Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๒๕] ๕. จูฬสุตโสมชาตกวณฺณนา

    [525] 5. Cūḷasutasomajātakavaṇṇanā

    อามนฺตยามิ นิคมนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เนกฺขมฺมปารมิํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ มหานารทกสฺสปชาตกสทิสเมว (ชา. ๒.๒๒.๑๑๕๓ อาทโย)ฯ อตีเต ปน พาราณสี สุทสฺสนํ นาม นครํ อโหสิ, ตตฺถ พฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อชฺฌาวสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, ทสมาสจฺจเยน มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิฯ ตสฺส ปน ปุณฺณจนฺทสสฺสิริกํ มุขํ อโหสิ, เตนสฺส ‘‘โสมกุมาโร’’ติ นามํ กริํสุฯ โส วิญฺญุตํ ปโตฺต สุตวิตฺตโก สวนสีโล อโหสิ, เตน นํ ‘‘สุตโสโม’’ติ สญฺชานิํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคเหตฺวา อาคโต ปิตุ สนฺตกํ เสตจฺฉตฺตํ ลภิตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิ, มหนฺตํ อิสฺสริยํ อโหสิฯ ตสฺส จนฺทาเทวิปฺปมุขานิ โสฬส อิตฺถิสหสฺสานิ อเหสุํฯ โส อปรภาเค ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒโนฺต ฆราวาเส อนภิรโต อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตุกาโม อโหสิฯ

    Āmantayāminigamanti idaṃ satthā jetavane viharanto nekkhammapāramiṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu mahānāradakassapajātakasadisameva (jā. 2.22.1153 ādayo). Atīte pana bārāṇasī sudassanaṃ nāma nagaraṃ ahosi, tattha brahmadatto nāma rājā ajjhāvasi. Bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbatti, dasamāsaccayena mātukucchito nikkhami. Tassa pana puṇṇacandasassirikaṃ mukhaṃ ahosi, tenassa ‘‘somakumāro’’ti nāmaṃ kariṃsu. So viññutaṃ patto sutavittako savanasīlo ahosi, tena naṃ ‘‘sutasomo’’ti sañjāniṃsu. So vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggahetvā āgato pitu santakaṃ setacchattaṃ labhitvā dhammena rajjaṃ kāresi, mahantaṃ issariyaṃ ahosi. Tassa candādevippamukhāni soḷasa itthisahassāni ahesuṃ. So aparabhāge puttadhītāhi vaḍḍhanto gharāvāse anabhirato araññaṃ pavisitvā pabbajitukāmo ahosi.

    โส เอกทิวสํ กปฺปกํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ยทา เม, สมฺม, สิรสฺมิํ ปลิตํ ปเสฺสยฺยาสิ, ตทา เม อาโรเจยฺยาสี’’ติ อาหฯ กปฺปโก ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อปรภาเค ปลิตํ ทิสฺวา อาโรเจตฺวา ‘‘เตน หิ นํ, สมฺม กปฺปก, อุทฺธริตฺวา มม หเตฺถ ปติฎฺฐเปหี’’ติ วุเตฺต สุวณฺณสณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา รโญฺญ หเตฺถ ฐเปสิฯ ตํ ทิสฺวา มหาสโตฺต ‘‘ชราย เม สรีรํ อภิภูต’’นฺติ ภีโต ตํ ปลิตํ คเหตฺวาว ปาสาทา โอตริตฺวา มหาชนสฺส ทสฺสนฎฺฐาเน ปญฺญเตฺต ราชปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา เสนาปติปฺปมุขานิ อสีติอมจฺจสหสฺสานิ ปุโรหิตปฺปมุขานิ สฎฺฐิพฺราหฺมณสหสฺสานิ อเญฺญ จ รฎฺฐิกชานปทเนคมาทโย พหู ชเน ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สิรสฺมิํ เม ปลิตํ ชาตํ, อหํ มหลฺลโกสฺมิ, มม ปพฺพชิตภาวํ ชานาถา’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    So ekadivasaṃ kappakaṃ āmantetvā ‘‘yadā me, samma, sirasmiṃ palitaṃ passeyyāsi, tadā me āroceyyāsī’’ti āha. Kappako tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā aparabhāge palitaṃ disvā ārocetvā ‘‘tena hi naṃ, samma kappaka, uddharitvā mama hatthe patiṭṭhapehī’’ti vutte suvaṇṇasaṇḍāsena uddharitvā rañño hatthe ṭhapesi. Taṃ disvā mahāsatto ‘‘jarāya me sarīraṃ abhibhūta’’nti bhīto taṃ palitaṃ gahetvāva pāsādā otaritvā mahājanassa dassanaṭṭhāne paññatte rājapallaṅke nisīditvā senāpatippamukhāni asītiamaccasahassāni purohitappamukhāni saṭṭhibrāhmaṇasahassāni aññe ca raṭṭhikajānapadanegamādayo bahū jane pakkosāpetvā ‘‘sirasmiṃ me palitaṃ jātaṃ, ahaṃ mahallakosmi, mama pabbajitabhāvaṃ jānāthā’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๙๕.

    195.

    ‘‘อามนฺตยามิ นิคมํ, มิตฺตามเจฺจ ปริสฺสเช;

    ‘‘Āmantayāmi nigamaṃ, mittāmacce parissaje;

    สิรสฺมิํ ปลิตํ ชาตํ, ปพฺพชฺชํ ทานิ โรจห’’นฺติฯ

    Sirasmiṃ palitaṃ jātaṃ, pabbajjaṃ dāni rocaha’’nti.

    ตตฺถ อามนฺตยามีติ ชานาเปมิฯ โรจหนฺติ ‘‘โรเจมิ อหํ, ตสฺส เม, โภโนฺต! ปพฺพชิตภาวํ ชานาถา’’ติฯ

    Tattha āmantayāmīti jānāpemi. Rocahanti ‘‘rocemi ahaṃ, tassa me, bhonto! Pabbajitabhāvaṃ jānāthā’’ti.

    ตํ สุตฺวา เตสุ เอโก วิสารทปฺปโตฺต หุตฺวา คาถมาห –

    Taṃ sutvā tesu eko visāradappatto hutvā gāthamāha –

    ๑๙๖.

    196.

    ‘‘อภุํ เม กถํ นุ ภณสิ, สลฺลํ เม เทว อุรสิ กเปฺปสิ;

    ‘‘Abhuṃ me kathaṃ nu bhaṇasi, sallaṃ me deva urasi kappesi;

    สตฺตสตา เต ภริยา, กถํ นุ เต ตา ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ

    Sattasatā te bhariyā, kathaṃ nu te tā bhavissantī’’ti.

    ตตฺถ อภุนฺติ อวฑฺฒิํฯ อุรสิ กเปฺปสีติ อุรสฺมิํ สุนิสิตโธตสตฺติํ จาเรสิฯ สตฺตสตาติ สมชาติกา ขตฺติยกญฺญา สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ กถํ นุ เต ตา ภวิสฺสนฺตีติ ตา ตว ภริยา ตยิ ปพฺพชิเต อนาถา นิปฺปจฺจยา กถํ ภวิสฺสนฺติ, เอตา อนาถา กตฺวา ตุมฺหากํ ปพฺพชฺชา นาม น ยุตฺตาติฯ

    Tattha abhunti avaḍḍhiṃ. Urasi kappesīti urasmiṃ sunisitadhotasattiṃ cāresi. Sattasatāti samajātikā khattiyakaññā sandhāyetaṃ vuttaṃ. Kathaṃ nu te tā bhavissantīti tā tava bhariyā tayi pabbajite anāthā nippaccayā kathaṃ bhavissanti, etā anāthā katvā tumhākaṃ pabbajjā nāma na yuttāti.

    ตโต มหาสโตฺต ตติยํ คาถมาห –

    Tato mahāsatto tatiyaṃ gāthamāha –

    ๑๙๗.

    197.

    ‘‘ปญฺญายิหินฺติ เอตา, ทหรา อญฺญมฺปิ ตา คมิสฺสนฺติ;

    ‘‘Paññāyihinti etā, daharā aññampi tā gamissanti;

    สคฺคญฺจ ปตฺถยาโน, เตน อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Saggañca patthayāno, tena ahaṃ pabbajissāmī’’ti.

    ตตฺถ ปญฺญายิหินฺตีติ อตฺตโน กเมฺมน ปญฺญายิสฺสนฺติฯ อหํ เอตาสํ กิํ โหมิ, สพฺพาเปตา ทหรา, โย อโญฺญ ราชา ภวิสฺสติ, ตํ เอตา คมิสฺสนฺตีติฯ

    Tattha paññāyihintīti attano kammena paññāyissanti. Ahaṃ etāsaṃ kiṃ homi, sabbāpetā daharā, yo añño rājā bhavissati, taṃ etā gamissantīti.

    อมจฺจาทโย โพธิสตฺตสฺส ปฎิวจนํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตา ตสฺส มาตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ สา ตุริตตุริตา อาคนฺตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ตาต, ปพฺพชิตุกาโมสี’’ติ วตฺวา เทฺว คาถาโย อภาสิ –

    Amaccādayo bodhisattassa paṭivacanaṃ dātuṃ asakkontā tassa mātu santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesuṃ. Sā turitaturitā āgantvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, tāta, pabbajitukāmosī’’ti vatvā dve gāthāyo abhāsi –

    ๑๙๘.

    198.

    ‘‘ทุลฺลทฺธํ เม อาสิ สุตโสม, ยสฺส เต โหมหํ มาตา;

    ‘‘Dulladdhaṃ me āsi sutasoma, yassa te homahaṃ mātā;

    ยํ เม วิลปนฺติยา, อนเปโกฺข ปพฺพชสิ เทวฯ

    Yaṃ me vilapantiyā, anapekkho pabbajasi deva.

    ๑๙๙.

    199.

    ‘‘ทุลฺลทฺธํ เม อาสิ สุตโสม, ยํ ตํ อหํ วิชายิสฺสํ;

    ‘‘Dulladdhaṃ me āsi sutasoma, yaṃ taṃ ahaṃ vijāyissaṃ;

    ยํ เม วิลปนฺติยา, อนเปโกฺข ปพฺพชสิ เทวา’’ติฯ

    Yaṃ me vilapantiyā, anapekkho pabbajasi devā’’ti.

    ตตฺถ ทุลฺลทฺธนฺติ ยํ เอตํ มยา ลภนฺติยา ปุตฺตํ ชมฺมํ ลทฺธํ ทุลฺลทฺธํฯ ยํ เมติ เยน การเณน มยิ นานปฺปการกํ วิปลนฺติยา ตฺวํ ปพฺพชิตุํ อิจฺฉสิ, เตน การเณน ตาทิสสฺส ปุตฺตสฺส ลภนํ มม ทุลฺลทฺธํ นามาติฯ

    Tattha dulladdhanti yaṃ etaṃ mayā labhantiyā puttaṃ jammaṃ laddhaṃ dulladdhaṃ. Yaṃ meti yena kāraṇena mayi nānappakārakaṃ vipalantiyā tvaṃ pabbajituṃ icchasi, tena kāraṇena tādisassa puttassa labhanaṃ mama dulladdhaṃ nāmāti.

    โพธิสโตฺต เอวํ ปริเทวมานายปิ มาตรา สทฺธิํ กิญฺจิ น กเถสิฯ สา โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา สยเมว เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อถสฺส ปิตุ อาโรเจสุํฯ โส อาคนฺตฺวา เอกํ ตาว คาถมาห –

    Bodhisatto evaṃ paridevamānāyapi mātarā saddhiṃ kiñci na kathesi. Sā roditvā kanditvā sayameva ekamantaṃ aṭṭhāsi. Athassa pitu ārocesuṃ. So āgantvā ekaṃ tāva gāthamāha –

    ๒๐๐.

    200.

    ‘‘โก นาเมโส ธโมฺม, สุตโสม กา จ นาม ปพฺพชฺชา;

    ‘‘Ko nāmeso dhammo, sutasoma kā ca nāma pabbajjā;

    ยํ โน อเมฺห ชิเณฺณ, อนเปโกฺข ปพฺพชสิ เทวา’’ติฯ

    Yaṃ no amhe jiṇṇe, anapekkho pabbajasi devā’’ti.

    ตตฺถ ยํ โน อเมฺหติ ยํ ตฺวํ อมฺหากํ ปุโตฺต สมาโน อเมฺห ชิเณฺณ ปฎิชคฺคิตพฺพกาเล อปฺปฎิชคฺคิตฺวา ปปาเต สิลํ ปวเฎฺฎโนฺต วิย ฉเฑฺฑตฺวา อนเปโกฺข ปพฺพชสิ, เตน ตํ วทามิ โก นาเมโส ตว ธโมฺมติ อธิปฺปาโยฯ

    Tattha yaṃ no amheti yaṃ tvaṃ amhākaṃ putto samāno amhe jiṇṇe paṭijaggitabbakāle appaṭijaggitvā papāte silaṃ pavaṭṭento viya chaḍḍetvā anapekkho pabbajasi, tena taṃ vadāmi ko nāmeso tava dhammoti adhippāyo.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ตุณฺหี อโหสิฯ อถ นํ ปิตา, ‘‘ตาต สุตโสม, สเจปิ เต มาตาปิตูสุ สิเนโห นตฺถิ, ปุตฺตธีตโร เต พหู ตรุณา, ตยา วินา วตฺติตุํ น สกฺขิสฺสนฺติ, เตสํ วุฑฺฒิปฺปตฺตกาเล ปพฺพชิสฺสสี’’ติ วตฺวา สตฺตมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto tuṇhī ahosi. Atha naṃ pitā, ‘‘tāta sutasoma, sacepi te mātāpitūsu sineho natthi, puttadhītaro te bahū taruṇā, tayā vinā vattituṃ na sakkhissanti, tesaṃ vuḍḍhippattakāle pabbajissasī’’ti vatvā sattamaṃ gāthamāha –

    ๒๐๑.

    201.

    ‘‘ปุตฺตาปิ ตุยฺหํ พหโว, ทหรา อปฺปตฺตโยพฺพนา;

    ‘‘Puttāpi tuyhaṃ bahavo, daharā appattayobbanā;

    มญฺชู เตปิตํ อปสฺสนฺตา, มเญฺญ ทุกฺขํ นิคจฺฉนฺตี’’ติฯ

    Mañjū tepitaṃ apassantā, maññe dukkhaṃ nigacchantī’’ti.

    ตตฺถ มญฺชูติ มธุรวจนาฯ นิคจฺฉนฺตีติ นิคจฺฉิสฺสนฺติ กายิกเจตสิกทุกฺขํ ปฎิลภิสฺสนฺตีติ มญฺญามิฯ

    Tattha mañjūti madhuravacanā. Nigacchantīti nigacchissanti kāyikacetasikadukkhaṃ paṭilabhissantīti maññāmi.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto gāthamāha –

    ๒๐๒.

    202.

    ‘‘ปุเตฺตหิ จ เม เอเตหิ, ทหเรหิ อปฺปตฺตโยพฺพเนหิ;

    ‘‘Puttehi ca me etehi, daharehi appattayobbanehi;

    มญฺชูหิ สเพฺพหิปิ ตุเมฺหหิ, จิรมฺปิ ฐตฺวา วินาสภาโว’’ติฯ

    Mañjūhi sabbehipi tumhehi, cirampi ṭhatvā vināsabhāvo’’ti.

    ตตฺถ สเพฺพหิปิ ตุเมฺหหีติ, ตาต, น เกวลํ ปุเตฺตเหว, อถ โข ตุเมฺหหิปิ อเญฺญหิปิ สพฺพสงฺขาเรหิ จิรํ ฐตฺวาปิ ทีฆมทฺธานํ ฐตฺวาปิ วินาสภาโวว นิยโตฯ สกลสฺมิมฺปิ หิ โลกสนฺนิวาเส เอกสงฺขาโรปิ นิโจฺจ นาม นตฺถีติฯ

    Tattha sabbehipi tumhehīti, tāta, na kevalaṃ putteheva, atha kho tumhehipi aññehipi sabbasaṅkhārehi ciraṃ ṭhatvāpi dīghamaddhānaṃ ṭhatvāpi vināsabhāvova niyato. Sakalasmimpi hi lokasannivāse ekasaṅkhāropi nicco nāma natthīti.

    เอวํ มหาสโตฺต ปิตุ ธมฺมกถํ กเถสิฯ โส ตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ อถสฺส สตฺตสตานํ ภริยานํ อาโรจยิํสุฯ ตา จ ปาสาทา โอรุยฺห ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา โคปฺผเกสุ คเหตฺวา ปริเทวมานา คาถมาหํสุ –

    Evaṃ mahāsatto pitu dhammakathaṃ kathesi. So tassa dhammakathaṃ sutvā tuṇhī ahosi. Athassa sattasatānaṃ bhariyānaṃ ārocayiṃsu. Tā ca pāsādā oruyha tassa santikaṃ gantvā gopphakesu gahetvā paridevamānā gāthamāhaṃsu –

    ๒๐๓.

    203.

    ‘‘ฉินฺนํ นุ ตุยฺหํ หทยํ, อทุ เต กรุณา จ นตฺถิ อเมฺหสุ;

    ‘‘Chinnaṃ nu tuyhaṃ hadayaṃ, adu te karuṇā ca natthi amhesu;

    ยํ โน วิกนฺทนฺติโย, อนเปโกฺข ปพฺพชสิ เทวา’’ติฯ

    Yaṃ no vikandantiyo, anapekkho pabbajasi devā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – สามิ สุตโสม, อเมฺห วิธวา กตฺวา คจฺฉนฺตสฺส อปฺปมตฺตกสฺสปิ สิเนหสฺส อภาเวน ตว หทยํ อเมฺหสุ ฉินฺนํ นุ, อุทาหุ กรุณาย อภาเวน การุญฺญํ วา นตฺถิ, ยํ โน เอวํ วิกนฺทนฺติโย ปหาย ปพฺพชสีติฯ

    Tassattho – sāmi sutasoma, amhe vidhavā katvā gacchantassa appamattakassapi sinehassa abhāvena tava hadayaṃ amhesu chinnaṃ nu, udāhu karuṇāya abhāvena kāruññaṃ vā natthi, yaṃ no evaṃ vikandantiyo pahāya pabbajasīti.

    มหาสโตฺต ตาสํ ปาทมูเล ปริวตฺติตฺวา ปริเทวมานานํ ปริเทวนสทฺทํ สุตฺวา อนนฺตรํ คาถมาห –

    Mahāsatto tāsaṃ pādamūle parivattitvā paridevamānānaṃ paridevanasaddaṃ sutvā anantaraṃ gāthamāha –

    ๒๐๔.

    204.

    ‘‘น จ มยฺหํ ฉินฺนํ หทยํ, อตฺถิ กรุณาปิ มยฺหํ ตุเมฺหสุ;

    ‘‘Na ca mayhaṃ chinnaṃ hadayaṃ, atthi karuṇāpi mayhaṃ tumhesu;

    สคฺคญฺจ ปตฺถยาโน, เตน อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Saggañca patthayāno, tena ahaṃ pabbajissāmī’’ti.

    ตตฺถ สคฺคญฺจาติ อหํ สคฺคญฺจ ปตฺถยโนฺต ยสฺมา อยํ ปพฺพชฺชา นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิตา, ตสฺมา ปพฺพชิสฺสามิ, ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถาติ ตา อสฺสาเสสิฯ

    Tattha saggañcāti ahaṃ saggañca patthayanto yasmā ayaṃ pabbajjā nāma buddhādīhi vaṇṇitā, tasmā pabbajissāmi, tumhe mā cintayitthāti tā assāsesi.

    อถสฺส อคฺคมเหสิยา อาโรเจสุํฯ สา ครุภารา ปริปุณฺณคพฺภาปิ สมานา อาคนฺตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิตา ติโสฺส คาถาโย อภาสิ –

    Athassa aggamahesiyā ārocesuṃ. Sā garubhārā paripuṇṇagabbhāpi samānā āgantvā mahāsattaṃ vanditvā ekamantaṃ ṭhitā tisso gāthāyo abhāsi –

    ๒๐๕.

    205.

    ‘‘ทุลฺลทฺธํ เม อาสิ สุตโสม, ยสฺส เต อหํ ภริยา;

    ‘‘Dulladdhaṃ me āsi sutasoma, yassa te ahaṃ bhariyā;

    ยํ เม วิลปนฺติยา, อนเปโกฺข ปพฺพชสิ เทวฯ

    Yaṃ me vilapantiyā, anapekkho pabbajasi deva.

    ๒๐๖.

    206.

    ‘‘ทุลฺลทฺธํ เม อาสิ สุตโสม, ยสฺส เต อหํ ภริยา;

    ‘‘Dulladdhaṃ me āsi sutasoma, yassa te ahaṃ bhariyā;

    ยํ เม กุจฺฉิปฎิสนฺธิํ, อนเปโกฺข ปพฺพชสิ เทวฯ

    Yaṃ me kucchipaṭisandhiṃ, anapekkho pabbajasi deva.

    ๒๐๗.

    207.

    ‘‘ปริปโกฺก เม คโพฺภ, กุจฺฉิคโต ยาว นํ วิชายามิ;

    ‘‘Paripakko me gabbho, kucchigato yāva naṃ vijāyāmi;

    มาหํ เอกา วิธวา, ปจฺฉา ทุกฺขานิ อทฺทกฺขิ’’นฺติฯ

    Māhaṃ ekā vidhavā, pacchā dukkhāni addakkhi’’nti.

    ตตฺถ ยํ เมติ ยสฺมา มม วิลปนฺติยา ตฺวํ อนเปโกฺข ปพฺพชสิ, ตสฺมา ยํ มยา ตว สนฺติกา อคฺคมเหสิฎฺฐานํ ลทฺธํ, ตํ ทุลฺลทฺธเมว อาสิฯ ทุติยคาถาย ยสฺมา มํ ตฺวํ กุจฺฉิปฎิสนฺธิํ ปหาย อนเปโกฺข ปพฺพชสิ, ตสฺมา ยํ มยา ตว ภริยตฺตํ ลทฺธํ, ตํ ทุลฺลทฺธํ เมติ อโตฺถฯ ยาว นนฺติ ยาวาหํ ตํ คพฺภํ วิชายามิ, ตาว อธิวาเสหีติฯ

    Tattha yaṃ meti yasmā mama vilapantiyā tvaṃ anapekkho pabbajasi, tasmā yaṃ mayā tava santikā aggamahesiṭṭhānaṃ laddhaṃ, taṃ dulladdhameva āsi. Dutiyagāthāya yasmā maṃ tvaṃ kucchipaṭisandhiṃ pahāya anapekkho pabbajasi, tasmā yaṃ mayā tava bhariyattaṃ laddhaṃ, taṃ dulladdhaṃ meti attho. Yāva nanti yāvāhaṃ taṃ gabbhaṃ vijāyāmi, tāva adhivāsehīti.

    ตโต มหาสโตฺต คาถมาห –

    Tato mahāsatto gāthamāha –

    ๒๐๘.

    208.

    ‘‘ปริปโกฺก เต คโพฺภ, กุจฺฉิคโต อิงฺฆ ตฺวํ วิชายสฺสุ;

    ‘‘Paripakko te gabbho, kucchigato iṅgha tvaṃ vijāyassu;

    ปุตฺตํ อโนมวณฺณํ, ตํ หิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Puttaṃ anomavaṇṇaṃ, taṃ hitvā pabbajissāmī’’ti.

    ตตฺถ ปุตฺตนฺติ, ภเทฺท, ตว คโพฺภ ปริปโกฺกติ ชานามิ, ตฺวํ ปน วิชายมานา ปุตฺตํ วิชายิสฺสสิ, น ธีตรํ, สา ตฺวํ โสตฺถินา วิชายสฺสุ ปุตฺตํ, อหํ ปน สทฺธิํ ตยา ตํ ปุตฺตํ หิตฺวา ปพฺพชิสฺสามิเยวาติฯ

    Tattha puttanti, bhadde, tava gabbho paripakkoti jānāmi, tvaṃ pana vijāyamānā puttaṃ vijāyissasi, na dhītaraṃ, sā tvaṃ sotthinā vijāyassu puttaṃ, ahaṃ pana saddhiṃ tayā taṃ puttaṃ hitvā pabbajissāmiyevāti.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา โสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี ‘‘อิโต ทานิ ปฎฺฐาย, เทว, อมฺหากํ สิรี นาม นตฺถี’’ติ อุโภหิ หเตฺถหิ หทยํ ธารยมานา อสฺสูนิ มุญฺจนฺตี มหาสเทฺทน ปริเทวิฯ อถ นํ สมสฺสาเสโนฺต มหาสโตฺต คาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā sokaṃ sandhāretuṃ asakkontī ‘‘ito dāni paṭṭhāya, deva, amhākaṃ sirī nāma natthī’’ti ubhohi hatthehi hadayaṃ dhārayamānā assūni muñcantī mahāsaddena paridevi. Atha naṃ samassāsento mahāsatto gāthamāha –

    ๒๐๙.

    209.

    ‘‘มา ตฺวํ จเนฺท รุทิ, มา โสจิ วนติมิรมตฺตกฺขิ;

    ‘‘Mā tvaṃ cande rudi, mā soci vanatimiramattakkhi;

    อาโรห วรปาสาทํ, อนเปโกฺข อหํ คมิสฺสามี’’ติฯ

    Āroha varapāsādaṃ, anapekkho ahaṃ gamissāmī’’ti.

    ตตฺถ มา ตฺวํ จเนฺท รุทีติ, ภเทฺท จนฺทาเทวิ, ตฺวํ มา โรทิ มา โสจิฯ วนติมิรมตฺตกฺขีติ คิริกณฺณิกปุปฺผสมานเนเตฺตฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘โกวิฬารตมฺพกฺขี’’ติ ลิขิตํ, ตสฺสา โกวิฬารปุปฺผํ วิย ตมฺพเนเตฺตติ อโตฺถฯ

    Tattha mā tvaṃ cande rudīti, bhadde candādevi, tvaṃ mā rodi mā soci. Vanatimiramattakkhīti girikaṇṇikapupphasamānanette. Pāḷiyaṃ pana ‘‘koviḷāratambakkhī’’ti likhitaṃ, tassā koviḷārapupphaṃ viya tambanetteti attho.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ฐาตุํ อสโกฺกนฺตี ปาสาทํ อารุยฺห โรทมานา นิสีทิฯ อถ นํ โพธิสตฺตสฺส เชฎฺฐปุโตฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เม มาตา โรทนฺตี นิสินฺนา’’ติ ตํ ปุจฺฉโนฺต คาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā ṭhātuṃ asakkontī pāsādaṃ āruyha rodamānā nisīdi. Atha naṃ bodhisattassa jeṭṭhaputto disvā ‘‘kiṃ nu kho me mātā rodantī nisinnā’’ti taṃ pucchanto gāthamāha –

    ๒๑๐.

    210.

    ‘‘โก ตํ อมฺม โกเปสิ, กิํ โรทสิ เปกฺขสิ จ มํ พาฬฺหํ;

    ‘‘Ko taṃ amma kopesi, kiṃ rodasi pekkhasi ca maṃ bāḷhaṃ;

    กํ อวชฺฌํ ฆาเตมิ, ญาตีนํ อุทิกฺขมานาน’’นฺติฯ

    Kaṃ avajjhaṃ ghātemi, ñātīnaṃ udikkhamānāna’’nti.

    ตตฺถ โกเปสีติ, อมฺม! โก นาม ตํ โกเปสิ, โก เต อปฺปิยํ อกาสิฯ เปกฺขสิ จาติ มํ พาฬฺหํ เปกฺขนฺตี กิํการณา โรทสีติ อธิปฺปาโยฯ กํ อวชฺฌํ ฆาเตมีติ อฆาเตตพฺพมฺปิ กํ ฆาเตมิ อตฺตโน ญาตีนํ อุทิกฺขมานานเญฺญว, อกฺขาหิ เมติ ปุจฺฉติฯ

    Tattha kopesīti, amma! Ko nāma taṃ kopesi, ko te appiyaṃ akāsi. Pekkhasi cāti maṃ bāḷhaṃ pekkhantī kiṃkāraṇā rodasīti adhippāyo. Kaṃ avajjhaṃ ghātemīti aghātetabbampi kaṃ ghātemi attano ñātīnaṃ udikkhamānānaññeva, akkhāhi meti pucchati.

    ตโต เทวี คาถมาห –

    Tato devī gāthamāha –

    ๒๑๑.

    211.

    ‘‘น หิ โส สกฺกา หนฺตุํ, วิชิตาวี โย มํ ตาต โกเปสิ;

    ‘‘Na hi so sakkā hantuṃ, vijitāvī yo maṃ tāta kopesi;

    ปิตา เต มํ ตาต อวจ, อนเปโกฺข อหํ คมิสฺสามี’’ติฯ

    Pitā te maṃ tāta avaca, anapekkho ahaṃ gamissāmī’’ti.

    ตตฺถ วิชิตาวีติ, ตาต, โย มํ อิมิสฺสา ปถวิยา วิชิตาวี โกเปสิ, อปฺปิยสมุทาจาเรน เม หทเย โกปญฺจ โสกญฺจ ปเวเสสิ, โส ตยา หนฺตุํ น สกฺกา, มญฺหิ, ตาต, ตว ปิตา ‘‘อหํ รชฺชสิริญฺจ ตญฺจ ปหาย อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อวจ, อิทํ เม โรทนการณนฺติฯ

    Tattha vijitāvīti, tāta, yo maṃ imissā pathaviyā vijitāvī kopesi, appiyasamudācārena me hadaye kopañca sokañca pavesesi, so tayā hantuṃ na sakkā, mañhi, tāta, tava pitā ‘‘ahaṃ rajjasiriñca tañca pahāya araññaṃ pavisitvā pabbajissāmī’’ti avaca, idaṃ me rodanakāraṇanti.

    โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘อมฺม! กิํ นาม ตฺวํ กเถสิ, นนุ เอวํ สเนฺต มยํ อนาถา นาม ภวิสฺสามา’’ติ ปริเทวโนฺต คาถมาห –

    So tassā vacanaṃ sutvā ‘‘amma! Kiṃ nāma tvaṃ kathesi, nanu evaṃ sante mayaṃ anāthā nāma bhavissāmā’’ti paridevanto gāthamāha –

    ๒๑๒.

    212.

    ‘‘โยหํ ปุเพฺพ นิยฺยามิ, อุยฺยานํ มตฺตกุญฺชเร จ โยเธมิ;

    ‘‘Yohaṃ pubbe niyyāmi, uyyānaṃ mattakuñjare ca yodhemi;

    สุตโสเม ปพฺพชิเต, กถํ นุ ทานิ กริสฺสามี’’ติฯ

    Sutasome pabbajite, kathaṃ nu dāni karissāmī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – โย อหํ ปุเพฺพ จตุอาชญฺญยุตฺตํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ รถํ อภิรุยฺห อุยฺยานํ คจฺฉามิ, มตฺตกุญฺชเร จ โยเธมิ, อเญฺญหิ จ อสฺสกีฬาทีหิ กีฬามิ, สฺวาหํ อิทานิ สุตโสเม ปพฺพชิเต กถํ กริสฺสามีติ?

    Tassattho – yo ahaṃ pubbe catuājaññayuttaṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ rathaṃ abhiruyha uyyānaṃ gacchāmi, mattakuñjare ca yodhemi, aññehi ca assakīḷādīhi kīḷāmi, svāhaṃ idāni sutasome pabbajite kathaṃ karissāmīti?

    อถสฺส กนิฎฺฐภาตา สตฺตวสฺสิโก เต อุโภปิ โรทเนฺต ทิสฺวา มาตรํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘อมฺม! กิํการณา ตุเมฺห โรทถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘เตน หิ มา โรทถ, อหํ ตาตสฺส ปพฺพชิตุํ น ทสฺสามี’’ติ อุโภปิ เต อสฺสาเสตฺวา ธาติยา สทฺธิํ ปาสาทา โอรุยฺห ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘ตาต, ตฺวํ กิร อเมฺห อกามเก ปหาย ‘ปพฺพชามี’ติ วทสิ, อหํ เต ปพฺพชิตุํ น ทสฺสามี’’ติ ปิตรํ คีวาย ทฬฺหํ คเหตฺวา คาถมาห –

    Athassa kaniṭṭhabhātā sattavassiko te ubhopi rodante disvā mātaraṃ upasaṅkamitvā, ‘‘amma! Kiṃkāraṇā tumhe rodathā’’ti pucchitvā tamatthaṃ sutvā ‘‘tena hi mā rodatha, ahaṃ tātassa pabbajituṃ na dassāmī’’ti ubhopi te assāsetvā dhātiyā saddhiṃ pāsādā oruyha pitu santikaṃ gantvā, ‘‘tāta, tvaṃ kira amhe akāmake pahāya ‘pabbajāmī’ti vadasi, ahaṃ te pabbajituṃ na dassāmī’’ti pitaraṃ gīvāya daḷhaṃ gahetvā gāthamāha –

    ๒๑๓.

    213.

    ‘‘มาตุจฺจ เม รุทนฺตฺยา, เชฎฺฐสฺส จ ภาตุโน อกามสฺส;

    ‘‘Mātucca me rudantyā, jeṭṭhassa ca bhātuno akāmassa;

    หเตฺถปิ เต คเหสฺสํ, น หิ คจฺฉสิ โน อกามาน’’นฺติฯ

    Hatthepi te gahessaṃ, na hi gacchasi no akāmāna’’nti.

    มหาสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ เม ปริปนฺถํ กโรติ, เกน นุ โข นํ อุปาเยน ปฎิกฺกมาเปยฺย’’นฺติฯ ตโต ธาติํ โอโลเกตฺวา, ‘‘อมฺม! ธาติ หนฺทิมํ มณิกฺขนฺธปิฬนฺธนํ, ตเวโส โหตุ หเตฺถ, ปุตฺตํ อปเนหิ, มา เม อนฺตรายํ กรี’’ติ สยํ ปุตฺตํ หเตฺถ คเหตฺวา อปเนตุํ อสโกฺกโนฺต ตสฺสา ลญฺชํ ปฎิชาเนตฺวา คาถมาห –

    Mahāsatto cintesi – ‘‘ayaṃ me paripanthaṃ karoti, kena nu kho naṃ upāyena paṭikkamāpeyya’’nti. Tato dhātiṃ oloketvā, ‘‘amma! Dhāti handimaṃ maṇikkhandhapiḷandhanaṃ, taveso hotu hatthe, puttaṃ apanehi, mā me antarāyaṃ karī’’ti sayaṃ puttaṃ hatthe gahetvā apanetuṃ asakkonto tassā lañjaṃ paṭijānetvā gāthamāha –

    ๒๑๔.

    214.

    ‘‘อุเฎฺฐหิ ตฺวํ ธาติ, อิมํ กุมารํ รเมหิ อญฺญตฺถ;

    ‘‘Uṭṭhehi tvaṃ dhāti, imaṃ kumāraṃ ramehi aññattha;

    มา เม ปริปนฺถมกาสิ, สคฺคํ มม ปตฺถยานสฺสา’’ติฯ

    Mā me paripanthamakāsi, saggaṃ mama patthayānassā’’ti.

    ตตฺถ อิมํ กุมารนฺติ, อมฺม! ธาติ ตฺวํ อุเฎฺฐหิ, อิมํ กุมารํ อปเนตฺวา อาคนฺตฺวา อิมํ มณิํ คเหตฺวา อญฺญตฺถ นํ อภิรเมหีติฯ

    Tattha imaṃ kumāranti, amma! Dhāti tvaṃ uṭṭhehi, imaṃ kumāraṃ apanetvā āgantvā imaṃ maṇiṃ gahetvā aññattha naṃ abhiramehīti.

    สา ลญฺชํ ลภิตฺวา กุมารํ สญฺญาเปตฺวา อาทาย อญฺญตฺถ คนฺตฺวา ปริเทวมานา คาถมาห –

    Sā lañjaṃ labhitvā kumāraṃ saññāpetvā ādāya aññattha gantvā paridevamānā gāthamāha –

    ๒๑๕.

    215.

    ‘‘ยํ นูนิมํ ทเทยฺยํ ปภงฺกรํ, โก นุ เม อิมินาโตฺถ;

    ‘‘Yaṃ nūnimaṃ dadeyyaṃ pabhaṅkaraṃ, ko nu me imināttho;

    สุตโสเม ปพฺพชิเต, กิํ นุ เมนํ กริสฺสามี’’ติฯ

    Sutasome pabbajite, kiṃ nu menaṃ karissāmī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ยํ นูน อหํ อิมํ ลญฺชตฺถาย คหิตํ ปภงฺกรํ สุปฺปภาสํ มณิํ ทเทยฺยํ, โก นุ มยฺหํ สุตโสมนริเนฺท ปพฺพชิเต อิมินา อโตฺถ, กิํ นุ เมนํ กริสฺสามิ, อหํ ตสฺมิํ ปพฺพชิเต อิมํ ลภิสฺสามิ, ลภนฺตีปิ จ กิํ นุ โข เอตํ กริสฺสามิ, ปสฺสถ เม กมฺมนฺติฯ

    Tassattho – yaṃ nūna ahaṃ imaṃ lañjatthāya gahitaṃ pabhaṅkaraṃ suppabhāsaṃ maṇiṃ dadeyyaṃ, ko nu mayhaṃ sutasomanarinde pabbajite iminā attho, kiṃ nu menaṃ karissāmi, ahaṃ tasmiṃ pabbajite imaṃ labhissāmi, labhantīpi ca kiṃ nu kho etaṃ karissāmi, passatha me kammanti.

    ตโต มหาเสนคุโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ราชา ‘‘เคเห เม ธนํ มนฺท’นฺติ สญฺญํ กโรติ มเญฺญ, พหุภาวมสฺส กเถสฺสามี’’ติฯ โส อุฎฺฐาย วนฺทิตฺวา คาถมาห –

    Tato mahāsenagutto cintesi – ‘‘ayaṃ rājā ‘‘gehe me dhanaṃ manda’nti saññaṃ karoti maññe, bahubhāvamassa kathessāmī’’ti. So uṭṭhāya vanditvā gāthamāha –

    ๒๑๖.

    216.

    ‘‘โกโส จ ตุยฺหํ วิปุโล, โกฎฺฐาคารญฺจ ตุยฺหํ ปริปูรํ;

    ‘‘Koso ca tuyhaṃ vipulo, koṭṭhāgārañca tuyhaṃ paripūraṃ;

    ปถวี จ ตุยฺหํ วิชิตา, รมสฺสุ มา ปพฺพชิ เทวา’’ติฯ

    Pathavī ca tuyhaṃ vijitā, ramassu mā pabbaji devā’’ti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto gāthamāha –

    ๒๑๗.

    217.

    ‘‘โกโส จ มยฺหํ วิปุโล, โกฎฺฐาคารญฺจ มยฺหํ ปริปูรํ;

    ‘‘Koso ca mayhaṃ vipulo, koṭṭhāgārañca mayhaṃ paripūraṃ;

    ปถวี จ มยฺหํ วิชิตา, ตํ หิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Pathavī ca mayhaṃ vijitā, taṃ hitvā pabbajissāmī’’ti.

    ตํ สุตฺวา ตสฺมิํ อปคเต กุลวฑฺฒนเสฎฺฐิ นาม อุฎฺฐาย วนฺทิตฺวา คาถมาห –

    Taṃ sutvā tasmiṃ apagate kulavaḍḍhanaseṭṭhi nāma uṭṭhāya vanditvā gāthamāha –

    ๒๑๘.

    218.

    ‘‘มยฺหมฺปิ ธนํ ปหูตํ, สงฺขฺยาตุํ โนปิ เทว สโกฺกมิ;

    ‘‘Mayhampi dhanaṃ pahūtaṃ, saṅkhyātuṃ nopi deva sakkomi;

    ตํ เต ททามิ สพฺพมฺปิ, รมสฺสุ มา ปพฺพชิ เทวา’’ติฯ

    Taṃ te dadāmi sabbampi, ramassu mā pabbaji devā’’ti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto gāthamāha –

    ๒๑๙.

    219.

    ‘‘ชานามิ ธนํ ปหูตํ, กุลวฑฺฒน ปูชิโต ตยา จสฺมิ;

    ‘‘Jānāmi dhanaṃ pahūtaṃ, kulavaḍḍhana pūjito tayā casmi;

    สคฺคญฺจ ปตฺถยาโน, เตน อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Saggañca patthayāno, tena ahaṃ pabbajissāmī’’ti.

    ตํ สุตฺวา กุลวฑฺฒเน อปคเต มหาสโตฺต โสมทตฺตํ กนิฎฺฐภาตรํ อามเนฺตตฺวา, ‘‘ตาต, อหํ ปญฺชรปกฺขิโตฺต วนกุกฺกุโฎ วิย อุกฺกณฺฐิโต, มํ ฆราวาเส อนภิรติ อภิภวติ, อเชฺชว ปพฺพชิสฺสามิ, ตฺวํ อิมํ รชฺชํ ปฎิปชฺชา’’ติ รชฺชํ นิยฺยาเทโนฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā kulavaḍḍhane apagate mahāsatto somadattaṃ kaniṭṭhabhātaraṃ āmantetvā, ‘‘tāta, ahaṃ pañjarapakkhitto vanakukkuṭo viya ukkaṇṭhito, maṃ gharāvāse anabhirati abhibhavati, ajjeva pabbajissāmi, tvaṃ imaṃ rajjaṃ paṭipajjā’’ti rajjaṃ niyyādento gāthamāha –

    ๒๒๐.

    220.

    ‘‘อุกฺกณฺฐิโตสฺมิ พาฬฺหํ, อรติ มํ โสมทตฺต อาวิสติ;

    ‘‘Ukkaṇṭhitosmi bāḷhaṃ, arati maṃ somadatta āvisati;

    พหุกาปิ เม อนฺตรายา, อเชฺชวาหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Bahukāpi me antarāyā, ajjevāhaṃ pabbajissāmī’’ti.

    ตํ สุตฺวา โสปิ ปพฺพชิตุกาโม ตํ ทีเปโนฺต อิตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā sopi pabbajitukāmo taṃ dīpento itaraṃ gāthamāha –

    ๒๒๑.

    221.

    ‘‘อิทญฺจ ตุยฺหํ รุจิตํ, สุตโสม อเชฺชว ทานิ ตฺวํ ปพฺพช;

    ‘‘Idañca tuyhaṃ rucitaṃ, sutasoma ajjeva dāni tvaṃ pabbaja;

    อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามิ, น อุสฺสเห ตยา วินา อหํ ฐาตุ’’นฺติฯ

    Ahampi pabbajissāmi, na ussahe tayā vinā ahaṃ ṭhātu’’nti.

    อถ นํ โส ปฎิกฺขิปิตฺวา อุปฑฺฒํ คาถมาห –

    Atha naṃ so paṭikkhipitvā upaḍḍhaṃ gāthamāha –

    ๒๒๒.

    222.

    ‘‘น หิ สกฺกา ปพฺพชิตุํ, นคเร น หิ ปจฺจติ ชนปเท จา’’ติฯ

    ‘‘Na hi sakkā pabbajituṃ, nagare na hi paccati janapade cā’’ti.

    ตตฺถ น หิ ปจฺจตีติ อิทาเนว ตาว มม ปพฺพชฺชาธิปฺปายํ สุตฺวาว อิมสฺมิํ ทฺวาทสโยชนิเก สุทสฺสนนคเร จ สกลชนปเท จ น ปจฺจติ, โกจิ อุทฺธเน อคฺคิํ น ชาเลติ, อเมฺหสุ ปน ทฺวีสุ ปพฺพชิเตสุ อนาถาว รฎฺฐวาสิโน ภวิสฺสนฺติ, ตสฺมา น หิ สกฺกา ตยา ปพฺพชิตุํ, อหเมว ปพฺพชิสฺสามีติฯ

    Tattha na hi paccatīti idāneva tāva mama pabbajjādhippāyaṃ sutvāva imasmiṃ dvādasayojanike sudassananagare ca sakalajanapade ca na paccati, koci uddhane aggiṃ na jāleti, amhesu pana dvīsu pabbajitesu anāthāva raṭṭhavāsino bhavissanti, tasmā na hi sakkā tayā pabbajituṃ, ahameva pabbajissāmīti.

    ตํ สุตฺวา มหาชโน มหาสตฺตสฺส ปาทมูเล ปริวตฺติตฺวา ปริเทวโนฺต อุปฑฺฒคาถมาห –

    Taṃ sutvā mahājano mahāsattassa pādamūle parivattitvā paridevanto upaḍḍhagāthamāha –

    ‘‘สุตโสเม ปพฺพชิเต, กถํ นุ ทานิ กริสฺสามา’’ติฯ

    ‘‘Sutasome pabbajite, kathaṃ nu dāni karissāmā’’ti.

    ตโต มหาสโตฺต ‘‘อลํ มา โสจยิตฺถ, อหํ จิรมฺปิ ฐตฺวา ตุเมฺหหิ วินา ภวิสฺสามิ, อุปฺปนฺนสงฺขาโร หิ นิโจฺจ นาม นตฺถี’’ติ มหาชนสฺส ธมฺมํ กเถโนฺต อาห –

    Tato mahāsatto ‘‘alaṃ mā socayittha, ahaṃ cirampi ṭhatvā tumhehi vinā bhavissāmi, uppannasaṅkhāro hi nicco nāma natthī’’ti mahājanassa dhammaṃ kathento āha –

    ๒๒๓.

    223.

    ‘‘อุปนียติทํ มเญฺญ, ปริตฺตํ อุทกํว จงฺกวารมฺหิ;

    ‘‘Upanīyatidaṃ maññe, parittaṃ udakaṃva caṅkavāramhi;

    เอวํ สุปริตฺตเก ชีวิเต, น จ ปมชฺชิตุํ กาโลฯ

    Evaṃ suparittake jīvite, na ca pamajjituṃ kālo.

    ๒๒๔.

    224.

    ‘‘อุปนียติทํ มเญฺญ, ปริตฺตํ อุทกํว จงฺกวารมฺหิ;

    ‘‘Upanīyatidaṃ maññe, parittaṃ udakaṃva caṅkavāramhi;

    เอวํ สุปริตฺตเก ชีวิเต, อนฺธพาลา ปมชฺชนฺติฯ

    Evaṃ suparittake jīvite, andhabālā pamajjanti.

    ๒๒๕.

    225.

    ‘‘เต วฑฺฒยนฺติ นิรยํ, ติรจฺฉานโยนิญฺจ เปตฺติวิสยญฺจ;

    ‘‘Te vaḍḍhayanti nirayaṃ, tiracchānayoniñca pettivisayañca;

    ตณฺหาย พนฺธนพทฺธา, วเฑฺฒนฺติ อสุรกาย’’นฺติฯ

    Taṇhāya bandhanabaddhā, vaḍḍhenti asurakāya’’nti.

    ตตฺถ อุปนียติทํ มเญฺญติ, ตาต, ‘‘อิทํ ชีวิตํ อุปนียตี’’ติ อหํ มญฺญามิฯ อเญฺญสุ สุเตฺตสุ อุปสํหรณโตฺถ อุปนิยฺยนโตฺถ, อิธ ปน ปริยาทานโตฺถฯ ตสฺมา ยถา ปริตฺตํ อุทกํ รชกานํ ขารจงฺกวาเร ปกฺขิตฺตํ สีฆํ ปริยาทิยติ, ตถา ชีวิตมฺปิฯ เอวํ สุปริตฺตเก ชีวิเต ตํ ปริตฺตกํ อายุสงฺขารํ คเหตฺวา วิจรนฺตานํ สตฺตานํ น ปุญฺญกิริยาย ปมชฺชิตุํ กาโล, อปฺปมาโทว กาตุํ วฎฺฎตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ อนฺธพาลา ปมชฺชนฺตีติ อชรามรา วิย หุตฺวา คูถกลเล สูกรา วิย หุตฺวา กามปเงฺก นิมุชฺชนฺตา ปมชฺชนฺติฯ อสุรกายนฺติ กาฬกญฺชิกอสุรโยนิญฺจ วเฑฺฒนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tattha upanīyatidaṃ maññeti, tāta, ‘‘idaṃ jīvitaṃ upanīyatī’’ti ahaṃ maññāmi. Aññesu suttesu upasaṃharaṇattho upaniyyanattho, idha pana pariyādānattho. Tasmā yathā parittaṃ udakaṃ rajakānaṃ khāracaṅkavāre pakkhittaṃ sīghaṃ pariyādiyati, tathā jīvitampi. Evaṃ suparittake jīvite taṃ parittakaṃ āyusaṅkhāraṃ gahetvā vicarantānaṃ sattānaṃ na puññakiriyāya pamajjituṃ kālo, appamādova kātuṃ vaṭṭatīti ayamettha attho. Andhabālā pamajjantīti ajarāmarā viya hutvā gūthakalale sūkarā viya hutvā kāmapaṅke nimujjantā pamajjanti. Asurakāyanti kāḷakañjikaasurayoniñca vaḍḍhentīti attho.

    เอวํ มหาสโตฺต มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา ปุพฺพกํ นาม ปาสาทํ อารุยฺห สตฺตมาย ภูมิยา ฐิโต ขเคฺคน จูฬํ ฉินฺทิตฺวา ‘‘อหํ ตุมฺหากํ กิญฺจิ น โหมิ, อตฺตโน ราชานํ คณฺหถา’’ติ สเวฐนํ จูฬํ มหาชนสฺส อนฺตเร ขิปิฯ ตํ คเหตฺวา มหาชโน ภูมิยํ ปริวเฎฺฎโนฺต ปริวเฎฺฎโนฺต ปริเทวิฯ ตสฺมิํ ฐาเน มหนฺตํ รชคฺคํ อุฎฺฐหิฯ ปฎิกฺกมิตฺวา ฐิตชโน ตํ โอโลเกตฺวา ‘‘รญฺญา จูฬํ ฉินฺทิตฺวา สเวฐนา จูฬา มหาชนสฺส อนฺตเร ขิตฺตา ภวิสฺสติ, เตนายํ ปาสาทสฺส อวิทูเร รชวฎฺฎิ อุคฺคตา’’ติ ปริเทวโนฺต คาถมาห –

    Evaṃ mahāsatto mahājanassa dhammaṃ desetvā pubbakaṃ nāma pāsādaṃ āruyha sattamāya bhūmiyā ṭhito khaggena cūḷaṃ chinditvā ‘‘ahaṃ tumhākaṃ kiñci na homi, attano rājānaṃ gaṇhathā’’ti saveṭhanaṃ cūḷaṃ mahājanassa antare khipi. Taṃ gahetvā mahājano bhūmiyaṃ parivaṭṭento parivaṭṭento paridevi. Tasmiṃ ṭhāne mahantaṃ rajaggaṃ uṭṭhahi. Paṭikkamitvā ṭhitajano taṃ oloketvā ‘‘raññā cūḷaṃ chinditvā saveṭhanā cūḷā mahājanassa antare khittā bhavissati, tenāyaṃ pāsādassa avidūre rajavaṭṭi uggatā’’ti paridevanto gāthamāha –

    ๒๒๖.

    226.

    ‘‘อูหญฺญเต รชคฺคํ อวิทูเร, ปุพฺพกมฺหิ จ ปาสาเท;

    ‘‘Ūhaññate rajaggaṃ avidūre, pubbakamhi ca pāsāde;

    มเญฺญ โน เกสา ฉินฺนา, ยสสฺสิโน ธมฺมราชสฺสา’’ติฯ

    Maññe no kesā chinnā, yasassino dhammarājassā’’ti.

    ตตฺถ อูหญฺญเตติ อุฎฺฐหติฯ รชคฺคนฺติ รชกฺขโนฺธฯ อวิทูเรติ อิโต อมฺหากํ ฐิตฎฺฐานโต อวิทูเรฯ ปุพฺพกมฺหีติ ปุพฺพกปาสาทสฺส สมีเปฯ มเญฺญ โนติ อมฺหากํ ธมฺมราชสฺส เกสา ฉินฺนา ภวิสฺสนฺตีติ มญฺญามฯ

    Tattha ūhaññateti uṭṭhahati. Rajagganti rajakkhandho. Avidūreti ito amhākaṃ ṭhitaṭṭhānato avidūre. Pubbakamhīti pubbakapāsādassa samīpe. Maññe noti amhākaṃ dhammarājassa kesā chinnā bhavissantīti maññāma.

    มหาสโตฺต ปริจาริกํ เปเสตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร อาหราเปตฺวา กปฺปเกน เกสมสฺสุํ โอหาราเปตฺวา อลงฺการํ สยนปิเฎฺฐ ปาเตตฺวา รตฺตปฎานํ ทสานิ ฉินฺทิตฺวา ตานิ กาสายานิ นิวาเสตฺวา มตฺติกาปตฺตํ วามอํสกูเฎ ลเคฺคตฺวา กตฺตรทณฺฑํ อาทาย มหาตเล อปราปรํ จงฺกมิตฺวา ปาสาทา โอตริตฺวา อนฺตรวีถิํ ปฎิปชฺชิฯ คจฺฉนฺตํ ปน นํ น โกจิ สญฺชานิฯ อถสฺส สตฺตสตา ขตฺติยกญฺญา ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา ตํ อทิสฺวา อาภรณภณฺฑเมว ทิสฺวา โอตริตฺวา อวเสสานํ โสฬสสหสฺสานํ อิตฺถีนํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อมฺหากํ ปิยสามิโก สุตโสมมหิสฺสโร ปพฺพชิโต’’ติ มหาสเทฺทน ปริเทวมานาว พหิ นิกฺขมิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ มหาชโน ตสฺส ปพฺพชิตภาวํ อญฺญาสิ, สกลนครํ สงฺขุภิตฺวา ‘‘ราชา กิร โน ปพฺพชิโต’’ติ ราชทฺวาเร สนฺนิปติ, มหาชโน ‘‘อิธ ราชา ภวิสฺสติ, เอตฺถ ภวิสฺสตี’’ติ ปาสาทาทีนิ รโญฺญ ปริโภคฎฺฐานานิ คนฺตฺวา ราชานํ อทิสฺวา –

    Mahāsatto paricārikaṃ pesetvā pabbajitaparikkhāre āharāpetvā kappakena kesamassuṃ ohārāpetvā alaṅkāraṃ sayanapiṭṭhe pātetvā rattapaṭānaṃ dasāni chinditvā tāni kāsāyāni nivāsetvā mattikāpattaṃ vāmaaṃsakūṭe laggetvā kattaradaṇḍaṃ ādāya mahātale aparāparaṃ caṅkamitvā pāsādā otaritvā antaravīthiṃ paṭipajji. Gacchantaṃ pana naṃ na koci sañjāni. Athassa sattasatā khattiyakaññā pāsādaṃ abhiruhitvā taṃ adisvā ābharaṇabhaṇḍameva disvā otaritvā avasesānaṃ soḷasasahassānaṃ itthīnaṃ santikaṃ gantvā ‘‘amhākaṃ piyasāmiko sutasomamahissaro pabbajito’’ti mahāsaddena paridevamānāva bahi nikkhamiṃsu. Tasmiṃ khaṇe mahājano tassa pabbajitabhāvaṃ aññāsi, sakalanagaraṃ saṅkhubhitvā ‘‘rājā kira no pabbajito’’ti rājadvāre sannipati, mahājano ‘‘idha rājā bhavissati, ettha bhavissatī’’ti pāsādādīni rañño paribhogaṭṭhānāni gantvā rājānaṃ adisvā –

    ๒๒๗.

    227.

    ‘‘อยมสฺส ปาสาโท, โสวณฺณปุปฺผมาลฺยวีติกิโณฺณ;

    ‘‘Ayamassa pāsādo, sovaṇṇapupphamālyavītikiṇṇo;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ อิตฺถาคาเรหิฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo itthāgārehi.

    ๒๒๘.

    228.

    ‘‘อยมสฺส ปาสาโท, โสวณฺณปุปฺผมาลฺยวีติกิโณฺณ;

    ‘‘Ayamassa pāsādo, sovaṇṇapupphamālyavītikiṇṇo;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ ญาติสเงฺฆนฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo ñātisaṅghena.

    ๒๒๙.

    229.

    ‘‘อิทมสฺส กูฎาคารํ, โสวณฺณปุปฺผมาลฺยวีติกิณฺณํ;

    ‘‘Idamassa kūṭāgāraṃ, sovaṇṇapupphamālyavītikiṇṇaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ อิตฺถาคาเรหิฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo itthāgārehi.

    ๒๓๐.

    230.

    ‘‘อิทมสฺส กูฎาคารํ, โสวณฺณปุปฺผมาลฺยวีติกิณฺณํ;

    ‘‘Idamassa kūṭāgāraṃ, sovaṇṇapupphamālyavītikiṇṇaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ ญาติสเงฺฆนฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo ñātisaṅghena.

    ๒๓๑.

    231.

    ‘‘อยมสฺส อโสกวนิกา, สุปุปฺผิตา สพฺพกาลิกา รมฺมา;

    ‘‘Ayamassa asokavanikā, supupphitā sabbakālikā rammā;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ อิตฺถาคาเรหิฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo itthāgārehi.

    ๒๓๒.

    232.

    ‘‘อยมสฺส อโสกวนิกา, สุปุปฺผิตา สพฺพกาลิกา รมฺมา;

    ‘‘Ayamassa asokavanikā, supupphitā sabbakālikā rammā;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ ญาติสเงฺฆนฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo ñātisaṅghena.

    ๒๓๓.

    233.

    ‘‘อิทมสฺส อุยฺยานํ, สุปุปฺผิตํ สพฺพกาลิกํ รมฺมํ;

    ‘‘Idamassa uyyānaṃ, supupphitaṃ sabbakālikaṃ rammaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ อิตฺถาคาเรหิฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo itthāgārehi.

    ๒๓๔.

    234.

    ‘‘อิทมสฺส อุยฺยานํ, สุปุปฺผิตํ สพฺพกาลิกํ รมฺมํ;

    ‘‘Idamassa uyyānaṃ, supupphitaṃ sabbakālikaṃ rammaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ ญาติสเงฺฆนฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo ñātisaṅghena.

    ๒๓๕.

    235.

    ‘‘อิทมสฺส กณิการวนํ, สุปุปฺผิตํ สพฺพกาลิกํ รมฺมํ;

    ‘‘Idamassa kaṇikāravanaṃ, supupphitaṃ sabbakālikaṃ rammaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ อิตฺถาคาเรหิฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo itthāgārehi.

    ๒๓๖.

    236.

    ‘‘อิทมสฺส กณิการวนํ, สุปุปฺผิตํ สพฺพกาลิกํ รมฺมํ;

    ‘‘Idamassa kaṇikāravanaṃ, supupphitaṃ sabbakālikaṃ rammaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ ญาติสเงฺฆนฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo ñātisaṅghena.

    ๒๓๗.

    237.

    ‘‘อิทมสฺส ปาฎลิวนํ, สุปุปฺผิตํ สพฺพกาลิกํ รมฺมํ;

    ‘‘Idamassa pāṭalivanaṃ, supupphitaṃ sabbakālikaṃ rammaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ อิตฺถาคาเรหิฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo itthāgārehi.

    ๒๓๘.

    238.

    ‘‘อิทมสฺส ปาฎลิวนํ, สุปุปฺผิตํ สพฺพกาลิกํ รมฺมํ;

    ‘‘Idamassa pāṭalivanaṃ, supupphitaṃ sabbakālikaṃ rammaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ ญาติสเงฺฆนฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo ñātisaṅghena.

    ๒๓๙.

    239.

    ‘‘อิทมสฺส อมฺพวนํ, สุปุปฺผิตํ สพฺพกาลิกํ รมฺมํ;

    ‘‘Idamassa ambavanaṃ, supupphitaṃ sabbakālikaṃ rammaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ อิตฺถาคาเรหิฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo itthāgārehi.

    ๒๔๐.

    240.

    ‘‘อิทมสฺส อมฺพวนํ, สุปุปฺผิตํ สพฺพกาลิกํ รมฺมํ;

    ‘‘Idamassa ambavanaṃ, supupphitaṃ sabbakālikaṃ rammaṃ;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ ญาติสเงฺฆนฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo ñātisaṅghena.

    ๒๔๑.

    241.

    ‘‘อยมสฺส โปกฺขรณี, สญฺฉนฺนา อณฺฑเชหิ วีติกิณฺณา;

    ‘‘Ayamassa pokkharaṇī, sañchannā aṇḍajehi vītikiṇṇā;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ อิตฺถาคาเรหิฯ

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo itthāgārehi.

    ๒๔๒.

    242.

    ‘‘อยมสฺส โปกฺขรณี, สญฺฉนฺนา อณฺฑเชหิ วีติกิณฺณา;

    ‘‘Ayamassa pokkharaṇī, sañchannā aṇḍajehi vītikiṇṇā;

    ยหิมนุวิจริ ราชา, ปริกิโณฺณ ญาติสเงฺฆนา’’ติฯ –

    Yahimanuvicari rājā, parikiṇṇo ñātisaṅghenā’’ti. –

    อิมาหิ คาถาหิ ปริเทวโนฺต วิจริฯ

    Imāhi gāthāhi paridevanto vicari.

    ตตฺถ วีติกิโณฺณติ โสวณฺณปุเปฺผหิ จ นานามาเลฺยหิ จ สโมกิโณฺณฯ ปริกิโณฺณติ ปริวาริโตฯ อิตฺถาคาเรหีติ ทาสิโย อุปาทาย อิตฺถิโย อิตฺถาคารา นามฯ ญาติสเงฺฆนาติ อมจฺจาปิ อิธ ญาตโย เอวฯ กูฎาคารนฺติ สตฺตรตนวิจิโตฺต สยนกูฎาคารคโพฺภฯ อโสกวนิกาติ อโสกวนภูมิฯ สพฺพกาลิกาติ สพฺพกาลปริโภคกฺขมา นิจฺจปุปฺผิตา วาฯ อุยฺยานนฺติ นนฺทนวนจิตฺตลตาวนสทิสํ อุยฺยานํ ฯ สพฺพกาลิกนฺติ ฉสุปิ อุตูสุ อุปฺปชฺชนกปุปฺผผลสญฺฉนฺนํฯ กณิการวนาทีสุ สพฺพกาลิกนฺติ สพฺพกาเล สุปุปฺผิตผลิตเมวฯ สญฺฉนฺนาติ นานาวิเธหิ ชลชถลชกุสุเมหิ สุฎฺฐุ สญฺฉนฺนาฯ อณฺฑเชหิ วีติกิณฺณาติ สกุณสเงฺฆหิ โอกิณฺณาฯ

    Tattha vītikiṇṇoti sovaṇṇapupphehi ca nānāmālyehi ca samokiṇṇo. Parikiṇṇoti parivārito. Itthāgārehīti dāsiyo upādāya itthiyo itthāgārā nāma. Ñātisaṅghenāti amaccāpi idha ñātayo eva. Kūṭāgāranti sattaratanavicitto sayanakūṭāgāragabbho. Asokavanikāti asokavanabhūmi. Sabbakālikāti sabbakālaparibhogakkhamā niccapupphitā vā. Uyyānanti nandanavanacittalatāvanasadisaṃ uyyānaṃ . Sabbakālikanti chasupi utūsu uppajjanakapupphaphalasañchannaṃ. Kaṇikāravanādīsu sabbakālikanti sabbakāle supupphitaphalitameva. Sañchannāti nānāvidhehi jalajathalajakusumehi suṭṭhu sañchannā. Aṇḍajehi vītikiṇṇāti sakuṇasaṅghehi okiṇṇā.

    เอวํ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ ปริเทวิตฺวา มหาชโน ปุน ราชงฺคณํ อาคนฺตฺวา –

    Evaṃ tesu tesu ṭhānesu paridevitvā mahājano puna rājaṅgaṇaṃ āgantvā –

    ๒๔๓.

    243.

    ‘‘ราชา โว โข ปพฺพชิโต, สุตโสโม รชฺชํ อิมํ ปหตฺวาน;

    ‘‘Rājā vo kho pabbajito, sutasomo rajjaṃ imaṃ pahatvāna;

    กาสายวตฺถวสโน, นาโคว เอกโก จรตี’’ติฯ –

    Kāsāyavatthavasano, nāgova ekako caratī’’ti. –

    คาถํ วตฺวา อตฺตโน ฆเร วิภวํ ปหาย ปุตฺตธีตโร หเตฺถสุ คเหตฺวา นิกฺขมิตฺวา โพธิสตฺตเสฺสว สนฺติกํ อคมาสิ, ตถา มาตาปิตโร ปุตฺตทารา โสฬสสหสฺสา จ นาฎกิตฺถิโยฯ สกลนครํ ตุจฺฉํ วิย อโหสิ, ชนปทวาสิโนปิ เตสํ ปจฺฉโต ปจฺฉโต คมิํสุฯ โพธิสโตฺต ทฺวาทสโยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา หิมวนฺตาภิมุโข ปายาสิฯ อถสฺส อภินิกฺขมนํ ญตฺวา สโกฺก วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตตฺวา, ‘‘ตาต วิสฺสกมฺม, สุตโสมมหาราชา อภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต, วสนฎฺฐานํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, สมาคโม จ มหา ภวิสฺสติ, คจฺฉ หิมวนฺตปเทเส คงฺคาตีเร ติํสโยชนายามํ ปญฺจทสโยชนวิตฺถตํ อสฺสมปทํ มาเปหี’’ติ เปเสสิฯ โส ตถา กตฺวา ตสฺมิํ อสฺสมปเท ปพฺพชิตปริกฺขาเร ปฎิยาเทตฺวา เอกปทิกมคฺคํ มาเปตฺวา เทวโลกเมว คโตฯ

    Gāthaṃ vatvā attano ghare vibhavaṃ pahāya puttadhītaro hatthesu gahetvā nikkhamitvā bodhisattasseva santikaṃ agamāsi, tathā mātāpitaro puttadārā soḷasasahassā ca nāṭakitthiyo. Sakalanagaraṃ tucchaṃ viya ahosi, janapadavāsinopi tesaṃ pacchato pacchato gamiṃsu. Bodhisatto dvādasayojanikaṃ parisaṃ gahetvā himavantābhimukho pāyāsi. Athassa abhinikkhamanaṃ ñatvā sakko vissakammaṃ āmantetvā, ‘‘tāta vissakamma, sutasomamahārājā abhinikkhamanaṃ nikkhanto, vasanaṭṭhānaṃ laddhuṃ vaṭṭati, samāgamo ca mahā bhavissati, gaccha himavantapadese gaṅgātīre tiṃsayojanāyāmaṃ pañcadasayojanavitthataṃ assamapadaṃ māpehī’’ti pesesi. So tathā katvā tasmiṃ assamapade pabbajitaparikkhāre paṭiyādetvā ekapadikamaggaṃ māpetvā devalokameva gato.

    มหาสโตฺต เตน มเคฺคน คนฺตฺวา ตํ อสฺสมปทํ ปวิสิตฺวา ปฐมํ สยํ ปพฺพชิตฺวา ปจฺฉา เสเส ปพฺพาเชสิ, อปรภาเค พหู ปพฺพชิํสุฯ ติํสโยชนิกํ ฐานํ ปริปูริฯ วิสฺสกเมฺมน ปน อสฺสมมาปิตนิยาโม จ พหูนํ ปพฺพชิตนิยาโม จ โพธิสตฺตสฺส อสฺสมปทสํวิทหิตนิยาโม จ หตฺถิปาลชาตเก (ชา. ๑.๑๕.๓๓๗ อาทโย) อาคตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ มหาสโตฺต ยสฺส ยเสฺสว กามวิตกฺกาทิ มิจฺฉาวิตโกฺก อุปฺปชฺชติ, ตํ ตํ อากาเสน อุปสงฺกมิตฺวา อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา โอวทโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Mahāsatto tena maggena gantvā taṃ assamapadaṃ pavisitvā paṭhamaṃ sayaṃ pabbajitvā pacchā sese pabbājesi, aparabhāge bahū pabbajiṃsu. Tiṃsayojanikaṃ ṭhānaṃ paripūri. Vissakammena pana assamamāpitaniyāmo ca bahūnaṃ pabbajitaniyāmo ca bodhisattassa assamapadasaṃvidahitaniyāmo ca hatthipālajātake (jā. 1.15.337 ādayo) āgatanayeneva veditabbo. Tattha mahāsatto yassa yasseva kāmavitakkādi micchāvitakko uppajjati, taṃ taṃ ākāsena upasaṅkamitvā ākāse pallaṅkena nisīditvā ovadanto gāthādvayamāha –

    ๒๔๔.

    244.

    ‘‘มาสฺสุ ปุเพฺพ รติกีฬิตานิ, หสิตานิ จ อนุสฺสริตฺถ;

    ‘‘Māssu pubbe ratikīḷitāni, hasitāni ca anussarittha;

    มา โว กามา หนิํสุ, รมฺมญฺหิ สุทสฺสนํ นครํฯ

    Mā vo kāmā haniṃsu, rammañhi sudassanaṃ nagaraṃ.

    ๒๔๕.

    245.

    ‘‘เมตฺตจิตฺตญฺจ ภาเวถ, อปฺปมาณํ ทิวา จ รโตฺต จ;

    ‘‘Mettacittañca bhāvetha, appamāṇaṃ divā ca ratto ca;

    อคจฺฉิตฺถ เทวปุรํ, อาวาสํ ปุญฺญกมฺมิน’’นฺติฯ

    Agacchittha devapuraṃ, āvāsaṃ puññakammina’’nti.

    ตตฺถ รติกีฬิตานีติ กามรติโย จ กายวาจาขิฑฺฑาวเสน ปวตฺตกีฬิตานิ จฯ มา โว กามา หนิํสูติ มา ตุเมฺห วตฺถุกามกิเลสกามา หนิํสุฯ รมฺมํ หีติ สุทสฺสนนครํ นาม รมณียํ, ตํ มา อนุสฺสริตฺถฯ เมตฺตจิตฺตนฺติ อิทํ เทสนามตฺตเมว, โส ปน จตฺตาโรปิ พฺรหฺมวิหาเร อาจิกฺขิฯ อปฺปมาณนฺติ อปฺปมาณสตฺตารมฺมณํฯ อคจฺฉิตฺถาติ คมิสฺสถฯ เทวปุรนฺติ พฺรหฺมโลกํฯ

    Tattha ratikīḷitānīti kāmaratiyo ca kāyavācākhiḍḍāvasena pavattakīḷitāni ca. Mā vo kāmā haniṃsūti mā tumhe vatthukāmakilesakāmā haniṃsu. Rammaṃ hīti sudassananagaraṃ nāma ramaṇīyaṃ, taṃ mā anussarittha. Mettacittanti idaṃ desanāmattameva, so pana cattāropi brahmavihāre ācikkhi. Appamāṇanti appamāṇasattārammaṇaṃ. Agacchitthāti gamissatha. Devapuranti brahmalokaṃ.

    โสปิ อิสิคโณ ตโสฺสวาเท ฐตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสีติ สพฺพํ หตฺถิปาลชาตเก อาคตนเยเนว กเถตพฺพํฯ

    Sopi isigaṇo tassovāde ṭhatvā brahmalokaparāyaṇo ahosīti sabbaṃ hatthipālajātake āgatanayeneva kathetabbaṃ.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ อเหสุํ, จนฺทาเทวี ราหุลมาตา, เชฎฺฐปุโตฺต สาริปุโตฺต, กนิฎฺฐปุโตฺต ราหุโล, ธาติ ขุชฺชุตฺตรา, กุลวฑฺฒนเสฎฺฐิ กสฺสโป, มหาเสนคุโตฺต โมคฺคลฺลาโน, โสมทตฺตกุมาโร อานโนฺท, เสสปริสา พุทฺธปริสา, สุตโสมราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato mahābhinikkhamanaṃ nikkhantoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā mātāpitaro mahārājakulāni ahesuṃ, candādevī rāhulamātā, jeṭṭhaputto sāriputto, kaniṭṭhaputto rāhulo, dhāti khujjuttarā, kulavaḍḍhanaseṭṭhi kassapo, mahāsenagutto moggallāno, somadattakumāro ānando, sesaparisā buddhaparisā, sutasomarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    จูฬสุตโสมชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Cūḷasutasomajātakavaṇṇanā pañcamā.

    ชาตกุทฺทานํ –

    Jātakuddānaṃ –

    สุวปณฺฑิตชมฺพุกกุณฺฑลิโน, วรกญฺญมลมฺพุสชาตกญฺจ;

    Suvapaṇḍitajambukakuṇḍalino, varakaññamalambusajātakañca;

    ปวรุตฺตมสงฺขสิรีวฺหยโก, สุตโสมอรินฺทมราชวโรฯ

    Pavaruttamasaṅkhasirīvhayako, sutasomaarindamarājavaro.

    จตฺตาลีสนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cattālīsanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๒๕. จูฬสุตโสมชาตกํ • 525. Cūḷasutasomajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact