Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๕. จุนฺทสุตฺตวณฺณนา
5. Cundasuttavaṇṇanā
๗๕. ปญฺจเม มเลฺลสูติ เอวํนามเก ชนปเทฯ มหตา ภิกฺขุสเงฺฆนาติ คุณมหตฺตสงฺขฺยามหเตฺตหิ มหตาฯ โส หิ ภิกฺขุสโงฺฆ สีลาทิคุณวิเสสโยเคนปิ มหา ตตฺถ สพฺพปจฺฉิมกสฺส โสตาปนฺนภาวโต, สงฺขฺยามหเตฺตนปิ มหา อปริจฺฉินฺนคณนตฺตาฯ อายุสงฺขาโรสฺสชฺชนโต ปฎฺฐาย หิ อาคตาคตา ภิกฺขู น ปกฺกมิํสุฯ จุนฺทสฺสาติ เอวํนามกสฺสฯ กมฺมารปุตฺตสฺสาติ สุวณฺณการปุตฺตสฺสฯ โส กิร อโฑฺฒ มหากุฎุมฺพิโก ภควโต ปฐมทสฺสเนเนว โสตาปโนฺน หุตฺวา อตฺตโน อมฺพวเน สตฺถุวสนานุจฺฉวิกํ คนฺธกุฎิํ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานอุปฎฺฐานสาลากุฎิมณฺฑปจงฺกมนาทิเก จ สมฺปาเทตฺวา ปาการปริกฺขิตฺตํ ทฺวารโกฎฺฐกยุตฺตํ วิหารํ กตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส นิยฺยาเทสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ตตฺร สุทํ ภควา ปาวายํ วิหรติ จุนฺทสฺส กมฺมารปุตฺตสฺส อมฺพวเน’’ติฯ
75. Pañcame mallesūti evaṃnāmake janapade. Mahatā bhikkhusaṅghenāti guṇamahattasaṅkhyāmahattehi mahatā. So hi bhikkhusaṅgho sīlādiguṇavisesayogenapi mahā tattha sabbapacchimakassa sotāpannabhāvato, saṅkhyāmahattenapi mahā aparicchinnagaṇanattā. Āyusaṅkhārossajjanato paṭṭhāya hi āgatāgatā bhikkhū na pakkamiṃsu. Cundassāti evaṃnāmakassa. Kammāraputtassāti suvaṇṇakāraputtassa. So kira aḍḍho mahākuṭumbiko bhagavato paṭhamadassaneneva sotāpanno hutvā attano ambavane satthuvasanānucchavikaṃ gandhakuṭiṃ, bhikkhusaṅghassa ca rattiṭṭhānadivāṭṭhānaupaṭṭhānasālākuṭimaṇḍapacaṅkamanādike ca sampādetvā pākāraparikkhittaṃ dvārakoṭṭhakayuttaṃ vihāraṃ katvā buddhappamukhassa saṅghassa niyyādesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘tatra sudaṃ bhagavā pāvāyaṃ viharati cundassa kammāraputtassa ambavane’’ti.
ปฎิยาทาเปตฺวาติ สมฺปาเทตฺวาฯ ‘‘สูกรมทฺทวนฺติ สูกรสฺส มุทุสินิทฺธํ ปวตฺตมํส’’นฺติ มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘สูกรมทฺทวนฺติ น สูกรมํสํ, สูกเรหิ มทฺทิตวํสกฬีโร’’ติ วทนฺติฯ อเญฺญ ‘‘สูกเรหิ มทฺทิตปฺปเทเส ชาตํ อหิฉตฺตก’’นฺติฯ อปเร ปน ‘‘สูกรมทฺทวํ นาม เอกํ รสายน’’นฺติ ภณิํสุ ฯ ตญฺหิ จุโนฺท กมฺมารปุโตฺต ‘‘อชฺช ภควา ปรินิพฺพายิสฺสตี’’ติ สุตฺวา ‘‘อเปฺปว นาม นํ ปริภุญฺชิตฺวา จิรตรํ ติเฎฺฐยฺยา’’ติ สตฺถุ จิรชีวิตุกมฺยตาย อทาสีติ วทนฺติฯ
Paṭiyādāpetvāti sampādetvā. ‘‘Sūkaramaddavanti sūkarassa mudusiniddhaṃ pavattamaṃsa’’nti mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Keci pana ‘‘sūkaramaddavanti na sūkaramaṃsaṃ, sūkarehi madditavaṃsakaḷīro’’ti vadanti. Aññe ‘‘sūkarehi madditappadese jātaṃ ahichattaka’’nti. Apare pana ‘‘sūkaramaddavaṃ nāma ekaṃ rasāyana’’nti bhaṇiṃsu . Tañhi cundo kammāraputto ‘‘ajja bhagavā parinibbāyissatī’’ti sutvā ‘‘appeva nāma naṃ paribhuñjitvā cirataraṃ tiṭṭheyyā’’ti satthu cirajīvitukamyatāya adāsīti vadanti.
เตน มํ ปริวิสาติ เตน มมํ โภเชหิฯ กสฺมา ภควา เอวมาห? ปรานุทฺทยตายฯ ตญฺจ การณํ ปาฬิยํ วุตฺตเมวฯ เตน อภิหฎภิกฺขาย ปเรสํ อปริโภคารหโต จ ตถา วตฺตุํ วฎฺฎตีติ ทสฺสิตํ โหติฯ ตสฺมิํ กิร สูกรมทฺทเว ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ เทวตา โอชํ ปกฺขิปิํสุฯ ตสฺมา ตํ อโญฺญ โกจิ สมฺมา ชีราเปตุํ น สโกฺกติ, ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ปรูปวาทโมจนตฺถํ ‘‘นาหํ ตํ, จุนฺท, ปสฺสามี’’ติอาทินา สีหนาทํ นทิฯ เย หิ ปเร อุปวเทยฺยุํ ‘‘อตฺตนา ปริภุตฺตาวเสสํ เนว ภิกฺขูนํ, น อเญฺญสํ มนุสฺสานํ อทาสิ, อาวาเฎ นิขณาเปตฺวา วินาเสสี’’ติ, ‘‘เตสํ วจโนกาโส มา โหตู’’ติ ปรูปวาทโมจนตฺถํ สีหนาทํ นทิฯ
Tena maṃ parivisāti tena mamaṃ bhojehi. Kasmā bhagavā evamāha? Parānuddayatāya. Tañca kāraṇaṃ pāḷiyaṃ vuttameva. Tena abhihaṭabhikkhāya paresaṃ aparibhogārahato ca tathā vattuṃ vaṭṭatīti dassitaṃ hoti. Tasmiṃ kira sūkaramaddave dvisahassadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu devatā ojaṃ pakkhipiṃsu. Tasmā taṃ añño koci sammā jīrāpetuṃ na sakkoti, tamatthaṃ pakāsento satthā parūpavādamocanatthaṃ ‘‘nāhaṃ taṃ, cunda, passāmī’’tiādinā sīhanādaṃ nadi. Ye hi pare upavadeyyuṃ ‘‘attanā paribhuttāvasesaṃ neva bhikkhūnaṃ, na aññesaṃ manussānaṃ adāsi, āvāṭe nikhaṇāpetvā vināsesī’’ti, ‘‘tesaṃ vacanokāso mā hotū’’ti parūpavādamocanatthaṃ sīhanādaṃ nadi.
ตตฺถ สเทวเกติอาทีสุ สห เทเวหีติ สเทวโก, สห มาเรนาติ สมารโก, สห พฺรหฺมุนาติ สพฺรหฺมโก, สห สมณพฺราหฺมเณหีติ สสฺสมณพฺราหฺมณี, ปชาตตฺตา ปชา, สห เทวมนุเสฺสหีติ สเทวมนุสฺสาฯ ตสฺมิํ สเทวเก โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสายฯ ตตฺถ สเทวกวจเนน ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณํ, สมารกวจเนน ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํ, สพฺรหฺมกวจเนน พฺรหฺมกายิกาทิพฺรหฺมคฺคหณํ, สสฺสมณพฺราหฺมณีวจเนน สาสนสฺส ปจฺจตฺถิกปจฺจามิตฺตสมณพฺราหฺมณคฺคหณํ สมิตปาปพาหิตปาปสมณพฺราหฺมณคฺคหณญฺจ, ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณํ, สเทวมนุสฺสวจเนน สมฺมุติเทวอวเสสมนุสฺสคฺคหณํฯ เอวเมตฺถ ตีหิ ปเทหิ โอกาสโลกวเสน, ทฺวีหิ ปชาวเสน สตฺตโลโก คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ อปโร นโย – สเทวกวจเนน อรูปาวจรโลโก คหิโต, สมารกวจเนน ฉกามาวจรเทวโลโก, สพฺรหฺมกวจเนน รูปี พฺรหฺมโลโก, สสฺสมณพฺราหฺมณวจเนน จตุปริสวเสน สมฺมุติเทเวหิ สห มนุสฺสโลโก, อวเสสสตฺตโลโก วา คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha sadevaketiādīsu saha devehīti sadevako, saha mārenāti samārako, saha brahmunāti sabrahmako, saha samaṇabrāhmaṇehīti sassamaṇabrāhmaṇī, pajātattā pajā, saha devamanussehīti sadevamanussā. Tasmiṃ sadevake loke…pe… sadevamanussāya. Tattha sadevakavacanena pañcakāmāvacaradevaggahaṇaṃ, samārakavacanena chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ, sabrahmakavacanena brahmakāyikādibrahmaggahaṇaṃ, sassamaṇabrāhmaṇīvacanena sāsanassa paccatthikapaccāmittasamaṇabrāhmaṇaggahaṇaṃ samitapāpabāhitapāpasamaṇabrāhmaṇaggahaṇañca, pajāvacanena sattalokaggahaṇaṃ, sadevamanussavacanena sammutidevaavasesamanussaggahaṇaṃ. Evamettha tīhi padehi okāsalokavasena, dvīhi pajāvasena sattaloko gahitoti veditabbo. Aparo nayo – sadevakavacanena arūpāvacaraloko gahito, samārakavacanena chakāmāvacaradevaloko, sabrahmakavacanena rūpī brahmaloko, sassamaṇabrāhmaṇavacanena catuparisavasena sammutidevehi saha manussaloko, avasesasattaloko vā gahitoti veditabbo.
ภุตฺตาวิสฺสาติ ภุตฺตวโตฯ ขโรติ ผรุโสฯ อาพาโธติ วิสภาคโรโคฯ ปพาฬฺหาติ พลวติโยฯ มารณนฺติกาติ มรณนฺตา มรณสมีปปาปนสมตฺถาฯ สโต สมฺปชาโน อธิวาเสสีติ สติํ อุปฎฺฐิตํ กตฺวา ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา อธิวาเสสิฯ อวิหญฺญมาโนติ เวทนานุวตฺตนวเสน อสลฺลกฺขิตธโมฺม วิย อปราปรํ ปริวตฺตนํ อกโรโนฺต อปีฬิยมาโน อทุกฺขิยมาโน วิย อธิวาเสสิฯ ภควโต หิ เวฬุวคามเกเยว ตา เวทนา อุปฺปนฺนา, สมาปตฺติพเลน ปน วิกฺขมฺภิตา ยาว ปรินิพฺพานทิวสา น อุปฺปชฺชิํสุ ทิวเส ทิวเส สมาปตฺตีหิ ปฎิปณามนโตฯ ตํ ทิวสํ ปน ปรินิพฺพายิตุกาโม ‘‘โกฎิสหสฺสหตฺถีนํ พลํ ธาเรนฺตานํ วชิรสงฺฆาตสมานกายานํ อปริมิตกาลํ อุปจิตปุญฺญสมฺภารานมฺปิ ภเว สติ เอวรูปา เวทนา ปวตฺตนฺติ, กิมงฺคํ ปน อเญฺญส’’นฺติ สตฺตานํ สํเวคชนนตฺถํ สมาปตฺติํ น สมาปชฺชิ, เตน เวทนา ขรา วตฺติํสุฯ อายามาติ เอหิ ยามฯ
Bhuttāvissāti bhuttavato. Kharoti pharuso. Ābādhoti visabhāgarogo. Pabāḷhāti balavatiyo. Māraṇantikāti maraṇantā maraṇasamīpapāpanasamatthā. Sato sampajāno adhivāsesīti satiṃ upaṭṭhitaṃ katvā ñāṇena paricchinditvā adhivāsesi. Avihaññamānoti vedanānuvattanavasena asallakkhitadhammo viya aparāparaṃ parivattanaṃ akaronto apīḷiyamāno adukkhiyamāno viya adhivāsesi. Bhagavato hi veḷuvagāmakeyeva tā vedanā uppannā, samāpattibalena pana vikkhambhitā yāva parinibbānadivasā na uppajjiṃsu divase divase samāpattīhi paṭipaṇāmanato. Taṃ divasaṃ pana parinibbāyitukāmo ‘‘koṭisahassahatthīnaṃ balaṃ dhārentānaṃ vajirasaṅghātasamānakāyānaṃ aparimitakālaṃ upacitapuññasambhārānampi bhave sati evarūpā vedanā pavattanti, kimaṅgaṃ pana aññesa’’nti sattānaṃ saṃvegajananatthaṃ samāpattiṃ na samāpajji, tena vedanā kharā vattiṃsu. Āyāmāti ehi yāma.
จุนฺทสฺส ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวาติอาทิกา อปรภาเค ธมฺมสงฺคาหเกหิ ฐปิตา คาถาฯ ตตฺถ ภุตฺตสฺส จ สูกรมทฺทเวนาติ ภุตฺตสฺส อุทปาทิ, น ปน ภุตฺตปจฺจยาฯ ยทิ หิ อภุตฺตสฺส อุปฺปชฺชิสฺสา, อติขโร อภวิสฺสา, สินิทฺธโภชนํ ปน ภุตฺตตฺตา ตนุกา เวทนา อโหสิ, เตเนว ปทสา คนฺตุํ อสกฺขิฯ เอเตน ยฺวายํ ‘‘ยสฺส ตํ ปริภุตฺตํ สมฺมา ปริณามํ คเจฺฉยฺย อญฺญตฺร ตถาคตสฺสา’’ติ สีหนาโท นทิโต, ตสฺส สาตฺถกตา ทสฺสิตาฯ พุทฺธานญฺหิ อฎฺฐาเน คชฺชิตํ นาม นตฺถิฯ ยสฺมา ตํ ปริภุตฺตํ ภควโต น กิญฺจิ วิการํ อุปฺปาเทสิ, กเมฺมน ปน ลโทฺธกาเสน อุปฺปาทิยมานํ วิการํ อปฺปมตฺตตาย อุปสเมโนฺต สรีเร พลํ อุปฺปาเทสิ, เยน ยถา วกฺขมานํ ติวิธํ ปโยชนํ สมฺปาเทสิ, ตสฺมา สมฺมเทว ตํ ปริณามํ คตํ, มารณนฺติกตฺตา ปน เวทนานํ อวิญฺญาตํ อปากฎํ อโหสีติฯ วิริจฺจมาโนติ อภิณฺหํ ปวตฺตโลหิตวิเรจโนว สมาโนฯ อโวจาติ อตฺตนา อิจฺฉิตฎฺฐาเน ปรินิพฺพานตฺถาย เอวมาหฯ
Cundassa bhattaṃ bhuñjitvātiādikā aparabhāge dhammasaṅgāhakehi ṭhapitā gāthā. Tattha bhuttassa ca sūkaramaddavenāti bhuttassa udapādi, na pana bhuttapaccayā. Yadi hi abhuttassa uppajjissā, atikharo abhavissā, siniddhabhojanaṃ pana bhuttattā tanukā vedanā ahosi, teneva padasā gantuṃ asakkhi. Etena yvāyaṃ ‘‘yassa taṃ paribhuttaṃ sammā pariṇāmaṃ gaccheyya aññatra tathāgatassā’’ti sīhanādo nadito, tassa sātthakatā dassitā. Buddhānañhi aṭṭhāne gajjitaṃ nāma natthi. Yasmā taṃ paribhuttaṃ bhagavato na kiñci vikāraṃ uppādesi, kammena pana laddhokāsena uppādiyamānaṃ vikāraṃ appamattatāya upasamento sarīre balaṃ uppādesi, yena yathā vakkhamānaṃ tividhaṃ payojanaṃ sampādesi, tasmā sammadeva taṃ pariṇāmaṃ gataṃ, māraṇantikattā pana vedanānaṃ aviññātaṃ apākaṭaṃ ahosīti. Viriccamānoti abhiṇhaṃ pavattalohitavirecanova samāno. Avocāti attanā icchitaṭṭhāne parinibbānatthāya evamāha.
กสฺมา ปน ภควา เอวํ โรเค อุปฺปเนฺน กุสินารํ อคมาสิ, กิํ อญฺญตฺถ น สกฺกา ปรินิพฺพายิตุนฺติ? ปรินิพฺพายิตุํ นาม น กตฺถจิ น สกฺกา, เอวํ ปน จิเนฺตสิ – มยิ กุสินารํ คเต มหาสุทสฺสนสุตฺตเทสนาย (ที. นิ. ๒.๒๔๑) อฎฺฐุปฺปตฺติ ภวิสฺสติ, ตาย ยา เทวโลเก อนุภวิตพฺพสทิสา สมฺปตฺติ มนุสฺสโลเก มยา อนุภูตา, ตํ ทฺวีหิ ภาณวาเรหิ ปฎิมเณฺฑตฺวา เทเสสฺสามิ, ตํ สุตฺวา พหู ชนา กุสลํ กตฺตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติฯ สุภโทฺทปิ กตฺถ มํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสชฺชนปริโยสาเน สรเณสุ ปติฎฺฐาย ปพฺพชิตฺวา ลทฺธูปสมฺปโท กมฺมฎฺฐานํ ภาเวตฺวา มยิ ธรเนฺตเยว อรหตฺตํ ปตฺวา ปจฺฉิมสาวโก นาม ภวิสฺสติฯ อญฺญตฺถ มยิ ปรินิพฺพุเต ธาตุนิมิตฺตํ มหากลโห ภวิสฺสติ, โลหิตํ นที วิย สนฺทิสฺสติฯ กุสินารายํ ปน ปรินิพฺพุเต โทณพฺราหฺมโณ ตํ วิวาทํ วูปสเมตฺวา ธาตุโย วิภชิตฺวา ทสฺสตีติ อิมานิ ตีณิ การณานิ ปสฺสโนฺต ภควา มหตา อุสฺสาเหน กุสินารํ อคมาสิฯ
Kasmā pana bhagavā evaṃ roge uppanne kusināraṃ agamāsi, kiṃ aññattha na sakkā parinibbāyitunti? Parinibbāyituṃ nāma na katthaci na sakkā, evaṃ pana cintesi – mayi kusināraṃ gate mahāsudassanasuttadesanāya (dī. ni. 2.241) aṭṭhuppatti bhavissati, tāya yā devaloke anubhavitabbasadisā sampatti manussaloke mayā anubhūtā, taṃ dvīhi bhāṇavārehi paṭimaṇḍetvā desessāmi, taṃ sutvā bahū janā kusalaṃ kattabbaṃ maññissanti. Subhaddopi kattha maṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchitvā vissajjanapariyosāne saraṇesu patiṭṭhāya pabbajitvā laddhūpasampado kammaṭṭhānaṃ bhāvetvā mayi dharanteyeva arahattaṃ patvā pacchimasāvako nāma bhavissati. Aññattha mayi parinibbute dhātunimittaṃ mahākalaho bhavissati, lohitaṃ nadī viya sandissati. Kusinārāyaṃ pana parinibbute doṇabrāhmaṇo taṃ vivādaṃ vūpasametvā dhātuyo vibhajitvā dassatīti imāni tīṇi kāraṇāni passanto bhagavā mahatā ussāhena kusināraṃ agamāsi.
อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ กิลโนฺตสฺมีติ ปริสฺสโนฺต อสฺมิฯ เตน ยถาวุตฺตเวทนานํ พลวภาวํ เอว ทเสฺสติฯ ภควา หิ อตฺตโน อานุภาเวน ตทา ปทสา อคมาสิ, อเญฺญสํ ปน ยถา ปทุทฺธารมฺปิ กาตุํ น สกฺกา, ตถา เวทนา ติขิณา ขรา กฎุกา วตฺติํสุฯ เตเนวาห ‘‘นิสีทิสฺสามี’’ติฯ
Iṅghāti codanatthe nipāto. Kilantosmīti parissanto asmi. Tena yathāvuttavedanānaṃ balavabhāvaṃ eva dasseti. Bhagavā hi attano ānubhāvena tadā padasā agamāsi, aññesaṃ pana yathā paduddhārampi kātuṃ na sakkā, tathā vedanā tikhiṇā kharā kaṭukā vattiṃsu. Tenevāha ‘‘nisīdissāmī’’ti.
อิทานีติ อธุนาฯ ลุฬิตนฺติ มทฺทิตํ วิย อากุลํฯ อาวิลนฺติ อาลุลํฯ อโจฺฉทกาติ ตนุปสนฺนสลิลาฯ สาโตทกาติ มธุรโตยาฯ สีโตทกาติ สีตลชลาฯ เสโตทกาติ นิกฺกทฺทมา ฯ อุทกญฺหิ สภาวโต เสตวณฺณํ, ภูมิวเสน กทฺทมาวิลตาย จ อญฺญาทิสํ โหติ, กกุธาปิ นที วิมลวาลิกา สโมกิณฺณา เสตวณฺณา สนฺทติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เสโตทกา’’ติฯ สุปติตฺถาติ สุนฺทรติตฺถาฯ รมณียาติ มโนหรภูมิภาคตาย รมิตพฺพา ยถาวุตฺตอุทกสมฺปตฺติยา จ มโนรมาฯ
Idānīti adhunā. Luḷitanti madditaṃ viya ākulaṃ. Āvilanti ālulaṃ. Acchodakāti tanupasannasalilā. Sātodakāti madhuratoyā. Sītodakāti sītalajalā. Setodakāti nikkaddamā . Udakañhi sabhāvato setavaṇṇaṃ, bhūmivasena kaddamāvilatāya ca aññādisaṃ hoti, kakudhāpi nadī vimalavālikā samokiṇṇā setavaṇṇā sandati. Tena vuttaṃ ‘‘setodakā’’ti. Supatitthāti sundaratitthā. Ramaṇīyāti manoharabhūmibhāgatāya ramitabbā yathāvuttaudakasampattiyā ca manoramā.
กิลโนฺตสฺมิ จุนฺทก, นิปชฺชิสฺสามีติ ตถาคตสฺส หิ –
Kilantosmi cundaka, nipajjissāmīti tathāgatassa hi –
‘‘กาฬาวกญฺจ คเงฺคยฺยํ, ปณฺฑรํ ตมฺพปิงฺคลํ;
‘‘Kāḷāvakañca gaṅgeyyaṃ, paṇḍaraṃ tambapiṅgalaṃ;
คนฺธมงฺคลเหมญฺจ, อุโปสถฉทฺทนฺติเม ทสา’’ติฯ –
Gandhamaṅgalahemañca, uposathachaddantime dasā’’ti. –
เอวํ วุเตฺตสุ ทสสุ หตฺถิกุเลสุ กาฬาวกสงฺขาตานํ ยํ ทสนฺนํ ปกติหตฺถีนํ พลํ, ตํ เอกสฺส คเงฺคยฺยสฺสาติ เอวํ ทสคุณิตาย คณนาย ปกติหตฺถีนํ โกฎิสหสฺสพลปฺปมาณํ สรีรพลํฯ ตํ สพฺพมฺปิ ตสฺมิํ ทิวเส ปจฺฉาภตฺตโต ปฎฺฐาย จงฺควาเร ปกฺขิตฺตอุทกํ วิย ปริกฺขยํ คตํฯ ปาวาย ติคาวุเต กุสินาราฯ เอตสฺมิํ อนฺตเร ปญฺจวีสติยา ฐาเนสุ นิสีทิตฺวา มหนฺตํ อุสฺสาหํ กตฺวา อาคจฺฉโนฺต สูริยตฺถงฺคมนเวลาย ภควา กุสินารํ ปาปุณีติ เอวํ ‘‘โรโค นาม สพฺพํ อาโรคฺยํ มทฺทโนฺต อาคจฺฉตี’’ติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต สเทวกสฺส โลกสฺส สํเวคกรํ วาจํ ภาสโนฺต ‘‘กิลโนฺตสฺมิ, จุนฺทก, นิปชฺชิสฺสามี’’ติ อาหฯ
Evaṃ vuttesu dasasu hatthikulesu kāḷāvakasaṅkhātānaṃ yaṃ dasannaṃ pakatihatthīnaṃ balaṃ, taṃ ekassa gaṅgeyyassāti evaṃ dasaguṇitāya gaṇanāya pakatihatthīnaṃ koṭisahassabalappamāṇaṃ sarīrabalaṃ. Taṃ sabbampi tasmiṃ divase pacchābhattato paṭṭhāya caṅgavāre pakkhittaudakaṃ viya parikkhayaṃ gataṃ. Pāvāya tigāvute kusinārā. Etasmiṃ antare pañcavīsatiyā ṭhānesu nisīditvā mahantaṃ ussāhaṃ katvā āgacchanto sūriyatthaṅgamanavelāya bhagavā kusināraṃ pāpuṇīti evaṃ ‘‘rogo nāma sabbaṃ ārogyaṃ maddanto āgacchatī’’ti imamatthaṃ dassento sadevakassa lokassa saṃvegakaraṃ vācaṃ bhāsanto ‘‘kilantosmi, cundaka, nipajjissāmī’’ti āha.
สีหเสยฺยนฺติ เอตฺถ กามโภคีเสยฺยา เปตเสยฺยา ตถาคตเสยฺยา สีหเสยฺยาติ จตโสฺส เสยฺยาฯ ตตฺถ ‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว, กามโภคี วาเมน ปเสฺสน เสยฺยํ กเปฺปนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ กามโภคีเสยฺยาฯ ‘‘เยภุเยฺยน , ภิกฺขเว, เปตา อุตฺตานา เสนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ เปตเสยฺยาฯ จตุตฺถชฺฌานํ ตถาคตเสยฺยาฯ ‘‘สีโห, ภิกฺขเว, มิคราชา ทกฺขิเณน ปเสฺสน เสยฺยํ กเปฺปตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ สีหเสยฺยาฯ อยญฺหิ เตชุสฺสทอิริยาปถตฺตา อุตฺตมเสยฺยา นามฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทกฺขิเณน ปเสฺสน สีหเสยฺยํ กเปฺปสี’’ติฯ ปาเท ปาทนฺติ ทกฺขิณปาเท วามปาทํฯ อจฺจาธายาติ อติอาธาย, โคปฺผกํ อติกฺกมฺม ฐเปตฺวาฯ โคปฺผเกน หิ โคปฺผเก, ชาณุนา ชาณุมฺหิ สงฺฆฎฺฎิยมาเน อภิณฺหํ เวทนา อุปฺปชฺชนฺติ , เสยฺยา ผาสุกา น โหติฯ ยถา ปน น สงฺฆเฎฺฎติ, เอวํ อติกฺกมฺม ฐปิเต เวทนา นุปฺปชฺชนฺติ, เสยฺยา ผาสุกา โหติฯ ตสฺมา เอวํ นิปชฺชิฯ
Sīhaseyyanti ettha kāmabhogīseyyā petaseyyā tathāgataseyyā sīhaseyyāti catasso seyyā. Tattha ‘‘yebhuyyena, bhikkhave, kāmabhogī vāmena passena seyyaṃ kappentī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ kāmabhogīseyyā. ‘‘Yebhuyyena , bhikkhave, petā uttānā sentī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ petaseyyā. Catutthajjhānaṃ tathāgataseyyā. ‘‘Sīho, bhikkhave, migarājā dakkhiṇena passena seyyaṃ kappetī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ sīhaseyyā. Ayañhi tejussadairiyāpathattā uttamaseyyā nāma. Tena vuttaṃ – ‘‘dakkhiṇena passena sīhaseyyaṃ kappesī’’ti. Pāde pādanti dakkhiṇapāde vāmapādaṃ. Accādhāyāti atiādhāya, gopphakaṃ atikkamma ṭhapetvā. Gopphakena hi gopphake, jāṇunā jāṇumhi saṅghaṭṭiyamāne abhiṇhaṃ vedanā uppajjanti , seyyā phāsukā na hoti. Yathā pana na saṅghaṭṭeti, evaṃ atikkamma ṭhapite vedanā nuppajjanti, seyyā phāsukā hoti. Tasmā evaṃ nipajji.
คนฺตฺวาน พุโทฺธติ อิมา คาถา อปรภาเค ธมฺมสงฺคาหเกหิ ฐปิตาฯ ตตฺถ นทิกนฺติ นทิํฯ อปฺปฎิโมธ โลเกติ อปฺปฎิโม อิธ อิมสฺมิํ สเทวเก โลเกฯ นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จุทตารีติ คตฺตานํ สีติกรณวเสน นฺหตฺวา จ ปานียํ ปิวิตฺวา จ นทิโต อุตฺตริฯ ตทา กิร ภควติ นฺหายเนฺต อโนฺตนทิยํ มจฺฉกจฺฉปา, อุทกํ, อุโภสุ ตีเรสุ วนสโณฺฑ, สโพฺพ จ โส ภูมิภาโคติ สพฺพํ สุวณฺณวณฺณเมว อโหสิฯ ปุรกฺขโตติ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุภาวโต สเทวเกน โลเกน ปูชาสมฺมานวเสน ปุรกฺขโตฯ ภิกฺขุคณสฺส มเชฺฌติ ภิกฺขุสงฺฆสฺส มเชฺฌฯ ตทา ภิกฺขู ภควโต เวทนานํ อธิมตฺตภาวํ วิทิตฺวา อาสนฺนา หุตฺวา สมนฺตโต ปริวาเรตฺวาว คจฺฉนฺติฯ สตฺถาติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ สตฺตานํ อนุสาสนโต สตฺถาฯ ปวตฺตา ภควา อิธ ธเมฺมติ ภาคฺยวนฺตตาทีหิ ภควา อิธ สีลาทิสาสนธเมฺม ปวตฺตา, ธเมฺม วา จตุราสีติธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานิ ปวตฺตา ปวเตฺตตาฯ อมฺพวนนฺติ ตสฺสา เอว นทิยา ตีเร อมฺพวนํฯ อามนฺตยิ จุนฺทกนฺติ ตสฺมิํ กิร ขเณ อายสฺมา อานโนฺท อุทกสาฎิกํ ปีเฬโนฺต โอหียิ, จุนฺทกเตฺถโร สมีเป อโหสิฯ ตสฺมา ตํ ภควา อามนฺตยิฯ ปมุเข นิสีทีติ วตฺตสีเสน สตฺถุ ปุรโต นิสีทิ ‘‘กิํ นุ โข สตฺถา อาณาเปตี’’ติฯ เอตฺตาวตา ธมฺมภณฺฑาคาริโก อนุปฺปโตฺตฯ เอวํ อนุปฺปตฺตํ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิฯ
Gantvāna buddhoti imā gāthā aparabhāge dhammasaṅgāhakehi ṭhapitā. Tattha nadikanti nadiṃ. Appaṭimodha loketi appaṭimo idha imasmiṃ sadevake loke. Nhatvā ca pivitvā cudatārīti gattānaṃ sītikaraṇavasena nhatvā ca pānīyaṃ pivitvā ca nadito uttari. Tadā kira bhagavati nhāyante antonadiyaṃ macchakacchapā, udakaṃ, ubhosu tīresu vanasaṇḍo, sabbo ca so bhūmibhāgoti sabbaṃ suvaṇṇavaṇṇameva ahosi. Purakkhatoti guṇavisiṭṭhasattuttamagarubhāvato sadevakena lokena pūjāsammānavasena purakkhato. Bhikkhugaṇassa majjheti bhikkhusaṅghassa majjhe. Tadā bhikkhū bhagavato vedanānaṃ adhimattabhāvaṃ viditvā āsannā hutvā samantato parivāretvāva gacchanti. Satthāti diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi sattānaṃ anusāsanato satthā. Pavattā bhagavā idhadhammeti bhāgyavantatādīhi bhagavā idha sīlādisāsanadhamme pavattā, dhamme vā caturāsītidhammakkhandhasahassāni pavattā pavattetā. Ambavananti tassā eva nadiyā tīre ambavanaṃ. Āmantayi cundakanti tasmiṃ kira khaṇe āyasmā ānando udakasāṭikaṃ pīḷento ohīyi, cundakatthero samīpe ahosi. Tasmā taṃ bhagavā āmantayi. Pamukhe nisīdīti vattasīsena satthu purato nisīdi ‘‘kiṃ nu kho satthā āṇāpetī’’ti. Ettāvatā dhammabhaṇḍāgāriko anuppatto. Evaṃ anuppattaṃ atha kho bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi.
อุปทเหยฺยาติ อุปฺปาเทยฺย, วิปฺปฎิสารสฺส อุปฺปาทโก โกจิ ปุริโส สิยา อปิ ภเวยฺยฯ อลาภาติ เย อเญฺญสํ ทานํ ททนฺตานํ ทานานิสํสสงฺขาตา ลาภา โหนฺติ, เต อลาภาฯ ทุลฺลทฺธนฺติ ปุญฺญวิเสเสน ลทฺธมฺปิ มนุสฺสตฺตํ ทุลฺลทฺธํฯ ยสฺส เตติ ยสฺส ตวฯ อุตฺตณฺฑุลํ วา อติกิลินฺนํ วา โก ตํ ชานาติ, กีทิสมฺปิ ปจฺฉิมํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา ตถาคโต ปรินิพฺพุโต, อทฺธา เตน ยํ วา ตํ วา ทินฺนํ ภวิสฺสตีติฯ ลาภาติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกา ทานานิสํสสงฺขาตา ลาภาฯ สุลทฺธนฺติ ตุยฺหํ มนุสฺสตฺตํ สุลทฺธํฯ สมฺมุขาติ สมฺมุขโต, น อนุสฺสเวน น ปรมฺปรายาติ อโตฺถฯ เมตนฺติ เม เอตํ มยา เอตํฯ เทฺวเมติ เทฺว อิเมฯ สมสมผลาติ สพฺพากาเรน สมานผลาฯ
Upadaheyyāti uppādeyya, vippaṭisārassa uppādako koci puriso siyā api bhaveyya. Alābhāti ye aññesaṃ dānaṃ dadantānaṃ dānānisaṃsasaṅkhātā lābhā honti, te alābhā. Dulladdhanti puññavisesena laddhampi manussattaṃ dulladdhaṃ. Yassa teti yassa tava. Uttaṇḍulaṃ vā atikilinnaṃ vā ko taṃ jānāti, kīdisampi pacchimaṃ piṇḍapātaṃ bhuñjitvā tathāgato parinibbuto, addhā tena yaṃ vā taṃ vā dinnaṃ bhavissatīti. Lābhāti diṭṭhadhammikasamparāyikā dānānisaṃsasaṅkhātā lābhā. Suladdhanti tuyhaṃ manussattaṃ suladdhaṃ. Sammukhāti sammukhato, na anussavena na paramparāyāti attho. Metanti me etaṃ mayā etaṃ. Dvemeti dve ime. Samasamaphalāti sabbākārena samānaphalā.
นนุ จ ยํ สุชาตาย ทินฺนํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา ตถาคโต อภิสมฺพุโทฺธ, ตํ กิเลสานํ อปฺปหีนกาเล ทานํ, อิทํ ปน จุนฺทสฺส ทานํ ขีณาสวกาเล, กสฺมา เอตานิ สมผลานีติ? ปรินิพฺพานสมตาย สมาปตฺติสมตาย อนุสฺสรณสมตาย จฯ ภควา หิ สุชาตาย ทินฺนํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา สอุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโต, จุเนฺทน ทินฺนํ ภุญฺชิตฺวา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโตติ เอวํ ปรินิพฺพานสมตายปิ สมผลานิฯ อภิสมฺพุชฺฌนทิวเส จ อคฺคมคฺคสฺส เหตุภูตา จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขา สมาปตฺติโย สมาปชฺชิ, ปรินิพฺพานทิวเสปิ สพฺพา ตา สมาปชฺชิฯ เอวํ สมาปตฺติสมตายปิ สมผลานิฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Nanu ca yaṃ sujātāya dinnaṃ piṇḍapātaṃ bhuñjitvā tathāgato abhisambuddho, taṃ kilesānaṃ appahīnakāle dānaṃ, idaṃ pana cundassa dānaṃ khīṇāsavakāle, kasmā etāni samaphalānīti? Parinibbānasamatāya samāpattisamatāya anussaraṇasamatāya ca. Bhagavā hi sujātāya dinnaṃ piṇḍapātaṃ bhuñjitvā saupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbuto, cundena dinnaṃ bhuñjitvā anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbutoti evaṃ parinibbānasamatāyapi samaphalāni. Abhisambujjhanadivase ca aggamaggassa hetubhūtā catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhā samāpattiyo samāpajji, parinibbānadivasepi sabbā tā samāpajji. Evaṃ samāpattisamatāyapi samaphalāni. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘ยสฺส เจตํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ อปฺปมาณํ เจโตสมาธิํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อปฺปมาโณ ตสฺส ปุญฺญาภิสโนฺท กุสลาภิสโนฺท’’ติอาทิฯ –
‘‘Yassa cetaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā anuttaraṃ appamāṇaṃ cetosamādhiṃ upasampajja viharati, appamāṇo tassa puññābhisando kusalābhisando’’tiādi. –
สุชาตา จ อปรภาเค อโสฺสสิ ‘‘น กิร สา รุกฺขเทวตา, โพธิสโตฺต กิเรส, ตํ กิร ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, สตฺตสตฺตาหํ กิรสฺส เตน ยาปนา อโหสี’’ติฯ ตสฺสา อิทํ สุตฺวา ‘‘ลาภา วต เม’’ติ อนุสฺสรนฺติยา พลวปีติโสมนสฺสํ อุทปาทิฯ จุนฺทสฺสปิ อปรภาเค ‘‘อวสานปิณฺฑปาโต กิร มยา ทิโนฺน, ธมฺมสีสํ กิร มยา คหิตํ, มยฺหํ กิร ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา สตฺถา อตฺตนา จิรกาลาภิปตฺถิตาย อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโต’’ติ สุตฺวา ‘‘ลาภา วต เม’’ติ อนุสฺสรโต พลวปีติโสมนสฺสํ อุทปาทิฯ เอวํ อนุสฺสรณสมตายปิ สมผลานิ เทฺวปิ ปิณฺฑปาตทานานีติ เวทิตพฺพานิฯ
Sujātā ca aparabhāge assosi ‘‘na kira sā rukkhadevatā, bodhisatto kiresa, taṃ kira piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho, sattasattāhaṃ kirassa tena yāpanā ahosī’’ti. Tassā idaṃ sutvā ‘‘lābhā vata me’’ti anussarantiyā balavapītisomanassaṃ udapādi. Cundassapi aparabhāge ‘‘avasānapiṇḍapāto kira mayā dinno, dhammasīsaṃ kira mayā gahitaṃ, mayhaṃ kira piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā satthā attanā cirakālābhipatthitāya anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbuto’’ti sutvā ‘‘lābhā vata me’’ti anussarato balavapītisomanassaṃ udapādi. Evaṃ anussaraṇasamatāyapi samaphalāni dvepi piṇḍapātadānānīti veditabbāni.
อายุสํวตฺตนิกนฺติ ทีฆายุกสํวตฺตนิกํฯ อุปจิตนฺติ ปสุตํ อุปฺปาทิตํฯ ยสสํวตฺตนิกนฺติ ปริวารสํวตฺตนิกํฯ อาธิปเตยฺยสํวตฺตนิกนฺติ เสฎฺฐภาวสํวตฺตนิกํฯ
Āyusaṃvattanikanti dīghāyukasaṃvattanikaṃ. Upacitanti pasutaṃ uppāditaṃ. Yasasaṃvattanikanti parivārasaṃvattanikaṃ. Ādhipateyyasaṃvattanikanti seṭṭhabhāvasaṃvattanikaṃ.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ ทานสฺส มหปฺผลตเญฺจว สีลาทิคุเณหิ อตฺตโน จ อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวํ อนุปาทาปรินิพฺพานญฺจาติ ติวิธมฺปิ อตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวา ตทตฺถทีปนํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃ viditvāti etaṃ dānassa mahapphalatañceva sīlādiguṇehi attano ca anuttaradakkhiṇeyyabhāvaṃ anupādāparinibbānañcāti tividhampi atthaṃ sabbākārato viditvā tadatthadīpanaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒตีติ ทานํ เทนฺตสฺส จิตฺตสมฺปตฺติยา จ ทกฺขิเณยฺยสมฺปตฺติยา จ ทานมยํ ปุญฺญํ อุปจียติ, มหปฺผลตรญฺจ มหานิสํสตรญฺจ โหตีติ อโตฺถฯ อถ วา ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒตีติ เทยฺยธมฺมํ ปริจฺจชโนฺต ปริจฺจาคเจตนาย พหุลีกตาย อนุกฺกเมน สพฺพตฺถ อนาปตฺติพหุโล สุวิสุทฺธสีลํ รกฺขิตฺวา สมถวิปสฺสนญฺจ ภาเวตุํ สโกฺกตีติ ตสฺส ทานาทิวเสน ติวิธมฺปิ ปุญฺญํ อภิวฑฺฒตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สํยมโตติ สีลสํยเมน สํยมนฺตสฺส, สํวเร ฐิตสฺสาติ อโตฺถฯ เวรํ น จียตีติ ปญฺจวิธเวรํ น ปวฑฺฒติ, อโทสปธานตฺตา วา อธิสีลสฺส กายวาจาจิเตฺตหิ สยํมโนฺต สุวิสุทฺธสีโล ขนฺติพหุลตาย เกนจิ เวรํ น กโรติ, กุโต ตสฺส อุปจโยฯ ตสฺมา ตสฺส สํยมโต สํยมนฺตสฺส, สํยมเหตุ วา เวรํ น จียติฯ กุสโล จ ชหาติ ปาปกนฺติ กุสโล ปน ญาณสมฺปโนฺน สุวิสุทฺธสีเล ปติฎฺฐิโต อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ อตฺตโน อนุรูปํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อุปจารปฺปนาเภทํ ฌานํ สมฺปาเทโนฺต ปาปกํ ลามกํ กามจฺฉนฺทาทิอกุสลํ วิกฺขมฺภนวเสน ชหาติ ปริจฺจชติฯ โส ตเมว ฌานํ ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเรสุ ขยวยํ ปฎฺฐเปตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อริยมเคฺคน อนวเสสํ ปาปกํ ลามกํ อกุสลํ สมุเจฺฉทวเสน ชหาติฯ ราคโทสโมหกฺขยา ส นิพฺพุโตติ โส เอวํ ปาปกํ ปชหิตฺวา ราคาทีนํ ขยา อนวเสสกิเลสนิพฺพาเนน, ตโต ปรํ ขนฺธนิพฺพาเนน จ นิพฺพุโต โหตีติ เอวํ ภควา จุนฺทสฺส จ ทกฺขิณสมฺปตฺติํ, อตฺตโน จ ทกฺขิเณยฺยสมฺปตฺติํ นิสฺสาย ปีติเวควิสฺสฎฺฐํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Tattha dadato puññaṃ pavaḍḍhatīti dānaṃ dentassa cittasampattiyā ca dakkhiṇeyyasampattiyā ca dānamayaṃ puññaṃ upacīyati, mahapphalatarañca mahānisaṃsatarañca hotīti attho. Atha vā dadato puññaṃ pavaḍḍhatīti deyyadhammaṃ pariccajanto pariccāgacetanāya bahulīkatāya anukkamena sabbattha anāpattibahulo suvisuddhasīlaṃ rakkhitvā samathavipassanañca bhāvetuṃ sakkotīti tassa dānādivasena tividhampi puññaṃ abhivaḍḍhatīti evamettha attho veditabbo. Saṃyamatoti sīlasaṃyamena saṃyamantassa, saṃvare ṭhitassāti attho. Veraṃ na cīyatīti pañcavidhaveraṃ na pavaḍḍhati, adosapadhānattā vā adhisīlassa kāyavācācittehi sayaṃmanto suvisuddhasīlo khantibahulatāya kenaci veraṃ na karoti, kuto tassa upacayo. Tasmā tassa saṃyamato saṃyamantassa, saṃyamahetu vā veraṃ na cīyati. Kusalo ca jahāti pāpakanti kusalo pana ñāṇasampanno suvisuddhasīle patiṭṭhito aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu attano anurūpaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā upacārappanābhedaṃ jhānaṃ sampādento pāpakaṃ lāmakaṃ kāmacchandādiakusalaṃ vikkhambhanavasena jahāti pariccajati. So tameva jhānaṃ pādakaṃ katvā saṅkhāresu khayavayaṃ paṭṭhapetvā vipassanāya kammaṃ karonto vipassanaṃ ussukkāpetvā ariyamaggena anavasesaṃ pāpakaṃ lāmakaṃ akusalaṃ samucchedavasena jahāti. Rāgadosamohakkhayā sa nibbutoti so evaṃ pāpakaṃ pajahitvā rāgādīnaṃ khayā anavasesakilesanibbānena, tato paraṃ khandhanibbānena ca nibbuto hotīti evaṃ bhagavā cundassa ca dakkhiṇasampattiṃ, attano ca dakkhiṇeyyasampattiṃ nissāya pītivegavissaṭṭhaṃ udānaṃ udānesi.
ปญฺจมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๕. จุนฺทสุตฺตํ • 5. Cundasuttaṃ