Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. จูฬเวทลฺลสุตฺตวณฺณนา

    4. Cūḷavedallasuttavaṇṇanā

    ๔๖๐. เอวํ เม สุตนฺติ จูฬเวทลฺลสุตฺตํฯ ตตฺถ วิสาโข อุปาสโกติ วิสาโขติ เอวํนามโก อุปาสโกฯ เยน ธมฺมทินฺนาติ เยน ธมฺมทินฺนา นาม ภิกฺขุนี เตนุปสงฺกมิฯ โก ปนายํ วิสาโข? กา ธมฺมทินฺนา? กสฺมา อุปสงฺกมีติ? วิสาโข นาม ธมฺมทินฺนาย คิหิกาเล ฆรสามิโกฯ โส ยทา ภควา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา ปวตฺตวรธมฺมจโกฺก ยสาทโย กุลปุเตฺต วิเนตฺวา อุรุเวลํ ปตฺวา ตตฺถ ชฎิลสหสฺสํ วิเนตฺวา ปุราณชฎิเลหิ ขีณาสวภิกฺขูหิ สทฺธิํ ราชคหํ คนฺตฺวา พุทฺธทสฺสนตฺถํ ทฺวาทสนหุตาย ปริสาย สทฺธิํ อาคตสฺส พิมฺพิสารมหาราชสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ ตทา รญฺญา สทฺธิํ อาคเตสุ ทฺวาทสนหุเตสุ เอกํ นหุตํ อุปาสกตฺตํ ปฎิเวเทสิ, เอกาทส นหุตานิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุ สทฺธิํ รญฺญา พิมฺพิสาเรนฯ อยํ อุปาสโก เตสํ อญฺญตโร, เตหิ สทฺธิํ ปฐมทสฺสเนว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย, ปุน เอกทิวสํ ธมฺมํ สุตฺวา สกทาคามิผลํ ปตฺวา, ตโต อปรภาเคปิ เอกทิวสํ ธมฺมํ สุตฺวา อนาคามิผเล ปติฎฺฐิโตฯ โส อนาคามี หุตฺวา เคหํ อาคจฺฉโนฺต ยถา อเญฺญสุ ทิวเสสุ อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต สิตํ กุรุมาโน อาคจฺฉติ, เอวํ อนาคนฺตฺวา สนฺตินฺทฺริโย สนฺตมานโส หุตฺวา อคมาสิฯ

    460.Evaṃme sutanti cūḷavedallasuttaṃ. Tattha visākho upāsakoti visākhoti evaṃnāmako upāsako. Yena dhammadinnāti yena dhammadinnā nāma bhikkhunī tenupasaṅkami. Ko panāyaṃ visākho? Kā dhammadinnā? Kasmā upasaṅkamīti? Visākho nāma dhammadinnāya gihikāle gharasāmiko. So yadā bhagavā sammāsambodhiṃ abhisambujjhitvā pavattavaradhammacakko yasādayo kulaputte vinetvā uruvelaṃ patvā tattha jaṭilasahassaṃ vinetvā purāṇajaṭilehi khīṇāsavabhikkhūhi saddhiṃ rājagahaṃ gantvā buddhadassanatthaṃ dvādasanahutāya parisāya saddhiṃ āgatassa bimbisāramahārājassa dhammaṃ desesi. Tadā raññā saddhiṃ āgatesu dvādasanahutesu ekaṃ nahutaṃ upāsakattaṃ paṭivedesi, ekādasa nahutāni sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu saddhiṃ raññā bimbisārena. Ayaṃ upāsako tesaṃ aññataro, tehi saddhiṃ paṭhamadassaneva sotāpattiphale patiṭṭhāya, puna ekadivasaṃ dhammaṃ sutvā sakadāgāmiphalaṃ patvā, tato aparabhāgepi ekadivasaṃ dhammaṃ sutvā anāgāmiphale patiṭṭhito. So anāgāmī hutvā gehaṃ āgacchanto yathā aññesu divasesu ito cito ca olokento sitaṃ kurumāno āgacchati, evaṃ anāgantvā santindriyo santamānaso hutvā agamāsi.

    ธมฺมทินฺนา สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา วีถิํ โอโลกยมานา ตสฺส อาคมนาการํ ทิสฺวา, ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กุรุมานา โสปานสีเส ฐตฺวา โอลมฺพนตฺถํ หตฺถํ ปสาเรสิฯ อุปาสโก อตฺตโน หตฺถํ สมิเญฺชสิฯ สา ‘‘ปาตราสโภชนกาเล ชานิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ อุปาสโก ปุเพฺพ ตาย สทฺธิํ เอกโต ภุญฺชติฯ ตํ ทิวสํ ปน ตํ อนปโลเกตฺวา โยคาวจรภิกฺขุ วิย เอกโกว ภุญฺชิฯ สา, ‘‘สายนฺหกาเล ชานิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ อุปาสโก ตํทิวสํ สิริคพฺภํ น ปาวิสิ, อญฺญํ คพฺภํ ปฎิชคฺคาเปตฺวา กปฺปิยมญฺจกํ ปญฺญปาเปตฺวา นิปชฺชิฯ อุปาสิกา, ‘‘กิํ นุ ขฺวสฺส พหิทฺธา ปตฺถนา อตฺถิ, อุทาหุ เกนจิเทว ปริเภทเกน ภิโนฺน, อุทาหุ มเยฺหว โกจิ โทโส อตฺถี’’ติ พลวโทมนสฺสา หุตฺวา, ‘‘เอกํ เทฺว ทิวเส วสิตกาเล สกฺกา ญาตุ’’นฺติ ตสฺส อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ

    Dhammadinnā sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā vīthiṃ olokayamānā tassa āgamanākāraṃ disvā, ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti cintetvā tassa paccuggamanaṃ kurumānā sopānasīse ṭhatvā olambanatthaṃ hatthaṃ pasāresi. Upāsako attano hatthaṃ samiñjesi. Sā ‘‘pātarāsabhojanakāle jānissāmī’’ti cintesi. Upāsako pubbe tāya saddhiṃ ekato bhuñjati. Taṃ divasaṃ pana taṃ anapaloketvā yogāvacarabhikkhu viya ekakova bhuñji. Sā, ‘‘sāyanhakāle jānissāmī’’ti cintesi. Upāsako taṃdivasaṃ sirigabbhaṃ na pāvisi, aññaṃ gabbhaṃ paṭijaggāpetvā kappiyamañcakaṃ paññapāpetvā nipajji. Upāsikā, ‘‘kiṃ nu khvassa bahiddhā patthanā atthi, udāhu kenacideva paribhedakena bhinno, udāhu mayheva koci doso atthī’’ti balavadomanassā hutvā, ‘‘ekaṃ dve divase vasitakāle sakkā ñātu’’nti tassa upaṭṭhānaṃ gantvā vanditvā aṭṭhāsi.

    อุปาสโก, ‘‘กิํ ธมฺมทิเนฺน อกาเล อาคตาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ อาม อยฺยปุตฺต, อาคตามฺหิ, น ตฺวํ ยถา ปุราโณ, กิํ นุ เต พหิทฺธา ปตฺถนา อตฺถีติ? นตฺถิ ธมฺมทิเนฺนติฯ อโญฺญ โกจิ ปริเภทโก อตฺถีติ? อยมฺปิ นตฺถีติฯ เอวํ สเนฺต มเยฺหว โกจิ โทโส ภวิสฺสตีติฯ ตุยฺหมฺปิ โทโส นตฺถีติฯ อถ กสฺมา มยา สทฺธิํ ยถา ปกติยา อาลาปสลฺลาปมตฺตมฺปิ น กโรถาติ? โส จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ โลกุตฺตรธโมฺม นาม ครุ ภาริโย น ปกาเสตตโพฺพ, สเจ โข ปนาหํ น กเถสฺสามิ, อยํ หทยํ ผาเลตฺวา เอเตฺถว กาลํ กเรยฺยา’’ติ ตสฺสานุคฺคหตฺถาย กเถสิ – ‘‘ธมฺมทิเนฺน อหํ สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ นาม อธิคโต, ตํ อธิคตสฺส เอวรูปา โลกิยกิริยา น วฎฺฎติฯ ยทิ ตฺวํ อิจฺฉสิ, ตว จตฺตาลีส โกฎิโย มม จตฺตาลีส โกฎิโยติ อสีติโกฎิธนํ อตฺถิ, เอตฺถ อิสฺสรา หุตฺวา มม มาติฎฺฐาเน วา ภคินิฎฺฐาเน วา ฐตฺวา วสฯ ตยา ทิเนฺนน ภตฺตปิณฺฑมตฺตเกน อหํ ยาเปสฺสามิฯ อเถวํ น กโรสิ, อิเม โภเค คเหตฺวา กุลเคหํ คจฺฉ, อถาปิ เต พหิทฺธา ปตฺถนา นตฺถิ, อหํ ตํ ภคินิฎฺฐาเน วา ธิตุฎฺฐาเน วา ฐเปตฺวา โปเสสฺสามี’’ติฯ

    Upāsako, ‘‘kiṃ dhammadinne akāle āgatāsī’’ti pucchi. Āma ayyaputta, āgatāmhi, na tvaṃ yathā purāṇo, kiṃ nu te bahiddhā patthanā atthīti? Natthi dhammadinneti. Añño koci paribhedako atthīti? Ayampi natthīti. Evaṃ sante mayheva koci doso bhavissatīti. Tuyhampi doso natthīti. Atha kasmā mayā saddhiṃ yathā pakatiyā ālāpasallāpamattampi na karothāti? So cintesi – ‘‘ayaṃ lokuttaradhammo nāma garu bhāriyo na pakāsetatabbo, sace kho panāhaṃ na kathessāmi, ayaṃ hadayaṃ phāletvā ettheva kālaṃ kareyyā’’ti tassānuggahatthāya kathesi – ‘‘dhammadinne ahaṃ satthu dhammadesanaṃ sutvā lokuttaradhammaṃ nāma adhigato, taṃ adhigatassa evarūpā lokiyakiriyā na vaṭṭati. Yadi tvaṃ icchasi, tava cattālīsa koṭiyo mama cattālīsa koṭiyoti asītikoṭidhanaṃ atthi, ettha issarā hutvā mama mātiṭṭhāne vā bhaginiṭṭhāne vā ṭhatvā vasa. Tayā dinnena bhattapiṇḍamattakena ahaṃ yāpessāmi. Athevaṃ na karosi, ime bhoge gahetvā kulagehaṃ gaccha, athāpi te bahiddhā patthanā natthi, ahaṃ taṃ bhaginiṭṭhāne vā dhituṭṭhāne vā ṭhapetvā posessāmī’’ti.

    สา จิเนฺตสิ – ‘‘ปกติปุริโส เอวํ วตฺตา นาม นตฺถิฯ อทฺธา เอเตน โลกุตฺตรวรธโมฺม ปฎิวิโทฺธฯ โส ปน ธโมฺม กิํ ปุริเสเหว ปฎิพุชฺฌิตโพฺพ, อุทาหุ มาตุคาโมปิ ปฎิวิชฺฌิตุํ สโกฺกตี’’ติ วิสาขํ เอตทโวจ – ‘‘กิํ นุ โข เอโส ธโมฺม ปุริเสเหว ลภิตโพฺพ, มาตุคาเมนปิ สกฺกา ลทฺธุ’’นฺติ? กิํ วเทสิ ธมฺมทิเนฺน, เย ปฎิปนฺนกา, เต เอตสฺส ทายาทา, ยสฺส ยสฺส อุปนิสฺสโย อตฺถิ, โส โส เอตํ ปฎิลภตีติฯ เอวํ สเนฺต มยฺหํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาถาติฯ สาธุ ภเทฺท, อหมฺปิ ตํ เอตสฺมิํเยว มเคฺค โยเชตุกาโม, มนํ ปน เต อชานมาโน น กเถมีติ ตาวเทว พิมฺพิสารสฺส รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ

    Sā cintesi – ‘‘pakatipuriso evaṃ vattā nāma natthi. Addhā etena lokuttaravaradhammo paṭividdho. So pana dhammo kiṃ puriseheva paṭibujjhitabbo, udāhu mātugāmopi paṭivijjhituṃ sakkotī’’ti visākhaṃ etadavoca – ‘‘kiṃ nu kho eso dhammo puriseheva labhitabbo, mātugāmenapi sakkā laddhu’’nti? Kiṃ vadesi dhammadinne, ye paṭipannakā, te etassa dāyādā, yassa yassa upanissayo atthi, so so etaṃ paṭilabhatīti. Evaṃ sante mayhaṃ pabbajjaṃ anujānāthāti. Sādhu bhadde, ahampi taṃ etasmiṃyeva magge yojetukāmo, manaṃ pana te ajānamāno na kathemīti tāvadeva bimbisārassa rañño santikaṃ gantvā vanditvā aṭṭhāsi.

    ราชา , ‘‘กิํ, คหปติ, อกาเล อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ธมฺมทินฺนา, ‘‘มหาราช, ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วทตีติฯ กิํ ปนสฺส ลทฺธุํ วฎฺฎตีติ? อญฺญํ กิญฺจิ นตฺถิ, โสวณฺณสิวิกํ เทว, ลทฺธุํ วฎฺฎติ นครญฺจ ปฎิชคฺคาเปตุนฺติฯ ราชา โสวณฺณสิวิกํ ทตฺวา นครํ ปฎิชคฺคาเปสิฯ วิสาโข ธมฺมทินฺนํ คโนฺธทเกน นหาเปตฺวา สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺการาเปตฺวา โสวณฺณสิวิกาย นิสีทาเปตฺวา ญาติคเณน ปริวาราเปตฺวา คนฺธปุปฺผาทีหิ ปูชยมาโน นครวาสนํ กโรโนฺต วิย ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ คนฺตฺวา, ‘‘ธมฺมทินฺนํ ปพฺพาเชถาเยฺย’’ติ อาหฯ ภิกฺขุนิโย ‘‘เอกํ วา เทฺว วา โทเส สหิตุํ วฎฺฎติ คหปตี’’ติ อาหํสุฯ นตฺถเยฺย โกจิ โทโส, สทฺธาย ปพฺพชตีติฯ อเถกา พฺยตฺตา เถรี ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา เกเส โอหาเรตฺวา ปพฺพาเชสิฯ วิสาโข, ‘‘อภิรมเยฺย, สฺวากฺขาโต ธโมฺม’’ติ วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ

    Rājā , ‘‘kiṃ, gahapati, akāle āgatosī’’ti pucchi. Dhammadinnā, ‘‘mahārāja, pabbajissāmī’’ti vadatīti. Kiṃ panassa laddhuṃ vaṭṭatīti? Aññaṃ kiñci natthi, sovaṇṇasivikaṃ deva, laddhuṃ vaṭṭati nagarañca paṭijaggāpetunti. Rājā sovaṇṇasivikaṃ datvā nagaraṃ paṭijaggāpesi. Visākho dhammadinnaṃ gandhodakena nahāpetvā sabbālaṅkārehi alaṅkārāpetvā sovaṇṇasivikāya nisīdāpetvā ñātigaṇena parivārāpetvā gandhapupphādīhi pūjayamāno nagaravāsanaṃ karonto viya bhikkhuniupassayaṃ gantvā, ‘‘dhammadinnaṃ pabbājethāyye’’ti āha. Bhikkhuniyo ‘‘ekaṃ vā dve vā dose sahituṃ vaṭṭati gahapatī’’ti āhaṃsu. Natthayye koci doso, saddhāya pabbajatīti. Athekā byattā therī tacapañcakakammaṭṭhānaṃ ācikkhitvā kese ohāretvā pabbājesi. Visākho, ‘‘abhiramayye, svākkhāto dhammo’’ti vanditvā pakkāmi.

    ตสฺสา ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชิฯ เตเนว ปลิพุทฺธา สมณธมฺมํ กาตุํ โอกาสํ น ลภติฯ อถาจริย-อุปชฺฌายเถริโย คเหตฺวา ชนปทํ คนฺตฺวา อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ จิตฺตรุจิตํ กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา สมณธมฺมํ กาตุํ อารทฺธา, อภินีหารสมฺปนฺนตฺตา ปน นาติจิรํ กิลมิตฺถฯ

    Tassā pabbajitadivasato paṭṭhāya lābhasakkāro uppajji. Teneva palibuddhā samaṇadhammaṃ kātuṃ okāsaṃ na labhati. Athācariya-upajjhāyatheriyo gahetvā janapadaṃ gantvā aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu cittarucitaṃ kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā samaṇadhammaṃ kātuṃ āraddhā, abhinīhārasampannattā pana nāticiraṃ kilamittha.

    อิโต ปฎฺฐาย หิ สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก ปทุมุตฺตโร นาม สตฺถา โลเก อุทปาทิฯ ตทา เอสา เอกสฺมิํ กุเล ทาสี หุตฺวา อตฺตโน เกเส วิกฺกิณิตฺวา สุชาตเตฺถรสฺส นาม อคฺคสาวกสฺส ทานํ ทตฺวา ปตฺถนมกาสิฯ สา ตาย ปตฺถนาภินีหารสมฺปตฺติยา นาติจิรํ กิลมิตฺถ, กติปาเหเนว อรหตฺตํ ปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เยนเตฺถน สาสเน ปพฺพชิตา, โส มตฺถกํ ปโตฺต, กิํ เม ชนปทวาเสน, มยฺหํ ญาตกาปิ ปุญฺญานิ กริสฺสนฺติ, ภิกฺขุนิสโงฺฆปิ ปจฺจเยหิ น กิลมิสฺสติ, ราชคหํ คจฺฉามี’’ติ ภิกฺขุนิสงฺฆํ คเหตฺวา ราชคหเมว อคมาสิฯ วิสาโข, ‘‘ธมฺมทินฺนา กิร อาคตา’’ติ สุตฺวา, ‘‘ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว ชนปทํ คตา, คนฺตฺวาปิ นจิรเสฺสว ปจฺจาคตา, กิํ นุ โข ภวิสฺสติ, คนฺตฺวา ชานิสฺสามี’’ติ ทุติยคมเนน ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข วิสาโข อุปาสโก เยน ธมฺมทินฺนา ภิกฺขุนี เตนุปสงฺกมี’’ติฯ

    Ito paṭṭhāya hi satasahassakappamatthake padumuttaro nāma satthā loke udapādi. Tadā esā ekasmiṃ kule dāsī hutvā attano kese vikkiṇitvā sujātattherassa nāma aggasāvakassa dānaṃ datvā patthanamakāsi. Sā tāya patthanābhinīhārasampattiyā nāticiraṃ kilamittha, katipāheneva arahattaṃ patvā cintesi – ‘‘ahaṃ yenatthena sāsane pabbajitā, so matthakaṃ patto, kiṃ me janapadavāsena, mayhaṃ ñātakāpi puññāni karissanti, bhikkhunisaṅghopi paccayehi na kilamissati, rājagahaṃ gacchāmī’’ti bhikkhunisaṅghaṃ gahetvā rājagahameva agamāsi. Visākho, ‘‘dhammadinnā kira āgatā’’ti sutvā, ‘‘pabbajitvā nacirasseva janapadaṃ gatā, gantvāpi nacirasseva paccāgatā, kiṃ nu kho bhavissati, gantvā jānissāmī’’ti dutiyagamanena bhikkhuniupassayaṃ agamāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho visākho upāsako yena dhammadinnā bhikkhunī tenupasaṅkamī’’ti.

    เอตทโวจาติ เอตํ สกฺกาโยติอาทิวจนํ อโวจฯ กสฺมา อโวจาติ? เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อภิรมสิ นาภิรมสิ, อเยฺย’’ติ เอวํ ปุจฺฉนํ นาม น ปณฺฑิตกิจฺจํ, ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธ อุปเนตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามิ, ปญฺหพฺยากรเณน ตสฺสา อภิรติํ วา อนภิรติํ วา ชานิสฺสามีติ, ตสฺมา อโวจฯ ตํ สุตฺวาว ธมฺมทินฺนา อหํ, อาวุโส วิสาข, อจิรปพฺพชิตา สกายํ วา ปรกายํ วา กุโต ชานิสฺสามีติ วา, อญฺญเตฺถริโย อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉาติ วา อวตฺวา อุปนิกฺขิตฺตํ สมฺปฎิจฺฉมานา วิย, เอกปาสกคณฺฐิํ โมเจนฺตี วิย คหนฎฺฐาเน หตฺถิมคฺคํ นีหรมานา วิย ขคฺคมุเขน สมุคฺคํ วิวรมานา วิย จ ปฎิสมฺภิทาวิสเย ฐตฺวา ปญฺหํ วิสฺสชฺชมานา, ปญฺจ โข อิเม, อาวุโส วิสาข, อุปาทานกฺขนฺธาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปญฺจาติ คณนปริเจฺฉโทฯ อุปาทานกฺขนฺธาติ อุปาทานานํ ปจฺจยภูตา ขนฺธาติ เอวมาทินา นเยเนตฺถ อุปาทานกฺขนฺธกถา วิตฺถาเรตฺวา กเถตพฺพาฯ สา ปเนสา วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตา เอวาติ ตตฺถ วิตฺตาริตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ สกฺกายสมุทยาทีสุปิ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตเมวฯ

    Etadavocāti etaṃ sakkāyotiādivacanaṃ avoca. Kasmā avocāti? Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘abhiramasi nābhiramasi, ayye’’ti evaṃ pucchanaṃ nāma na paṇḍitakiccaṃ, pañcupādānakkhandhe upanetvā pañhaṃ pucchissāmi, pañhabyākaraṇena tassā abhiratiṃ vā anabhiratiṃ vā jānissāmīti, tasmā avoca. Taṃ sutvāva dhammadinnā ahaṃ, āvuso visākha, acirapabbajitā sakāyaṃ vā parakāyaṃ vā kuto jānissāmīti vā, aññattheriyo upasaṅkamitvā pucchāti vā avatvā upanikkhittaṃ sampaṭicchamānā viya, ekapāsakagaṇṭhiṃ mocentī viya gahanaṭṭhāne hatthimaggaṃ nīharamānā viya khaggamukhena samuggaṃ vivaramānā viya ca paṭisambhidāvisaye ṭhatvā pañhaṃ vissajjamānā, pañca kho ime, āvuso visākha, upādānakkhandhātiādimāha. Tattha pañcāti gaṇanaparicchedo. Upādānakkhandhāti upādānānaṃ paccayabhūtā khandhāti evamādinā nayenettha upādānakkhandhakathā vitthāretvā kathetabbā. Sā panesā visuddhimagge vitthāritā evāti tattha vittāritanayeneva veditabbā. Sakkāyasamudayādīsupi yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā tattha tattha vuttameva.

    อิทํ ปน จตุสจฺจพฺยากรณํ สุตฺวา วิสาโข เถริยา อภิรตภาวํ อญฺญาสิฯ โย หิ พุทฺธสาสเน อุกฺกณฺฐิโต โหติ อนภิรโต, โส เอวํ ปุจฺฉิตปุจฺฉิตปญฺหํ สณฺฑาเสน เอเกกํ ปลิตํ คณฺหโนฺต วิย, สิเนรุปาทโต วาลุกํ อุทฺธรโนฺต วิย วิสฺสเชฺชตุํ น สโกฺกติฯ ยสฺมา ปน อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิ โลเก จนฺทิมสูริยา วิย พุทฺธสาสเน ปากฎานิ, ปริสมเชฺฌ คโต หิ ภควาปิ มหาเถราปิ สจฺจาเนว ปกาเสนฺติ; ภิกฺขุสโงฺฆปิ ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย กุลปุเตฺต จตฺตาริ นาม กิํ, จตฺตาริ อริยสจฺจานีติ ปญฺหํ อุคฺคณฺหาเปติฯ อยญฺจ ธมฺมทินฺนา อุปายโกสเลฺล ฐิตา ปณฺฑิตา พฺยตฺตา นยํ คเหตฺวา สุเตนปิ กเถตุํ สมตฺถา, ตสฺมา ‘‘น สกฺกา เอติสฺสา เอตฺตาวตา สจฺจานํ ปฎิวิทฺธภาโว ญาตุํ, สจฺจวินิโพฺภคปญฺหพฺยากรเณน สกฺกา ญาตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เหฎฺฐา กถิตานิ เทฺว สจฺจานิ ปฎินิวเตฺตตฺวา คุฬฺหํ กตฺวา คณฺฐิปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉโนฺต ตเญฺญว นุ โข, อเยฺยติอาทิมาหฯ

    Idaṃ pana catusaccabyākaraṇaṃ sutvā visākho theriyā abhiratabhāvaṃ aññāsi. Yo hi buddhasāsane ukkaṇṭhito hoti anabhirato, so evaṃ pucchitapucchitapañhaṃ saṇḍāsena ekekaṃ palitaṃ gaṇhanto viya, sinerupādato vālukaṃ uddharanto viya vissajjetuṃ na sakkoti. Yasmā pana imāni cattāri saccāni loke candimasūriyā viya buddhasāsane pākaṭāni, parisamajjhe gato hi bhagavāpi mahātherāpi saccāneva pakāsenti; bhikkhusaṅghopi pabbajitadivasato paṭṭhāya kulaputte cattāri nāma kiṃ, cattāri ariyasaccānīti pañhaṃ uggaṇhāpeti. Ayañca dhammadinnā upāyakosalle ṭhitā paṇḍitā byattā nayaṃ gahetvā sutenapi kathetuṃ samatthā, tasmā ‘‘na sakkā etissā ettāvatā saccānaṃ paṭividdhabhāvo ñātuṃ, saccavinibbhogapañhabyākaraṇena sakkā ñātu’’nti cintetvā heṭṭhā kathitāni dve saccāni paṭinivattetvā guḷhaṃ katvā gaṇṭhipañhaṃ pucchissāmīti pucchanto taññeva nu kho, ayyetiādimāha.

    ตสฺส วิสฺสชฺชเน น โข, อาวุโส วิสาข, ตเญฺญว อุปาทานนฺติ อุปาทานสฺส สงฺขารกฺขเนฺธกเทสภาวโต น ตํเยว อุปาทานํ เต ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา, นาปิ อญฺญตฺร ปญฺจหิ อุปาทานกฺขเนฺธหิ อุปาทานํฯ ยทิ หิ ตเญฺญว สิยา, รูปาทิสภาวมฺปิ อุปาทานํ สิยาฯ ยทิ อญฺญตฺร สิยา, ปรสมเย จิตฺตวิปฺปยุโตฺต อนุสโย วิย ปณฺณตฺติ วิย นิพฺพานํ วิย จ ขนฺธวินิมุตฺตํ วา สิยา, ฉโฎฺฐ วา ขโนฺธ ปญฺญเปตโพฺพ ภเวยฺย, ตสฺมา เอวํ พฺยากาสิฯ ตสฺสา พฺยากรณํ สุตฺวา ‘‘อธิคตปติฎฺฐา อย’’นฺติ วิสาโข นิฎฺฐมคมาสิฯ น หิ สกฺกา อขีณาสเวน อสมฺพเทฺธน อวิตฺถายเนฺตน ปทีปสหสฺสํ ชาเลเนฺตน วิย เอวรูโป คุโฬฺห ปฎิจฺฉโนฺน ติลกฺขณาหโต คมฺภีโร ปโญฺห วิสฺสเชฺชตุํฯ นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ปน, ‘‘อยํ ธมฺมทินฺนา สาสเน ลทฺธปติฎฺฐา อธิคตปฎิสมฺภิทา เวสารชฺชปฺปตฺตา ภวมตฺถเก ฐิตา มหาขีณาสวา, สมตฺถา มยฺหํ ปุจฺฉิตปญฺหํ กเถตุํ, อิทานิ ปน นํ โอวตฺติกสารํ ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ ปุจฺฉโนฺต, กถํ ปนาเยฺยติอาทิมาหฯ

    Tassa vissajjane na kho, āvuso visākha, taññeva upādānanti upādānassa saṅkhārakkhandhekadesabhāvato na taṃyeva upādānaṃ te pañcupādānakkhandhā, nāpi aññatra pañcahi upādānakkhandhehi upādānaṃ. Yadi hi taññeva siyā, rūpādisabhāvampi upādānaṃ siyā. Yadi aññatra siyā, parasamaye cittavippayutto anusayo viya paṇṇatti viya nibbānaṃ viya ca khandhavinimuttaṃ vā siyā, chaṭṭho vā khandho paññapetabbo bhaveyya, tasmā evaṃ byākāsi. Tassā byākaraṇaṃ sutvā ‘‘adhigatapatiṭṭhā aya’’nti visākho niṭṭhamagamāsi. Na hi sakkā akhīṇāsavena asambaddhena avitthāyantena padīpasahassaṃ jālentena viya evarūpo guḷho paṭicchanno tilakkhaṇāhato gambhīro pañho vissajjetuṃ. Niṭṭhaṃ gantvā pana, ‘‘ayaṃ dhammadinnā sāsane laddhapatiṭṭhā adhigatapaṭisambhidā vesārajjappattā bhavamatthake ṭhitā mahākhīṇāsavā, samatthā mayhaṃ pucchitapañhaṃ kathetuṃ, idāni pana naṃ ovattikasāraṃ pañhaṃ pucchissāmī’’ti cintetvā taṃ pucchanto, kathaṃ panāyyetiādimāha.

    ๔๖๑. ตสฺส วิสฺสชฺชเน อสฺสุตวาติอาทิ มูลปริยาเย วิตฺถาริตเมวฯ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ, ‘‘อิเธกโจฺจ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติฯ ยํ รูปํ โส อหํ, โย อหํ ตํ รูปนฺติ รูปญฺจ อตฺตญฺจ อทฺวยํ สมนุปสฺสติฯ เสยฺยถาปิ นาม เตลปฺปทีปสฺส ฌายโต ยา อจฺจิ โส วโณฺณ, โย วโณฺณ สา อจฺจีติ อจฺจิญฺจ วณฺณญฺจ อทฺวยํ สมนุปสฺสติฯ เอวเมว อิเธกโจฺจ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ…เป.… อทฺวยํ สมนุปสฺสตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๓๑) เอวํ รูปํ อตฺตาติ ทิฎฺฐิปสฺสนาย ปสฺสติฯ รูปวนฺตํ วา อตฺตานนฺติ อรูปํ อตฺตาติ คเหตฺวา ฉายาวนฺตํ รุกฺขํ วิย ตํ อตฺตานํ รูปวนฺตํ สมนุปสฺสติฯ อตฺตนิ วา รูปนฺติ อรูปเมว อตฺตาติ คเหตฺวา ปุปฺผสฺมิํ คนฺธํ วิย อตฺตนิ รูปํ สมนุปสฺสติฯ รูปสฺมิํ วา อตฺตานนฺติ อรูปเมว อตฺตาติ คเหตฺวา กรณฺฑาย มณิํ วิย อตฺตานํ รูปสฺมิํ สมนุปสฺสติฯ เวทนํ อตฺตโตติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    461. Tassa vissajjane assutavātiādi mūlapariyāye vitthāritameva. Rūpaṃ attato samanupassatīti, ‘‘idhekacco rūpaṃ attato samanupassati. Yaṃ rūpaṃ so ahaṃ, yo ahaṃ taṃ rūpanti rūpañca attañca advayaṃ samanupassati. Seyyathāpi nāma telappadīpassa jhāyato yā acci so vaṇṇo, yo vaṇṇo sā accīti acciñca vaṇṇañca advayaṃ samanupassati. Evameva idhekacco rūpaṃ attato samanupassati…pe… advayaṃ samanupassatī’’ti (paṭi. ma. 1.131) evaṃ rūpaṃ attāti diṭṭhipassanāya passati. Rūpavantaṃ vā attānanti arūpaṃ attāti gahetvā chāyāvantaṃ rukkhaṃ viya taṃ attānaṃ rūpavantaṃ samanupassati. Attani vā rūpanti arūpameva attāti gahetvā pupphasmiṃ gandhaṃ viya attani rūpaṃ samanupassati. Rūpasmiṃ vā attānanti arūpameva attāti gahetvā karaṇḍāya maṇiṃ viya attānaṃ rūpasmiṃ samanupassati. Vedanaṃ attatotiādīsupi eseva nayo.

    ตตฺถ, รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ สุทฺธรูปเมว อตฺตาติ กถิตํฯ รูปวนฺตํ วา อตฺตานํ, อตฺตนิ วา รูปํ, รูปสฺมิํ วา อตฺตานํฯ เวทนํ อตฺตโต… สญฺญํ… สงฺขาเร… วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ อิเมสุ สตฺตสุ ฐาเนสุ อรูปํ อตฺตาติ กถิตํฯ เวทนาวนฺตํ วา อตฺตานํ, อตฺตนิ วา เวทนํ, เวทนาย วา อตฺตานนฺติ เอวํ จตูสุ ขเนฺธสุ ติณฺณํ ติณฺณํ วเสน ทฺวาทสสุ ฐาเนสุ รูปารูปมิสฺสโก อตฺตา กถิโตฯ ตตฺถ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ… เวทนํ… สญฺญํ… สงฺขาเร… วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ อิเมสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ อุเจฺฉททิฎฺฐิ กถิตา, อวเสเสสุ สสฺสตทิฎฺฐีติฯ เอวเมตฺถ ปนฺนรส ภวทิฎฺฐิโย, ปญฺจ วิภวทิฎฺฐิโย โหนฺติฯ น รูปํ อตฺตโตติ เอตฺถ รูปํ อตฺตาติ น สมนุปสฺสติฯ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ ปน สมนุปสฺสติฯ น รูปวนฺตํ อตฺตานํ…เป.… น วิญฺญาณสฺมิํ อตฺตานนฺติ อิเม ปญฺจกฺขเนฺธ เกนจิ ปริยาเยน อตฺตโต น สมนุปสฺสติ, สพฺพากาเรน ปน อนิจฺจา ทุกฺขา อนตฺตาติ สมนุปสฺสติฯ

    Tattha, rūpaṃ attato samanupassatīti suddharūpameva attāti kathitaṃ. Rūpavantaṃ vā attānaṃ, attani vā rūpaṃ, rūpasmiṃ vā attānaṃ. Vedanaṃ attato… saññaṃ… saṅkhāre… viññāṇaṃ attato samanupassatīti imesu sattasu ṭhānesu arūpaṃ attāti kathitaṃ. Vedanāvantaṃ vā attānaṃ, attani vā vedanaṃ, vedanāya vā attānanti evaṃ catūsu khandhesu tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ vasena dvādasasu ṭhānesu rūpārūpamissako attā kathito. Tattha rūpaṃ attato samanupassati… vedanaṃ… saññaṃ… saṅkhāre… viññāṇaṃ attato samanupassatīti imesu pañcasu ṭhānesu ucchedadiṭṭhi kathitā, avasesesu sassatadiṭṭhīti. Evamettha pannarasa bhavadiṭṭhiyo, pañca vibhavadiṭṭhiyo honti. Na rūpaṃ attatoti ettha rūpaṃ attāti na samanupassati. Aniccaṃ dukkhaṃ anattāti pana samanupassati. Na rūpavantaṃ attānaṃ…pe… na viññāṇasmiṃ attānanti ime pañcakkhandhe kenaci pariyāyena attato na samanupassati, sabbākārena pana aniccā dukkhā anattāti samanupassati.

    เอตฺตาวตา เถริยา, ‘‘เอวํ โข, อาวุโส วิสาข, สกฺกายทิฎฺฐิ โหตี’’ติ เอวํ ปุริมปญฺหํ วิสฺสเชฺชนฺติยา เอตฺตเกน คมนํ โหติ, อาคมนํ โหติ, คมนาคมนํ โหติ, วฎฺฎํ วตฺตตีติ วฎฺฎํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทสฺสิตํฯ เอวํ โข, อาวุโส วิสาข, สกฺกายทิฎฺฐิ น โหตีติ ปจฺฉิมํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชนฺติยา เอตฺตเกน คมนํ น โหติ, อาคมนํ น โหติ, คมนาคมนํ น โหติ, วฎฺฎํ นาม น วตฺตตีติ วิวฎฺฎํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทสฺสิตํฯ

    Ettāvatā theriyā, ‘‘evaṃ kho, āvuso visākha, sakkāyadiṭṭhi hotī’’ti evaṃ purimapañhaṃ vissajjentiyā ettakena gamanaṃ hoti, āgamanaṃ hoti, gamanāgamanaṃ hoti, vaṭṭaṃ vattatīti vaṭṭaṃ matthakaṃ pāpetvā dassitaṃ. Evaṃ kho, āvuso visākha, sakkāyadiṭṭhi na hotīti pacchimaṃ pañhaṃ vissajjentiyā ettakena gamanaṃ na hoti, āgamanaṃ na hoti, gamanāgamanaṃ na hoti, vaṭṭaṃ nāma na vattatīti vivaṭṭaṃ matthakaṃ pāpetvā dassitaṃ.

    ๔๖๒. กตโม ปนาเยฺย, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺคติ อยํ ปโญฺห เถริยา ปฎิปุจฺฉิตฺวา วิสฺสเชฺชตโพฺพ ภเวยฺย – ‘‘อุปาสก, ตยา เหฎฺฐา มโคฺค ปุจฺฉิโต, อิธ กสฺมา มคฺคเมว ปุจฺฉสี’’ติฯ สา ปน อตฺตโน พฺยตฺตตาย ปณฺฑิเจฺจน ตสฺส อธิปฺปายํ สลฺลเกฺขสิ – ‘‘อิมินา อุปาสเกน เหฎฺฐา ปฎิปตฺติวเสน มโคฺค ปุจฺฉิโต ภวิสฺสติ, อิธ ปน ตํ สงฺขตาสงฺขตโลกิยโลกุตฺตรสงฺคหิตาสงฺคหิตวเสน ปุจฺฉิตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติฯ ตสฺมา อปฺปฎิปุจฺฉิตฺวาว ยํ ยํ ปุจฺฉิ, ตํ ตํ วิสฺสเชฺชสิฯ ตตฺถ สงฺขโตติ เจติโต กปฺปิโต ปกปฺปิโต อายูหิโต กโต นิพฺพตฺติโต สมาปชฺชเนฺตน สมาปชฺชิตโพฺพฯ ตีหิ จ โข, อาวุโส วิสาข, ขเนฺธหิ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค สงฺคหิโตติ เอตฺถ ยสฺมา มโคฺค สปฺปเทโส, ตโย ขนฺธา นิปฺปเทสา, ตสฺมา อยํ สปฺปเทสตฺตา นครํ วิย รเชฺชน นิปฺปเทเสหิ ตีหิ ขเนฺธหิ สงฺคหิโตฯ ตตฺถ สมฺมาวาจาทโย ตโย สีลเมว, ตสฺมา เต สชาติโต สีลกฺขเนฺธน สงฺคหิตาติฯ กิญฺจาปิ หิ ปาฬิยํ สีลกฺขเนฺธติ ภุเมฺมน วิย นิเทฺทโส กโต, อโตฺถ ปน กรณวเสน เวทิตโพฺพฯ สมฺมาวายามาทีสุ ปน ตีสุ สมาธิ อตฺตโน ธมฺมตาย อารมฺมเณ เอกคฺคภาเวน อเปฺปตุํ น สโกฺกติฯ วีริเย ปน ปคฺคหกิจฺจํ สาเธเนฺต สติยา จ อปิลาปนกิจฺจํ สาเธนฺติยา ลทฺธูปกาโร หุตฺวา สโกฺกติฯ

    462.Katamo panāyye, ariyo aṭṭhaṅgiko maggoti ayaṃ pañho theriyā paṭipucchitvā vissajjetabbo bhaveyya – ‘‘upāsaka, tayā heṭṭhā maggo pucchito, idha kasmā maggameva pucchasī’’ti. Sā pana attano byattatāya paṇḍiccena tassa adhippāyaṃ sallakkhesi – ‘‘iminā upāsakena heṭṭhā paṭipattivasena maggo pucchito bhavissati, idha pana taṃ saṅkhatāsaṅkhatalokiyalokuttarasaṅgahitāsaṅgahitavasena pucchitukāmo bhavissatī’’ti. Tasmā appaṭipucchitvāva yaṃ yaṃ pucchi, taṃ taṃ vissajjesi. Tattha saṅkhatoti cetito kappito pakappito āyūhito kato nibbattito samāpajjantena samāpajjitabbo. Tīhi ca kho, āvuso visākha, khandhehi ariyo aṭṭhaṅgiko maggo saṅgahitoti ettha yasmā maggo sappadeso, tayo khandhā nippadesā, tasmā ayaṃ sappadesattā nagaraṃ viya rajjena nippadesehi tīhi khandhehi saṅgahito. Tattha sammāvācādayo tayo sīlameva, tasmā te sajātito sīlakkhandhena saṅgahitāti. Kiñcāpi hi pāḷiyaṃ sīlakkhandheti bhummena viya niddeso kato, attho pana karaṇavasena veditabbo. Sammāvāyāmādīsu pana tīsu samādhi attano dhammatāya ārammaṇe ekaggabhāvena appetuṃ na sakkoti. Vīriye pana paggahakiccaṃ sādhente satiyā ca apilāpanakiccaṃ sādhentiyā laddhūpakāro hutvā sakkoti.

    ตตฺรายํ อุปมา – ยถา หิ ‘‘นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามา’’ติ อุยฺยานํ ปวิเฎฺฐสุ ตีสุ สหาเยสุ เอโก สุปุปฺผิตํ จมฺปกรุกฺขํ ทิสฺวา หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวาปิ คเหตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ อถสฺส ทุติโย โอนมิตฺวา ปิฎฺฐิํ ทเทยฺย, โส ตสฺส ปิฎฺฐิยํ ฐตฺวาปิ กมฺปมาโน คเหตุํ น สกฺกุเณยฺย ฯ อถสฺส อิตโร อํสกูฎํ อุปนาเมยฺย, โส เอกสฺส ปิฎฺฐิยํ ฐตฺวา เอกสฺส อํสกูฎํ โอลุพฺภ ยถารุจิ ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ปิฬนฺธิตฺวา นกฺขตฺตํ กีเฬยฺยฯ เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอกโต อุยฺยานํ ปวิฎฺฐา ตโย สหายกา วิย หิ เอกโต ชาตา สมฺมาวายามาทโย ตโย ธมฺมาฯ สุปุปฺผิตจมฺปโก วิย อารมฺมณํฯ หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวาปิ คเหตุํ อสโกฺกโนฺต วิย อตฺตโน ธมฺมตาย อารมฺมเณ เอกคฺคภาเวน อเปฺปตุํ อสโกฺกโนฺต สมาธิฯ ปิฎฺฐิํ ทตฺวา โอนตสหาโย วิย วายาโมฯ อํสกูฎํ ทตฺวา ฐิตสหาโย วิย สติฯ ยถา เตสุ เอกสฺส ปิฎฺฐิยํ ฐตฺวา เอกสฺส อํสกูฎํ โอลุพฺภ อิตโร ยถารุจิ ปุปฺผํ คเหตุํ สโกฺกติ, เอวเมวํ วีริเย ปคฺคหกิจฺจํ สาเธเนฺต, สติยา จ อปิลาปนกิจฺจํ สาเธนฺติยา ลทฺธุปกาโร สมาธิ สโกฺกติ อารมฺมเณ เอกคฺคภาเวน อเปฺปตุํฯ ตสฺมา สมาธิเยเวตฺถ สชาติโต สมาธิกฺขเนฺธน สงฺคหิโตฯ วายามสติโย ปน กิริยโต สงฺคหิตา โหนฺติฯ

    Tatrāyaṃ upamā – yathā hi ‘‘nakkhattaṃ kīḷissāmā’’ti uyyānaṃ paviṭṭhesu tīsu sahāyesu eko supupphitaṃ campakarukkhaṃ disvā hatthaṃ ukkhipitvāpi gahetuṃ na sakkuṇeyya. Athassa dutiyo onamitvā piṭṭhiṃ dadeyya, so tassa piṭṭhiyaṃ ṭhatvāpi kampamāno gahetuṃ na sakkuṇeyya . Athassa itaro aṃsakūṭaṃ upanāmeyya, so ekassa piṭṭhiyaṃ ṭhatvā ekassa aṃsakūṭaṃ olubbha yathāruci pupphāni ocinitvā piḷandhitvā nakkhattaṃ kīḷeyya. Evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. Ekato uyyānaṃ paviṭṭhā tayo sahāyakā viya hi ekato jātā sammāvāyāmādayo tayo dhammā. Supupphitacampako viya ārammaṇaṃ. Hatthaṃ ukkhipitvāpi gahetuṃ asakkonto viya attano dhammatāya ārammaṇe ekaggabhāvena appetuṃ asakkonto samādhi. Piṭṭhiṃ datvā onatasahāyo viya vāyāmo. Aṃsakūṭaṃ datvā ṭhitasahāyo viya sati. Yathā tesu ekassa piṭṭhiyaṃ ṭhatvā ekassa aṃsakūṭaṃ olubbha itaro yathāruci pupphaṃ gahetuṃ sakkoti, evamevaṃ vīriye paggahakiccaṃ sādhente, satiyā ca apilāpanakiccaṃ sādhentiyā laddhupakāro samādhi sakkoti ārammaṇe ekaggabhāvena appetuṃ. Tasmā samādhiyevettha sajātito samādhikkhandhena saṅgahito. Vāyāmasatiyo pana kiriyato saṅgahitā honti.

    สมฺมาทิฎฺฐิสมฺมาสงฺกเปฺปสุปิ ปญฺญา อตฺตโน ธมฺมตาย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ อารมฺมณํ นิเจฺฉตุํ น สโกฺกติ, วิตเกฺก ปน อาโกเฎตฺวา อาโกเฎตฺวา เทเนฺต สโกฺกติฯ กถํ? ยถา หิ เหรญฺญิโก กหาปณํ หเตฺถ ฐเปตฺวา สพฺพภาเคสุ โอโลเกตุกาโม สมาโนปิ น จกฺขุทเลเนว ปริวเตฺตตุํ สโกฺกติ, องฺคุลิปเพฺพหิ ปน ปริวเตฺตตฺวา อิโต จิโต จ โอโลเกตุํ สโกฺกติฯ เอวเมว น ปญฺญา อตฺตโน ธมฺมตาย อนิจฺจาทิวเสน อารมฺมณํ นิเจฺฉตุํ สโกฺกติ, อภินิโรปนลกฺขเณน ปน อาหนนปริยาหนนรเสน วิตเกฺกน อาโกเฎเนฺตน วิย ปริวเตฺตเนฺตน วิย จ อาทายา ทินฺนเมว วินิเจฺฉตุํ สโกฺกติฯ ตสฺมา อิธาปิ สมฺมาทิฎฺฐิเยว สชาติโต ปญฺญากฺขเนฺธน สงฺคหิตาฯ สมฺมาสงฺกโปฺป ปน กิริยโต สงฺคหิโต โหติฯ อิติ อิเมหิ ตีหิ ขเนฺธหิ มโคฺค สงฺคหํ คจฺฉติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ตีหิ จ โข, อาวุโส วิสาข, ขเนฺธหิ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค สงฺคหิโต’’ติฯ

    Sammādiṭṭhisammāsaṅkappesupi paññā attano dhammatāya aniccaṃ dukkhaṃ anattāti ārammaṇaṃ nicchetuṃ na sakkoti, vitakke pana ākoṭetvā ākoṭetvā dente sakkoti. Kathaṃ? Yathā hi heraññiko kahāpaṇaṃ hatthe ṭhapetvā sabbabhāgesu oloketukāmo samānopi na cakkhudaleneva parivattetuṃ sakkoti, aṅgulipabbehi pana parivattetvā ito cito ca oloketuṃ sakkoti. Evameva na paññā attano dhammatāya aniccādivasena ārammaṇaṃ nicchetuṃ sakkoti, abhiniropanalakkhaṇena pana āhananapariyāhananarasena vitakkena ākoṭentena viya parivattentena viya ca ādāyā dinnameva vinicchetuṃ sakkoti. Tasmā idhāpi sammādiṭṭhiyeva sajātito paññākkhandhena saṅgahitā. Sammāsaṅkappo pana kiriyato saṅgahito hoti. Iti imehi tīhi khandhehi maggo saṅgahaṃ gacchati. Tena vuttaṃ – ‘‘tīhi ca kho, āvuso visākha, khandhehi ariyo aṭṭhaṅgiko maggo saṅgahito’’ti.

    อิทานิ เอกจิตฺตกฺขณิกํ มคฺคสมาธิํ สนิมิตฺตํ สปริกฺขารํ ปุจฺฉโนฺต, กตโม ปนาเยฺยติอาทิมาหฯ ตสฺส วิสฺสชฺชเน จตฺตาโร สติปฎฺฐานา มคฺคกฺขเณ จตุกิจฺจสาธนวเสน อุปฺปนฺนา สติ, สา สมาธิสฺส ปจฺจยเตฺถน นิมิตฺตํฯ จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา จตุกิจฺจสาธนวเสเนว อุปฺปนฺนํ วีริยํ, ตํ ปริวารเฎฺฐน ปริกฺขาโร โหติฯ เตสํเยว ธมฺมานนฺติ เตสํ มคฺคสมฺปยุตฺตธมฺมานํฯ อาเสวนาติอาทีสุ เอกจิตฺตกฺขณิกาเยว อาเสวนาทโย วุตฺตาติฯ

    Idāni ekacittakkhaṇikaṃ maggasamādhiṃ sanimittaṃ saparikkhāraṃ pucchanto, katamo panāyyetiādimāha. Tassa vissajjane cattāro satipaṭṭhānā maggakkhaṇe catukiccasādhanavasena uppannā sati, sā samādhissa paccayatthena nimittaṃ. Cattāro sammappadhānā catukiccasādhanavaseneva uppannaṃ vīriyaṃ, taṃ parivāraṭṭhena parikkhāro hoti. Tesaṃyeva dhammānanti tesaṃ maggasampayuttadhammānaṃ. Āsevanātiādīsu ekacittakkhaṇikāyeva āsevanādayo vuttāti.

    วิตณฺฑวาที ปน, ‘‘เอกจิตฺตกฺขณิโก นาม มโคฺค นตฺถิ, ‘เอวํ ภาเวยฺย สตฺต วสฺสานี’ติ หิ วจนโต สตฺตปิ วสฺสานิ มคฺคภาวนา โหติ, กิเลสา ปน ลหุ ฉิชฺชนฺตา สตฺตหิ ญาเณหิ ฉิชฺชนฺตี’’ติ วทติฯ โส ‘‘สุตฺตํ อาหรา’’ติ วตฺตโพฺพฯ อทฺธา อญฺญํ อปสฺสโนฺต, ‘‘ยา เตสํเยว ธมฺมานํ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกมฺม’’นฺติ อิทเมว สุตฺตํ อาหริตฺวา, ‘‘อเญฺญน จิเตฺตน อาเสวติ, อเญฺญน ภาเวติ, อเญฺญน พหุลีกโรตี’’ติ วกฺขติฯ ตโต วตฺตโพฺพ – ‘‘กิํ ปนิทํ, สุตฺตํ เนยฺยตฺถํ นีตตฺถ’’นฺติฯ ตโต วกฺขติ – ‘‘นีตตฺถํ ยถา สุตฺตํ ตเถว อโตฺถ’’ติฯ ตสฺส อิทํ อุตฺตรํ – เอวํ สเนฺต เอกํ จิตฺตํ อาเสวมานํ อุปฺปนฺนํ, อปรมฺปิ อาเสวมานํ, อปรมฺปิ อาเสวมานนฺติ เอวํ ทิวสมฺปิ อาเสวนาว ภวิสฺสติ, กุโต ภาวนา, กุโต พหุลีกมฺมํ? เอกํ วา ภาวยมานํ อุปฺปนฺนํ อปรมฺปิ ภาวยมานํ อปรมฺปิ ภาวยมานนฺติ เอวํ ทิวสมฺปิ ภาวนาว ภวิสฺสติ, กุโต อาเสวนา กุโต พหุลีกมฺมํ? เอกํ วา พหุลีกโรนฺตํ อุปฺปนฺนํ, อปรมฺปิ พหุลีกโรนฺตํ, อปรมฺปิ พหุลีกโรนฺตนฺติ เอวํ ทิวสมฺปิ พหุลีกมฺมเมว ภวิสฺสติ กุโต อาเสวนา, กุโต ภาวนาติฯ

    Vitaṇḍavādī pana, ‘‘ekacittakkhaṇiko nāma maggo natthi, ‘evaṃ bhāveyya satta vassānī’ti hi vacanato sattapi vassāni maggabhāvanā hoti, kilesā pana lahu chijjantā sattahi ñāṇehi chijjantī’’ti vadati. So ‘‘suttaṃ āharā’’ti vattabbo. Addhā aññaṃ apassanto, ‘‘yā tesaṃyeva dhammānaṃ āsevanā bhāvanā bahulīkamma’’nti idameva suttaṃ āharitvā, ‘‘aññena cittena āsevati, aññena bhāveti, aññena bahulīkarotī’’ti vakkhati. Tato vattabbo – ‘‘kiṃ panidaṃ, suttaṃ neyyatthaṃ nītattha’’nti. Tato vakkhati – ‘‘nītatthaṃ yathā suttaṃ tatheva attho’’ti. Tassa idaṃ uttaraṃ – evaṃ sante ekaṃ cittaṃ āsevamānaṃ uppannaṃ, aparampi āsevamānaṃ, aparampi āsevamānanti evaṃ divasampi āsevanāva bhavissati, kuto bhāvanā, kuto bahulīkammaṃ? Ekaṃ vā bhāvayamānaṃ uppannaṃ aparampi bhāvayamānaṃ aparampi bhāvayamānanti evaṃ divasampi bhāvanāva bhavissati, kuto āsevanā kuto bahulīkammaṃ? Ekaṃ vā bahulīkarontaṃ uppannaṃ, aparampi bahulīkarontaṃ, aparampi bahulīkarontanti evaṃ divasampi bahulīkammameva bhavissati kuto āsevanā, kuto bhāvanāti.

    อถ วา เอวํ วเทยฺย – ‘‘เอเกน จิเตฺตน อาเสวติ, ทฺวีหิ ภาเวติ, ตีหิ พหุลีกโรติฯ ทฺวีหิ วา อาเสวติ, ตีหิ ภาเวติ, เอเกน พหุลีกโรติ ฯ ตีหิ วา อาเสวติ, เอเกน ภาเวติ, ทฺวีหิ พหุลีกโรตี’’ติฯ โส วตฺตโพฺพ – ‘‘มา สุตฺตํ เม ลทฺธนฺติ ยํ วา ตํ วา อวจฯ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชเนฺตน นาม อาจริยสฺส สนฺติเก วสิตฺวา พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา อตฺถรสํ วิทิตฺวา วตฺตพฺพํ โหติฯ เอกจิตฺตกฺขณิกาว อยํ อาเสวนา, เอกจิตฺตกฺขณิกา ภาวนา, เอกจิตฺตกฺขณิกํ พหุลีกมฺมํฯ ขยคามิโลกุตฺตรมโคฺค พหุลจิตฺตกฺขณิโก นาม นตฺถิ, ‘เอกจิตฺตกฺขณิโกเยวา’ติ สญฺญาเปตโพฺพฯ สเจ สญฺชานาติ, สญฺชานาตุ, โน เจ สญฺชานาติ, คจฺฉ ปาโตว วิหารํ ปวิสิตฺวา ยาคุํ ปิวาหี’’ติ อุโยฺยเชตโพฺพฯ

    Atha vā evaṃ vadeyya – ‘‘ekena cittena āsevati, dvīhi bhāveti, tīhi bahulīkaroti. Dvīhi vā āsevati, tīhi bhāveti, ekena bahulīkaroti . Tīhi vā āsevati, ekena bhāveti, dvīhi bahulīkarotī’’ti. So vattabbo – ‘‘mā suttaṃ me laddhanti yaṃ vā taṃ vā avaca. Pañhaṃ vissajjentena nāma ācariyassa santike vasitvā buddhavacanaṃ uggaṇhitvā attharasaṃ viditvā vattabbaṃ hoti. Ekacittakkhaṇikāva ayaṃ āsevanā, ekacittakkhaṇikā bhāvanā, ekacittakkhaṇikaṃ bahulīkammaṃ. Khayagāmilokuttaramaggo bahulacittakkhaṇiko nāma natthi, ‘ekacittakkhaṇikoyevā’ti saññāpetabbo. Sace sañjānāti, sañjānātu, no ce sañjānāti, gaccha pātova vihāraṃ pavisitvā yāguṃ pivāhī’’ti uyyojetabbo.

    ๔๖๓. กติ ปนาเยฺย สงฺขาราติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? เย สงฺขาเร นิโรเธตฺวา นิโรธํ สมาปชฺชติ, เต ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ เตเนวสฺส อธิปฺปายํ ญตฺวา เถรี, ปุญฺญาภิสงฺขาราทีสุ อเนเกสุ สงฺขาเรสุ วิชฺชมาเนสุปิ, กายสงฺขาราทโยว อาจิกฺขนฺตี, ตโยเม , อาวุโสติอาทิมาหฯ ตตฺถ กายปฎิพทฺธตฺตา กาเยน สงฺขรียติ กรียติ นิพฺพตฺตียตีติ กายสงฺขาโรฯ วาจํ สงฺขโรติ กโรติ นิพฺพเตฺตตีติ วจีสงฺขาโรฯ จิตฺตปฎิพทฺธตฺตา จิเตฺตน สงฺขรียติ กรียติ นิพฺพตฺตียตีติ จิตฺตสงฺขาโรฯ กตโม ปนาเยฺยติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? อิเม สงฺขารา อญฺญมญฺญมิสฺสา อาลุฬิตา อวิภูตา ทุทฺทีปนาฯ ตถา หิ, กายทฺวาเร อาทานคหณมุญฺจนโจปนานิ ปาเปตฺวา อุปฺปนฺนา อฎฺฐ กามาวจรกุสลเจตนา ทฺวาทส อกุสลเจตนาติ เอวํ กุสลากุสลา วีสติ เจตนาปิ อสฺสาสปสฺสาสาปิ กายสงฺขาราเตฺวว วุจฺจนฺติฯ วจีทฺวาเร หนุสํโจปนํ วจีเภทํ ปาเปตฺวา อุปฺปนฺนา วุตฺตปฺปการาว วีสติ เจตนาปิ วิตกฺกวิจาราปิ วจีสงฺขาโรเตฺวว วุจฺจนฺติฯ กายวจีทฺวาเรสุ โจปนํ อปตฺตา รโห นิสินฺนสฺส จินฺตยโต อุปฺปนฺนา กุสลากุสลา เอกูนติํส เจตนาปิ สญฺญา จ เวทนา จาติ อิเม เทฺว ธมฺมาปิ จิตฺตสงฺขาโรเตฺวว วุจฺจนฺติฯ เอวํ อิเม สงฺขารา อญฺญมญฺญมิสฺสา อาลุฬิตา อวิภูตา ทุทฺทีปนาฯ เต ปากเฎ วิภูเต กตฺวา กถาเปสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ

    463.Kati panāyye saṅkhārāti idha kiṃ pucchati? Ye saṅkhāre nirodhetvā nirodhaṃ samāpajjati, te pucchissāmīti pucchati. Tenevassa adhippāyaṃ ñatvā therī, puññābhisaṅkhārādīsu anekesu saṅkhāresu vijjamānesupi, kāyasaṅkhārādayova ācikkhantī, tayome, āvusotiādimāha. Tattha kāyapaṭibaddhattā kāyena saṅkharīyati karīyati nibbattīyatīti kāyasaṅkhāro. Vācaṃ saṅkharoti karoti nibbattetīti vacīsaṅkhāro. Cittapaṭibaddhattā cittena saṅkharīyati karīyati nibbattīyatīti cittasaṅkhāro. Katamo panāyyeti idha kiṃ pucchati? Ime saṅkhārā aññamaññamissā āluḷitā avibhūtā duddīpanā. Tathā hi, kāyadvāre ādānagahaṇamuñcanacopanāni pāpetvā uppannā aṭṭha kāmāvacarakusalacetanā dvādasa akusalacetanāti evaṃ kusalākusalā vīsati cetanāpi assāsapassāsāpi kāyasaṅkhārātveva vuccanti. Vacīdvāre hanusaṃcopanaṃ vacībhedaṃ pāpetvā uppannā vuttappakārāva vīsati cetanāpi vitakkavicārāpi vacīsaṅkhārotveva vuccanti. Kāyavacīdvāresu copanaṃ apattā raho nisinnassa cintayato uppannā kusalākusalā ekūnatiṃsa cetanāpi saññā ca vedanā cāti ime dve dhammāpi cittasaṅkhārotveva vuccanti. Evaṃ ime saṅkhārā aññamaññamissā āluḷitā avibhūtā duddīpanā. Te pākaṭe vibhūte katvā kathāpessāmīti pucchati.

    กสฺมา ปนาเยฺยติ อิธ กายสงฺขาราทินามสฺส ปทตฺถํ ปุจฺฉติฯ ตสฺส วิสฺสชฺชเน กายปฺปฎิพทฺธาติ กายนิสฺสิตา, กาเย สติ โหนฺติ, อสติ น โหนฺติฯ จิตฺตปฺปฎิพทฺธาติ จิตฺตนิสฺสิตา, จิเตฺต สติ โหนฺติ, อสติ น โหนฺติฯ

    Kasmā panāyyeti idha kāyasaṅkhārādināmassa padatthaṃ pucchati. Tassa vissajjane kāyappaṭibaddhāti kāyanissitā, kāye sati honti, asati na honti. Cittappaṭibaddhāti cittanissitā, citte sati honti, asati na honti.

    ๔๖๔. อิทานิ กิํ นุ โข เอสา สญฺญาเวทยิตนิโรธํ วลเญฺชติ, น วลเญฺชติฯ จิณฺณวสี วา ตตฺถ โน จิณฺณวสีติ ชานนตฺถํ ปุจฺฉโนฺต, กถํ ปนาเยฺย, สญฺญาเวทยิตนิโรธสมาปตฺติ โหตีติอาทิมาหฯ ตสฺส วิสฺสชฺชเน สมาปชฺชิสฺสนฺติ วา สมาปชฺชามีติ วา ปททฺวเยน เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติกาโล กถิโตฯ สมาปโนฺนติ ปเทน อโนฺตนิโรโธฯ ตถา ปุริเมหิ ทฺวีหิ ปเทหิ สจิตฺตกกาโล กถิโต, ปจฺฉิเมน อจิตฺตกกาโลฯ ปุเพฺพว ตถา จิตฺตํ ภาวิตํ โหตีติ นิโรธสมาปตฺติโต ปุเพฺพ อทฺธานปริเจฺฉทกาเลเยว, เอตฺตกํ กาลํ อจิตฺตโก ภวิสฺสามีติ อทฺธานปริเจฺฉทจิตฺตํ ภาวิตํ โหติฯ ยํ ตํ ตถตฺตาย อุปเนตีติ ยํ เอวํ ภาวิตํ จิตฺตํ, ตํ ปุคฺคลํ ตถตฺตาย อจิตฺตกภาวาย อุปเนติฯ

    464. Idāni kiṃ nu kho esā saññāvedayitanirodhaṃ valañjeti, na valañjeti. Ciṇṇavasī vā tattha no ciṇṇavasīti jānanatthaṃ pucchanto, kathaṃ panāyye, saññāvedayitanirodhasamāpatti hotītiādimāha. Tassa vissajjane samāpajjissanti vā samāpajjāmīti vā padadvayena nevasaññānāsaññāyatanasamāpattikālo kathito. Samāpannoti padena antonirodho. Tathā purimehi dvīhi padehi sacittakakālo kathito, pacchimena acittakakālo. Pubbeva tathā cittaṃ bhāvitaṃ hotīti nirodhasamāpattito pubbe addhānaparicchedakāleyeva, ettakaṃ kālaṃ acittako bhavissāmīti addhānaparicchedacittaṃ bhāvitaṃ hoti. Yaṃ taṃ tathattāya upanetīti yaṃ evaṃ bhāvitaṃ cittaṃ, taṃ puggalaṃ tathattāya acittakabhāvāya upaneti.

    ปฐมํ นิรุชฺฌติ วจีสงฺขาโรติ เสสสงฺขาเรหิ ปฐมํ ทุติยชฺฌาเนเยว นิรุชฺฌติฯ ตโต กายสงฺขาโรติ ตโต ปรํ กายสงฺขาโร จตุตฺถชฺฌาเน นิรุชฺฌติฯ ตโต จิตฺตสงฺขาโรติ ตโต ปรํ จิตฺตสงฺขาโร อโนฺตนิโรเธ นิรุชฺฌติฯ วุฎฺฐหิสฺสนฺติ วา วุฎฺฐหามีติ วา ปททฺวเยน อโนฺตนิโรธกาโล กถิโตฯ วุฎฺฐิโตติ ปเทน ผลสมาปตฺติกาโลฯ ตถา ปุริเมหิ ทฺวีหิ ปเทหิ อจิตฺตกกาโล กถิโต, ปจฺฉิเมน สจิตฺตกกาโลฯ ปุเพฺพว ตถา จิตฺตํ ภาวิตํ โหตีติ นิโรธสมาปตฺติโต ปุเพฺพ อทฺธานปริเจฺฉทกาเลเยว เอตฺตกํ กาลํ อจิตฺตโก หุตฺวา ตโต ปรํ สจิตฺตโก ภวิสฺสามีติ อทฺธานปริเจฺฉทจิตฺตํ ภาวิตํ โหติฯ ยํ ตํ ตถตฺตาย อุปเนตีติ ยํ เอวํ ภาวิตํ จิตฺตํ, ตํ ปุคฺคลํ ตถตฺตาย สจิตฺตกภาวาย อุปเนติฯ อิติ เหฎฺฐา นิโรธสมาปชฺชนกาโล คหิโต, อิธ นิโรธโต วุฎฺฐานกาโลฯ

    Paṭhamaṃ nirujjhati vacīsaṅkhāroti sesasaṅkhārehi paṭhamaṃ dutiyajjhāneyeva nirujjhati. Tato kāyasaṅkhāroti tato paraṃ kāyasaṅkhāro catutthajjhāne nirujjhati. Tato cittasaṅkhāroti tato paraṃ cittasaṅkhāro antonirodhe nirujjhati. Vuṭṭhahissanti vā vuṭṭhahāmīti vā padadvayena antonirodhakālo kathito. Vuṭṭhitoti padena phalasamāpattikālo. Tathā purimehi dvīhi padehi acittakakālo kathito, pacchimena sacittakakālo. Pubbeva tathā cittaṃ bhāvitaṃ hotīti nirodhasamāpattito pubbe addhānaparicchedakāleyeva ettakaṃ kālaṃ acittako hutvā tato paraṃ sacittako bhavissāmīti addhānaparicchedacittaṃ bhāvitaṃ hoti. Yaṃ taṃ tathattāya upanetīti yaṃ evaṃ bhāvitaṃ cittaṃ, taṃ puggalaṃ tathattāya sacittakabhāvāya upaneti. Iti heṭṭhā nirodhasamāpajjanakālo gahito, idha nirodhato vuṭṭhānakālo.

    อิทานิ นิโรธกถํ กเถตุํ วาโรติ นิโรธกถา กเถตพฺพา สิยา, สา ปเนสา, ‘‘ทฺวีหิ พเลหิ สมนฺนาคตตฺตา ตโย จ สงฺขารานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา โสฬสหิ ญาณจริยาหิ นวหิ สมาธิจริยาหิ วสีภาวตาปญฺญา นิโรธสมาปตฺติยา ญาณ’’นฺติ มาติกํ ฐเปตฺวา สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค กถิตาฯ ตสฺมา ตตฺถ กถิตนเยเนว คเหตพฺพา ฯ โก ปนายํ นิโรโธ นาม? จตุนฺนํ ขนฺธานํ ปฎิสงฺขา อปฺปวตฺติฯ อถ กิมตฺถเมตํ สมาปชฺชนฺตีติฯ สงฺขารานํ ปวเตฺต อุกฺกณฺฐิตา สตฺตาหํ อจิตฺตกา หุตฺวา สุขํ วิหริสฺสาม, ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ นาเมตํ, ยทิทํ นิโรโธติ เอตทตฺถํ สมาปชฺชนฺติฯ

    Idāni nirodhakathaṃ kathetuṃ vāroti nirodhakathā kathetabbā siyā, sā panesā, ‘‘dvīhi balehi samannāgatattā tayo ca saṅkhārānaṃ paṭippassaddhiyā soḷasahi ñāṇacariyāhi navahi samādhicariyāhi vasībhāvatāpaññā nirodhasamāpattiyā ñāṇa’’nti mātikaṃ ṭhapetvā sabbākārena visuddhimagge kathitā. Tasmā tattha kathitanayeneva gahetabbā . Ko panāyaṃ nirodho nāma? Catunnaṃ khandhānaṃ paṭisaṅkhā appavatti. Atha kimatthametaṃ samāpajjantīti. Saṅkhārānaṃ pavatte ukkaṇṭhitā sattāhaṃ acittakā hutvā sukhaṃ viharissāma, diṭṭhadhammanibbānaṃ nāmetaṃ, yadidaṃ nirodhoti etadatthaṃ samāpajjanti.

    ปฐมํ อุปฺปชฺชติ จิตฺตสงฺขาโรติ นิโรธา วุฎฺฐหนฺตสฺส หิ ผลสมาปตฺติจิตฺตํ ปฐมํ อุปฺปชฺชติฯ ตํสมฺปยุตฺตํ สญฺญญฺจ เวทนญฺจ สนฺธาย, ‘‘ปฐมํ อุปฺปชฺชติ จิตฺตสงฺขาโร’’ติ อาหฯ ตโต กายสงฺขาโรติ ตโต ปรํ ภวงฺคสมเย กายสงฺขาโร อุปฺปชฺชติฯ กิํ ปน ผลสมาปตฺติ อสฺสาสปสฺสาเส น สมุฎฺฐาเปตีติ? สมุฎฺฐาเปติฯ อิมสฺส ปน จตุตฺถชฺฌานิกา ผลสมาปตฺติ, สา น สมุฎฺฐาเปติฯ กิํ วา เอเตน ผลสมาปตฺติ ปฐมชฺฌานิกา วา โหตุ, ทุติยตติยจตุตฺถชฺฌานิกา วา, สนฺตาย สมาปตฺติยา วุฎฺฐิตสฺส ภิกฺขุโน อสฺสาสปสฺสาสา อโพฺพหาริกา โหนฺติฯ เตสํ อโพฺพหาริกภาโว สญฺชีวเตฺถรวตฺถุนา เวทิตโพฺพฯ สญฺชีวเตฺถรสฺส หิ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย กิํสุกปุปฺผสทิเส วีตจฺจิตงฺคาเร มทฺทมานสฺส คจฺฉโต จีวเร อํสุมตฺตมฺปิ น ฌายิ, อุสุมาการมตฺตมฺปิ นาโหสิ, สมาปตฺติผลํ นาเมตนฺติ วทนฺติฯ เอวเมวํ สนฺตาย สมาปตฺติยา วุฎฺฐิตสฺส ภิกฺขุโน อสฺสาสปสฺสาสา อโพฺพหาริกา โหนฺตีติ ภวงฺคสมเยเนเวตํ กถิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Paṭhamaṃ uppajjati cittasaṅkhāroti nirodhā vuṭṭhahantassa hi phalasamāpatticittaṃ paṭhamaṃ uppajjati. Taṃsampayuttaṃ saññañca vedanañca sandhāya, ‘‘paṭhamaṃ uppajjati cittasaṅkhāro’’ti āha. Tato kāyasaṅkhāroti tato paraṃ bhavaṅgasamaye kāyasaṅkhāro uppajjati. Kiṃ pana phalasamāpatti assāsapassāse na samuṭṭhāpetīti? Samuṭṭhāpeti. Imassa pana catutthajjhānikā phalasamāpatti, sā na samuṭṭhāpeti. Kiṃ vā etena phalasamāpatti paṭhamajjhānikā vā hotu, dutiyatatiyacatutthajjhānikā vā, santāya samāpattiyā vuṭṭhitassa bhikkhuno assāsapassāsā abbohārikā honti. Tesaṃ abbohārikabhāvo sañjīvattheravatthunā veditabbo. Sañjīvattherassa hi samāpattito vuṭṭhāya kiṃsukapupphasadise vītaccitaṅgāre maddamānassa gacchato cīvare aṃsumattampi na jhāyi, usumākāramattampi nāhosi, samāpattiphalaṃ nāmetanti vadanti. Evamevaṃ santāya samāpattiyā vuṭṭhitassa bhikkhuno assāsapassāsā abbohārikā hontīti bhavaṅgasamayenevetaṃ kathitanti veditabbaṃ.

    ตโต วจีสงฺขาโรติ ตโต ปรํ กิริยมยปวตฺตวฬญฺชนกาเล วจีสงฺขาโร อุปฺปชฺชติฯ กิํ ภวงฺคํ วิตกฺกวิจาเร น สมุฎฺฐาเปตีติ? สมุฎฺฐาเปติฯ ตํสมุฎฺฐานา ปน วิตกฺกวิจารา วาจํ อภิสงฺขาตุํ น สโกฺกนฺตีติ กิริยมยปวตฺตวฬญฺชนกาเลเนวตํ กถิตํฯ สุญฺญโต ผโสฺสติอาทโย สคุเณนาปิ อารมฺมเณนาปิ กเถตพฺพาฯ สคุเณน ตาว สุญฺญตา นาม ผลสมาปตฺติ, ตาย สหชาตํ ผสฺสํ สนฺธาย สุญฺญโต ผโสฺสติ วุตฺตํฯ อนิมิตฺตาปณิหิเตสุปิเอเสว นโยฯ อารมฺมเณน ปน นิพฺพานํ ราคาทีหิ สุญฺญตฺตา สุญฺญํ นาม, ราคนิมิตฺตาทีนํ อภาวา อนิมิตฺตํ, ราคโทสโมหปฺปณิธีนํ อภาวา อปฺปณิหิตํฯ สุญฺญตํ นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปนฺนผลสมาปตฺติยํ ผโสฺส สุญฺญโต นามฯ อนิมิตฺตาปณิหิเตสุปิ เอเสว นโยฯ

    Tato vacīsaṅkhāroti tato paraṃ kiriyamayapavattavaḷañjanakāle vacīsaṅkhāro uppajjati. Kiṃ bhavaṅgaṃ vitakkavicāre na samuṭṭhāpetīti? Samuṭṭhāpeti. Taṃsamuṭṭhānā pana vitakkavicārā vācaṃ abhisaṅkhātuṃ na sakkontīti kiriyamayapavattavaḷañjanakālenevataṃ kathitaṃ. Suññato phassotiādayo saguṇenāpi ārammaṇenāpi kathetabbā. Saguṇena tāva suññatā nāma phalasamāpatti, tāya sahajātaṃ phassaṃ sandhāya suññato phassoti vuttaṃ. Animittāpaṇihitesupieseva nayo. Ārammaṇena pana nibbānaṃ rāgādīhi suññattā suññaṃ nāma, rāganimittādīnaṃ abhāvā animittaṃ, rāgadosamohappaṇidhīnaṃ abhāvā appaṇihitaṃ. Suññataṃ nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā uppannaphalasamāpattiyaṃ phasso suññato nāma. Animittāpaṇihitesupi eseva nayo.

    อปรา อาคมนิยกถา นาม โหติ, สุญฺญตา, อนิมิตฺตา, อปฺปณิหิตาติ หิ วิปสฺสนาปิ วุจฺจติฯ ตตฺถ โย ภิกฺขุ สงฺขาเร อนิจฺจโต ปริคฺคเหตฺวา อนิจฺจโต ทิสฺวา อนิจฺจโต วุฎฺฐาติ, ตสฺส วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนา อนิมิตฺตา นาม โหติฯ โย ทุกฺขโต ปริคฺคเหตฺวา ทุกฺขโต ทิสฺวา ทุกฺขโต วุฎฺฐาติ, ตสฺส อปฺปณิหิตา นามฯ โย อนตฺตโต ปริคฺคเหตฺวา อนตฺตโต ทิสฺวา อนตฺตโต วุฎฺฐาติ, ตสฺส สุญฺญตา นามฯ ตตฺถ อนิมิตฺตวิปสฺสนาย มโคฺค อนิมิโตฺต นาม, อนิมิตฺตมคฺคสฺส ผลํ อนิมิตฺตํ นามฯ อนิมิตฺตผลสมาปตฺติสหชาเต ผเสฺส ผุสเนฺต อนิมิโตฺต ผโสฺส ผุสตีติ วุจฺจติฯ อปฺปณิหิตสุญฺญเตสุปิ เอเสว นโยฯ อาคมนิเยน กถิเต ปน สุญฺญโต วา ผโสฺส อนิมิโตฺต วา ผโสฺส อปฺปณิหิโต วา ผโสฺสติ วิกโปฺป อาปเชฺชยฺย, ตสฺมา สคุเณน เจว อารมฺมเณน จ กเถตพฺพํฯ เอวญฺหิ ตโย ผสฺสา ผุสนฺตีติ สเมติฯ

    Aparā āgamaniyakathā nāma hoti, suññatā, animittā, appaṇihitāti hi vipassanāpi vuccati. Tattha yo bhikkhu saṅkhāre aniccato pariggahetvā aniccato disvā aniccato vuṭṭhāti, tassa vuṭṭhānagāminivipassanā animittā nāma hoti. Yo dukkhato pariggahetvā dukkhato disvā dukkhato vuṭṭhāti, tassa appaṇihitā nāma. Yo anattato pariggahetvā anattato disvā anattato vuṭṭhāti, tassa suññatā nāma. Tattha animittavipassanāya maggo animitto nāma, animittamaggassa phalaṃ animittaṃ nāma. Animittaphalasamāpattisahajāte phasse phusante animitto phasso phusatīti vuccati. Appaṇihitasuññatesupi eseva nayo. Āgamaniyena kathite pana suññato vā phasso animitto vā phasso appaṇihito vā phassoti vikappo āpajjeyya, tasmā saguṇena ceva ārammaṇena ca kathetabbaṃ. Evañhi tayo phassā phusantīti sameti.

    วิเวกนินฺนนฺติอาทีสุ นิพฺพานํ วิเวโก นาม, ตสฺมิํ วิเวเก นินฺนํ โอนตนฺติ วิเวกนินฺนํฯ อญฺญโต อาคนฺตฺวา เยน วิเวโก, เตน วงฺกํ วิย หุตฺวา ฐิตนฺติ วิเวกโปณํฯ เยน วิเวโก, เตน ปตมานํ วิย ฐิตนฺติ วิเวกปพฺภารํ

    Vivekaninnantiādīsu nibbānaṃ viveko nāma, tasmiṃ viveke ninnaṃ onatanti vivekaninnaṃ. Aññato āgantvā yena viveko, tena vaṅkaṃ viya hutvā ṭhitanti vivekapoṇaṃ. Yena viveko, tena patamānaṃ viya ṭhitanti vivekapabbhāraṃ.

    ๔๖๕. อิทานิ ยา เวทนา นิโรเธตฺวา นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, ตา ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉโนฺต กติ ปนาเยฺย, เวทนาติ อาหฯ กายิกํ วาติอาทีสุ ปญฺจทฺวาริกํ สุขํ กายิกํ นาม, มโนทฺวาริกํ เจตสิกํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ สุขนฺติ สภาวนิเทฺทโสฯ สาตนฺติ ตเสฺสว มธุรภาวทีปกํ เววจนํฯ เวทยิตนฺติ เวทยิตภาวทีปกํ, สพฺพเวทนานํ สาธารณวจนํฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ฐิติสุขา วิปริณามทุกฺขาติอาทีสุ สุขาย เวทนาย อตฺถิภาโว สุขํ, นตฺถิภาโว ทุกฺขํฯ ทุกฺขาย เวทนาย อตฺถิภาโว ทุกฺขํ, นตฺถิภาโว สุขํฯ อทุกฺขมสุขาย เวทนาย ชานนภาโว สุขํ, อชานนภาโว ทุกฺขนฺติ อโตฺถฯ

    465. Idāni yā vedanā nirodhetvā nirodhasamāpattiṃ samāpajjati, tā pucchissāmīti pucchanto kati panāyye, vedanāti āha. Kāyikaṃ vātiādīsu pañcadvārikaṃ sukhaṃ kāyikaṃ nāma, manodvārikaṃ cetasikaṃ nāmāti veditabbaṃ. Tattha sukhanti sabhāvaniddeso. Sātanti tasseva madhurabhāvadīpakaṃ vevacanaṃ. Vedayitanti vedayitabhāvadīpakaṃ, sabbavedanānaṃ sādhāraṇavacanaṃ. Sesapadesupi eseva nayo. Ṭhitisukhā vipariṇāmadukkhātiādīsu sukhāya vedanāya atthibhāvo sukhaṃ, natthibhāvo dukkhaṃ. Dukkhāya vedanāya atthibhāvo dukkhaṃ, natthibhāvo sukhaṃ. Adukkhamasukhāya vedanāya jānanabhāvo sukhaṃ, ajānanabhāvo dukkhanti attho.

    กิํ อนุสโย อนุเสตีติ กตโม อนุสโย อนุเสติฯ อปฺปหีนเฎฺฐน สยิโต วิย โหตีติ อนุสยปุจฺฉํ ปุจฺฉติฯ น โข, อาวุโส วิสาข, สพฺพาย สุขาย เวทนาย ราคานุสโย อนุเสตีติ น สพฺพาย สุขาย เวทนาย ราคานุสโย อนุเสติฯ น สพฺพาย สุขาย เวทนาย โส อปฺปหีโน, น สพฺพํ สุขํ เวทนํ อารพฺภ อุปฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ กิํ ปหาตพฺพนฺติ อยํ ปหานปุจฺฉา นามฯ

    Kiṃ anusayo anusetīti katamo anusayo anuseti. Appahīnaṭṭhena sayito viya hotīti anusayapucchaṃ pucchati. Na kho, āvuso visākha, sabbāya sukhāya vedanāya rāgānusayo anusetīti na sabbāya sukhāya vedanāya rāgānusayo anuseti. Na sabbāya sukhāya vedanāya so appahīno, na sabbaṃ sukhaṃ vedanaṃ ārabbha uppajjatīti attho. Esa nayo sabbattha. Kiṃ pahātabbanti ayaṃ pahānapucchā nāma.

    ราคํ เตน ปชหตีติ เอตฺถ เอเกเนว พฺยากรเณน เทฺว ปุจฺฉา วิสฺสเชฺชสิฯ อิธ ภิกฺขุ ราคานุสยํ วิกฺขเมฺภตฺวา ปฐมชฺฌานํ สมาปชฺชติ, ฌานวิกฺขมฺภิตํ ราคานุสยํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อนาคามิมเคฺคน สมุคฺฆาเตติฯ โส อนาคามิมเคฺคน ปหีโนปิ ตถา วิกฺขมฺภิตตฺตาว ปฐมชฺฌาเน นานุเสติ นามฯ เตนาห – ‘‘น ตตฺถ ราคานุสโย อนุเสตี’’ติฯ ตทายตนนฺติ ตํ อายตนํ, ปรมสฺสาสภาเวน ปติฎฺฐานภูตํ อรหตฺตนฺติ อโตฺถฯ อิติ อนุตฺตเรสูติ เอวํ อนุตฺตรา วิโมกฺขาติ ลทฺธนาเม อรหเตฺตฯ ปิหํ อุปฎฺฐาปยโตติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปนฺตสฺสฯ อุปฺปชฺชติ ปิหาปจฺจยา โทมนสฺสนฺติ ปตฺถนาย ปฎฺฐปนมูลกํ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ ตํ ปเนตํ น ปตฺถนาย ปฎฺฐปนมูลกํ อุปฺปชฺชติ, ปเตฺถตฺวา อลภนฺตสฺส ปน อลาภมูลกํ อุปฺปชฺชมานํ, ‘‘อุปฺปชฺชติ ปิหาปจฺจยา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ โทมนสฺสํ นาม เอกเนฺตน อกุสลํ, อิทํ ปน เสวิตพฺพํ โทมนสฺสํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ โยคิโน หิ เตมาสิกํ ฉมาสิกํ วา นวมาสิกํ วา ปฎิปทํ คณฺหนฺติฯ เตสุ โย ตํ ตํ ปฎิปทํ คเหตฺวา อโนฺตกาลปริเจฺฉเทเยว อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสามีติ ฆเฎโนฺต วายมโนฺต น สโกฺกติ ยถาปริจฺฉินฺนกาเลน ปาปุณิตุํ, ตสฺส พลวโทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, อาฬินฺทิกวาสิมหาผุสฺสเทวเตฺถรสฺส วิย อสฺสุธารา ปวตฺตนฺติฯ เถโร กิร เอกูนวีสติวสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรสิฯ ตสฺส, ‘‘อิมสฺมิํ วาเร อรหตฺตํ คณฺหิสฺสามิ, อิมสฺมิํ วาเร วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสฺสามี’’ติ มานสํ พนฺธิตฺวา สมณธมฺมํ กโรนฺตเสฺสว เอกูนวีสติวสฺสานิ อติกฺกนฺตานิฯ ปวารณาทิวเส อาคเต เถรสฺส อสฺสุปาเตน มุตฺตทิวโส นาม นาโหสิฯ วีสติเม ปน วเสฺส อรหตฺตํ ปาณุณิฯ

    Rāgaṃ tena pajahatīti ettha ekeneva byākaraṇena dve pucchā vissajjesi. Idha bhikkhu rāgānusayaṃ vikkhambhetvā paṭhamajjhānaṃ samāpajjati, jhānavikkhambhitaṃ rāgānusayaṃ tathā vikkhambhitameva katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā anāgāmimaggena samugghāteti. So anāgāmimaggena pahīnopi tathā vikkhambhitattāva paṭhamajjhāne nānuseti nāma. Tenāha – ‘‘na tattha rāgānusayo anusetī’’ti. Tadāyatananti taṃ āyatanaṃ, paramassāsabhāvena patiṭṭhānabhūtaṃ arahattanti attho. Iti anuttaresūti evaṃ anuttarā vimokkhāti laddhanāme arahatte. Pihaṃ upaṭṭhāpayatoti patthanaṃ paṭṭhapentassa. Uppajjati pihāpaccayā domanassanti patthanāya paṭṭhapanamūlakaṃ domanassaṃ uppajjati. Taṃ panetaṃ na patthanāya paṭṭhapanamūlakaṃ uppajjati, patthetvā alabhantassa pana alābhamūlakaṃ uppajjamānaṃ, ‘‘uppajjati pihāpaccayā’’ti vuttaṃ. Tattha kiñcāpi domanassaṃ nāma ekantena akusalaṃ, idaṃ pana sevitabbaṃ domanassaṃ vaṭṭatīti vadanti. Yogino hi temāsikaṃ chamāsikaṃ vā navamāsikaṃ vā paṭipadaṃ gaṇhanti. Tesu yo taṃ taṃ paṭipadaṃ gahetvā antokālaparicchedeyeva arahattaṃ pāpuṇissāmīti ghaṭento vāyamanto na sakkoti yathāparicchinnakālena pāpuṇituṃ, tassa balavadomanassaṃ uppajjati, āḷindikavāsimahāphussadevattherassa viya assudhārā pavattanti. Thero kira ekūnavīsativassāni gatapaccāgatavattaṃ pūresi. Tassa, ‘‘imasmiṃ vāre arahattaṃ gaṇhissāmi, imasmiṃ vāre visuddhipavāraṇaṃ pavāressāmī’’ti mānasaṃ bandhitvā samaṇadhammaṃ karontasseva ekūnavīsativassāni atikkantāni. Pavāraṇādivase āgate therassa assupātena muttadivaso nāma nāhosi. Vīsatime pana vasse arahattaṃ pāṇuṇi.

    ปฎิฆํ เตน ปชหตีติ เอตฺถ โทมนเสฺสเนว ปฎิฆํ ปชหติฯ น หิ ปฎิเฆเนว ปฎิฆปฺปหานํ, โทมนเสฺสน วา โทมนสฺสปฺปหานํ นาม อตฺถิฯ อยํ ปน ภิกฺขุ เตมาสิกาทีสุ อญฺญตรํ ปฎิปทํ คเหตฺวา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘ปสฺส ภิกฺขุ, กิํ ตุยฺหํ สีเลน หีนฎฺฐานํ อตฺถิ, อุทาหุ วีริเยน, อุทาหุ ปญฺญาย, นนุ เต สีลํ สุปริสุทฺธํ วีริยํ สุปคฺคหิตํ ปญฺญา สูรา หุตฺวา วหตี’’ติฯ โส เอวํ ปฎิสญฺจิกฺขิตฺวา, ‘‘น ทานิ ปุน อิมสฺส โทมนสฺสสฺส อุปฺปชฺชิตุํ ทสฺสามี’’ติ วีริยํ ทฬฺหํ กตฺวา อโนฺตเตมาเส วา อโนฺตฉมาเส วา อโนฺตนวมาเส วา อนาคามิมเคฺคน ตํ สมุคฺฆาเตติฯ อิมินา ปริยาเยน ปฎิเฆเนว ปฎิฆํ, โทมนเสฺสเนว โทมนสฺสํ ปชหติ นามฯ

    Paṭighaṃtena pajahatīti ettha domanasseneva paṭighaṃ pajahati. Na hi paṭigheneva paṭighappahānaṃ, domanassena vā domanassappahānaṃ nāma atthi. Ayaṃ pana bhikkhu temāsikādīsu aññataraṃ paṭipadaṃ gahetvā iti paṭisañcikkhati – ‘‘passa bhikkhu, kiṃ tuyhaṃ sīlena hīnaṭṭhānaṃ atthi, udāhu vīriyena, udāhu paññāya, nanu te sīlaṃ suparisuddhaṃ vīriyaṃ supaggahitaṃ paññā sūrā hutvā vahatī’’ti. So evaṃ paṭisañcikkhitvā, ‘‘na dāni puna imassa domanassassa uppajjituṃ dassāmī’’ti vīriyaṃ daḷhaṃ katvā antotemāse vā antochamāse vā antonavamāse vā anāgāmimaggena taṃ samugghāteti. Iminā pariyāyena paṭigheneva paṭighaṃ, domanasseneva domanassaṃ pajahati nāma.

    น ตตฺถ ปฎิฆานุสโย อนุเสตีติ ตตฺถ เอวรูเป โทมนเสฺส ปฎิฆานุสโย นานุเสติฯ น ตํ อารพฺภ อุปฺปชฺชติ, ปหีโนว ตตฺถ ปฎิฆานุสโยติ อโตฺถฯ อวิชฺชํ เตน ปชหตีติ อิธ ภิกฺขุ อวิชฺชานุสยํ วิกฺขเมฺภตฺวา จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชติ, ฌานวิกฺขมฺภิตํ อวิชฺชานุสยํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตมเคฺคน สมุคฺฆาเตติฯ โส อรหตฺตมเคฺคน ปหีโนปิ ตถา วิกฺขมฺภิตตฺตาว จตุตฺถชฺฌาเน นานุเสติ นามฯ เตนาห – ‘‘น ตตฺถ อวิชฺชานุสโย อนุเสตี’’ติฯ

    Na tattha paṭighānusayo anusetīti tattha evarūpe domanasse paṭighānusayo nānuseti. Na taṃ ārabbha uppajjati, pahīnova tattha paṭighānusayoti attho. Avijjaṃ tena pajahatīti idha bhikkhu avijjānusayaṃ vikkhambhetvā catutthajjhānaṃ samāpajjati, jhānavikkhambhitaṃ avijjānusayaṃ tathā vikkhambhitameva katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattamaggena samugghāteti. So arahattamaggena pahīnopi tathā vikkhambhitattāva catutthajjhāne nānuseti nāma. Tenāha – ‘‘na tattha avijjānusayo anusetī’’ti.

    ๔๖๖. อิทานิ ปฎิภาคปุจฺฉํ ปุจฺฉโนฺต สุขาย ปนาเยฺยติอาทิมาหฯ ตสฺส วิสฺสชฺชเน ยสฺมา สุขสฺส ทุกฺขํ, ทุกฺขสฺส จ สุขํ ปจฺจนีกํ, ตสฺมา ทฺวีสุ เวทนาสุ วิสภาคปฎิภาโค กถิโตฯ อุเปกฺขา ปน อนฺธการา อวิภูตา ทุทฺทีปนา, อวิชฺชาปิ ตาทิสาวาติ เตเนตฺถ สภาคปฎิภาโค กถิโตฯ ยตฺตเกสุ ปน ฐาเนสุ อวิชฺชา ตมํ กโรติ, ตตฺตเกสุ วิชฺชา ตมํ วิโนเทตีติ วิสภาคปฎิภาโค กถิโตฯ อวิชฺชาย โข, อาวุโสติ เอตฺถ อุโภเปเต ธมฺมา อนาสวา โลกุตฺตราติ สภาคปฎิภาโคว กถิโตฯ วิมุตฺติยา โข, อาวุโสติ เอตฺถ อนาสวเฎฺฐน โลกุตฺตรเฎฺฐน อพฺยากตเฎฺฐน จ สภาคปฎิภาโคว กถิโตฯ อจฺจยาสีติ เอตฺถ ปญฺหํ อติกฺกมิตฺวา คโตสีติ อโตฺถฯ นาสกฺขิ ปญฺหานํ ปริยนฺตํ คเหตุนฺติ ปญฺหานํ ปริเจฺฉทปมาณํ คเหตุํ นาสกฺขิ, อปฺปฎิภาคธมฺมสฺส ปฎิภาคํ ปุจฺฉิฯ นิพฺพานํ นาเมตํ อปฺปฎิภาคํ , น สกฺกา นีลํ วา ปีตกํ วาติ เกนจิ ธเมฺมน สทฺธิํ ปฎิภาคํ กตฺวา ทเสฺสตุํฯ ตญฺจ ตฺวํ อิมินา อธิปฺปาเยน ปุจฺฉสีติ อโตฺถฯ

    466. Idāni paṭibhāgapucchaṃ pucchanto sukhāya panāyyetiādimāha. Tassa vissajjane yasmā sukhassa dukkhaṃ, dukkhassa ca sukhaṃ paccanīkaṃ, tasmā dvīsu vedanāsu visabhāgapaṭibhāgo kathito. Upekkhā pana andhakārā avibhūtā duddīpanā, avijjāpi tādisāvāti tenettha sabhāgapaṭibhāgo kathito. Yattakesu pana ṭhānesu avijjā tamaṃ karoti, tattakesu vijjā tamaṃ vinodetīti visabhāgapaṭibhāgo kathito. Avijjāya kho, āvusoti ettha ubhopete dhammā anāsavā lokuttarāti sabhāgapaṭibhāgova kathito. Vimuttiyā kho, āvusoti ettha anāsavaṭṭhena lokuttaraṭṭhena abyākataṭṭhena ca sabhāgapaṭibhāgova kathito. Accayāsīti ettha pañhaṃ atikkamitvā gatosīti attho. Nāsakkhi pañhānaṃ pariyantaṃ gahetunti pañhānaṃ paricchedapamāṇaṃ gahetuṃ nāsakkhi, appaṭibhāgadhammassa paṭibhāgaṃ pucchi. Nibbānaṃ nāmetaṃ appaṭibhāgaṃ , na sakkā nīlaṃ vā pītakaṃ vāti kenaci dhammena saddhiṃ paṭibhāgaṃ katvā dassetuṃ. Tañca tvaṃ iminā adhippāyena pucchasīti attho.

    เอตฺตาวตา จายํ อุปาสโก ยถา นาม สตฺตเม ฆเร สลากภตฺตํ ลภิตฺวา คโต ภิกฺขุ สตฺต ฆรานิ อติกฺกมฺม อฎฺฐมสฺส ทฺวาเร ฐิโต สพฺพานิปิ สตฺต เคหานิ วิรโทฺธว น อญฺญาสิ, เอวเมวํ อปฺปฎิภาคธมฺมสฺส ปฎิภาคํ ปุจฺฉโนฺต สพฺพาสุปิ สตฺตสุ สปฺปฎิภาคปุจฺฉาสุ วิรโทฺธว โหตีติ เวทิตโพฺพฯ นิพฺพาโนคธนฺติ นิพฺพานพฺภนฺตรํ นิพฺพานํ อนุปวิฎฺฐํฯ นิพฺพานปรายนนฺติ นิพฺพานํ ปรํ อยนมสฺส ปรา คติ, น ตโต ปรํ คจฺฉตีติ อโตฺถฯ นิพฺพานํ ปริโยสานํ อวสานํ อสฺสาติ นิพฺพานปริโยสานํ

    Ettāvatā cāyaṃ upāsako yathā nāma sattame ghare salākabhattaṃ labhitvā gato bhikkhu satta gharāni atikkamma aṭṭhamassa dvāre ṭhito sabbānipi satta gehāni viraddhova na aññāsi, evamevaṃ appaṭibhāgadhammassa paṭibhāgaṃ pucchanto sabbāsupi sattasu sappaṭibhāgapucchāsu viraddhova hotīti veditabbo. Nibbānogadhanti nibbānabbhantaraṃ nibbānaṃ anupaviṭṭhaṃ. Nibbānaparāyananti nibbānaṃ paraṃ ayanamassa parā gati, na tato paraṃ gacchatīti attho. Nibbānaṃ pariyosānaṃ avasānaṃ assāti nibbānapariyosānaṃ.

    ๔๖๗. ปณฺฑิตาติ ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคตา, ธาตุกุสลา อายตนกุสลา ปฎิจฺจสมุปฺปาทกุสลา ฐานาฎฺฐานกุสลาติ อโตฺถฯ มหาปญฺญาติ มหเนฺต อเตฺถ มหเนฺต ธเมฺม มหนฺตา นิรุตฺติโย มหนฺตานิ ปฎิภานานิ ปริคฺคณฺหนสมตฺถาย ปญฺญาย สมนฺนาคตาฯ ยถา ตํ ธมฺมทินฺนายาติ ยถา ธมฺมทินฺนาย ภิกฺขุนิยา พฺยากตํ, อหมฺปิ ตํ เอวเมวํ พฺยากเรยฺยนฺติฯ เอตฺตาวตา จ ปน อยํ สุตฺตโนฺต ชินภาสิโต นาม ชาโต, น สาวกภาสิโตฯ ยถา หิ ราชยุเตฺตหิ ลิขิตํ ปณฺณํ ยาว ราชมุทฺทิกาย น ลญฺฉิตํ โหติ, น ตาว ราชปณฺณนฺติ สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ลญฺฉิตมตฺตํ ปน ราชปณฺณํ นาม โหติ, ตถา, ‘‘อหมฺปิ ตํ เอวเมว พฺยากเรยฺย’’นฺติ อิมาย ชินวจนมุทฺทิกาย ลญฺฉิตตฺตา อยํ สุตฺตโนฺต อาหจฺจวจเนน ชินภาสิโต นาม ชาโตฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    467.Paṇḍitāti paṇḍiccena samannāgatā, dhātukusalā āyatanakusalā paṭiccasamuppādakusalā ṭhānāṭṭhānakusalāti attho. Mahāpaññāti mahante atthe mahante dhamme mahantā niruttiyo mahantāni paṭibhānāni pariggaṇhanasamatthāya paññāya samannāgatā. Yathā taṃ dhammadinnāyāti yathā dhammadinnāya bhikkhuniyā byākataṃ, ahampi taṃ evamevaṃ byākareyyanti. Ettāvatā ca pana ayaṃ suttanto jinabhāsito nāma jāto, na sāvakabhāsito. Yathā hi rājayuttehi likhitaṃ paṇṇaṃ yāva rājamuddikāya na lañchitaṃ hoti, na tāva rājapaṇṇanti saṅkhyaṃ gacchati; lañchitamattaṃ pana rājapaṇṇaṃ nāma hoti, tathā, ‘‘ahampi taṃ evameva byākareyya’’nti imāya jinavacanamuddikāya lañchitattā ayaṃ suttanto āhaccavacanena jinabhāsito nāma jāto. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    จูฬเวทลฺลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cūḷavedallasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. จูฬเวทลฺลสุตฺตํ • 4. Cūḷavedallasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๔. จูฬเวทลฺลสุตฺตวณฺณนา • 4. Cūḷavedallasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact