Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๗. จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตํ

    7. Cūḷataṇhāsaṅkhayasuttaṃ

    ๓๙๐. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเทฯ อถ โข สโกฺก เทวานมิโนฺท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข สโกฺก เทวานมิโนฺท ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต, ภิกฺขุ สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต โหติ อจฺจนฺตนิโฎฺฐ อจฺจนฺตโยคเกฺขมี อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี อจฺจนฺตปริโยสาโน เสโฎฺฐ เทวมนุสฺสาน’’นฺติ?

    390. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati pubbārāme migāramātupāsāde. Atha kho sakko devānamindo yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho sakko devānamindo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘kittāvatā nu kho, bhante, bhikkhu saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimutto hoti accantaniṭṭho accantayogakkhemī accantabrahmacārī accantapariyosāno seṭṭho devamanussāna’’nti?

    ‘‘อิธ, เทวานมินฺท, ภิกฺขุโน สุตํ โหติ – ‘สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายา’ติฯ เอวเญฺจตํ, เทวานมินฺท, ภิกฺขุโน สุตํ โหติ – ‘สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายา’ติฯ โส สพฺพํ ธมฺมํ อภิชานาติ; สพฺพํ ธมฺมํ อภิญฺญาย สพฺพํ ธมฺมํ ปริชานาติ; สพฺพํ ธมฺมํ ปริญฺญาย ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ – สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตาสุ เวทนาสุ อนิจฺจานุปสฺสี วิหรติ, วิราคานุปสฺสี วิหรติ, นิโรธานุปสฺสี วิหรติ, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี วิหรติฯ โส ตาสุ เวทนาสุ อนิจฺจานุปสฺสี วิหรโนฺต, วิราคานุปสฺสี วิหรโนฺต, นิโรธานุปสฺสี วิหรโนฺต, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี วิหรโนฺต น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติฯ อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ, อปริตสฺสํ ปจฺจตฺตเญฺญว ปรินิพฺพายติ – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ เอตฺตาวตา โข, เทวานมินฺท, ภิกฺขุ สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต โหติ อจฺจนฺตนิโฎฺฐ อจฺจนฺตโยคเกฺขมี อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี อจฺจนฺตปริโยสาโน เสโฎฺฐ เทวมนุสฺสาน’’นฺติฯ

    ‘‘Idha, devānaminda, bhikkhuno sutaṃ hoti – ‘sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyā’ti. Evañcetaṃ, devānaminda, bhikkhuno sutaṃ hoti – ‘sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyā’ti. So sabbaṃ dhammaṃ abhijānāti; sabbaṃ dhammaṃ abhiññāya sabbaṃ dhammaṃ parijānāti; sabbaṃ dhammaṃ pariññāya yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti – sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, so tāsu vedanāsu aniccānupassī viharati, virāgānupassī viharati, nirodhānupassī viharati, paṭinissaggānupassī viharati. So tāsu vedanāsu aniccānupassī viharanto, virāgānupassī viharanto, nirodhānupassī viharanto, paṭinissaggānupassī viharanto na kiñci loke upādiyati. Anupādiyaṃ na paritassati, aparitassaṃ paccattaññeva parinibbāyati – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Ettāvatā kho, devānaminda, bhikkhu saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimutto hoti accantaniṭṭho accantayogakkhemī accantabrahmacārī accantapariyosāno seṭṭho devamanussāna’’nti.

    อถ โข สโกฺก เทวานมิโนฺท ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตเตฺถวนฺตรธายิฯ

    Atha kho sakko devānamindo bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā tatthevantaradhāyi.

    ๓๙๑. เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภควโต อวิทูเร นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘กิํ นุ โข โส ยโกฺข ภควโต ภาสิตํ อภิสเมจฺจ อนุโมทิ อุทาหุ โน; ยํนูนาหํ ตํ ยกฺขํ ชาเนยฺยํ – ยทิ วา โส ยโกฺข ภควโต ภาสิตํ อภิสเมจฺจ อนุโมทิ ยทิ วา โน’’ติ? อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมว – ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเท อนฺตรหิโต เทเวสุ ตาวติํเสสุ ปาตุรโหสิฯ เตน โข ปน สมเยน สโกฺก เทวานมิโนฺท เอกปุณฺฑรีเก อุยฺยาเน ทิเพฺพหิ ปญฺจหิ ตูริยสเตหิ 1 สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติฯ อทฺทสา โข สโกฺก เทวานมิโนฺท อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน ตานิ ทิพฺพานิ ปญฺจ ตูริยสตานิ ปฎิปฺปณาเมตฺวา เยนายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ เอตทโวจ – ‘‘เอหิ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, สฺวาคตํ, มาริส โมคฺคลฺลาน! จิรสฺสํ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, อิมํ ปริยายํ อกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีท, มาริส โมคฺคลฺลาน, อิทมาสนํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ นิสีทิ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปญฺญเตฺต อาสเนฯ สโกฺกปิ โข เทวานมิโนฺท อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข สกฺกํ เทวานมินฺทํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เอตทโวจ – ‘‘ยถา กถํ ปน โข, โกสิย, ภควา สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ อภาสิ? สาธุ มยมฺปิ เอติสฺสา กถาย ภาคิโน อสฺสาม สวนายา’’ติฯ

    391. Tena kho pana samayena āyasmā mahāmoggallāno bhagavato avidūre nisinno hoti. Atha kho āyasmato mahāmoggallānassa etadahosi – ‘‘kiṃ nu kho so yakkho bhagavato bhāsitaṃ abhisamecca anumodi udāhu no; yaṃnūnāhaṃ taṃ yakkhaṃ jāneyyaṃ – yadi vā so yakkho bhagavato bhāsitaṃ abhisamecca anumodi yadi vā no’’ti? Atha kho āyasmā mahāmoggallāno – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evameva – pubbārāme migāramātupāsāde antarahito devesu tāvatiṃsesu pāturahosi. Tena kho pana samayena sakko devānamindo ekapuṇḍarīke uyyāne dibbehi pañcahi tūriyasatehi 2 samappito samaṅgībhūto paricāreti. Addasā kho sakko devānamindo āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna tāni dibbāni pañca tūriyasatāni paṭippaṇāmetvā yenāyasmā mahāmoggallāno tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ etadavoca – ‘‘ehi kho, mārisa moggallāna, svāgataṃ, mārisa moggallāna! Cirassaṃ kho, mārisa moggallāna, imaṃ pariyāyaṃ akāsi yadidaṃ idhāgamanāya. Nisīda, mārisa moggallāna, idamāsanaṃ paññatta’’nti. Nisīdi kho āyasmā mahāmoggallāno paññatte āsane. Sakkopi kho devānamindo aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho sakkaṃ devānamindaṃ āyasmā mahāmoggallāno etadavoca – ‘‘yathā kathaṃ pana kho, kosiya, bhagavā saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ abhāsi? Sādhu mayampi etissā kathāya bhāgino assāma savanāyā’’ti.

    ๓๙๒. ‘‘มยํ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, พหุกิจฺจา พหุกรณียา – อเปฺปว สเกน กรณีเยน, อปิ จ เทวานํเยว ตาวติํสานํ กรณีเยนฯ อปิ จ, มาริส โมคฺคลฺลาน, สุสฺสุตํเยว โหติ สุคฺคหิตํ สุมนสิกตํ สูปธาริตํ, ยํ โน ขิปฺปเมว อนฺตรธายติฯ ภูตปุพฺพํ, มาริส โมคฺคลฺลาน, เทวาสุรสงฺคาโม สมุปพฺยูโฬฺห 3 อโหสิฯ ตสฺมิํ โข ปน, มาริส โมคฺคลฺลาน, สงฺคาเม เทวา ชินิํสุ, อสุรา ปราชินิํสุฯ โส โข อหํ, มาริส โมคฺคลฺลาน, ตํ สงฺคามํ อภิวิชินิตฺวา วิชิตสงฺคาโม ตโต ปฎินิวตฺติตฺวา เวชยนฺตํ นาม ปาสาทํ มาเปสิํฯ เวชยนฺตสฺส โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, ปาสาทสฺส เอกสตํ นิยฺยูหํฯ เอเกกสฺมิํ นิยฺยูเห สตฺต สตฺต กูฎาคารสตานิฯ เอกเมกสฺมิํ กูฎาคาเร สตฺต สตฺต อจฺฉราโย ฯ เอกเมกิสฺสา อจฺฉราย สตฺต สตฺต ปริจาริกาโยฯ อิเจฺฉยฺยาสิ โน ตฺวํ , มาริส โมคฺคลฺลาน, เวชยนฺตสฺส ปาสาทสฺส รามเณยฺยกํ ทฎฺฐุ’’นฺติ? อธิวาเสสิ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ตุณฺหีภาเวนฯ

    392. ‘‘Mayaṃ kho, mārisa moggallāna, bahukiccā bahukaraṇīyā – appeva sakena karaṇīyena, api ca devānaṃyeva tāvatiṃsānaṃ karaṇīyena. Api ca, mārisa moggallāna, sussutaṃyeva hoti suggahitaṃ sumanasikataṃ sūpadhāritaṃ, yaṃ no khippameva antaradhāyati. Bhūtapubbaṃ, mārisa moggallāna, devāsurasaṅgāmo samupabyūḷho 4 ahosi. Tasmiṃ kho pana, mārisa moggallāna, saṅgāme devā jiniṃsu, asurā parājiniṃsu. So kho ahaṃ, mārisa moggallāna, taṃ saṅgāmaṃ abhivijinitvā vijitasaṅgāmo tato paṭinivattitvā vejayantaṃ nāma pāsādaṃ māpesiṃ. Vejayantassa kho, mārisa moggallāna, pāsādassa ekasataṃ niyyūhaṃ. Ekekasmiṃ niyyūhe satta satta kūṭāgārasatāni. Ekamekasmiṃ kūṭāgāre satta satta accharāyo . Ekamekissā accharāya satta satta paricārikāyo. Iccheyyāsi no tvaṃ , mārisa moggallāna, vejayantassa pāsādassa rāmaṇeyyakaṃ daṭṭhu’’nti? Adhivāsesi kho āyasmā mahāmoggallāno tuṇhībhāvena.

    ๓๙๓. อถ โข สโกฺก จ เทวานมิโนฺท เวสฺสวโณ จ มหาราชา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ ปุรกฺขตฺวา เยน เวชยโนฺต ปาสาโท เตนุปสงฺกมิํสุฯ อทฺทสํสุ โข สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปริจาริกาโย อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ; ทิสฺวา โอตฺตปฺปมานา หิรียมานา สกํ สกํ โอวรกํ ปวิสิํสุฯ เสยฺยถาปิ นาม สุณิสา สสุรํ ทิสฺวา โอตฺตปฺปติ หิรียติ, เอวเมว สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปริจาริกาโย อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ ทิสฺวา โอตฺตปฺปมานา หิรียมานา สกํ สกํ โอวรกํ ปวิสิํสุฯ อถ โข สโกฺก จ เทวานมิโนฺท เวสฺสวโณ จ มหาราชา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ เวชยเนฺต ปาสาเท อนุจงฺกมาเปนฺติ อนุวิจราเปนฺติ – ‘‘อิทมฺปิ, มาริส โมคฺคลฺลาน, ปสฺส เวชยนฺตสฺส ปาสาทสฺส รามเณยฺยกํ; อิทมฺปิ, มาริส โมคฺคลฺลาน, ปสฺส เวชยนฺตสฺส ปาสาทสฺส รามเณยฺยก’’นฺติฯ ‘‘โสภติ อิทํ อายสฺมโต โกสิยสฺส, ยถา ตํ ปุเพฺพ กตปุญฺญสฺสฯ มนุสฺสาปิ กิญฺจิเทว รามเณยฺยกํ ทิสฺวา 5 เอวมาหํสุ – ‘โสภติ วต โภ ยถา เทวานํ ตาวติํสาน’นฺติฯ ตยิทํ อายสฺมโต โกสิยสฺส โสภติ, ยถา ตํ ปุเพฺพ กตปุญฺญสฺสา’’ติฯ อถ โข อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อติพาฬฺหํ โข อยํ ยโกฺข ปมโตฺต วิหรติฯ ยํนูนาหํ อิมํ ยกฺขํ สํเวเชยฺย’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ตถารูปํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสิ 6 ยถา เวชยนฺตํ ปาสาทํ ปาทงฺคุฎฺฐเกน สงฺกเมฺปสิ สมฺปกเมฺปสิ สมฺปเวเธสิ ฯ อถ โข สโกฺก จ เทวานมิโนฺท, เวสฺสวโณ จ มหาราชา, เทวา จ ตาวติํสา อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา อเหสุํ – ‘‘อจฺฉริยํ วต, โภ, อพฺภุตํ วต, โภ, สมณสฺส มหิทฺธิกตา มหานุภาวตา, ยตฺร หิ นาม ทิพฺพภวนํ ปาทงฺคุฎฺฐเกน สงฺกเมฺปสฺสติ สมฺปกเมฺปสฺสติ สมฺปเวเธสฺสตี’’ติ! อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน สกฺกํ เทวานมินฺทํ สํวิคฺคํ โลมหฎฺฐชาตํ วิทิตฺวา สกฺกํ เทวานมินฺทํ เอตทโวจ – ‘‘ยถา กถํ ปน โข, โกสิย, ภควา สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ อภาสิ? สาธุ มยมฺปิ เอติสฺสา กถาย ภาคิโน อสฺสาม สวนายา’’ติฯ

    393. Atha kho sakko ca devānamindo vessavaṇo ca mahārājā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ purakkhatvā yena vejayanto pāsādo tenupasaṅkamiṃsu. Addasaṃsu kho sakkassa devānamindassa paricārikāyo āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ dūratova āgacchantaṃ; disvā ottappamānā hirīyamānā sakaṃ sakaṃ ovarakaṃ pavisiṃsu. Seyyathāpi nāma suṇisā sasuraṃ disvā ottappati hirīyati, evameva sakkassa devānamindassa paricārikāyo āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ disvā ottappamānā hirīyamānā sakaṃ sakaṃ ovarakaṃ pavisiṃsu. Atha kho sakko ca devānamindo vessavaṇo ca mahārājā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ vejayante pāsāde anucaṅkamāpenti anuvicarāpenti – ‘‘idampi, mārisa moggallāna, passa vejayantassa pāsādassa rāmaṇeyyakaṃ; idampi, mārisa moggallāna, passa vejayantassa pāsādassa rāmaṇeyyaka’’nti. ‘‘Sobhati idaṃ āyasmato kosiyassa, yathā taṃ pubbe katapuññassa. Manussāpi kiñcideva rāmaṇeyyakaṃ disvā 7 evamāhaṃsu – ‘sobhati vata bho yathā devānaṃ tāvatiṃsāna’nti. Tayidaṃ āyasmato kosiyassa sobhati, yathā taṃ pubbe katapuññassā’’ti. Atha kho āyasmato mahāmoggallānassa etadahosi – ‘‘atibāḷhaṃ kho ayaṃ yakkho pamatto viharati. Yaṃnūnāhaṃ imaṃ yakkhaṃ saṃvejeyya’’nti. Atha kho āyasmā mahāmoggallāno tathārūpaṃ iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāsi 8 yathā vejayantaṃ pāsādaṃ pādaṅguṭṭhakena saṅkampesi sampakampesi sampavedhesi . Atha kho sakko ca devānamindo, vessavaṇo ca mahārājā, devā ca tāvatiṃsā acchariyabbhutacittajātā ahesuṃ – ‘‘acchariyaṃ vata, bho, abbhutaṃ vata, bho, samaṇassa mahiddhikatā mahānubhāvatā, yatra hi nāma dibbabhavanaṃ pādaṅguṭṭhakena saṅkampessati sampakampessati sampavedhessatī’’ti! Atha kho āyasmā mahāmoggallāno sakkaṃ devānamindaṃ saṃviggaṃ lomahaṭṭhajātaṃ viditvā sakkaṃ devānamindaṃ etadavoca – ‘‘yathā kathaṃ pana kho, kosiya, bhagavā saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ abhāsi? Sādhu mayampi etissā kathāya bhāgino assāma savanāyā’’ti.

    ๓๙๔. ‘‘อิธาหํ , มาริส โมคฺคลฺลาน, เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิํฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข อหํ, มาริส โมคฺคลฺลาน, ภควนฺตํ เอตทโวจํ – ‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต, ภิกฺขุ สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต โหติ อจฺจนฺตนิโฎฺฐ อจฺจนฺตโยคเกฺขมี อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี อจฺจนฺตปริโยสาโน เสโฎฺฐ เทวมนุสฺสาน’’’นฺติ?

    394. ‘‘Idhāhaṃ , mārisa moggallāna, yena bhagavā tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsiṃ. Ekamantaṃ ṭhito kho ahaṃ, mārisa moggallāna, bhagavantaṃ etadavocaṃ – ‘kittāvatā nu kho, bhante, bhikkhu saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimutto hoti accantaniṭṭho accantayogakkhemī accantabrahmacārī accantapariyosāno seṭṭho devamanussāna’’’nti?

    ‘‘เอวํ วุเตฺต, มาริส โมคฺคลฺลาน, ภควา มํ เอตทโวจ – ‘อิธ, เทวานมินฺท, ภิกฺขุโน สุตํ โหติ – สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายา’ติฯ เอวํ เจตํ เทวานมินฺท ภิกฺขุโน สุตํ โหติ ‘สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายา’ติฯ โส สพฺพํ ธมฺมํ อภิชานาติ, สพฺพํ ธมฺมํ อภิญฺญาย สพฺพํ ธมฺมํ ปริชานาติ, สพฺพํ ธมฺมํ ปริญฺญาย ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วาฯ โส ตาสุ เวทนาสุ อนิจฺจานุปสฺสี วิหรติ, วิราคานุปสฺสี วิหรติ, นิโรธานุปสฺสี วิหรติ, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี วิหรติฯ โส ตาสุ เวทนาสุ อนิจฺจานุปสฺสี วิหรโนฺต, วิราคานุปสฺสี วิหรโนฺต, นิโรธานุปสฺสี วิหรโนฺต, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี วิหรโนฺต น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ, อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ, อปริตสฺสํ ปจฺจตฺตเญฺญว ปรินิพฺพายติ – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ เอตฺตาวตา โข, เทวานมินฺท, ภิกฺขุ สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต โหติ อจฺจนฺตนิโฎฺฐ อจฺจนฺตโยคเกฺขมี อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี อจฺจนฺตปริโยสาโน เสโฎฺฐ เทวมนุสฺสานนฺติฯ เอวํ โข เม, มาริส โมคฺคลฺลาน, ภควา สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ อภาสี’’ติฯ

    ‘‘Evaṃ vutte, mārisa moggallāna, bhagavā maṃ etadavoca – ‘idha, devānaminda, bhikkhuno sutaṃ hoti – sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyā’ti. Evaṃ cetaṃ devānaminda bhikkhuno sutaṃ hoti ‘sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyā’ti. So sabbaṃ dhammaṃ abhijānāti, sabbaṃ dhammaṃ abhiññāya sabbaṃ dhammaṃ parijānāti, sabbaṃ dhammaṃ pariññāya yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā. So tāsu vedanāsu aniccānupassī viharati, virāgānupassī viharati, nirodhānupassī viharati, paṭinissaggānupassī viharati. So tāsu vedanāsu aniccānupassī viharanto, virāgānupassī viharanto, nirodhānupassī viharanto, paṭinissaggānupassī viharanto na kiñci loke upādiyati, anupādiyaṃ na paritassati, aparitassaṃ paccattaññeva parinibbāyati – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Ettāvatā kho, devānaminda, bhikkhu saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimutto hoti accantaniṭṭho accantayogakkhemī accantabrahmacārī accantapariyosāno seṭṭho devamanussānanti. Evaṃ kho me, mārisa moggallāna, bhagavā saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ abhāsī’’ti.

    อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย เอวเมว – เทเวสุ ตาวติํเสสุ อนฺตรหิโต ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเท ปาตุรโหสิฯ อถ โข สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปริจาริกาโย อจิรปกฺกเนฺต อายสฺมเนฺต มหาโมคฺคลฺลาเน สกฺกํ เทวานมินฺทํ เอตทโวจุํ – ‘‘เอโส นุ เต, มาริส, โส ภควา สตฺถา’’ติ? ‘‘น โข เม, มาริส, โส ภควา สตฺถาฯ สพฺรหฺมจารี เม เอโส อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน’’ติฯ ‘‘ลาภา เต, มาริส, (สุลทฺธํ เต, มาริส) 9 ยสฺส เต สพฺรหฺมจารี เอวํมหิทฺธิโก เอวํมหานุภาโว! อโห นูน เต โส ภควา สตฺถา’’ติฯ

    Atha kho āyasmā mahāmoggallāno sakkassa devānamindassa bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya evameva – devesu tāvatiṃsesu antarahito pubbārāme migāramātupāsāde pāturahosi. Atha kho sakkassa devānamindassa paricārikāyo acirapakkante āyasmante mahāmoggallāne sakkaṃ devānamindaṃ etadavocuṃ – ‘‘eso nu te, mārisa, so bhagavā satthā’’ti? ‘‘Na kho me, mārisa, so bhagavā satthā. Sabrahmacārī me eso āyasmā mahāmoggallāno’’ti. ‘‘Lābhā te, mārisa, (suladdhaṃ te, mārisa) 10 yassa te sabrahmacārī evaṃmahiddhiko evaṃmahānubhāvo! Aho nūna te so bhagavā satthā’’ti.

    ๓๙๕. อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิชานาติ โน, ภเนฺต, ภควา อหุ 11 ญาตญฺญตรสฺส มเหสกฺขสฺส ยกฺขสฺส สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ ภาสิตา’’ติ 12? ‘‘อภิชานามหํ, โมคฺคลฺลาน, อิธ สโกฺก เทวานมิโนฺท เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข, โมคฺคลฺลาน, สโกฺก เทวานมิโนฺท มํ เอตทโวจ – ‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต , ภิกฺขุ สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต โหติ อจฺจนฺตนิโฎฺฐ อจฺจนฺตโยคเกฺขมี อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี อจฺจนฺตปริโยสาโน เสโฎฺฐ เทวมนุสฺสาน’’นฺติฯ

    395. Atha kho āyasmā mahāmoggallāno yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā mahāmoggallāno bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhijānāti no, bhante, bhagavā ahu 13 ñātaññatarassa mahesakkhassa yakkhassa saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ bhāsitā’’ti 14? ‘‘Abhijānāmahaṃ, moggallāna, idha sakko devānamindo yenāhaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā maṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho, moggallāna, sakko devānamindo maṃ etadavoca – ‘kittāvatā nu kho, bhante , bhikkhu saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimutto hoti accantaniṭṭho accantayogakkhemī accantabrahmacārī accantapariyosāno seṭṭho devamanussāna’’nti.

    เอวํ วุเตฺต อหํ, โมคฺคลฺลาน, สกฺกํ เทวานมินฺทํ เอตทโวจํ ‘‘อิธ เทวานมินฺท ภิกฺขุโน สุตํ โหติ ‘สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายา’ติฯ เอวํ เจตํ เทวานมินฺท ภิกฺขุโน สุตํ โหติ ‘สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายา’ติฯ โส สพฺพํ ธมฺมํ อภิชานาติ, สพฺพํ ธมฺมํ อภิญฺญาย สพฺพํ ธมฺมํ ปริชานาติ , สพฺพํ ธมฺมํ ปริญฺญาย ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วาฯ โส ตาสุ เวทนาสุ อนิจฺจานุปสฺสี วิหรติ, วิราคานุปสฺสี วิหรติ, นิโรธานุปสฺสี วิหรติ, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี วิหรติฯ โส ตาสุ เวทนาสุ อนิจฺจานุปสฺสี วิหรโนฺต, วิราคานุปสฺสี วิหรโนฺต, นิโรธานุปสฺสี วิหรโนฺต, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี วิหรโนฺต น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ, อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ, อปริตสฺสํ ปจฺจตฺตเญฺญว ปรินิพฺพายติ – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ , กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ เอตฺตาวตา โข, เทวานมินฺท, ภิกฺขุ สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต โหติ อจฺจนฺตนิโฎฺฐ อจฺจนฺตโยคเกฺขมี อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี อจฺจนฺตปริโยสาโน เสโฎฺฐ เทวมนุสฺสานนฺติฯ เอวํ โข อหํ, โมคฺคลฺลาน, อภิชานามิ สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ ภาสิตา’’ติฯ

    Evaṃ vutte ahaṃ, moggallāna, sakkaṃ devānamindaṃ etadavocaṃ ‘‘idha devānaminda bhikkhuno sutaṃ hoti ‘sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyā’ti. Evaṃ cetaṃ devānaminda bhikkhuno sutaṃ hoti ‘sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyā’ti. So sabbaṃ dhammaṃ abhijānāti, sabbaṃ dhammaṃ abhiññāya sabbaṃ dhammaṃ parijānāti , sabbaṃ dhammaṃ pariññāya yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā. So tāsu vedanāsu aniccānupassī viharati, virāgānupassī viharati, nirodhānupassī viharati, paṭinissaggānupassī viharati. So tāsu vedanāsu aniccānupassī viharanto, virāgānupassī viharanto, nirodhānupassī viharanto, paṭinissaggānupassī viharanto na kiñci loke upādiyati, anupādiyaṃ na paritassati, aparitassaṃ paccattaññeva parinibbāyati – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ , kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Ettāvatā kho, devānaminda, bhikkhu saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimutto hoti accantaniṭṭho accantayogakkhemī accantabrahmacārī accantapariyosāno seṭṭho devamanussānanti. Evaṃ kho ahaṃ, moggallāna, abhijānāmi sakkassa devānamindassa saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ bhāsitā’’ti.

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā mahāmoggallāno bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.

    จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ สตฺตมํฯ

    Cūḷataṇhāsaṅkhayasuttaṃ niṭṭhitaṃ sattamaṃ.







    Footnotes:
    1. ตุริยสเตหิ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    2. turiyasatehi (sī. syā. kaṃ. pī.)
    3. สมูปพฺยุโฬฺห (สฺยา. กํ.), สมูปพฺพูโฬฺห (สี.)
    4. samūpabyuḷho (syā. kaṃ.), samūpabbūḷho (sī.)
    5. ทิฎฺฐา (สี. ปี. ก.)
    6. อภิสงฺขาเรสิ (ก.), อภิสงฺขาเรติ (สฺยา. กํ.)
    7. diṭṭhā (sī. pī. ka.)
    8. abhisaṅkhāresi (ka.), abhisaṅkhāreti (syā. kaṃ.)
    9. ( ) นตฺถิ (สี. ปี.)
    10. ( ) natthi (sī. pī.)
    11. อหุนเญฺญว (สี. สฺยา. กํ.)
    12. อภาสิตฺถาติ (ก.)
    13. ahunaññeva (sī. syā. kaṃ.)
    14. abhāsitthāti (ka.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๗. จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา • 7. Cūḷataṇhāsaṅkhayasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๗. จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา • 7. Cūḷataṇhāsaṅkhayasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact