Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๑๒๑
The Middle-Length Suttas Collection 121
จูฬสุญฺญตสุตฺต
The Shorter Discourse on Emptiness
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเทฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in the Eastern Monastery, the stilt longhouse of Migāra’s mother.
อถ โข อายสฺมา อานนฺโท สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ:
Then in the late afternoon, Venerable Ānanda came out of retreat and went to the Buddha. He bowed, sat down to one side, and said to him:
“เอกมิทํ, ภนฺเต, สมยํ ภควา สกฺเกสุ วิหรติ นครกํ นาม สกฺยานํ นิคโมฯ ตตฺถ เม, ภนฺเต, ภควโต สมฺมุขา สุตํ, สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ: ‘สุญฺญตาวิหาเรนาหํ, อานนฺท, เอตรหิ พหุลํ วิหรามี'ติฯ กจฺจิ เมตํ, ภนฺเต, สุสฺสุตํ สุคฺคหิตํ สุมนสิกตํ สูปธาริตนฺ”ติ?
“Sir, this one time the Buddha was staying in the land of the Sakyans where they have a town named Townsville. There I heard and learned this in the presence of the Buddha: ‘Ānanda, these days I usually practice the meditation on emptiness.’ I trust I properly heard, learned, applied the mind, and remembered that from the Buddha?”
“ตคฺฆ เต เอตํ, อานนฺท, สุสฺสุตํ สุคฺคหิตํ สุมนสิกตํ สูปธาริตํฯ ปุพฺเพปาหํ, อานนฺท, เอตรหิปิ สุญฺญตาวิหาเรน พหุลํ วิหรามิฯ
“Indeed, Ānanda, you properly heard, learned, applied the mind, and remembered that. Now, as before, I usually practice the meditation on emptiness.
เสยฺยถาปิ, อานนฺท, อยํ มิคารมาตุปาสาโท สุญฺโญ หตฺถิควสฺสวฬเวน, สุญฺโญ ชาตรูปรชเตน, สุญฺโญ อิตฺถิปุริสสนฺนิปาเตน อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—ภิกฺขุสงฺฆํ ปฏิจฺจ เอกตฺตํ; เอวเมว โข, อานนฺท, ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา คามสญฺญํ, อมนสิกริตฺวา มนุสฺสสญฺญํ, อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส อรญฺญสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘เย อสฺสุ ทรถา คามสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา มนุสฺสสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ—อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ โส ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ คามสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ มนุสฺสสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ อิติ ยญฺหิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ, ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ ‘สนฺตมิทํ อตฺถี'ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิสฺส เอสา, อานนฺท, ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติฯ
Consider this stilt longhouse of Migāra’s mother. It’s empty of elephants, cows, horses, and mares; of gold and money; and of gatherings of men and women. There is only this that is not emptiness, namely, the oneness dependent on the bhikkhu Saṅgha. In the same way, a bhikkhu—ignoring the perception of the village and the perception of people—focuses on the oneness dependent on the perception of wilderness. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that perception of wilderness. They understand: ‘Here there is no stress due to the perception of village or the perception of people. There is only this modicum of stress, namely the oneness dependent on the perception of wilderness.’ They understand: ‘This field of perception is empty of the perception of the village. It is empty of the perception of people. There is only this that is not emptiness, namely the oneness dependent on the perception of wilderness.’ And so they regard it as empty of what is not there, but as to what remains they understand that it is present. That’s how emptiness is born in them—genuine, undistorted, and pure.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา มนุสฺสสญฺญํ, อมนสิกริตฺวา อรญฺญสญฺญํ, ปถวีสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส ปถวีสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, อาสภจมฺมํ สงฺกุสเตน สุวิหตํ วิคตวลิกํ; เอวเมว โข, อานนฺท, ภิกฺขุ ยํ อิมิสฺสา ปถวิยา อุกฺกูลวิกฺกูลํ นทีวิทุคฺคํ ขาณุกณฺฏกฏฺฐานํ ปพฺพตวิสมํ ตํ สพฺพํ อมนสิกริตฺวา ปถวีสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส ปถวีสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘เย อสฺสุ ทรถา มนุสฺสสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ—ปถวีสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ โส ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ มนุสฺสสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อรญฺญสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—ปถวีสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ อิติ ยญฺหิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ, ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ ‘สนฺตมิทํ อตฺถี'ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิสฺส เอสา, อานนฺท, ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติฯ
Furthermore, a bhikkhu—ignoring the perception of people and the perception of wilderness—focuses on the oneness dependent on the perception of earth. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that perception of earth. As a bull’s hide is rid of folds when fully stretched out by a hundred pegs, so too, ignoring the hilly terrain, inaccessible riverlands, stumps and thorns, and rugged mountains, they focus on the oneness dependent on the perception of earth. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that perception of earth. They understand: ‘Here there is no stress due to the perception of people or the perception of wilderness. There is only this modicum of stress, namely the oneness dependent on the perception of earth.’ They understand: ‘This field of perception is empty of the perception of people. It is empty of the perception of wilderness. There is only this that is not emptiness, namely the oneness dependent on the perception of earth.’ And so they regard it as empty of what is not there, but as to what remains they understand that it is present. That’s how emptiness is born in them—genuine, undistorted, and pure.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา อรญฺญสญฺญํ, อมนสิกริตฺวา ปถวีสญฺญํ, อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส อากาสานญฺจายตนสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘เย อสฺสุ ทรถา อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา ปถวีสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ—อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ โส ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อรญฺญสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ ปถวีสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ อิติ ยญฺหิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ, ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ ‘สนฺตมิทํ อตฺถี'ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิสฺส เอสา, อานนฺท, ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติฯ
Furthermore, a bhikkhu—ignoring the perception of wilderness and the perception of earth—focuses on the oneness dependent on the perception of the dimension of infinite space. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that perception of the dimension of infinite space. They understand: ‘Here there is no stress due to the perception of wilderness or the perception of earth. There is only this modicum of stress, namely the oneness dependent on the perception of the dimension of infinite space.’ They understand: ‘This field of perception is empty of the perception of wilderness. It is empty of the perception of earth. There is only this that is not emptiness, namely the oneness dependent on the perception of the dimension of infinite space.’ And so they regard it as empty of what is not there, but as to what remains they understand that it is present. That’s how emptiness is born in them—genuine, undistorted, and pure.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา ปถวีสญฺญํ, อมนสิกริตฺวา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ, วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘เย อสฺสุ ทรถา ปถวีสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ—วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ โส ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ ปถวีสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อากาสานญฺจายตนสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ อิติ ยญฺหิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ, ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ ‘สนฺตมิทํ อตฺถี'ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิสฺส เอสา, อานนฺท, ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติฯ
Furthermore, a bhikkhu—ignoring the perception of earth and the perception of the dimension of infinite space—focuses on the oneness dependent on the perception of the dimension of infinite consciousness. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that perception of the dimension of infinite consciousness. They understand: ‘Here there is no stress due to the perception of earth or the perception of the dimension of infinite space. There is only this modicum of stress, namely the oneness dependent on the perception of the dimension of infinite consciousness.’ They understand: ‘This field of perception is empty of the perception of earth. It is empty of the perception of the dimension of infinite space. There is only this modicum of stress, namely the oneness dependent on the perception of the dimension of infinite consciousness.’ And so they regard it as empty of what is not there, but as to what remains they understand that it is present. That’s how emptiness is born in them—genuine, undistorted, and pure.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ, อมนสิกริตฺวา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ, อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส อากิญฺจญฺญายตนสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘เย อสฺสุ ทรถา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ—อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ โส ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อากาสานญฺจายตนสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ อิติ ยญฺหิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ, ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ ‘สนฺตมิทํ อตฺถี'ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิสฺส เอสา, อานนฺท, ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติฯ
Furthermore, a bhikkhu—ignoring the perception of the dimension of infinite space and the perception of the dimension of infinite consciousness—focuses on the oneness dependent on the perception of the dimension of nothingness. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that perception of the dimension of nothingness. They understand: ‘Here there is no stress due to the perception of the dimension of infinite space or the perception of the dimension of infinite consciousness. There is only this modicum of stress, namely the oneness dependent on the perception of the dimension of nothingness.’ They understand: ‘This field of perception is empty of the perception of the dimension of infinite space. It is empty of the perception of the dimension of infinite consciousness. There is only this that is not emptiness, namely the oneness dependent on the perception of the dimension of nothingness.’ And so they regard it as empty of what is not there, but as to what remains they understand that it is present. That’s how emptiness is born in them—genuine, undistorted, and pure.
ปุน จปรํ, อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ, อมนสิกริตฺวา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘เย อสฺสุ ทรถา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ—เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ โส ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺ'ติฯ อิติ ยญฺหิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ, ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ ‘สนฺตมิทํ อตฺถี'ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิสฺส เอสา, อานนฺท, ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติฯ
Furthermore, a bhikkhu—ignoring the perception of the dimension of infinite consciousness and the perception of the dimension of nothingness—focuses on the oneness dependent on the perception of the dimension of neither perception nor non-perception. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that perception of the dimension of neither perception nor non-perception. They understand: ‘Here there is no stress due to the perception of the dimension of infinite consciousness or the perception of the dimension of nothingness. There is only this modicum of stress, namely the oneness dependent on the perception of the dimension of neither perception nor non-perception.’ They understand: ‘This field of perception is empty of the perception of the dimension of infinite consciousness. It is empty of the perception of the dimension of nothingness. There is only this that is not emptiness, namely the oneness dependent on the perception of the dimension of neither perception nor non-perception.’ And so they regard it as empty of what is not there, but as to what remains they understand that it is present. That’s how emptiness is born in them—genuine, undistorted, and pure.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ, อมนสิกริตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ, อนิมิตฺตํ เจโตสมาธึ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส อนิมิตฺเต เจโตสมาธิมฺหิ จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘เย อสฺสุ ทรถา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ—อิมเมว กายํ ปฏิจฺจ สฬายตนิกํ ชีวิตปจฺจยา'ติฯ โส ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญายา'ติ ปชานาติ, ‘อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—อิมเมว กายํ ปฏิจฺจ สฬายตนิกํ ชีวิตปจฺจยา'ติฯ อิติ ยญฺหิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ, ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ ‘สนฺตมิทํ อตฺถี'ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิสฺส เอสา, อานนฺท, ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติฯ
Furthermore, a bhikkhu—ignoring the perception of the dimension of nothingness and the perception of the dimension of neither perception nor non-perception—focuses on the oneness dependent on the signless immersion of the heart. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that signless immersion of the heart. They understand: ‘Here there is no stress due to the perception of the dimension of nothingness or the perception of the dimension of neither perception nor non-perception. There is only this modicum of stress, namely that associated with the six sense fields dependent on this body and conditioned by life.’ They understand: ‘This field of perception is empty of the perception of the dimension of nothingness. It is empty of the perception of the dimension of neither perception nor non-perception. There is only this that is not emptiness, namely that associated with the six sense fields dependent on this body and conditioned by life.’ And so they regard it as empty of what is not there, but as to what remains they understand that it is present. That’s how emptiness is born in them—genuine, undistorted, and pure.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ, อมนสิกริตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ, อนิมิตฺตํ เจโตสมาธึ ปฏิจฺจ มนสิ กโรติ เอกตฺตํฯ ตสฺส อนิมิตฺเต เจโตสมาธิมฺหิ จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘อยมฺปิ โข อนิมิตฺโต เจโตสมาธิ อภิสงฺขโต อภิสญฺเจตยิโต'ฯ ‘ยํ โข ปน กิญฺจิ อภิสงฺขตํ อภิสญฺเจตยิตํ ตทนิจฺจํ นิโรธธมฺมนฺ'ติ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ
Furthermore, a bhikkhu—ignoring the perception of the dimension of nothingness and the perception of the dimension of neither perception nor non-perception—focuses on the oneness dependent on the signless immersion of the heart. Their mind becomes eager, confident, settled, and decided in that signless immersion of the heart. They understand: ‘Even this signless immersion of the heart is produced by choices and intentions.’ They understand: ‘But whatever is produced by choices and intentions is impermanent and liable to cessation.’ Knowing and seeing like this, their mind is freed from the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance. When they’re freed, they know they’re freed.
‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ
They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’
โส เอวํ ปชานาติ: ‘เย อสฺสุ ทรถา กามาสวํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา ภวาสวํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, เย อสฺสุ ทรถา อวิชฺชาสวํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ, อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ—อิมเมว กายํ ปฏิจฺจ สฬายตนิกํ ชีวิตปจฺจยา'ติฯ โส ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ กามาสเวนา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ ภวาสเวนา'ติ ปชานาติ, ‘สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อวิชฺชาสเวนา'ติ ปชานาติ, ‘อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ—อิมเมว กายํ ปฏิจฺจ สฬายตนิกํ ชีวิตปจฺจยา'ติฯ อิติ ยญฺหิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ, ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ ‘สนฺตมิทํ อตฺถี'ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิสฺส เอสา, อานนฺท, ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา ปรมานุตฺตรา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติฯ
They understand: ‘Here there is no stress due to the defilements of sensuality, desire to be reborn, or ignorance. There is only this modicum of stress, namely that associated with the six sense fields dependent on this body and conditioned by life.’ They understand: ‘This field of perception is empty of the perception of the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance. There is only this that is not emptiness, namely that associated with the six sense fields dependent on this body and conditioned by life.’ And so they regard it as empty of what is not there, but as to what remains they understand that it is present. That’s how emptiness is born in them—genuine, undistorted, and pure.
เยปิ หิ เกจิ, อานนฺท, อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหรึสุ, สพฺเพ เต อิมํเยว ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหรึสุฯ เยปิ หิ เกจิ, อานนฺท, อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสนฺติ, สพฺเพ เต อิมํเยว ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสนฺติฯ เยปิ หิ เกจิ, อานนฺท, เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหรนฺติ, สพฺเพ เต อิมํเยว ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหรนฺติฯ ตสฺมาติห, อานนฺท, ‘ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสามา'ติ—เอวญฺหิ โว, อานนฺท, สิกฺขิตพฺพนฺ”ติฯ
Whatever ascetics and brahmins enter and remain in the pure, ultimate, supreme emptiness—whether in the past, future, or present—all of them enter and remain in this same pure, ultimate, supreme emptiness. So, Ānanda, you should train like this: ‘We will enter and remain in the pure, ultimate, supreme emptiness.’ That’s how you should train.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, Venerable Ānanda was happy with what the Buddha said.
จูฬสุญฺญตสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปฐมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]