Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๕. จุนฺทสุตฺตวณฺณนา
5. Cundasuttavaṇṇanā
๘๓. ปุจฺฉามิ มุนิํ ปหูตปญฺญนฺติ จุนฺทสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? สเงฺขปโต ตาว อตฺตชฺฌาสยปรชฺฌาสยอฎฺฐุปฺปตฺติปุจฺฉาวสิกเภทโต จตูสุ อุปฺปตฺตีสุ อิมสฺส สุตฺตสฺส ปุจฺฉาวสิกา อุปฺปตฺติฯ วิตฺถารโต ปน เอกํ สมยํ ภควา มเลฺลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ เยน ปาวา ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา ปาวายํ วิหรติ จุนฺทสฺส กมฺมารปุตฺตสฺส อมฺพวเนฯ อิโต ปภุติ ยาว ‘‘อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน เยน จุนฺทสฺส กมฺมารปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีที’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๘๙), ตาว สุเตฺต อาคตนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ
83.Pucchāmimuniṃ pahūtapaññanti cundasuttaṃ. Kā uppatti? Saṅkhepato tāva attajjhāsayaparajjhāsayaaṭṭhuppattipucchāvasikabhedato catūsu uppattīsu imassa suttassa pucchāvasikā uppatti. Vitthārato pana ekaṃ samayaṃ bhagavā mallesu cārikaṃ caramāno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ yena pāvā tadavasari. Tatra sudaṃ bhagavā pāvāyaṃ viharati cundassa kammāraputtassa ambavane. Ito pabhuti yāva ‘‘atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya saddhiṃ bhikkhusaṅghena yena cundassa kammāraputtassa nivesanaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdī’’ti (dī. ni. 2.189), tāva sutte āgatanayeneva vitthāretabbaṃ.
เอวํ ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ นิสิเนฺน ภควติ จุโนฺท กมฺมารปุโตฺต พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสโนฺต พฺยญฺชนสูปาทิคหณตฺถํ ภิกฺขูนํ สุวณฺณภาชนานิ อุปนาเมสิฯ อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเท เกจิ ภิกฺขู สุวณฺณภาชนานิ ปฎิจฺฉิํสุ เกจิ น ปฎิจฺฉิํสุฯ ภควโต ปน เอกเมว ภาชนํ อตฺตโน เสลมยํ ปตฺตํ, ทุติยภาชนํ พุทฺธา น คณฺหนฺติฯ ตตฺถ อญฺญตโร ปาปภิกฺขุ สหสฺสคฺฆนกํ สุวณฺณภาชนํ อตฺตโน โภชนตฺถาย สมฺปตฺตํ เถยฺยจิเตฺตน กุญฺจิกตฺถวิกาย ปกฺขิปิฯ จุโนฺท ปริวิสิตฺวา หตฺถปาทํ โธวิตฺวา ภควนฺตํ นมสฺสมาโน ภิกฺขุสงฺฆํ โอโลเกโนฺต ตํ ภิกฺขุํ อทฺทส, ทิสฺวา จ ปน อปสฺสมาโน วิย หุตฺวา น นํ กิญฺจิ อภณิ ภควติ เถเรสุ จ คารเวน, อปิจ ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิกานํ วจนปโถ มา อโหสี’’ติฯ โส ‘‘กิํ นุ โข สํวรยุตฺตาเยว สมณา, อุทาหุ ภินฺนสํวรา อีทิสาปิ สมณา’’ติ ญาตุกาโม สายนฺหสมเย ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห ‘‘ปุจฺฉามิ มุนิ’’นฺติฯ
Evaṃ bhikkhusaṅghena saddhiṃ nisinne bhagavati cundo kammāraputto buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ parivisanto byañjanasūpādigahaṇatthaṃ bhikkhūnaṃ suvaṇṇabhājanāni upanāmesi. Apaññatte sikkhāpade keci bhikkhū suvaṇṇabhājanāni paṭicchiṃsu keci na paṭicchiṃsu. Bhagavato pana ekameva bhājanaṃ attano selamayaṃ pattaṃ, dutiyabhājanaṃ buddhā na gaṇhanti. Tattha aññataro pāpabhikkhu sahassagghanakaṃ suvaṇṇabhājanaṃ attano bhojanatthāya sampattaṃ theyyacittena kuñcikatthavikāya pakkhipi. Cundo parivisitvā hatthapādaṃ dhovitvā bhagavantaṃ namassamāno bhikkhusaṅghaṃ olokento taṃ bhikkhuṃ addasa, disvā ca pana apassamāno viya hutvā na naṃ kiñci abhaṇi bhagavati theresu ca gāravena, apica ‘‘micchādiṭṭhikānaṃ vacanapatho mā ahosī’’ti. So ‘‘kiṃ nu kho saṃvarayuttāyeva samaṇā, udāhu bhinnasaṃvarā īdisāpi samaṇā’’ti ñātukāmo sāyanhasamaye bhagavantaṃ upasaṅkamitvā āha ‘‘pucchāmi muni’’nti.
ตตฺถ ปุจฺฉามีติ อิทํ ‘‘ติโสฺส ปุจฺฉา อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉา’’ติอาทินา (จูฬนิ. ปุณฺณกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑๒) นเยน นิเทฺทเส วุตฺตนยเมวฯ มุนินฺติ เอตมฺปิ ‘‘โมนํ วุจฺจติ ญาณํฯ ยา ปญฺญา ปชานนา…เป.… สมฺมาทิฎฺฐิ, เตน ญาเณน สมนฺนาคโต มุนิ, โมนปฺปโตฺตติ, ตีณิ โมเนยฺยานิ กายโมเนยฺย’’นฺติอาทินา (มหานิ. ๑๔) นเยน ตเตฺถว วุตฺตนยเมว ฯ อยมฺปเนตฺถ สเงฺขโปฯ ปุจฺฉามีติ โอกาสํ กาเรโนฺต มุนินฺติ มุนิมุนิํ ภควนฺตํ อาลปติฯ ปหูตปญฺญนฺติอาทีนิ ถุติวจนานิ, เตหิ ตํ มุนิํ ถุนาติฯ ตตฺถ ปหูตปญฺญนฺติ วิปุลปญฺญํฯ เญยฺยปริยนฺติกตฺตา จสฺส วิปุลตา เวทิตพฺพาฯ อิติ จุโนฺท กมฺมารปุโตฺตติ อิทํ ทฺวยํ ธนิยสุเตฺต วุตฺตนยเมวฯ อิโต ปรํ ปน เอตฺตกมฺปิ อวตฺวา สพฺพํ วุตฺตนยํ ฉเฑฺฑตฺวา อวุตฺตนยเมว วณฺณยิสฺสามฯ
Tattha pucchāmīti idaṃ ‘‘tisso pucchā adiṭṭhajotanā pucchā’’tiādinā (cūḷani. puṇṇakamāṇavapucchāniddesa 12) nayena niddese vuttanayameva. Muninti etampi ‘‘monaṃ vuccati ñāṇaṃ. Yā paññā pajānanā…pe… sammādiṭṭhi, tena ñāṇena samannāgato muni, monappattoti, tīṇi moneyyāni kāyamoneyya’’ntiādinā (mahāni. 14) nayena tattheva vuttanayameva . Ayampanettha saṅkhepo. Pucchāmīti okāsaṃ kārento muninti munimuniṃ bhagavantaṃ ālapati. Pahūtapaññantiādīni thutivacanāni, tehi taṃ muniṃ thunāti. Tattha pahūtapaññanti vipulapaññaṃ. Ñeyyapariyantikattā cassa vipulatā veditabbā. Iti cundo kammāraputtoti idaṃ dvayaṃ dhaniyasutte vuttanayameva. Ito paraṃ pana ettakampi avatvā sabbaṃ vuttanayaṃ chaḍḍetvā avuttanayameva vaṇṇayissāma.
พุทฺธนฺติ ตีสุ พุเทฺธสุ ตติยพุทฺธํฯ ธมฺมสฺสามินฺติ มคฺคธมฺมสฺส ชนกตฺตา ปุตฺตเสฺสว ปิตรํ อตฺตนา อุปฺปาทิตสิปฺปายตนาทีนํ วิย จ อาจริยํ ธมฺมสฺส สามิํ, ธมฺมิสฺสรํ ธมฺมราชํ ธมฺมวสวตฺตินฺติ อโตฺถฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Buddhanti tīsu buddhesu tatiyabuddhaṃ. Dhammassāminti maggadhammassa janakattā puttasseva pitaraṃ attanā uppāditasippāyatanādīnaṃ viya ca ācariyaṃ dhammassa sāmiṃ, dhammissaraṃ dhammarājaṃ dhammavasavattinti attho. Vuttampi cetaṃ –
‘‘โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู, มคฺควิทู, มคฺคโกวิโทฯ มคฺคานุคา จ ปน เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา’’ติ (ม. นิ. ๓.๗๙)ฯ
‘‘So hi, brāhmaṇa, bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā, asañjātassa maggassa sañjanetā, anakkhātassa maggassa akkhātā, maggaññū, maggavidū, maggakovido. Maggānugā ca pana etarahi sāvakā viharanti pacchā samannāgatā’’ti (ma. ni. 3.79).
วีตตณฺหนฺติ วิคตกามภววิภวตณฺหํฯ ทฺวิปทุตฺตมนฺติ ทฺวิปทานํ อุตฺตมํฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ภควา น เกวลํ ทฺวิปทุตฺตโม เอว, อถ โข ยาวตา สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา…เป.… เนวสญฺญีนาสญฺญิโน วา, เตสํ สเพฺพสํ อุตฺตโมฯ อถ โข อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน ทฺวิปทุตฺตโมเตฺวว วุจฺจติฯ ทฺวิปทา หิ สพฺพสตฺตานํ อุกฺกฎฺฐา จกฺกวตฺติมหาสาวกปเจฺจกพุทฺธานํ ตตฺถ อุปฺปตฺติโต, เตสญฺจ อุตฺตโมติ วุเตฺต สพฺพสตฺตุตฺตโมติ วุโตฺตเยว โหติฯ สารถีนํ ปวรนฺติ สาเรตีติ สารถิ, หตฺถิทมกาทีนเมตํ อธิวจนํฯ เตสญฺจ ภควา ปวโร อนุตฺตเรน ทมเนน ปุริสทเมฺม ทเมตุํ สมตฺถภาวโตฯ ยถาห –
Vītataṇhanti vigatakāmabhavavibhavataṇhaṃ. Dvipaduttamanti dvipadānaṃ uttamaṃ. Tattha kiñcāpi bhagavā na kevalaṃ dvipaduttamo eva, atha kho yāvatā sattā apadā vā dvipadā vā…pe… nevasaññīnāsaññino vā, tesaṃ sabbesaṃ uttamo. Atha kho ukkaṭṭhaparicchedavasena dvipaduttamotveva vuccati. Dvipadā hi sabbasattānaṃ ukkaṭṭhā cakkavattimahāsāvakapaccekabuddhānaṃ tattha uppattito, tesañca uttamoti vutte sabbasattuttamoti vuttoyeva hoti. Sārathīnaṃ pavaranti sāretīti sārathi, hatthidamakādīnametaṃ adhivacanaṃ. Tesañca bhagavā pavaro anuttarena damanena purisadamme dametuṃ samatthabhāvato. Yathāha –
‘‘หตฺถิทมเกน, ภิกฺขเว, หตฺถิทโมฺม สาริโต เอกํ เอว ทิสํ ธาวติ ปุรตฺถิมํ วา ปจฺฉิมํ วา อุตฺตรํ วา ทกฺขิณํ วาฯ อสฺสทมเกน, ภิกฺขเว, อสฺสทโมฺม…เป.… โคทมเกน, ภิกฺขเว, โคทโมฺม…เป.… ทกฺขิณํ วาฯ ตถาคเตน หิ, ภิกฺขเว, อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ปุริสทโมฺม สาริโต อฎฺฐ ทิสา วิธาวติ, รูปี รูปานิ ปสฺสติ, อยเมกา ทิสา…เป.… สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ อฎฺฐมี ทิสา’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๑๒)ฯ
‘‘Hatthidamakena, bhikkhave, hatthidammo sārito ekaṃ eva disaṃ dhāvati puratthimaṃ vā pacchimaṃ vā uttaraṃ vā dakkhiṇaṃ vā. Assadamakena, bhikkhave, assadammo…pe… godamakena, bhikkhave, godammo…pe… dakkhiṇaṃ vā. Tathāgatena hi, bhikkhave, arahatā sammāsambuddhena purisadammo sārito aṭṭha disā vidhāvati, rūpī rūpāni passati, ayamekā disā…pe… saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharati, ayaṃ aṭṭhamī disā’’ti (ma. ni. 3.312).
กตีติ อตฺถปฺปเภทปุจฺฉาฯ โลเกติ สตฺตโลเกฯ สมณาติ ปุจฺฉิตพฺพอตฺถนิทสฺสนํฯ อิงฺฆาติ ยาจนเตฺถ นิปาโตฯ ตทิงฺฆาติ เต อิงฺฆฯ พฺรูหีติ อาจิกฺข กถยสฺสูติฯ
Katīti atthappabhedapucchā. Loketi sattaloke. Samaṇāti pucchitabbaatthanidassanaṃ. Iṅghāti yācanatthe nipāto. Tadiṅghāti te iṅgha. Brūhīti ācikkha kathayassūti.
๘๔. เอวํ วุเตฺต ภควา จุนฺทํ กมฺมารปุตฺตํ ‘‘กิํ, ภเนฺต, กุสลํ, กิํ อกุสล’’นฺติอาทินา (ม. นิ. ๓.๒๙๖) นเยน คิหิปญฺหํ อปุจฺฉิตฺวา สมณปญฺหํ ปุจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อาวเชฺชโนฺต ‘‘ตํ ปาปภิกฺขุํ สนฺธาย อยํ ปุจฺฉตี’’ติ ญตฺวา ตสฺส อญฺญตฺร โวหารมตฺตา อสฺสมณภาวํ ทีเปโนฺต อาห ‘‘จตุโร สมณา’’ติฯ ตตฺถ จตุโรติ สงฺขฺยาปริเจฺฉโทฯ สมณาติ กทาจิ ภควา ติตฺถิเย สมณวาเทน วทติ; ยถาห – ‘‘ยานิ ตานิ ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ วตโกตูหลมงฺคลานี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๗)ฯ กทาจิ ปุถุชฺชเน; ยถาห – ‘‘สมณา สมณาติ โข, ภิกฺขเว, ชโน สญฺชานาตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๓๕)ฯ กทาจิ เสเกฺข; ยถาห – ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ, อิธ ทุติโย สมโณ’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๙; ที. นิ. ๒.๒๑๔; อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ กทาจิ ขีณาสเว; ยถาห – ‘‘อาสวานํ ขยา สมโณ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๓๘)ฯ กทาจิ อตฺตานํเยว; ยถาห – ‘‘สมโณติ โข, ภิกฺขเว, ตถาคตเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ (อ. นิ. ๘.๘๕)ฯ อิธ ปน ตีหิ ปเทหิ สเพฺพปิ อริเย สีลวนฺตํ ปุถุชฺชนญฺจ , จตุเตฺถน อิตรํ อสฺสมณมฺปิ ภณฺฑุํ กาสาวกณฺฐํ เกวลํ โวหารมตฺตเกน สมโณติ สงฺคณฺหิตฺวา ‘‘จตุโร สมณา’’ติ อาหฯ น ปญฺจมตฺถีติ อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย โวหารมตฺตเกน ปฎิญฺญามตฺตเกนาปิ ปญฺจโม สมโณ นาม นตฺถิฯ
84. Evaṃ vutte bhagavā cundaṃ kammāraputtaṃ ‘‘kiṃ, bhante, kusalaṃ, kiṃ akusala’’ntiādinā (ma. ni. 3.296) nayena gihipañhaṃ apucchitvā samaṇapañhaṃ pucchantaṃ disvā āvajjento ‘‘taṃ pāpabhikkhuṃ sandhāya ayaṃ pucchatī’’ti ñatvā tassa aññatra vohāramattā assamaṇabhāvaṃ dīpento āha ‘‘caturo samaṇā’’ti. Tattha caturoti saṅkhyāparicchedo. Samaṇāti kadāci bhagavā titthiye samaṇavādena vadati; yathāha – ‘‘yāni tāni puthusamaṇabrāhmaṇānaṃ vatakotūhalamaṅgalānī’’ti (ma. ni. 1.407). Kadāci puthujjane; yathāha – ‘‘samaṇā samaṇāti kho, bhikkhave, jano sañjānātī’’ti (ma. ni. 1.435). Kadāci sekkhe; yathāha – ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo, idha dutiyo samaṇo’’ti (ma. ni. 1.139; dī. ni. 2.214; a. ni. 4.241). Kadāci khīṇāsave; yathāha – ‘‘āsavānaṃ khayā samaṇo hotī’’ti (ma. ni. 1.438). Kadāci attānaṃyeva; yathāha – ‘‘samaṇoti kho, bhikkhave, tathāgatassetaṃ adhivacana’’nti (a. ni. 8.85). Idha pana tīhi padehi sabbepi ariye sīlavantaṃ puthujjanañca , catutthena itaraṃ assamaṇampi bhaṇḍuṃ kāsāvakaṇṭhaṃ kevalaṃ vohāramattakena samaṇoti saṅgaṇhitvā ‘‘caturo samaṇā’’ti āha. Na pañcamatthīti imasmiṃ dhammavinaye vohāramattakena paṭiññāmattakenāpi pañcamo samaṇo nāma natthi.
เต เต อาวิกโรมีติ เต จตุโร สมเณ ตว ปากเฎ กโรมิฯ สกฺขิปุโฎฺฐติ สมฺมุขา ปุจฺฉิโตฯ มคฺคชิโนติ มเคฺคน สพฺพกิเลเส วิชิตาวีติ อโตฺถฯ มคฺคเทสโกติ ปเรสํ มคฺคํ เทเสตาฯ มเคฺค ชีวตีติ สตฺตสุ เสเกฺขสุ โย โกจิ เสโกฺข อปริโยสิตมคฺควาสตฺตา โลกุตฺตเร, สีลวนฺตปุถุชฺชโน จ โลกิเย มเคฺค ชีวติ นาม, สีลวนฺตปุถุชฺชโน วา โลกุตฺตรมคฺคนิมิตฺตํ ชีวนโตปิ มเคฺค ชีวตีติ เวทิตโพฺพฯ โย จ มคฺคทูสีติ โย จ ทุสฺสีโล มิจฺฉาทิฎฺฐิ มคฺคปฎิโลมาย ปฎิปตฺติยา มคฺคทูสโกติ อโตฺถฯ
Te te āvikaromīti te caturo samaṇe tava pākaṭe karomi. Sakkhipuṭṭhoti sammukhā pucchito. Maggajinoti maggena sabbakilese vijitāvīti attho. Maggadesakoti paresaṃ maggaṃ desetā. Magge jīvatīti sattasu sekkhesu yo koci sekkho apariyositamaggavāsattā lokuttare, sīlavantaputhujjano ca lokiye magge jīvati nāma, sīlavantaputhujjano vā lokuttaramagganimittaṃ jīvanatopi magge jīvatīti veditabbo. Yo ca maggadūsīti yo ca dussīlo micchādiṭṭhi maggapaṭilomāya paṭipattiyā maggadūsakoti attho.
๘๕. ‘‘อิเม เต จตุโร สมณา’’ติ เอวํ ภควตา สเงฺขเปน อุทฺทิเฎฺฐ จตุโร สมเณ ‘‘อยํ นาเมตฺถ มคฺคชิโน, อยํ มคฺคเทสโก, อยํ มเคฺค ชีวติ, อยํ มคฺคทูสี’’ติ เอวํ ปฎิวิชฺฌิตุํ อสโกฺกโนฺต ปุน ปุจฺฉิตุํ จุโนฺท อาห ‘‘กํ มคฺคชิน’’นฺติฯ ตตฺถ มเคฺค ชีวติ เมติ โย โส มเคฺค ชีวติ, ตํ เม พฺรูหิ ปุโฎฺฐติฯ เสสํ ปากฎเมวฯ
85. ‘‘Ime te caturo samaṇā’’ti evaṃ bhagavatā saṅkhepena uddiṭṭhe caturo samaṇe ‘‘ayaṃ nāmettha maggajino, ayaṃ maggadesako, ayaṃ magge jīvati, ayaṃ maggadūsī’’ti evaṃ paṭivijjhituṃ asakkonto puna pucchituṃ cundo āha ‘‘kaṃ maggajina’’nti. Tattha magge jīvati meti yo so magge jīvati, taṃ me brūhi puṭṭhoti. Sesaṃ pākaṭameva.
๘๖. อิทานิสฺส ภควา จตุโรปิ สมเณ จตูหิ คาถาหิ นิทฺทิสโนฺต อาห ‘‘โย ติณฺณกถํกโถ วิสโลฺล’’ติฯ ตตฺถ ติณฺณกถํกโถ วิสโลฺลติ เอตํ อุรคสุเตฺต วุตฺตนยเมวฯ อยํ ปน วิเสโสฯ ยสฺมา อิมาย คาถาย มคฺคชิโนติ พุทฺธสมโณ อธิเปฺปโต, ตสฺมา สพฺพญฺญุตญฺญาเณน กถํกถาปติรูปกสฺส สพฺพธเมฺมสุ อญฺญาณสฺส ติณฺณตฺตาปิ ‘‘ติณฺณกถํกโถ’’ติ เวทิตโพฺพฯ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน หิ ติณฺณกถํกถาปิ โสตาปนฺนาทโย ปเจฺจกพุทฺธปริโยสานา สกทาคามิวิสยาทีสุ พุทฺธวิสยปริโยสาเนสุ ปฎิหตญาณปฺปภาวตฺตา ปริยาเยน อติณฺณกถํกถาว โหนฺติฯ ภควา ปน สพฺพปฺปกาเรน ติณฺณกถํกโถติฯ นิพฺพานาภิรโตติ นิพฺพาเน อภิรโต, ผลสมาปตฺติวเสน สทา นิพฺพานนินฺนจิโตฺตติ อโตฺถฯ ตาทิโส จ ภควาฯ ยถาห –
86. Idānissa bhagavā caturopi samaṇe catūhi gāthāhi niddisanto āha ‘‘yo tiṇṇakathaṃkatho visallo’’ti. Tattha tiṇṇakathaṃkatho visalloti etaṃ uragasutte vuttanayameva. Ayaṃ pana viseso. Yasmā imāya gāthāya maggajinoti buddhasamaṇo adhippeto, tasmā sabbaññutaññāṇena kathaṃkathāpatirūpakassa sabbadhammesu aññāṇassa tiṇṇattāpi ‘‘tiṇṇakathaṃkatho’’ti veditabbo. Pubbe vuttanayena hi tiṇṇakathaṃkathāpi sotāpannādayo paccekabuddhapariyosānā sakadāgāmivisayādīsu buddhavisayapariyosānesu paṭihatañāṇappabhāvattā pariyāyena atiṇṇakathaṃkathāva honti. Bhagavā pana sabbappakārena tiṇṇakathaṃkathoti. Nibbānābhiratoti nibbāne abhirato, phalasamāpattivasena sadā nibbānaninnacittoti attho. Tādiso ca bhagavā. Yathāha –
‘‘โส โข อหํ, อคฺคิเวสฺสน, ตสฺสา เอว กถาย ปริโยสาเน, ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปมิ, สนฺนิสาเทมิ, เอโกทิํ กโรมิ, สมาทหามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗)ฯ
‘‘So kho ahaṃ, aggivessana, tassā eva kathāya pariyosāne, tasmiṃyeva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapemi, sannisādemi, ekodiṃ karomi, samādahāmī’’ti (ma. ni. 1.387).
อนานุคิโทฺธติ กญฺจิ ธมฺมํ ตณฺหาเคเธน อนนุคิชฺฌโนฺตฯ โลกสฺส สเทวกสฺส เนตาติ อาสยานุสยานุโลเมน ธมฺมํ เทเสตฺวา ปารายนมหาสมยาทีสุ อเนเกสุ สุตฺตเนฺตสุ อปริมาณานํ เทวมนุสฺสานํ สจฺจปฎิเวธสมฺปาทเนน สเทวกสฺส โลกสฺส เนตา, คมยิตา, ตาเรตา, ปารํ สมฺปาเปตาติ อโตฺถฯ ตาทินฺติ ตาทิสํ ยถาวุตฺตปฺปการโลกธเมฺมหิ นิพฺพิการนฺติ อโตฺถฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ
Anānugiddhoti kañci dhammaṃ taṇhāgedhena ananugijjhanto. Lokassa sadevakassa netāti āsayānusayānulomena dhammaṃ desetvā pārāyanamahāsamayādīsu anekesu suttantesu aparimāṇānaṃ devamanussānaṃ saccapaṭivedhasampādanena sadevakassa lokassa netā, gamayitā, tāretā, pāraṃ sampāpetāti attho. Tādinti tādisaṃ yathāvuttappakāralokadhammehi nibbikāranti attho. Sesamettha pākaṭameva.
๘๗. เอวํ ภควา อิมาย คาถาย ‘‘มคฺคชิน’’นฺติ พุทฺธสมณํ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ ขีณาสวสมณํ นิทฺทิสโนฺต อาห ‘‘ปรมํ ปรมนฺตี’’ติฯ ตตฺถ ปรมํ นาม นิพฺพานํ, สพฺพธมฺมานํ อคฺคํ อุตฺตมนฺติ อโตฺถฯ ปรมนฺติ โยธ ญตฺวาติ ตํ ปรมํ ปรมมิเจฺจว โย อิธ สาสเน ญตฺวา ปจฺจเวกฺขณญาเณนฯ อกฺขาติ วิภชเต อิเธว ธมฺมนฺติ นิพฺพานธมฺมํ อกฺขาติ, อตฺตนา ปฎิวิทฺธตฺตา ปเรสํ ปากฎํ กโรติ ‘‘อิทํ นิพฺพาน’’นฺติ, มคฺคธมฺมํ วิภชติ ‘‘อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา…เป.… อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติฯ อุภยมฺปิ วา อุคฺฆฎิตญฺญูนํ สเงฺขปเทสนาย อาจิกฺขติ, วิปญฺจิตญฺญูนํ วิตฺถารเทสนาย วิภชติฯ เอวํ อาจิกฺขโนฺต วิภชโนฺต จ ‘‘อิเธว สาสเน อยํ ธโมฺม, น อิโต พหิทฺธา’’ติ สีหนาทํ นทโนฺต อกฺขาติ จ วิภชติ จฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อกฺขาติ วิภชเต อิเธว ธมฺม’’นฺติฯ ตํ กงฺขฉิทํ มุนิํ อเนชนฺติ ตํ เอวรูปํ จตุสจฺจปฎิเวเธน อตฺตโน, เทสนาย จ ปเรสํ กงฺขเจฺฉทเนน กงฺขจฺฉิทํ , โมเนยฺยสมนฺนาคเมน มุนิํ, เอชาสงฺขาตาย ตณฺหาย อภาวโต อเนชํ ทุติยํ ภิกฺขุนมาหุ มคฺคเทสินฺติฯ
87. Evaṃ bhagavā imāya gāthāya ‘‘maggajina’’nti buddhasamaṇaṃ niddisitvā idāni khīṇāsavasamaṇaṃ niddisanto āha ‘‘paramaṃ paramantī’’ti. Tattha paramaṃ nāma nibbānaṃ, sabbadhammānaṃ aggaṃ uttamanti attho. Paramanti yodha ñatvāti taṃ paramaṃ paramamicceva yo idha sāsane ñatvā paccavekkhaṇañāṇena. Akkhāti vibhajate idheva dhammanti nibbānadhammaṃ akkhāti, attanā paṭividdhattā paresaṃ pākaṭaṃ karoti ‘‘idaṃ nibbāna’’nti, maggadhammaṃ vibhajati ‘‘ime cattāro satipaṭṭhānā…pe… ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti. Ubhayampi vā ugghaṭitaññūnaṃ saṅkhepadesanāya ācikkhati, vipañcitaññūnaṃ vitthāradesanāya vibhajati. Evaṃ ācikkhanto vibhajanto ca ‘‘idheva sāsane ayaṃ dhammo, na ito bahiddhā’’ti sīhanādaṃ nadanto akkhāti ca vibhajati ca. Tena vuttaṃ ‘‘akkhāti vibhajate idheva dhamma’’nti. Taṃ kaṅkhachidaṃ muniṃ anejanti taṃ evarūpaṃ catusaccapaṭivedhena attano, desanāya ca paresaṃ kaṅkhacchedanena kaṅkhacchidaṃ , moneyyasamannāgamena muniṃ, ejāsaṅkhātāya taṇhāya abhāvato anejaṃ dutiyaṃ bhikkhunamāhu maggadesinti.
๘๘. เอวํ อิมาย คาถาย สยํ อนุตฺตรํ มคฺคํ อุปฺปาเทตฺวา เทสนาย อนุตฺตโร มคฺคเทสี สมาโนปิ ทูตมิว เลขวาจกมิว จ รโญฺญ อตฺตโน สาสนหรํ สาสนโชตกญฺจ ‘‘มคฺคเทสิ’’นฺติ ขีณาสวสมณํ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ เสกฺขสมณญฺจ สีลวนฺตปุถุชฺชนสมณญฺจ นิทฺทิสโนฺต อาห ‘‘โย ธมฺมปเท’’ติฯ ตตฺถ ปทวณฺณนา ปากฎาเยวฯ อยํ ปเนตฺถ อตฺถวณฺณนา – โย นิพฺพานธมฺมสฺส ปทตฺตา ธมฺมปเท, อุโภ อเนฺต อนุปคมฺม เทสิตตฺตา อาสยานุรูปโต วา สติปฎฺฐานาทินานปฺปกาเรหิ เทสิตตฺตา สุเทสิเต, มคฺคสมงฺคีปิ อนวสิตมคฺคกิจฺจตฺตา มเคฺค ชีวติ, สีลสํยเมน สญฺญโต, กายาทีสุ สูปฎฺฐิตาย จิรกตาทิสรณาย วา สติยา สติมา, อณุมตฺตสฺสาปิ วชฺชสฺส อภาวโต อนวชฺชตฺตา, โกฎฺฐาสภาเวน จ ปทตฺตา สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธมฺมสงฺขาตานิ อนวชฺชปทานิ ภงฺคญาณโต ปภุติ ภาวนาเสวนาย เสวมาโน, ตํ ภิกฺขุนํ ตติยํ มคฺคชีวินฺติ อาหูติฯ
88. Evaṃ imāya gāthāya sayaṃ anuttaraṃ maggaṃ uppādetvā desanāya anuttaro maggadesī samānopi dūtamiva lekhavācakamiva ca rañño attano sāsanaharaṃ sāsanajotakañca ‘‘maggadesi’’nti khīṇāsavasamaṇaṃ niddisitvā idāni sekkhasamaṇañca sīlavantaputhujjanasamaṇañca niddisanto āha ‘‘yo dhammapade’’ti. Tattha padavaṇṇanā pākaṭāyeva. Ayaṃ panettha atthavaṇṇanā – yo nibbānadhammassa padattā dhammapade, ubho ante anupagamma desitattā āsayānurūpato vā satipaṭṭhānādinānappakārehi desitattā sudesite, maggasamaṅgīpi anavasitamaggakiccattā magge jīvati, sīlasaṃyamena saññato, kāyādīsu sūpaṭṭhitāya cirakatādisaraṇāya vā satiyā satimā, aṇumattassāpi vajjassa abhāvato anavajjattā, koṭṭhāsabhāvena ca padattā sattatiṃsabodhipakkhiyadhammasaṅkhātāni anavajjapadāni bhaṅgañāṇato pabhuti bhāvanāsevanāya sevamāno, taṃ bhikkhunaṃ tatiyaṃ maggajīvinti āhūti.
๘๙. เอวํ ภควา อิมาย คาถาย ‘‘มคฺคชีวิ’’นฺติ เสกฺขสมณํ สีลวนฺตปุถุชฺชนสมณญฺจ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ ตํ ภณฺฑุํ กาสาวกณฺฐํ เกวลํ โวหารมตฺตสมณํ นิทฺทิสโนฺต อาห ‘‘ฉทนํ กตฺวานา’’ติฯ ตตฺถ ฉทนํ กตฺวานาติ ปติรูปํ กริตฺวา, เวสํ คเหตฺวา, ลิงฺคํ ธาเรตฺวาติ อโตฺถฯ สุพฺพตานนฺติ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกานํฯ เตสญฺหิ สุนฺทรานิ วตานิ, ตสฺมา เต สุพฺพตาติ วุจฺจนฺติฯ ปกฺขนฺทีติ ปกฺขนฺทโก, อโนฺต ปวิสโกติ อโตฺถฯ ทุสฺสีโล หิ คูถปฎิจฺฉาทนตฺถํ ติณปณฺณาทิจฺฉทนํ วิย อตฺตโน ทุสฺสีลภาวํ ปฎิจฺฉาทนตฺถํ สุพฺพตานํ ฉทนํ กตฺวา ‘‘อหมฺปิ ภิกฺขู’’ติ ภิกฺขุมเชฺฌ ปกฺขนฺทติ, ‘‘เอตฺตกวเสฺสน ภิกฺขุนา คเหตพฺพํ เอต’’นฺติ ลาเภ ทียมาเน ‘‘อหํ เอตฺตกวโสฺส’’ติ คณฺหิตุํ ปกฺขนฺทติ, เตน วุจฺจติ ‘‘ฉทนํ กตฺวาน สุพฺพตานํ ปกฺขนฺที’’ติฯ จตุนฺนมฺปิ ขตฺติยาทิกุลานํ อุปฺปนฺนํ ปสาทํ อนนุรูปปฎิปตฺติยา ทูเสตีติ กุลทูสโกฯ ปคโพฺภติ อฎฺฐฎฺฐาเนน กายปาคพฺภิเยน, จตุฎฺฐาเนน วจีปาคพฺภิเยน, อเนกฎฺฐาเนน มโนปาคพฺภิเยน จ สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารํ ปน เมตฺตสุตฺตวณฺณนายํ วกฺขามฯ
89. Evaṃ bhagavā imāya gāthāya ‘‘maggajīvi’’nti sekkhasamaṇaṃ sīlavantaputhujjanasamaṇañca niddisitvā idāni taṃ bhaṇḍuṃ kāsāvakaṇṭhaṃ kevalaṃ vohāramattasamaṇaṃ niddisanto āha ‘‘chadanaṃ katvānā’’ti. Tattha chadanaṃ katvānāti patirūpaṃ karitvā, vesaṃ gahetvā, liṅgaṃ dhāretvāti attho. Subbatānanti buddhapaccekabuddhasāvakānaṃ. Tesañhi sundarāni vatāni, tasmā te subbatāti vuccanti. Pakkhandīti pakkhandako, anto pavisakoti attho. Dussīlo hi gūthapaṭicchādanatthaṃ tiṇapaṇṇādicchadanaṃ viya attano dussīlabhāvaṃ paṭicchādanatthaṃ subbatānaṃ chadanaṃ katvā ‘‘ahampi bhikkhū’’ti bhikkhumajjhe pakkhandati, ‘‘ettakavassena bhikkhunā gahetabbaṃ eta’’nti lābhe dīyamāne ‘‘ahaṃ ettakavasso’’ti gaṇhituṃ pakkhandati, tena vuccati ‘‘chadanaṃ katvāna subbatānaṃ pakkhandī’’ti. Catunnampi khattiyādikulānaṃ uppannaṃ pasādaṃ ananurūpapaṭipattiyā dūsetīti kuladūsako. Pagabbhoti aṭṭhaṭṭhānena kāyapāgabbhiyena, catuṭṭhānena vacīpāgabbhiyena, anekaṭṭhānena manopāgabbhiyena ca samannāgatoti attho. Ayamettha saṅkhepo, vitthāraṃ pana mettasuttavaṇṇanāyaṃ vakkhāma.
กตปฎิจฺฉาทนลกฺขณาย มายาย สมนฺนาคตตฺตา มายาวีฯ สีลสํยมาภาเวน อสญฺญโตฯ ปลาปสทิสตฺตา ปลาโปฯ ยถา หิ ปลาโป อโนฺต ตณฺฑุลรหิโตปิ พหิ ถุเสน วีหิ วิย ทิสฺสติ, เอวมิเธกโจฺจ อโนฺต สีลาทิคุณสารวิรหิโตปิ พหิ สุพฺพตจฺฉทเนน สมณเวเสน สมโณ วิย ทิสฺสติฯ โส เอวํ ปลาปสทิสตฺตา ‘‘ปลาโป’’ติ วุจฺจติฯ อานาปานสฺสติสุเตฺต ปน ‘‘อปลาปายํ, ภิกฺขเว, ปริสา, นิปฺปลาปายํ, ภิกฺขเว, ปริสา, สุทฺธา สาเร ปติฎฺฐิตา’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๔๖) เอวํ ปุถุชฺชนกลฺยาโณปิ ‘‘ปลาโป’’ติ วุโตฺต ฯ อิธ ปน กปิลสุเตฺต จ ‘‘ตโต ปลาเป วาเหถ, อสฺสมเณ สมณมานิเน’’ติ (สุ. นิ. ๒๘๔) เอวํ ปราชิตโก ‘‘ปลาโป’’ติ วุโตฺตฯ ปติรูเปน จรํ สมคฺคทูสีติ ตํ สุพฺพตานํ ฉทนํ กตฺวา ยถา จรนฺตํ ‘‘อารญฺญิโก อยํ รุกฺขมูลิโก, ปํสุกูลิโก, ปิณฺฑปาติโก, อปฺปิโจฺฉ, สนฺตุโฎฺฐ’’ติ ชโน ชานาติ, เอวํ ปติรูเปน ยุตฺตรูเปน พาหิรมเฎฺฐน อาจาเรน จรโนฺต ปุคฺคโล อตฺตโน โลกุตฺตรมคฺคสฺส, ปเรสํ สุคติมคฺคสฺส จ ทูสนโต ‘‘มคฺคทูสี’’ติ เวทิตโพฺพฯ
Katapaṭicchādanalakkhaṇāya māyāya samannāgatattā māyāvī. Sīlasaṃyamābhāvena asaññato. Palāpasadisattā palāpo. Yathā hi palāpo anto taṇḍularahitopi bahi thusena vīhi viya dissati, evamidhekacco anto sīlādiguṇasāravirahitopi bahi subbatacchadanena samaṇavesena samaṇo viya dissati. So evaṃ palāpasadisattā ‘‘palāpo’’ti vuccati. Ānāpānassatisutte pana ‘‘apalāpāyaṃ, bhikkhave, parisā, nippalāpāyaṃ, bhikkhave, parisā, suddhā sāre patiṭṭhitā’’ti (ma. ni. 3.146) evaṃ puthujjanakalyāṇopi ‘‘palāpo’’ti vutto . Idha pana kapilasutte ca ‘‘tato palāpe vāhetha, assamaṇe samaṇamānine’’ti (su. ni. 284) evaṃ parājitako ‘‘palāpo’’ti vutto. Patirūpena caraṃ samaggadūsīti taṃ subbatānaṃ chadanaṃ katvā yathā carantaṃ ‘‘āraññiko ayaṃ rukkhamūliko, paṃsukūliko, piṇḍapātiko, appiccho, santuṭṭho’’ti jano jānāti, evaṃ patirūpena yuttarūpena bāhiramaṭṭhena ācārena caranto puggalo attano lokuttaramaggassa, paresaṃ sugatimaggassa ca dūsanato ‘‘maggadūsī’’ti veditabbo.
๙๐. เอวํ อิมาย คาถาย ‘‘มคฺคทูสี’’ติ ทุสฺสีลํ โวหารมตฺตกสมณํ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ เตสํ อญฺญมญฺญํ อพฺยามิสฺสีภาวํ ทีเปโนฺต อาห ‘‘เอเต จ ปฎิวิชฺฌี’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – เอเต จตุโร สมเณ ยถาวุเตฺตน ลกฺขเณน ปฎิวิชฺฌิ อญฺญาสิ สจฺฉากาสิ โย คหโฎฺฐ ขตฺติโย วา พฺราหฺมโณ วา อโญฺญ วา โกจิ, อิเมสํ จตุนฺนํ สมณานํ ลกฺขณสฺสวนมเตฺตน สุตวา, ตเสฺสว ลกฺขณสฺส อริยานํ สนฺติเก สุตตฺตา อริยสาวโก, เตเยว สมเณ ‘‘อยญฺจ อยญฺจ เอวํลกฺขโณ’’ติ ปชานนมเตฺตน สปฺปโญฺญ, ยาทิโส อยํ ปจฺฉา วุโตฺต มคฺคทูสี, อิตเรปิ สเพฺพ เนตาทิสาติ ญตฺวา อิติ ทิสฺวา เอวํ ปาปํ กโรนฺตมฺปิ เอตํ ปาปภิกฺขุํ ทิสฺวาฯ ตตฺถายํ โยชนา – เอเต จ ปฎิวิชฺฌิ โย คหโฎฺฐ สุตวา อริยสาวโก สปฺปโญฺญ, ตสฺส ตาย ปญฺญาย สเพฺพ ‘‘เนตาทิสา’’ติ ญตฺวา วิหรโต อิติ ทิสฺวา น หาเปติ สทฺธา, เอวํ ปาปกมฺมํ กโรนฺตํ ปาปภิกฺขุํ ทิสฺวาปิ น หาเปติ, น หายติ, น นสฺสติ สทฺธาติฯ
90. Evaṃ imāya gāthāya ‘‘maggadūsī’’ti dussīlaṃ vohāramattakasamaṇaṃ niddisitvā idāni tesaṃ aññamaññaṃ abyāmissībhāvaṃ dīpento āha ‘‘ete ca paṭivijjhī’’ti. Tassattho – ete caturo samaṇe yathāvuttena lakkhaṇena paṭivijjhi aññāsi sacchākāsi yo gahaṭṭho khattiyo vā brāhmaṇo vā añño vā koci, imesaṃ catunnaṃ samaṇānaṃ lakkhaṇassavanamattena sutavā, tasseva lakkhaṇassa ariyānaṃ santike sutattā ariyasāvako, teyeva samaṇe ‘‘ayañca ayañca evaṃlakkhaṇo’’ti pajānanamattena sappañño, yādiso ayaṃ pacchā vutto maggadūsī, itarepi sabbe netādisāti ñatvā iti disvā evaṃ pāpaṃ karontampi etaṃ pāpabhikkhuṃ disvā. Tatthāyaṃ yojanā – ete ca paṭivijjhi yo gahaṭṭho sutavā ariyasāvako sappañño, tassa tāya paññāya sabbe ‘‘netādisā’’ti ñatvā viharato iti disvā na hāpeti saddhā, evaṃ pāpakammaṃ karontaṃ pāpabhikkhuṃ disvāpi na hāpeti, na hāyati, na nassati saddhāti.
เอวํ อิมาย คาถาย เตสํ อพฺยามิสฺสีภาวํ ทีเปตฺวา อิทานิ อิติ ทิสฺวาปิ ‘‘สเพฺพ เนตาทิสา’’ติ ชานนฺตํ อริยสาวกํ ปสํสโนฺต อาห ‘‘กถญฺหิ ทุเฎฺฐนา’’ติฯ ตสฺส สมฺพโนฺธ – เอตเทว จ ยุตฺตํ สุตวโต อริยสาวกสฺส, ยทิทํ เอกจฺจํ ปาปํ กโรนฺตํ อิติ ทิสฺวาปิ สเพฺพ ‘‘เนตาทิสา’’ติ ชานนํฯ กิํ การณา? กถญฺหิ ทุเฎฺฐน อสมฺปทุฎฺฐํ, สุทฺธํ อสุเทฺธน สมํ กเรยฺยาติ? ตสฺสโตฺถ – กถญฺหิ สุตวา อริยสาวโก สปฺปโญฺญ, สีลวิปตฺติยา ทุเฎฺฐน มคฺคทูสินา อทุฎฺฐํ อิตรํ สมณตฺตยํ, สุทฺธํ สมณตฺตยเมวํ อปริสุทฺธกายสมาจารตาทีหิ อสุเทฺธน ปจฺฉิเมน โวหารมตฺตกสมเณน สมํ กเรยฺย สทิสนฺติ ชาเนยฺยาติฯ สุตฺตปริโยสาเน อุปาสกสฺส มโคฺค วา ผลํ วา น กถิตํฯ กงฺขามตฺตเมว หิ ตสฺส ปหีนนฺติฯ
Evaṃ imāya gāthāya tesaṃ abyāmissībhāvaṃ dīpetvā idāni iti disvāpi ‘‘sabbe netādisā’’ti jānantaṃ ariyasāvakaṃ pasaṃsanto āha ‘‘kathañhi duṭṭhenā’’ti. Tassa sambandho – etadeva ca yuttaṃ sutavato ariyasāvakassa, yadidaṃ ekaccaṃ pāpaṃ karontaṃ iti disvāpi sabbe ‘‘netādisā’’ti jānanaṃ. Kiṃ kāraṇā? Kathañhi duṭṭhena asampaduṭṭhaṃ, suddhaṃ asuddhena samaṃ kareyyāti? Tassattho – kathañhi sutavā ariyasāvako sappañño, sīlavipattiyā duṭṭhena maggadūsinā aduṭṭhaṃ itaraṃ samaṇattayaṃ, suddhaṃ samaṇattayamevaṃ aparisuddhakāyasamācāratādīhi asuddhena pacchimena vohāramattakasamaṇena samaṃ kareyya sadisanti jāneyyāti. Suttapariyosāne upāsakassa maggo vā phalaṃ vā na kathitaṃ. Kaṅkhāmattameva hi tassa pahīnanti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย จุนฺทสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya cundasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๕. จุนฺทสุตฺตํ • 5. Cundasuttaṃ