ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย อุปาสกา อุปาสิกาโยติ จตโสฺส ปริสา เตสํ สทฺทํ สุตฺวา ภควโต อาโรเจสุํ ‘‘ติตฺถิยา ภเนฺต อิทญฺจิทญฺจ กเถนฺตี’’ติ ฯ ตํ สุตฺวา ภควา – ‘‘มา ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ติตฺถิยานํ วจเนน ‘อญฺญตฺร สมโณ อตฺถี’ติ สญฺญิโน อหุวตฺถา’’ติ วตฺวา อญฺญติตฺถิเยสุ สมณภาวํ ปฎิเสเธโนฺต อิเธว จ อนุชานโนฺต อิมิสฺสา อตฺถุปฺปตฺติยา อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณติ อิทํ สุตฺตํ อภาสิฯ
Evaṃ nānappakāraṃ viravanti. Atha bhikkhū bhikkhuniyo upāsakā upāsikāyoti catasso parisā tesaṃ saddaṃ sutvā bhagavato ārocesuṃ ‘‘titthiyā bhante idañcidañca kathentī’’ti . Taṃ sutvā bhagavā – ‘‘mā tumhe, bhikkhave, titthiyānaṃ vacanena ‘aññatra samaṇo atthī’ti saññino ahuvatthā’’ti vatvā aññatitthiyesu samaṇabhāvaṃ paṭisedhento idheva ca anujānanto imissā atthuppattiyā idheva, bhikkhave, samaṇoti idaṃ suttaṃ abhāsi.
ตตฺถ อิเธวาติ อิมสฺมิํเยว สาสเนฯ อยํ ปน นิยโม เสสปเทสุปิ เวทิตโพฺพฯ ทุติยาทโยปิ หิ สมณา อิเธว, น อญฺญตฺถฯ สมโณติ โสตาปโนฺนฯ เตเนวาห – ‘‘กตโม จ, ภิกฺขเว, ปฐโม สมโณ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน โหติ อวินิปาตธโมฺม นิยโต สโมฺพธิปรายโณ, อยํ, ภิกฺขเว, ปฐโม สมโณ’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ
Tattha idhevāti imasmiṃyeva sāsane. Ayaṃ pana niyamo sesapadesupi veditabbo. Dutiyādayopi hi samaṇā idheva, na aññattha. Samaṇoti sotāpanno. Tenevāha – ‘‘katamo ca, bhikkhave, paṭhamo samaṇo? Idha, bhikkhave, bhikkhu tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno hoti avinipātadhammo niyato sambodhiparāyaṇo, ayaṃ, bhikkhave, paṭhamo samaṇo’’ti (a. ni. 4.241).
ทุติโยติ สกทาคามีฯ เตเนวาห – ‘‘กตโม จ? ภิกฺขเว, ทุติโย สมโณฯ อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามี โหติ, สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ทุติโย สมโณ’’ติฯ
Dutiyoti sakadāgāmī. Tenevāha – ‘‘katamo ca? Bhikkhave, dutiyo samaṇo. Idha, bhikkhave, bhikkhu tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā rāgadosamohānaṃ tanuttā sakadāgāmī hoti, sakideva imaṃ lokaṃ āgantvā dukkhassantaṃ karoti. Ayaṃ, bhikkhave, dutiyo samaṇo’’ti.
ตติโยติ อนาคามีฯ เตเนวาห – ‘‘กตโม จ, ภิกฺขเว, ตติโย สมโณ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก โหติ ตตฺถ ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธโมฺม ตสฺมา โลกาฯ อยํ, ภิกฺขเว, ตติโย สมโณ’’ติฯ
Tatiyoti anāgāmī. Tenevāha – ‘‘katamo ca, bhikkhave, tatiyo samaṇo? Idha, bhikkhave, bhikkhu pañcannaṃ orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā opapātiko hoti tattha parinibbāyī anāvattidhammo tasmā lokā. Ayaṃ, bhikkhave, tatiyo samaṇo’’ti.
จตุโตฺถติ อรหาฯ เตเนวาห – ‘‘กตโม จ, ภิกฺขเว, จตุโตฺถ สมโณ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ, ภิกฺขเว, จตุโตฺถ สมโณ’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ อิติ อิมสฺมิํ ฐาเน จตฺตาโร ผลฎฺฐกสมณาว อธิเปฺปตาฯ
Catutthoti arahā. Tenevāha – ‘‘katamo ca, bhikkhave, catuttho samaṇo? Idha, bhikkhave, bhikkhu āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharati. Ayaṃ, bhikkhave, catuttho samaṇo’’ti (a. ni. 4.241). Iti imasmiṃ ṭhāne cattāro phalaṭṭhakasamaṇāva adhippetā.
สุญฺญาติ ริตฺตา ตุจฺฉาฯ ปรปฺปวาทาติ จตฺตาโร สสฺสตวาทา, จตฺตาโร เอกจฺจสสฺสติกา, จตฺตาโร อนฺตานนฺติกา, จตฺตาโร อมราวิเกฺขปิกา, เทฺว อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา, โสฬส สญฺญีวาทา, อฎฺฐ อสญฺญีวาทา, อฎฺฐ เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา, สตฺต อุเจฺฉทวาทา, ปญฺจ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทาติ อิเม สเพฺพปิ พฺรหฺมชาเล อาคตา ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโยฯ อิโต พาหิรานํ ปเรสํ วาทา ปรปฺปวาทา นามฯ เต สเพฺพปิ อิเมหิ จตูหิ ผลฎฺฐกสมเณหิ สุญฺญา, น หิ เต เอตฺถ สนฺติฯ น เกวลญฺจ เอเตเหว สุญฺญา, จตูหิ ปน มคฺคฎฺฐกสมเณหิปิ จตุนฺนํ มคฺคานํ อตฺถาย อารทฺธวิปสฺสเกหิปีติ ทฺวาทสหิปิ สมเณหิ สุญฺญา เอวฯ อิมเมว อตฺถํ สนฺธาย ภควตา มหาปรินิพฺพาเน วุตฺตํ –
Suññāti rittā tucchā. Parappavādāti cattāro sassatavādā, cattāro ekaccasassatikā, cattāro antānantikā, cattāro amarāvikkhepikā, dve adhiccasamuppannikā, soḷasa saññīvādā, aṭṭha asaññīvādā, aṭṭha nevasaññīnāsaññīvādā, satta ucchedavādā, pañca diṭṭhadhammanibbānavādāti ime sabbepi brahmajāle āgatā dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo. Ito bāhirānaṃ paresaṃ vādā parappavādā nāma. Te sabbepi imehi catūhi phalaṭṭhakasamaṇehi suññā, na hi te ettha santi. Na kevalañca eteheva suññā, catūhi pana maggaṭṭhakasamaṇehipi catunnaṃ maggānaṃ atthāya āraddhavipassakehipīti dvādasahipi samaṇehi suññā eva. Imameva atthaṃ sandhāya bhagavatā mahāparinibbāne vuttaṃ –
‘‘เอกูนติํโส วยสา สุภทฺท,
‘‘Ekūnatiṃso vayasā subhadda,
ยํ ปพฺพชิํ กิํ กุสลานุเอสี;
Yaṃ pabbajiṃ kiṃ kusalānuesī;
วสฺสานิ ปญฺญาส สมาธิกานิ,
Vassāni paññāsa samādhikāni,
ยโต อหํ ปพฺพชิโต สุภทฺท;
Yato ahaṃ pabbajito subhadda;
ญายสฺส ธมฺมสฺส ปเทสวตฺตี,
Ñāyassa dhammassa padesavattī,
อิโต พหิทฺธา สมโณปิ นตฺถิฯ
Ito bahiddhā samaṇopi natthi.
‘‘ทุติโยปิ สมโณ นตฺถิ, ตติโยปิ สมโณ นตฺถิ, จตุโตฺถปิ สมโณ นตฺถิฯ สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อเญฺญหี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๔)ฯ
‘‘Dutiyopi samaṇo natthi, tatiyopi samaṇo natthi, catutthopi samaṇo natthi. Suññā parappavādā samaṇebhi aññehī’’ti (dī. ni. 2.214).
เอตฺถ หิ ปเทสวตฺตีติ อารทฺธวิปสฺสโก อธิเปฺปโตฯ ตสฺมา โสตาปตฺติมคฺคสฺส อารทฺธวิปสฺสกํ มคฺคฎฺฐํ ผลฎฺฐนฺติ ตโยปิ เอกโต กตฺวา สมโณปิ นตฺถีติ อาหฯ สกทาคามิมคฺคสฺส อารทฺธวิปสฺสกํ มคฺคฎฺฐํ ผลฎฺฐนฺติ ตโยปิ เอกโต กตฺวา ทุติโยปิ สมโณ นตฺถีติ อาหฯ อิตเรสุปิ ทฺวีสุ เอเสว นโยฯ
Ettha hi padesavattīti āraddhavipassako adhippeto. Tasmā sotāpattimaggassa āraddhavipassakaṃ maggaṭṭhaṃ phalaṭṭhanti tayopi ekato katvā samaṇopi natthīti āha. Sakadāgāmimaggassa āraddhavipassakaṃ maggaṭṭhaṃ phalaṭṭhanti tayopi ekato katvā dutiyopi samaṇo natthīti āha. Itaresupi dvīsu eseva nayo.
กสฺมา ปเนเต อญฺญตฺถ นตฺถีติ? อเขตฺตตายฯ ยถา หิ น อารเคฺค สาสโป ติฎฺฐติ, น อุทกปิเฎฺฐ อคฺคิ ชลติ, น ปิฎฺฐิปาสาเณ พีชานิ รุหนฺติ, เอวเมว พาหิเรสุ ติตฺถายตเนสุ น อิเม สมณา อุปฺปชฺชนฺติ, อิมสฺมิํเยว ปน สาสเน อุปฺปชฺชนฺติฯ กสฺมา? เขตฺตตายฯ เตสํ อเขตฺตตา จ เขตฺตตา จ อริยมคฺคสฺส อภาวโต จ ภาวโต จ เวทิตพฺพาฯ เตนาห ภควา –
Kasmā panete aññattha natthīti? Akhettatāya. Yathā hi na āragge sāsapo tiṭṭhati, na udakapiṭṭhe aggi jalati, na piṭṭhipāsāṇe bījāni ruhanti, evameva bāhiresu titthāyatanesu na ime samaṇā uppajjanti, imasmiṃyeva pana sāsane uppajjanti. Kasmā? Khettatāya. Tesaṃ akhettatā ca khettatā ca ariyamaggassa abhāvato ca bhāvato ca veditabbā. Tenāha bhagavā –
‘‘ยสฺมิํ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค น อุปลพฺภติ, สมโณปิ ตตฺถ น อุปลพฺภติ, ทุติโยปิ ตตฺถ สมโณ น อุปลพฺภติ, ตติโยปิ ตตฺถ สมโณ น อุปลพฺภติ, จตุโตฺถปิ ตตฺถ สมโณ น อุปลพฺภติฯ ยสฺมิญฺจ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค อุปลพฺภติ, สมโณปิ ตตฺถ อุปลพฺภติ, ทุติโยปิ ตตฺถ…เป.…ฯ จตุโตฺถปิ ตตฺถ สมโณ อุปลพฺภติฯ อิมสฺมิํ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค อุปลพฺภติ, อิเธว, สุภทฺท, สมโณ, อิธ ทุติโย สมโณ, อิธ ตติโย สมโณ, อิธ จตุโตฺถ สมโณ, สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อเญฺญหี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๔)ฯ
‘‘Yasmiṃ kho, subhadda, dhammavinaye ariyo aṭṭhaṅgiko maggo na upalabbhati, samaṇopi tattha na upalabbhati, dutiyopi tattha samaṇo na upalabbhati, tatiyopi tattha samaṇo na upalabbhati, catutthopi tattha samaṇo na upalabbhati. Yasmiñca kho, subhadda, dhammavinaye ariyo aṭṭhaṅgiko maggo upalabbhati, samaṇopi tattha upalabbhati, dutiyopi tattha…pe…. Catutthopi tattha samaṇo upalabbhati. Imasmiṃ kho, subhadda, dhammavinaye ariyo aṭṭhaṅgiko maggo upalabbhati, idheva, subhadda, samaṇo, idha dutiyo samaṇo, idha tatiyo samaṇo, idha catuttho samaṇo, suññā parappavādā samaṇebhi aññehī’’ti (dī. ni. 2.214).
เอวํ ยสฺมา ติตฺถายตนํ อเขตฺตํ, สาสนํ เขตฺตํ, ตสฺมา ยถา สุรตฺตหตฺถปาโท สูรเกสรโก สีโห มิคราชา น สุสาเน วา สงฺการกูเฎ วา ปฎิวสติ, ติโยชนสหสฺสวิตฺถตํ ปน หิมวนฺตํ อโชฺฌคาเหตฺวา มณิคุหายํเยว ปฎิวสติฯ ยถา จ ฉทฺทโนฺต นาคราชา น โคจริยหตฺถิกุลาทีสุ นวสุ นาคกุเลสุ อุปฺปชฺชติ, ฉทฺทนฺตกุเลเยว อุปฺปชฺชติฯ ยถา จ วลาหโก อสฺสราชา น คทฺรภกุเล วา โฆฎกกุเล วา อุปฺปชฺชติ, สินฺธุยา ตีเร ปน สินฺธวกุเลเยว อุปฺปชฺชติฯ ยถา จ สพฺพกามททํ มโนหรํ มณิรตนํ น สงฺการกูเฎ วา ปํสุปพฺพตาทีสุ วา อุปฺปชฺชติ, เวปุลฺลปพฺพตพฺภนฺตเรเยว อุปฺปชฺชติฯ ยถา จ ติมิรปิงฺคโล มจฺฉราชา น ขุทฺทกโปกฺขรณีสุ อุปฺปชฺชติ, จตุราสีติโยชนสหสฺสคมฺภีเร มหาสมุเทฺทเยว อุปฺปชฺชติฯ ยถา จ ทิยฑฺฒโยชนสติโก สุปณฺณราชา น คามทฺวาเร เอรณฺฑวนาทีสุ ปฎิวสติ, มหาสมุทฺทํ ปน อโชฺฌคาเหตฺวา สิมฺพลิทหวเนเยว ปฎิวสติฯ ยถา จ ธตรโฎฺฐ สุวณฺณหํโส น คามทฺวาเร อาวาฎกาทีสุ ปฎิวสติ, นวุติหํสสหสฺสปริวาโร หุตฺวา จิตฺตกูฎปพฺพเตเยว ปฎิวสติฯ ยถา จ จตุทฺทีปิสฺสโร จกฺกวตฺติราชา น นีจกุเล อุปฺปชฺชติ, อสมฺภินฺนชาติขตฺติยกุเลเยว ปน อุปฺปชฺชติฯ เอวเมว อิเมสุ สมเณสุ เอกสมโณปิ น อญฺญติตฺถายตเน อุปฺปชฺชติ, อริยมคฺคปริกฺขิเตฺต ปน พุทฺธสาสเนเยว อุปฺปชฺชติฯ เตนาห ภควา ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ…เป.… สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณหิ สมเณภิ อเญฺญหี’’ติฯ
Evaṃ yasmā titthāyatanaṃ akhettaṃ, sāsanaṃ khettaṃ, tasmā yathā surattahatthapādo sūrakesarako sīho migarājā na susāne vā saṅkārakūṭe vā paṭivasati, tiyojanasahassavitthataṃ pana himavantaṃ ajjhogāhetvā maṇiguhāyaṃyeva paṭivasati. Yathā ca chaddanto nāgarājā na gocariyahatthikulādīsu navasu nāgakulesu uppajjati, chaddantakuleyeva uppajjati. Yathā ca valāhako assarājā na gadrabhakule vā ghoṭakakule vā uppajjati, sindhuyā tīre pana sindhavakuleyeva uppajjati. Yathā ca sabbakāmadadaṃ manoharaṃ maṇiratanaṃ na saṅkārakūṭe vā paṃsupabbatādīsu vā uppajjati, vepullapabbatabbhantareyeva uppajjati. Yathā ca timirapiṅgalo maccharājā na khuddakapokkharaṇīsu uppajjati, caturāsītiyojanasahassagambhīre mahāsamuddeyeva uppajjati. Yathā ca diyaḍḍhayojanasatiko supaṇṇarājā na gāmadvāre eraṇḍavanādīsu paṭivasati, mahāsamuddaṃ pana ajjhogāhetvā simbalidahavaneyeva paṭivasati. Yathā ca dhataraṭṭho suvaṇṇahaṃso na gāmadvāre āvāṭakādīsu paṭivasati, navutihaṃsasahassaparivāro hutvā cittakūṭapabbateyeva paṭivasati. Yathā ca catuddīpissaro cakkavattirājā na nīcakule uppajjati, asambhinnajātikhattiyakuleyeva pana uppajjati. Evameva imesu samaṇesu ekasamaṇopi na aññatitthāyatane uppajjati, ariyamaggaparikkhitte pana buddhasāsaneyeva uppajjati. Tenāha bhagavā ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo…pe… suññā parappavādā samaṇehi samaṇebhi aññehī’’ti.
สมฺมา สีหนาทํ นทถาติ เอตฺถ สมฺมาติ เหตุนา นเยน การเณนฯ สีหนาทนฺติ เสฎฺฐนาทํ อภีตนาทํ อปฺปฎินาทํฯ อิเมสญฺหิ จตุนฺนํ สมณานํ อิเธว อตฺถิตาย อยํ นาโท เสฎฺฐนาโท นาม โหติ อุตฺตมนาโทฯ ‘‘อิเม สมณา อิเธว อตฺถี’’ติ วทนฺตสฺส อญฺญโต ภยํ วา อาสงฺกา วา นตฺถีติ อภีตนาโท นาม โหติฯ ‘‘อมฺหากมฺปิ สาสเน อิเม สมณา อตฺถี’’ติ ปูรณาทีสุ เอกสฺสาปิ อุฎฺฐหิตฺวา วตฺตุํ อสมตฺถตาย อยํ นาโท อปฺปฎินาโท นาม โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สีหนาทนฺติ เสฎฺฐนาทํ อภีตนาทํ อปฺปฎินาท’’นฺติฯ
Sammā sīhanādaṃ nadathāti ettha sammāti hetunā nayena kāraṇena. Sīhanādanti seṭṭhanādaṃ abhītanādaṃ appaṭinādaṃ. Imesañhi catunnaṃ samaṇānaṃ idheva atthitāya ayaṃ nādo seṭṭhanādo nāma hoti uttamanādo. ‘‘Ime samaṇā idheva atthī’’ti vadantassa aññato bhayaṃ vā āsaṅkā vā natthīti abhītanādo nāma hoti. ‘‘Amhākampi sāsane ime samaṇā atthī’’ti pūraṇādīsu ekassāpi uṭṭhahitvā vattuṃ asamatthatāya ayaṃ nādo appaṭinādo nāma hoti. Tena vuttaṃ ‘‘sīhanādanti seṭṭhanādaṃ abhītanādaṃ appaṭināda’’nti.
๑๔๐. ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชตีติ อิทํ โข ปน การณํ วิชฺชติฯ ยํ อญฺญติตฺถิยาติ เยน การเณน อญฺญติตฺถิยาฯ เอตฺถ จ ติตฺถํ ชานิตพฺพํ, ติตฺถกโร ชานิตโพฺพ ติตฺถิยา ชานิตพฺพา, ติตฺถิยสาวกา ชานิตพฺพาฯ ติตฺถํนาม ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโยฯ เอตฺถ หิ สตฺตา ตรนฺติ อุปฺปลวนฺติ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรนฺติ, ตสฺมา ติตฺถนฺติ วุจฺจนฺติฯ ตาสํ ทิฎฺฐีนํ อุปฺปาเทตา ติตฺถกโร นามฯ ตสฺส ลทฺธิํ คเหตฺวา ปพฺพชิตา ติตฺถิยา นามฯ เตสํ ปจฺจยทายกา ติตฺถิยสาวกาติ เวทิตพฺพาฯ ปริพฺพาชกาติ คิหิพนฺธนํ ปหาย ปพฺพชฺชูปคตาฯ อสฺสาโสติ อวสฺสโย ปติฎฺฐา อุปตฺถโมฺภฯ พลนฺติ ถาโมฯ เยน ตุเมฺหติ เยน อสฺสาเสน วา พเลน วา เอวํ วเทถฯ
140.Ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjatīti idaṃ kho pana kāraṇaṃ vijjati. Yaṃ aññatitthiyāti yena kāraṇena aññatitthiyā. Ettha ca titthaṃ jānitabbaṃ, titthakaro jānitabbo titthiyā jānitabbā, titthiyasāvakā jānitabbā. Titthaṃnāma dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo. Ettha hi sattā taranti uppalavanti ummujjanimujjaṃ karonti, tasmā titthanti vuccanti. Tāsaṃ diṭṭhīnaṃ uppādetā titthakaro nāma. Tassa laddhiṃ gahetvā pabbajitā titthiyā nāma. Tesaṃ paccayadāyakā titthiyasāvakāti veditabbā. Paribbājakāti gihibandhanaṃ pahāya pabbajjūpagatā. Assāsoti avassayo patiṭṭhā upatthambho. Balanti thāmo. Yena tumheti yena assāsena vā balena vā evaṃ vadetha.
อตฺถิ โข โน, อาวุโส, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธนาติ เอตฺถ อยํ สเงฺขปโตฺถ – โย โส ภควา สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพกิเลเส ภญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, เตน ภควตา เตสํ เตสํ สตฺตานํ อาสยานุสยํ ชานตา, หตฺถตเล ฐปิตํ อามลกํ วิย สพฺพํ เญยฺยธมฺมํ ปสฺสตาฯ อปิจ ปุเพฺพนิวาสาทีหิ ชานตา, ทิเพฺพน จกฺขุนา ปสฺสตาฯ ตีหิ วิชฺชาหิ ฉหิ วา ปน อภิญฺญาหิ ชานตา, สพฺพตฺถ อปฺปฎิหเตน สมนฺตจกฺขุนา ปสฺสตาฯ สพฺพธมฺมชานนสมตฺถาย ปญฺญาย ชานตา, สพฺพสตฺตานํ จกฺขุวิสยาตีตานิ ติโรกุฎฺฎาทิคตานิ วาปิ รูปานิ อติวิสุเทฺธน มํสจกฺขุนา ปสฺสตาฯ อตฺตหิตสาธิกาย สมาธิปทฎฺฐานาย ปฎิเวธปญฺญาย ชานตา, ปรหิตสาธิกาย กรุณาปทฎฺฐานาย เทสนาปญฺญาย ปสฺสตาฯ อรีนํ หตตฺตา ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา จ อรหตา, สมฺมา สามญฺจ สจฺจานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุเทฺธนฯ อนฺตรายิกธเมฺม วา ชานตา, นิยฺยานิกธเมฺม ปสฺสตาฯ กิเลสารีนํ หตตฺตา อรหตา, สมฺมา สามํ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุเทฺธนาติ, เอวํ จตุเวสารชฺชวเสน จตูหิ อากาเรหิ โถมิเตน จตฺตาโร ธมฺมา อกฺขาตา, เย มยํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมานา เอวํ วเทม, น ราชราชมหามตฺตาทีนํ อุปตฺถมฺภํ กายพลนฺติฯ
Atthikho no, āvuso, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhenāti ettha ayaṃ saṅkhepattho – yo so bhagavā samatiṃsa pāramiyo pūretvā sabbakilese bhañjitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho, tena bhagavatā tesaṃ tesaṃ sattānaṃ āsayānusayaṃ jānatā, hatthatale ṭhapitaṃ āmalakaṃ viya sabbaṃ ñeyyadhammaṃ passatā. Apica pubbenivāsādīhi jānatā, dibbena cakkhunā passatā. Tīhi vijjāhi chahi vā pana abhiññāhi jānatā, sabbattha appaṭihatena samantacakkhunā passatā. Sabbadhammajānanasamatthāya paññāya jānatā, sabbasattānaṃ cakkhuvisayātītāni tirokuṭṭādigatāni vāpi rūpāni ativisuddhena maṃsacakkhunā passatā. Attahitasādhikāya samādhipadaṭṭhānāya paṭivedhapaññāya jānatā, parahitasādhikāya karuṇāpadaṭṭhānāya desanāpaññāya passatā. Arīnaṃ hatattā paccayādīnaṃ arahattā ca arahatā, sammā sāmañca saccānaṃ buddhattā sammāsambuddhena. Antarāyikadhamme vā jānatā, niyyānikadhamme passatā. Kilesārīnaṃ hatattā arahatā, sammā sāmaṃ sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddhenāti, evaṃ catuvesārajjavasena catūhi ākārehi thomitena cattāro dhammā akkhātā, ye mayaṃ attani sampassamānā evaṃ vadema, na rājarājamahāmattādīnaṃ upatthambhaṃ kāyabalanti.
สตฺถริ ปสาโทติ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา นเยน พุทฺธคุเณ อนุสฺสรนฺตานํ อุปฺปนฺนปฺปสาโทฯ ธเมฺม ปสาโทติ ‘‘สฺวากฺขาโต ภควตา ธโมฺม’’ติอาทินา นเยน ธมฺมคุเณ อนุสฺสรนฺตานํ อุปฺปนฺนปฺปสาโทฯ สีเลสุ ปริปูรการิตาติ อริยกเนฺตสุ สีเลสุ ปริปูรการิตาฯ อริยกนฺตสีลานิ นาม ปญฺจสีลานิฯ ตานิ หิ ภวนฺตรคโตปิ อริยสาวโก อตฺตโน อริยสาวกภาวํ อชานโนฺตปิ น วีติกฺกมติฯ สเจปิ หิ นํ โกจิ วเทยฺย – ‘‘อิมํ สกลํ จกฺกวตฺติรชฺชํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ขุทฺทกมกฺขิกํ ชีวิตา โวโรเปหี’’ติ, อฎฺฐานเมตํ, ยํ โส ตสฺส วจนํ กเรยฺยฯ เอวํ อริยานํ สีลานิ กนฺตานิ ปิยานิ มนาปานิฯ ตานิ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘สีเลสุ ปริปูรการิตา’’ติฯ
Sattharipasādoti ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā nayena buddhaguṇe anussarantānaṃ uppannappasādo. Dhamme pasādoti ‘‘svākkhāto bhagavatā dhammo’’tiādinā nayena dhammaguṇe anussarantānaṃ uppannappasādo. Sīlesu paripūrakāritāti ariyakantesu sīlesu paripūrakāritā. Ariyakantasīlāni nāma pañcasīlāni. Tāni hi bhavantaragatopi ariyasāvako attano ariyasāvakabhāvaṃ ajānantopi na vītikkamati. Sacepi hi naṃ koci vadeyya – ‘‘imaṃ sakalaṃ cakkavattirajjaṃ sampaṭicchitvā khuddakamakkhikaṃ jīvitā voropehī’’ti, aṭṭhānametaṃ, yaṃ so tassa vacanaṃ kareyya. Evaṃ ariyānaṃ sīlāni kantāni piyāni manāpāni. Tāni sandhāya vuttaṃ ‘‘sīlesu paripūrakāritā’’ti.
สหธมฺมิกา โข ปนาติ ภิกฺขุ ภิกฺขุนี สิกฺขมานา สามเณโร สามเณรี อุปาสโก อุปาสิกาติ เอเต สตฺต สหธมฺมจาริโนฯ เอเตสุ หิ ภิกฺขุ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สหธมฺมํ จรติ สมานสิกฺขตายฯ ตถา ภิกฺขุนี ภิกฺขุนีหิ…เป.… อุปาสิกา อุปาสิกาหิ, โสตาปโนฺน โสตาปเนฺนหิ, สกทาคามี…เป.… อนาคามีหิ สหธมฺมํ จรติฯ ตสฺมา สเพฺพเปเต สหธมฺมิกาติ วุจฺจนฺติฯ อปิเจตฺถ อริยสาวกาเยว อธิเปฺปตาฯ เตสญฺหิ ภวนฺตเรปิ มคฺคทสฺสนมฺหิ วิวาโท นตฺถิ, ตสฺมา เต อจฺจนฺตํ เอกธมฺมจาริตาย สหธมฺมิกาฯ อิมินา, ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน ภควโต สาวกสโงฺฆ’’ติอาทินา นเยน สงฺฆํ อนุสฺสรนฺตานํ อุปฺปนฺนปฺปสาโท กถิโตฯ เอตฺตาวตา จตฺตาริ โสตาปนฺนสฺส องฺคานิ กถิตานิ โหนฺติฯ
Sahadhammikā kho panāti bhikkhu bhikkhunī sikkhamānā sāmaṇero sāmaṇerī upāsako upāsikāti ete satta sahadhammacārino. Etesu hi bhikkhu bhikkhūhi saddhiṃ sahadhammaṃ carati samānasikkhatāya. Tathā bhikkhunī bhikkhunīhi…pe… upāsikā upāsikāhi, sotāpanno sotāpannehi, sakadāgāmī…pe… anāgāmīhi sahadhammaṃ carati. Tasmā sabbepete sahadhammikāti vuccanti. Apicettha ariyasāvakāyeva adhippetā. Tesañhi bhavantarepi maggadassanamhi vivādo natthi, tasmā te accantaṃ ekadhammacāritāya sahadhammikā. Iminā, ‘‘suppaṭipanno bhagavato sāvakasaṅgho’’tiādinā nayena saṅghaṃ anussarantānaṃ uppannappasādo kathito. Ettāvatā cattāri sotāpannassa aṅgāni kathitāni honti.
อิเม โข โน, อาวุโสติ, อาวุโส, อิเม จตฺตาโร ธมฺมา เตน ภควตา อมฺหากํ อสฺสาโส เจว พลญฺจาติ อกฺขาตา, เย มยํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมานา เอวํ วเทมฯ
Ime kho no, āvusoti, āvuso, ime cattāro dhammā tena bhagavatā amhākaṃ assāso ceva balañcāti akkhātā, ye mayaṃ attani sampassamānā evaṃ vadema.
๑๔๑. โย อมฺหากํ สตฺถาติ อิมินา ปูรณกสฺสปาทิเก ฉ สตฺถาโร อปทิสฺสนฺติฯ ยถา ปน อิทานิ สาสเน อาจริยุปชฺฌายาทีสุ ‘‘อมฺหากํ อาจริโย, อมฺหากํ อุปชฺฌาโย’’ติ เคหสิตเปมํ โหติฯ เอวรูปํ เปมํ สนฺธาย ‘‘สตฺถริ ปสาโท’’ติ วทนฺติฯ เถโร ปนาห – ‘‘ยสฺมา สตฺถา นาม น เอกสฺส, น ทฺวินฺนํ โหติ, สเทวกสฺส โลกสฺส เอโกว สตฺถา, ตสฺมา ติตฺถิยา ‘อมฺหากํ สตฺถา’ ติ เอกปเทเนว สตฺถารํ วิสุํ กตฺวา อิมินาว ปเทน วิรุทฺธา ปราชิตา’’ติฯ ธเมฺม ปสาโทติ อิทํ ปน ยถา อิทานิ สาสเน ‘‘อมฺหากํ ทีฆนิกาโย อมฺหากํ มชฺฌิมนิกาโย’’ติ มมายนฺติ, เอวํ อตฺตโน อตฺตโน ปริยตฺติธเมฺม เคหสิตเปมํ สนฺธาย วทนฺติฯ สีเลสูติ อชสีลโคสีลเมณฺฑกสีลกุกฺกุรสีลาทีสุฯ อิธ โน อาวุโสติ เอตฺถ อิธาติ ปสาทํ สนฺธาย วทนฺติฯ โก อธิปฺปยาโสติ โก อธิกปฺปโยโคฯ ยทิทนฺติ ยมิทํ ตุมฺหากเญฺจว อมฺหากญฺจ นานากรณํ วเทยฺยาถฯ ตํ กิํ นาม? ตุมฺหากมฺปิ หิ จตูสุ ฐาเนสุ ปสาโท, อมฺหากมฺปิฯ นนุ เอตสฺมิํ ปสาเท ตุเมฺห จ อเมฺห จ เทฺวธา ภินฺนสุวณฺณํ วิย เอกสทิสาติ วาจาย สมธุรา หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ
141.Yo amhākaṃ satthāti iminā pūraṇakassapādike cha satthāro apadissanti. Yathā pana idāni sāsane ācariyupajjhāyādīsu ‘‘amhākaṃ ācariyo, amhākaṃ upajjhāyo’’ti gehasitapemaṃ hoti. Evarūpaṃ pemaṃ sandhāya ‘‘satthari pasādo’’ti vadanti. Thero panāha – ‘‘yasmā satthā nāma na ekassa, na dvinnaṃ hoti, sadevakassa lokassa ekova satthā, tasmā titthiyā ‘amhākaṃ satthā’ ti ekapadeneva satthāraṃ visuṃ katvā imināva padena viruddhā parājitā’’ti. Dhamme pasādoti idaṃ pana yathā idāni sāsane ‘‘amhākaṃ dīghanikāyo amhākaṃ majjhimanikāyo’’ti mamāyanti, evaṃ attano attano pariyattidhamme gehasitapemaṃ sandhāya vadanti. Sīlesūti ajasīlagosīlameṇḍakasīlakukkurasīlādīsu. Idha no āvusoti ettha idhāti pasādaṃ sandhāya vadanti. Ko adhippayāsoti ko adhikappayogo. Yadidanti yamidaṃ tumhākañceva amhākañca nānākaraṇaṃ vadeyyātha. Taṃ kiṃ nāma? Tumhākampi hi catūsu ṭhānesu pasādo, amhākampi. Nanu etasmiṃ pasāde tumhe ca amhe ca dvedhā bhinnasuvaṇṇaṃ viya ekasadisāti vācāya samadhurā hutvā aṭṭhaṃsu.
อถ เนสํ ตํ สมธุรตํ ภินฺทโนฺต ภควา เอวํ วาทิโนติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอกา นิฎฺฐาติ ยา ตสฺส ปสาทสฺส ปริโยสานภูตา นิฎฺฐา, กิํ สา เอกา, อุทาหุ ปุถูติ เอวํ ปุจฺฉถาติ วทติฯ ยสฺมา ปน ตสฺมิํ ตสฺมิํ สมเย นิฎฺฐํ อปญฺญเปโนฺต นาม นตฺถิ, พฺราหฺมณานญฺหิ พฺรหฺมโลโก นิฎฺฐา, มหาตาปสานํ อาภสฺสรา, ปริพฺพาชกานํ สุภกิณฺหา, อาชีวกานํ ‘‘อนนฺตมานโส’’ติ เอวํ ปริกปฺปิโต อสญฺญีภโว ฯ อิมสฺมิํ สาสเน ปน อรหตฺตํ นิฎฺฐาฯ สเพฺพว เจเต อรหตฺตเมว นิฎฺฐาติ วทนฺติฯ ทิฎฺฐิวเสน ปน พฺรหฺมโลกาทีนิ ปญฺญเปนฺติฯ ตสฺมา อตฺตโน อตฺตโน ลทฺธิวเสน เอกเมว นิฎฺฐํ ปญฺญเปนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ภควา สมฺมา พฺยากรมานาติอาทิมาหฯ
Atha nesaṃ taṃ samadhurataṃ bhindanto bhagavā evaṃ vādinotiādimāha. Tattha ekā niṭṭhāti yā tassa pasādassa pariyosānabhūtā niṭṭhā, kiṃ sā ekā, udāhu puthūti evaṃ pucchathāti vadati. Yasmā pana tasmiṃ tasmiṃ samaye niṭṭhaṃ apaññapento nāma natthi, brāhmaṇānañhi brahmaloko niṭṭhā, mahātāpasānaṃ ābhassarā, paribbājakānaṃ subhakiṇhā, ājīvakānaṃ ‘‘anantamānaso’’ti evaṃ parikappito asaññībhavo . Imasmiṃ sāsane pana arahattaṃ niṭṭhā. Sabbeva cete arahattameva niṭṭhāti vadanti. Diṭṭhivasena pana brahmalokādīni paññapenti. Tasmā attano attano laddhivasena ekameva niṭṭhaṃ paññapenti, taṃ dassetuṃ bhagavā sammā byākaramānātiādimāha.
อิทานิ ภิกฺขูนมฺปิ เอกา นิฎฺฐา, ติตฺถิยานมฺปิ เอกา นิฎฺฐาติ ทฺวีสุ อฎฺฎการเกสุ วิย ฐิเตสุ ภควา อนุโยควตฺตํ ทเสฺสโนฺต สา ปนาวุโส, นิฎฺฐา สราคสฺส, อุทาหุ วีตราคสฺสาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา ราครตฺตาทีนํ นิฎฺฐา นาม นตฺถิฯ ยทิ สิยา, โสณสิงฺคาลาทีนมฺปิ สิยาติ อิมํ โทสํ ปสฺสนฺตานํ ติตฺถิยานํ ‘‘วีตราคสฺส อาวุโส สา นิฎฺฐา’’ติอาทินา นเยน พฺยากรณํ ทสฺสิตํฯ
Idāni bhikkhūnampi ekā niṭṭhā, titthiyānampi ekā niṭṭhāti dvīsu aṭṭakārakesu viya ṭhitesu bhagavā anuyogavattaṃ dassento sā panāvuso, niṭṭhā sarāgassa, udāhu vītarāgassātiādimāha. Tattha yasmā rāgarattādīnaṃ niṭṭhā nāma natthi. Yadi siyā, soṇasiṅgālādīnampi siyāti imaṃ dosaṃ passantānaṃ titthiyānaṃ ‘‘vītarāgassa āvuso sā niṭṭhā’’tiādinā nayena byākaraṇaṃ dassitaṃ.
ตตฺถ วิทฺทสุโนติ ปณฺฑิตสฺสฯ อนุรุทฺธปฎิวิรุทฺธสฺสาติ ราเคน อนุรุทฺธสฺส โกเธน ปฎิวิรุทฺธสฺสฯ ปปญฺจารามสฺส ปปญฺจรติโนติ เอตฺถ อารมนฺติ เอตฺถาติ อาราโมฯ ปปโญฺจ อาราโม อสฺสาติ ปปญฺจาราโมฯ ปปเญฺจ รติ อสฺสาติ ปปญฺจรติฯ ปปโญฺจติ จ มตฺตปมตฺตาการภาเวน ปวตฺตานํ ตณฺหาทิฎฺฐิมานานเมตํ อธิวจนํฯ อิธ ปน ตณฺหาทิฎฺฐิโยว อธิเปฺปตาฯ สราคสฺสาติอาทีสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ เอโกว กิเลโส อาคโตฯ ตสฺส อาการโต นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ สราคสฺสาติ หิ วุตฺตฎฺฐาเน ปญฺจกามคุณิกราควเสน คหิโตฯ สตณฺหสฺสาติ ภวตณฺหาวเสนฯ สอุปาทานสฺสาติ คหณวเสนฯ อนุรุทฺธปฎิวิรุทฺธสฺสาติ ยุคฬวเสนฯ ปปญฺจารามสฺสาติ ปปญฺจุปฺปตฺติทสฺสนวเสนฯ สราคสฺสาติ วา เอตฺถ อกุสลมูลวเสน คหิโตฯ สตณฺหสฺสาติ เอตฺถ ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานทสฺสนวเสนฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ เถโร ปนาห ‘‘กสฺมา เอวํ วิทฺธํเสถ? เอโกเยว หิ อยํ โลโภ รชฺชนวเสน ราโคติ วุโตฺตฯ ตณฺหากรณวเสน ตณฺหาฯ คหณเฎฺฐน อุปาทานํฯ ยุคฬวเสน อนุโรธปฎิวิโรโธฯ ปปญฺจุปฺปตฺติทสฺสนเฎฺฐน ปปโญฺจ’’ติฯ
Tattha viddasunoti paṇḍitassa. Anuruddhapaṭiviruddhassāti rāgena anuruddhassa kodhena paṭiviruddhassa. Papañcārāmassa papañcaratinoti ettha āramanti etthāti ārāmo. Papañco ārāmo assāti papañcārāmo. Papañce rati assāti papañcarati. Papañcoti ca mattapamattākārabhāvena pavattānaṃ taṇhādiṭṭhimānānametaṃ adhivacanaṃ. Idha pana taṇhādiṭṭhiyova adhippetā. Sarāgassātiādīsu pañcasu ṭhānesu ekova kileso āgato. Tassa ākārato nānattaṃ veditabbaṃ. Sarāgassāti hi vuttaṭṭhāne pañcakāmaguṇikarāgavasena gahito. Sataṇhassāti bhavataṇhāvasena. Saupādānassāti gahaṇavasena. Anuruddhapaṭiviruddhassāti yugaḷavasena. Papañcārāmassāti papañcuppattidassanavasena. Sarāgassāti vā ettha akusalamūlavasena gahito. Sataṇhassāti ettha taṇhāpaccayā upādānadassanavasena. Sesaṃ purimasadisameva. Thero panāha ‘‘kasmā evaṃ viddhaṃsetha? Ekoyeva hi ayaṃ lobho rajjanavasena rāgoti vutto. Taṇhākaraṇavasena taṇhā. Gahaṇaṭṭhena upādānaṃ. Yugaḷavasena anurodhapaṭivirodho. Papañcuppattidassanaṭṭhena papañco’’ti.
๑๔๒. อิทานิ อิเมสํ กิเลสานํ มูลภูตํ ทิฎฺฐิวาทํ ทเสฺสโนฺต เทฺวมา, ภิกฺขเว, ทิฎฺฐิโยติอาทิมาหฯ
142. Idāni imesaṃ kilesānaṃ mūlabhūtaṃ diṭṭhivādaṃ dassento dvemā, bhikkhave, diṭṭhiyotiādimāha.
ตตฺถ ภวทิฎฺฐีติ สสฺสตทิฎฺฐิฯ วิภวทิฎฺฐีติ อุเจฺฉททิฎฺฐิฯ ภวทิฎฺฐิํ อลฺลีนาติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน สสฺสตทิฎฺฐิํ อลฺลีนาฯ อุปคตาติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสเนว อุปคตาฯ อโชฺฌสิตาติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสเนว อนุปวิฎฺฐาฯ วิภวทิฎฺฐิยา เต ปฎิวิรุทฺธาติ เต สเพฺพ อุเจฺฉทวาทีหิ สทฺธิํ – ‘‘ตุเมฺห อนฺธพาลา น ชานาถ, สสฺสโต อยํ โลโก, นายํ โลโก อุจฺฉิชฺชตี’’ติ ปฎิวิรุทฺธา นิจฺจํ กลหภณฺฑนปสุตา วิหรนฺติฯ ทุติยวาเรปิ เอเสว นโยฯ
Tattha bhavadiṭṭhīti sassatadiṭṭhi. Vibhavadiṭṭhīti ucchedadiṭṭhi. Bhavadiṭṭhiṃ allīnāti taṇhādiṭṭhivasena sassatadiṭṭhiṃ allīnā. Upagatāti taṇhādiṭṭhivaseneva upagatā. Ajjhositāti taṇhādiṭṭhivaseneva anupaviṭṭhā. Vibhavadiṭṭhiyā te paṭiviruddhāti te sabbe ucchedavādīhi saddhiṃ – ‘‘tumhe andhabālā na jānātha, sassato ayaṃ loko, nāyaṃ loko ucchijjatī’’ti paṭiviruddhā niccaṃ kalahabhaṇḍanapasutā viharanti. Dutiyavārepi eseva nayo.
สมุทยญฺจาติอาทีสุ เทฺว ทิฎฺฐีนํ สมุทยา ขณิกสมุทโย ปจฺจยสมุทโย จฯ ขณิกสมุทโย ทิฎฺฐีนํ นิพฺพตฺติฯ ปจฺจยสมุทโย อฎฺฐ ฐานานิฯ เสยฺยถิทํ, ขนฺธาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ, อวิชฺชาปิ, ผโสฺสปิ, สญฺญาปิ, วิตโกฺกปิ, อโยนิโสมนสิกาโรปิ, ปาปมิโตฺตปิ, ปรโตโฆโสปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ ‘‘ขนฺธา เหตุ ขนฺธา ปจฺจโย ทิฎฺฐีนํ อุปาทาย สมุฎฺฐานเฎฺฐนฯ เอวํ ขนฺธาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ อวิชฺชา… ผโสฺส… สญฺญา… วิตโกฺก… อโยนิโสมนสิกาโร… ปาปมิโตฺต… ปรโตโฆโส เหตุ, ปรโตโฆโส ปจฺจโย ทิฎฺฐีนํ อุปาทาย สมุฎฺฐานเฎฺฐนฯ เอวํ ปรโตโฆโสปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ’’ (ปฎิ. ม. ๑.๑๒๔)ฯ อตฺถงฺคมาปิ เทฺวเยว ขณิกตฺถงฺคโม ปจฺจยตฺถงฺคโม จฯ ขณิกตฺถงฺคโม นาม ขโย วโย เภโท ปริเภโท อนิจฺจตา อนฺตรธานํฯ ปจฺจยตฺถงฺคโม นาม โสตาปตฺติมโคฺคฯ โสตาปตฺติมโคฺค หิ ทิฎฺฐิฎฺฐานสมุคฺฆาโตติ วุโตฺตฯ
Samudayañcātiādīsu dve diṭṭhīnaṃ samudayā khaṇikasamudayo paccayasamudayo ca. Khaṇikasamudayo diṭṭhīnaṃ nibbatti. Paccayasamudayo aṭṭha ṭhānāni. Seyyathidaṃ, khandhāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ, avijjāpi, phassopi, saññāpi, vitakkopi, ayonisomanasikāropi, pāpamittopi, paratoghosopi diṭṭhiṭṭhānaṃ. ‘‘Khandhā hetu khandhā paccayo diṭṭhīnaṃ upādāya samuṭṭhānaṭṭhena. Evaṃ khandhāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Avijjā… phasso… saññā… vitakko… ayonisomanasikāro… pāpamitto… paratoghoso hetu, paratoghoso paccayo diṭṭhīnaṃ upādāya samuṭṭhānaṭṭhena. Evaṃ paratoghosopi diṭṭhiṭṭhānaṃ’’ (paṭi. ma. 1.124). Atthaṅgamāpi dveyeva khaṇikatthaṅgamo paccayatthaṅgamo ca. Khaṇikatthaṅgamo nāma khayo vayo bhedo paribhedo aniccatā antaradhānaṃ. Paccayatthaṅgamo nāma sotāpattimaggo. Sotāpattimaggo hi diṭṭhiṭṭhānasamugghātoti vutto.
อสฺสาทนฺติ ทิฎฺฐิมูลกํ อานิสํสํฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ยํทิฎฺฐิโก สตฺถา โหติ, ตํทิฎฺฐิกา สาวกา โหนฺติฯ ยํทิฎฺฐิกา สตฺถารํ สาวกา สกฺกโรนฺติ, ครุํ กโรนฺติ, มาเนนฺติ, ปูเชนฺติ, ลภนฺติ ตโตนิทานํ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํฯ อยํ, ภิกฺขเว, ทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐธมฺมิโก อานิสํโส’’ติฯ อาทีนวนฺติ ทิฎฺฐิคฺคหณมูลกํ อุปทฺทวํฯ โส วคฺคุลิวตํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ กณฺฎกาปสฺสยตา ปญฺจาตปตปฺปนํ สานุปปาตปตนํ เกสมสฺสุลุญฺจนํ อโปฺปณกํ ฌานนฺติอาทีนํ วเสนํ เวทิตโพฺพฯ นิสฺสรณนฺติ ทิฎฺฐีนํ นิสฺสรณํ นาม นิพฺพานํฯ ยถาภูตํ นปฺปชานนฺตีติ เย เอตํ สพฺพํ ยถาสภาวํ น ชานนฺติฯ น ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ สกลวฎฺฎทุกฺขโต น ปริมุจฺจนฺติฯ อิมินา เอเตสํ นิฎฺฐา นาม นตฺถีติ ทเสฺสติฯ ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ สกลวฎฺฎทุกฺขโต ปริมุจฺจนฺติฯ อิมินา เอเตสํ นิฎฺฐา นาม อตฺถีติ ทฺวินฺนํ อฎฺฎการกานํ อฎฺฎํ ฉินฺทโนฺต วิย สาสนสฺมิํเยว นิฎฺฐาย อตฺถิตํ ปติฎฺฐเปติฯ
Assādanti diṭṭhimūlakaṃ ānisaṃsaṃ. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘yaṃdiṭṭhiko satthā hoti, taṃdiṭṭhikā sāvakā honti. Yaṃdiṭṭhikā satthāraṃ sāvakā sakkaronti, garuṃ karonti, mānenti, pūjenti, labhanti tatonidānaṃ cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhāraṃ. Ayaṃ, bhikkhave, diṭṭhiyā diṭṭhadhammiko ānisaṃso’’ti. Ādīnavanti diṭṭhiggahaṇamūlakaṃ upaddavaṃ. So vaggulivataṃ ukkuṭikappadhānaṃ kaṇṭakāpassayatā pañcātapatappanaṃ sānupapātapatanaṃ kesamassuluñcanaṃ appoṇakaṃ jhānantiādīnaṃ vasenaṃ veditabbo. Nissaraṇanti diṭṭhīnaṃ nissaraṇaṃ nāma nibbānaṃ. Yathābhūtaṃnappajānantīti ye etaṃ sabbaṃ yathāsabhāvaṃ na jānanti. Na parimuccanti dukkhasmāti sakalavaṭṭadukkhato na parimuccanti. Iminā etesaṃ niṭṭhā nāma natthīti dasseti. Parimuccanti dukkhasmāti sakalavaṭṭadukkhato parimuccanti. Iminā etesaṃ niṭṭhā nāma atthīti dvinnaṃ aṭṭakārakānaṃ aṭṭaṃ chindanto viya sāsanasmiṃyeva niṭṭhāya atthitaṃ patiṭṭhapeti.
๑๔๓. อิทานิ ทิฎฺฐิเจฺฉทนํ ทเสฺสโนฺต จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, อุปาทานานีติอาทิมาหฯ เตสํ วิตฺถารกถา วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตาเยวฯ
143. Idāni diṭṭhicchedanaṃ dassento cattārimāni, bhikkhave, upādānānītiādimāha. Tesaṃ vitthārakathā visuddhimagge vuttāyeva.
สพฺพุปาทานปริญฺญาวาทา ปฎิชานมานาติ มยํ สเพฺพสํ อุปาทานานํ ปริญฺญํ สมติกฺกมํ วทามาติ เอวํ ปฎิชานมานาฯ น สมฺมา สพฺพุปาทานปริญฺญนฺติ สเพฺพสํ อุปาทานานํ สมติกฺกมํ สมฺมา น ปญฺญเปนฺติฯ เกจิ กามุปาทานมตฺตสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติฯ เกจิ ทิฎฺฐุปาทานมตฺตสฺส ปญฺญเปนฺติ, เกจิ สีลพฺพตุปาทานสฺสาปิฯ อตฺตวาทุปาทานสฺส ปน ปริญฺญํ ปญฺญเปโนฺต นาม นตฺถิฯ เตสํ ปน เภทํ ทเสฺสโนฺต กามุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺตีติอาทิมาหฯ ตตฺถ สเพฺพปิ กามุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติเยว, ฉนฺนวุติ ปาสณฺฑาปิ หิ ‘‘กามา โข ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา’’ติ วตฺถุปฎิเสวนํ กามํ กปฺปตีติ น ปญฺญเปนฺติ, อกปฺปิยเมว กตฺวา ปญฺญเปนฺติฯ เย ปน เสวนฺติ, เต เถเยฺยน เสวนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘กามุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺตี’’ติฯ
Sabbupādānapariññāvādā paṭijānamānāti mayaṃ sabbesaṃ upādānānaṃ pariññaṃ samatikkamaṃ vadāmāti evaṃ paṭijānamānā. Na sammā sabbupādānapariññanti sabbesaṃ upādānānaṃ samatikkamaṃ sammā na paññapenti. Keci kāmupādānamattassa pariññaṃ paññapenti. Keci diṭṭhupādānamattassa paññapenti, keci sīlabbatupādānassāpi. Attavādupādānassa pana pariññaṃ paññapento nāma natthi. Tesaṃ pana bhedaṃ dassento kāmupādānassa pariññaṃ paññapentītiādimāha. Tattha sabbepi kāmupādānassa pariññaṃ paññapentiyeva, channavuti pāsaṇḍāpi hi ‘‘kāmā kho pabbajitena na sevitabbā’’ti vatthupaṭisevanaṃ kāmaṃ kappatīti na paññapenti, akappiyameva katvā paññapenti. Ye pana sevanti, te theyyena sevanti. Tena vuttaṃ ‘‘kāmupādānassa pariññaṃ paññapentī’’ti.
ยสฺมา ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทีนิ คเหตฺวา จรนฺติฯ ‘‘สีเลน สุทฺธิ วเตน สุทฺธิ, ภาวนาย สุทฺธี’’ติ คณฺหนฺติ, อตฺตุปลทฺธิํ น ปชหนฺติ, ตสฺมา น ทิฎฺฐุปาทานสฺส, น สีลพฺพตุปาทานสฺส , น อตฺตวาทุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตูติ ตํ อปญฺญาปนํ เอเตสํ กิสฺส เหตุ, กิํ การณา? อิมานิ หิ เต โภโนฺตติ ยสฺมา เต โภโนฺต อิมานิ ตีณิ การณานิ ยถาสภาวโต น ชานนฺตีติ อโตฺถฯ เย ปเนตฺถ ทฺวินฺนํ ปริญฺญานํ ปญฺญาปนการณํ ทิฎฺฐิเญฺจว สีลพฺพตญฺจ ‘‘เอตํ ปหาตพฺพ’’นฺติ ยถาสภาวโต ชานนฺติฯ เต สนฺธาย ปรโต เทฺว วารา วุตฺตาฯ ตตฺถ เย ‘‘อตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทีนิ คณฺหนฺติ, เต ทิฎฺฐุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติฯ เย ปน ‘‘น สีเลน สุทฺธิ, น วเตน สุทฺธิ, น ภาวนาย สุทฺธี’’ติ คณฺหนฺติ, เต สีลพฺพตุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติฯ อตฺตวาทุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปน เอโกปิ ปญฺญเปตุํ น สโกฺกติฯ อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโนปิ หิ จนฺทิมสูริเย ปาณินา ปริมชฺชิตฺวา จรมานาปิ จ ติตฺถิยา ติโสฺส ปริญฺญา ปญฺญเปนฺติฯ อตฺตวาทํ มุญฺจิตุํ น สโกฺกนฺติฯ ตสฺมา ปุนปฺปุนํ วฎฺฎสฺมิํเยว ปตนฺติฯ ปถวิชิคุจฺฉนสสโก วิย หิ เอเตฯ
Yasmā ‘‘natthi dinna’’ntiādīni gahetvā caranti. ‘‘Sīlena suddhi vatena suddhi, bhāvanāya suddhī’’ti gaṇhanti, attupaladdhiṃ na pajahanti, tasmā na diṭṭhupādānassa, na sīlabbatupādānassa , na attavādupādānassa pariññaṃ paññapenti. Taṃ kissa hetūti taṃ apaññāpanaṃ etesaṃ kissa hetu, kiṃ kāraṇā? Imāni hi te bhontoti yasmā te bhonto imāni tīṇi kāraṇāni yathāsabhāvato na jānantīti attho. Ye panettha dvinnaṃ pariññānaṃ paññāpanakāraṇaṃ diṭṭhiñceva sīlabbatañca ‘‘etaṃ pahātabba’’nti yathāsabhāvato jānanti. Te sandhāya parato dve vārā vuttā. Tattha ye ‘‘atthi dinna’’ntiādīni gaṇhanti, te diṭṭhupādānassa pariññaṃ paññapenti. Ye pana ‘‘na sīlena suddhi, na vatena suddhi, na bhāvanāya suddhī’’ti gaṇhanti, te sīlabbatupādānassa pariññaṃ paññapenti. Attavādupādānassa pariññaṃ pana ekopi paññapetuṃ na sakkoti. Aṭṭhasamāpattilābhinopi hi candimasūriye pāṇinā parimajjitvā caramānāpi ca titthiyā tisso pariññā paññapenti. Attavādaṃ muñcituṃ na sakkonti. Tasmā punappunaṃ vaṭṭasmiṃyeva patanti. Pathavijigucchanasasako viya hi ete.
ตตฺถายํ อตฺถสลฺลาปิกา อุปมา – ปถวี กิร สสกํ อาห – ‘‘โภ สสกา’’ติฯ สสโก อาห – ‘‘โก เอโส’’ติฯ ‘‘กสฺมา มเมว อุปริ สพฺพอิริยาปเถ กเปฺปโนฺต อุจฺจารปสฺสาวํ กโรโนฺต มํ น ชานาสี’’ติฯ ‘‘สุฎฺฐุ ตยา อหํ ทิโฎฺฐ, มยา อกฺกนฺตฎฺฐานมฺปิ องฺคุลเคฺคหิ ผุฎฺฐฎฺฐานํ วิย โหติ, วิสฺสฎฺฐอุทกํ อปฺปมตฺตกํ, กรีสํ กตกผลมตฺตํฯ หตฺถิอสฺสาทีหิ ปน อกฺกนฺตฎฺฐานมฺปิ มหนฺตํ, ปสฺสาโวปิ เนสํ ฆฎมโตฺต โหติ, อุจฺจาโรปิ ปจฺฉิมโตฺต โหติ, อลํ มยฺหํ ตยา’’ติ อุปฺปติตฺวา อญฺญสฺมิํ ฐาเน ปติโตฯ ตโต นํ ปถวี อาห – ‘‘อเร ทูรํ คโตปิ นนุ มยฺหํ อุปริเยว ปติโตสี’’ติฯ โส ปุน ตํ ชิคุจฺฉโนฺต อุปฺปติตฺวา อญฺญตฺถ ปติโต, เอวํ วสฺสสหสฺสมฺปิ อุปฺปติตฺวา ปตมาโน สสโก ปถวิํ มุญฺจิตุํ น สโกฺกติฯ เอวเมวํ ติตฺถิยา สพฺพูปาทานปริญฺญํ ปญฺญเปโนฺตปิ กามุปาทานาทีนํ ติณฺณํเยว สมติกฺกมํ ปญฺญเปนฺติฯ อตฺตวาทํ ปน มุญฺจิตุํ น สโกฺกนฺติ, อสโกฺกนฺตา ปุนปฺปุนํ วฎฺฎสฺมิํเยว ปตนฺตีติฯ
Tatthāyaṃ atthasallāpikā upamā – pathavī kira sasakaṃ āha – ‘‘bho sasakā’’ti. Sasako āha – ‘‘ko eso’’ti. ‘‘Kasmā mameva upari sabbairiyāpathe kappento uccārapassāvaṃ karonto maṃ na jānāsī’’ti. ‘‘Suṭṭhu tayā ahaṃ diṭṭho, mayā akkantaṭṭhānampi aṅgulaggehi phuṭṭhaṭṭhānaṃ viya hoti, vissaṭṭhaudakaṃ appamattakaṃ, karīsaṃ katakaphalamattaṃ. Hatthiassādīhi pana akkantaṭṭhānampi mahantaṃ, passāvopi nesaṃ ghaṭamatto hoti, uccāropi pacchimatto hoti, alaṃ mayhaṃ tayā’’ti uppatitvā aññasmiṃ ṭhāne patito. Tato naṃ pathavī āha – ‘‘are dūraṃ gatopi nanu mayhaṃ upariyeva patitosī’’ti. So puna taṃ jigucchanto uppatitvā aññattha patito, evaṃ vassasahassampi uppatitvā patamāno sasako pathaviṃ muñcituṃ na sakkoti. Evamevaṃ titthiyā sabbūpādānapariññaṃ paññapentopi kāmupādānādīnaṃ tiṇṇaṃyeva samatikkamaṃ paññapenti. Attavādaṃ pana muñcituṃ na sakkonti, asakkontā punappunaṃ vaṭṭasmiṃyeva patantīti.
เอวํ ยํ ติตฺถิยา สมติกฺกมิตุํ น สโกฺกนฺติ, ตสฺส วเสน ทิฎฺฐิเจฺฉทวาทํ วตฺวา อิทานิ ปสาทปเจฺฉทวาทํ ทเสฺสโนฺต เอวรูเป โข, ภิกฺขเว, ธมฺมวินเยติอาทิมาหฯ ตตฺถ ธมฺมวินเยติ ธเมฺม เจว วินเย จ, อุภเยนปิ อนิยฺยานิกสาสนํ ทเสฺสติฯ ‘‘โย สตฺถริ ปสาโท โส น สมฺมคฺคโต’’ติ อนิยฺยานิกสาสนมฺหิ หิ สตฺถา กาลํ กตฺวา สีโหปิ โหติ, พฺยโคฺฆปิ โหติ, ทีปิปิ อโจฺฉปิ ตรโจฺฉปิฯ สาวกา ปนสฺส มิคาปิ สูกราปิ ปสทาปิ โหนฺติ, โส ‘‘อิเม มยฺหํ ปุเพฺพ อุปฎฺฐากา ปจฺจยทายกา’’ติ ขนฺติํ วา เมตฺตํ วา อนุทฺทยํ วา อกตฺวา เตสํ อุปริ ปติตฺวา โลหิตํ ปิวติ, ถูลถูลมํสานิปิ ขาทติฯ สตฺถา วา ปน พิฬาโร โหติ, สาวกา กุกฺกุฎา วา มูสิกา วาฯ อถ เน วุตฺตนเยเนว อนุกมฺปํ อกตฺวา ขาทติฯ อถ วา สตฺถา นิรยปาโล โหติ, สาวกา เนรยิกสตฺตาฯ โส ‘‘อิเม มยฺหํ ปุเพฺพ อุปฎฺฐากา ปจฺจยทายกา’’ติ อนุกมฺปํ อกตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กโรติ, อาทิเตฺตปิ รเถ โยเชติ, องฺคารปพฺพตมฺปิ อาโรเปติ, โลหกุมฺภิยมฺปิ ขิปติ , อเนเกหิปิ ทุกฺขธเมฺมหิ สมฺปโยเชติฯ สาวกา วา ปน กาลํ กตฺวา สีหาทโย โหนฺติ, สตฺถา มิคาทีสุ อญฺญตโรฯ เต ‘‘อิมํ มยํ ปุเพฺพ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิมฺหา, สตฺถา โน อย’’นฺติ ตสฺมิํ ขนฺติํ วา เมตฺตํ วา อนุทฺทยํ วา อกตฺวา วุตฺตนเยเนว อนยพฺยสนํ ปาเปนฺติฯ เอวํ อนิยฺยานิกสาสเน โย สตฺถริ ปสาโท, โส น สมฺมคฺคโต โหติ, กญฺจิ กาลํ คนฺตฺวาปิ ปจฺฉา วินสฺสติเยวฯ
Evaṃ yaṃ titthiyā samatikkamituṃ na sakkonti, tassa vasena diṭṭhicchedavādaṃ vatvā idāni pasādapacchedavādaṃ dassento evarūpe kho, bhikkhave, dhammavinayetiādimāha. Tattha dhammavinayeti dhamme ceva vinaye ca, ubhayenapi aniyyānikasāsanaṃ dasseti. ‘‘Yo satthari pasādo so na sammaggato’’ti aniyyānikasāsanamhi hi satthā kālaṃ katvā sīhopi hoti, byagghopi hoti, dīpipi acchopi taracchopi. Sāvakā panassa migāpi sūkarāpi pasadāpi honti, so ‘‘ime mayhaṃ pubbe upaṭṭhākā paccayadāyakā’’ti khantiṃ vā mettaṃ vā anuddayaṃ vā akatvā tesaṃ upari patitvā lohitaṃ pivati, thūlathūlamaṃsānipi khādati. Satthā vā pana biḷāro hoti, sāvakā kukkuṭā vā mūsikā vā. Atha ne vuttanayeneva anukampaṃ akatvā khādati. Atha vā satthā nirayapālo hoti, sāvakā nerayikasattā. So ‘‘ime mayhaṃ pubbe upaṭṭhākā paccayadāyakā’’ti anukampaṃ akatvā vividhā kammakāraṇā karoti, ādittepi rathe yojeti, aṅgārapabbatampi āropeti, lohakumbhiyampi khipati , anekehipi dukkhadhammehi sampayojeti. Sāvakā vā pana kālaṃ katvā sīhādayo honti, satthā migādīsu aññataro. Te ‘‘imaṃ mayaṃ pubbe catūhi paccayehi upaṭṭhahimhā, satthā no aya’’nti tasmiṃ khantiṃ vā mettaṃ vā anuddayaṃ vā akatvā vuttanayeneva anayabyasanaṃ pāpenti. Evaṃ aniyyānikasāsane yo satthari pasādo, so na sammaggato hoti, kañci kālaṃ gantvāpi pacchā vinassatiyeva.
โย ธเมฺม ปสาโทติ อนิยฺยานิกสาสนสฺมิญฺหิ ธเมฺม ปสาโท นาม, อุคฺคหิตปริยาปุฎ – ธาริตวาจิตฺตมตฺตเก ตนฺติธเมฺม ปสาโท โหติ, วฎฺฎโมโกฺข ปเนตฺถ นตฺถิฯ ตสฺมา โย เอตฺถ ปสาโท, โส ปุนปฺปุนํ วฎฺฎเมว คมฺภีรํ กโรตีติ สาสนสฺมิํ อสมฺมคฺคโต อสภาวโต อกฺขายติฯ
Yo dhamme pasādoti aniyyānikasāsanasmiñhi dhamme pasādo nāma, uggahitapariyāpuṭa – dhāritavācittamattake tantidhamme pasādo hoti, vaṭṭamokkho panettha natthi. Tasmā yo ettha pasādo, so punappunaṃ vaṭṭameva gambhīraṃ karotīti sāsanasmiṃ asammaggato asabhāvato akkhāyati.
ยา สีเลสุ ปริปูรการิตาติ ยาปิ จ อนิยฺยานิกสาสเน อชสีลาทีนํ วเสน ปริปูรการิตา, สาปิ ยสฺมา วฎฺฎโมกฺขํ ภวนิสฺสรณํ น สมฺปาเปติ, สมฺปชฺชมานา ปน ติรจฺฉานโยนิํ อาวหติ, วิปจฺจมานา นิรยํ, ตสฺมา สา น สมฺมคฺคตา อกฺขายติฯ ยา สหธมฺมิเกสูติ อนิยฺยานิกสาสนสฺมิญฺหิ เย สหธมฺมิกา, เตสุ ยสฺมา เอกเจฺจ กาลํ กตฺวา สีหาทโยปิ โหนฺติ, เอกเจฺจ มิคาทโย, ตตฺถ สีหาทิภูตา ‘‘อิเม อมฺหากํ สหธมฺมิกา อเหสุ’’นฺติ มิคาทิภูเตสุ ขนฺติอาทีนิ อกตฺวา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เนสํ มหาทุกฺขํ อุปฺปาเทนฺติฯ ตสฺมา เอตฺถ สหธมฺมิเกสุ ปิยมนาปตาปิ อสมฺมคฺคตา อกฺขายติฯ
Yā sīlesu paripūrakāritāti yāpi ca aniyyānikasāsane ajasīlādīnaṃ vasena paripūrakāritā, sāpi yasmā vaṭṭamokkhaṃ bhavanissaraṇaṃ na sampāpeti, sampajjamānā pana tiracchānayoniṃ āvahati, vipaccamānā nirayaṃ, tasmā sā na sammaggatā akkhāyati. Yā sahadhammikesūti aniyyānikasāsanasmiñhi ye sahadhammikā, tesu yasmā ekacce kālaṃ katvā sīhādayopi honti, ekacce migādayo, tattha sīhādibhūtā ‘‘ime amhākaṃ sahadhammikā ahesu’’nti migādibhūtesu khantiādīni akatvā pubbe vuttanayeneva nesaṃ mahādukkhaṃ uppādenti. Tasmā ettha sahadhammikesu piyamanāpatāpi asammaggatā akkhāyati.
อิทํ ปน สพฺพมฺปิ การณเภทํ เอกโต กตฺวา ทเสฺสโนฺต ภควา ตํ กิสฺส เหตุ? เอวเญฺหตํ , ภิกฺขเว, โหตีติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ สํเขปโตฺถ – เอวเญฺหตํ, ภิกฺขเว, โหติ, ยํ มยา วุตฺตํ ‘‘โย สตฺถริ ปสาโท โส น สมฺมคฺคโต อกฺขายตี’’ติอาทิ, ตํ เอวเมว โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา เต ปสาทาทโย ทุรกฺขาเต ธมฺมวินเย …เป.… อสมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิเตติ, เอตฺถ หิ ยถา ตนฺติ การณเตฺถ นิปาโตฯ ตตฺถ ทุรกฺขาเตติ ทุกฺกถิเต, ทุกฺขถิตตฺตาเยว ทุปฺปเวทิเตฯ โส ปเนส ยสฺมา มคฺคผลตฺถาย น นิยฺยาติ, ตสฺมา อนิยฺยานิโกฯ ราคาทีนํ อุปสมาย อสํวตฺตนโต อนุปสมสํวตฺตนิโกฯ น สมฺมาสมฺพุเทฺธน สพฺพญฺญุนา ปเวทิโตติ อสมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิโตฯ ตสฺมิํ อนิยฺยานิเก อนุปสมสํวตฺตนิเก อสมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิเตฯ เอตฺตาวตา ภควา ติตฺถิเยสุ ปสาโท สุราปีตสิงฺคาเล ปสาโท วิย นิรตฺถโกติ ทเสฺสติฯ
Idaṃ pana sabbampi kāraṇabhedaṃ ekato katvā dassento bhagavā taṃ kissa hetu? Evañhetaṃ, bhikkhave, hotītiādimāha. Tatrāyaṃ saṃkhepattho – evañhetaṃ, bhikkhave, hoti, yaṃ mayā vuttaṃ ‘‘yo satthari pasādo so na sammaggato akkhāyatī’’tiādi, taṃ evameva hoti. Kasmā? Yasmā te pasādādayo durakkhāte dhammavinaye …pe… asammāsambuddhappavediteti, ettha hi yathā tanti kāraṇatthe nipāto. Tattha durakkhāteti dukkathite, dukkhathitattāyeva duppavedite. So panesa yasmā maggaphalatthāya na niyyāti, tasmā aniyyāniko. Rāgādīnaṃ upasamāya asaṃvattanato anupasamasaṃvattaniko. Na sammāsambuddhena sabbaññunā paveditoti asammāsambuddhappavedito. Tasmiṃ aniyyānike anupasamasaṃvattanike asammāsambuddhappavedite. Ettāvatā bhagavā titthiyesu pasādo surāpītasiṅgāle pasādo viya niratthakoti dasseti.
เอโก กิร กาฬสิงฺคาโล รตฺติํ นครํ ปวิโฎฺฐ สุราชลฺลิกํ ขาทิตฺวา ปุนฺนาควเน นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายโนฺต สูริยุคฺคมเน ปพุชฺฌิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิมสฺมิํ กาเล น สกฺกา คนฺตุํ, พหู อมฺหากํ เวริโน, เอกํ วเญฺจตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส เอกํ พฺราหฺมณํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อิมํ วเญฺจสฺสามีติ ‘‘อยฺย พฺราหฺมณา’’ติ อาหฯ โก เอโส พฺราหฺมณํ ปโกฺกสตีติฯ ‘‘อหํ, สามี, อิโต ตาว เอหีติฯ กิํ โภติ? มํ พหิคามํ เนหิ, อหํ เต เทฺว กหาปณสตานิ ทสฺสามีติฯ โสปิ นยิสฺสามีติ ตํ ปาเทสุ คณฺหิฯ อเร พาล พฺราหฺมณ, น มยฺหํ กหาปณา ฉฑฺฑิตกา อตฺถิ, ทุลฺลภา กหาปณา, สาธุกํ มํ คณฺหาหีติฯ กถํ โภ คณฺหามีติ? อุตฺตราสเงฺคน คณฺฐิกํ กตฺวา อํเส ลเคฺคตฺวา คณฺหาหีติฯ พฺราหฺมโณ ตํ ตถา คเหตฺวา ทกฺขิณทฺวารสมีปฎฺฐานํ คนฺตฺวา เอตฺถ โอตาเรมีติ ปุจฺฉิฯ กตรฎฺฐานํ นาม เอตนฺติ? มหาทฺวารํ เอตนฺติฯ อเร พาล, พฺราหฺมณ, กิํ ตว ญาตกา อนฺตรทฺวาเร กหาปณํ ฐเปนฺติ, ปรโต มํ หรา’’ติฯ โส ปุนปฺปุนํ โถกํ โถกํ คนฺตฺวา ‘‘เอตฺถ โอตาเรมิ เอตฺถ โอตาเรมี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา เตน ตชฺชิโต เขมฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตตฺถ โอตาเรหีติ วุโตฺต โอตาเรตฺวา สาฎกํ คณฺหิฯ กาฬสิงฺคาโล อาห ‘‘อหํ เต เทฺว กหาปณสตานิ ทสฺสามีติ อโวจํฯ มยฺหํ ปน กหาปณา พหู, น เทฺว กหาปณสตาเนว, ยาว อหํ กหาปเณ อาหรามิ, ตาว ตฺวํ สูริยํ โอโลเกโนฺต ติฎฺฐา’’ติ วตฺวา โถกํ คนฺตฺวา นิวเตฺตตฺวา ปุน พฺราหฺมณํ อาห ‘‘อยฺย พฺราหฺมณ มา อิโต โอโลเกหิ, สูริยเมว โอโลเกโนฺต ติฎฺฐา’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา เกตกวนํ ปวิสิตฺวา ยถารุจิํ ปกฺกโนฺตฯ พฺราหฺมณสฺสปิ สูริยํ โอโลเกนฺตเสฺสว นลาฎโต เจว กเจฺฉหิ จ เสทา มุจฺจิํสุฯ อถ นํ รุกฺขเทวตา อาห –
Eko kira kāḷasiṅgālo rattiṃ nagaraṃ paviṭṭho surājallikaṃ khāditvā punnāgavane nipajjitvā niddāyanto sūriyuggamane pabujjhitvā cintesi ‘‘imasmiṃ kāle na sakkā gantuṃ, bahū amhākaṃ verino, ekaṃ vañcetuṃ vaṭṭatī’’ti. So ekaṃ brāhmaṇaṃ gacchantaṃ disvā imaṃ vañcessāmīti ‘‘ayya brāhmaṇā’’ti āha. Ko eso brāhmaṇaṃ pakkosatīti. ‘‘Ahaṃ, sāmī, ito tāva ehīti. Kiṃ bhoti? Maṃ bahigāmaṃ nehi, ahaṃ te dve kahāpaṇasatāni dassāmīti. Sopi nayissāmīti taṃ pādesu gaṇhi. Are bāla brāhmaṇa, na mayhaṃ kahāpaṇā chaḍḍitakā atthi, dullabhā kahāpaṇā, sādhukaṃ maṃ gaṇhāhīti. Kathaṃ bho gaṇhāmīti? Uttarāsaṅgena gaṇṭhikaṃ katvā aṃse laggetvā gaṇhāhīti. Brāhmaṇo taṃ tathā gahetvā dakkhiṇadvārasamīpaṭṭhānaṃ gantvā ettha otāremīti pucchi. Kataraṭṭhānaṃ nāma etanti? Mahādvāraṃ etanti. Are bāla, brāhmaṇa, kiṃ tava ñātakā antaradvāre kahāpaṇaṃ ṭhapenti, parato maṃ harā’’ti. So punappunaṃ thokaṃ thokaṃ gantvā ‘‘ettha otāremi ettha otāremī’’ti pucchitvā tena tajjito khemaṭṭhānaṃ gantvā tattha otārehīti vutto otāretvā sāṭakaṃ gaṇhi. Kāḷasiṅgālo āha ‘‘ahaṃ te dve kahāpaṇasatāni dassāmīti avocaṃ. Mayhaṃ pana kahāpaṇā bahū, na dve kahāpaṇasatāneva, yāva ahaṃ kahāpaṇe āharāmi, tāva tvaṃ sūriyaṃ olokento tiṭṭhā’’ti vatvā thokaṃ gantvā nivattetvā puna brāhmaṇaṃ āha ‘‘ayya brāhmaṇa mā ito olokehi, sūriyameva olokento tiṭṭhā’’ti. Evañca pana vatvā ketakavanaṃ pavisitvā yathāruciṃ pakkanto. Brāhmaṇassapi sūriyaṃ olokentasseva nalāṭato ceva kacchehi ca sedā mucciṃsu. Atha naṃ rukkhadevatā āha –
‘‘สทฺทหาสิ สิงฺคาลสฺส, สุราปีตสฺส พฺราหฺมณ;
‘‘Saddahāsi siṅgālassa, surāpītassa brāhmaṇa;
สิปฺปิกานํ สตํ นตฺถิ, กุโต กํสสตา ทุเว’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๑๓);
Sippikānaṃ sataṃ natthi, kuto kaṃsasatā duve’’ti. (jā. 1.1.113);
เอวํ ยถา กาฬสิงฺคาเล ปสาโท นิรตฺถโก, เอวํ ติตฺถิเยสุปีติฯ
Evaṃ yathā kāḷasiṅgāle pasādo niratthako, evaṃ titthiyesupīti.
๑๔๔. อนิยฺยานิกสาสเน ปสาทสฺส นิรตฺถกภาวํ ทเสฺสตฺวา นิยฺยานิกสาสเน ตสฺส สาตฺถกตํ ทเสฺสตุํ ตถาคโต จ โข, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ กามุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปตีติ อรหตฺตมเคฺคน กามุปาทานสฺส ปหานปริญฺญํ สมติกฺกมํ ปญฺญเปติ, อิตเรสํ ติณฺณํ อุปาทานานํ โสตาปตฺติมเคฺคน ปริญฺญํ ปญฺญเปติฯ เอวรูเป โข, ภิกฺขเว, ธมฺมวินเยติ, ภิกฺขเว, เอวรูเป ธเมฺม จ วินเย จฯ อุภเยนปิ นิยฺยานิกสาสนํ ทเสฺสติฯ สตฺถริ ปสาโทติ เอวรูเป สาสเน โย สตฺถริ ปสาโท, โส สมฺมคฺคโต อกฺขายติ, ภวทุกฺขนิสฺสรณาย สํวตฺตติฯ
144. Aniyyānikasāsane pasādassa niratthakabhāvaṃ dassetvā niyyānikasāsane tassa sātthakataṃ dassetuṃ tathāgato ca kho, bhikkhavetiādimāha. Tattha kāmupādānassa pariññaṃ paññapetīti arahattamaggena kāmupādānassa pahānapariññaṃ samatikkamaṃ paññapeti, itaresaṃ tiṇṇaṃ upādānānaṃ sotāpattimaggena pariññaṃ paññapeti. Evarūpe kho, bhikkhave, dhammavinayeti, bhikkhave, evarūpe dhamme ca vinaye ca. Ubhayenapi niyyānikasāsanaṃ dasseti. Satthari pasādoti evarūpe sāsane yo satthari pasādo, so sammaggato akkhāyati, bhavadukkhanissaraṇāya saṃvattati.
ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – ภควา กิร เวทิยกปพฺพเต อินฺทสาลคุหายํ ปฎิวสติฯ อเถโก อุลูกสกุโณ ภควติ คามํ ปิณฺฑาย ปวิสเนฺต อุปฑฺฒมคฺคํ อนุคจฺฉติ, นิกฺขมเนฺต อุปฑฺฒมคฺคํ ปจฺจุคฺคมนํ กโรติฯ โส เอกทิวสํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ สายนฺหสมเย ภิกฺขุสงฺฆปริวุตํ นิสินฺนํ ปพฺพตา โอรุยฺห วนฺทิตฺวา ปเกฺข ปณาเมตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห สีสํ เหฎฺฐา กตฺวา ทสพลํ นมสฺสมาโน อฎฺฐาสิฯ ภควา ตํ โอโลเกตฺวา สิตํ ปาตฺวากาสิฯ อานนฺทเตฺถโร ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ โก ปจฺจโย สิตสฺส ปาตุกมฺมายา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปสฺสานนฺท, อิมํ อุลูกสกุณํ, อยํ มยิ จ ภิกฺขุสเงฺฆ จ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา สตสหสฺสกเปฺป เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสริตฺวา โสมนโสฺส นาม ปเจฺจกพุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ อาห –
Tatrimāni vatthūni – bhagavā kira vediyakapabbate indasālaguhāyaṃ paṭivasati. Atheko ulūkasakuṇo bhagavati gāmaṃ piṇḍāya pavisante upaḍḍhamaggaṃ anugacchati, nikkhamante upaḍḍhamaggaṃ paccuggamanaṃ karoti. So ekadivasaṃ sammāsambuddhaṃ sāyanhasamaye bhikkhusaṅghaparivutaṃ nisinnaṃ pabbatā oruyha vanditvā pakkhe paṇāmetvā añjaliṃ paggayha sīsaṃ heṭṭhā katvā dasabalaṃ namassamāno aṭṭhāsi. Bhagavā taṃ oloketvā sitaṃ pātvākāsi. Ānandatthero ‘‘ko nu kho, bhante, hetu ko paccayo sitassa pātukammāyā’’ti pucchi. ‘‘Passānanda, imaṃ ulūkasakuṇaṃ, ayaṃ mayi ca bhikkhusaṅghe ca cittaṃ pasādetvā satasahassakappe devesu ca manussesu ca saṃsaritvā somanasso nāma paccekabuddho bhavissatī’’ti āha –
อุลูกมณฺฑลกฺขิก, เวทิยเก จิรทีฆวาสิก;
Ulūkamaṇḍalakkhika, vediyake ciradīghavāsika;
สุขิโตสิ ตฺวํ อยฺย โกสิย, กาลุฎฺฐิตํ ปสฺสสิ พุทฺธวรํฯ
Sukhitosi tvaṃ ayya kosiya, kāluṭṭhitaṃ passasi buddhavaraṃ.
มยิ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, ภิกฺขุสเงฺฆ อนุตฺตเร;
Mayi cittaṃ pasādetvā, bhikkhusaṅghe anuttare;
กปฺปานํ สตสหสฺสานิ, ทุคฺคเตโส น คจฺฉติฯ
Kappānaṃ satasahassāni, duggateso na gacchati.
เทวโลกา จวิตฺวาน, กุสลมูเลน โจทิโต;
Devalokā cavitvāna, kusalamūlena codito;
ภวิสฺสติ อนนฺตญาโณ, โสมนโสฺสติ วิสฺสุโตติฯ
Bhavissati anantañāṇo, somanassoti vissutoti.
อญฺญานิปิ เจตฺถ ราชคหนคเร สุมนมาลาการวตฺถุ มหาเภริวาทกวตฺถุ โมรชิกวตฺถุ วีณาวาทกวตฺถุ สงฺขธมกวตฺถูติ เอวมาทีนิ วตฺถูนิ วิตฺถาเรตพฺพานิฯ เอวํ นิยฺยานิกสาสเน สตฺถริ ปสาโท สมฺมคฺคโต โหติฯ
Aññānipi cettha rājagahanagare sumanamālākāravatthu mahābherivādakavatthu morajikavatthu vīṇāvādakavatthu saṅkhadhamakavatthūti evamādīni vatthūni vitthāretabbāni. Evaṃ niyyānikasāsane satthari pasādo sammaggato hoti.
ธเมฺม ปสาโทติ นิยฺยานิกสาสนมฺหิ ธเมฺม ปสาโท สมฺมคฺคโต โหติฯ สรมเตฺต นิมิตฺตํ คเหตฺวา สุณนฺตานํ ติรจฺฉานคตานมฺปิ สมฺปตฺติทายโก โหติ, ปรมเตฺถ กิํ ปน วตฺตพฺพํฯ อยมโตฺถ มณฺฑูกเทวปุตฺตาทีนํ วตฺถุวเสน เวทิตโพฺพฯ
Dhamme pasādoti niyyānikasāsanamhi dhamme pasādo sammaggato hoti. Saramatte nimittaṃ gahetvā suṇantānaṃ tiracchānagatānampi sampattidāyako hoti, paramatthe kiṃ pana vattabbaṃ. Ayamattho maṇḍūkadevaputtādīnaṃ vatthuvasena veditabbo.
สีเลสุ ปริปูรการิตาติ นิยฺยานิกสาสนมฺหิ สีเลสุ ปริปูรการิตาปิ สมฺมคฺคตา โหติ, สคฺคโมกฺขสมฺปตฺติํ อาวหติฯ ตตฺถ ฉตฺตมาณวกวตฺถุสามเณรวตฺถุอาทีนิ ทีเปตพฺพานิฯ
Sīlesu paripūrakāritāti niyyānikasāsanamhi sīlesu paripūrakāritāpi sammaggatā hoti, saggamokkhasampattiṃ āvahati. Tattha chattamāṇavakavatthusāmaṇeravatthuādīni dīpetabbāni.
สหธมฺมิเกสูติ นิยฺยานิกสาสเน สหธมฺมิเกสุ ปิยมนาปตาปิ สมฺมคฺคตา โหติ, มหาสมฺปตฺติํ อาวหติฯ อยมโตฺถ วิมานเปตวตฺถูหิ ทีเปตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Sahadhammikesūti niyyānikasāsane sahadhammikesu piyamanāpatāpi sammaggatā hoti, mahāsampattiṃ āvahati. Ayamattho vimānapetavatthūhi dīpetabbo. Vuttañhetaṃ –
‘‘ขีโรทนมหมทาสิํ, ภิกฺขุโน ปิณฺฑาย จรนฺตสฺส…เป.…
‘‘Khīrodanamahamadāsiṃ, bhikkhuno piṇḍāya carantassa…pe…
ผาณิตํ…เป.… อุจฺฉุขณฺฑิกํ… ติมฺพรุสกํ… กกฺการิกํ…
Phāṇitaṃ…pe… ucchukhaṇḍikaṃ… timbarusakaṃ… kakkārikaṃ…
เอฬาลุกํ… วลฺลิปกฺกํ… ผารุสกํ… หตฺถปตากํ…
Eḷālukaṃ… vallipakkaṃ… phārusakaṃ… hatthapatākaṃ…
สากมุฎฺฐิํ … ปุปฺผกมุฎฺฐิํ… มูลกํ… นิมฺพมุฎฺฐิํ…
Sākamuṭṭhiṃ … pupphakamuṭṭhiṃ… mūlakaṃ… nimbamuṭṭhiṃ…
อมฺพิกญฺชิกํ… โทณินิมฺมชฺชนิํ… กายพนฺธนํ…
Ambikañjikaṃ… doṇinimmajjaniṃ… kāyabandhanaṃ…
อํสพทฺธกํ… อาโยคปฎฺฎํ… วิธูปนํ… ตาลวณฺฎํ…
Aṃsabaddhakaṃ… āyogapaṭṭaṃ… vidhūpanaṃ… tālavaṇṭaṃ…
โมรหตฺถํ… ฉตฺตํ… อุปาหนํ… ปูวํ โมทกํ…
Morahatthaṃ… chattaṃ… upāhanaṃ… pūvaṃ modakaṃ…
สกฺขลิกํ อหมทาสิํ, ภิกฺขุโน ปิณฺฑาย จรนฺตสฺส…เป.…
Sakkhalikaṃ ahamadāsiṃ, bhikkhuno piṇḍāya carantassa…pe…
ตสฺสา เม ปสฺส วิมานํ, อจฺฉรา กามวณฺณินีหมสฺมี’’ติ (วิ. ว. ๔๐๖)ฯ
Tassā me passa vimānaṃ, accharā kāmavaṇṇinīhamasmī’’ti (vi. va. 406).
ตํ กิสฺส เหตูติอาทิ วุตฺตนยานุสาเรเนว โยเชตฺวา เวทิตพฺพํฯ
Taṃ kissa hetūtiādi vuttanayānusāreneva yojetvā veditabbaṃ.
๑๔๕. อิทานิ เยสํ อุปาทานานํ ติตฺถิยา น สมฺมา ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติ, ตถาคโต ปญฺญเปติ, เตสํ ปจฺจยํ ทเสฺสตุํ อิเม จ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ กิํนิทานาติอาทีสุ นิทานาทีนิ สพฺพาเนว การณเววจนานิฯ การณญฺหิ ยสฺมา ผลํ นิเทติ หนฺท, นํ คณฺหถาติ อเปฺปติ วิย, ตสฺมา นิทานนฺติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ตํ ตโต ชายติ สมุเทติ ปภวติ, ตสฺมา สมุทโย, ชาติ, ปภโวติ วุจฺจติฯ อยํ ปเนตฺถ ปทโตฺถ – กิํ นิทานํ เอเตสนฺติ กิํนิทานาฯ โก สมุทโย เอเตสนฺติ กิํสมุทยาฯ กา ชาติ เอเตสนฺติ กิํชาติกาฯ โก ปภโว เอเตสนฺติ กิํปภวาฯ ยสฺมา ปน เตสํ ตณฺหา ยถาวุเตฺตน อเตฺถน นิทานเญฺจว สมุทโย จ ชาติ จ ปภโว จ, ตสฺมา ‘‘ตณฺหานิทานา’’ติอาทิมาหฯ เอวํ สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยสฺมา ปน ภควา น เกวลํ อุปาทานเสฺสว ปจฺจยํ ชานาติ, อุปาทานสฺส ปจฺจยภูตาย ตณฺหายปิ, ตณฺหาทิปจฺจยานํ เวทนาทีนมฺปิ ปจฺจยํ ชานาติเยว, ตสฺมา ตณฺหา จายํ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ
145. Idāni yesaṃ upādānānaṃ titthiyā na sammā pariññaṃ paññapenti, tathāgato paññapeti, tesaṃ paccayaṃ dassetuṃ ime ca, bhikkhavetiādimāha. Tattha kiṃnidānātiādīsu nidānādīni sabbāneva kāraṇavevacanāni. Kāraṇañhi yasmā phalaṃ nideti handa, naṃ gaṇhathāti appeti viya, tasmā nidānanti vuccati. Yasmā taṃ tato jāyati samudeti pabhavati, tasmā samudayo, jāti, pabhavoti vuccati. Ayaṃ panettha padattho – kiṃ nidānaṃ etesanti kiṃnidānā. Ko samudayo etesanti kiṃsamudayā. Kā jāti etesanti kiṃjātikā. Ko pabhavo etesanti kiṃpabhavā. Yasmā pana tesaṃ taṇhā yathāvuttena atthena nidānañceva samudayo ca jāti ca pabhavo ca, tasmā ‘‘taṇhānidānā’’tiādimāha. Evaṃ sabbapadesu attho veditabbo. Yasmā pana bhagavā na kevalaṃ upādānasseva paccayaṃ jānāti, upādānassa paccayabhūtāya taṇhāyapi, taṇhādipaccayānaṃ vedanādīnampi paccayaṃ jānātiyeva, tasmā taṇhā cāyaṃ, bhikkhavetiādimāha.
ยโต จ โขติ ยสฺมิํ กาเลฯ อวิชฺชา ปหีนา โหตีติ วฎฺฎมูลิกา อวิชฺชา อนุปฺปาทนิโรเธน ปหีนา โหติฯ วิชฺชา อุปฺปนฺนาติ อรหตฺตมคฺควิชฺชา อุปฺปนฺนาฯ โส อวิชฺชาวิราคา วิชฺชุปฺปาทาติฯ โส ภิกฺขุ อวิชฺชาย จ ปหีนตฺตา วิชฺชาย จ อุปฺปนฺนตฺตาฯ เนว กามุปาทานํ อุปาทิยตีติ เนว กามุปาทานํ คณฺหาติ น อุเปติ, น เสสานิ อุปาทานานิฯ อนุปาทิยํ น ปริตสฺสตีติ เอวํ กิญฺจิ อุปาทานํ อคฺคณฺหโนฺต ตณฺหาปริตสฺสนาย น ปริตสฺสติฯ อปริตสฺสนฺติ อปริตสฺสโนฺต ตณฺหํ อนุปฺปาเทโนฺตฯ ปจฺจตฺตํเยว ปรินิพฺพายตีติ สยเมว กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายติฯ เอวมสฺส อาสวกฺขยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ขีณาสวสฺส ภิกฺขุโน ปจฺจเวกฺขณํ ทเสฺสโนฺต ขีณา ชาตีติอาทิมาหฯ ตํ วุตฺตตฺถเมวาติฯ
Yatoca khoti yasmiṃ kāle. Avijjā pahīnā hotīti vaṭṭamūlikā avijjā anuppādanirodhena pahīnā hoti. Vijjā uppannāti arahattamaggavijjā uppannā. So avijjāvirāgā vijjuppādāti. So bhikkhu avijjāya ca pahīnattā vijjāya ca uppannattā. Neva kāmupādānaṃ upādiyatīti neva kāmupādānaṃ gaṇhāti na upeti, na sesāni upādānāni. Anupādiyaṃ na paritassatīti evaṃ kiñci upādānaṃ aggaṇhanto taṇhāparitassanāya na paritassati. Aparitassanti aparitassanto taṇhaṃ anuppādento. Paccattaṃyeva parinibbāyatīti sayameva kilesaparinibbānena parinibbāyati. Evamassa āsavakkhayaṃ dassetvā idāni khīṇāsavassa bhikkhuno paccavekkhaṇaṃ dassento khīṇā jātītiādimāha. Taṃ vuttatthamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
จูฬสีหนาทสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Cūḷasīhanādasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. จูฬสีหนาทสุตฺตํ • 1. Cūḷasīhanādasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. จูฬสีหนาทสุตฺตวณฺณนา • 1. Cūḷasīhanādasuttavaṇṇanā