Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๗. จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา

    7. Cūḷataṇhāsaṅkhayasuttavaṇṇanā

    ๓๙๐. เอวํ เม สุตนฺติ จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตํฯ ตตฺถ ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเทติ ปุพฺพารามสงฺขาเต วิหาเร มิคารมาตุยา ปาสาเทฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพีกถาอตีเต สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก เอกา อุปาสิกา ปทุมุตฺตรํ ภควนฺตํ นิมเนฺตตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สตสหสฺสํ ทานํ ทตฺวา ภควโต ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา, ‘‘อนาคเต ตุมฺหาทิสสฺส พุทฺธสฺส อคฺคุปฎฺฐายิกา โหมี’’ติ ปตฺถนมกาสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทเวสุ เจว มนุเสฺสสุ จ สํสริตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล ภทฺทิยนคเร เมณฺฑกเสฎฺฐิปุตฺตสฺส ธนญฺชยสฺส เสฎฺฐิโน คเห สุมนเทวิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ชาตกาเล จสฺสา วิสาขาติ นามํ อกํสุฯ สา ยทา ภควา ภทฺทิยนครํ อคมาสิ, ตทา ปญฺจหิ ทาริกาสเตหิ สทฺธิํ ภควโต ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปฐมทสฺสนมฺหิเยว โสตาปนฺนา อโหสิฯ อปรภาเค สาวตฺถิยํ มิคารเสฎฺฐิปุตฺตสฺส ปุณฺณวฑฺฒนกุมารสฺส เคหํ คตา, ตตฺถ นํ มิคารเสฎฺฐิ มาติฎฺฐาเน ฐเปสิ, ตสฺมา มิคารมาตาติ วุจฺจติฯ

    390.Evaṃme sutanti cūḷataṇhāsaṅkhayasuttaṃ. Tattha pubbārāme migāramātupāsādeti pubbārāmasaṅkhāte vihāre migāramātuyā pāsāde. Tatrāyaṃ anupubbīkathāatīte satasahassakappamatthake ekā upāsikā padumuttaraṃ bhagavantaṃ nimantetvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa satasahassaṃ dānaṃ datvā bhagavato pādamūle nipajjitvā, ‘‘anāgate tumhādisassa buddhassa aggupaṭṭhāyikā homī’’ti patthanamakāsi. Sā kappasatasahassaṃ devesu ceva manussesu ca saṃsaritvā amhākaṃ bhagavato kāle bhaddiyanagare meṇḍakaseṭṭhiputtassa dhanañjayassa seṭṭhino gahe sumanadeviyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Jātakāle cassā visākhāti nāmaṃ akaṃsu. Sā yadā bhagavā bhaddiyanagaraṃ agamāsi, tadā pañcahi dārikāsatehi saddhiṃ bhagavato paccuggamanaṃ katvā paṭhamadassanamhiyeva sotāpannā ahosi. Aparabhāge sāvatthiyaṃ migāraseṭṭhiputtassa puṇṇavaḍḍhanakumārassa gehaṃ gatā, tattha naṃ migāraseṭṭhi mātiṭṭhāne ṭhapesi, tasmā migāramātāti vuccati.

    ปติกุลํ คจฺฉนฺติยา จสฺสา ปิตา มหาลตาปิฬนฺธนํ นาม การาเปสิฯ ตสฺมิํ ปิฬนฺธเน จตโสฺส วชิรนาฬิโย อุปโยคํ อคมํสุ, มุตฺตานํ เอกาทส นาฬิโย, ปวาฬานํ ทฺวาวีสติ นาฬิโย, มณีนํ เตตฺติํส นาฬิโย, อิติ เอเตหิ จ อเญฺญหิ จ สตฺตวเณฺณหิ รตเนหิ นิฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตํ สีเส ปฎิมุกฺกํ ยาว ปาทปิฎฺฐิยา ภสฺสติ, ปญฺจนฺนํ หตฺถีนํ พลํ ธารยมานาว นํ อิตฺถี ธาเรตุํ สโกฺกติฯ สา อปรภาเค ทสพลสฺส อคฺคุปฎฺฐายิกา หุตฺวา ตํ ปสาธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา นวหิ โกฎีหิ ภควโต วิหารํ การยมานา กรีสมเตฺต ภูมิภาเค ปาสาทํ กาเรสิฯ ตสฺส อุปริภูมิยํ ปญฺจ คพฺภสตานิ โหนฺติ, เหฎฺฐาภูมิยํ ปญฺจาติ คพฺภสหสฺสปฺปฎิมณฺฑิโต อโหสิฯ สา ‘‘สุทฺธปาสาโทว น โสภตี’’ติ ตํ ปริวาเรตฺวา ปญฺจ ทฺวิกูฎเคหสตานิ, ปญฺจ จูฬปาสาทสตานิ, ปญฺจ ทีฆสาลสตานิ จ การาเปสิฯ วิหารมโห จตูหิ มาเสหิ นิฎฺฐานํ อคมาสิฯ

    Patikulaṃ gacchantiyā cassā pitā mahālatāpiḷandhanaṃ nāma kārāpesi. Tasmiṃ piḷandhane catasso vajiranāḷiyo upayogaṃ agamaṃsu, muttānaṃ ekādasa nāḷiyo, pavāḷānaṃ dvāvīsati nāḷiyo, maṇīnaṃ tettiṃsa nāḷiyo, iti etehi ca aññehi ca sattavaṇṇehi ratanehi niṭṭhānaṃ agamāsi. Taṃ sīse paṭimukkaṃ yāva pādapiṭṭhiyā bhassati, pañcannaṃ hatthīnaṃ balaṃ dhārayamānāva naṃ itthī dhāretuṃ sakkoti. Sā aparabhāge dasabalassa aggupaṭṭhāyikā hutvā taṃ pasādhanaṃ vissajjetvā navahi koṭīhi bhagavato vihāraṃ kārayamānā karīsamatte bhūmibhāge pāsādaṃ kāresi. Tassa uparibhūmiyaṃ pañca gabbhasatāni honti, heṭṭhābhūmiyaṃ pañcāti gabbhasahassappaṭimaṇḍito ahosi. Sā ‘‘suddhapāsādova na sobhatī’’ti taṃ parivāretvā pañca dvikūṭagehasatāni, pañca cūḷapāsādasatāni, pañca dīghasālasatāni ca kārāpesi. Vihāramaho catūhi māsehi niṭṭhānaṃ agamāsi.

    มาตุคามตฺตภาเว ฐิตาย วิสาขาย วิย อญฺญิสฺสา พุทฺธสาสเน ธนปริจฺจาโค นาม นตฺถิ, ปุริสตฺตภาเว ฐิตสฺส จ อนาถปิณฺฑิกสฺส วิย อญฺญสฺส พุทฺธสาสเน ธนปริจฺจาโค นาม นตฺถิฯ โส หิ จตุปญฺญาสโกฎิโย วิสฺสเชฺชตฺวา สาวตฺถิยา ทกฺขิณภาเค อนุราธปุรสฺส มหาวิหารสทิเส ฐาเน เชตวนมหาวิหารํ นาม กาเรสิฯ วิสาขา, สาวตฺถิยา ปาจีนภาเค อุตฺตมเทวีวิหารสทิเส ฐาเน ปุพฺพารามํ นาม กาเรสิฯ ภควา อิเมสํ ทฺวินฺนํ กุลานํ อนุกมฺปาย สาวตฺถิํ นิสฺสาย วิหรโนฺต อิเมสุ ทฺวีสุ วิหาเรสุ นิพทฺธวาสํ วสิฯ เอกํ อโนฺตวสฺสํ เชตวเน วสติ, เอกํ ปุพฺพาราเม, เอตสฺมิํ ปน สมเย ภควา ปุพฺพาราเม วิหรติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเท’’ติฯ

    Mātugāmattabhāve ṭhitāya visākhāya viya aññissā buddhasāsane dhanapariccāgo nāma natthi, purisattabhāve ṭhitassa ca anāthapiṇḍikassa viya aññassa buddhasāsane dhanapariccāgo nāma natthi. So hi catupaññāsakoṭiyo vissajjetvā sāvatthiyā dakkhiṇabhāge anurādhapurassa mahāvihārasadise ṭhāne jetavanamahāvihāraṃ nāma kāresi. Visākhā, sāvatthiyā pācīnabhāge uttamadevīvihārasadise ṭhāne pubbārāmaṃ nāma kāresi. Bhagavā imesaṃ dvinnaṃ kulānaṃ anukampāya sāvatthiṃ nissāya viharanto imesu dvīsu vihāresu nibaddhavāsaṃ vasi. Ekaṃ antovassaṃ jetavane vasati, ekaṃ pubbārāme, etasmiṃ pana samaye bhagavā pubbārāme viharati. Tena vuttaṃ – ‘‘pubbārāme migāramātupāsāde’’ti.

    กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺตติ กิตฺตเกน นุ โข, ภเนฺตฯ สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต โหตีติ ตณฺหาสงฺขเย นิพฺพาเน ตํ อารมฺมณํ กตฺวา วิมุตฺตจิตฺตตาย ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต นาม สํขิเตฺตน กิตฺตาวตา โหติ? ยาย ปฎิปตฺติยา ตณฺหาสงฺขยวิมุโตฺต โหติ, ตํ เม ขีณาสวสฺส ภิกฺขุโน ปุพฺพภาคปฺปฎิปทํ สํขิเตฺตน เทเสถาติ ปุจฺฉติฯ อจฺจนฺตนิโฎฺฐติ ขยวยสงฺขาตํ อนฺตํ อตีตาติ อจฺจนฺตาฯ อจฺจนฺตา นิฎฺฐา อสฺสาติ อจฺจนฺตนิโฎฺฐ, เอกนฺตนิโฎฺฐ สตตนิโฎฺฐติ อโตฺถฯ อจฺจนฺตํ โยคเกฺขมีติ อจฺจนฺตโยคเกฺขมี, นิจฺจโยคเกฺขมีติ อโตฺถฯ อจฺจนฺตํ พฺรหฺมจารีติ อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี, นิจฺจพฺรหฺมจารีติ อโตฺถฯ อจฺจนฺตํ ปริโยสานมสฺสาติ ปุริมนเยเนว อจฺจนฺตปริโยสาโนฯ เสโฎฺฐ เทวมนุสฺสานนฺติ เทวานญฺจ มนุสฺสานญฺจ เสโฎฺฐ อุตฺตโมฯ เอวรูโป ภิกฺขุ กิตฺตาวตา โหติ, ขิปฺปเมตสฺส สเงฺขเปเนว ปฎิปตฺติํ กเถถาติ ภควนฺตํ ยาจติฯ กสฺมา ปเนส เอวํ เวคายตีติ? กีฬํ อนุภวิตุกามตายฯ

    Kittāvatānu kho, bhanteti kittakena nu kho, bhante. Saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimutto hotīti taṇhāsaṅkhaye nibbāne taṃ ārammaṇaṃ katvā vimuttacittatāya taṇhāsaṅkhayavimutto nāma saṃkhittena kittāvatā hoti? Yāya paṭipattiyā taṇhāsaṅkhayavimutto hoti, taṃ me khīṇāsavassa bhikkhuno pubbabhāgappaṭipadaṃ saṃkhittena desethāti pucchati. Accantaniṭṭhoti khayavayasaṅkhātaṃ antaṃ atītāti accantā. Accantā niṭṭhā assāti accantaniṭṭho, ekantaniṭṭho satataniṭṭhoti attho. Accantaṃ yogakkhemīti accantayogakkhemī, niccayogakkhemīti attho. Accantaṃ brahmacārīti accantabrahmacārī, niccabrahmacārīti attho. Accantaṃ pariyosānamassāti purimanayeneva accantapariyosāno. Seṭṭho devamanussānanti devānañca manussānañca seṭṭho uttamo. Evarūpo bhikkhu kittāvatā hoti, khippametassa saṅkhepeneva paṭipattiṃ kathethāti bhagavantaṃ yācati. Kasmā panesa evaṃ vegāyatīti? Kīḷaṃ anubhavitukāmatāya.

    อยํ กิร อุยฺยานกีฬํ อาณาเปตฺวา จตูหิ มหาราชูหิ จตูสุ ทิสาสุ อารกฺขํ คาหาเปตฺวา ทฺวีสุ เทวโลเกสุ เทวสเงฺฆน ปริวุโต อฑฺฒติยาหิ นาฎกโกฎีหิ สทฺธิํ เอราวณํ อารุยฺห อุยฺยานทฺวาเร ฐิโต อิมํ ปญฺหํ สลฺลเกฺขสิ – ‘‘กิตฺตเกน นุ โข ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺตสฺส ขีณาสวสฺส สเงฺขปโต อาคมนิยปุพฺพภาคปฎิปทา โหตี’’ติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ ปโญฺห อติวิย สสฺสิริโก, สจาหํ อิมํ ปญฺหํ อนุคฺคณฺหิตฺวาว อุยฺยานํ ปวิสิสฺสามิ, ฉทฺวาริเกหิ อารมฺมเณหิ นิมฺมถิโต น ปุน อิมํ ปญฺหํ สลฺลเกฺขสฺสามิ , ติฎฺฐตุ ตาว อุยฺยานกีฬา, สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา อิมํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา อุคฺคหิตปโญฺห อุยฺยาเน กีฬิสฺสามี’’ติ หตฺถิกฺขเนฺธ อนฺตรหิโต ภควโต สนฺติเก ปาตุรโหสิฯ เตปิ จตฺตาโร มหาราชาโน อารกฺขํ คเหตฺวา ฐิตฎฺฐาเนเยว ฐิตา, ปริจาริกเทวสงฺฆาปิ นาฎกานิปิ เอราวโณปิ นาคราชา ตเตฺถว อุยฺยานทฺวาเร อฎฺฐาสิ, เอวเมส กีฬํ อนุภวิตุกามตาย เวคายโนฺต เอวมาหฯ

    Ayaṃ kira uyyānakīḷaṃ āṇāpetvā catūhi mahārājūhi catūsu disāsu ārakkhaṃ gāhāpetvā dvīsu devalokesu devasaṅghena parivuto aḍḍhatiyāhi nāṭakakoṭīhi saddhiṃ erāvaṇaṃ āruyha uyyānadvāre ṭhito imaṃ pañhaṃ sallakkhesi – ‘‘kittakena nu kho taṇhāsaṅkhayavimuttassa khīṇāsavassa saṅkhepato āgamaniyapubbabhāgapaṭipadā hotī’’ti. Athassa etadahosi – ‘‘ayaṃ pañho ativiya sassiriko, sacāhaṃ imaṃ pañhaṃ anuggaṇhitvāva uyyānaṃ pavisissāmi, chadvārikehi ārammaṇehi nimmathito na puna imaṃ pañhaṃ sallakkhessāmi , tiṭṭhatu tāva uyyānakīḷā, satthu santikaṃ gantvā imaṃ pañhaṃ pucchitvā uggahitapañho uyyāne kīḷissāmī’’ti hatthikkhandhe antarahito bhagavato santike pāturahosi. Tepi cattāro mahārājāno ārakkhaṃ gahetvā ṭhitaṭṭhāneyeva ṭhitā, paricārikadevasaṅghāpi nāṭakānipi erāvaṇopi nāgarājā tattheva uyyānadvāre aṭṭhāsi, evamesa kīḷaṃ anubhavitukāmatāya vegāyanto evamāha.

    สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายาติ เอตฺถ สเพฺพ ธมฺมา นาม ปญฺจกฺขนฺธา ทฺวาทสายตนานิ อฎฺฐารส ธาตุโยฯ เต สเพฺพปิ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน อภินิเวสาย นาลํ น ปริยตฺตา น สมตฺถา น ยุตฺตา, กสฺมา? คหิตากาเรน อติฎฺฐนโตฯ เต หิ นิจฺจาติ คหิตาปิ อนิจฺจาว สมฺปชฺชนฺติ, สุขาติ คหิตาปิ ทุกฺขาว สมฺปชฺชนฺติ, อตฺตาติ คหิตาปิ อนตฺตาว สมฺปชฺชนฺติ, ตสฺมา นาลํ อภินิเวสายฯ อภิชานาตีติ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ ญาตปริญฺญาย อภิชานาติฯ ปริชานาตีติ ตเถว ตีรณปริญฺญาย ปริชานาติฯ ยํกิญฺจิ เวทนนฺติ อนฺตมโส ปญฺจวิญฺญาณสมฺปยุตฺตมฺปิ ยํกิญฺจิ อปฺปมตฺตกมฺปิ เวทนํ อนุภวติฯ อิมินา ภควา สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส เวทนาวเสน นิพฺพเตฺตตฺวา อรูปปริคฺคหํ ทเสฺสติฯ สเจ ปน เวทนากมฺมฎฺฐานํ เหฎฺฐา น กถิตํ ภเวยฺย, อิมสฺมิํ ฐาเน กเถตพฺพํ สิยาฯ เหฎฺฐา ปน กถิตํ, ตสฺมา สติปฎฺฐาเน วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อนิจฺจานุปสฺสีติ เอตฺถ อนิจฺจํ เวทิตพฺพํ, อนิจฺจานุปสฺสนา เวทิตพฺพา, อนิจฺจานุปสฺสี เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ อนิจฺจนฺติ ปญฺจกฺขนฺธา, เต หิ อุปฺปาทวยเฎฺฐน อนิจฺจาฯ อนิจฺจานุปสฺสนาติ ปญฺจกฺขนฺธานํ ขยโต วยโต ทสฺสนญาณํฯ อนิจฺจานุปสฺสีติ เตน ญาเณน สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ฯ ตสฺมา ‘‘อนิจฺจานุปสฺสี วิหรตี’’ติ อนิจฺจโต อนุปสฺสโนฺต วิหรตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ

    Sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyāti ettha sabbe dhammā nāma pañcakkhandhā dvādasāyatanāni aṭṭhārasa dhātuyo. Te sabbepi taṇhādiṭṭhivasena abhinivesāya nālaṃ na pariyattā na samatthā na yuttā, kasmā? Gahitākārena atiṭṭhanato. Te hi niccāti gahitāpi aniccāva sampajjanti, sukhāti gahitāpi dukkhāva sampajjanti, attāti gahitāpi anattāva sampajjanti, tasmā nālaṃ abhinivesāya. Abhijānātīti aniccaṃ dukkhaṃ anattāti ñātapariññāya abhijānāti. Parijānātīti tatheva tīraṇapariññāya parijānāti. Yaṃkiñci vedananti antamaso pañcaviññāṇasampayuttampi yaṃkiñci appamattakampi vedanaṃ anubhavati. Iminā bhagavā sakkassa devānamindassa vedanāvasena nibbattetvā arūpapariggahaṃ dasseti. Sace pana vedanākammaṭṭhānaṃ heṭṭhā na kathitaṃ bhaveyya, imasmiṃ ṭhāne kathetabbaṃ siyā. Heṭṭhā pana kathitaṃ, tasmā satipaṭṭhāne vuttanayeneva veditabbaṃ. Aniccānupassīti ettha aniccaṃ veditabbaṃ, aniccānupassanā veditabbā, aniccānupassī veditabbo. Tattha aniccanti pañcakkhandhā, te hi uppādavayaṭṭhena aniccā. Aniccānupassanāti pañcakkhandhānaṃ khayato vayato dassanañāṇaṃ. Aniccānupassīti tena ñāṇena samannāgato puggalo . Tasmā ‘‘aniccānupassī viharatī’’ti aniccato anupassanto viharatīti ayamettha attho.

    วิราคานุปสฺสีติ เอตฺถ เทฺว วิราคา ขยวิราโค จ อจฺจนฺตวิราโค จฯ ตตฺถ สงฺขารานํ ขยวยโต อนุปสฺสนาปิ, อจฺจนฺตวิราคํ นิพฺพานํ วิราคโต ทสฺสนมคฺคญาณมฺปิ วิราคานุปสฺสนาฯ ตทุภยสมางฺคีปุคฺคโล วิราคานุปสฺสี นาม, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘วิราคานุปสฺสี’’ติ, วิราคโต อนุปสฺสโนฺตติ อโตฺถฯ นิโรธานุปสฺสิมฺหิปิ เอเสว นโย, นิโรโธปิ หิ ขยนิโรโธ จ อจฺจนฺตนิโรโธ จาติ ทุวิโธเยวฯ ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสีติ เอตฺถ ปฎินิสฺสโคฺค วุจฺจติ โวสฺสโคฺค, โส จ ปริจฺจาคโวสฺสโคฺค ปกฺขนฺทนโวสฺสโคฺคติ ทุวิโธ โหติ ฯ ตตฺถ ปริจฺจาคโวสฺสโคฺคติ วิปสฺสนา, สา หิ ตทงฺควเสน กิเลเส จ ขเนฺธ จ โวสฺสชฺชติฯ ปกฺขนฺทนโวสฺสโคฺคติ มโคฺค, โส หิ นิพฺพานํ อารมฺมณํ อารมฺมณโต ปกฺขนฺทติฯ ทฺวีหิปิ วา การเณหิ โวสฺสโคฺคเยว, สมุเจฺฉทวเสน ขนฺธานํ กิเลสานญฺจ โวสฺสชฺชนโต, นิพฺพานญฺจ ปกฺขนฺทนโตฯ ตสฺมา กิเลเส จ ขเนฺธ จ ปริจฺจชตีติ ปริจฺจาคโวสฺสโคฺค, นิโรเธ นิพฺพานธาตุยา จิตฺตํ ปกฺขนฺทตีติ ปกฺขนฺทนโวสฺสโคฺคติ อุภยเมฺปตํ มเคฺค สเมติฯ ตทุภยสมงฺคีปุคฺคโล อิมาย ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย สมนฺนาคตตฺตา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี นาม โหติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี’’ติฯ น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยตีติ กิญฺจิ เอกมฺปิ สงฺขารคตํ ตณฺหาวเสน น อุปาทิยติ น คณฺหาติ น ปรามสติฯ อนุปาทิยํ น ปริตสฺสตีติ อคฺคณฺหโนฺต ตณฺหาปริตสฺสนาย น ปริตสฺสติฯ ปจฺจตฺตเญฺญว ปรินิพฺพายตีติ สยเมว กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายติฯ ขีณา ชาตีติอาทินา ปนสฺส ปจฺจเวกฺขณาว ทสฺสิตาฯ อิติ ภควา สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส สํขิเตฺตน ขีณาสวสฺส ปุพฺพภาคปฺปฎิปทํ ปุจฺฉิโต สลฺลหุกํ กตฺวา สํขิเตฺตเนว ขิปฺปํ กเถสิฯ

    Virāgānupassīti ettha dve virāgā khayavirāgo ca accantavirāgo ca. Tattha saṅkhārānaṃ khayavayato anupassanāpi, accantavirāgaṃ nibbānaṃ virāgato dassanamaggañāṇampi virāgānupassanā. Tadubhayasamāṅgīpuggalo virāgānupassī nāma, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘virāgānupassī’’ti, virāgato anupassantoti attho. Nirodhānupassimhipi eseva nayo, nirodhopi hi khayanirodho ca accantanirodho cāti duvidhoyeva. Paṭinissaggānupassīti ettha paṭinissaggo vuccati vossaggo, so ca pariccāgavossaggo pakkhandanavossaggoti duvidho hoti . Tattha pariccāgavossaggoti vipassanā, sā hi tadaṅgavasena kilese ca khandhe ca vossajjati. Pakkhandanavossaggoti maggo, so hi nibbānaṃ ārammaṇaṃ ārammaṇato pakkhandati. Dvīhipi vā kāraṇehi vossaggoyeva, samucchedavasena khandhānaṃ kilesānañca vossajjanato, nibbānañca pakkhandanato. Tasmā kilese ca khandhe ca pariccajatīti pariccāgavossaggo, nirodhe nibbānadhātuyā cittaṃ pakkhandatīti pakkhandanavossaggoti ubhayampetaṃ magge sameti. Tadubhayasamaṅgīpuggalo imāya paṭinissaggānupassanāya samannāgatattā paṭinissaggānupassī nāma hoti. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘paṭinissaggānupassī’’ti. Na kiñci loke upādiyatīti kiñci ekampi saṅkhāragataṃ taṇhāvasena na upādiyati na gaṇhāti na parāmasati. Anupādiyaṃ na paritassatīti aggaṇhanto taṇhāparitassanāya na paritassati. Paccattaññeva parinibbāyatīti sayameva kilesaparinibbānena parinibbāyati. Khīṇā jātītiādinā panassa paccavekkhaṇāva dassitā. Iti bhagavā sakkassa devānamindassa saṃkhittena khīṇāsavassa pubbabhāgappaṭipadaṃ pucchito sallahukaṃ katvā saṃkhitteneva khippaṃ kathesi.

    ๓๙๑. อวิทูเร นิสิโนฺน โหตีติ อนนฺตเร กูฎาคาเร นิสิโนฺน โหติฯ อภิสเมจฺจาติ ญาเณน อภิสมาคนฺตฺวา, ชานิตฺวาติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – กิํ นุ โข เอส ชานิตฺวา อนุโมทิ, อุทาหุ อชานิตฺวา วาติฯ กสฺมา ปนสฺส เอวมโหสีติ? เถโร กิร น ภควโต ปญฺหวิสฺสชฺชนสทฺทํ อโสฺสสิ, สกฺกสฺส ปน เทวรโญฺญ, ‘‘เอวเมตํ ภควา เอวเมตํ สุคตา’’ติ อนุโมทนสทฺทํ อโสฺสสิฯ สโกฺก กิร เทวราชา มหตา สเทฺทน อนุโมทิฯ อถ กสฺมา น ภควโต สทฺทํ อโสฺสสีติ? ยถาปริสวิญฺญาปกตฺตาฯ พุทฺธานญฺหิ ธมฺมํ กเถนฺตานํ เอกาพทฺธาย จกฺกวาฬปริยนฺตายปิ ปริสาย สโทฺท สุยฺยติ, ปริยนฺตํ ปน มุญฺจิตฺวา องฺคุลิมตฺตมฺปิ พหิทฺธา น นิจฺฉรติฯ กสฺมา? เอวรูปา มธุรกถา มา นิรตฺถกา อคมาสีติฯ ตทา ภควา มิคารมาตุปาสาเท สตฺตรตนมเย กูฎาคาเร สิริคพฺภมฺหิ นิสิโนฺน โหติ, ตสฺส ทกฺขิณปเสฺส สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วสนกูฎาคารํ, วามปเสฺส มหาโมคฺคลฺลานสฺส, อนฺตเร ฉิทฺทวิวโรกาโส นตฺถิ, ตสฺมา เถโร น ภควโต สทฺทํ อโสฺสสิ, สกฺกเสฺสว อโสฺสสีติฯ

    391.Avidūre nisinno hotīti anantare kūṭāgāre nisinno hoti. Abhisameccāti ñāṇena abhisamāgantvā, jānitvāti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – kiṃ nu kho esa jānitvā anumodi, udāhu ajānitvā vāti. Kasmā panassa evamahosīti? Thero kira na bhagavato pañhavissajjanasaddaṃ assosi, sakkassa pana devarañño, ‘‘evametaṃ bhagavā evametaṃ sugatā’’ti anumodanasaddaṃ assosi. Sakko kira devarājā mahatā saddena anumodi. Atha kasmā na bhagavato saddaṃ assosīti? Yathāparisaviññāpakattā. Buddhānañhi dhammaṃ kathentānaṃ ekābaddhāya cakkavāḷapariyantāyapi parisāya saddo suyyati, pariyantaṃ pana muñcitvā aṅgulimattampi bahiddhā na niccharati. Kasmā? Evarūpā madhurakathā mā niratthakā agamāsīti. Tadā bhagavā migāramātupāsāde sattaratanamaye kūṭāgāre sirigabbhamhi nisinno hoti, tassa dakkhiṇapasse sāriputtattherassa vasanakūṭāgāraṃ, vāmapasse mahāmoggallānassa, antare chiddavivarokāso natthi, tasmā thero na bhagavato saddaṃ assosi, sakkasseva assosīti.

    ปญฺจหิ ตูริยสเตหีติ ปญฺจงฺคิกานํ ตูริยานํ ปญฺจหิ สเตหิฯ ปญฺจงฺคิกํ ตูริยํ นาม อาตตํ วิตตํ อาตตวิตตํ สุสิรํ ฆนนฺติ อิเมหิ ปญฺจหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํฯ ตตฺถ อาตตํ นาม จมฺมปริโยนเทฺธสุ เภริอาทีสุ เอกตลตูริยํฯ วิตตํ นาม อุภยตลํฯ อาตตวิตตํ นาม ตนฺติพทฺธปณวาทิฯ สุสิรํ วํสาทิฯ ฆนํ สมฺมาทิฯ สมปฺปิโตติ อุปคโตฯ สมงฺคีภูโตติ ตเสฺสว เววจนํฯ ปริจาเรตีติ ตํ สมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต ตโต ตโต อินฺทฺริยานิ จาเรติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ปริวาเรตฺวา วชฺชมาเนหิ ปญฺจหิ ตูริยสเตหิ สมนฺนาคโต หุตฺวา ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวตีฯ ปฎิปณาเมตฺวาติ อปเนตฺวา, นิสฺสทฺทานิ การาเปตฺวาติ อโตฺถฯ ยเถว หิ อิทานิ สทฺธา ราชาโน ครุภาวนิยํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา – ‘‘อสุโก นาม อโยฺย อาคจฺฉติ, มา, ตาตา, คายถ, มา วาเทถ, มา นจฺจถา’’ติ นาฎกานิ ปฎิวิเนนฺติ, สโกฺกปิ เถรํ ทิสฺวา เอวมกาสิฯ จิรสฺสํ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, อิมํ ปริยายมกาสีติ เอวรูปํ โลเก ปกติยา ปิยสมุทาหารวจนํ โหติ, โลกิยา หิ จิรสฺสํ อาคตมฺปิ อนาคตปุพฺพมฺปิ มนาปชาติยํ อาคตํ ทิสฺวา, – ‘‘กุโต ภวํ อาคโต, จิรสฺสํ ภวํ อาคโต, กถํ เต อิธาคมนมโคฺค ญาโต มคฺคมูโฬฺหสี’’ติอาทีนิ วทนฺติฯ อยํ ปน อาคตปุพฺพตฺตาเยว เอวมาหฯ เถโร หิ กาเลน กาลํ เทวจาริกํ คจฺฉติเยวฯ ตตฺถ ปริยายมกาสีติ วารมกาสิฯ ยทิทํ อิธาคมนายาติ โย อยํ อิธาคมนาย วาโร, ตํ, ภเนฺต, จิรสฺสมกาสีติ วุตฺตํ โหติฯ อิทมาสนํ ปญฺญตฺตนฺติ โยชนิกํ มณิปลฺลงฺกํ ปญฺญปาเปตฺวา เอวมาหฯ

    Pañcahitūriyasatehīti pañcaṅgikānaṃ tūriyānaṃ pañcahi satehi. Pañcaṅgikaṃ tūriyaṃ nāma ātataṃ vitataṃ ātatavitataṃ susiraṃ ghananti imehi pañcahi aṅgehi samannāgataṃ. Tattha ātataṃ nāma cammapariyonaddhesu bheriādīsu ekatalatūriyaṃ. Vitataṃ nāma ubhayatalaṃ. Ātatavitataṃ nāma tantibaddhapaṇavādi. Susiraṃ vaṃsādi. Ghanaṃ sammādi. Samappitoti upagato. Samaṅgībhūtoti tasseva vevacanaṃ. Paricāretīti taṃ sampattiṃ anubhavanto tato tato indriyāni cāreti. Idaṃ vuttaṃ hoti – parivāretvā vajjamānehi pañcahi tūriyasatehi samannāgato hutvā dibbasampattiṃ anubhavatī. Paṭipaṇāmetvāti apanetvā, nissaddāni kārāpetvāti attho. Yatheva hi idāni saddhā rājāno garubhāvaniyaṃ bhikkhuṃ disvā – ‘‘asuko nāma ayyo āgacchati, mā, tātā, gāyatha, mā vādetha, mā naccathā’’ti nāṭakāni paṭivinenti, sakkopi theraṃ disvā evamakāsi. Cirassaṃ kho, mārisa moggallāna, imaṃ pariyāyamakāsīti evarūpaṃ loke pakatiyā piyasamudāhāravacanaṃ hoti, lokiyā hi cirassaṃ āgatampi anāgatapubbampi manāpajātiyaṃ āgataṃ disvā, – ‘‘kuto bhavaṃ āgato, cirassaṃ bhavaṃ āgato, kathaṃ te idhāgamanamaggo ñāto maggamūḷhosī’’tiādīni vadanti. Ayaṃ pana āgatapubbattāyeva evamāha. Thero hi kālena kālaṃ devacārikaṃ gacchatiyeva. Tattha pariyāyamakāsīti vāramakāsi. Yadidaṃ idhāgamanāyāti yo ayaṃ idhāgamanāya vāro, taṃ, bhante, cirassamakāsīti vuttaṃ hoti. Idamāsanaṃ paññattanti yojanikaṃ maṇipallaṅkaṃ paññapāpetvā evamāha.

    ๓๙๒. พหุกิจฺจา พหุกรณียาติ เอตฺถ เยสํ พหูนิ กิจฺจานิ, เต พหุกิจฺจาฯ พหุกรณียาติ ตเสฺสว เววจนํฯ อเปฺปว สเกน กรณีเยนาติ สกรณียเมว อปฺปํ มนฺทํ, น พหุ, เทวานํ กรณียํ ปน พหุ, ปถวิโต ปฎฺฐาย หิ กปฺปรุกฺขมาตุคามาทีนํ อตฺถาย อฎฺฎา สกฺกสฺส สนฺติเก ฉิชฺชนฺติ, ตสฺมา นิยเมโนฺต อาห – อปิจ เทวานํเยว ตาวติํสานํ กรณีเยนาติฯ เทวานญฺหิ ธีตา จ ปุตฺตา จ อเงฺก นิพฺพตฺตนฺติ, ปาทปริจาริกา อิตฺถิโย สยเน นิพฺพตฺตนฺติ, ตาสํ มณฺฑนปสาธนการิกา เทวธีตา สยนํ ปริวาเรตฺวา นิพฺพตฺตนฺติ, เวยฺยาวจฺจกรา อโนฺตวิมาเน นิพฺพตฺตนฺติ, เอเตสํ อตฺถาย อฎฺฎกรณํ นตฺถิฯ เย ปน สีมนฺตเร นิพฺพตฺตนฺติ, เต ‘‘มม สนฺตกา ตว สนฺตกา’’ติ นิเจฺฉตุํ อสโกฺกนฺตา อฎฺฎํ กโรนฺติ, สกฺกํ เทวราชานํ ปุจฺฉนฺติ, โส ยสฺส วิมานํ อาสนฺนตรํ, ตสฺส สนฺตโกติ วทติฯ สเจ เทฺวปิ สมฎฺฐาเน โหนฺติ, ยสฺส วิมานํ โอโลเกโนฺต ฐิโต, ตสฺส สนฺตโกติ วทติฯ สเจ เอกมฺปิ น โอโลเกติ, ตํ อุภินฺนํ กลหุปเจฺฉทนตฺถํ อตฺตโน สนฺตกํ กโรติฯ ตํ สนฺธาย, ‘‘เทวานํเยว ตาวติํสานํ กรณีเยนา’’ติ อาหฯ อปิจสฺส เอวรูปํ กีฬากิจฺจมฺปิ กรณียเมวฯ

    392.Bahukiccā bahukaraṇīyāti ettha yesaṃ bahūni kiccāni, te bahukiccā. Bahukaraṇīyāti tasseva vevacanaṃ. Appeva sakena karaṇīyenāti sakaraṇīyameva appaṃ mandaṃ, na bahu, devānaṃ karaṇīyaṃ pana bahu, pathavito paṭṭhāya hi kapparukkhamātugāmādīnaṃ atthāya aṭṭā sakkassa santike chijjanti, tasmā niyamento āha – apica devānaṃyeva tāvatiṃsānaṃ karaṇīyenāti. Devānañhi dhītā ca puttā ca aṅke nibbattanti, pādaparicārikā itthiyo sayane nibbattanti, tāsaṃ maṇḍanapasādhanakārikā devadhītā sayanaṃ parivāretvā nibbattanti, veyyāvaccakarā antovimāne nibbattanti, etesaṃ atthāya aṭṭakaraṇaṃ natthi. Ye pana sīmantare nibbattanti, te ‘‘mama santakā tava santakā’’ti nicchetuṃ asakkontā aṭṭaṃ karonti, sakkaṃ devarājānaṃ pucchanti, so yassa vimānaṃ āsannataraṃ, tassa santakoti vadati. Sace dvepi samaṭṭhāne honti, yassa vimānaṃ olokento ṭhito, tassa santakoti vadati. Sace ekampi na oloketi, taṃ ubhinnaṃ kalahupacchedanatthaṃ attano santakaṃ karoti. Taṃ sandhāya, ‘‘devānaṃyeva tāvatiṃsānaṃ karaṇīyenā’’ti āha. Apicassa evarūpaṃ kīḷākiccampi karaṇīyameva.

    ยํ โน ขิปฺปเมว อนฺตรธายตีติ ยํ อมฺหากํ สีฆเมว อนฺธกาเร รูปคตํ วิย น ทิสฺสติฯ อิมินา – ‘‘อหํ, ภเนฺต, ตํ ปญฺหวิสฺสชฺชนํ น สลฺลเกฺขมี’’ติ ทีเปติฯ เถโร – ‘‘กสฺมา นุ โข อยํ ยโกฺข อสลฺลกฺขณภาวํ ทีเปติ, ปเสฺสน ปริหรตี’’ติ อาวชฺชโนฺต – ‘‘เทวา นาม มหามูฬฺหา โหนฺติฯ ฉทฺวาริเกหิ อารมฺมเณหิ นิมฺมถียมานา อตฺตโน ภุตฺตาภุตฺตภาวมฺปิ ปีตาปีตภาวมฺปิ น ชานนฺติ, อิธ กตเมตฺถ ปมุสฺสนฺตี’’ติ อญฺญาสิฯ เกจิ ปนาหุ – ‘‘เถโร เอตสฺส ครุ ภาวนิโย, ตสฺมา ‘อิทาเนว โลเก อคฺคปุคฺคลสฺส สนฺติเก ปญฺหํ อุคฺคเหตฺวา อาคโต, อิทาเนว นาฎกานํ อนฺตรํ ปวิโฎฺฐติ เอวํ มํ เถโร ตเชฺชยฺยา’ติ ภเยน เอวมาหา’’ติฯ เอตํ ปน โกหญฺญํ นาม โหติ, น อริยสาวกสฺส เอวรูปํ โกหญฺญํ นาม โหติ, ตสฺมา มูฬฺหภาเวเนว น สลฺลเกฺขสีติ เวทิตพฺพํฯ อุปริ กสฺมา สลฺลเกฺขสีติ? เถโร ตสฺส โสมนสฺสสํเวคํ ชนยิตฺวา ตมํ นีหริ, ตสฺมา สลฺลเกฺขสีติฯ

    Yaṃno khippameva antaradhāyatīti yaṃ amhākaṃ sīghameva andhakāre rūpagataṃ viya na dissati. Iminā – ‘‘ahaṃ, bhante, taṃ pañhavissajjanaṃ na sallakkhemī’’ti dīpeti. Thero – ‘‘kasmā nu kho ayaṃ yakkho asallakkhaṇabhāvaṃ dīpeti, passena pariharatī’’ti āvajjanto – ‘‘devā nāma mahāmūḷhā honti. Chadvārikehi ārammaṇehi nimmathīyamānā attano bhuttābhuttabhāvampi pītāpītabhāvampi na jānanti, idha katamettha pamussantī’’ti aññāsi. Keci panāhu – ‘‘thero etassa garu bhāvaniyo, tasmā ‘idāneva loke aggapuggalassa santike pañhaṃ uggahetvā āgato, idāneva nāṭakānaṃ antaraṃ paviṭṭhoti evaṃ maṃ thero tajjeyyā’ti bhayena evamāhā’’ti. Etaṃ pana kohaññaṃ nāma hoti, na ariyasāvakassa evarūpaṃ kohaññaṃ nāma hoti, tasmā mūḷhabhāveneva na sallakkhesīti veditabbaṃ. Upari kasmā sallakkhesīti? Thero tassa somanassasaṃvegaṃ janayitvā tamaṃ nīhari, tasmā sallakkhesīti.

    อิทานิ สโกฺก ปุเพฺพ อตฺตโน เอวํ ภูตการณํ เถรสฺส อาโรเจตุํ ภูตปุพฺพนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมุปพฺยูโฬฺหติ สนฺนิปติโต ราสิภูโตฯ อสุรา ปราชินิํสูติ อสุรา ปราชยํ ปาปุณิํสุฯ กทา ปเนเต ปราชิตาติ? สกฺกสฺส นิพฺพตฺตกาเลฯ สโกฺก กิร อนนฺตเร อตฺตภาเว มคธรเฎฺฐ มจลคาเม มโฆ นาม มาณโว อโหสิ, ปณฺฑิโต พฺยโตฺต, โพธิสตฺตจริยา วิยสฺส จริยา อโหสิฯ โส เตตฺติํส ปุริเส คเหตฺวา กลฺยาณมกาสิฯ เอกทิวสํ อตฺตโนว ปญฺญาย อุปปริกฺขิตฺวา คามมเชฺฌ มหาชนสฺส สนฺนิปติตฎฺฐาเน กจวรํ อุภยโต อปพฺพหิตฺวา ตํ ฐานํ อติรมณียมกาสิ, ปุน ตเตฺถว มณฺฑปํ กาเรสิ, ปุน คจฺฉเนฺต กาเล สาลํ กาเรสิฯ คามโต จ นิกฺขมิตฺวา คาวุตมฺปิ อฑฺฒโยชนมฺปิ ติคาวุตมฺปิ โยชนมฺปิ วิจริตฺวา เตหิ สหาเยหิ สทฺธิํ วิสมํ สมํ อกาสิฯ เต สเพฺพปิ เอกจฺฉนฺทา ตตฺถ ตตฺถ เสตุยุตฺตฎฺฐาเนสุ เสตุํ, มณฺฑปสาลาโปกฺขรณีมาลาคจฺฉโรปนาทีนํ ยุตฺตฎฺฐาเนสุ มณฺฑปาทีนิ กโรนฺตา พหุํ ปุญฺญมกํสุ ฯ มโฆ สตฺต วตปทานิ ปูเรตฺวา กายสฺส เภทา สทฺธิํ สหาเยหิ ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติฯ

    Idāni sakko pubbe attano evaṃ bhūtakāraṇaṃ therassa ārocetuṃ bhūtapubbantiādimāha. Tattha samupabyūḷhoti sannipatito rāsibhūto. Asurā parājiniṃsūti asurā parājayaṃ pāpuṇiṃsu. Kadā panete parājitāti? Sakkassa nibbattakāle. Sakko kira anantare attabhāve magadharaṭṭhe macalagāme magho nāma māṇavo ahosi, paṇḍito byatto, bodhisattacariyā viyassa cariyā ahosi. So tettiṃsa purise gahetvā kalyāṇamakāsi. Ekadivasaṃ attanova paññāya upaparikkhitvā gāmamajjhe mahājanassa sannipatitaṭṭhāne kacavaraṃ ubhayato apabbahitvā taṃ ṭhānaṃ atiramaṇīyamakāsi, puna tattheva maṇḍapaṃ kāresi, puna gacchante kāle sālaṃ kāresi. Gāmato ca nikkhamitvā gāvutampi aḍḍhayojanampi tigāvutampi yojanampi vicaritvā tehi sahāyehi saddhiṃ visamaṃ samaṃ akāsi. Te sabbepi ekacchandā tattha tattha setuyuttaṭṭhānesu setuṃ, maṇḍapasālāpokkharaṇīmālāgaccharopanādīnaṃ yuttaṭṭhānesu maṇḍapādīni karontā bahuṃ puññamakaṃsu . Magho satta vatapadāni pūretvā kāyassa bhedā saddhiṃ sahāyehi tāvatiṃsabhavane nibbatti.

    ตสฺมิํ กาเล อสุรคณา ตาวติํสเทวโลเก ปฎิวสนฺติฯ สเพฺพ เต เทวานํ สมานายุกา สมานวณฺณา จ โหนฺติ, เต สกฺกํ สปริสํ ทิสฺวา อธุนา นิพฺพตฺตา นวกเทวปุตฺตา อาคตาติ มหาปานํ สชฺชยิํสุฯ สโกฺก เทวปุตฺตานํ สญฺญํ อทาสิ – ‘‘อเมฺหหิ กุสลํ กโรเนฺตหิ น ปเรหิ สทฺธิํ สาธารณํ กตํ, ตุเมฺห คณฺฑปานํ มา ปิวิตฺถ ปีตมตฺตเมว กโรถา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ พาลอสุรา คณฺฑปานํ ปิวิตฺวา มตฺตา นิทฺทํ โอกฺกมิํสุฯ สโกฺก เทวานํ สญฺญํ ทตฺวา เต ปาเทสุ คาหาเปตฺวา สิเนรุปาเท ขิปาเปสิ, สิเนรุสฺส เหฎฺฐิมตเล อสุรภวนํ นาม อตฺถิ, ตาวติํสเทวโลกปฺปมาณเมวฯ ตตฺถ อสุรา วสนฺติฯ เตสมฺปิ จิตฺตปาฎลิ นาม รุโกฺข อตฺถิฯ เต ตสฺส ปุปฺผนกาเล ชานนฺติ – ‘‘นายํ ตาวติํสา, สเกฺกน วญฺจิตา มย’’นฺติฯ เต คณฺหถ นนฺติ วตฺวา สิเนรุํ ปริหรมานา เทเว วุเฎฺฐ วมฺมิกปาทโต วมฺมิกมกฺขิกา วิย อภิรุหิํสุฯ ตตฺถ กาเลน เทวา ชินนฺติ, กาเลน อสุราฯ ยทา เทวานํ ชโย โหติ, อสุเร ยาว สมุทฺทปิฎฺฐา อนุพนฺธนฺติฯ ยทา อสุรานํ ชโย โหติ, เทเว ยาว เวทิกปาทา อนุพนฺธนฺติฯ ตสฺมิํ ปน สงฺคาเม เทวานํ ชโย อโหสิ, เทวา อสุเร ยาว สมุทฺทปิฎฺฐา อนุพนฺธิํสุฯ สโกฺก อสุเร ปลาเปตฺวา ปญฺจสุ ฐาเนสุ อารกฺขํ ฐเปสิฯ เอวํ อารกฺขํ ทตฺวา เวทิกปาเท วชิรหตฺถา อินฺทปฎิมาโย ฐเปสิฯ อสุรา กาเลน กาลํ อุฎฺฐหิตฺวา ตา ปฎิมาโย ทิสฺวา, ‘‘สโกฺก อปฺปมโตฺต ติฎฺฐตี’’ติ ตโตว นิวตฺตนฺติฯ ตโต ปฎินิวตฺติตฺวาติ วิชิตฎฺฐานโต นิวตฺติตฺวาฯ ปริจาริกาโยติ มาลาคนฺธาทิกมฺมการิกาโยฯ

    Tasmiṃ kāle asuragaṇā tāvatiṃsadevaloke paṭivasanti. Sabbe te devānaṃ samānāyukā samānavaṇṇā ca honti, te sakkaṃ saparisaṃ disvā adhunā nibbattā navakadevaputtā āgatāti mahāpānaṃ sajjayiṃsu. Sakko devaputtānaṃ saññaṃ adāsi – ‘‘amhehi kusalaṃ karontehi na parehi saddhiṃ sādhāraṇaṃ kataṃ, tumhe gaṇḍapānaṃ mā pivittha pītamattameva karothā’’ti. Te tathā akaṃsu. Bālaasurā gaṇḍapānaṃ pivitvā mattā niddaṃ okkamiṃsu. Sakko devānaṃ saññaṃ datvā te pādesu gāhāpetvā sinerupāde khipāpesi, sinerussa heṭṭhimatale asurabhavanaṃ nāma atthi, tāvatiṃsadevalokappamāṇameva. Tattha asurā vasanti. Tesampi cittapāṭali nāma rukkho atthi. Te tassa pupphanakāle jānanti – ‘‘nāyaṃ tāvatiṃsā, sakkena vañcitā maya’’nti. Te gaṇhatha nanti vatvā sineruṃ pariharamānā deve vuṭṭhe vammikapādato vammikamakkhikā viya abhiruhiṃsu. Tattha kālena devā jinanti, kālena asurā. Yadā devānaṃ jayo hoti, asure yāva samuddapiṭṭhā anubandhanti. Yadā asurānaṃ jayo hoti, deve yāva vedikapādā anubandhanti. Tasmiṃ pana saṅgāme devānaṃ jayo ahosi, devā asure yāva samuddapiṭṭhā anubandhiṃsu. Sakko asure palāpetvā pañcasu ṭhānesu ārakkhaṃ ṭhapesi. Evaṃ ārakkhaṃ datvā vedikapāde vajirahatthā indapaṭimāyo ṭhapesi. Asurā kālena kālaṃ uṭṭhahitvā tā paṭimāyo disvā, ‘‘sakko appamatto tiṭṭhatī’’ti tatova nivattanti. Tato paṭinivattitvāti vijitaṭṭhānato nivattitvā. Paricārikāyoti mālāgandhādikammakārikāyo.

    ๓๙๓. เวสฺสวโณ จ มหาราชาติ โส กิร สกฺกสฺส วลฺลโภ, พลววิสฺสาสิโก, ตสฺมา สเกฺกน สทฺธิํ อคมาสิฯ ปุรกฺขตฺวาติ ปุรโต กตฺวาฯ ปวิสิํสูติ ปวิสิตฺวา ปน อุปฑฺฒปิหิตานิ ทฺวารานิ กตฺวา โอโลกยมานา อฎฺฐํสุฯ อิทมฺปิ, มาริส โมคฺคลฺลาน, ปสฺส เวชยนฺตสฺส ปาสาทสฺส รามเณยฺยกนฺติ, มาริส โมคฺคลฺลาน, อิทมฺปิ เวชยนฺตสฺส ปาสาทสฺส รามเณยฺยกํ ปสฺส, สุวณฺณตฺถเมฺภ ปสฺส, รชตตฺถเมฺภ มณิตฺถเมฺภ ปวาฬตฺถเมฺภ โลหิตงฺคตฺถเมฺภ มสารคลฺลตฺถเมฺภ มุตฺตตฺถเมฺภ สตฺตรตนตฺถเมฺภ, เตสํเยว สุวณฺณาทิมเย ฆฎเก วาฬรูปกานิ จ ปสฺสาติ เอวํ ถมฺภปนฺติโย อาทิํ กตฺวา รามเณยฺยกํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ ยถา ตํ ปุเพฺพกตปุญฺญสฺสาติ ยถา ปุเพฺพ กตปุญฺญสฺส อุปโภคฎฺฐาเนน โสภิตพฺพํ, เอวเมวํ โสภตีติ อโตฺถฯ อติพาฬฺหํ โข อยํ ยโกฺข ปมโตฺต วิหรตีติ อตฺตโน ปาสาเท นาฎกปริวาเรน สมฺปตฺติยา วเสน อติวิย มโตฺตฯ

    393.Vessavaṇo ca mahārājāti so kira sakkassa vallabho, balavavissāsiko, tasmā sakkena saddhiṃ agamāsi. Purakkhatvāti purato katvā. Pavisiṃsūti pavisitvā pana upaḍḍhapihitāni dvārāni katvā olokayamānā aṭṭhaṃsu. Idampi, mārisa moggallāna, passa vejayantassa pāsādassa rāmaṇeyyakanti, mārisa moggallāna, idampi vejayantassa pāsādassa rāmaṇeyyakaṃ passa, suvaṇṇatthambhe passa, rajatatthambhe maṇitthambhe pavāḷatthambhe lohitaṅgatthambhe masāragallatthambhe muttatthambhe sattaratanatthambhe, tesaṃyeva suvaṇṇādimaye ghaṭake vāḷarūpakāni ca passāti evaṃ thambhapantiyo ādiṃ katvā rāmaṇeyyakaṃ dassento evamāha. Yathā taṃ pubbekatapuññassāti yathā pubbe katapuññassa upabhogaṭṭhānena sobhitabbaṃ, evamevaṃ sobhatīti attho. Atibāḷhaṃkho ayaṃ yakkho pamatto viharatīti attano pāsāde nāṭakaparivārena sampattiyā vasena ativiya matto.

    อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสีติ อิทฺธิมกาสิฯ อาโปกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา ปาสาทปติฎฺฐิโตกาสํ อุทกํ โหตูติ อิทฺธิํ อธิฎฺฐาย ปาสาทกณฺณิเก ปาทงฺคุฎฺฐเกน ปหริฯ โส ปาสาโท ยถา นาม อุทกปิเฎฺฐ ฐปิตปตฺตํ มุขวฎฺฎิยํ องฺคุลิยา ปหฎํ อปราปรํ กมฺปติ จลติ น สนฺติฎฺฐติฯ เอวเมวํ สํกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ, ถมฺภปิฎฺฐสงฺฆาฎกณฺณิกโคปานสิอาทีนิ กรกราติ สทฺทํ มุญฺจนฺตานิ ปติตุํ วิย อารทฺธานิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สงฺกเมฺปสิ สมฺปกเมฺปสิ สมฺปเวเธสี’’ติฯ อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตาติ อโห อจฺฉริยํ, อโห อพฺภุตนฺติ เอวํ สญฺชาตอจฺฉริยอพฺภุตา เจว สญฺชาตตุฎฺฐิโน จ อเหสุํ อุปฺปนฺนพลวโสมนสฺสาฯ สํวิคฺคนฺติ อุพฺพิคฺคํฯ โลมหฎฺฐชาตนฺติ ชาตโลมหํสํ, กญฺจนภิตฺติยํ ฐปิตมณินาคทเนฺตหิ วิย อุทฺธเคฺคหิ โลเมหิ อากิณฺณสรีรนฺติ อโตฺถฯ โลมหํโส จ นาเมส โสมนเสฺสนปิ โหติ โทมนเสฺสนปิ, อิธ ปน โสมนเสฺสน ชาโตฯ เถโร หิ สกฺกสฺส โสมนสฺสเวเคน สํเวเชตุํ ตํ ปาฎิหาริยมกาสิฯ ตสฺมา โสมนสฺสเวเคน สํวิคฺคโลมหฎฺฐํ วิทิตฺวาติ อโตฺถฯ

    Iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāsīti iddhimakāsi. Āpokasiṇaṃ samāpajjitvā pāsādapatiṭṭhitokāsaṃ udakaṃ hotūti iddhiṃ adhiṭṭhāya pāsādakaṇṇike pādaṅguṭṭhakena pahari. So pāsādo yathā nāma udakapiṭṭhe ṭhapitapattaṃ mukhavaṭṭiyaṃ aṅguliyā pahaṭaṃ aparāparaṃ kampati calati na santiṭṭhati. Evamevaṃ saṃkampi sampakampi sampavedhi, thambhapiṭṭhasaṅghāṭakaṇṇikagopānasiādīni karakarāti saddaṃ muñcantāni patituṃ viya āraddhāni. Tena vuttaṃ – ‘‘saṅkampesi sampakampesi sampavedhesī’’ti. Acchariyabbhutacittajātāti aho acchariyaṃ, aho abbhutanti evaṃ sañjātaacchariyaabbhutā ceva sañjātatuṭṭhino ca ahesuṃ uppannabalavasomanassā. Saṃvigganti ubbiggaṃ. Lomahaṭṭhajātanti jātalomahaṃsaṃ, kañcanabhittiyaṃ ṭhapitamaṇināgadantehi viya uddhaggehi lomehi ākiṇṇasarīranti attho. Lomahaṃso ca nāmesa somanassenapi hoti domanassenapi, idha pana somanassena jāto. Thero hi sakkassa somanassavegena saṃvejetuṃ taṃ pāṭihāriyamakāsi. Tasmā somanassavegena saṃviggalomahaṭṭhaṃ viditvāti attho.

    ๓๙๔. อิธาหํ, มาริสาติ อิทานิสฺส ยสฺมา เถเรน โสมนสฺสสํเวคํ ชนยิตฺวา ตมํ วิโนทิตํ, ตสฺมา สลฺลเกฺขตฺวา เอวมาหฯ เอโส นุ เต, มาริส, โส ภควา สตฺถาติ, มาริส, ตฺวํ กุหิํ คโตสีติ วุเตฺต มยฺหํ สตฺถุ สนฺติกนฺติ วเทสิ, อิมสฺมิํ เทวโลเก เอกปาทเกน วิย ติฎฺฐสิ, ยํ ตฺวํ เอวํ วเทสิ, เอโส นุ เต, มาริส, โส ภควา สตฺถาติ ปุจฺฉิํสุฯ สพฺรหฺมจารี เม เอโสติ เอตฺถ กิญฺจาปิ เถโร อนคาริโย อภินีหารสมฺปโนฺน อคฺคสาวโก, สโกฺก อคาริโย, มคฺคพฺรหฺมจริยวเสน ปเนเต สพฺรหฺมจาริโน โหนฺติ, ตสฺมา เอวมาหฯ อโห นูน เต โส ภควา สตฺถาติ สพฺรหฺมจารี ตาว เต เอวํมหิทฺธิโก, โส ปน เต ภควา สตฺถา อโห นูน มหิทฺธิโกติ สตฺถุ อิทฺธิปาฎิหาริยทสฺสเน ชาตาภิลาปา หุตฺวา เอวมาหํสุฯ

    394.Idhāhaṃ, mārisāti idānissa yasmā therena somanassasaṃvegaṃ janayitvā tamaṃ vinoditaṃ, tasmā sallakkhetvā evamāha. Eso nu te, mārisa, so bhagavā satthāti, mārisa, tvaṃ kuhiṃ gatosīti vutte mayhaṃ satthu santikanti vadesi, imasmiṃ devaloke ekapādakena viya tiṭṭhasi, yaṃ tvaṃ evaṃ vadesi, eso nu te, mārisa, so bhagavā satthāti pucchiṃsu. Sabrahmacārī me esoti ettha kiñcāpi thero anagāriyo abhinīhārasampanno aggasāvako, sakko agāriyo, maggabrahmacariyavasena panete sabrahmacārino honti, tasmā evamāha. Ahonūna te so bhagavā satthāti sabrahmacārī tāva te evaṃmahiddhiko, so pana te bhagavā satthā aho nūna mahiddhikoti satthu iddhipāṭihāriyadassane jātābhilāpā hutvā evamāhaṃsu.

    ๓๙๕. ญาตญฺญตรสฺสาติ ปญฺญาตญฺญตรสฺส, สโกฺก หิ ปญฺญาตานํ อญฺญตโรฯ เสสํ สพฺพตฺถ ปากฎเมว, เทสนํ ปน ภควา ยถานุสนฺธินาว นิฎฺฐาเปสีติฯ

    395.Ñātaññatarassāti paññātaññatarassa, sakko hi paññātānaṃ aññataro. Sesaṃ sabbattha pākaṭameva, desanaṃ pana bhagavā yathānusandhināva niṭṭhāpesīti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cūḷataṇhāsaṅkhayasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๗. จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตํ • 7. Cūḷataṇhāsaṅkhayasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๗. จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา • 7. Cūḷataṇhāsaṅkhayasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact